Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

3. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

Published by wichuda promkongboom, 2022-06-11 23:17:34

Description: 3. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

Search

Read the Text Version

ระบบภมู ิค้มุ กนั ของรา่ งกาย นางสาววิชดุ า พรหมคงบุญ ชวี วิทยาพืน้ ฐาน

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) 1. อธิบายบทบาทของอวัยวะหรือเน้ือเย่ือท่ีทาหน้าที่ป้องกันและทาลายเช้ือ โรคหรอื สิง่ แปลกปลอม 2. เขียนแผนผังเกี่ยวกับกลไกการต่อต้านหรือทาลายส่ิงแปลกปลอมแบบไม่ จาเพาะและแบบจาเพาะ 3. สืบค้นข้อมูลสาเหตุ อาการ แนวทางป้องกัน การรักษาโรคที่เกิดจากความ ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และกลไกของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องท่ีมีสาเหตุมาจากการ ติดเช้อื 4. อธบิ ายกลไกของภาวะภมู คิ ้มุ กันบกพร่องท่มี สี าเหตมุ าจากการติดเชอื้ 5. ระบสุ าเหตุ และวธิ กี ารป้องกันการตดิ เช้อื HIV

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) นักเรียนสามารถทางานเปน็ กลุ่มร่วมกับผู้อืน่ ได้ ดา้ นจิตพสิ ยั (A) 1. เข้าเรยี นเป็นประจา 2. มีความกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น 3. มสี ่วนร่วมในการอภิปราย

ขัน้ สรา้ งความสนใจ เชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมเข้าสูร่ ่างกายมนุษยไ์ ด้อยา่ งไร เช้อื โรคและสงิ่ แปลกปลอมทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ อันตรายได้แก่อะไรบ้าง

ขน้ั สร้างความสนใจ นักเรียนเคยปว่ ยเปน็ โควิดหรอื ไม่ ถ้านักเรียนมีอาการปว่ ยควร จะปฏิบตั ติ นอยา่ งไรเพื่อให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติ

เรามีโอกาสพบเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ได้เสมอ

ระบบภูมคิ มุ้ กัน “Immune System” ระบบ ปอ้ งกนั และ กาจัด เช้อื โรคและส่งิ แปลกปลอมตามธรรมชาติ

ระบบภูมิคมุ้ กนั (immunity system) ส่วนประกอบของเชอ้ื โรคและสิ่งแปลกปลอมทีเ่ ข้า แอนติเจน สูร่ ่างกายแลว้ ทาให้ร่างกายเกิดปฏิกริ ิยาต่อต้าน เกสรดอกไม้ ไวรสั แบคทีเรีย เช้ือรา สารเคมี ฝ่นุ ละออง - อยู่บรเิ วณผวิ ของเซลล์ - ลกั ษณะเฉพาะตวั ใชร้ ะบุชนิดเชือ้ โรคได้

ระบบภูมิค้มุ กนั (immunity system) สารที่สร้างขึ้นในร่างกายคนหรือสัตว์ แอนตบิ อดี หลังจากได้รับแอนติเจน เป็นสารไกลโค โปรตีนที่สามารถทาปฏิกิริยาจาเพาะกับ แอนติเจนที่กระตุ้นให้สร้างมันขึ้นมา จะ พบในซรี ัมของเลือด

ตอ่ มไทมสั ทอนซิล หลอดนา้ เหลือง ไสต้ ่งิ มา้ ม ต่อมนา้ เหลอื ง

คาถามชวนอภิปราย เมือ่ มเี ชื้อโรคเข้าสูร่ ่างกาย อวยั วะหรือเนอ้ื เย่อื ใดบา้ งท่มี ี หนา้ ทปี่ ้องกนั หรอื กาจัดเชือ้ โรค และสงิ่ แปลกปลอม

ระบบนา้ เหลือง (Lymphatic system)

หลอดน้าเหลือง • การลาเลียงน้าเหลืองในหลอดนา้ เหลืองจะมีทิศทางการไหลเข้าสหู่ ัวใจ และเข้าสรู่ ะบบหมุนเวียนเลือดโดยเปิดเขา้ สหู่ ลอดเลือดเวนใกลห้ ัวใจ

ระบบท่อน้าเหลือง ทอ่ นา้ เหลอื ง ต่อมน้าเหลือง กล้ามเนื้อ ภาพแสดง ระบบทอ่ นา้ เหลอื ง ท่มี า : http://www.vcharkarn.com/vcafe/84647

อวยั วะน้าเหลือง (Lymph organ) อวยั วะน้าเหลอื ง เปน็ ศูนยก์ ลางในการผลิตเซลลเ์ ม็ดเลือด ขาวที่ใชใ้ นการต่อต้านเชือ้ โรคหรือส่ิงแปลกปลอม ประกอบดว้ ย 1. ตอ่ มนา้ เหลอื ง (Lymph node) 2. ม้าม (Spleen) 3. ตอ่ มไทมัส (Thymus gland)

ต่อมน้าเหลือง (Lymph node) ต่อมน้าเหลือง (Lymph node) เป็นอวัยวะน้าเหลืองท่ีมี ขนาดเล็ก รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณ ต่าง ๆ ต่อมน้าเหลืองมี ลักษณะคล้ายฟองน้า พบบริเวณรักแร้ โคนขา คอ (ทอนซิล) เป็นต้น ต่อมสร้างน้าเหลืองเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์

ตอ่ มทอนซิล (Tonsil gland) ตอ่ มทอนซิล (Tonsil gland) มีอยู่ 3 คู่ ภาย ในต่อมทอนซิลมีลมิ โฟไซต์ทาลายจุลนิ ทรีย์ทีผ่ ่านมาไมใ่ ห้เขา้ สหู่ ลอดอาหารและ กล่องเสยี ง ถา้ ตอ่ มทอนซิลติด เชอื้ จะมีอาการบวมข้นึ เรยี กว่า ต่อมทอนซลิ อักเสบ

มา้ ม (spleen) ม้าม (spleen) เป็นอวัยวะนา้ เหลอื งทีใ่ หญ่ท่ีสุด ไมม่ ีท่อ น้าเหลือง ยดื หดตวั ได้ นุม่ มีสีมว่ ง อยใู่ กล้ ๆ กบั กระเพาะ อาหารใตก้ ระบงั ลมขา้ งซา้ ย รูปร่างคลา้ ยเมลด็ ถั่ว ภายในจะมี ลมิ โฟไซต์อยูม่ ากมาย หน้าท่ขี องมา้ ม 1. ทาลายเมด็ เลอื ดแดงทีห่ มดอายุแล้ว 2. สร้างเม็ดเลอื ดขาว พวกลิมโฟไซต์ และโมโนไซต์ 3. สร้างแอนตบิ อดี

ตอ่ มไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส (Thymus gland) เป็นต่อมทีม่ ีขนาดใหญต่ อนอายุ น้อยเมื่ออายมุ ากจะเลก็ ลงและฝ่อลงในทสี่ ุด ทาหนา้ ท่ีสรา้ ง เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวชนดิ ลมิ โฟไซต์ T มหี นา้ ที่ต่อต้านเชอ้ื โรคและ สารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย รวมท้ังการต้านอวัยวะท่ปี ลูก ถา่ ยจากผ้อู ื่น

มา้ ม ตอ่ มนา้ เหลอื ง

มา้ ม แผลหรือสวิ อักเสบมลี กั ษณะเป็นอย่างไร ของเหลวหรอื หนองเกิดได้ อย่างไร

นกั เรียนสืบค้นขอ้ มลู นกั เรยี นสืบคน้ เก่ียวกับกระบวนการอักเสบ ในประเดน็ ต่อไปน้ี 1. เซลล์เม็ดเลอื ดขาวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับกระบวนการอักเสบ 2. การลาเลยี งสารขนาดใหญ่เข้าสเู่ ซลล์เมด็ เลอื ดขาวโดย วธิ ฟี าโกไซโทซิส 3. อาการที่บ่งบอกวา่ ร่างกายมีการอักเสบเกิดข้นึ

มา้ ม ตอ่ มนา้ เหลอื ง

คาถามชวนอภิปราย เมือ่ มเี ชื้อโรคเข้าสูร่ ่างกาย อวยั วะหรือเนอ้ื เย่อื ใดบา้ งท่มี ี หนา้ ทปี่ ้องกนั หรอื กาจัดเชือ้ โรค และสงิ่ แปลกปลอม

ประเภทของภมู ิคมุ้ กนั 1. ภูมคิ ุ้มกนั โดยกาเนิด (Innate immunity) หมายถึง ภูมคิ ุ้มกันท่อี ยูใ่ น ร่างกายหรอื ภูมคิ ุม้ กนั ท่เี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ 2. ภูมคิ ุ้มกันที่ไดม้ าหรือภมู ิคมุ้ กนั แบบจาเพาะ (Acquird immunity) หมายถึง ภูมคิ ้มุ กันทเ่ี กิดขน้ึ ภายหลังเพือ่ ต่อตา้ นเฉพาะโรค แบ่งเป็น 2.1 ภูมคิ มุ้ กนั กอ่ เอง (Active immunization) 2.2 ภูมคิ ุ้มกนั รบั มา (Passive immunization)

ประเภทของภมู ิคุ้มกนั 2.1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active immunization) หมายถึง ภมู ิคุ้มกันท่ีเกิด จากการท่ีร่างกายสร้างแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาเอง ซ่ึงกระตุ้นจาก วัคซีน ทอกซอยด์ (Toxoid) วัคซีน (Vaccine) คือการนาแอนติเจนซึ่งเป็นเชื้อโรคเข้า สู่ร่างกายกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีข้ึนมา การนาวัคซินเข้า สูร่ า่ งกายมีหลายวธิ ี เชน่ การกนิ การฉีด การปลกู ฝี

ประเภทของวัคซีน 1. วัคซีนท่ีเป็นเช้ือโรคที่ทาให้อ่อนกาลัง เม่ือเข้าสู่ร่างกายจะเป็น แอนติเจนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเช้ือโรคน้ัน เช่น วณั โรค โปลิโอ หัด หดั เยอรมนั และคางทมู 2. วัคซีนที่ได้จากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เช่น ไอกรน ไทฟอยด์ และ อหิวาตกโรค 3. วัคซีนท่ีได้จากสารพิษของจุลินทรีย์ที่ทาให้หมดความเป็นพิษ เรยี กว่า ทอกซอยด์ (Toxoid) เชน่ คอตบี บาดทะยัก

ประเภทของภมู ิคมุ้ กนั 2.2 ภมู ิคุ้มกันรับมา (Passive immunization) หมายถึง ภมู ิคุ้มกันท่ี ร่างกายไดร้ ับแอนติบอดี (Antibody) จากภายนอกเข้ามา เช่น การฉีดเซรุ่ม การด่มื น้านมแมข่ องทารก เซรุ่ม (Serum) คอื นา้ เลือดท่ปี ระกอบด้วยแอนติบอดีซ่ึงสามารถ ตา้ นทานพิษจากเชื้อโรคท่ีมีความจาเพาะต่อโรคได้ เช่น เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่ม แกพ้ ิษกระต่าย

ประเภทของวคั ซีน

ขอ้ ดีขอ้ เสียของภมู ิคมุ้ กนั ภมู คิ ุ้มกนั กอ่ เอง ข้อดี ขอ้ เสยี ภมู ิคุม้ กนั รบั มา ตอบสนองให้ผลช้า ไม่มอี าการแพ้ อยใู่ นร่างกายนาน อาจมีอาการแพ้ อย่ใู นร่างกายไม่นาน ตอบสนองทนั ที

White Blood cells มีนวิ เคลียส ขนาดใหญ่กวา่ เม็ดเลือดแดง รปู ร่างกลม ป้องกันและทาลายเชือ้ โรคหรือส่งิ แปลกปลอม สรา้ งจากไขกระดกู อายุ 2-14 วัน ถูกทาลายที่ตับและมา้ ม

White Blood cells มีหนา้ ที่โอบล้อมและจับกินเชื้อโรคแบบฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) และสรา้ งแอนติบอดี (antibody)

White Blood cell

นิวโทรฟิล (neutrophil) ***พบมากที่สุดในรา่ งกาย ฟาโกไซต์ Phagocyte ทาลายเชื้อโรคโดย ฟาโกไซโทซิส Phagocytosis เมือ่ ยอ่ ยส่งิ แปลกปลอมโดยเฉพาะแบคทีเรยี และเนือ้ เยื่อทีต่ ายแลว้ นิวโทรฟลิ จะตายด้วย จากนน้ั จะรวมตัวกันกลายเปน็ หนอง หรอื Pus และนนู ขึน้ มาจากผิวหนังกลายเปน็ ฝี

เบโซฟิล (Basophil) ***พบน้อยที่สุดในรา่ งกาย หลงั่ ฮิสตามีน (Histamine) ทาใหเ้ กิดการแพห้ รืออกั เสบ หลงั่ เฮปาริน (Heparin) ปอ้ งกนั การแขง็ ตวั ของเลือด พบในเนื้อเยื่อ เรียกวา่ “Mast Cell”

อีโอซิโนฟิล (Eosinophil) กาจัด ปรสิต ขนาดใหญ่ เช่น พยาธิ โดยการหลงั่ เอนไซม์ สารเคมี ทาลายสารที่เป็นพิษทีท่ าใหเ้ กิดการแพ้ สารของร่างกายเช่นโปรตีนในอาหาร ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ พบจานวนมากขึน้ เมื่อเกิดปฏิกิรยิ าภูมิแพ้ และเมื่อเกิดการติดเชื้อปรสิต เช่น หนอนพยาธิ

โมโนไซต์ (Monocyte) ***ขนาดใหญ่ที่สุด ฟาโกไซต์ Phagocyte ทาลายเชือ้ โรคโดย ฟาโกไซโทซิส Phagocytosis พบในเนือ้ เยื่อเรียกวา่ “Macrophage”

ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ***ขนาดเลก็ ที่สุด 1. ชนิดบี B-Lymphocyte / B-cell 2. ชนิดที T-Lymphocyte / T-cell **กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบจาเพาะ**

ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte)

















Cytotoxic T cell




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook