1 ศลิ ปะงานใบตองประวัติความเป็นมา ในอดีต ที่ผํานมา มนุษย๑เราพยายามที่จะเรียนรู๎ท่ีจะดารงชีวิตอยูํทํามกลางธรรมชาติ โดยเน๎นความกลมกลืนในรูปแบบของการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ร๎ูจักการหาวัสดุธรรมชาติมาปรุงแตํงชีวิต ความเป็นอยูํภายใต๎กรอบของการรับและ การให๎อยํางเหมาะสม สิ่งของเครื่องใช๎ตํางๆ ซึ่งมนุษย๑ได๎ดัดแปลงมาจากธรรมชาติล๎วน แล๎วแตํจะมีการนาไปใช๎ให๎เหมาะสม และมีความสมดุลกับธรรมชาติ เม่ือมนุษย๑เราได๎คิด นาใบตอง ใบไม๎ตํางๆมาใช๎หํอขนมและอาหารตํางๆเพ่ือใช๎ในชีวิตประจาวัน ตลอดจนการคิดประดิษฐ๑ชิ้นงานให๎มีรูปรําง รูปทรงสวยงามและประณีตยิ่งขึ้น ศิลปะงานใบตองเร่ิมมีมาตั้งแตํสมัยใดไมํปรากฏหลักฐานที่แนํชัด มีใช๎เฉพาะ เป็นสํวนประกอบของงานดอกไม๎ และใช๎เป็นภาชนะ ใสํขนม และใสํอาหารเทําน้ัน ในสํวนของวัฒนธรรม งานฝีมือตํางๆ ที่บํงบอกถึงความเป็นเอกลักษณ๑ไทย ต๎องยอมรับวําบรรพบุรุษของเราชํางคิดชํางประดษิ ฐ๑ ผลงานอนั สวยงามและ ทรงคุณคําเอาไว๎ให๎เยาวชนรุํนหลังได๎เห็นและเรียนร๎ูกัน ผลงานเหลํานั้น เพ่ือชวํ ยกนั พัฒนาฝีมอื ให๎คงอยสํู ืบไปการนาวัสดุในธรรมชาติมาใช๎ เชํน งานการแกะสลักจากไม๎ ผักและผลไม๎ งานจกั สานหรืองานประดิษฐ๑ดอกไม๎ ใบตองท่ีมีอยํูอยํางเพียงพอมาแปรเปล่ียนเป็นงานศิลป์ อันสุนทรีย๑ คงชํวยให๎วัสดุเหลํานั้น ไมํสูญสลายหายไป ความหมายของ“บายศรี”นั้นสันนิษฐานวําได๎รับอิทธิพลมาจาก ลัทธิพราหมณ๑ ซง่ึ เข๎ามา ทางเขมร ท้ังน้ีเพราะ คาวํา “ บาย ” ภาษาเขมร แปลวํา ข๎าวสุก ภาษาถิ่นอีสาน แปลวําจับต๎อง สัมผสั สํวนคาวาํ “ศรี” มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกบั ภาษาบาลีวํา “ สริ ิ ” แปลวํา ม่ิงขวัญ ดังนั้นคาวํา “บายศรี” หน๎าจะ แปลได๎วํา ข๎าวขวัญ หรือ สิ่งที่นําสัมผัส กับความดีงาม “ บายศรี ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลวํา ข๎าวอันเป็นสิริ, ขวัญข๎าว หรือ ภาชนะท่ีจัดตกแตํงให๎สวยงามเป็นพิเศษ ด๎วยใบตอง และดอกไมส๎ ด เพื่อเป็นสารับใสํอาหารคาวหวานในพิธสี งั เวยบูชา และพิธีทาขวัญตํางๆ สมัยโบราณ มีการเรียกพิธี สํูขวัญวํา “ บาศรี ” ท้ังน้ีสืบเนื่อง มาจากเป็นพิธี สาหรับบุคคล ชั้นเจ๎านาย เพราะคาวํา “บา”เป็นภาษาโบราณ อีสานใช๎เป็น คานาหน๎า เรียกเจ๎านาย เชํน บาท๎าว บาบําว บาคราญ เป็นต๎น สํวนคาวํา “ศรี ” หมายถึง ผู๎หญงิ และ สิง่ ทเ่ี ปน็ สิริมงคล “ บาศรี ” จึงหมายถึง การทาพธิ ีท่ี เป็นสิริมงคล แตํปัจจุบันนี้ คาวํา บาศรี ไมํคํอยนิยมเรียก กันแล๎ว มักนิยมเรียกวํา “ บายศรี ” บายศรีจะเรียก เป็นองค๑ มีหลายประเภท เชํน บายศรีเทพ บายศรีพรหม เป็นต๎น สํวนตํางๆ ท่ีประกอบกันเป็นบายศรีมีความหมายในทางดีเชํน กรวยข๎าว หมายถึงความอุดมสมบูรณ๑ใบชัยพฤกษ๑หรือใบคูน อายุยืนยาวดอกดาวเรือง ความเจรญิ รุงํ เรือง ดอกรัก ความรกั ท่มี ่ันคงคุณคา่ ของใบตอง คุณคาํ ของงานใบตองนนั้ มมี ากมายท้ังในชวี ิตประจาวนั โอกาสพิเศษและการธรรมรงศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีไทย ตลอดจนชํวยใหเ๎ กิดความสุขทางใจและยังเป็นอาชพี ได๎ 1.ประโยชนใ๑ นชีวิตประจาวัน 1.1 ใช๎ใสํอาหาร หํออาหาร หอํ ขนม หํอของ หอํ ผัก หํอดอกไม๎ ชวํ ยใหส๎ ดทนนาน 1.2 ชวํ ยใหข๎ นมและอาหารสีสวยและมีกล่นิ หอมชวนรับประทาน
2 2. ประโยชนใ๑ นโอกาสพิเศษ 2.1 งานวนั สาคญั ประดิษฐ๑ภาชนะใสดํ อกไม๎ ขนม ผลไม๎ และใสํอาหารนาไปให๎บุคคลซึ่งเคารพนับถือ ในวนั คล๎ายวนั เกดิ วนั ปใี หมํ วันข้ึนบา๎ นใหมํ วนั ประสบความสาเรจ็ วนั ฉลองโชคชัย วนั เยยี่ มไข๎ หรือแมแ๎ ตํวันจากไป 2.2 งานประเพณีนยิ ม ชาวไทยยมประดิษฐ๑ผลงานดอกไมใ๎ บตองแบบประณตี ศิลปใ์ ชใ๎ นงานพิธีเชนํ พานขนั หมาก ขันหมน้ั ขันสินสอด พานรับน้าสงั ข๑ บายศรี กระทงลอย ใช๎ในงานตําง ๆซ่งึ ล๎วนแตํเปน็ ประเพณีท่ีงดงามของชาวไทยที่ควรจะฟน้ื ฟูและรักษาไว๎ 2.3 งานพธิ ที างศาสนา เชํน พานดอกไม๎ธปู เทยี น กระทงดอกไม๎ แตํงเทียนพรรษา กระถางธปูเชงิ เทียน เปน็ ตน๎ 3. สร๎างสรรค๑ศิลปะมรดกของชาติ ผลงานประณีตศิลป์เปน็ ศลิ ปะมรดกแขนงหนงึ่ ท่บี งํ บอกถึงความเป็นไทยเพระมเี อกลกั ษณเ๑ ฉพาะตัว มีความละเอียด ประณีต อํอนโยน มีระเบยี บ มีความสงาํ งาม มีความงามแบวจิ ิตรพิสดาร ที่ไมํมชี าตใิ ดในโลกมีเหมือน 4. ชวํ ยใหจ๎ ิตใจสงบรมํ เยน็ การนาใบตองมาประดิษฐ๑เป็นสิ่งสวยงามยํอมนามาซง่ึ ความเพลดิ เพลินความสงบรํมเยน็ แหงํ จติ ใจ เพราะจติ ใจมีสมาธิ ความคิดก็เกิดจิตนาการ ผู๎ที่ทางานใบตองจะเปน็ ผทู๎ ่มี ีอารมณด๑ ีคิดแตํส่ิงทีด่ ีงาม อนั นามาซึ่งความประพฤตชิ อบ 5. เป็นอาชพี หลกั และอาชีพรองถ๎ามีใจรกั งานด๎านนี้และมงี านอืน่ เป็นหลักอยูํก็ใช๎เปน็ อาชีพเสรมิหรืออาชพี รองชวํ ยเพ่ิมรายได๎ใหแ๎ กคํ รอบครวั หรือถา๎ มใี จรักมาก ๆ กใ็ ชเ๎ ป็นอาชพี หลักได๎อปุ กรณท์ ี่ใช้ในงานใบตอง 1. ใบตอง ที่เหมาะสมสาหรับงานฝมี อื ควรใชใ๎ บตองตานี เพราะมคี ณุ สมบตั นิ มํุ เหนียวไมํฉกี แตกงําย มสี เี ขยี วเขม๎ เสน๎ ทางตองมแี นวตรง ทางตองกวา๎ งการเลอื กใบตองตานี ควรเลือกใบตองท่ีมที างยาว ไมํออํ นหรือแกํจนเกนิ ไป ถา๎ ใบตองยังสดอยํใู ห๎นามาผ่งึ ลมเพื่อให๎ใบตองหายกรอบกํอน 2. กรรไกร ท่ีเหมาะสมสาหรบั งานใบตอง ควรเป็นกรรไกรท่ีมีรปู ทรงเหมาะมือน้าหนักเบา สะดวกในการใช๎เชนํ กรรไกรจีนแดงเหมาะสาหรบั ตัดใบตองหนาๆ 3. เขม็ เขม็ เหมาะสมสาหรบั งานใบตองคือ เขม็ เบอร๑ 8 หรือเข็มเบอร๑ 9 เลือกใช๎ ขนาดยาวมีรเู ข็มกว๎าง สะดวกในการรอ๎ ยด๎าย 4. ดา้ ย ทีใ่ ชง๎ านในงานใบตองคือด๎ายเบอร๑ 60 5. เขม็ หมดุ งานใบตองท่ีใชเ๎ ขม็ หมุดสวํ นมากเป็นงานกระทงลอย หรือกระเช๎าใชย๎ ึดกลีบแตงํ กับตัวกระทงควรเลือกเข็มหมุดชนดิ ตวั เลก็ ยาว 6. ผา้ ขาวบาง เม่ืองานใบตองสาเร็จใช๎ผา๎ ขาวบางชบุ น้า 2 ชน้ั หํองานใบตองใหเ๎ รียบร๎อย 7. ผา้ เช็ดใบตองใชผ๎ า๎ ฝูายทีน่ ุํมดูดซบั น้าไดด๎ ีเช็ดทาความสะอาดใบตอง กํอนนามาเยบ็ เปน็ ช้ินงาน 8. ทฉ่ี ีดน้าเลอื กท่ีมีละอองเล็กและพํนน้าไดด๎ ี ขนาดเหมาะมอื
3 9. ไมก้ ลัด ขนาดเลก็ แหลม แข็งแรง ใช๎ไม๎ตดิ ผิวและใกล๎ผิว 10. ยางลบอยา่ งแขง็ ยางลบเนือ้ แขง็ ๆ ใช๎สาหรับกดเข็มหมุดแทนน้วิ มือ 11. ไม้บรรทดั เลอื กที่เห็นเสน๎ และตวั เลขที่ชดั เจน นอกจากนีบ้ างครงั้ ต๎องใชค๎ ีม ปากคมี ลวด กรรไกรตัดลวด มีดคัทเตอร๑ วงเวยี น เขียง ถาด กะละมังการพบั กลีบใบตองลายต่างๆ การพับกลบี หวั ขวาน(กลบี คอม้า) 1. ฉกี ใบตองกว๎าง 1.5 ยาว 8 น้ิว แบํงครึ่งใบตองให๎เทาํ กัน พับรมิ ใบตองด๎านซา๎ ยลงมาให๎เป็นมุมฉาก 2. พบั ใบตองรมิ ขวาให๎ชดิ เส๎นกงึ่ กลางใบตอง 3. พบั ทบสองขา๎ งเข๎าหากัน 4. คว่ากลีบให๎ด๎านสันตองอยํูข๎างบนใบตองลงมา ใหเ๎ ป็นมุมฉากพบั อกี ดา๎ นเหมอื นกัน 5. พับชายด๎านหลังมาทบตรงเส๎นตั้งฉาก 6. พบั อกี ดา๎ นเหมอื นกนั 7. พับกลบี ตํอไปตามขนั้ ตอนที่ 1-6 แลว๎ นามาครอบดา๎ นบน ทางด๎านขวา
การพับกลีบบวั สาย 4 1. ฉีกใบตองกว๎าง 1 น้ิว ยาว 4 น้ิวแบํงครึ่งใบตองให๎เทํากันพับใบตอง เฉียง 45 องศา 2. พับทบเข๎ามาอีกคร้ังให๎อยูํกึ่งกลางเส๎นท่ีแบํงตั้งฉาก พับอีกด๎าน เหมือนกนั 4. พลกิ กลับด๎านหลัง (การพบั กลบี บวั สาย เหมือนการพับกลีบเล็บครุฑ ในขั้นตอนท่ี 1-3) 5. พับสันทบดา๎ นซ๎ายไขวไ๎ ปทางดา๎ นขวา 6. พบั ทบขวาไขว๎ทบไปดา๎ นซา๎ ย
5การพับกลบี ดอกจอก 1. ฉีกใบตองกว๎าง 2 1/2 น้ิวพับทบคร่ึงตามความยาว จับจีบ สันทบด๎านลํางซ๎ายมือ เฉียงมาทางขวาเล็กนอ๎ ย 2. จับจีบสันทบด๎านลํางขวาให๎เฉียงมาทางซ๎าย จะได๎รํองจีบ ปลายมนกลางกลีบ จับจีบรมิ ซ๎ายทะแยงเฉียงมาทางขวาจาได๎ รอํ งจีบด๎านซ๎ายอีกรอํ งหนงึ่ 3. จับจีบสันทบด๎านขวา เฉียงไปทางด๎านซ๎ายจะได๎รํองจีบ ดา๎ นขวาอีกรํองหนึง่การพับกลีบเล็บครุฑ 1. ฉีกใบตองกว๎าง 1 น้ิว ยาว 4 นิ้วแบํงครึ่งใบตองให๎เทํากันพับ ใบตองเฉียง 45 องศา พับทบเข๎ามาอีกคร้ังให๎อยํูก่ึงกลางเส๎นท่ี แบํงต้ังฉาก 2. พบั อีกด๎านเหมือนกนั พับสนั ทบด๎านซา๎ ยไขวไ๎ ปทางขวา 3. พับสันทบขวาไขว๎ทับไปทางด๎านซ๎าย
การพับกลีบยกนม 6 1. ฉกี ใบตองกว๎าง 1 1/4 น้ิว ยาว 9 นว้ิ แบํงครึง่ ใหใ๎ บตองเทาํ กนั 2. พับใบตองริมขวาใหช๎ ิดเสน๎ กง่ึ กลางใบตอง 3. พบั ทบ 2 ขา๎ งเข๎าหากัน 4. พลิกสันทบขวา พับตลบสันทบกลับมาทางขวาให๎เป็นแนวเส๎นโค๎ง ทะแยง 5. พลกิ สันทบซา๎ ยพับตลบเชํนเดียวกบั ทางด๎านขวาย 6. นาผา๎ นุงํ มานุงํ 3ชั้น พบั เชนํ เดยี วกบั ขั้นตอนท่ี 2-5
