Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือสะเต็มศึกษาสู่อาชีพ การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน

คู่มือสะเต็มศึกษาสู่อาชีพ การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน

Published by Sa Kaeo SCE site, 2019-06-09 04:11:45

Description: คู่มือสะเต็มศึกษาสู่อาชีพ

Search

Read the Text Version

ศนู ย์วทิ ยำศำสตร์เพื่อกำรศึกษำสระแก้ว สะแกนเพื่ออ่าน E-Book สำนักงำน กศน. สำนักงำนปลดั กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร กระทรวงศกึ ษำธิกำร

ฐานการเรียนรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง สะเต็มกับการเพาะต้นออ่ นทานตะวัน แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง สะเต็มกบั การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน จานวน 3 ชว่ั โมง

แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 3 เร่ือง สะเตม็ กบั การเพาะต้นออ่ นทานตะวนั แนวคดิ ต้นออ่ นทานตะวนั คอื ตน้ อ่อนทเี่ พ่ิงงอกออกจากเมลด็ ซ่งึ เปน็ ระยะก่อนที่จะเจรญิ เตบิ โตไปเป็นตน้ กลา้ ซึ่งในช่วงเวลาของการเป็นตน้ ออ่ นน้นั เปน็ ช่วงเวลาสาคญั ของการสะสมแรธ่ าตุอาหารทีส่ าคัญ การรับประทานต้นออ่ นจากเมล็ดงอกจะทาใหร้ ่างกายแขง็ แรง อีกทัง้ สามารถนาไปรบั ประทานไดท้ ั้งแบบสด และปรุงสุก ตน้ อ่อนทานตะวนั จึงเป็นเมลด็ งอกท่ไี ด้รับความนิยมสาหรบั ผูท้ ่รี กั สขุ ภาพ การเพาะต้นอ่อน ทานตะวัน จาเป็นจะตอ้ งใช้การสังเคราะห์แสง และตอ้ งคานงึ ถงึ ปัจจัยท่ีมผี ลกระทบต่อการเจริญเตบิ โตของ ต้นอ่อน จึงไดน้ าหลกั การบรูณาการสะเตม็ ศกึ ษาสู่อาชีพเขา้ มาใช้การเรียนรกู้ ารเพาะ วตั ถปุ ระสงค์ เมื่อสนิ้ สุดแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แลว้ ผูร้ บั บรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายความรเู้ บ้อื งตน้ เกยี่ วกับการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน 2. อธิบายและทดลองการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน เนื้อหา 1. ความรู้เบอ้ื งต้นเก่ียวกับต้นออ่ นทานตะวนั 1.1 ชนดิ ของเมล็ดดิน นา้ ทใี่ ชใ้ นการเพาะ 1.2 ธาตุอาหารของต้นออ่ นทานตะวนั 1.3 การสังเคราะห์แสง 1.4 ปัจจัยทมี่ ผี ลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นออ่ นทานตะวัน 2. การเพาะเมลด็ ตน้ ออ่ นทานตะวนั 2.1 วัสดอุ ุปกรณ์ท่ใี ช้ในการเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั 2.2 ข้นั ตอนในการเพาะต้นออ่ นทานตะวนั แผนผงั ความเช่ือมโยงระหว่างสะเต็มศึกษากบั เน้ือหาการเรยี นรู้ S = วทิ ยาศาสตร์ T = เทคโนโลยี E = วิศวกรรมศาสตร์ M = คณติ ศาสตร์ - ธาตอุ าหารของพืช - การเลอื กใชว้ ัสดุ - การออกแบบ - การคานวณหา - การสังเคราะหแ์ สง - การเลือกช่องทาง บรรจภุ ัณฑ์ ตน้ ทนุ /กาไร - การเจริญเติบโต การจาหน่าย - การออกแบบพน้ื ท่ี - ระยะเวลา - การแปรรปู ในการเพาะ - การชั่ง/การวัด

ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ตอนที่ 1 กิจกรรมการเรียนรู้ประสบการณ์ทางวทิ ยาศาสตรS์ :(Science Experience Activity) 1. ผจู้ ัดกิจกรรมทกั ทายผู้รบั บริการและแนะนาตนเองกับผ้รู บั บรกิ าร รวมทั้งชี้แจงวัตถุประสงค์ของ ฐานการเรียนรู้ เรือ่ ง การเพาะต้นออ่ นทานตะวนั ไดแ้ ก่ (1) อธิบายความรเู้ บ้ืองตน้ เก่ยี วกับการเพาะต้นออ่ นทานตะวนั (2) อธิบายการเพาะต้นออ่ นทานตะวนั 2. ผูจ้ ัดกจิ กรรมซกั ถามประสบการณเ์ ดมิ ของผรู้ ับบริการเกยี่ วกบั เรือ่ งท่จี ะเรียนรู้ โดยสุ่มผ้รู บั บรกิ าร จานวน 3 - 5 คน ตามความสมคั รใจ ใหต้ อบคาถามในประเด็น จานวน 3 ประเดน็ ดงั น้ี ประเด็นที่ 1 “มใี ครเคยรู้จักตน้ อ่อนทานตะวันบ้างหรือไม่” ประเด็นท่ี 2 “มีใครรวู้ ธิ แี ละข้นั ตอนการเพาะต้นอ่อนทานตะวนั บ้างหรือไม่” ประเด็นท่ี 3 “ตน้ ออ่ นทานตะวนั สามารถสรา้ งเป็นอาชพี ไดห้ รือไม่” 3. ผจู้ ดั กิจกรรมและผูร้ บั บริการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และสรปุ ผลการเรยี นรรู้ ว่ มกัน 4. ผ้จู ดั กิจกรรมเชือ่ มโยงประสบการณเ์ ดิมของผ้รู ับบริการกบั เนื้อหาการเรียนรู้เรือ่ ง การเพาะต้นออ่ น ทานตะวนั โดยบรรยายเรือ่ ง การเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั ตามใบความรขู้ องวิทยากร เร่ือง การเพาะตน้ อ่อน ทานตะวัน หลงั จากน้นั เช่อื มโยงการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษากับเน้ือหาท่ีเรียนรู้ ตามใบความรขู้ องวทิ ยากร เรอ่ื ง การเช่อื มโยงสะเตม็ ศึกษากบั การเพาะต้นออ่ นทางตะวนั ดงั น้ี 4.1 Science (วิทยาศาสตร์) (1) การใหธ้ าตอุ าหาร (2) การใช้กระบวนการสงั เคราะห์แสง (3) การเจริญเตบิ โตของพืช 4.2 Technology (เทคโนโลยี) (1) การเลือกใช้วสั ดุ (2) การเลือกช่องทางการจาหนา่ ย (3) การแปรรปู ผลติ ภณั ฑ์ 4.3 Engineering (วศิ วกรรมศาสตร์) (1) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (2) การออกแบบพน้ื ที่ 4.4 Mathematics (คณติ ศาสตร์) (1) การคานวณหาต้นทุน/กาไร (2) ระยะเวลาในการเพาะ (3) การชง่ั /การวดั

5. ผู้จดั กิจกรรมแจกใบความรู้สาหรบั ผ้รู ับบรกิ าร เรือ่ ง การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน หลกั จากนัน้ ผจู้ ดั กจิ กรรมและผ้รู ับบรกิ ารแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ และสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกนั ขน้ั ตอนท่ี 2 กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ที่ท้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผ้จู ดั กจิ กรรมเช่ือมโยงเนือ้ หาและบรรยายในข้นั ตอนที่ 1 เรอื่ งการเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั โดยให้ ผูร้ ับบริการวางแผนและปฏิบตั ิการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน ตามหลกั การสงั เคราะห์แสง มาเปน็ องคค์ วามร้ใู น การเพาะต้นออ่ นทานตะวนั ตามใบกจิ กรรมของผรู้ บั บรกิ าร พรอ้ มทง้ั เตรยี มวัสดุอุปกรณใ์ หก้ บั ผรู้ บั บริการใน การปฏบิ ัตกิ จิ กรรม 2. ให้ผรู้ ับบริการต้งั ประเด็นข้อสงสัยในกระบวนการหรอื หลกั การทเี่ ก่ียวขอ้ ง รวมไปถึงประยกุ ตใ์ ชใ้ น ชวี ติ จรงิ 3. ให้ผู้รับบรกิ ารนาเสนอผลงาน 4. ผจู้ ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นและสรปุ ผลการเรยี นร้รู ่วมกัน ข้ันตอนท่ี 3 กจิ กรรมการสรปุ ผลการนาวิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั I( : Implementation Conclusion Activity) 1. ใหผ้ ู้รับบรกิ ารตอบคาถามโดยส่มุ ผ้รู ับบรกิ าร จานวน 3 - 5 คนตามความสมคั รใจ ใหต้ อบคาถามใน ประเดน็ “ท่านจะนาความรู้ เรอ่ื งสะเต็มกบั การเพาะตน้ ออ่ นสะเต็มไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวันอย่างไร” 2.. ผู้จดั กจิ กรรมและผรู้ ับบรกิ ารเรียนรูร้ ว่ มกัน สือ่ วสั ดอุ ุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ (1) ใบความรสู้ าหรับผจู้ ัดกจิ กรรม เรื่อง การเพาะต้นออ่ นทานตะวัน (2) ใบความรู้สาหรับผู้จดั กิจกรรม เร่ือง การเชอื่ มโยงสะเต็มศกึ ษากับการเพาะต้นออ่ นทาง ตะวัน (3) ใบความรู้สาหรบั ผู้รับบรกิ าร เร่อื ง การเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน (4) ใบกิจกรรมสาหรบั ผรู้ ับบริการ เรื่อง การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน (5) วัสดุอปุ กรณ์ (5.1) กลอ่ งความรตู้ น้ อ่อนทานตะวนั ซึ่งประกอบไปดว้ ย ใบความรู้ หนงั สอื ซดี ี (5.2) กะละมัง (5.3) ผ้าขนหนหู รอื กระสอบปา่ น (5.4) ถาดเพาะ (5.5) ช้ันวาง (5.6) ตาขา่ ยกรองแสง (5.7) ตาช่งั

(5.8) หวั ฉีดน้า (5.9) กระชอนตักเมล็ด (5.10) ดนิ ปลกู (5.11) เมลด็ ทานตะวันแบบดาและแบบลาย (5.12) มีดหรือกรรไกร (5.13) ถงุ บรรจุ (5.14) ไมบ้ รรทัด (5.15) ตลับเมตร (5.16) สายวัด . การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความตงั้ ใจความสนใจของผ้รู บั บรกิ าร 2. ชิ้นงาน / ผลงาน

บนั ทึกผลหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการใช้แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. จานวนเนอ้ื หากับจานวนเวลา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การเรียงลาดบั เน้อื หากบั ความเข้าใจของผูร้ บั รกิ าร  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. การนาเข้าสู่บทเรียนเน้อื หาแต่ละหัวข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. วิธีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้กบั เนอ้ื หาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมนิ ผลกบั วตั ถุประสงค์ในแต่ละเน้อื หา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลการเรียนรแู้ ละผรู้ ับบริการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้ขู องผู้จัดกจิ กรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรสู้ าหรบั ผ้จู ัดกจิ กรรม เร่ือง การเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั 1.ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับตน้ อ่อนทานตะวนั 1.1 ชนิดของเมลด็ ดนิ น้า ที่ใช้ในการเพาะ เมลด็ ทานตะวนั มีแบบสดี า และแบบลาย แต่เมล็ดทานตะวนั ถูกแบ่งเป็น 4 แบบ (1) เมล็ดทานตะวันแบบดาใหญ่ มีลายอ่อนๆ นิยมนามาทาเมล็ดทานตะวันค่วั หรอื อบแห้งขาย เมลด็ แบบน้เี หมาะสาหรบั แทะเมลด็ รับประทาน ในไทยไมน่ ยิ มปลูก พบมากในประเทศจีน (2)เมลด็ ทานตะวนั แบบดาจมั โบ้ เมล็ดกลม นามาปลูกตน้ อ่อนจะใหต้ น้ ออ่ นที่อวบใหญ่ ได้นา้ หนักมาก แต่รสชาติดีด้อยกวา่ เมลด็ ลายและค่อนข้างเหนียว (3) เมล็ดทานตะวนั แบบดาขนาดกลาง ให้ตน้ ออ่ นท่ีอวบ (4) เมล็ดทานตะวนั แบบลาย ไดต้ ้นออ่ นทีผ่ อมเรียวยาว รสชาติดี และไมเ่ หนยี วท่สี าคญั เมลด็ ลายจะมี น้ามนั ทานตะวันมากกวา่ แบบอ่ืน ซ่งึ นา่ จะให้ประโยชน์มากกว่าด้วย

ประเภทของดนิ เป็นดินที่มเี นือ้ ละเอียด ในสภาพดนิ แหง้ จะแตกออกเปน็ กอ้ นแขง็ มาก เมอ่ื เปยี กน้า แล้วจะมีความยืดหยุน่ สามารถปั้นเป็นกอ้ นหรือคลึงเปน็ เส้นยาวได้ เหนยี ว ดินเหนยี ว เหนอะหนะติดมือ เปน็ ดนิ ทีม่ กี ารระบายนา้ และอากาศไม่ดี แต่สามารถอุ้มนา้ ดดู ยดึ และแลกเปลีย่ นธาตุอาหารพชื ได้ดี เหมาะท่ีจะใชท้ านาปลกู ข้าวเพราะเกบ็ น้าได้ นาน เปน็ ดนิ ท่เี น้ือดนิ ค่อนขา้ งละเอียดนมุ่ มอื ในสภาพดินแห้งจะจบั กันเปน็ ก้อนแข็ง พอประมาณ ในสภาพดินช้นื จะยืดหยนุ่ ไดบ้ ้าง เมื่อสัมผัสหรอื คลึงดนิ จะรสู้ กึ นุม่ มอื แต่ อาจจะรสู้ กึ สากมืออยู่บ้างเล็กนอ้ ย เมอื่ กาดนิ ให้แนน่ ในฝา่ มือแลว้ คลายมือออก ดนิ จะจบั กันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกนั เปน็ ดนิ ท่ีมกี ารระบายน้าไดด้ ีปานกลาง จัดเปน็ เนอ้ื ดนิ ทีม่ ีความเหมาะสมสาหรับการเพาะปลูก ดินทราย เปน็ ดนิ ทม่ี ีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกวา่ ร้อยละ85 เนือ้ ดนิ มีการ ดินถุง เกาะตัวกันหลวมๆ มองเหน็ เป็นเมด็ เด่ียวๆ ได้ ถ้าสมั ผัสดนิ ทีอ่ ยใู่ นสภาพแห้งจะรสู้ ึก สากมอื เมอ่ื ลองกาดินทแ่ี หง้ นไ้ี ว้ในอุง้ มือแล้วคลายมือออกดนิ ก็จะแตกออกจากกนั ได้ แต่ถ้ากาดนิ ท่ีอยู่ในสภาพชื้นจะสามารถทาใหเ้ ป็นก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสมั ผสั จะแตก ออกจากกันทนั ที ทัว่ ไปมีอยหู่ ลายสูตรให้เลือกใช้ แนะนาว่าเลือกถงุ ทบ่ี อกวตั ถุดิบไว้ข้าง ๆ ดีกว่า ปกตแิ ล้วพรรณไม้แตล่ ะชนดิ ตอ้ งการวัสดปุ ลกู ไมเ่ หมือนกัน เช่น ไม้ดอกไม้ ประดับทั่วไปชอบดนิ ทีม่ คี วามร่วนซยุ สงู หากใช้สาหรับเพาะกล้าต้องเก็บ ความชน้ื และระบายน้าไดด้ ี สว่ นแคคตัสและไมอ้ วบนา้ ดินต้องมีความโปร่ง ระบายนา้ และอากาศได้ดี ส่วนใหญ่ดินถุงท่ีวางขายมกั มีความร่วนซยุ แต่มธี าตุ อาหารน้อย

นา้ น้าเปน็ สิ่งจาเปน็ สาหรบั ส่ิงมชี ีวติ ทงั้ พชื และสตั ว์เนื่องจากในส่งิ มีชวี ติ ทุกชนดิ มีนา้ เป็นส่วนประกอบ มากกว่าครง่ึ หนง่ึ ของน้าหนกั ตัวนา้ เป็นสว่ นประกอบสว่ นใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารตา่ งๆชว่ ย ลาเลยี งสารอาหารสารเคมรี วมท้ังแรธ่ าตุต่างๆระหวา่ งเซลล์และนา้ ยังชว่ ยลดอุณหภมู ภิ ายในต้นพชื อีกดว้ ย 1.2 ธาตุอาหารของตน้ อ่อนทานตะวัน ในจานวนธาตอุ าหารท่ีพชื จาเป็นต้องใชเ้ พ่ือการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซ่ึงมีอยู่ 16 ธาตนุ ั้น มี 3 ธาตุ ทีพ่ ืชไดม้ าจากอากาศและน้า คอื คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) ส่วนอีก 13 ธาตนุ น้ั พืช ต้องดูดดงึ ขึ้นมาจากดนิ ซงึ่ ธาตเุ หลา่ นไ้ี ดม้ าจากการผุพังสลายตัวของส่วนทีเ่ ป็นอนนิ ทรยี วัตถุและอนิ ทรียวตั ถุ หรือฮิวมัสในดนิ สามารถแบ่งตามปริมาณทพี่ ืชตอ้ งการใช้ได้ เปน็ 2 กลมุ่ คอื มหธาตุ และจุลธาตุ (1) มหธาตุ (macronutrients) มหธาตหุ รอื ธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปรมิ าณมาก ทีไ่ ดม้ าจากดินมอี ยู่ 6 ธาตุ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ( N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซยี ม (K) แคลเซยี ม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) และกามะถัน (S) แบง่ ได้เป็น 2 กลมุ่ (1.1) ธาตุอาหารหลัก หรอื ธาตปุ ๋ยุ ได้แก่ ไนโตรเจน ( N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซยี ม (K) เนือ่ งจากสามธาตุน้ีพืช

ต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะไดร้ ับจากดนิ ไมค่ อ่ ยเพียงพอกบั ความต้องการ ตอ้ งช่วยเหลอื โดยใสป่ ยุ๋ อยู่ เสมอ (1.2) ธาตุอาหารรอง ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม ( Ca) แมกนเี ซียม (Mg) และกามะถนั (S) เปน็ กล่มุ ท่ีพชื ต้องการใชใ้ น ปริมาณท่ีนอ้ ยกว่าและไม่คอ่ ยมปี ญั หาขาดแคลนในดินทั่วๆไปเหมอื นสามธาตุแรก (2) จลุ ธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสริม (micronutrients) จุลธาตหุ รือธาตอุ าหารที่พชื ต้องการใชใ้ นปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหลก็ ( Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดนิ มั (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรนี (Cl) ไมว่ ่าจะเป็นธาตุอาหารในกลุ่ม มหธาตุหรอื จลุ ธาตุ ต่างก็มีความสาคัญ และจาเปน็ ต่อการเจริญเติบโต ของพชื ไมน่ ้อยไปกว่ากัน เพราะความจรงิ แลว้ ธาตทุ ุกธาตมุ คี วามสาคัญตอ่ การดารงชีพของพืชเท่าๆกนั จะ ตา่ งกนั แต่เพยี งปริมาณท่ีพืชตอ้ งการเทา่ นั้น ดังน้ันพืชจึงขาดธาตใุ ดธาตหุ นึ่งไมไ่ ด้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่ เพียงธาตุเดียว พชื จะหยดุ การเจริญเติบโต แคระแกร็น ไม่ให้ผลผลติ และตายในท่ีสุด หนา้ ท่ีของธาตุอาหารพชื เสรมิ ธาตุอาหารพืชแต่ละชนดิ มคี วามสาคัญต่อการเจริญเตบิ โตของพืชแตกต่างกนั ไปและถา้ พืชไดร้ ับธาตุ อาหารไมเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการก็จะแสดงอาการท่ีแตกต่างกันตามแต่ชนดิ ของธาตุอาหารทีข่ าดแคลนนน้ั ไนโตรเจน มหี น้าทเ่ี ปน็ ส่วนประกอบของโปรตีนชว่ ยให้พชื มีสีเขียว เรง่ การเจรญิ เติบโตทางใบหาก ฟอสฟอรัส พชื ขาดธาตุน้จี ะแสดงอาการใบเหลอื งใบมีขนาดเลก็ ลง ลาตน้ แคระแกร็นและใหผ้ ลผลิต ตา่ มีหนา้ ทชี่ ่วยเรง่ การเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของรากควบคุมการออกดอก ออก ผลและการสรา้ งเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตนุ ี้ระบบรากจะไมเ่ จรญิ เตบิ โตใบแกจ่ ะเปลี่ยนจาก สีเขยี วเป็นสมี ว่ งแลว้ กลายเป็นสีนา้ ตาลและหลุดรว่ งลาต้นแกร็นไมผ่ ลิดอกออกผล โพแทสเซยี ม เปน็ ธาตุทช่ี ว่ ยในการสงั เคราะหน์ า้ ตาลแป้ง และโปรตนี สง่ เสริมการเคลอื่ นยา้ ยนา้ ตาล จากใบไปสูผ่ ลชว่ ยใหผ้ ลเตบิ โตเรว็ และมีคณุ ภาพดีชว่ ยให้พชื แขง็ แรง ตา้ นทานต่อโรคและ แมลงบางชนดิ ถ้าขาดธาตนุ ี้พชื จะไม่แข็งแรงลาต้นอ่อนแอ ผลผลติ ไมเ่ ตบิ โตมคี ณุ ภาพต่า สไี มส่ วย รสชาตไิ ม่ดี

กามะถัน เปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของกรดอะมโิ นโปรตนี และวติ ามนิ ถา้ ขาดธาตนุ ที้ ง้ั ใบบนและใบลา่ ง จะมีสีเหลืองซดี และต้นอ่อนแอ แคลเซยี ม เปน็ องค์ประกอบท่ีช่วยในการแบง่ เซลล์การผสมเกสร การงอกของเมลด็ พืชขาดธาตนุ ใี้ บ แมกนีเซยี ม ท่เี จริญใหม่จะหงกิ งอตายอดไม่เจรญิ อาจมจี ดุ ดาทีเ่ สน้ ใบรากสน้ั ผลแตก และมีคุณภาพ ไม่ดี เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของคลอโรฟลิ ล์ช่วยสังเคราะหก์ รดอะมโิ นวิตามิน ไขมนั และ น้าตาลทาใหส้ ภาพกรดดา่ งในเซลล์พอเหมาะและชว่ ยในการงอกของเมล็ดถ้าขาดธาตนุ ี้ ใบแก่จะเหลืองยกเว้นเสน้ ใบ และใบจะรว่ งหลน่ เรว็ ทองแดง ชว่ ยในการสงั เคราะหค์ ลอโรฟลิ ล์การหายใจ การใชโ้ ปรตนี และแปง้ กระตุ้นการทางาน เหลก็ ของเอนไซม์บางชนิดถา้ พชื ขาดธาตนุ ี้ ตายอดจะชะงักการเจรญิ เติบโตและกลายเป็นสดี า แมงกานสี ใบอ่อนเหลอื ง และพชื ท้งั ต้นจะชะงักการเจรญิ เตบิ โต ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟิลลม์ บี ทบาทสาคัญในการสงั เคราะหแ์ สงและหายใจถา้ ขาด ธาตุนใ้ี บออ่ นจะมสี ีขาวซีดในขณะทใ่ี บแกย่ งั เขียวสด ชว่ ยในการสังเคราะห์แสงและการทางานของเอนไซมบ์ างชนิดถ้าขาดธาตนุ ใ้ี บออ่ นจะมีสี เหลืองในขณะท่เี สน้ ใบยังเขียวตอ่ มาใบที่มีอาการดังกลา่ วจะเหย่ี วแล้วร่วงหลน่

โมลิบดินมั ช่วยใหพ้ ืชใชไ้ นโตรเจนให้เปน็ ประโยชน์และเกีย่ วข้องกบั การสงั เคราะห์โปรตนี ถา้ ขาดธาตุ สังกะสี นี้พชื จะมอี าการคลา้ ยขาดไนโตรเจนใบมลี ักษณะโค้งคล้ายถว้ ยปรากฏจุดเหลืองๆ ตาม แผ่นใบ ชว่ ยในการสงั เคราะหฮ์ อรโ์ มนออกซนิ คลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตนุ ้ีใบอ่อนจะมสี ี เหลืองซีดและปรากฏสขี าวๆประปรายตามแผน่ ใบ โดยเสน้ ใบยังเขียวรากสั้นไม่เจรญิ ตามปกติ 1.3 การสังเคราะหแ์ สง ความสาคัญของการสงั เคราะหด์ ้วยแสง พืชสเี ขยี วมบี ทบาทสาคญั มากต่อสิ่งมชี ีวิตทกุ ชนดิ บนพืน้ โลก รวมทัง้ มนุษยเ์ ราด้วย เพราะเปน็ จดุ เร่มิ ตน้ ของกา รใช้พลงั งาน โดยการนาพลังงานแสงมาเปล่ยี นเป็นพลงั งานเคมใี นรปู ของอาหารเก็บไว้ในรูป ของเนอ้ื เย่อื ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั พลังงานเหล่านจ้ี ะถา่ ยทอดไปสสู่ ตั วแ์ ละคนท่กี นิ พืชและ สัตวเ์ ปน็ อาหาร นอกจากนก้ี ระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ยงั ได้แก๊สออกซเิ จนและไอนา้ ซึง่ จะถกู ปล่อยออกจาก ใบสู่อากาศส่วนพชื ในนา้ กป็ ล่อยออกซเิ จนสแู่ หลง่ นา้ สตั วท์ ้ังในน้าและบนบกไดน้ าแกส๊ ออกซิเจนไปใช้ใน กระบวนการหายใจ กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ตอ้ งใช้แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ เปน็ สารตง้ั ตน้ ในปฏิกริ ยิ า ดังนน้ั พืชสเี ขียวจึงมีประโยชนช์ ่วยลดปรมิ าณของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ท่ีเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่ง เปน็ สาเหตุของภาวะโลกรอ้ น ดังน้นั จงึ กล่าวไวว้ ่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเปน็ กระบวนการทม่ี คี วามสาคญั อยา่ งย่งิ ต่อการ ดารงอย่ขู องสง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ บนโลกใบนี้ กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื นา้ ตาลเปน็ สารชนิดแรกทีพ่ ืชสรา้ งขึน้ ไดเ้ องกอ่ นที่จะเปลีย่ นรปู ไปเป็นแป้งและสารอืน่ ๆ ตอ่ ไป กระบวนการสร้างนา้ ตาลของพืชเราเรียกวา่ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ( Photosynthesis) ซงึ่ พืชต้อง อาศัยปัจจัยหลายอย่างในกระบวนการน้ี ปจั จยั ท่ีพืชใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง

ปจั จยั สาคญั ทพี่ ืชจาเปน็ ตอ้ งนาไปใช้ในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ไดแ้ ก่ 1) คลอโรฟลิ ล์ มอี ยใู่ นคลอโรพลาสต์ 2) แสง คลอโรฟลิ ล์จะดดู ซับพลังงานแสงเข้ามาในใบพชื 3) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ พชื จะรับเขา้ มาทางปากใบทีเ่ ปิดในเวลากลางวนั 4) น้า รากพืชจะดดู น้าข้ึนมาแลว้ ลาเลียงต่อไปยงั ใบโดยผา่ นทางลาต้นพชื จากปจั จยั ท่ีใช้ในการสังเคราะหด์ ้วยแสงดงั กล่าว แสดงว่ากระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงตาม ธรรมชาติจะเกิดข้นึ ในชว่ งเวลาทมี่ ีแสงเทา่ นน้ั คอื ช่วงเวลากลางวันโดยใช้แสงจากดวงอาทิตย์ สง่ิ ทีเ่ กดิ ขน้ึ จากกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง พืชตอ้ งการแก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้าเปน็ สารต้งั ต้นในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง โดยมีคลอโรฟลิ ล์ และแสง เป็นตวั กระตุ้น ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ด้ คือ น้าตาลกลโู คส และ แก๊สออกซเิ จน ซ่งึ สามารถเขยี นปฏิกิริยาท่ี เกิดขน้ึ ไดด้ ว้ ยสมการเคมีทเ่ี รยี กวา่ สมการการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ดังนี้ 6CO2 + 6H2O แสง C6H12O6 + 6O2 + 6H2O แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ นา้ คลอโรฟลิ ล์ นา้ ตาลกลูโคส แกส๊ ออกซิเจน นา้ ในใบพืชทม่ี ีสีอ่นื เชน่ สีแดง สีเหลือง หรือสนี า้ ตาล เช่น ใบโกสน หรือใบฤาษผี สมกม็ ีคลอโรฟลิ ล์อยู่ แตเ่ นื่องจากมปี รมิ าณคลอโรฟลิ ลน์ ้อย จึงทาให้มองเห็นสเี ขยี วได้ไม่ชัดเจน แต่ใบพชื เหลา่ น้ียังสามารถสร้าง อาหารไดเ้ ช่นกนั ส่วนใบพืชที่กลายพนั ธุเ์ ป็นสีขาวจะไมส่ ามารถสร้างอาหารได้ หากกลายพันธ์หุ มดทั้งตน้ จะ เรยี กว่า พชื เผอื ก ซง่ึ ต้นพชื จะมีสีขาวทั้งต้นและมีชวี ิตอยู่ไดไ้ ม่นาน เชน่ ขา้ วโพดเผอื ก จะไมส่ ามารถ เจรญิ เติบโตจนออกฝักได้

1.4 ปจั จยั ทมี่ ีผลกระทบตอ่ การเจริญเตบิ โตของต้นออ่ นทานตะวัน ปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื แสงแดด พชื จาเป็นต้องใช้แสงแดดในการสรา้ งอาหารหรือทเี่ รยี กว่า กระบวนการสงั เคราะห์ด้วย แสง จากกระบวนการนจ้ี ะไดอ้ าหารของพืช คือ นา้ ตาลกลโู คส ซ่งึ พชื อาจเก็บไวใ้ นรูปของ แปง้ นอกจากน้ียงั ได้น้าและแกส๊ ออกซิเจนเปน็ ผลพลอยไดท้ ี่สาคัญอย่างย่งิ ต่อมนุษยแ์ ละ สตั ว์ แรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงโนม้ ถว่ งของโลกมผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยลาตน้ จะมกี ารเจรญิ เติบโตตา้ นแรง โน้มถ่วงของโลก ส่วนรากจะมีการเจรญิ เติบโตตามแนวแรงโนม้ ถ่วงของโลก อากาศ ในอากาศมีแก๊สออกซิเจนเป็นสว่ นประกอบประมาณร้อยละ 20 แกส๊ ออกซิเจนเป็น สง่ิ จาเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช เนือ่ งจากกระบวนการหายใจทีเ่ กดิ ข้ึนภายในเซลล์พชื เป็นกระบวนการที่แกส๊ ออกซเิ จนรวมตวั กบั นา้ ตาลกลูโคส เพ่อื ให้ได้พลังงานมาใช้ในการ ทางานของเซลลพ์ ชื น้า นา้ เป็นสิ่งจาเปน็ สาหรบั สงิ่ มชี ีวิตท้ังพืชและสัตวเ์ นอื่ งจากในสงิ่ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ มีนา้ เป็น ส่วนประกอบมากกวา่ ครง่ึ หนง่ึ ของน้าหนกั ตัวนา้ เปน็ สว่ นประกอบสว่ นใหญภ่ ายในเซลล์ ช่วยละลายสารอาหารตา่ งๆชว่ ยลาเลยี งสารอาหารสารเคมรี วมทง้ั แรธ่ าตุตา่ งๆระหว่าง เซลล์และนา้ ยงั ช่วยลดอุณหภูมิภายในต้นพืชอีกด้วย แรธ่ าตุ ในการเจริญเติบโตของพืชแร่ธาตุชว่ ยในการทางานของระบบตา่ งๆให้ดาเนินไปไดด้ ว้ ยดี เมอื่ พชื ขาดแรธ่ าตุบางชนดิ จะมผี ลทาให้กา รเจรญิ เติบโตของพืชผดิ ปกตซิ ึง่ สังเกตได้จาก ลักษณะของลาตน้ ใบดอกและผลจะมีลกั ษณะผดิ ปกตแิ รธ่ าตุหลักที่พชื ตอ้ งการได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนเี ซียม (Mg) กามะถัน (S) แร่ธาตุทีพ่ ชื ตอ้ งการในปริมาณรองลงมาเชน่ เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu)

2.การเพาะเมล็ดตน้ อ่อนทานตะวัน 2.1 วสั ดุอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเพาะต้นออ่ นทานตะวัน 2.1.1 กะละมัง 2.1.2 ผา้ ขนหนูหรือกระสอบป่าน 2.1.3 ถาดเพาะ 2.1.4 ชั้นวาง 2.1.5 ตาขา่ ยกรองแสง 2.1.6 ตาช่งั 2.1.7 หัวฉดี น้า 2.1.8 กระชอนตกั เมล็ด 2.1.9 ดินปลกู 2.1.10 เมลด็ ทานตะวนั แบบดาและแบบลาย 2.1.11 มีดหรอื กรรไกร 2.1.12 ถุงบรรจุ 2.1.13 ไมบ้ รรทดั 2.1.14 ตลบั เมตร 2.1.15 สายวัด 2.2 ขน้ั ตอนในการเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั ขนั้ ตอนท่ี 1 นาเมล็ดแชน่ ้า 4-6 ชม. ระหวา่ งแช่จะมฟี องอากาศซ่ึงเกิดจากนา้ เข้าไปในเมล็ดครบั หลังจากนนั้ เทน้าออก ขนั้ ตอนท่ี 2 นาเมล็ดบ่มในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทุก ๆ 5 ชม. ให้คนกลบั ไปกลบั มา เมลด็ จะเรม่ิ งอก เป็นตมุ่ ๆ ดงั ภาพ แสดงวา่ เร่มิ เพาะไดแ้ ล้ว ใหเ้ รานาดินใส่ถาดท่เี ตรยี มไว้

ขั้นตอนที่ 3 โรยเมลด็ ลงดิน โดยไมใ่ หห้ นา หรอื บางจนเกนิ ไป ขน้ั ตอนที่ 4 โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้าพอชมุ่ ข้ันตอนที่ 5 นาถาดมาซอ้ นกนั ประมาณ 1 คืน หลงั จากนน้ั ให้นาถาดออกมารดนา้ ตามปกติ ข้ันตอนท่ี 6 แยกถาดออกไวใ้ นร่ม รดน้าวนั ละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

ขนั้ ตอนที่ 7 เข้าสู่วันที่ 3 รดน้าตอ่ วนั ละ 2 คร้งั เช้า-เยน็ พอประมาณ ขน้ั ตอนที่ 8 เขา้ สู่วนั ที่ 4 รดนา้ บาง ๆ เพือ่ ให้ดนิ หลดุ จากใบ สามารถเรมิ่ เก็บเมลด็ ทตี่ ิดใบออกได้ รดน้าเช้า- เย็นตอ่ ขั้นตอนที่ 9 เข้าสู่วนั ที่ 5 รดนา้ ตอ่ เช้า-เยน็ พอประมาณ ขนั้ ตอนที่ 10 เข้าสู่วันที่ 6-7 รดนา้ เชา้ -เย็นปกติ และนาออกมารับแสงในวนั ที่จะตดั ตน้ จะเรมิ่ เขยี ว สามารถ ตดั ได้ในวันท่ี 6-7 หรอื มากกว่าก็ไดค้ รบั แลว้ แตค่ วามยาวของต้น

ใบความรสู้ าหรับผจู้ ัดกิจกรรม เรื่อง การเชื่อมโยงสะเตม็ ศกึ ษากับการเพาะต้นอ่อนทางตะวัน สะเต็มศกึ ษา คือ แนวทางการจัดการศกึ ษาท่ีบรู ณาการความรูใ้ น 4 สหวทิ ยาการ ไดแ้ ก่ วิทยาศาสตร์ วศิ วกรรม เทคโนโลยี และคณติ ศาสตร์ โดยเน้นการนาความร้ไู ปใชแ้ ก้ปัญหาในชีวิตจรงิ รวมทงั้ การพฒั นา กระบวนการหรอื ผลผลิตใหม่ ทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การดาเนินชีวิต และการทางาน ช่วยนักเรียนสรา้ งความ เชอ่ื มโยงระหวา่ ง 4 สหวทิ ยาการ กบั ชวี ิตจรงิ และการทางาน การจดั การเรียนรูแ้ บบสะเตม็ ศึกษาเป็นการ จัดการเรยี นรูท้ ไ่ี ม่เนน้ เพียงการท่องจาทฤษฎหี รอื กฏทางวิทยาศาสตร์ และคณติ ศาสตร์ แตเ่ ปน็ การสรา้ งความ เข้าใจทฤษฎหี รือกฏเหล่านนั้ ผา่ นการปฏิบัตใิ หเ้ หน็ จริงควบคู่กบั การพัฒนาทกั ษะการคดิ ตง้ั คาถาม แกป้ ัญหา และการหาข้อมูลและวเิ คราะห์ขอ้ คน้ พบใหมๆ่ พร้อมทั้งสามารถนาขอ้ ค้นพบนั้นไปใชห้ รือบูรณาการกับ ชวี ิตประจาวันได้ การจัดการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5 ประการได้แก่ (1) เปน็ การสอนทีเ่ น้นการบูรณา การ (2) ชว่ ยนกั เรยี นสรา้ งความเชอ่ื มโยงระหว่างเนอื้ หาวชิ าทงั้ 4 กับชีวติ ประจาวนั และการทาอาชพี (3) เนน้ การพฒั นาทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 (4) ท้าทายความคดิ ของนกั เรยี น และ (5) เปิดโอกาสให้นกั เรียนได้แสดง ความคดิ เห็น และความเขา้ ใจทีส่ อดคล้องกบั เนอื้ หาท้ัง 4 วิชา จุดประสงค์ของการจดั การเรยี นรูต้ ามแนวทาง สะเต็มศึกษา คอื สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นรักและเห็นคุณคา่ ของการเรยี นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณติ ศาสตร์ และเหน็ วา่ วิชาเหล่านน้ั เป็นเร่อื งใกลต้ ัวที่สามารถนามาใช้ไดท้ กุ วนั สาหรบั การเชอ่ื มโยงสะเตม็ ศึกษากับการเพาะต้นออ่ นทางตะวนั มีดงั น้ี Science (วทิ ยาศาสตร์) (1) การให้ธาตอุ าหาร ธาตอุ าหารหลกั ท่ีพชื ต้องการเป็นอยา่ งมาก คือ ธาตุไนโตรเจน(Nitrogen,N) ฟอสฟอรัส (Phosphorus,P) และโพแทสเซียม(Potassium,K) แต่สภาพดนิ นน้ั เมอื่ ปลกู พชื ไปแล้วรนุ่ หนง่ึ แน่นอนธาตุอาหารหลักเหลา่ นี้ ย่อมลดน้อยถอยลงไป เรือ่ ยๆ หากไมช่ ว่ ยเหลือโดยการใสธ่ าตุอาหารหลัก คือปุ๋ยเคมีอยเู่ สมอ สภาพดนิ ย่อมเสอื่ มจนไมส่ ามารถทาการ เพาะปลกู สาเร็จได้ผลดี อกี ทั้งสิ่งที่พชื ตอ้ งการรองลงมา คอื แคลเซยี ม(Ca) แมกนีเซยี ม(Mg) และกามะถัน(s) ซึ่งธาตุอาหาร รองเหลา่ น้ีพชื ตอ้ งการในปรมิ าณทนี่ อ้ ยกวา่ N P K จงึ ทาให้ดินไมอ่ ยู่ในสภาพขาดแคลนธาตุอาหารรอง แตถ่ ้า ใชด้ นิ เพาะปลกู ไปนานๆ ธาตอุ าหารรองก็อาจจะหมดไปได้เหมอื นกนั โดยพชื จะแสดงอาการผิดปกตอิ อกมา ทาใหเ้ ราทราบว่า “พืชขาดธาตุอาหารใด” นอกจากน้พี ชื ยงั ต้องการธาตุอาหารเสริมอกี ด้วย เพียงแตต่ อ้ งการนอ้ ยมากแตข่ าดมนั ไม่ไดเ้ ลยสกั อยา่ ง คือ เหลก็ (Fe) แมงกานสี (Mn) โบรอน(B) โมลิบดีนัม(MO) ทองแดง(CU) สงั กะสี(ZN) คลอรนี (Cl) ซึ่งธาตุ อาหารเสริมเหล่าน้มี กั จะมีในดินเกอื บทกุ แหง่

(2) การใชก้ ระบวนการสังเคราะหแ์ สง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เปน็ กระบวนการสรา้ งอาหารของพืชสเี ขียว โดย มีคลอโรฟลิ ล์ทาหนา้ ทีด่ ดู พลงั งานแสงจากดวงอาทติ ย์แลว้ เปล่ยี นสารวตั ถดุ ิบคือนา้ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ใหเ้ ปน็ น้าตาลกลูโคส นา้ และ แก๊สออกซเิ จน (3) การเจรญิ เติบโตของพชื การเจริญเติบโตของพชื หมายถงึ การทพี่ ชื มีการเพิ่มความสูง เพ่ิมขนาด และ มกี ารเปล่ยี นแปลง อวัยวะตา่ งๆ ไปตามขน้ั ตอนของพืชน้ัน ๆ เกณฑ์การวดั การเจรญิ เติบโตของพืช โดยการวัดความสูงของพืช การนับจานวนโครงสรา้ งท่เี พิม่ ขน้ึ การเปลย่ี นแปลงของโครงสรา้ งพชื และการวดั น้าหนักแหง้ ซง่ึ จดั เปน็ เกณฑ์การวัดการเจรญิ เตบิ โตท่ีดีท่ีสดุ ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช ได้แก่ อากาศ น้า แสง แร่ธาตุ และอุณหภมู ิ

Technology (เทคโนโลยี) (1) การเลือกใช้วัสดุ การเลือกวัสดุท่ใี ช้สาหรบั เพาะเมล็ดทานตะวัน การเลือกวัสดทุ ่ีใชส้ าหรับเพาะเมล็ดทานตะวันควรเลือกให้เหมาะสมกับสถานท่ี ปริมาณในการ เพาะตน้ ออ่ นทานตะวนั หากเราตอ้ งการเพาะตน้ ออ่ นทานตะวนั ในปรมิ าณมาก ควรเลอื กวัสดทุ ่ีใช้ทม่ี ขี นาด ใหญข่ น้ึ และเลอื กวัสดทุ ี่มีอายกุ ารใช้งานไดน้ าน และสามานากลบั มาใชใ้ หม่ได้ และมีราคาไมแ่ พงมาก ส่วน วสั ดอุ ื่น ๆ ที่ใช้ในขัน้ ตอนเพาะต้นอ่อนทานตะวนั ควรเลือกใหเ้ หมาะกบั ปริมาณทเ่ี ราเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน การเลือกวสั ดทุ ่ใี ชส้ าหรบั บรรจุตน้ อ่อนทานตะวนั การเลอื กวัสดทุ ่ใี ช้สาหรับบรรจุต้นออ่ นทานตะวนั เป็นหนา้ ตาของผลติ ภัณฑ์ ถ้าเราเลอื กใช้วัสดบุ รรจุ ภณั ฑ์ที่สวยงามกจ็ ะเพิ่มมูลค่าของตวั สินค้าได้ และเป็นวสั ดทุ ่ยี อ่ ยสะลายได้งา่ ย สงผลต่อมลพษิ ทางอากาศน้อย ทีส่ ุด (2) การเลือกชอ่ งทางการจาหนา่ ย

ชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ยทางตรง ชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ยทางออ้ ม ข้อดี ข้อดี 1.ทราบความต้องการลกู ค้าไดด้ ี 1.สินคา้ กระจายไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง 2. สินคา้ ถึงมือผบู้ รโิ ภคอย่างรวดเร็ว 2. มีผมู้ าชว่ ยรบั ความเสี่ยงในการถือครองสนิ ค้า 3.ขายสนิ คา้ ไดใ้ นราคาถกู 3.ประหยดั เวลาและค่าใช้จ่าย ข้อเสีย ขอ้ เสีย 1.กระจายสนิ ค้าไม่ท่ัวถงึ 1.ทราบข้อมูลทางการตลาดเกีย่ วกับผบู้ รโิ ภคนอ้ ย 2.เสยี คา่ ใช้จา่ ยในการขนสง่ 2. ราคาสนิ ค้าจะสูง 3. ผ้ผู ลิตจะตอ้ งรับภาระเกยี่ วกับสินค้าคงเหลอื (3) การแปรรปู ผลิตภัณฑ์ ในปัจจุบนั ต้นอ่อนทานตะวันไดร้ ับความนิยมเปน็ อยา่ งมาก จน สามารถนาไปแปรรูปเป็นชาชงดืม่ รอ้ นๆ ยกตวั อย่าง เชน่ ไร่คณุ ลุงทอ๊ ป ตน้ ออ่ นทานตะวนั ออแกนิค ได้นาต้นออ่ นทานตะวนั มาแปรรปู เปน็ ชา ทานตะวัน โดยมีกล่นิ หอมเยา้ ยวนใจ ไม่แพก้ ล่ินชาใด มาพร้อมกบั ประโยชน์มากมาย เชน่ วติ ามินเอ วิตามินบี โอเมกา 6 โอเมกา 9 คณุ สมบตั ิของนา้ มันทานตะวัน จะยงั อยคู่ รบ เพราะใชว้ ิธีอบแหง้ น้ามนั ในตน้ จะไม่ระเหยไปกบั น้า สามารถชงทานทานเช้า-เยน็ ชว่ ยลดน้าตาล ในเส้นเลอื ดได้ #ขน้ั ตอนการแปรรูป 1.นาตน้ อ่อน มาตากแดด จนแห้ง (สามารถนาต้นท่ี ไมส่ วยมาทาได้ แต่ ไม่ควรเปน็ ต้นทต่ี ดิ โรค โคนเนา่ ใบเน่า ) 2.นาตน้ อ่อนท่ตี ากแดดแหง้ แลว้ มาเข้าเครอื่ งอบ อบจนแหง้ กรอบ 3.นามาเข้าเครื่องป่ันใหเ้ ป็นผง 4.นาบรรจุซองชา ทานเอง หรือแพค็ ขายจาหน่าย Engineering (วิศวกรรมศาสตร์) (1) การออกแบบบรรจภุ ณั ฑ์ บรรจุภณั ฑ์ : เปน็ ศาสตรอ์ นั ดบั ตน้ ๆ ทอี่ ยคู่ ่มู นุษย์มาต้งั แต่ยคุ ดกึ ดาบรรพ์ ประกอบกบั การยงั ชีพด้วย การประกอบอาหารรวมถงึ การคิดค้นภาชนะถนอมอาหาร การปกปอ้ งสนิ ค้าให้อยูใ่ นสภาพท่ดี ี ดังน้นั เพื่อให้ สนิ คา้ อย่ใู นสภาพทดี่ ีไม่ไดร้ บั ความเสียหายระหวา่ งการขนส่ง จึงต้องมีการสรา้ งสรรค์บรรจุภณั ฑ์หลายลกั ษณะ เพอื่ อานวยความสะดวก รักษาคุณภาพ และความปลอดภยั

(2) การออกแบบพ้นื ที่ การออกแบบพืน้ ท่ีการเพาะต้นออ่ นทางตะวนั ในแนวต้ัง แนวคดิ หลกั ของการจัดสวนแนวต้งั ท่วั ไปนนั้ เกิดข้นึ จากการออกแบบที่ตอบโจทย์การอยอู่ าศัยในพน้ื ทนี่ อ้ ย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ กบั วิถชี วี ติ คนเมอื งใน ปัจจบุ นั ที่ต้องมองหาวธิ ีใช้สอยประโยชน์อย่างสงู สุดจากพื้นทท่ี ีม่ ีอยอู่ ย่างจากดั ผสมผสานกบั แนวคดิ สว่ นตวั ท่ีว่า ขยะทใี่ ครๆ ทงิ้ มา หรอื ของที่ถูกละเลยวางทงิ้ ไว้อยา่ งไม่มใี ครสนใจ บางอยา่ งน้นั ยงั มี ประโยชน์แฝงอยู่และสามารถเปลี่ยนเป็นสง่ิ ใหมไ่ ด้ ดว้ ยเคลด็ ลบั ในการออกแบบง่ายๆ เพียงแคส่ ังเกต จดุ เดน่ ของวสั ดนุ ั้น แลว้ นามาประดษิ ฐ์ต่อยอดใหส้ อดคลอ้ งกับประโยชนก์ ารใช้งานของมัน จากนัน้ จึงเพ่มิ ไอเดยี ลงไป เชน่ กรวยกรอกน้า ทมี่ รี ูสาหรบั ระบายน้าได้ดี เม่อื นามาเรียงตอ่ กนั ในแนวตง้ั กจ็ ะสามารถ รดน้าใหท้ ว่ั ถงึ ไดง้ า่ ยๆ จากการรดเพียงครง้ั เดยี ว ถือเป็นการใช้ประโยชนจ์ ากจดุ เดน่ ของวสั ดนุ ัน้ อย่าง เตม็ ท่ี แถมยงั ไดส้ งิ่ ใหมท่ ม่ี คี ุณคา่ ตา่ งไปจากเดิม” ผักทีเ่ หมาะสาหรับการปลูกแบบสวนแนวตงั้ ลกั ษณะน้ี ได้แก่ ผัก เครื่องปรงุ สาหรับโรยหนา้ อาหาร และผักทานยอดหรือใบ อาทิ ตน้ หอม ผักชี ข้ึนฉา่ ย ต้นอ่อนผกั บุ้ง ต้นออ่ นทานตะวัน ผกั วอเตอร์ เครสหรือผกั สลัดน้า Mathematics (คณติ ศาสตร์) (1) การคานวณหาตน้ ทนุ /กาไร การคดิ ตน้ ทนุ หมายถึง วิธีการคดิ คานวณว่า ในการผลติ และขายสินคา้ ชน้ิ หน่ึง ๆ หรอื ขายบรกิ ารอยา่ ง หนึง่ ๆ นั้น เราต้องเสียเงนิ ไปมากนอ้ ยเท่าใด โดยท่วั ไปตน้ ทนุ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้นทนุ ทางตรงและ ตน้ ทนุ ทางออ้ ม ต้นทุนทางตรง หมายถึง ราคาของส่ิงของทีน่ ามาใชใ้ นการผลิตสนิ ค้าหรอื บริการโดยเฉพาะ ไดแ้ ก่ ต้นทุน เกีย่ วกับวตั ถดุ บิ และต้นทนุ เกี่ยวกับค่าแรง ต้นทนุ ทางออ้ ม หมายถึง ตน้ ทนุ ส่วนอื่น ๆ ทมี่ คี วามจาเปน็ ต่อการประกอบธรุ กิจ ได้แก่ ค่านา้ คา่ ไฟฟ้า ค่าเช้ือเพลิง คา่ ใช้จ่าย ในการขาย เปน็ ต้น ต้นทุนทางตรง + ตน้ ทุนทางอ้อม = ตน้ ทนุ รวม

งบกาไรขาดทนุ เปน็ งบการเงินทแ่ี สดงผลการดาเนนิ งานของกิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึง่ เชน่ รอบ ปีบัญชี โดยจะแสดงรายได้ ค่าใช้จา่ ย และ กาไรหรอื ขาดทุนสทุ ธิ ช่วยใหผ้ ู้ใช้ทราบว่าผลกาไรหรือขาดทุนของ กิจการนน้ั มาส่วนใด เพ่ือปรับปรุงการดาเนนิ งาน และ คาดการณผ์ ลการดาเนนิ งานในอนาคต การตงั้ ราคาขาย การกาหนดราคา การกาหนดราคาสนิ คา้ มมี ากมายหลายแบบ แต่สง่ิ ท่สี าคญั ที่สุด ตอ้ งคานงึ ถงึ คือ ราคาสูงสุดทีผ่ ซู้ อื้ สามารถซอื้ ได้ และราคาต่าสดุ ทจี่ ะไดเ้ งินทนุ คนื มา โดยทัว่ ไปนิยมตั้งราคาขายเพม่ิ จากตน้ ทนุ ผลิตประมาณ 20-30 เปอรเ์ ซ็นต์ เมล็ดทานตะวนั 1 กโิ ลกรัมสามารถเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวันได้ถงึ 2.5-8 กิโลกรมั ข้ึนอยกู่ บั พันธ์ุและ การเลย้ี งดู ซึ่งเมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรมั จะมีราคาอยู่ทปี่ ระมาณ 150-250 บาท โดยราคาตามทอ้ งตลาด ในตอนน้ี ต้นอ่อนทานตะวนั ที่ 1 ขดี จะมีราคาอยูท่ ปี่ ระมาณ 15-30 บาท และเมื่อคดิ เป็น 1 กโิ ลกรมั แล้ว กจ็ ะ สามารถทาเงินให้เราได้ถึง 150-300 บาท (2) ระยะเวลาในการเพาะ ระยะเวลาในการเพาะต้นอ่อนทานะตนั ทีจ่ ะเจรญิ เติบโตพอตดั เกบ็ ได้จะอยูป่ ระมาณ 5-7 วนั ดงั ต่อไปน้ี

(3) การช่ัง/การวดั การชงั่ เครอ่ื งช่งั และหนว่ ยทใ่ี ชใ้ นการชัง่ เครื่องชงั่ เป็นเครื่องมือท่ใี ช้บอกน้าหนักสงิ่ ของ เคร่ืองช่ังมหี ลายชนดิ ซ่งึ มคี วามเหมาะสมแตกตา่ งกนั ไป กบั น้าหนักส่ิงของที่จะชั่ง ดงั นั้น จาต้องเลือกเครือ่ งช่ังให้เหมาะสมกับสิง่ ของที่จะชงั่ ดังนน้ั จึงตอ้ งเลือกเครอื่ ง ช่งั ใหเ้ หมาะสมกบั ส่งิ ของท่จี ะช่ัง หน่วยทใี่ ช้ในการชั่ง คือ กิโลกรมั (กก.) และกรัม(ก.) ซึง่ เป็นหน่วยที่ใช้ในการบอกน้าหนัก การเลอื กเครือ่ งชัง่ ใหเ้ หมาะสมกบั สิ่งของทจ่ี ะชง่ั - เครื่องชั่งยา ใชช้ ง่ั ยาสมุนไพร แรธ่ าตขุ นาดเล็ก สารเคมี - เครอ่ื งชั่งสปรงิ ใช้ช่ังส่ิงของทม่ี ีน้าหนักไม่มาก เช่น ผกั ผลไม้ เนอื้ สัตว์ - เคร่อื งชง่ั น้าหนกั ตัว ใชช้ ่งั น้าหนักตวั - เครื่องชง่ั แบบตุ้มเลอ่ื น ใชช้ งั่ สง่ิ ของที่มนี า้ หนักมากๆ เช่น ข้าวสาร หรือน้าตาลทรายเปน็ กระสอบ การชงั่ และการอ่านนา้ หนกั จากเคร่อื งชง่ั ก่อนชง่ั สง่ิ ของบนเคร่ืองชงั่ ตอ้ งชไ้ี ปทต่ี วั เลข 0 เสมอ เมอ่ื วางส่ิงของท่จี ะช่ังแลว้ เข็มจะเคลอื่ นที่ไปยังตวั เลขทเี่ ท่ากบั นา้ หนักของสง่ิ ของน้นั เช่น ถ้าเข็มชไ้ี ปท่เี ลข 2 แสดงว่าของสิง่ น้นั มนี า้ หนกั 2 กิโลกรัม กโิ ลกรมั กรัม ขีด กิโลกรัม กรัม และขีด เปน็ หน่วยทใ่ี ชบ้ อกน้าหนักในการชงั่ ซึง่ มีความสมั พันธ์กนั ดังน้ี น้าหนกั 1 กิโลกรมั เทา่ กบั 1,000 กรมั น้าหนกั 100 กรมั เท่ากบั 1 ขีด น้าหนกั 10 ขดี เท่ากบั 1 กิโลกรัม การวดั การวัด ถือว่าสาคัญมากในทางวิทยาศาสตร์ เรยี กได้วา่ เป็นตัวชวี ัดความกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ เลยทีเดยี ว เพราะการท่เี ราจะเข้าใจธรรมชาติได้ดเี ท่าไรนน้ั ขน้ึ อยู่กับว่าเราจะวดั ปริมาณของธรรมชาตนิ ั้นๆได้ดี เทา่ ไรนั่นเอง

การเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื และการเลอื กวิธีการในการวัดปรมิ าณทางวิทยาศาสตรน์ ัน้ มีดงั น้ี 1.เลอื กใช้เครื่องมือทเี่ หมาะกบั ขนาดของสิง่ ท่ีจะวดั เช่น จะวัดสว่ นสงู กต็ ้องใช้ไมเ้ มตร จะแมน่ ยากวา่ การวัดด้วยไม้บรรทดั เพราะถ้าวดั ด้วยไม้บรรทดั จะตอ้ งวัดต่อกนั หลายคร้ังจะทาใหเ้ กิดความคลาดเคลื่อนขน้ึ ได้ มาก 2.ต้องวดั ซา้ กนั หลายครัง้ แลว้ นามาหาคา่ เฉลี่ย เนอ่ื งจากการวัดแต่ละคร้งั ตอ้ งมคี วามคลาดเคลอื่ นขึ้น เสมอ แตถ่ า้ เราทาการวดั หลายครั้งแล้วมาเฉล่ยี กัน ค่าทไี่ ด้จะน่าเชื่อถอื มากขึน้ 3.เคร่อื งมือที่วดั ตอ้ งไมส่ ง่ ผลไปเปลี่ยนแปลงวตั ถทุ วี่ ดั เชน่ ถ้าเราวัดอณุ หภูมินา้ แก้วหนึง่ ความรอ้ นท่ี เสียไปใหป้ รอทท่เี ราใชว้ ดั ไมม่ ีผลตอ่ การวดั แตถ่ ้าเราวดั ส่งิ ทมี่ ปี รมิ าณนอ้ ยๆ เชน่ หยดนา้ ความร้อนทีเ่ สยี ให้ ปรอทถอื วา่ มีขนาดมากเม่ือเทยี บกบั ความรอ้ นทั้งหมดของหยดน้า จึงไมส่ ามารถเอาปรอทไปวดั โดยตรงได้ตอ้ ง อาศัยวิธอี ื่นทีด่ ีกว่า

ใบความรสู้ าหรบั ผู้รบั บริการ เรื่อง การเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน 1.ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับต้นออ่ นทานตะวัน 1.1 ชนิดของเมลด็ ดนิ น้า ที่ใช้ในการเพาะ เมลด็ ทานตะวนั มีแบบสดี า และแบบลาย แตเ่ มล็ดทานตะวันถูกแบง่ เป็น 4 แบบ (1) เมล็ดทานตะวันแบบดาใหญ่ มีลายอ่อนๆ นิยมนามาทาเมล็ดทานตะวนั คว่ั หรอื อบแห้งขาย เมลด็ แบบน้เี หมาะสาหรบั แทะเมลด็ รับประทาน ในไทยไมน่ ยิ มปลกู พบมากในประเทศจนี (2)เมลด็ ทานตะวนั แบบดาจัมโบ้ เมล็ดกลม นามาปลูกตน้ อ่อนจะใหต้ ้นอ่อนที่อวบใหญ่ ไดน้ ้าหนักมาก แต่รสชาติดีด้อยกวา่ เมลด็ ลายและค่อนขา้ งเหนียว (3) เมล็ดทานตะวนั แบบดาขนาดกลาง ให้ตน้ อ่อนทอ่ี วบ (4) เมล็ดทานตะวนั แบบลาย ได้ต้นอ่อนท่ผี อมเรียวยาว รสชาติดี และไมเ่ หนยี วที่สาคญั เมลด็ ลายจะมี น้ามนั ทานตะวันมากกวา่ แบบอ่ืน ซงึ่ นา่ จะใหป้ ระโยชน์มากกว่าดว้ ย

ประเภทของดนิ เป็นดินที่มเี นือ้ ละเอียด ในสภาพดนิ แหง้ จะแตกออกเปน็ กอ้ นแขง็ มาก เมอ่ื เปยี กน้า แล้วจะมีความยืดหยุน่ สามารถปั้นเป็นกอ้ นหรือคลึงเปน็ เส้นยาวได้ เหนยี ว ดินเหนยี ว เหนอะหนะติดมือ เปน็ ดนิ ทีม่ กี ารระบายนา้ และอากาศไม่ดี แต่สามารถอุ้มนา้ ดดู ยดึ และแลกเปลีย่ นธาตุอาหารพชื ได้ดี เหมาะท่ีจะใชท้ านาปลกู ข้าวเพราะเกบ็ น้าได้ นาน เปน็ ดนิ ท่เี น้ือดนิ ค่อนขา้ งละเอียดนมุ่ มอื ในสภาพดินแห้งจะจบั กันเปน็ ก้อนแข็ง พอประมาณ ในสภาพดินช้นื จะยืดหยนุ่ ไดบ้ ้าง เมื่อสัมผัสหรอื คลึงดนิ จะรสู้ กึ นุม่ มอื แต่ อาจจะรสู้ กึ สากมืออยู่บ้างเล็กนอ้ ย เมอื่ กาดนิ ให้แนน่ ในฝา่ มือแลว้ คลายมือออก ดนิ จะจบั กันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกนั เปน็ ดนิ ท่ีมกี ารระบายน้าไดด้ ีปานกลาง จัดเปน็ เนอ้ื ดนิ ทีม่ ีความเหมาะสมสาหรับการเพาะปลูก ดินทราย เปน็ ดนิ ทม่ี ีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกวา่ ร้อยละ85 เนือ้ ดนิ มีการ ดินถุง เกาะตัวกันหลวมๆ มองเหน็ เป็นเมด็ เด่ียวๆ ได้ ถ้าสมั ผัสดนิ ทีอ่ ยใู่ นสภาพแห้งจะรสู้ ึก สากมอื เมอ่ื ลองกาดินทแ่ี หง้ นไ้ี ว้ในอุง้ มือแล้วคลายมือออกดนิ ก็จะแตกออกจากกนั ได้ แต่ถ้ากาดนิ ท่ีอยู่ในสภาพชื้นจะสามารถทาใหเ้ ป็นก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสมั ผสั จะแตก ออกจากกันทนั ที ทัว่ ไปมีอยหู่ ลายสูตรให้เลือกใช้ แนะนาว่าเลือกถงุ ทบ่ี อกวตั ถุดิบไว้ข้าง ๆ ดีกว่า ปกตแิ ล้วพรรณไม้แตล่ ะชนดิ ตอ้ งการวัสดปุ ลกู ไมเ่ หมือนกัน เช่น ไม้ดอกไม้ ประดับทั่วไปชอบดนิ ทีม่ คี วามร่วนซยุ สงู หากใช้สาหรับเพาะกล้าต้องเก็บ ความชน้ื และระบายน้าไดด้ ี สว่ นแคคตัสและไมอ้ วบนา้ ดินต้องมีความโปร่ง ระบายนา้ และอากาศได้ดี ส่วนใหญ่ดินถุงท่ีวางขายมกั มีความร่วนซยุ แต่มธี าตุ อาหารน้อย

นา้ น้าเปน็ สิ่งจาเปน็ สาหรบั ส่ิงมชี ีวติ ทงั้ พชื และสตั ว์เนื่องจากในส่งิ มีชวี ติ ทุกชนดิ มีนา้ เป็นส่วนประกอบ มากกว่าครง่ึ หนง่ึ ของน้าหนกั ตัวนา้ เป็นสว่ นประกอบสว่ นใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารตา่ งๆชว่ ย ลาเลยี งสารอาหารสารเคมรี วมท้ังแรธ่ าตุต่างๆระหวา่ งเซลล์และนา้ ยังชว่ ยลดอุณหภมู ภิ ายในต้นพชื อีกดว้ ย 1.2 ธาตุอาหารของตน้ อ่อนทานตะวัน ในจานวนธาตอุ าหารท่ีพชื จาเป็นต้องใชเ้ พ่ือการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซ่ึงมีอยู่ 16 ธาตนุ ั้น มี 3 ธาตุ ทีพ่ ืชไดม้ าจากอากาศและน้า คอื คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) ส่วนอีก 13 ธาตนุ น้ั พืช ต้องดูดดงึ ขึ้นมาจากดนิ ซงึ่ ธาตเุ หลา่ นไ้ี ดม้ าจากการผุพังสลายตัวของส่วนทีเ่ ป็นอนนิ ทรยี วัตถุและอนิ ทรียวตั ถุ หรือฮิวมัสในดนิ สามารถแบ่งตามปริมาณทพี่ ืชตอ้ งการใช้ได้ เปน็ 2 กลมุ่ คอื มหธาตุ และจุลธาตุ (2) มหธาตุ (macronutrients) มหธาตหุ รอื ธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปรมิ าณมาก ทีไ่ ดม้ าจากดินมอี ยู่ 6 ธาตุ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ( N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซยี ม (K) แคลเซยี ม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) และกามะถัน (S) แบง่ ได้เป็น 2 กลมุ่ (1.1) ธาตุอาหารหลัก หรอื ธาตปุ ๋ยุ ได้แก่ ไนโตรเจน ( N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซยี ม (K) เนือ่ งจากสามธาตุน้ีพืช

ต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะไดร้ ับจากดนิ ไมค่ อ่ ยเพียงพอกบั ความต้องการ ตอ้ งช่วยเหลอื โดยใสป่ ยุ๋ อยู่ เสมอ (1.2) ธาตุอาหารรอง ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม ( Ca) แมกนเี ซียม (Mg) และกามะถนั (S) เปน็ กล่มุ ท่ีพชื ต้องการใชใ้ น ปริมาณท่ีนอ้ ยกว่าและไม่คอ่ ยมปี ญั หาขาดแคลนในดินทั่วๆไปเหมอื นสามธาตุแรก (2) จลุ ธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสริม (micronutrients) จุลธาตหุ รือธาตอุ าหารที่พชื ต้องการใชใ้ นปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหลก็ ( Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดนิ มั (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรนี (Cl) ไมว่ ่าจะเป็นธาตุอาหารในกลุ่ม มหธาตุหรอื จลุ ธาตุ ต่างก็มีความสาคัญ และจาเปน็ ต่อการเจริญเติบโต ของพชื ไมน่ ้อยไปกว่ากัน เพราะความจรงิ แลว้ ธาตทุ ุกธาตมุ คี วามสาคัญตอ่ การดารงชีพของพืชเท่าๆกนั จะ ตา่ งกนั แต่เพยี งปริมาณท่ีพืชตอ้ งการเทา่ นั้น ดังน้ันพืชจึงขาดธาตใุ ดธาตหุ นึ่งไมไ่ ด้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่ เพียงธาตุเดียว พชื จะหยดุ การเจริญเติบโต แคระแกร็น ไม่ให้ผลผลติ และตายในท่ีสุด หนา้ ท่ีของธาตุอาหารพชื เสรมิ ธาตุอาหารพืชแต่ละชนดิ มคี วามสาคัญต่อการเจริญเตบิ โตของพืชแตกต่างกนั ไปและถา้ พืชไดร้ ับธาตุ อาหารไมเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการก็จะแสดงอาการท่ีแตกต่างกันตามแต่ชนดิ ของธาตุอาหารทีข่ าดแคลนนน้ั ไนโตรเจน มหี น้าทเ่ี ปน็ ส่วนประกอบของโปรตีนชว่ ยให้พชื มีสีเขียว เรง่ การเจรญิ เติบโตทางใบหาก ฟอสฟอรัส พชื ขาดธาตุน้จี ะแสดงอาการใบเหลอื งใบมีขนาดเลก็ ลง ลาตน้ แคระแกร็นและใหผ้ ลผลิต ตา่ มีหนา้ ทชี่ ่วยเรง่ การเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของรากควบคุมการออกดอก ออก ผลและการสรา้ งเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตนุ ี้ระบบรากจะไมเ่ จรญิ เตบิ โตใบแกจ่ ะเปลี่ยนจาก สีเขยี วเป็นสมี ว่ งแลว้ กลายเป็นสีนา้ ตาลและหลุดรว่ งลาต้นแกร็นไมผ่ ลิดอกออกผล โพแทสเซยี ม เปน็ ธาตุทช่ี ว่ ยในการสงั เคราะหน์ า้ ตาลแป้ง และโปรตนี สง่ เสริมการเคลอื่ นยา้ ยนา้ ตาล จากใบไปสูผ่ ลชว่ ยใหผ้ ลเตบิ โตเรว็ และมีคณุ ภาพดีชว่ ยให้พชื แขง็ แรง ตา้ นทานต่อโรคและ แมลงบางชนดิ ถ้าขาดธาตนุ ี้พชื จะไม่แข็งแรงลาต้นอ่อนแอ ผลผลติ ไมเ่ ตบิ โตมคี ณุ ภาพต่า สไี มส่ วย รสชาตไิ ม่ดี

กามะถัน เปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของกรดอะมโิ นโปรตนี และวติ ามนิ ถา้ ขาดธาตนุ ที้ ง้ั ใบบนและใบลา่ ง จะมีสีเหลืองซดี และต้นอ่อนแอ แคลเซยี ม เปน็ องค์ประกอบท่ีช่วยในการแบง่ เซลล์การผสมเกสร การงอกของเมลด็ พืชขาดธาตนุ ใี้ บ แมกนีเซยี ม ท่เี จริญใหม่จะหงกิ งอตายอดไม่เจรญิ อาจมจี ดุ ดาทีเ่ สน้ ใบรากสน้ั ผลแตก และมีคุณภาพ ไม่ดี เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของคลอโรฟลิ ล์ช่วยสังเคราะหก์ รดอะมโิ นวิตามิน ไขมนั และ น้าตาลทาใหส้ ภาพกรดดา่ งในเซลล์พอเหมาะและชว่ ยในการงอกของเมล็ดถ้าขาดธาตนุ ี้ ใบแก่จะเหลืองยกเว้นเสน้ ใบ และใบจะรว่ งหลน่ เรว็ ทองแดง ชว่ ยในการสงั เคราะหค์ ลอโรฟลิ ล์การหายใจ การใชโ้ ปรตนี และแปง้ กระตุ้นการทางาน เหลก็ ของเอนไซม์บางชนิดถา้ พชื ขาดธาตนุ ี้ ตายอดจะชะงักการเจรญิ เติบโตและกลายเป็นสดี า แมงกานสี ใบอ่อนเหลอื ง และพชื ท้งั ต้นจะชะงักการเจรญิ เตบิ โต ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟิลลม์ บี ทบาทสาคัญในการสงั เคราะหแ์ สงและหายใจถา้ ขาด ธาตุนใ้ี บออ่ นจะมสี ีขาวซีดในขณะทใ่ี บแกย่ งั เขียวสด ชว่ ยในการสังเคราะห์แสงและการทางานของเอนไซมบ์ างชนิดถ้าขาดธาตนุ ใ้ี บออ่ นจะมีสี เหลืองในขณะท่เี สน้ ใบยังเขียวตอ่ มาใบที่มีอาการดังกลา่ วจะเหย่ี วแล้วร่วงหลน่

โมลิบดินมั ช่วยใหพ้ ืชใชไ้ นโตรเจนให้เปน็ ประโยชน์และเกีย่ วข้องกบั การสงั เคราะห์โปรตนี ถา้ ขาดธาตุ สังกะสี นี้พชื จะมอี าการคลา้ ยขาดไนโตรเจนใบมลี ักษณะโค้งคล้ายถว้ ยปรากฏจุดเหลืองๆ ตาม แผ่นใบ ชว่ ยในการสงั เคราะหฮ์ อรโ์ มนออกซนิ คลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตนุ ้ีใบอ่อนจะมสี ี เหลืองซีดและปรากฏสขี าวๆประปรายตามแผน่ ใบ โดยเสน้ ใบยังเขียวรากสั้นไม่เจรญิ ตามปกติ 1.5 การสังเคราะหแ์ สง ความสาคัญของการสงั เคราะหด์ ้วยแสง พืชสเี ขยี วมบี ทบาทสาคญั มากต่อสิ่งมชี ีวิตทกุ ชนดิ บนพืน้ โลก รวมทัง้ มนุษยเ์ ราด้วย เพราะเปน็ จดุ เร่มิ ตน้ ของกา รใช้พลงั งาน โดยการนาพลังงานแสงมาเปล่ยี นเป็นพลงั งานเคมใี นรปู ของอาหารเก็บไว้ในรูป ของเนอ้ื เย่อื ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั พลังงานเหล่านจ้ี ะถา่ ยทอดไปสสู่ ตั วแ์ ละคนท่กี นิ พืชและ สัตวเ์ ปน็ อาหาร นอกจากนก้ี ระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ยงั ได้แก๊สออกซเิ จนและไอนา้ ซึง่ จะถกู ปล่อยออกจาก ใบสู่อากาศส่วนพชื ในนา้ กป็ ล่อยออกซเิ จนสแู่ หลง่ นา้ สตั วท์ ้ังในน้าและบนบกไดน้ าแกส๊ ออกซิเจนไปใช้ใน กระบวนการหายใจ กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ตอ้ งใช้แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ เปน็ สารตง้ั ตน้ ในปฏิกริ ยิ า ดังนน้ั พืชสเี ขียวจึงมีประโยชนช์ ่วยลดปรมิ าณของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ท่ีเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่ง เปน็ สาเหตุของภาวะโลกรอ้ น ดังน้นั จงึ กล่าวไวว้ ่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเปน็ กระบวนการทม่ี คี วามสาคญั อยา่ งย่งิ ต่อการ ดารงอย่ขู องสง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ บนโลกใบนี้ กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื นา้ ตาลเปน็ สารชนิดแรกทีพ่ ืชสรา้ งขึน้ ไดเ้ องกอ่ นที่จะเปลีย่ นรปู ไปเป็นแป้งและสารอืน่ ๆ ตอ่ ไป กระบวนการสร้างนา้ ตาลของพืชเราเรียกวา่ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ( Photosynthesis) ซงึ่ พืชต้อง อาศัยปัจจัยหลายอย่างในกระบวนการน้ี ปจั จยั ท่ีพืชใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง

ปจั จยั สาคญั ทพี่ ืชจาเปน็ ตอ้ งนาไปใช้ในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ไดแ้ ก่ 1) คลอโรฟลิ ล์ มอี ยใู่ นคลอโรพลาสต์ 2) แสง คลอโรฟลิ ล์จะดดู ซับพลังงานแสงเข้ามาในใบพชื 3) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ พชื จะรับเขา้ มาทางปากใบทีเ่ ปิดในเวลากลางวนั 4) น้า รากพืชจะดดู น้าข้ึนมาแลว้ ลาเลียงต่อไปยงั ใบโดยผา่ นทางลาต้นพชื จากปจั จยั ท่ีใช้ในการสังเคราะหด์ ้วยแสงดงั กล่าว แสดงว่ากระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงตาม ธรรมชาติจะเกิดข้นึ ในชว่ งเวลาทมี่ ีแสงเทา่ นน้ั คอื ช่วงเวลากลางวันโดยใช้แสงจากดวงอาทิตย์ สง่ิ ทีเ่ กดิ ขน้ึ จากกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง พืชตอ้ งการแก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้าเปน็ สารต้งั ต้นในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง โดยมีคลอโรฟลิ ล์ และแสง เป็นตวั กระตุ้น ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ด้ คือ น้าตาลกลโู คส และ แก๊สออกซเิ จน ซ่งึ สามารถเขยี นปฏิกิริยาท่ี เกิดขน้ึ ไดด้ ว้ ยสมการเคมีทเ่ี รยี กวา่ สมการการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ดังนี้ 6CO2 + 6H2O แสง C6H12O6 + 6O2 + 6H2O แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ นา้ คลอโรฟลิ ล์ นา้ ตาลกลูโคส แกส๊ ออกซิเจน นา้ ในใบพืชทม่ี ีสีอ่นื เชน่ สีแดง สีเหลือง หรือสนี า้ ตาล เช่น ใบโกสน หรือใบฤาษผี สมกม็ ีคลอโรฟลิ ล์อยู่ แตเ่ นื่องจากมปี รมิ าณคลอโรฟลิ ลน์ ้อย จึงทาให้มองเห็นสเี ขยี วได้ไม่ชัดเจน แต่ใบพชื เหลา่ น้ียังสามารถสร้าง อาหารไดเ้ ช่นกนั ส่วนใบพืชที่กลายพนั ธุเ์ ป็นสีขาวจะไมส่ ามารถสร้างอาหารได้ หากกลายพันธ์หุ มดทั้งตน้ จะ เรยี กว่า พชื เผอื ก ซง่ึ ต้นพชื จะมีสีขาวทั้งต้นและมีชวี ิตอยู่ไดไ้ ม่นาน เชน่ ขา้ วโพดเผอื ก จะไมส่ ามารถ เจรญิ เติบโตจนออกฝักได้

1.6 ปจั จยั ทมี่ ีผลกระทบตอ่ การเจริญเตบิ โตของต้นออ่ นทานตะวัน ปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื แสงแดด พชื จาเป็นต้องใช้แสงแดดในการสรา้ งอาหารหรือทเี่ รยี กว่า กระบวนการสงั เคราะห์ด้วย แสง จากกระบวนการนจ้ี ะไดอ้ าหารของพืช คือ นา้ ตาลกลโู คส ซ่งึ พชื อาจเก็บไวใ้ นรูปของ แปง้ นอกจากน้ียงั ได้น้าและแกส๊ ออกซิเจนเปน็ ผลพลอยไดท้ ี่สาคัญอย่างย่งิ ต่อมนุษยแ์ ละ สตั ว์ แรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงโนม้ ถว่ งของโลกมผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยลาตน้ จะมกี ารเจรญิ เติบโตตา้ นแรง โน้มถ่วงของโลก ส่วนรากจะมีการเจรญิ เติบโตตามแนวแรงโนม้ ถ่วงของโลก อากาศ ในอากาศมีแก๊สออกซิเจนเป็นสว่ นประกอบประมาณร้อยละ 20 แกส๊ ออกซิเจนเป็น สง่ิ จาเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช เนือ่ งจากกระบวนการหายใจทีเ่ กดิ ข้ึนภายในเซลล์พชื เป็นกระบวนการที่แกส๊ ออกซเิ จนรวมตวั กบั นา้ ตาลกลูโคส เพ่อื ให้ได้พลังงานมาใช้ในการ ทางานของเซลลพ์ ชื น้า นา้ เป็นสิ่งจาเปน็ สาหรบั สงิ่ มชี ีวิตท้ังพืชและสัตวเ์ นอื่ งจากในสงิ่ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ มีนา้ เป็น ส่วนประกอบมากกวา่ ครง่ึ หนง่ึ ของน้าหนกั ตัวนา้ เปน็ สว่ นประกอบสว่ นใหญภ่ ายในเซลล์ ช่วยละลายสารอาหารตา่ งๆชว่ ยลาเลยี งสารอาหารสารเคมรี วมทง้ั แรธ่ าตุตา่ งๆระหว่าง เซลล์และนา้ ยงั ช่วยลดอุณหภูมิภายในต้นพืชอีกด้วย แรธ่ าตุ ในการเจริญเติบโตของพืชแร่ธาตุชว่ ยในการทางานของระบบตา่ งๆให้ดาเนินไปไดด้ ว้ ยดี เมอื่ พชื ขาดแรธ่ าตุบางชนดิ จะมผี ลทาให้กา รเจรญิ เติบโตของพืชผดิ ปกตซิ ึง่ สังเกตได้จาก ลักษณะของลาตน้ ใบดอกและผลจะมีลกั ษณะผดิ ปกตแิ รธ่ าตุหลักที่พชื ตอ้ งการได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนเี ซียม (Mg) กามะถัน (S) แร่ธาตุทีพ่ ชื ตอ้ งการในปริมาณรองลงมาเชน่ เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu)

2.การเพาะเมล็ดตน้ อ่อนทานตะวัน 2.1 วสั ดุอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเพาะต้นออ่ นทานตะวัน 2.1.1 กะละมัง 2.1.2 ผา้ ขนหนูหรือกระสอบป่าน 2.1.3 ถาดเพาะ 2.1.4 ชั้นวาง 2.1.5 ตาขา่ ยกรองแสง 2.1.6 ตาช่งั 2.1.7 หัวฉดี น้า 2.1.8 กระชอนตกั เมล็ด 2.1.9 ดินปลกู 2.1.10 เมลด็ ทานตะวนั แบบดาและแบบลาย 2.1.11 มีดหรอื กรรไกร 2.1.12 ถุงบรรจุ 2.1.13 ไมบ้ รรทดั 2.1.14 ตลบั เมตร 2.1.15 สายวัด 2.2 ขน้ั ตอนในการเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั ขนั้ ตอนท่ี 1 นาเมล็ดแชน่ ้า 4-6 ชม. ระหวา่ งแช่จะมฟี องอากาศซ่ึงเกิดจากนา้ เข้าไปในเมล็ดครบั หลังจากนนั้ เทน้าออก ขนั้ ตอนท่ี 2 นาเมล็ดบ่มในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทุก ๆ 5 ชม. ให้คนกลบั ไปกลบั มา เมลด็ จะเรม่ิ งอก เป็นตมุ่ ๆ ดงั ภาพ แสดงวา่ เร่มิ เพาะไดแ้ ล้ว ใหเ้ รานาดินใส่ถาดท่เี ตรยี มไว้

ขั้นตอนที่ 3 โรยเมลด็ ลงดิน โดยไมใ่ หห้ นา หรอื บางจนเกนิ ไป ขน้ั ตอนที่ 4 โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้าพอชมุ่ ข้ันตอนที่ 5 นาถาดมาซอ้ นกนั ประมาณ 1 คืน หลงั จากนน้ั ให้นาถาดออกมารดนา้ ตามปกติ ข้ันตอนท่ี 6 แยกถาดออกไวใ้ นร่ม รดน้าวนั ละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

ขนั้ ตอนที่ 7 เข้าสู่วันที่ 3 รดน้าตอ่ วนั ละ 2 คร้งั เช้า-เยน็ พอประมาณ ขน้ั ตอนที่ 8 เขา้ สู่วนั ที่ 4 รดนา้ บาง ๆ เพือ่ ให้ดนิ หลดุ จากใบ สามารถเรมิ่ เก็บเมลด็ ทตี่ ิดใบออกได้ รดน้าเช้า - เย็นตอ่ ขั้นตอนที่ 9 เข้าสู่วนั ที่ 5 รดนา้ ตอ่ เช้า-เยน็ พอประมาณ ขนั้ ตอนที่ 10 เข้าสู่วันที่ 6-7 รดนา้ เชา้ -เย็นปกติ และนาออกมารับแสงในวนั ที่จะตดั ตน้ จะเรมิ่ เขยี ว สามารถ ตดั ได้ในวันท่ี 6-7 หรอื มากกว่าก็ไดค้ รบั แลว้ แตค่ วามยาวของต้น

ใบกิจกรรมสาหรับผรู้ ับบริการ เรื่อง การเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน วตั ถปุ ระสงค์ เมอ่ื สนิ้ สดุ แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้แู ลว้ ผรู้ ับบริการสามารถ 3. อธิบายความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกับการเพาะต้นอ่อนทานตะวนั 4. อธิบายและทดลองการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน เนอ้ื หา 3. ความรู้เบื้องตน้ เก่ียวกับต้นออ่ นทานตะวนั 3.1 ชนดิ ของเมล็ดดิน น้า ทใ่ี ช้ในการเพาะ 3.2 ธาตุอาหารของต้นออ่ นทานตะวนั 3.3 การสังเคราะหแ์ สง 3.4 ปัจจัยทมี่ ผี ลกระทบต่อการเจรญิ เตบิ โตของตน้ อ่อนทานตะวัน 4. การเพาะเมล็ดต้นออ่ นทานตะวนั 2.1 วสั ดอุ ุปกรณท์ ี่ใช้ในการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน 2.2 ข้นั ตอนในการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน คาชีแ้ จง ให้ผรู้ ับบริการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมอธิบายและทดลองการเพาะต้นออ่ นทานตะวันจากวสั ดอุ ุปกรณท์ ี่ จดั เตรยี มไว้ให้ พร้อมทง้ั ตอบคาถาม บันทึกขน้ั ตอนการเพาะ และผลการทดลองการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ออ่ น ทานตะวัน ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 1. ชนดิ ของเมล็ดตน้ ออ่ นทานตะวันทเี่ ลอื กใชใ้ นการเพาะ เพราะอะไรจึงเลือกเมลด็ ชนิดแบบน้ี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อการเจริญเติบโตของตน้ ออ่ นทานตะวัน ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….... 3. จงลาดบั ขัน้ ตอนในการเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน พร้อมทัง้ ระบุปัญหาระหว่างการทดลองเพาะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………............................ .......................................................................................................................................................................

4. จงระบุแนวทางการแกป้ ัญหาระหว่างการทดลองเพาะตน้ ออ่ นทานตะวนั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….……………. 5. จงบันทึกผลการเจรญิ เติบโตของตน้ ออ่ นทานตะวันใน 1 สปั ดาห์ โดยวดั จากขนาดความสูงของต้น อ่อนทานตะวนั พร้อมท้งั สรุปผลการทดลองเพาะต้นอ่อนลงในตารางต่อไปน้ี ชนิดของเมล็ด ผลการเจรญิ เตบิ โตของต้นออ่ นทานตะวัน (ซม.) วนั ที่ 1 วนั ท่ี 2 วันที่ 3 วันที่ 4 วนั ท่ี 5 วนั ท่ี 6 วนั ท่ี 7 แบบท่ี 1 ............ แบบท่ี 2 ............ สรปุ ผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….