7บายศรี “บายศรี” เช่อื วําคนไทยสํวนใหญํจะร๎ูจกั และคน๎ุ เคยเพราะพบเห็นบํอยในพธิ ีกรรมตํางๆ แทบทกุ ภาคของไทย เชนํ การทาขวญั คน การทาขวัญขา๎ ว การบวงสรวงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ การไหวค๎ รนู าฏศิลปด์ นตรี และพธิ ีสมโภชพระพุทธรปู เป็นต๎น ซึ่งพิธกี รรมเหลํานี้ล๎วนต๎องใช๎บายศรเี ป็นเคร่ืองประกอบท้ังส้ิน พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได๎ให๎ความหมายของคาวํา “บายศรี”วาํ หมายถึงเคร่ืองเชญิ ขวญั หรือรบั ขวญั ทาดว๎ ยใบตองรูปคลา๎ ยกระทงเปน็ ช้นั ๆ มีขนาดใหญํเล็กสอบขนึ้ ไปตามลาดบั เป็น3 ชนั้ 5 ชัน้ 7 ชั้น หรือ 9 ช้นั มีเสาปักตรงกลางเป็นแกน มีเครือ่ งสงั เวยอยใํู นบายศรีและมไี ขํขวญั เสียบอยบูํ นยอดบายศรี คาวาํ “บายศรี” เกดิ จากคาสองคารวมกนั คือ “บาย” เปน็ ภาษาเขมรแปลวํา “ขา๎ ว” และคาวํา“ศรี”เป็นภาษาสันสกฤต แปลวํา “มง่ิ ขวญั สิรมิ งคล” รวมความแล๎ว “บายศรี” กค็ ือ ขา๎ วขวัญหรอื ขา๎ วทมี่ ีสริ ิมงคล เราจึงพบวาํ ตวั บายศรีมกั มีข๎าวสุกเป็นสวํ นประกอบและมักขาดไมํได๎ แตโํ ดยทัว่ ไปเราจะหมายถึงภาชนะที่จดั ตกแตํงให๎สวยงามเปน็ พเิ ศษดว๎ ยใบตองทาเปน็ กระทง หรอื ใช๎พานเงนิ พานทองตกแตํงด๎วยดอกไม๎เพอ่ื เปน็ สารบั ใสอํ าหารคาวหวานในพธิ สี งั เวยบูชาและพิธีทาขวัญตาํ งๆ ประวัตคิ วามเปน็ มาของบายศรนี นั้ ไมํมหี ลักฐานแนํนอนแตมํ ีขอ๎ สันนิษฐานวํานาํ จะมีมาต้ังแตํสมยัอยุธยาแล๎ว เน่ืองจากมีการกลําวถงึ บายศรใี นวรรณกรรมมหาชาตคิ าหลวง กัณฑ๑มหาราชซ่งึ แตงํ ในสมยั อยุธยาวาํ “แล๎ว ธ ก็ใหบ๎ อกบายศรีบอกมิ่ง” อกี ทัง้ ศิลปวตั ถตุ ล๎ู ายรดนา้ สมยั อยุธยา ก็ปรากฏเร่ืองราวเกีย่ วกบั บายศรีอยาํ งไรก็ดเี ช่ือวาํ บายศรีน้นี าํ จะได๎คตมิ าจากพราหมณแ๑ นนํ อน เพราะบายศรีต๎องใชใ๎ บตองเปน็ หลกั ซ่งึ ตามคติของพราหมณ๑เชอ่ื วําใบตองเป็นของบริสทุ ธสิ์ ะอาดไมํมีมลทินของอาหารเกําแปดเป้ือนเหมือนถว๎ ยชาม จงึ นามาทาภาชนะใสอํ าหารเปน็ รูปกระทง ตํอมาจงึ มกี ารประดับประดาตกแตํงให๎สวยงามขึ้น โดยท่ัวไปบายศรจี ะแบํงออกเป็น 2 ประเภทคือ บายศรขี องราษฎร และบายศรีของหลวง บายศรีของราษฎร ได๎แกํ บายศรีทจี่ ัดทาข้นึ เพ่ือใช๎ในพธิ กี รรมตํางๆ ของราษฎร ซ่ึงแตํละท๎องถนิ่ ก็มีรายละเอยี ดปลีกยอํ ยแตกตาํ งกันไป แตํแบํงได๎เปน็ 2 ชนิดคอื บายศรีปากชาม และบายศรใี หญํหรือบายศรีต๎น บายศรปี ากชาม
8 บายศรีปากชาม จะเปน็ บายศรขี นาดเล็กนาใบตองมาม๎วนเป็นรูปกรวยใสํข๎าวสกุ ขา๎ งใน ต้ังกรวยควา่ ไว๎กลางชามขนาดใหญํ ใหย๎ อดแหลมของกรวยอยูํข๎างบนและบนยอดให๎ใช๎ไม๎เสยี บไขํตม๎ สุกปอกเปลือกที่เรียกวํา“ไขํขวญั ” ปกั ไว๎โดยมดี อกไมเ๎ สียบตอํ ขน้ึ ไปอีกที การจัดทาบายศรีเพ่ือประกอบพิธีกรรมตอนเชา๎ มักจะมีเครื่องประกอบบายศรเี ป็นอาหารงํายๆ เชํน ข๎าว ไขํ กล๎วย และแตงกวา แตํถา๎ หลงั เที่ยงไปแล๎วไมนํ ยิ มใสํขา๎ ว ไขํ แตํจะใช๎ดอกบวั เสียบบนยอดกรวยแทนและใช๎ดอกไม๎ตกแตงํ แทนกลว๎ ยและแตงกวา บายศรนี มแมว บายศรีนมแมว เปน็ บายศรีทางภาคเหนอื นิยมใช๎สาหรบั งานแตงํ งาน งานขึ้นบ๎านใหมํ และงานบวชสาหรบั ใชป๎ ระกอบพธิ เี รยี กขวญั หรือสํขู วัญ บายศรีต๎น บายศรีใหญหํ รือบายศรีต๎น จะเป็นบายศรที ่มี ีขนาดใหญํกวาํ บายศรีปากชาม นิยมทาเป็น 3 ช้ัน 5 ชั้นและ 7 ชน้ั หรอื บางทีกท็ าถึง 9 ช้นั ดว๎ ยเหตวุ ํานาคติเรอ่ื งฉัตรมาเก่ียวข๎อง ซึ่งแทจ๎ ริงแลว๎ การทาบายศรีใหญํหรือบายศรีตน๎ น้ีไมมํ ีการกาหนดชัน้ ตายตัว สุดแตผํ ทู๎ าจะเห็นวําสวยงาม ถา๎ ทาช้นั มากกถ็ ือวาํ เป็นเกียรติมาก
9และในแตํละช้ันของบายศรีมักใสอํ าหาร ขนม ดอกไม๎ ธูปเทยี น ลงไปด๎วย ปจั จุบันทง้ั บายศรีปากชามและบายศรีใหญํอาจจะใชว๎ สั ดุอน่ื ๆ แทนใบตองซ่ึงหาไดย๎ ากขึน้ เชนํ ใช๎ผ๎า กระดาษหรือวสั ดเุ ทียมอ่ืนๆ ที่คลา๎ ยใบตองมาตกแตงํ แตรํ ปู แบบโดยทั่วไป ก็ยงั คงลกั ษณะบายศรอี ยํู บายศรขี องหลวง ได๎แกํ บายศรที ่ีใชใ๎ นพระราชพิธีตาํ งๆ อันเกยี่ วเนือ่ งกับพระมหากษตั ริย๑ พระมเหสีพระราชโอรส พระราชธดิ า และพระบรมวงศานุวงศ๑ ทั้งในโบราณราชประเพณี และพระราชพธิ ที ที่ รงมีพระประสงค๑ให๎จัดขึ้นในโอกาสพิเศษตํางๆ รวมไปถงึ รัฐพธิ ที ่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยหูํ วั เสดจ็ ฯ ด๎วย ท้ังน้ี บายศรีของหลวงในปัจจุบันแบํงออกเปน็ 3 แบบ คอื บายศรตี น๎ 5 ช้นั บายศรีต๎น เปน็ บายศรที ่ีทาดว๎ ยใบตองมีแปูนไมเ๎ ป็นโครง มีลักษณะอยํางบายศรีของราษฎร แตํจะมี 3ชั้น 5 ชน้ั 7 ชนั้ และ 9 ช้นั สวํ นใหญํถ๎าเป็น 9 ชัน้ มักจะทาสาหรบั พระมหากษัตริย๑ พระราชินี สํวน 7 ชั้นสาหรับพระมหาอปุ ราชา เชํน สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ 5 ชัน้ สาหรบั เจ๎านายพระราชวงศ๑ สํวนขนุ นางและประชาชนท่ัวไปนยิ มทา 3 ช้นั บายศรีแกว๎ ทอง เงนิ บายศรชี นดิ น้ีประกอบดว๎ ยพานแก๎ว พานทอง และพานเงิน ขนาดใหญํ เลก็ วางซอ๎ นกนั ขึน้ ไปตามลาดบั เป็นช้ันๆ 5 ช้ัน โดยจะต้ังบายศรีแก๎วไว๎ตรงกลาง บายศรีทองทางขวา และบายศรเี งินตงั้ ทางซา๎ ยของผ๎รู ับการสมโภช บายศรีตองรองทองขาว เปน็ บายศรที ี่ทาดว๎ ยใบตองอยํางบายศรีใหญํของราษฎร มลี กั ษณะเป็น 5ช้ัน หรอื 7 ชน้ั แตํโดยมากมักทา 7 ชั้น บายศรตี องชนดิ นีม้ ักตั้งบนพานใหญํซึง่ เปน็ โลหะทองขาว จงึ เรียกวํา
10บายศรตี องรองทองขาว สํวนใหญํจะตั้งคูํกับบายศรแี กว๎ ทอง เงิน มักใช๎ในงานพระราชพิธีใหญํ เชนํ พระราชพธิ สี มโภชเดอื นและขน้ึ พระอํู พระราชพิธสี มโภชขน้ึ ระวางช๎างสาคัญ เปน็ ต๎น โอกาสในการใช๎บายศรี สวํ นใหญํจะใช๎ในการทาขวญั ตาํ งๆ ที่เปน็ ประเพณเี ก่ยี วกับชวี ติ เชนํ การทาขวญั เดอื น ทาขวัญนาค ทาขวัญแตงํ งาน (นิยมในภาคเหนือและอีสาน) ทาขวัญนา ทาขวัญแมํโพสพ หรือแม๎แตํการทาขวัญสตั ว๑อยาํ งวัว ควาย เปน็ ตน๎ รวมไปถึงพธิ กี รรมที่เกย่ี วกบั การทามาหากิน การบวงสรวงสงั เวยและการสมโภชตํางๆ เชนํ การตัง้ ศาลพระภมู ิ การวางศิลาฤกษ๑ การไหวเ๎ ทวดาอารักษ๑ การบูชาครชู ําง เปน็ ตน๎ สํวนการใชบ๎ ายศรีชนิดใดในโอกาสไหนน้ัน มีข๎อสงั เกตงํายๆ วําบายศรปี ากชาม มักใช๎ในพธิ ีทาขวญั ในครัวเรอื นอยํางงาํ ยๆ ท่ีมใิ ชงํ านใหญํโต เชํน การทาขวญั เดือนเด็ก หรอื ในพิธตี ง้ั ศาลหรือถอนศาลพระภมู ิ เป็นตน๎ สวํ นบายศรีต๎นหรือบายศรีใหญํ มกั ใช๎เปน็ เคร่ืองบชู าเทพยดาตามลัทธพิ ราหมณ๑ที่มิใชํบชู าพระ หรอื มักใช๎ในงานใหญทํ ี่ครกึ คร้ืน เชนํ ทาขวัญนาค ฉลองสมณศักด์ิ หรอื ในการไหว๎ครู เป็นต๎น แตใํ นบางงานก็อาจจะใช๎ทง้ั สองชนดิ ควบคกํู ันไปก็มี เป็นทนี่ าํ สงั เกตวําในภาคกลางเรามกั จะเปน็ การใช๎บายศรใี นการบวงสรวง พธิ ไี หว๎ครหู รือพิธีสมโภช สํวนภาคอีสานและล๎านนามักใช๎บายศรใี นการทาขวัญตํางๆ โดยทางล๎านนาจะเขียนเปน็“บายศรี”(อาํ นวํา บายส)ี แตนํ ยิ มเรียกวาํ “ใบสี”หรอื “ใบสรี”สํวนอสี านจะเรยี กบายศรีวาํ “พาบายศรี”หรอื“พาขวญั ”หรือบางท๎องถิ่นกเ็ รยี ก “ขันบายศรี” ก็มี อน่งึ การท่ีตอ๎ งมีการทาขวัญตาํ งๆ นัน้ กเ็ พราะคนโบราณเช่ือวาํ รํางกายของมนุษย๑ ทุกคนจะมขี วญักากับอยํู เมื่อขวญั ไดร๎ บั การกระทบกระเทือนก็จะตกหรือหนหี ายไปจากราํ งกาย ที่เรียกวาํ ขวัญหนี ขวญั หายขวญั บนิ ฯลฯ ทาใหเ๎ จา๎ ตวั ไมํสบายหรอื เจ็บไข๎ได๎ปวุ ย จึงต๎องมีการเรยี กขวัญใหก๎ ลับมาอยูํกับตนหรืออาจจะเปน็ การรบั ขวัญผม๎ู าเยือนเพอื่ เปน็ สริ มิ งคลก็ได๎ นอกจาก ทาขวัญคนแลว๎ ยงั สามารถทาขวัญสตั ว๑ และสง่ิ ของตาํ งๆ ได๎ด๎วย
11กระทงใบตอง ประเภทกระทงดอกไม๎ กระทงดอกไมม๎ ีหลายรปู แบบ ซ่งึ ในแตํละแบบผ๎ูประดิษฐ๑พยายามพัฒนาและสร๎างสรรคไ๑ ดอ๎ ยํางสวยงาม กระทงทุก ๆ แบบสามารถนาไปใชไ๎ ดห๎ ลายโอกาส เชํน - ใชเ๎ ปน็ เคร่ืองสักการะบูชาพระรัตนตรัย - ใชเ๎ ปน็ เครือ่ งสักการะพระมหากษัตริยแ๑ ละพระราชวงศ๑ - นาไปกราบลาอุปสมบท - กราบพํอแมํ ครูอาจารย๑ - ขอขมาลาโทษ - ชุดขันหมาก เป็นตน๎ งานใบตองประเภทกระทงดอกไม๎ ประเภทกระทงลอย กระทงลอยคอื ภาชนะสาหรบั ใสํดอกไม๎ ธูป เทยี น ส่ิงของ ทล่ี อยนา้ ได๎ สวํ นใหญํประดิษฐ๑จากใบตอง ซ่งึ ใช๎ในเทศกาลวันลอยกระทงคือ ในวันเพ็ญเดือน 12 ตามความเช่ือวํา การ ลอยกระทงเพ่อื เปน็ การขอขมาแกแํ มํคงคา เพราะได๎อาศัยน้าเพื่อดม่ื กนิ และใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั งานใบตองประเภทกระทงลอย
12 หลกั การจัดดอกไม้ความเป็นมาของการจดั ดอกไม้ ในการจดั ดอกไม๎นัน้ ผู๎จัดควรมีความรู๎เกีย่ วกับประวัติความเปน็ มาและอารยธรรมของชนชาติตําง ๆ ในด๎านการจดั ดอกไม๎บา๎ งตามสมควร เพอ่ื ใหเ๎ กิดความเขา๎ ใจและนาเอาแนวทางที่ดีมาประยุกต๑ใช๎ในการจัดดอกไม๎ของตนเอง 1. ความเปน็ มาของการจดั ดอกไมใ้ นประเทศไทย ประวัติการจัดดอกไม๎ตามที่มีการบันทึกไว๎เร่ิมตั้งแตํสมัยสุโขทัย ทั้งน้ีได๎มีการจัดในราชสานักเป็นสํวนใหญํ โดยเฉพาะราชสานักฝุายในเพื่อจัดดอกไม๎แบบไทยประณีตใช๎ในพระราชพิธีตํางๆ ประวัติการจัดดอกไม๎แบบไทยประณีตสามารถแบํงออกเป็นประเภทได๎ 6 ประเภท คือ งานมาลัย งานใบตอง งานแกะสลักผักผลไม๎ งานฉลุสลักหยวก งานเครื่องแขวนไทยและงานพานพํุมดอกไม๎สด ตํอมาได๎มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการจัดดอกไม๎สดไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะชํวงรัชสมัยของรัชกาลท่ี 4 และรัชกาลท่ี 5 ได๎มีการเปล่ียนแปลงรูปแบบของการจัดดอกไม๎โดยได๎รับวัฒนธรรมการจัดดอกไม๎ของชาวตะวันตกมาปรับปรุงรูปแบบกับการจัดดอกไม๎แบบตะวันออก ลักษณะของการจัดดอกไม๎นี้เรียกวําการจัดดอกไม๎แบบสากล ซึ่งมีลักษณะการจัดท่ีต๎องอาศัยกระบวนการจัดที่ประกอบด๎วย ทฤษฎีการออกแบบลักษณะรูปทรง เทคนิคและรูปแบบตํางๆ ตามหลักทฤษฎขี องการออกแบบ สวํ นประกอบของการจัดดอกไม๎แบบสากลสามารถแบํงออกได๎ 3 ประเภท คือ แบํงตามองค๑ประกอบในการจดั แบํงตามลกั ษณะของภาชนะในการจัด และแบํงตามลักษณะของการใช๎งาน สาหรับในสมัยรัตนโกสินทร๑ตอนต๎นสืบตํอมานั้น งานฝีมือด๎านประดิษฐ๑ดอกไม๎สดเป็นท่ียอมรับในฝีมือ และมีชื่อเสียงมาก นิยมประดิษฐ๑จัดดอกไม๎สดในงานตํางๆ ท่ัวไป โดยเฉพาะในพระราชพิธีตํางๆ ในสมัยรัชกาลท่ี 5 ทรงมีพระราชนิยมการทาดอกไม๎มาก มีการจัดถวายให๎ทรงใช๎ในงานเสมอ พระมเหสีเทวีนางสนมทุกตาหนักใฝุพระทัยในการจัดดอกไม๎ แตํละพระองค๑ตํางก็มีชื่อเสียงในด๎านตํางๆ อาทิ สมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชนิ ีนาถ (พระพนั ปหี ลวง) เม่อื คร้งั ดารงพระอิสริยยศเป็นพระบรมราชินีนาถ ได๎โปรดเกล๎าฯให๎ฝึกอบรมข๎าหลวงและครูโรงเรียนราชินีให๎รู๎จักทาดอกไม๎แห๎งแทนดอกไม๎สดด๎วย ทรงสํงเสริมฟื้นฟูการทาดอกไม๎เป็นอันมาก พระองค๑ยังใช๎เวลาวํางประดิษฐ๑ประยุกต๑ดัดแปลงการทาดอกไม๎แบบเกําๆ ให๎แปลกพิสดารไปอีก ทาให๎พระนามของพระองค๑เล่ืองลือในการร๎อยมาลัยมะลิเป็นมาลัยสีขาวกลม ซ่ึงเป็นมาลัยธรรมดาไมํมีลวดลาย และตํอมาพระองค๑ได๎พลิกแพลงมาเป็นมาลัยสลบั สีเป็นมาลยั เกลียว ซ่งึ มคี วามสวยงามและเป็นลวดลายมสี สี นั ข้ึนความเป็นมาของการจดั ดอกไมใ้ นระดับสากล 2.1 อยี ิปต๑ (Egyptian) นักโบราณคดีพบภาพวาดบนกาแพง เป็นภาพคนตายมีดอกไม๎วางไว๎ข๎างศพและจากการศึกษาด๎านจิตรกรรม พบวํามีการใช๎ขวดคอแคบรวมท้ังถ๎วยชามเป็นภาชนะสาหรับการจัดดอกไม๎และใช๎ดอกไมส๎ ีสดใส เชนํ แดง เหลอื ง นา้ เงนิ ซงึ่ ในปจั จุบนั นี้ไมํคอํ ยนิยมทจ่ี ะใช๎แมํสี ในงานจดั ดอกไม๎ 2.2 กรีก (Grecian) ในการจัดดอกไม๎แบบกรีกโบราณน้ัน มักใช๎ผักและผลไม๎จัดตกแตํง นิยมจัดทรงต้ังตรง ใช๎จัดในวนั ขอบคุณพระเจ๎า หรอื ถา๎ จัดในโอกาสปกตจิ ะจัดไวบ๎ นห้ิงเหนือเตาผิง
13 2.3 โกธิค (Gothic) เน่อื งจากพวกโกธิคได๎ชอ่ื วําเปน็ พวกทดี่ อ๎ ยอารยธรรม จึงไมํสนใจการตกแตํงภายในบ๎านให๎สวยงามด๎วยดอกไม๎ แตํชอบการจัดเลี้ยงกลางแจ๎ง จึงมีการตกแตํงโต๏ะอาหารด๎วยต๎นไม๎เล็กๆ แทนการใช๎ดอกไม๎ สาหรับประเทศฝร่ังเศสน้ัน เม่ือรับอารยธรรมของโกธิคเข๎ามาก็มีการใช๎ต๎นไม๎ขนาดเล็ก หรือต๎นบอนไซในการตกแตํงกลางโต๏ะและในการตกแตํงสถานที่ในวันคริสต๑มาสก็จะมีการใช๎กระจกรูปกลมหรือสี่เหล่ียมผืนผ๎ากั้นด๎วยร้ัวเล็กๆ โดยรอบภายในประกอบด๎วยต๏ุกตารูป ซานตาครอสกวางเรนเดียร๑วางบนกระจกดงั กลําวแล๎วพนํ สเี พือ่ ให๎เกิดความมนั เงา 2.4 โรมัน (Roman) ในคริสต๑ศตวรรษที่ 14 มีการตกแตํงภายในโบสถ๑ด๎วยดอกไม๎ในวันคริสต๑มาสและวันพระเยซูฟื้น มกี ารใชล๎ วดตาขาํ ยขดเป็นรปู กรวยแลว๎ ตกแตํงประดับประดาด๎วยใบไม๎และดอกไม๎ ระฆัง เทียนสีตํางๆรบิ บ้ินและดวงไฟใช๎ตกแตํงโตะ๏ อาหารในหอ๎ งโถง 2.5 เปอรเ๑ ซยี (Persian) ในครสิ ตศ๑ ตวรรษที่ 14 พบวําชาวเปอร๑เซียมีการจัดดอกโดยใช๎แจกัน แตํไมํมีกฎเกณฑ๑การใช๎สีที่แนํนอนและมักจะเป็นไปตามความพอใจของผู๎จัด ซึ่งสํวนใหญํจะใช๎สีประเภทกลมกลืน สํวนภาชนะนั้นนยิ มใชเ๎ ครื่องปั้นดนิ เผาซึ่งเคร่อื งปนั้ ดนิ เผาของเปอร๑เซยี มีซื่อเสียงดา๎ นความมีสสี นั สวยงาม เปน็ มันเงา 2.6 ดทั ช๑ (Dutch and Flemish) ชาวฮอลแลนดน๑ ิยมจัดดอกไมด๎ ๎วยภาชนะประเภทเครื่องเคลือบและเครื่องทองเหลืองแบบจีน จึงนาศิลปะแบบจีนมาใช๎ในการจัดดอกไม๎ ภาพเขียนท่ีมีชื่อเสียงของชาวดัทช๑มักสะท๎อนให๎เห็นถึงการผสมผสานกันระหวํางดอกไม๎กับความเป็นอยูํของคน รูปรํางของแจกันดอกไม๎ที่ใช๎จัดดอกไม๎มักจะเป็นรูปไขํและมีขนาดใหญํ หนาเทอะทะ ทาดว๎ ยหินสขี าว นอกจากน้ียงั มีภาชนะทที่ าดว๎ ยแก๎ว เครื่องเงินและเคร่ืองโลหะอ่นื ๆ นามาจัดดว๎ ยดอกไม๎หลายชนดิ รวมกนั แตํในบางครั้งก็นิยมจัดดว๎ ยดอกไม๎สีขาว 2.7 ฝร่งั เศส (French) ในครสิ ตศ๑ ตวรรษที่ 17 เน๎นการจัดดอกไม๎ เพื่อใช๎ประดับในห๎องรับแขกซึ่งจัดตกแตํงอยํางสวยหรูโอํอาํ ย่ิงใหญํ ปัจจบุ ันนิยมใชภ๎ าชนะประดับเคร่อื งเคลอื บและเคร่ืองแก๎วเจียระไน ตกแตํงภาชนะด๎วยสีให๎มองดูสวยงามมีการแกะสลักบนภาชนะน้ันด๎วยและยังเน๎นเร่ืองสัดสํวนของภาช นะให๎มีสัดสํวนที่สวยงามดูหรูหรา การจัดดอกไม๎จะจัดให๎ดูโปรํงตา ไมํนิยมการจัดที่ดูแล๎วหนาทึบ รูปทรงของการจัดดอกไม๎มักเป็นรูปสามเหลีย่ ม จะใช๎สีอํอนประเภทสีชมพอู ํอน เหลอื งออํ น เขียวอมฟูา 2.8 จอร๑เจยี (Georgian) เม่อื อังกฤษไดม๎ ีการติดตอํ กับอินเดีย การจัดดอกไม๎ในประเทศอังกฤษจะได๎รับอิทธิพลจากทางตะวนั ออก คือ อินเดีย ซ่ึงเป็นแหลํงที่มีความเจริญกวําสํวนอื่นที่เกี่ยวข๎องกับอังกฤษ จะเห็นได๎วํามีการใช๎ภาชนะเคร่ืองทองเหลือง เคร่ืองเงิน เครื่องเคลือบดินเผาและแจกันแบบจีน มีการจัดดอกไม๎กลางโต๏ะด๎วยถังเหล๎าองํุนและถังแบบตํางๆ ถ๎าสถานทกี่ ว๎างใหญํและดูโอํอํา จะจัดดอกไม๎ให๎เหมาะสมกับสถานท่ี โดยนิยมใช๎
14ดอกไม๎ท่ีมีกล่ินหอมอํอน ๆ เชํน ดอกกุหลาบ ดอกลิ้นมังกร ดอกลิลลี่ ดอกแพนซ่ี การจัดต๎องจัดให๎โปรํงไมํแนนํ ทบึ 2.9 วิคตอเรีย (Victorian) นิยมใช๎ภาชนะรูปรํางคล๎ายถังเหล๎าองํุน หรือภาชนะที่ทาด๎วยหินสีขาว มักใช๎ดอกไม๎สีสดในยุคนั้นมกี ารใชก๎ ่ิงไมท๎ มี่ ีรูปทรงสวยงามนามาทา หรือพนํ สี เพื่อให๎เกิดประกายเป็นเงาและใช๎ดอกไม๎ประเภททีม่ สี ีผวิ สัมผัสอํอนนุมํ ในสมยั น้ีเร่มิ นยิ มใช๎ดอกไมใ๎ นงานพธิ แี ตงํ งาน งานเล้ยี งและงานเฉลิมฉลองอื่นๆ 2.10 ยคุ อาณานิคม (Colonial) ยุคอาณานิคม ได๎แกํ ยุคท่ีอังกฤษมีอาณานิคม มีการจัดดอกไม๎ในตะกร๎าภาชนะดินเผาหรือภาชนะในครัวที่ทาด๎วยโลหะ เชํน หม๎อชา-กาแฟ จัดดอกไม๎โดยการแซมด๎วยต๎นหญ๎าพร๎อมใบจัดให๎เป็นกลุํมใหญแํ ตไํ มํแนํนทึบและสีของดอกไม๎ตอ๎ งกลมกลืนกันทฤษฎใี นการจดั ดอกไม้ 1 องค๑ประกอบศิลปใ์ นการจัดดอกไม๎ 1.1 เส๎นแนว (Line) เส๎นแนวมีความสาคัญมากในการออกแบบจัดดอกไม๎ บางคร้ังเส๎นแนวจะเป็นตัวสร๎างรูปทรงให๎กับการจัดดอกไม๎ ไมํวําจะเป็นดอก ใบ หรือกิ่งก๎าน วัสดุตํางๆ ยํอมมีเส๎นแนวท่ีสามารถกาหนดความกวา๎ ง ยาว หนา ลึก ซ่ึงเป็นมิติของการจัดแตํละคร้ัง ดังนั้นหากจะเป็นนักจัดดอกไม๎ที่ดี ควรเรียนร๎ูเร่ืองการใชเ๎ สน๎ แนว ในการจัดให๎เขา๎ ใจให๎มากทีส่ ุด ภาพท่ี 1.1 ลกั ษณะเส๎นแนวรูปแบบตํางๆ ภาพโดย : สุนสิ า ปน่ิ เจริญ 1) ชนดิ ของเส๎นแนว เส๎นแนวแบํงออกได๎ดังน้ี (1) เส๎นแนวตั้ง หรือเส๎นด่ิง (Vertical Line) ซึ่งเป็นเส๎นจากด๎านลํางข้ึนบน หรือจากแนวเปน็ แนวต้งั ฉากกับพนื้ (2) เส๎นแนวนอนหรอื เสน๎ ทีข่ นานไปกบั พ้นื (Horizontal Line) (3) เสน๎ แนวทเ่ี ฉียงทแยง จากพ้ืนขน้ึ ด๎านบนหรอื ลงดา๎ นลําง (Diagonal Line) 2) ลกั ษณะของเสน๎ แนว แบํงได๎ 2 แบบ คือ (1) แนวตรง (Static Line) (2) แนวโคง๎ หรอื แนวไมตํ รง (Dynamic Line)
15 ในการจัดดอกไม๎น้ันถ๎ามีการใชแ๎ นวเส๎นทงั้ 2 แบบ จะชวํ ยใหง๎ านชิ้นนน้ั สวยงาม นํามองยิ่งขึ้นเพราะมเี สน๎ ท่มี ลี กั ษณะขัดแย๎งกนั อยํู ซึง่ อาจทาไดห๎ ลายรูปแบบ ดงั น้ี รูปแบบที่ 1 ลักษณะการจัดดอกไม๎เส๎นแนวโค๎ง ดอกไม๎รูปแบบนี้เดํนมาก ท่ีใช๎เส๎นแนวตั้ง ซ่ึงเป็นแนวตรงเดํนชัด เส๎นแนวนอนด๎านลํางซ่ึงเป็นใบเฟิร๑น และเส๎นทแยงด๎านขวามือเป็นแนวโค๎ง จะเห็นได๎วําเสน๎ ตรงด๎านต้งั เดนํ กวาํ มาก เพราะผู๎จดั ปกั วางยาวกวาํ เสน๎ แนวโค๎งหลายเทํา เส๎นทั้งแนวต้ังและแนวทแยง เม่ือจัดแล๎วให๎ความร๎ูสึก ดแู ข็ง ไมํอํอนหวาน ภาพท่ี 1.2 ลกั ษณะการจัดดอกไมเ๎ ส๎นแนวตรง ภาพโดย : สนุ สิ า ป่ินเจรญิรปู แบบที่ 2 ลักษณะจดั ดอกไมเ๎ ส๎นแนวตรง การใชเ๎ สน๎ แนวโคง๎ (Dynamic)จะมีทิศทางท่เี ห็นได๎ชัด ความออํ นหวานของกา๎ นดอกทวิ ลิปและหญ๎าแบร๑กลาสชวํ ยทาให๎ดูนมุํ นวลสวยงามสวํ นโคง๎ น้เี ป็นเสน๎ แนวทเ่ี ดํนชัดกวําเสน๎ แนวตรง (Statie) ความอํอนโคง๎ ทาให๎ดเู หมือนมีความเคล่ือนไหว มีชวี ติ ชีวาทส่ี มั ผสั ไดจ๎ ากการได๎เห็น ภาพท่ี 1.3 ลกั ษณะการจัดดอกไม๎เสน๎ แนวโค๎ง ภาพโดย : สนุ ิสา ป่ินเจริญ
16 รูปแบบท่ี 3 ลักษณะการจัดดอกไม๎เส๎นแนวโค๎ง ซ่ึงเป็นแนวโค๎งทาให๎การจัดดอกไม๎ลักษณะน้ีสวยงามสะดดุ ตา เปน็ ธรรมชาติมากข้ึน สังเกตวํารูปทรงของการจัดคือ ทรงสามเหล่ียม ด๎านไมํเทํา แตํเมื่อใช๎เส๎นโค๎ง (Dynamic Line) ของเถาวัลย๑เข๎าชํวยทาใหภ๎ าพของการจัดสาเร็จเปน็ ธรรมชาติ ภาพที่ 1.4 ลกั ษณะการใชเ๎ ส๎นโคง๎ เสรมิ ดอกไม๎ทรงสามเหลี่ยมด๎านไมํเทาํ ภาพโดย : สนุ สิ า ป่ินเจรญิ 1.2 ชอํ งไฟ (Space) หลักสาคญั ประการหนึ่งของการจัดดอกไม๎ คือการจัดวาง “ชํองไฟ” ดังท่ีกลําวแล๎ววําดอกไม๎ซ่ึงจัดขึ้นมาน้ัน จะมีความสูง ความกว๎าง ความหนาลึก เป็นสิ่งบอกรูปทรงสํวนรวมทั้งหมด แตํภายในรูปทรงนั้น จะดูสวยงามมีสไตล๑และมีรูปแบบท่ีเป็นแนวคิดของตนเองได๎ ต๎องมีสํวนประกอบสาคัญ 5ประการ ได๎แกํ เสน๎ , รปู ทรง, ชอํ งไฟ, สี และพ้นื ผิว เม่ือเราวางเส๎นแนว (Line) เพ่ือทาให๎เกิดรูปทรง (Form) เราก็สร๎างชํองไฟ ระหวํางแนวเส๎นแนวชํองไฟระหวํางดอก ชํองไฟระหวํางกลุํมข้ึนมาแล๎ว ชํองไฟจึงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไมํได๎เลยในการจัดดอกไม๎ ชํองไฟแบงํ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ ชํองไฟทบึ (Positive Space) และชํองไฟวาํ ง (Negative Space) 1) ชํองไฟทึบ (Positive Space) หมายถึง บริเวณในองค๑ประกอบของดีไซน๑มีวัสดุอุปกรณ๑ซึ่งไดแ๎ กํ ดอกไม๎ ใบไม๎และอื่นๆ แบบดอกไม๎ในภาพ คือการจัดดอกไมท๎ ่ีเปน็ ชํองไฟทึบรปู ทรงสามเหลย่ี มดา๎ นไมเํ ทํา ภาพที่ 1.5 ลักษณะการจดั ดอกไม๎ชํองไฟทบึ ภาพโดย : สุนสิ า ปิน่ เจริญ
17 2) ชํองไฟวําง (Negative Space) คือ ชํองวํางระหวํางดอกไม๎ ดังเชํน ในภาพชํองไฟระหวํางกลุํมของดอกไม๎สองกลุํมซ่ึงจัดแบบแนวตั้ง Vertical ทาให๎เพ่ิมความสาคัญให๎กับวัสดุอุปกรณ๑ และดอกไม๎ท่ีใช๎ในการจัดดอกไมน๎ ้ี การวางชํองไฟมีสวํ นทจ่ี ะทาให๎การจดั มีความสมดุลของน้าหนักสายตาท่ีถูกต๎องไดด๎ ว๎ ย ภาพท่ี 1.6 ลักษณะการจดั ดอกไม๎ชํองไฟวําง ภาพโดย : สนุ สิ า ปน่ิ เจริญ ลักษณะการจัดดอกไม๎แบบชํองไฟทึบ หากจัดอยํางแนํนเต็ม ทาให๎ไมํเห็นชํองไฟวําง (Negative Space) ในการจัดดอกไม๎เลย ซึ่งในการจัดดอกไม๎แบบน้ี สิ่งที่ทาให๎สายตาผํอนคลายจากความแนํน หนกั ของกลํุมดอกไม๎ในรถ คอื ชอํ งไฟระหวาํ งมือจับกบั ที่น่งั ของรถ และชํองไฟใต๎รถ และส่ิงที่ทาให๎ความแนํน หนักของดอกไมด๎ ูไมเํ รียบแนนํ คอื การจดั วางดอกไม๎ใหส๎ งู เป็นกลํุมชนิดของดอก ภาพท่ี 1.7 ลักษณะการจัดดอกไม๎แบบไมเํ ห็นชํองไฟวาํ ง ภาพโดย : สนุ ิสา ป่ินเจริญ สาหรับการจัดดอกไม๎ท่ีมีการจัดวางชํองไฟไมํเทํากันนั้น เส๎นแนวของก๎านดอกของการจัดดอกไม๎น้ี สร๎างชํองไฟวําง (Negative Space) ให๎เห็น ได๎อยํางชัดเจน ให๎ภาพสาเร็จท่ีนํามองมากกวําชํองไฟเทํากันไปหมด เส๎นหักมุมสามเหล่ียมด๎านลําง ซึ่งเยื้องมาทางด๎านหน๎าของการจัดชํวยสร๎างชํองไฟ ที่แปลกตาและดทู ันสมัยได๎
18 ภาพที่ 1.8 ลักษณะการจดั ดอกไมแ๎ บบชํองไฟไมเํ ทาํ กัน ภาพโดย : สนุ สิ า ป่นิ เจรญิ ภาชนะรูปทรงโบราณ ซึ่งถือวําคลาสิกมาก หากนามาจัดในแบบสมัยใหมํ โดยใช๎การจัดวางชํองไฟ (Space) ท่ีเดํนชัด จะทาให๎ผลงานดูสวยงาม สะดุดตา ผู๎จัดวางควรแยกดอกไม๎ เป็นกลุํม (Grouping)โดยจาแนกชนดิ ของดอกไม๎แตลํ ะกลุมํ จังหวะการวางดอกจะสรา๎ งชํองไฟระหวาํ งดอกซึ่งไมํเทํากนั ภาพที่ 1.9 ลกั ษณะการจดั ดอกไมใ๎ นภาชนะรปู ทรงโบราณ ภาพโดย : สุนสิ า ปน่ิ เจรญิ ลกั ษณะแบบชํองไฟเปิดวําง การจัดดอกไม๎ท่ีดีนั้นต๎องมีการสร๎างชํองไฟระหวํางกลุํมก๎านของดอกไม๎ ทาให๎เกิดชํองไฟเปิดวําง (Open Space) และดึงสายตาไปยังศูนย๑กลางของการ จัดรวมท้ังเส๎นแนวของเถาวัลย๑ ทเ่ี ป็นแนวโคง๎ ซึ่งสร๎างชํองไฟวํางให๎เกดิ ขึ้น ทางดา๎ นลํางของการจัด ภาพที่ 1.10 ลักษณะการจดั ดอกไมแ๎ บบชํองไฟเปิดวําง ภาพโดย : สุนิสา ปน่ิ เจริญ
19 1.3 ลกั ษณะพื้นผิว (Texture) ความสาคัญของการร๎ูจักใช๎อุปกรณ๑ ซ่ึงมีความแตกตําง ในลักษณะพื้นผิวน้นั จะเปน็ อกี สิง่ หนง่ึ ท่ีทาให๎การจดั ดอกไม๎มีเอกลักษณ๑ “ลักษณะพื้นผิว” คือสํวนประกอบที่เรามองเห็น เม่ือเลือกวัสดุอปุ กรณ๑ และดอกไมม๎ าใช๎ในการจัดสิ่งของทุกอยํางมีความเรียบ หยาบ ขรุขระ มันแวววาว แตกตํางกันนั้นคือลักษณะพ้ืนผิวท่ีจะสร๎างความนําสนใจเมื่อนามาใช๎อยํางกลมกลืนหรือขัดแย๎ง เชํน ก๎อนหิน ขอนไม๎ มีลักษณะพนื้ ผวิ ทห่ี ยาบแข็ง แจกนั เคลอื บ แจกันแก๎วมีลักษณะพื้นผิวมันวาว ดอกไม๎แตํละชนิดก็มีลักษณะพ้ืนผิวที่แตกตํางกัน บางชนดิ มกี ลีบและใบไม๎ที่เรียบเนียน บางชนดิ แขง็ และกระดา๎ ง ความหยาบของพ้ืนผิวของเปลือกไม๎ ความแหลมคมของเศษกระจกและหนามกระบองเพชร ขัดแย๎งกบั ความเรยี บเนียนนมุํ นวลของกลีบคารเ๑ นชน่ั และกลาดิโอลสั ความสดใสของดอกไม๎ ขัดแย๎งกับความหมํนทึบของเปลือกไม๎ ผ๎ูจัดวางองค๑ประกอบท้ังหมด ในตะกร๎าถัก ลักษณะขรุขระของตะกร๎า ขัดแย๎งกับความเรียบเนียนของดอกไม๎ วสั ดุอปุ กรณ๑ทกุ อยาํ งเดนํ ชัดขึ้น เพราะความแตกตํางท่ีถูกนามารวมกัน ภาพท่ี 1.11ลกั ษณะพ้ืนผิว (Texture)ทมี่ า : กรี ตี ชนา. (2536).ทฤษฎกี ารจัดดอกไม้แบบสากล ระดับมืออาชีพ. โรงพิมพเ๑ วิร๑ค ออฟ อาร๑ต, 22. 1.4 สี (Colours) สีมีความสาคัญในการจัดดอกไม๎สี สามารถจะโน๎มน๎าวให๎อารมณ๑ ความรู๎สึกของผ๎ูพบเห็นเปล่ียนแปลงได๎ สีทุกสีล๎วนแล๎วแตํสวยงามทั้งส้ิน แตํอยํางไรก็ตามเม่ือนาสีท่ีเหมาะสมกันมารวมไวด๎ ๎วยกนั การจัดดอกไม๎จะได๎ผลท่ีงดงามย่ิงข้ึน ซึ่งสีจะเกิดการสะท๎อนของแสงโดยกระทบกับพ้ืนผิวของวัสดุเข๎าสปํู ระสาทสมั ผสั ของสมองโดยผํานตามอง สีไมํมีตวั ตน ไมํใชสํ สาร สีเกิดขนึ้ ให๎เห็นเมอ่ื สะท๎อนออกจาก หรือสะท๎อนผาํ นสง่ิ อืน่2.2 สัดสํวนในการจดั ดอกไม๎ (Proportion)สัดสํวน (Proportion) คือ ความแตกตาํ งท่ีสร๎างความสัมพันธ๑ท่ีเหมาะสมระหวํางดอกไม๎ที่ใช๎ในการจัดความสัมพันธ๑นี้ อาจจัดได๎จากประมาณของดอกไม๎, ความสั้นยาว ของก๎านหรือจานวนดอกไม๎ที่ใช๎ในการจัดการเตรยี มสาหรบั จัดดอกไม๎ สํวนใหญํจะเร่ิมจากภาชนะที่ใช๎ สัดสํวน ท่ีเหมาะสมของแจกันทรงสูงน้ันตามหลัก 1 เทําครึง่ ถงึ 2 เทาํ คร่ึง ของความสงู ของแจกัน สํวนแจกันทรงนอนใช๎หลักเดียวกันโดยใช๎ความยาวของแจกนั เปน็ เกณฑ๑
20 2 ½ เทา่ ของความสงู ภาชนะ ความสงู ของภาชนะ ภาพที่ 1.18 สัดสวํ นในการจดั ดอกไม๎ ภาพโดย : สุนิสา ปิน่ เจริญ 2.3 ความเปน็ เอกภาพของการจดั ดอกไม๎ (Unity) เอกภาพ (Unity) คือความเป็นหน่ึงโดยสํวนรวมของการออกแบบการจัดความสัมพันธ๑ของสํวนประกอบแตํละชิ้นในการออกแบบควรจะรํวมสร๎าง ภาพรวมเป็นหน่ึงเดียวกัน เชํน อาจใช๎สีเดียวทั้งภาชนะดอกไม๎และสํวนประกอบอ่ืนๆ ทาให๎เกิดภาพเป็นหน่ึงเดียว อยํางไรก็ตามการออกแบบจัดทุกคร้ังไมํจาเป็นจะต๎องมีสํวนประกอบสีเดียวกัน เพื่อสร๎างเอกภาพเสมอไป โดยอาจจะสร๎างเอกภาพขึ้นได๎ โดยการเลือกใช๎การผสมผสานของสีอื่น ๆ ข๎อสาคัญ คือสีเหลําน้ัน ต๎องกลมกลืนและมีผลให๎การจัดวางดูเป็นเอกภาพความเป็นหนึ่งหรือ เอกภาพ อาจจะเป็นการจัดโดยใช๎ดอกไมท๎ ีแ่ ตกตาํ งกนั วัสดุอุปกรณ๑ท่ีแปลก ๆ แตกตําง หากนามาจัดรวมกันจะสร๎างความเปน็ หน่ึงของงานไดเ๎ ชํนกนั ดอกไม๎ ใบไม๎ ในภาพมีรูปลักษณ๑ สี และลักษณะผิวสัมผัสท่ีแตกตําง การจัดวางให๎มองเห็นถึงความเป็นหนึ่ง โดยการจัดเป็นกลุํม มีชํองวํางระหวํางกลุํม ทาให๎มองเห็นความแตกตํางของดอกไม๎ แตํละชนดิ แตลํ ะกลมํุ ได๎อยํางชัดเจน
21 ภาพท่ี 1.19 ความเปน็ เอกภาพของการจัดดอกไม๎ ภาพโดย : สนุ สิ า ปนิ่ เจรญิ 2.4 มาตราสํวนของการจัดดอกไม๎ (Scale) มาตราสํวนของการจัดดอกไม๎ มักจะถูกนามาใช๎พร๎อมกับคาวํา Proportion แตํคาวํามาตราสํวนของการจดั ดกไมห๎ รอื สเกล มกั จะใช๎จาเพาะเจาะจงกบั ขนาดของการจัดดอกไม๎ กับการต้ังวาง การจัดดอกไม๎อยํางเหมาะสม โดยใช๎สดั สวํ นท่ถี กู ต๎อง เชํน แจกนั เดย่ี วสาหรับใสํดอกไม๎ดอกเดียว จะดูผิดสเกลบนโต๏ะอาหารยาว 25ฟตุ แตํหากจัดดอกไมท๎ รงแนวนอนหลาย ๆ ชิ้นวางบนโต๏ะยาว 25 ฟุต จะทาใหด๎ มู ีสัดสํวนท่ีดีกวํา การใช๎แจกันขนาดเล็กกับดอกไม๎ขนาดใหญํซ่ึงทาให๎ไมํได๎สํวน ดังน้ันเร่ืองของสเกล จึงหมายถึง ขนาดของส่ิงที่เกี่ยวข๎องกันวําไดส๎ ํวนเหมาะสมกันหรือไมํ 2.5 ความสมดุลของการจดั ดอกไม๎ (Balance) ความสมดุลของน้าหนักเกิดขึ้นเมื่อการจัดวางสํวนประกอบตําง ๆ สร๎างความร๎ูสึกที่สมดุลทางสรีระภาพและทศั นียภาพ 2.5.1 ความม่ันคงทางสรีระภาพ (Physical Stability) หมายถึงการจัดวางปักดอกไม๎และใบไม๎เพือ่ ความสมดลุ หากการจัดดอกไม๎ พลิกคว่าหรือตะแคงเอียง หรือหงาย ล๎มลงเพราะการจัดปักไมํดีน้ันเป็นผลของการขาดความม่ันคงทางสรีระภาพ 2.5.2 ความม่ันคงทางทัศนียภาพ (Visual Stability) เกิดขึ้นจากการใช๎สีและสัดสํวนของดอกไม๎ตัวอยําง เชํน ดอกไม๎ท่ีมีสีเข๎มจะมองดูมีน้าหนักมากกวําสีอํอน และมักใช๎ปักที่ฐานของดีไซน๑ ดอกไม๎สีอํอนซ่ึงดูเบากวาํ จะใช๎ท่ดี ๎านบนของดีไซน๑ ดอกไม๎สีอํอนซ่ึงดูเบากวําจะใช๎ที่ด๎านบนของดีไซน๑ดอกตูม จะดูเบากวําดอกบานเพราะมีสดั สํวนท่ใี หญํกวาํ จึงใชด๎ อกตูมทางดา๎ นบนและดอกบานด๎านลําง ซงึ่ แบํงออกเปน็ 3 แบบคือ 1) สมดุลแบบสองข๎างเทํากัน (Symmetrical Balance) คือการจัดท่ีมองเห็นวําท้ังสองด๎านของการจัดนั้นมีน้าหนักเทํากัน โดยมีแนวสูงสุดอยํูตรงกลาง การจัดแบบน้ีไมํจาเป็นต๎องใช๎ดอกไม๎เทํากันทั้งสองด๎าน แตํมองด๎วยสายตากร็ วู๎ าํ ท้ังสองด๎านมนี า้ หนักเทํากนั ในขอบเขตของรูปสามเหล่ียมด๎านเทํา
22 ภาพที่ 1.20 สมดลุ แบบสองข๎างเทํากนั (Symmetrical Balance) ภาพโดย : สนุ ิสา ปน่ิ เจริญ 2) สมดุลแบบสองข๎างไมํเทํากัน (Asymmetrical Balance) การจัดแบบนี้เห็นได๎เม่ือน้าหนักของดอกไม๎ หรือวัสดุอื่นๆ ท่ีจัดวางสองด๎านไมํเทํากันจากแนวที่สูงสุด จะเห็นได๎วําทางด๎านซ๎ายมีน้าหนักกวําด๎านขวามือ แตํแก๎โดยใช๎ใบไมย๎ าวปักด๎านขวามือจะชวํ ยเพิม่ น้าหนักให๎สมดุล ภาพที่ 1.21 สมดลุ แบบสองข๎างไมํเทํากนั (Asymmetrical Balance) ภาพโดย : สุนสิ า ปิน่ เจรญิ 3) แบบเปิดกรอบ (Open Balance) คือ ลักษณะของการจัดที่ไมํสามารถจาแนกได๎วําเป็นแบบทีส่ องด๎านเทํากันหรอื สองด๎านไมเํ ทาํ กนั การดีไซนแ๑ บบใหมํ ๆ นับวําเป็นการจัดแบบ เปดิ กรอบ ปญั หาในการจดั ดอกไมท๎ ี่มักจะเกิดข้ึนเก่ียวกับความสมดลุ มีดงั น้ี 1. จัดดอกไม๎ท่ีร๎ูสึกวําหน๎าด๎านบน เพราะการตัดก๎านดอกไม๎ยาวเทํา ๆ กัน แล๎วปักดอกไม๎ยาว ส้ัน และปักลดหลั่นกนั ลงมาให๎เกิดความสมดลุ ชนิดเทาํ กันหรือไมํเทํากันท้ังสองข๎างก็ได๎ ภาพที่ 1.22 ลักษณะของความสมดุลในการจัดดอกไม๎ทผ่ี ิดและถูกตอ๎ ง ภาพโดย : สนุ ิสา ป่นิ เจรญิ
23 2. จดั ดอกไม๎รส๎ู ึกวาํ หนกั ข๎างใดขา๎ งหนงึ่ วธิ แี กไ๎ ข โดยการใช๎ดอกไม๎ก๎านยาว ปักดอกไม๎ชูสูงด๎านหน่งึ อกี ดา๎ นปักใบหรือดอกใหต๎ า่ เพ่ือถวํ งน้าหนักจะเกดิ ความสมดลุ 3. จัดดอกไม๎ท่ีร๎ูสึกวําหนักด๎านลําง เป็นเพราะตัดก๎านดอกไม๎ส้ันเกินไป และแซมใบหรือดอกเอนตา่ วิธีแก๎ไขน้ัน ควรใชด๎ อกไม๎ก๎านยาว การปกั ให๎ชสู ูงขน้ึ 2.6 ความกลมกลนื ของการจัดดอกไม๎ (Harmony) ความกลมกลืนมีความสาคัญเพราะสร๎างความสบายตา อันเกิดจากการตั้งใจเลือกสํวนประกอบตํางๆเพ่ือสร๎างองค๑ประกอบของดีไซน๑ ซ่ึงการผสานกันของความกลมกลืนน้ัน เกิดขึ้นได๎สองแบบคือ จากดอกไม๎ที่คล๎ายคลึงกันและจากดอกไม๎ท่ีมีลักษณะไมํคล๎ายคลึงกันเลยการผสาน ท่ีสร๎างความกลมกลืนได๎เดํนชัดที่สุดคือการใหส๎ ี นอกจากน้ัน คอื การเลือกใช๎รูปทรง ลกั ษณะพน้ื ผิว หรอื ขนาดของดอกไม๎ การจดั ดอกไม๎ให๎มีความกลมกลนื ควรคานึงถึงสิง่ ตํอไปนี้ 1. การเลือกสไตล๑ (Style) ในการจัดดอกไม๎ ผ๎ูจัดต๎องพิจารณาสไตล๑ตําง ๆ ในการจัดดอกไม๎ให๎เหมาะสมกบั สถานท่ี หรอื สิง่ แวดล๎อมหรอื โอกาสทจ่ี ะจัด 1.1 การจดั ดอกไมแ๎ บบเกํา 1.2 การจัดดอกไมแ๎ บบเปน็ พิธีการ 1.3 การจัดดอกไม๎แบบตะวันออก 1.4 การจดั ดอกไมแ๎ บบใหมํ 2. ความสัมพันธ๑ระหวํางสไตล๑ในการจัดดอกไม๎และความรู๎สึก การจัดดอกไม๎นอกจากพิจารณาถึงความกลมกลืนของสไตล๑ในการจัดแล๎ว ควรพิจารณาถึงดอกไม๎ และจิตใจของผ๎ูจัดและผู๎พบเห็น เชํน การจัดดอกไม๎ในโบสถ๑ดอกไม๎ต๎องมีลักษณะเครํงขรึมและทาให๎จิตใจดีข้ึน สาหรับการจัดดอกไม๎ในห๎องพักผํอน ดอกไม๎ท่ีจัดจะต๎องมีลักษณะรื่นเริงและเป็นสุขและการจัดดอกไม๎ในห๎องสาหรับบุคคลสาคัญ ดอกไม๎ท่ีจัดจะต๎องดูสงําแสดงถึงรสนิยม 3. ความกลมกลนื ระหวํางภาชนะท่ีใชจ๎ ัดดอกไม๎กบั ใบไมแ๎ ละการออกแบบ 3.1 การจัดดอกไม๎ที่เป็นพิธีการ ต๎องเลือกภาชนะท่ีบอกรสนิยมที่ดี เชํน แก๎วเจียระไนเครอ่ื งเงิน เคร่ืองทอง หรอื กระเบือ้ ง ฯลฯ 3.2 การจัดดอกไม๎ลักษณะเรียบงําย เชํน บริเวณสนาม กว๎าง ฯลฯ ภาชนะที่ใช๎จัดควรเปน็ กระเบอื้ งดินเผา หรือภาชนะท่ีทาดว๎ ยหวาย เครอ่ื งไม๎ เปน็ ตน๎ 2.7 จังหวะของการจัดดอกไม๎ (Rhythm) จังหวะ คือการจัดวาง เกิดขึ้นได๎โดยการจัดวางดอกไม๎ ซ้าในเส๎นแนว (Line) รูปทรง (From) สี(Colour) ชํองไฟ (Space) ระหวํางดอก หรือการซ้าของแนวโค๎งในองค๑ประกอบของดีไซน๑ เราจัดดอกไม๎ให๎มีจงั หวะไดด๎ ังน้ี
24 2.7.1 จัดดอกไม๎โดยใช๎วัสดุที่มีความคล๎ายคลึงคล๎อยตามกัน เชํน ก่ิงที่โค๎งมักจัด ในแจกันรูปกลม ทร่ี องแจกนั ควรเป็นรูปกลมหรือรปู ไขํ 2.7.2 จดั ดอกไมใ๎ หม๎ ีความลดหล่ันไลํกนั ในด๎านขนาดและสี ควรจะจัดให๎ดอกตูมอยํูด๎านบน ไลํลงมาเป็นดอกแย๎มและดอกบานอยํูท่ีฐาน ระยะหํางท่ีเทํากันของดอกไม๎แตํละดอกในแจกันก็ทาให๎เกิดจังหวะการจัดดอกไม๎ขนาดและสีอยาํ งเดียวกนั และปกั ดอกไม๎ระยะไมํเทาํ กันจะทาใหข๎ าดจังหวะ จงึ ทาใหไ๎ มนํ ําสนใจ 2.7.3 จัดดอกไม๎อยํางเรียบงําย หมายถึงการจัดดอกไม๎ โดยใช๎ดอกไม๎และใบจานวนน๎อย จะทาให๎ผลงานดเู รียบและมจี งั หวะกวํา การใชด๎ อกไม๎และใบจานวนมาก เพราะดอกและใบไม๎จะเบียดบัง ทาให๎ดูหนาทึบจนมองไมเํ หน็ ความงาม 2.7.4 การจัดดอกไม๎ในลักษณะการกระจายออกจากศูนย๑กลาง จะเห็นได๎จากแบบจัดดอกไม๎รูปพัด(Fan Shape) เปน็ การเน๎นจงั หวะของชํอดอกที่แผกํ ระจายได๎ระดับเทาํ ๆ กัน ภาพท่ี 1.23 การจดั ดอกไม๎แบบรูปพัด (Fan Shape) ภาพโดย : สนุ สิ า ปิ่นเจรญิ สาหรับการจัดให๎เห็นจังหวะการวางดอกคารําลิลล่ีอยํางเดํนชัด เป็นการวางซ้าชํองวํางที่ไมํเทํากันระหวํางดอกและกลํุมดอกสองกลุํม ด๎านบนสองกลุํมกลาง และหน่ึงกลุํมท่ีฐานด๎านลําง เป็นการจัดวางจังหวะดอกตามแนวต้ัง (Vertical Line) วิธีการจัดดอกไม๎โดยการซ้าของดอก ควรจัดให๎สวยงาม โดยเลือกรูปทรงของดอกไม๎ในการจัด เพ่ือให๎เห็นจังหวะการใช๎นั้นควรจะมีมากกวํารูปทรงเดียว เชํน ดอกแหลมกับดอกกลม จะทาใหจ๎ งั หวะของการจัดเปน็ ธรรมชาติ สวยงาม นําดขู ้ึน ภาพที่ 1.24 การจัดวางจงั หวะดอกตามแนวตง้ั (Vertical Line) ภาพโดย : สุนสิ า ป่นิ เจรญิ
25 2.8 การเนน๎ ของการจัดดอกไม๎ (Emphasis) การออกแบบท่ีดีจะต๎องสร๎างจุดเดํนขึ้นในท่ีใดท่ีหนึ่ง ซึ่งไมํวําจะเป็นศิลปะแขนงใดนั้น จะต๎องมีจุดเดํน เพราะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของผ๎ูชม ดังนั้น การจะเน๎นให๎งานนําสนใจ ซึ่งอาจจะเป็นดอกไม๎ ใบไม๎แจกันท่ีรองแจกนั หรอื เครื่องประดบั ตกแตํง จะสร๎างจดุ เดนํ ในการจดั ดอกไม๎ไดด๎ งั น้ี 1. การสรา๎ งจุดเดนํ โดยใชด๎ อกไมท๎ ม่ี ขี นาดใหญํกวําดอกอน่ื จะมองเหน็ จุดเดํนได๎ชัดเจน 2. การสร๎างจุดเดํนโดยใช๎ดอกไม๎ท่ีมีลักษณะเฉพาะที่แตกตํางไปจากดอกอื่น ๆ จะเป็นสิ่งเร๎าความสนใจ และทาให๎การจดั ดอกไม๎มจี ุดเดนํ 3. การสรา๎ งจุดเดนํ โดยนาดอกไม๎สีสดใสเพียงดอกเดียวไปจัดรวมในการจัดแจกัน ด๎วยดอกไม๎สีออํ นจะทาใหเ๎ กิดจุดเดนํ 4. ตาแหนงํ ทีเ่ น๎นใหเ๎ กิดจุดเดํน ควรจะอยํตู รงกลางฐาน ภาพที่ 1.25 ลักษณะการเน๎นของการจดั ดอกไม๎ ภาพโดย : สนุ สิ า ปน่ิ เจรญิ 3. การเลือกใชว้ ัสดแุ ละอุปกรณใ์ นการจดั ดอกไม้ 3.1 วสั ดุท่ใี ชใ๎ นการจัดดอกไม๎ 3.1.1 ดอกไม๎ 1) ดอกไม๎ท่ีมีลักษณะเป็นชํอแนว หรือไลน๑ ฟลาวเวอร๑ (Line Flowers) คือ ดอกไม๎ชํอหนึ่งมีก๎านดอกผลิออกมาหลายดอกเรียงขึ้นไปตามแนวความยาวของก๎านดอก มักจะมีรูปทรงท่ีดูเป็นเส๎นแนวซ่ึงรวมท้ังแนวตรงและแนวโค๎ง เชํน กลาดิโอลัส ซํอนกล่ิน ลิ้นมังกร กล๎วยไม๎เป็นชํอ ไลอาทรีส เดลฟีเนียม อิลิมูรัส เป็นต๎น นิยมใช๎เป็นสวํ นกาหนดรูปทรง เชนํ ความสงู ความกว๎างของการจัดดอกไม๎นนั้ ๆ 2) ดอกไม๎กลีบซ๎อน หรือ แมสฟลาวเวอร๑ (Mass Flowers) คือ ดอกไม๎ชํอเดียว (หนึ่งก๎านมีเพียงดอกเดียวเทําน้ัน) มกี ลบี ดอกมาก ดมู นี า้ หนกั เวลากลีบดอกหลุดหรือเสียหายยังใช๎ได๎ เชํน คาร๑เนช่ัน กุหลาบ เยอบีรําเบญจมาศ และดอกไมก๎ ลีบซอ๎ นสามารถนามาจัดวางเพื่อสร๎างความสมดุล พร๎อมท้ังเมื่อนามาจัดกลุํมเพื่อเป็นการสร๎างรูปทรงท่ใี หญํข้นึ จะใชเ๎ ป็นจุดหยุดสายตา หรือจดุ เดนํ (Focal Point) ของการจดั ดอกไม๎ได๎ 3) ดอกไม๎รูปทรงเดํนชัด หรือ ฟอร๑ม ฟลาวเวอร๑ (Form Flowers) เป็นดอกไม๎ท่ีมีรูปทรงไมํธรรมดามักจะมีกลีบน๎อย เห็นรูปรํางเดํนชัด (ถ๎าเพียงกลีบดอกเสียเพียงกลีบหน่ึง) ดอกจะใช๎ไมํได๎ เชํน ลิลลี่ ไอริส ทิวลิป
26หน๎าววั เบริ ด๑ -ออฟ-พาราไดซ๑ กลว๎ ยไม๎แคทรียา แดฟโฟดิล พุทธรักษา เป็นต๎น สํวนมากเป็นดอกไม๎ท่ีมีลักษณะใหญํมกั จะถกู จดั วางให๎เป็นดอกเดนํ หรอื จดุ หยดุ สายตาของการจัดดอกไม๎ (Arrangement) 4) ดอกไม๎แตํงเติม หรือ ฟิลเลอร๑ ฟลาวเวอร๑ (Filler Flower) คือ ดอกไม๎ท่ีมีลักษณะเป็นดอกเล็ก ๆประปราย มีลักษณะเป็นกลุํมเป็นชํอ เชํน จิบโซฟิลลา สแตติส แคสเปียร๑ สร๎อยทอง แพงพวย แอสเตอร๑เดซี่เป็นดอกไม๎ท่ีแตํงเติมนิยมใช๎สาหรับแตํงเติม เพ่ิมรายละเอียดในการจัดดอกไม๎แตํหากมากเกินไป ก็จะทาให๎ดูรกรุงรงั 3.1.2 ใบไม๎ 1) ใบไม๎ลักษณะยาว (Line Leaf) คือใบไม๎ท่ีมีลักษณะเป็นเส๎นหรืออาจจะมีลักษณะรวมก็ได๎ เชํน ใบเฟิร๑นมะขาม ใบวํานหางจระเข๎ ต๎นกวนอิม ใบยูคาลิปตัส ใบไม๎ลักษณะยาวเหมาะสาหรับการนาไปใช๎ในการวางแนวการจัดรปู ทรงและเปน็ ตวั กาหนดรูปแบบการจัดด๎วย 2) ใบไม๎ลักษณะเป็นกลํุมใบ (Mass Leaf) คือใบไม๎ท่ัวไปท่ีมีลักษณะใบเป็นกระจุกอยูํที่ปลายก๎าน เชํนใบเล็บครุฑ ใบแก๎ว ใบกุหลาบ ใบเลเธอร๑เฟิร๑น (เฟิร๑นหนัง) ฯลฯ ใบไม๎ท่ีเป็นกลํุมใบนิยมใช๎เติมเพื่อเพิ่มน้าหนักและลดชํองวํางระหวาํ งดอกไม๎ มกั ใช๎เป็นจุดเดํนเพอ่ื เนน๎ ใหจ๎ ุดเดํน ดูเดนํ ยิง่ ขน้ึ 3) ใบไม๎รูปทรงเดํนชัด (Form Leaf) คือ ใบไม๎ที่มีลักษณะแตกตํางจากใบไม๎ท่ัวไป มีรูปรํางพิเศษ เชํนใบฟิโลเดนดรอน (Plilodendron) มอนสเตรํา ใบพลูดําง ใบโกศล ใบบอนสี ใบท่ีมีรูปทรงเดํนชัดนิยมใช๎ประกอบการจัดทวั่ ไป เพือ่ ให๎เกิดความงามตาํ ง ๆ และมองดแู ล๎วทาใหส๎ บายตา 4) ใบไม๎ลักษณะใบเล็ก (Filler Leaf) คือใบไม๎ที่มีขนาดเล็ก เชํน ใบโปรํงฟูา ใบปริก ใบแอสพาราก๏าสเป็นต๎น ใบไม๎ลักษณะเล็กมักใช๎แซมเพื่อให๎การจัดนํุมนวลข้ึน เพ่ือความหนาแนํนและปกปิดความไมํเรียบร๎อยตาํ งๆ แตไํ มํควรแซมมากไปจะดูรกจนเกนิ ไป 3.1.3 การเลือกซอื้ วัสดุ ในการเลือกซื้อดอกไม๎และใบไม๎ มีหลักสังเกตเก่ียวกับ ขนาด อายุ เกสร กลีบดอก ใบและก๎านได๎ดงั น้ี 1. ควรเลือกซ้ือดอกไม๎แรกแย๎ม สํวนใหญํผู๎ปลูกจะตัดสํงตลาดในขณะที่เป็นชํอ ดอกตูมหรือแรกแย๎ม ซ่ึงโดยธรรมชาตินั้น ดอกไม๎ทุกชนิดถึงแม๎จะตัดจากต๎นแล๎ว สามารถยังเจริญเติบโตตํอไป เชํนดอกกหุ ลาบ ดอกกลาดโิ อลัส ดอกเบญจมาศ ดอกลลิ ล่ี ดอกทิวลปิ ดอกแอสโตมีเรีย ดอกซอํ นกลนิ่ และดอกคาร๑เนชน่ั 2. ควรเลือกซื้อดอกไม๎ที่เกสรยังเป็นสีเหลืองอํอนซึ่งหมายถึงดอกไม๎ท่ีเพิ่งบานถ๎าเกสรสเี หลืองเข๎ม จะหมายถงึ ดอกไม๎ที่บานนานแล๎ว และใกล๎แห๎งเห่ียว เชํน ดอกเยอบีรา ดอกบัวหลวง ดอกเดซ่ีชนิดตาํ ง ๆ 3. ควรเลือกซ้ือดอกไม๎ท่ีมีใบติดก๎านสีเขียวสดใส ใบแห๎งหรือใบเหลืองเป็นดอกเกําค๎างอยูํในรา๎ นซง่ึ สภาพของใบทไ่ี มํสด ถงึ แม๎จะพรมนา้ ก็ไมํสามารถปดิ บงั ได๎ เชนํ แอสโตรมีเรีย เบญจมาศ 4. ควรเลือกดอกไม๎ที่มีก๎านดอกไม๎มีสีเขียวสดใส แข็งแรง ไมํบอบบาง จนพยุงดอกไม๎ให๎อยํูกับทีไ่ มไํ ด๎ ท้งั ไมมํ รี อยกระดากระดําง เป็นคราบสกปรกติดอยํู โคนกา๎ นไมแํ ห๎งและดาช้า
27 5. หลกั ในการเลือกซ้ือดอกกล๎วยไม๎ 5.1 กลบี ดอกตั้งช้ชี นั ไมงํ อม๎วน มสี สี ดใส 5.2 ดอกในชอํ เรยี งเป็นระเบียบไดจ๎ ังหวะ มดี อกบานแรกแย๎มและตูมได๎สัดสํวนท่ีดีในชอํ เดยี วกัน 5.3 ปลายชอํ และปลายกลบี ไมํหัก ไมแํ หวงํ ด๎วยรอยแมลงกดั 5.4 ผิวกา๎ นดอกมีสีเขยี วสดใส 5.5 อยาํ ซ้อื ดอกไม๎ท่ีมจี ดุ สีน้าตาลที่ไมํใชํสวํ นของกลีบดอกตามธรรมชาติ 6. หลักการเลอื กซ้ือดอกแกลดโิ อลัส 6.1 เลือกก๎านยาว ชํอตัง้ ตรง ปลายใบไมหํ ยกั 6.2 ก๎าน ใบ กลบี เลีย้ งห๎ุมดอก และดอกตมู มีสเี ขยี วสดใส 6.3 ดอกท่โี คนชํอเพ่งิ จะแยม๎ กลีบให๎มองเหน็ สีของดอก 7. หลักการเลอื กซอื้ เยอบรี ํา 7.1 กลีบดอกใหญํ และแข็งแรง กลีบซอ๎ นหนาเปน็ ระเบียบ 7.2 เกสรไมเํ ป็นรา 7.3 ก๎านดอกอวบน้า ตงั้ ตรงและแขง็ แรง ปลายกา๎ นไมเํ นาํ เสยี 7.4 ไมํเป็นโรคและมีรอํ งรอยของแมลงรบกวน 3.1.4 การดูแลรักษาวสั ดุ 1) หลักการรักษาคุณภาพของดอกไม๎สด คือการชะลอการรํวงโรย การรํวงโรยน้ัน นอกจากเกิดข้ึนตามธรรมชาติตามอายุขัยของดอกไมน๎ ้นั ๆ แลว๎ ยงั มีต๎นเหตสุ าคัญคอื 1.1) การขาดน้า ดอกไม๎หรือใบไม๎ไมํได๎แชํน้าทันทีที่ตัดจากต๎น เพราะไมํสะดวกท่ีจะนาภาชนะใสํน้าให๎ถงึ ต๎น 1.2) การคายนา้ เน้ือเยื่อของดอกไม๎อาจขาดน้าอยํางรวดเร็ว เม่ือดอกไม๎คายน้ามาก การคายน้าของดอกไมเ๎ กดิ ควบคํกู ับการหายใจไดต๎ ลอดเวลา 1.3) ก๎านดอกไม๎ไมํสามารถดูดน้าได๎ เม่ือทํอลาเลียงน้าของดอกไม๎อุดตัน ทํอลาเลียงน้าภายในก๎านดอกไมก๎ ็คล๎ายกบั หลอดกาแฟเล็กๆ ที่เรียงตวั กนั อยูํ หากปลํอยทอํ ไมเํ รียบ เชํน ถกู เด็ด หรือทุบ ดอกไม๎นั้นก็จะดูดน้าขน้ึ มาไมํสะดวก ทํอลาเลยี งอาจอุดตัน เมือ่ มีฟองอากาศเข๎าไปภายในทํอ 1.4) ก๏าซเอซิลิน เป็นก๏าซชนิดหน่ึง ซึ่งอาจมาจากการผลิตข้ึนเอง โดยดอกไม๎ที่เกิดบาดแผลจากการตัด เดด็ หรือถูกทาให๎ช้าหรอื เนํา สารนี้เปน็ แกส๏ ชนิดเดยี วกบั ที่เรงํ การสกุ ของผลไม๎ ดังน้ันเมื่อเก็บดอกไม๎ไว๎ใกล๎มะมํวง แอ๏ปเป้ิล หรือกล๎วย ซ่ึงผลิตเอซิลิน ในอัตราสูงมาก เม่ือเร่ิมสุกจะทาให๎ดอกไม๎เหย่ี วเฉาเรว็ นอกจากน้ัน เอซลิ ินยังเกิดขน้ึ ไดจ๎ ากการเผาไหม๎จากไอเสียรถยนต๑ รวมท้ังเคร่ืองยนต๑ตําง ๆ 1.5) แบคทีเรีย น้าสกปรกเป็นอันตรายตํอดอกไม๎ ทาให๎แบคทีเรียเจริญเติบโต มันจะเข๎าไปอยํูในกิ่งก๎านและทาใหก๎ ิ่งดูดซึมนา้ ได๎ยาก
28 1.6) อุณหภูมิ ดอกไม๎เม่ือตัดจากต๎น และถูกทิ้งอยูํในที่ร๎อน มีแสงไฟสํอง ได๎รับความร๎อนจัดโดยตรง อากาศร๎อนอบอ๎าวเกนิ ไป ดอกไม๎และใบไม๎สญู เสยี ความช้ืนไปโดยเร็ว 1.7) ลมพัด บรเิ วณทว่ี างดอกไม๎ มลี มโกรกพดั ผําน จะทาใหด๎ อกไมเ๎ ห่ยี วเฉาเร็ว2) การเตรียมดอกไม๎และใบไม๎ 2.1) การตัดดอกไม๎ ก๎านดอกไม๎ให๎ตัดเฉียง 45° ถ๎าก๎านอํอนให๎ตัดตรง เวลาท่ีเหมาะสาหรับการตัดดอกออกจากตน๎ ถ๎าอากาศรอ๎ นให๎ตดั ดอกไม๎ ใบไม๎ ในตอนใกลค๎ า่ เพราะถา๎ ตอนกลางวันความร๎อนจากแสงแดด จะทาใหก๎ ลีบดอกและใบสญู เสียความช้นื ทาใหด๎ อกเหี่ยวเร็ว แตํถ๎าอากาศมืดครึ้มทั้งวันจะตัดดอกไม๎ในเวลาใดก็ได๎ เหตุผลที่ให๎ตัดดอกไม๎ตอนค่าน้ันก็เพราะตลอดวัน ต๎นไม๎ได๎แสงแดด ปรุงอาหาร ก็เทํากับวําต๎นไม๎สมบูรณ๑เต็มที่ในชํวงเวลากลางวัน เม่ือตัดแล๎วให๎นาก๎านดอกไปแชํน้าไว๎ทั้งคืน ดอกไม๎จะสด เตรียมที่จะใช๎จัดในตอนเชา๎ วนั รํงุ ขึน้ 2.2) นาดอกไม๎ ใบไม๎แชํน้าทันทีท่ีตัดดอกไม๎จากต๎น โดยนาถังท่ีบรรจุน้าประมาณคร่ึงถังมาแชํดอกไม๎ใบไม๎ท่ีตัดออกมาจากตน๎ เพ่อื ใหก๎ า๎ นดอกมีนา้ หลํอเลี้ยงตลอดเวลา เพราะถ๎าหากไมํได๎แชํก๎านทันที น้าที่หลํอเลย้ี งไมสํ ามารถเข๎าไปในก๎านเพ่ือหลํอเลี้ยงกลีบดอกไม๎ได๎ ถ๎าปฏิบัติตามหลักข๎อนี้ ดอกไม๎ ใบไม๎ที่จะนาไปจัดจะสดและอยูํไดน๎ าน 2.3) กํอนจัดดอกไม๎ ให๎ตัดก๎านในน้าทุกครั้ง และตัดให๎สูงขึ้นจากรอยเดิมครั้งละประมาณ 2 น้ิว(หมายความวาํ ไมํให๎ตดั ตรงขนาดทต่ี ๎องการครั้งเดียวแตํจะตดั หลายๆ ครั้งจนถึงจุดทกี่ ะไว)๎ 2.4) นาก๎านดอกไมแ๎ ชํในนา้ อนํุ จดั ประมาณ 2 ชั่วโมง จะทาให๎ดอกไมส๎ ดชืน่ ขนึ้ 2.5) ดอกไม๎ ใบไม๎ พืชทุกชนิด ควรตัดแตํงให๎ดูเรียบร๎อย สวยงาม สาหรับใบที่ขาดแหวํง ก๎านดอกที่เห่ียวแหง๎ ควรตัดทิ้ง และใบทม่ี ีขนาดใหญเํ กินไปควรตัดตกแตํงให๎เล็กลง สาหรับใบท่ีดกเกินไปในชํอควรตัดออกบ๎างเพอ่ื ให๎โปรํงและมีชํองวาํ ง 2.6) ใบไม๎ ต๎องล๎างทาความสะอาดด๎วยการจํุมใบ และก๎านในอํางน้าอํุน แกวํง เบา ๆ ให๎ฝุนละอองหรือสิ่งสกปรกหลุดออกไป3) การดูแลรกั ษาดอกไม๎กอํ นจดั 3.1) เตรียมภาชนะ, น้า สาหรบั แชํดอกไม๎ให๎สะอาด 3.2) การดูแลรักษาดอกไม๎ท่ีเร่ิมเห่ียว โดยตัดก๎านใต๎น้าอํุน อุณหภูมิ 60° แล๎วหํอกระดาษหนงั สอื พิมพแ๑ ชํนา้ เยน็ ให๎ทวํ มก๎านสูง เก็บไว๎ในทม่ี ืดและเยน็ หลาย ๆ ชว่ั โมง หรอื ตลอดทัง้ คืน 3.3) ดอกไม๎ที่มียาง เชํน ยี่โถ คริสต๑มาส ล่ันทม ฯลฯ เป็นดอกไม๎ท่ีเมื่อตัดก่ิงแล๎วจะมียางสีขาวไหลออกมาตามรอยท่ีตัด ควรพยายามบีบให๎ยางออกจากกิ่งให๎มากที่สุดเทําท่ีจะมากได๎ แล๎วใช๎ไฟลนเล็กน๎อย ที่ปลายกง่ิ ตรงรอยทตี่ ดั หรือจุมํ ลงนา้ ร๎อนเทาํ น้ันเพ่ือปอู งกนั ไมใํ ห๎ความร๎อนกระทบสํวนอน่ื ๆ ของดอกไม๎ 3.4) ดอกไมก๎ า๎ นกลวง ให๎ใช๎สาลีใสใํ นกา๎ น แล๎วแชํกา๎ นในนา้ ลึกในภาชนะปากแคบทง้ิ ไวท๎ ั้งคืน 3.5) ด อ ก ไ ม๎ ป ร ะ เ ภ ท มี หั ว ใ ต๎ ดิ น เ ชํ น วํ า น ส่ี ทิ ศ ด อ ก วํ า น เ ศ ร ษ ฐี ทิ ว ลิ ปแดฟโพดิว ไฮยาซิน ไอริส ฯลฯ ดอกไม๎ประเภทน้ีจะต๎องตัดตรงสํวนก๎านที่เป็นสีขาวท่ีอยูํเหนือแนวพื้นดินเพราะไมํเชํนน้ันดอกไม๎เหลํานี้จะดูดน้าไมํได๎ ยางใสๆ ที่ไหลจากก๎านออกจะต๎องให๎ไหลออกให๎หมดในทันที
29เพราะยางใสๆ นน้ั จะปิดทางเดินของน้าที่จะถูกดูดซึมไปเลี้ยงดอกไม๎ เมื่อเราแชํดอกไม๎ประเภทนี้ไว๎ในน้า ก๎านดอกไม๎มกั จะโค๎งทาให๎จัดยาก และเมอื่ ใบโค๎งลงถึงน้าจะม๎วนงอได๎เร็วขึ้น และถ๎าต๎องการให๎ก๎านดอกตรง ควรใช๎กระดาษหนังสือพิมพ๑เปียกๆ หํอม๎วนหลายๆ ชั้นตั้งแตํปลายดอกจนมาถึงก๎านดอก หรือไมํก็ใช๎ลวดเสียบเป็นแกนก๎านดอก ตรงปลายกา๎ นดอกใช๎เชอื กพันปลายกา๎ น ไมํควรพันแนํน แลว๎ นาไปแชํนา้ ไว๎ 3.6) ดอกไม๎ก๎านแข็ง ได๎แกํ ก๎านดอกไม๎ประเภทมีแกนห๎ุมไส๎ของก๎าน เชํน คาร๑เนช่ัน กุหลาบกล๎วยไม๎ประเภทหวาย หงอนไกํ ฯลฯ ก๎านดอกไม๎เหลํานี้ต๎องการเน้ือท่ี ท่ีจะดูดน้าไปเลี้ยงดอกให๎มากท่ีสุดดงั นัน้ จึงควรผํากา๎ นให๎สูงประมาณ 1-2 นว้ิ ถา๎ ก๎านโตมากก็อาจผาํ ส่แี ลว๎ นาไปแชํน้า 3.7) ดอกไม๎ก๎านไม๎เน้ือแข็ง ได๎แกํ เบญจมาศ ตะแบก พุซซ่ีวิลโล ก๎านเชอรี่ ก๎านประเภทท่ีมีแกํนไม๎แข็งอยถํู ัดเปลือกเขา๎ ไป ยากแกํการดูดน้าได๎มากจึงต๎องมีวิธีชํวยเพิ่ม บริเวณที่จะสัมผัสน้าให๎มาก ด๎วยการปอกเปลือกที่โคนก๎านประมาณ 2 นิ้ว ใช๎มีดผําหรือใช๎ฆ๎อนทุบให๎ก่ิงแตก แล๎วแชํน้าให๎ทํวมรอยที่ปอกไว๎ กํอนแชํน้าควรตัดปลายก่งิ สวํ นทท่ี ุบออกเล็กน๎อย 3.8) ดอกไม๎ก๎านอํอนได๎แกํ ซํอนกลิ่น พุทธรักษา ขิงแดง แกลดิโอลัส เป็นก๎านดอกประเภทอวบน้าไมํต๎องดแู ลเป็นพเิ ศษ เพียงแตตํ ดั ก๎านในน้าแล๎วแชํในน้า เวลาจดั แจกนั ก็ใสนํ ้าในแจกนั เล็กน๎อย 3.9) ดอกไม๎ขนาดใหญํท่ีมีก๎านเล็ก อํอนและกลวง เชํน ดอกบานชื่น รักเรํ เยอบีรํา ดาวเรือง เพื่อปูองกนั ไมํใหค๎ อดอกพบั อํอน ควรดามด๎วยไม๎เลก็ ๆ และลวด 3.10) รักษาความสะอาดของดอกไม๎ในแจกัน ด๎วยการใช๎กระบอกฉีดยา ฉีดน้า ไปที่ข้ัวดอกในตอนเช๎ากับกํอนนอนตอนกลางคนื และทุกครั้งทเี่ ปลยี่ นนา้ ในแจกัน 3.11) ไมํควรต้ังดอกไม๎ไว๎ใกล๎พัดลม เพราะกระแสลมจะพัดพาเอาความชํุมชื้นออกจากกลีบดอกไม๎จะทาให๎ดอกไม๎เห่ยี วเรว็ ข้นึ 3.12) เพื่อปูองกันมิให๎กลีบดอกช้ันนอกของดอกไม๎บางชนิด เชํน ดอกเบญจมาศรํวงเร็วเกินสมควร ใหใ๎ ช๎นา้ ตาเทยี นหยดรอบๆ ขัว้ ดอกดา๎ นลาํ ง 3.13) ตดั ใบไม๎ ทอ่ี ยํูใต๎ระดับน้าในภาชนะ ออกเพื่อปูองกันแบคทีเรียแล๎วเติมสารปูองกันน้าเสีย เชํนนา้ ยาล๎างจาน 3.14) เลม็ ดอกอํอนท่ีอยูํปลายชํอออกเสยี บา๎ ง เพือ่ ปอู งกันการเห่ยี วเฉา 3.15) ในห๎องท่ีอากาศอบอ๎าว จะทาให๎ดอกกุหลาบและดอกทิวลิปบานเร็วกวํา ที่ต๎องการควรชะลอให๎บานช๎าด๎วยการใช๎เทปสาหรับดอกไม๎พันรอบดอก หรือกระดาษทิชชํูหํอ หรือถุงพลาสติกให๎พอดีกับขนาดของดอก สวมไว๎ทกุ ดอกและถอดออกเม่ือตอ๎ งการใช๎งาน 3.16) ควรเช็ดใบไม๎ขนาดใหญํด๎วยผ๎าชุบน้ายาสาหรับเช็ดใบไม๎ ใช๎ผ๎าหมาดเช็ด จะทาให๎ใบไม๎สดใสเป็นมนั ดูมชี ีวิตชวี า 3.17) ใช๎น้าร๎อนหรือน้าต๎มเดือด ในการแชํก๎านดอกไม๎ เพื่อฆําเชื้อโรคหรือแบคทีเรีย เซลล๑ที่ปลายกา๎ นดอกไมท๎ ี่ตายแลว๎ ท่ีไมํสามารถจะนาน้าและสารอาหารไปหลํอเล้ียงดอกไม๎และไมํฟ้ืนข้ึนมาอีก แตํจะปิดทํอทางเดินน้า ดังน้ันแมจ๎ ะจมุํ น้าร๎อนก็จะตอ๎ งนาขึ้นมาตัดกา๎ นในนา้ เยน็ อีกคร้งั
30 3.18) การเก็บรักษาดอกไม๎ในอุณหภูมิต่า จะชํวยชะลอการทางานของแบคทีเรีย จะชํวยทาให๎ดอกไม๎มีสภาพสดอยํนู านกวําปกติ โดยทั่วไปดอกไม๎จะสดอยูํไดน๎ านกวําธรรมดา ในอุณหภูมิระหวําง 40-50 องศาฟาเรนไฮถ๎าเป็นดอกไม๎กลีบบางควรใช๎อุณหภูมิระหวําง 40-50 องศาฟาเรนไฮ ดอกไม๎ล๎มลุก เชํน ดอกผีเส้ือ ดอกลิ้นมังกรดอกหงอนไกํ ฯลฯ ควรเก็บในอุณหภูมิ 50 องศาฟาเรนไฮ สํวนพวกกล๎วยไม๎ท่ัวๆ ไปน้ัน ควรใช๎อุณหภูมิประมาณ46-47 อาศาฟาเรนไฮ ในขณะท่ีเก็บดอกไม๎ในต๎ูเย็น หรือห๎องเย็น ควรให๎ก๎านดอกไม๎แชํอยํูในน้า สาหรับในเมืองร๎อน การเก็บดอกไม๎ในอุณหภูมิต่า จะมีผลเสียหายอยํูอยํางหนึ่ง คือ การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิ ขณะเอาดอกไม๎ออกจากต๎ูเยน็ หรอื ห๎องเยน็ มากระทบอณุ หภมู ิท่ีสูงกวาํ อยํางกะทันหัน ภายนอกต๎ูเย็น อาจทาให๎ดอกไม๎เหี่ยวเฉาได๎ ดงั น้ัน ควรหอํ ด๎วยกระดาษหรือพลาสติกให๎มดิ ชิด อยาํ ให๎ดอกกระทบกระเทือนอุณหภมู สิ ูงเร็วเกินไป 3.2 อุปกรณท๑ ่ีใชใ๎ นการจดั ดอกไม๎ 3.2.1 ทย่ี ึดดอกไม๎ ท่ี ยึ ด ด อ ก ไ ม๎ เ ป็ น อุ ป ก ร ณ๑ ก า ร จั ด ด อ ก ไ ม๎ ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ ที่ สุ ด ใ น ก า ร จั ด ด อ ก ไ ม๎ผู๎จัดดอกไม๎จะต๎องเข๎าใจการเลือกใช๎ท่ียึดดอกไม๎ท่ีจะใช๎ในการจัด รู๎จักวิธีท่ีจะใช๎ท่ียึดเป็นอยํางดี หรือทาท่ียึดดอกไมใ๎ ช๎ดว๎ ยตัวเองด๎วยวิธีงาํ ยๆ1) ความสาคญั ของทย่ี ดึ ดอกไม๎ 1.1) สามารถบงั คับดอกไมใ๎ ห๎อยํูในท่ที ่ผี ๎ูจัดต๎องการ 1.2) เวลาเคล่ือนยา๎ ยดอกไม๎ทีจ่ ดั แลว๎ ดอกไมจ๎ ะไมํเคลอื่ นท่ี รูปทรงจะคงเดิมท่จี ัดไว๎ 1.3) ชํวยให๎การปักดอกไมส๎ ะดวกและรวดเร็ว 1.4) ท่ียึดดอกไม๎ทาให๎ภาชนะท่ีจัดมีน้าหนักมากข้ึนและสามารถรับน้าหนักดอกไม๎ไว๎ได๎ ในกรณีท่ีภาชนะเบา2) ประเภทของทย่ี ึดดอกไม๎ 2.1) ตะปแู ผง (Pin Holders) ลักษณะรูปรํางของตะปูแผง มีลักษณะเป็นตะก่ัวยึดตะปูทองเหลืองที่วางชิดกัน หันปลายแหลมข้ึนข๎างบนมีหลายขนาดหลายรูปรําง เชํน กลม สี่เหล่ียมผืนผ๎า สี่เหล่ียมจัตุรัส คร่ึงวงกลม ตะปูแผงจาเป็นสาหรับภาชนะก๎นตืน้ และปากกวา๎ ง เหมาะสาหรบั จัดดอกไม๎แบบตะวนั ออก ทใ่ี ชด๎ อกไม๎ ใบไมจ๎ านวนน๎อย 2.2) ที่ยดึ แบบตาขํายกรงไกํ (Chicken ware) ลักษณะรูปรํางของตาขํายกรงไกํ มีลักษณะเป็นตาขํายเป็นชํองหกเหล่ียมมีหลายขนาด ให๎เลือกใช๎งานทั้งขนาดตาเล็กประมาณ ½ น้ิว ไปจนถึงขนาดใหญํประมาณ 2 นิ้ว มีท้ังตาขํายท่ีเป็นลวดและพลาสติก ใช๎จดั ดอกไมง๎ ํายกวาํ ที่ยึดดอกไม๎แบบตะปูแผง 2.3) ฟลอรลั โฟม (Floral Foam) ลักษณะรูปรํางของฟลอรัลโฟม เป็นฟองน้าวิทยาศาสตร๑ มีช่ือทางการค๎าวํา โอเอซีส (Oasis) หากใช๎สาหรับจัดดอกไม๎สด แตํถ๎าเป็นชนิดท่ีจัดดอกไม๎แห๎งหรือดอกไม๎ประดิษฐ๑ เรียกวํา ดรายโฟม (Dry Foam) หรือซาฮารํา ฟลอรัลโฟมมีลักษณะเป็นก๎อนมีรูพรุนเล็กๆ คล๎ายฟองน้า ขณะแห๎ง บิดดูจะเป็นผุยผง มีสีเขียว ขนาดและรปู รํางมหี ลายแบบ เชํน ก๎อนสเ่ี หลย่ี ม รปู ทรงกลม รูปกรวยแหลม รูปวงกลม ฯลฯ
31 2.4) ผกั ตบชวา ลักษณะของผักตบชวา เป็นวัชพืชน้า มีอยูํมากมายทั่วไปในท๎องถ่ินท่ีมีแหลํงน้า ลาต๎นนามาใช๎ทาท่ียึดได๎ เพราะนิม่ อุ๎มน้าไดด๎ ี3.2.2 ภาชนะสาหรับจัดดอกไม๎ 1) ความหมายของภาชนะท่ใี ชจ๎ ดั ดอกไม๎ ภาชนะ หมายถึง ท่ีรองรับปลายก๎านดอกไม๎ใสํน้าได๎ เชํน แจกัน แก๎วมีก๎าน ขวด กระป๋อง ตะกร๎า เชิงเทียน จานผลไม๎ โถ อําง เครื่องชามถว๎ ย เปน็ ต๎น2) ประเภทของภาชนะจัดดอกไม๎ 2.1) เครื่องโลหะ เคร่ืองใช๎ในบ๎านท่ีทาด๎วยโลหะ มีมากมายหลายชนิด ทั้งโลหะมีคําและโลหะราคาต่าเชํน เครื่องทอง เครื่องเงิน เครื่องทองแดง นาค เครื่องถม ทองสัมฤทธิ์ เหล็กไร๎รสนิยม อะลูมิเนียม โลหะตํางๆนอกจากทาเครื่องใช๎ในบ๎านยังสามารถนามาใช๎เป็นภาชนะจัดดอกไม๎ได๎ เชํน เชิงเทียน กระถางธูป หม๎อน้ามนต๑เหยอื ก โถ กาน้า กระปอ๋ ง พาน ขันโตก ฯลฯ 2.2) เครอื่ งป้ันดนิ เผา 2.3) เคร่ืองแก๎ว เครื่องแก๎วมีหลากหลายชนิด อาจเป็นแก๎วทนไฟและไมํทนความร๎อน รูปตํางๆ ท้ังโปรงแสงและทบึ แสง เครอ่ื งแก๎วเจียระไน มีลวดลายสวยงามจะมีประกายจับแสงไฟในยามค่าคืน ให๎บรรยากาศหรูหราเชํน ชามแก๎ว แกว๎ มีก๎าน 2.4) เครือ่ งจักสาน 2.5) ผักและผลไม๎ การเลือกใช๎ผักและผลไม๎เป็นที่ปักดอกไม๎ ควรดูขนาดและรูปทรงให๎เหมาะสม ผักที่ใชไ๎ ด๎ดไี ด๎แกํ นา้ เต๎า ฝักเขยี ว ฝกั ทอง มะละกอ ฯลฯ ผลไม๎ ได๎แกํ แตงโม มะพรา๎ ว เปน็ ต๎น 2.6) พลาสติก ภาชนะพลาสติกมีมากมาย เป็นที่นิยมใช๎เพราะเป็นภาชนะท่ีมีราคาถูก ถ๎านาภาชนะพลาสติกมาทาเป็นที่จัดดอกไม๎ ผู๎จัดต๎องพิจารณารูปแบบและสีสัน หรือ ภาชนะพลาสติกที่ออกแบบมาเพื่อจัดดอกไมโ๎ ดยเฉพาะ ภาชนะพวกนจี้ ะมีนา้ หนักเบา มีท่ียดึ ฟลอรลั โฟมให๎อยกํู ับท่ดี ว๎ ย3) หลักการเลอื กใช๎ภาชนะสาหรบั จัดดอกไม๎ 3.1) ภาชนะที่ใช๎จดั ดอกไมต๎ อ๎ งมขี นาดทเ่ี หมาะสมท่ีสดุ กับการจัดดอกไม๎ 3.2) ภาชนะท่ใี ช๎จดั ดอกไม๎จะต๎องมสี ัดสวํ นทมี่ ั่นคง ไมํลม๎ งาํ ย แข็งแรงทนทาน มีฐานรองรบั ท่ีมั่นคง 3.3) รปู ทรงของภาชนะทใี่ ช๎จดั ดอกไมม๎ ีรูปทรง4) การเลือกใช๎ภาชนะให๎เหมาะสมกับส่ิงแวดล๎อม ภาชนะท่ีใช๎จัดดอกไม๎จะต๎องมีความกลมกลืนกับส่ิงแวดลอ๎ ม 4.1) ภาชนะท่ีใชจ๎ ัดดอกไม๎ในบรรยากาศที่เปน็ พธิ กี าร ไดแ๎ กํ ภาชนะทองเหลือง 4.2) ภาชนะทใ่ี ชจ๎ ัดดอกไมใ๎ นลักษณะบรรยากาศลาลองแสดงความยินดี ได๎แกํ ภาชนะเซรามคิ 4.3) ภาชนะที่ใช๎จัดดอกไม๎ในลักษณะบรรยากาศธรรมชาติชนบท ได๎แกํ ภาชนะประเภทไม๎ไผํหวายเปน็ ตน๎ 4.4) ภาชนะทใี่ ชจ๎ ัดดอกไม๎ ในบรรยากาศท่ีหรูหรา สดใส ไดแ๎ กํ ภาชนะเครอื่ งแกว๎ เจียระไน เป็นตน๎
325) การเลือกสีของภาชนะที่ใช๎จัดดอกไม๎ สีของภาชนะท่ีนามาใช๎จัดดอกไม๎ ต๎องเป็นสีท่ีให๎ความรู๎สึกกลมกลืน กับดอกไม๎ ภาชนะสีดา สขี าว หรือสีเขยี ว สามารถหาดอกไม๎จดั ไดง๎ าํ ย 5.1) สีดา เป็นสีที่ไมํดึงดูดความสนใจ เพราะฉะน้ันจะไมํลดความสวยงามของดอกไม๎ ที่นามาจัดสีขาวเป็นสีท่ผี สมกับสีอนื่ ๆ ไดท๎ ุกสี สามารถจดั กบั ภาชนะสีขาวได๎ 5.2) สีเทา เป็นสีผสมระหวํางสีขาวกับสีดา ซ่ึงเป็นสีกลางๆ และเป็นสีไมํดึงดูดความสนใจจึงไมํทาให๎ความสวยงามของดอกไม๎ลดลง 5.3) สีเขียว เป็นสีกลางๆ ดอกไม๎ทุกสีสามารถนามาจัดในภาชนะได๎อยํางดี เพราะก่ิงก๎านดอกไม๎เกือบทกุ ชนดิ จะเปน็ สเี ขียว แจกนั สเี ขยี ว หมํน เชํน สีเขียวท่ีมีสแี ดงผสมจะชํวยลดโทนของสีลง ถ๎าผ๎ูจัดเลือกสีของภาชนะกับสีดอกไม๎ตรงข๎ามกันตามวงจรสี เชํน ดอกไม๎สีส๎มกับภาชนะสีน้าเงิน หรือจัดดอกไม๎สีแดง ลงในภาชนะสีเขียวแท๎ๆ (Pure) ลักษณะภาชนะกับดอกไม๎ที่ใช๎จัดจะมองดูทั้งสองแยกกัน ถ๎าต๎องการให๎ดอกไม๎ท่ีจัดมองดูใหญํข้ึน ควรใช๎ภาชนะสีเดียวกับดอกไม๎ สรุปวําการเลือกใช๎สีภาชนะในการจดั ดอกไม๎ ควรเลือกสีกลางๆ สหี มนํ ดีกวาํ ภาชนะสีสดใส6) การเลือกพ้นื ผิวของภาชนะทีใ่ ชจ๎ ดั ดอกไม๎ พน้ื ผวิ (Texture) ของภาชนะที่ใช๎จัดดอกไม๎ มีลักษณะตํางๆ กัน มีลักษณะตัดกัน หรือมีลักษณะท่ีทาให๎เกิดความรู๎สึกรํวมกัน เชํน ถ๎าจัดดอกไม๎ที่มีรูปลักษณะ กลีบเรียบใบไม๎พื้นผิวเรียบๆ ภาชนะท่ีใช๎มีพื้นผิวเรียบเกลย้ี ง จะทาให๎ดอกไม๎มลี กั ษณะกลมกลนื กับภาชนะมองดูใหญํขึ้น ถ๎าเลือกใช๎ภาชนะท่ีมีพ้ืนผิวแตกตํางกับดอกไม๎ใบไม๎ กจ็ ะทาใหด๎ อกไมท๎ ี่จัดดูนําสนใจและทาให๎ความรู๎สึกกลมกลืมได๎ เชนํ เดียวกนั ข้ึนอยูกํ บั วิธกี ารจัด7) การเลอื กลักษณะรูปแบบของภาชนะจัดดอกไม๎ 7.1) เลือกภาชนะท่ีใช๎ไดห๎ ลายโอกาส อาจใช๎เปน็ ครงั้ คราวหรือประจา 7.2) เลอื กภาชนะทีป่ ากกวา๎ งพอทจี่ ะจัดดอกไม๎ได๎ในจานวนมาก 7.3) เลือกภาชนะท่ีดูแลรกั ษาทาความสะอาดงําย 7.4) เลอื กภาชนะท่ใี สนํ ้า ได๎มากพอทีจ่ ะเล้ียงดอกไม๎ได๎ 7.5) เลือกภาชนะทแ่ี บบเรียบ เกล้ยี ง ไมํมีลวดลายมากมาย สบั สน เลอะเทอะ 3.3 เคร่อื งมือที่ใชใ๎ นการจดั ดอกไม๎ 3.3.1 เคร่อื งมอื ตดั กา๎ นดอกไม๎ 1) กรรไกร 1.1) กรรไกรตัดก่งิ ไม๎ สาหรบั ตดั ก่งิ ไม๎เน้ือแข็งใบมีดหนามีน้าหนักพอดีเหมาะมือและมีความ คม หาซือ้ ไดจ๎ ากรา๎ นขายอปุ กรณ๑เพาะปลกู เป็นอปุ กรณซ๑ ่ึงผ๎ูจดั ดอกไม๎ควรหาไว๎ใชป๎ ระจาตัว 1.2) กรรไกรตัดกา๎ นดอกไม๎ใบไม๎ 1.3) กรรไกรตดั ริบบ้นิ ตดั กระดาษ หรอื ผา๎ 2) มีดตัดก๎านดอกไม๎ มีลักษณะเป็นมีดพับเล็กๆ ซ่ึงมีความคมเป็นพิเศษใช๎สาหรับตัดกิ่งหรือก๎านดอกไม๎รอยตัดจะไมซํ ้าไมํทาให๎เย่ือของก่ิงก๎านเสียไป นอกจากนน้ั ยงั ใชต๎ ัดหัน่ วัสดุตํางๆ เชํน ฟลอรัลโฟม เป็นตน๎
33 3) คมี สาหรับจดั ดอกไม๎ 3.1) คีมปากยาว ใช๎สาหรับอานวยความสะดวกในการใช๎ลวดในชนิดตําง ๆ ใช๎ดัด หรืองอลวด ให๎โคง๎ งอตามต๎องการ หรืออาจใชจ๎ ับกา๎ นดอกไมป๎ ักในจดั ท่มี ือไมํสามารถสอดเข๎าไปได๎ 3.2) คมี ปลดิ หนามและใบ ใชป๎ ลดิ หนามกหุ ลาบได๎สะดวกรวดเร็ว3.3.2 ภาชนะใสนํ ้าแชดํ อกไม๎ พํนนา้ ฯลฯ 1) ถังแชํน้า ควรมีถังหลายๆ ขนาดเพ่ือไว๎แชํตามขนาดส้ันยาวของก๎านดอกไม๎ เชํนถังเตี้ย ถังกลางและถงั ใหญํ ตามลาดบั 2) กานา้ พวยยาว ใช๎สาหรับเติมนา้ ลงในภาชนะจดั ดอกไม๎ เพอ่ื ไมํใหน๎ ้าเลอะเทอะ 3) กระบอกฉีดน้า ใช๎พํนน้าให๎เป็นละอองฝอย ควรให๎ปากกระบอกหํางจากดอกไม๎ ประมาณ 8-10 นิ้วดอกไมจ๎ ะไมํชา้ เพราะการพํนน้า 4) กะละมงั ใสนํ ้า ใสนํ า้ เพ่ือตัดกา๎ นใต๎น้า ควรใช๎ขนาดเล็กจะไมํเปลืองเนื้อท่ี3.3.3 ลวดท่ใี ช๎กบั ดอกไม๎ 1) ไม๎พันลวด (Wire Pick) ใช๎สาหรับพันก๎านดอกไม๎และใบไม๎ท่ีมีผิวเรียบล่ืน ให๎ยึดแนํนกับฟลอรลั โฟม 2) ลวดฟลอยด๑ (Twist-em) เป็นแถบกระดาษโลหะฟลอยด๑ทม่ี ีแกนเปน็ เปน็ ลวด มีสีตําง ๆ 3) ลวดเบอร๑ 18 ถึงเบอร๑ 30 พันก๎านสาเร็จสีเขียว ขาว ขึ้นอยูํกับการใช๎งาน เชํน ลวดใช๎สาหรับทาดอกไมต๎ ดิ เสือ้ ลวดมัดโบว๑ หรือลวดใช๎ดามก๎านดอกไม๎3.3.4 เทป 1) ฟลอรัลเทป ดอกไม๎ท่ีดามด๎วยลวดต๎องใช๎ฟลอรัลเทป พันปิดทับลวด สีฟลอรัลเทปกลมกลืนกับก๎านดอกไม๎ 2) เทปกาวใส (สก๏อตเทป) ใชช๎ ํวยตดิ กระดาษหอํ ชํอบเู ก๎ 3) เทปกาวกันน้า ชํวยยึดฟลอรลั โฟมกับภาชนะ3.3.5 กาว 1) ปนื กาว (Glue gum) เป็นกาวชนดิ แทงํ ใสํในเครื่องละลายโดยใชค๎ วามร๎อน 2) กาวต๐ุน (Hot Melt Glue) กาวกระทะมีคุณสมบัติไมํหลุดเม่ือโดนน้า ใช๎ติดกลีบดอกไม๎สดและยดึ ฟลอรัลโฟมในการจดั ดอกไม๎บนถาดที่มีนา้ ทาใหล๎ ะลายโดยใชภ๎ าชนะตน๐ุ หรอื ตงั้ บนไฟ 3) กาวหลอดสาหรับติดดอกไม๎ (Floral Adhesive) กาวหลอดใชต๎ ิดกลีบดอกไม๎ ใบไม๎3.3.6 หลอดน้าและวสั ดตุ ํอน้า 1) หลอดตอํ น้า (Water Tube) หลอดน้าสาหรบั ปกั กา๎ นดอกไม๎ทีไ่ มํได๎ปักลงในฟลอรลั โฟมโดยตรง 2) ไม๎เหลากลมปลายแหลม ใช๎ไม๎ไผํเหลากลม สาหรับดามก๎านดอกไม๎ ใบไม๎ตํอกับหลอดน้า เพิ่มความยาวของกา๎ นดอกไม๎ 3) ถงุ พลาสตกิ ขนาดตํางๆ ตามความเหมาะสม ในการหํอชํอบเู ก๎ การใช๎สาลีชุบน้าพันปลายก๎าน เพ่ือเลี้ยงนา้ ชํอดอกไม๎ ใชถ๎ ุงพลาสติกสวมกอํ นท่จี ะหํอกระดาษตอํ ไป
34 4) ยางรัด ใชส๎ าหรับรดั ก๎านดอกไมก๎ บั ไม๎3.3.7 พินฟล็อก (Pin Grog) ใชย๎ ึดฟลอรัลโฟม ติดกับฐานภาชนะ โดยใชเ๎ ทปกันน้า3.3.8 เขม็ กลดั ชอํ ดอกไม๎ (Corsage Pin) เขม็ กลดั ดอกไม๎ใช๎กลัดบนเสือ้3.3.9 อาหารเสริม (Flower Food) อาหารเสริมสาหรบั ดอกไม๎ 1) สารเคมปี ูองกันการเนาํ เสียของก๎านใตน๎ า้ นาปลายกา๎ นดอกไม๎มาจมํุ กอํ นนาไปแชํนา้ 2) สารเคมีท่เี ปน็ อาหารของดอกไม๎ ใชผ๎ สมในน้าที่แชํดอกไม๎ 3) สารเคมีท่ีเป็นอาหารของดอกไม๎ ใช๎ผสมในน้าฉีดพํนกลีบดอกไม๎ จะรักษาดอกไม๎ให๎อยูํนานกวําปกติ3.4 เคร่อื งประดับตกแตงํ เครื่องประดับตกแตงํ สาหรับการจัดดอกไม๎ในภาชนะ ชวํ ยเพิ่มความนําสนใจในการจดั ดอกไมใ๎ นบางโอกาสควรหาเคร่อื งประดับตกแตํง ได๎แกํ นกประดิษฐ๑ ใช๎ประกอบการจัดดอกไม๎ในแนวธรรมชาติ มอส(Moss) สาหรับตกแตํงฐานภาชนะและปกปิดฟอลรลั โฟม กิ่งไม๎ ตอไม๎ ผีเสื้อ แมลงประดิษฐ๑ เหด็ ประดษิ ฐ๑ เปลือกหอย ต๏ุกตา สตั วน๑ า้ เชํน ปลา ชํวยเสรมิ บรรยากาศของชีวิตทะเล หิน กรวด จะสร๎างบรรยากาศของพืชน้าตามธรรมชาติ รูปปั้นตํางๆ รูปแกะสลัก หรือรูปบุคคล ในเทพนิยาย ต๏ุกตาคน ตุ๏กตาสตั ว๑น้า นามาประกอบการจัดชํวยเพิ่มบรรยากาศให๎มีความหมายขึ้น 1.การเตรียมการก่อนการจดั ดอกไม้ 1.1 ตัดฟลอรัลโฟมขนาด ½ กอ๎ น ภาพที่ 1.1 การตัดฟลอรัลโฟม ภาพโดย : สุนิสา ปน่ิ เจริญ 1.2 แชํฟลอรัลโฟมในน้า โดยให๎น้าคํอยๆ ซึมเข๎า ใช๎เวลาประมาณ 5 นาที จนกระท้ัง ฟลอรัลโฟมจมลงในนา้ หา๎ มกดจมลงในน้าหรือหา๎ มสาดนา้
3512 ภาพท่ี 1.2 การแชํฟลอรัลโฟม ภาพโดย : สนุ ิสา ป่ินเจรญิ1.3 ขยากระดาษหนงั สือพมิ พแ๑ ลว๎ ใสลํ งไปทกี่ ๎นแจกันเพอ่ื รองฟลอรัลโฟม ภาพที่ 1.3 การใสํกระดาษหนังสอื พิมพ๑กน๎ ภาชนะ ภาพโดย : สุนสิ า ป่นิ เจรญิ1.4 วางฟลอรลั โฟมลงในภาชนะให๎สงู กวําปากภาชนะ 1.5 นิว้ ภาพที่ 1.4 การวางฟลอรลั โฟมบนภาชนะ ภาพโดย : สุนสิ า ปนิ่ เจรญิ 1.5 แบํงคร่ึงฟลอรัลโฟมท้ัง 4 ด๎าน กาหนดให๎เป็นเส๎น A เส๎น B ซ่ึงจุดที่เส๎น A ตัดกับเส๎น Bคือจุด FP (Focus Point) โดยใช๎ปลายกรรไกรวาดเส๎นบนฟลอรัลโฟม
36 ภาพท่ี 1.5 การแบํงเสน๎ A และเส๎น B บนฟลอรลั โฟม ภาพโดย : สุนสิ า ป่นิ เจรญิการจดั ดอกไม้รปู แบบตา่ งๆ ภาพที่ 2.1 การจดั ดอกไม๎ทรงสามเหลี่ยมด๎านไมํเทํา ภาพโดย : สุนสิ า ปิ่นเจริญ 1. งานปักดอกไม้ทรงสามเหลย่ี มดา้ นไมเ่ ท่า 1.1 ปักดอกท่ี 1 ท่ีเส๎น B หํางจากจุด FP ไปด๎านหลัง 1/2” ให๎มีความสูงตามลักษณะของ รูปทรงสามเหลยี่ ม 12 1 ภาพท่ี 2.2 การปักดอกท่ี 1 ภาพโดย : สนุ สิ า ป่นิ เจริญ
37 1.2 ปักดอกท่ี 2 ท่ีเส๎น A ทามุมยกขึ้น 30o เป็นเส๎นกาหนดความกว๎างทางด๎านซ๎ายของรูปทรง โดยตัดก๎านใหม๎ คี วามยาว 1/3 ของความยาวของดอกท่ี 1 12 2 ภาพท่ี 1.3 การตดั ก๎านดอกและการปักดอกท่ี 2 ภาพโดย : สนุ สิ า ปิ่นเจรญิ 1.3 ปักดอกที่ 3 ที่เส๎น A ทามุมต่ากวําแนวราบ 30o เป็นเส๎นกาหนดความกว๎างออกทางดา๎ นขวา ตดั ก๎านใหม๎ คี วามยาว 2/3 ของความยาวของดอกที่ 1 12 3 ภาพที่ 1.4 การตดั กา๎ นดอกและการปกั ดอกท่ี 3 ภาพโดย : สุนิสา ปนิ่ เจริญ 1.4 ปักดอกที่ 4 ที่เส๎น B ขนานกับแนวราบ กาหนดความหนาด๎านหน๎า โดยตัดให๎ก๎านมีความยาว 1/3 ของความยาวของดอกท่ี 1
38 12 4 ภาพท่ี 1.5 การตดั กา๎ นดอกและปักดอกท่ี 4 ภาพโดย : สนุ สิ า ป่นิ เจรญิ 1.5 ปักดอกที่ 5 และ 6 ให๎อยํูในระหวํางดอกท่ี 1 กับ 3 แบํงชํองไฟให๎เกือบเทํากัน ปักบริเวณเสน๎ A 12 5 6 ภาพท่ี 1.6 การปักดอกที่ 5 และ 6 ภาพโดย : สนุ สิ า ปิน่ เจริญ 1.6 ปักดอกท่ี 7 ให๎อยรูํ ะหวาํ งดอกท่ี 1 กบั 2 แบํงชํองไฟให๎ใกล๎เคยี งกัน ปกั ท่ีเส๎น A
39 7 ภาพท่ี 1.7 การปกั ดอกที่ 7 ภาพโดย : สุนิสา ปิน่ เจรญิ 1.7 ปักดอกที่ 8 ให๎อยูํระหวํางดอกที่ 4 กบั 3 แบงํ ชํองไฟใหเ๎ กอื บเทาํ กนั 8 ภาพที่ 1.8 การปักดอกท่ี 8 ภาพโดย : สนุ สิ า ปน่ิ เจรญิ 1.8 ปักดอกท่ี 9-10-11-12 ปักวางตามแนวระดับจากบนสํูลํางจุดปักอยูํใกล๎กับ FB หรืออยํูบริเวณโฟกัสแอเรีย พยายามให๎จังหวะของดอกไมํเทํากัน จะดูเป็นธรรมชาติกวําการวางชํองดอกเทาํ กัน
40 9 ภาพที่ 1.9 การปักดอกที่ 9 ภาพโดย : สุนสิ า ปน่ิ เจรญิ 10ภาพที่ 1.10 การปักดอกที่ 10 ภาพโดย : สุนิสา ป่นิ เจริญ
41 11 ภาพที่ 1.11 การปกั ดอกที่ 11 ภาพโดย : สุนสิ า ปนิ่ เจรญิ 12 ภาพท่ี 1.12 การปกั ดอกท่ี 12 ภาพโดย : สุนิสา ปนิ่ เจริญ 4.9 ปักใบเฟิร๑นตามแนวเส๎นดอกเยอบีรํา ให๎ใบเฟิร๑นอยูํใต๎ดอก เสริมชํองไฟให๎สมบูรณ๑ และปดิ บังฟลอรัลโฟมใหเ๎ รยี บรอ๎ ย
42 ภาพท่ี 1.13 การปักใบเฟิรน๑ ภาพโดย : สุนสิ า ปิ่นเจริญ4.2 แตงํ เติมดว๎ ยดอกยิบโซ เพม่ิ ความออํ นหวาน ภาพที่ 1.14 การปักดอกยิบโซ ภาพโดย : สนุ ิสา ป่ินเจรญิ
43 ภาพท่ี 4.1 การจดั ดอกไม๎ทรงกลม ภาพโดย : สนุ ิสา ปนิ่ เจรญิ4. งานจัดดอกไมท้ รงกลม 4.1 ปักดอกกุหลาบดอกท่ี 1 ให๎สงู โดยตงั้ ฉากกับฐาน เพอ่ื เปน็ ศูนย๑กลาง หรอื Center Point ภาพท่ี 4.2 การปกั ดอกกหุ ลาบดอกท่ี 1 ภาพโดย : สุนิสา ป่นิ เจรญิ 4.2 ปกั ดอกกุหลาบ 4 ดอก ตามแนวนอนขนานกับพื้นให๎มีชํองไฟกว๎างเทํากัน ซ่ึงมีความยาวของก๎านใกลเ๎ คยี งกบั ความยาวของดอกที่ 1 (Center) โดยปักตามทิศเหนือ ใต๎ ตะวนั ออก ตะวนั ตก ภาพที่ 4.3 การปักดอกกุหลาบตามทิศ ภาพโดย : สนุ ิสา ปิ่นเจริญ
44 4.3 ปักดอกกุหลาบอีก 4 ดอก ระหวํางชํองไฟของดอกท่ีเป็น Center กับดอกในแนวทิศตํางๆ ของแตลํ ะดา๎ นทั้ง 4 ดา๎ น โดยปกั ตามแนวเสน๎ เฉยี งให๎ดอกอยรํู ะหวาํ งกลาง รวมดอกกุหลาบเป็น9 ดอก12 ภาพที่ 4.4 การปักดอกกหุ ลาบระหวาํ งชอํ งไฟ ภาพโดย : สนุ ิสา ป่นิ เจรญิ 4.4 ปักดอกกุหลาบอีก 4 ดอก ระหวํางชํองไฟของดอกที่เป็น เหนือ ใต๎ ตะวันออก ตะวันตกโดยปักตามจุดตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต๎ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต๎ตามลาดับ รวมดอกกหุ ลาบเป็น 13 ดอก 12 ภาพท่ี 4.5 การปกั ดอกกหุ ลาบระหวาํ งชอํ งไฟตามทิศ ภาพโดย : สุนิสา ปิ่นเจริญ 4.5 ปักใบเฟริ น๑ ตามชํองวําง เพอื่ ตกแตํงและปิดบงั ฟลอรลั โฟม12 ภาพที่ 4.6 การปักใบเฟิรน๑ ตามชํองวําง ภาพโดย : สุนสิ า ปิ่นเจรญิ
45 4.6 ปักแซมยิบโซ จะทาใหก๎ ารจดั ดอกไมน๎ ้ีสมบูรณ๑ขึ้น12 ภาพท่ี 4.7 การปักแซมยบิ โซ ภาพโดย : สนุ สิ า ปิ่นเจริญ4.7 ตกแตงํ ใหส๎ มบูรณ๑ รอบแจกนั และปกปิดฐานฟลอรัลโฟมเรยี บร๎อย ภาพที่ 4.1 การจัดดอกไม๎ทรงกลม ภาพโดย : สุนิสา ปน่ิ เจริญการบ้ารงุ รักษาดอกไม้หลังการจัด1. เลอื กซอ้ื ดอกไมท๎ สี่ ด เดด็ เอาใบทอ่ี ยํใู ต๎ระดบั นา้ ออก2. ตดั กา๎ นดอกเป็นแนวเฉยี ง 45 องศา นาก๎านแชไํ ว๎ในน้า เพื่อให๎ลาตน๎ ดดู ซมึ น้าไดด๎ ี3. ละลายสารอาหารสาหรบั ดอกไม๎ ในน้าอนํุ นาดอกไม๎ลงในนา้ อนุํ ทเี่ ตรียมไว๎4. ควรตัดก๎านดอกไม๎ทุกๆ 3 วัน และเปลี่ยนน้าที่เติมสารอาหารไว๎ เพื่อให๎ดอกไม๎ดูสดเสมอ ควรเติมน้าให๎ ดอกไมท๎ กุ วนั และเปลีย่ นน้าทุกๆ 3 วนั5. ใช๎กระบอกฉดี ละอองนา้ ให๎ดอกไมท๎ ุกวนั โดยกระบอกที่ใช๎ตอ๎ งสะอาดเสมอ6. จัดดอกไมต๎ ั้งไว๎ในท่รี ํม อากาศโปรํง อยําวางดอกไม๎ให๎รับแสงแดดโดยตรง เพราะจะทาให๎ดอกไม๎เห่ียวเฉา เร็ว7. หลังการจัด ใชก๎ ระบอกฉีดน้า พรมน้าเบาๆ อยําวางในท่ลี มโกรก หมั่นเติมนา้ ในฟลอรลั โฟมจะทาให๎เก็บไว๎หลายวนั
46 บรรณานุกรมชยั ประสทิ ธิ์ ศรวี ิชยั . (2556). เอกสารประกอบการสอนวิชาหลักการจัดดอกไม้. สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร๑ วิทยาลยั อาชวี ศึกษาเชียงใหมํ.สุนสิ า ป่นิ เจรญิ . (2556). เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีหลกั การจัดดอกไม.้ สาขาวชิ าคหกรรมศาสตร๑ วทิ ยาลัยอาชีวศกึ ษาเชยี งใหม.ํอาภรณ๑ ปตั ะเสวงั .เอกสารประกอบการสอน ศลิ ปะงานใบตองและแกะสลัก. สาขาวิชาคหกรรมศาสตร๑ วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาร๎อยเอด็ .
47 เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า..ศลิ ปะงานใบตองและดอกไม้สด เรียบเรียงโดย อาจารย์ โอภาส มูลอา้ ย คณะคหกรรมศาสตร์วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเชยี งใหม่
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: