ระบบนิเวศ ประเภทของระบบนิ เวศ 1. ระบบนเิ วศอสิ ระ เป็ นระบบนเิ วศทพี ลังงานและสารอาหาร เคลือนย้ายและหมนุ เวียนอยู่เฉพาะภายในระบบ ไม่มกี าร เคลือนย้ายและหมุนเวียนกบั ระบบอืนภายนอก 2. ระบบนิเวศปิ ด เป็ นระบบนิเวศทีมกี ารเคลือนย้ายและหมุนเวียน เฉพาะพลังงานระหว่างภายในและภายนอกระบบ เช่น กรณีของ อ่างหรือตู้เลียงปลา 3. ระบบนิเวศเปิ ด เป็ นระบบนเิ วศทปี รากฏในธรรมชาตทิ วั ไป โดย เคลือนย้ายและหมุนเวียนของพลังงานและสารอาหารระหว่าง ภายในและภายนอก ความหมาย ประเภทของระบบนิเวศในระบบเปิ ด 2 ประเภท l ระบบนิเวศ หมายถึง โครงสร้ างระบบความสัมพันธ์ 1. ระบบนเิ วศธรรมชาติ มี 2 ระบบย่อยคอื ระหว่างสงิ มชี ีวติ กบั สงิ ต่างๆ ในบริเวณพนื ทหี นึงๆ 1.1 ระบบนิเวศภาคพืนดิน (ทวีป) เป็ นระบบนิเวศที ส่วนประกอบต่าง ๆ และกระบวนการทาํ งานของระบบเกิดขึน l หน่วยพืนทีหนึงๆ ทีประกอบด้วยสังคมของสิงมีชีวิต บนพืนดิน จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้ อม กับสิงแวดล้อมซึงต่างมีกิจกรรมและหน้ าทีร่ วมกัน กายภาพ เช่ น ภูมิอากาศ ความสูงของพืนที จะมีลักษณะ อย่างเป็ นระบบ แตกต่างกัน โดยจะพจิ ารณาได้จากพืชพันธ์ุธรรมชาติ ความหมาย ระบบนิเวศภาคพนื ทวปี ระบบนิเวศ ( Ecosystem) หมายถงึ ระบบของ ความสมั พนั ธข์ องสิงมีชีวิตและสิงไม่มชี ีวิตทีอยู่ ร่วมกนั ในพืนทีแห่งใดแห่งหนึง โดยมีความสมั พนั ธ์ กนั มีการถา่ ยโยงพลงั งานและสารอาหารให้แก่กนั และกนั ในระบบ ซึงแต่ละระบบนิเวศจะมคี วาม สมั พนั ธร์ ว่ มกนั คือ 1
ระบบนิเวศแบบทะเลทราย ระบบนิเวศทนุ ดรา มีลกั ษณะเป็นทงุ่ หิมะอยเู่ หนือเสน้ รุ้ง 60 องศา เหนือไปจนถึงบริเวณขวั โลกมีอากาศหนาวเยน็ ตลอดปี พืนทีส่วน ใหญ่ปกคลมุ ดว้ ยนาํ แขง็ มีช่วงฤดรู ้อนสนั ๆ ฝนตกนอ้ ย ระบบนเิ วศแบบทุนดรา ระบบนเิ วศทุ่งหญ้า มีลกั ษณะเป็ นทีราบ สิงมชี ีวติ ส่วนใหญ่เป็ น ต้นหญ้า พบได้ในส่วนต่าง ๆ ของโลกหลายทวีป มีปริมาณนาํ ฝน 10-30 นิวต่อปี มอี ตั ราการระเหยของนําสูง จงึ ทาํ ให้สามารถพบ สภาวะแห้งแล้งได้ในบางช่วงเวลา ระบบนเิ วศทุ่งหญ้าจะสามารถ แบ่งได้เป็ น 2 ชนดิ คอื ทุ่งหญ้าเขตอบอ่นุ (temperate grassland) และ ทุ่งหญ้าเขตร้อน (tropical grassland) ระบบนิเวศทะเลทราย เป็ นระบบนิเวศทีครอบคลุมพืนที ระบบนิเวศแบบท่งุ หญ้าเขตอบอ่นุ ประมาณ 18% ของพืนทบี นโลก พบได้ในบริเวณแถบเส้นทีรุ้ง ที 10 องศาเหนือและใต้ มีลักษณะเป็ นพืนทีทมี ีปริมาณฝนตก น้อยกว่า 10 นิวต่อปี แต่อัตราการระเหยของนําสูงมาก ซึงสูง กว่ าปริมาณฝนทีตกลงมา 5-7 เท่า มีความแตกต่ างของ อุณหภมู ิในเวลากลางวันกบั กลางคืนอย่างชัดเจน โดยในช่วง เวลากลางวันจะมีอุณหภมู ิเฉลยี สูงกว่า 35 องศาเซลเซียส ส่วน ในเวลากลางคืนมีอากาศหนาวเยน็ ในบางแห่งอาจมีอุณหภมู ิ ตาํ กว่า 0 องศาเซลเซียส สภาพแวดล้อมทวั ไปไม่เหมาะต่อการ ดาํ รงชพี ของสิงมีชีวิต 2
ระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าเขตร้อน ป่ าไมไ้ มผ่ ลดั ใบ (evergreen forest) ป่ าไมป้ ระเภทนี จะเป็นป่ าทีมีความเขียวชอมุ่ ตลอดทงั ปี ไม่มีระยะเวลาผลดั ใบที แน่นอน เมือใบเก่าแหง้ เหียวร่วงไปจะมีการงอกใบใหมข่ ึนทดแทน ทนั ที ซึงสามารถจาํ แนกออกเป็น 6 ประเภท คือ ป่ าสน ป่ าดงดิบ ป่ าดิบเขา ป่ าชายเลน ป่ าพรุ และป่ าชายหาด ระบบนิเวศป่ าไม้ เป็นระบบนิเวศซึงมีตน้ ไมช้ นิดต่าง ๆ เป็นสิงมีชีวิต ระบบนเิ วศแบบป่ าไม้ : ป่ าไม้ไม่ผลดั ใบ หลกั มีความแตกตา่ งของระบบนิเวศตามลกั ษณะสภาพภูมิศาสตร์และ ระดบั ความสูงจากนาํ ทะเล โดยจะสามารถจาํ แนกระบบนิเวศป่ าไมไ้ ด้ l ป่ าสนหรือป่ าสนเขา เป็น 2 กลุม่ ใหญ่ ๆ คือ ป่ าไมผ้ ลดั ใบและป่ าไมไ้ มผ่ ลดั ใบ • ป่ าดิบชืนหรือป่ าดงดิบ ป่ าไมผ้ ลดั ใบ (deciduous forest) เป็นป่ าทีมีตน้ ไมส้ ่วนใหญ่ เป็นไมผ้ ลดั ใบในฤดแู ลง้ และจะผลิใบใหม่ในฤดฝู น พบไดท้ งั ใน เขตอบอนุ่ และเขตร้อน ป่ าไมผ้ ลดั ใบเขตร้อนนีมีลกั ษณะเป็นป่ า โปร่งมีตน้ ไมข้ ึนกระจดั กระจาย ป่ าไมผ้ ลดั ใบเขตร้อนนีพบไดถ้ ึง ร้อยละ 70 ของเนือทีป่ าในประเทศไทย ระบบนิเวศแบบป่ าไม้ : ป่ าไม้ผลดั ใบ ระบบนเิ วศแบบป่ าไม้ : ป่ าไม้ไม่ผลดั ใบ (ต่อ) l ป่ าเบญจพรรณหรือป่ าผสมผลดั ใบ l ป่ าดบิ ภูเขา • ป่ าแพะ หรือป่ าแดง หรือป่ าโคก • ป่ าชายเลน 3
ระบบนเิ วศแบบป่ าไม้ : ป่ าไม้ผลดั ใบ (ต่อ) ระบบนิเวศภาคพืนนาํ : ระบบนิเวศนาํ กร่อย l ป่ าพรุ • ป่ าชายหาด 1.2 ระบบนิเวศภาคพนื นาํ เป็ นระบบนเิ วศทสี ่วนประกอบต่าง ๆ ระบบนิเวศภาคพนื นาํ : ระบบนิเวศนาํ เคม็ และกระบวนการทํางานของระบบเกดิ ขึนในบริเวณแหล่งนาํ ธรรมชาตติ ่าง ๆ ซึงมสี ภาพแวดล้อมทางกายภาพทีแตกต่างกนั แบ่งเป็ น l ระบบนเิ วศนําจดื เป็ นระบบนิเวศทปี รากฏในแหล่งนาํ ธรรมชาติ เช่น หนองนํา ทะเลสาบ แม่นาํ l ระบบนเิ วศนาํ กร่อย เป็ นระบบนเิ วศทีปรากฏอยู่ในแนวบริเวณ ทีเชือมต่อระหว่างระบบนิเวศนาํ จดื และนาํ เคม็ l ระบบนิเวศนาํ เคม็ เป็ นระบบนิเวศทปี รากฏอยู่ในบริเวณเป็ น ทะเลและมหาสมุทรต่างๆ ของโลก เช่น บริเวณเขตทะเล นํา ตนื เขตมหาสมุทร ระบบนเิ วศภาคพนื นํา : ระบบนิเวศนาํ จดื ระบบนิเวศสร้างเสริม l แหล่งนํานิง l ระบบนิเวศกึงธรรมชาติหรือระบบนิเวศชนบท – เกษตรกรรม เป็ นระบบนิเวศทีมนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วม – เขตชายฝัง ในกระบวนการผลิตและเคลอื นย้ายหมุนเวยี นพลังงาน – เขตผวิ นําหรือกลางนาํ และสารอาหารโดยปัจจัยพืนฐานต่างๆ ในธรรมชาติ – เขตก้นนํา เช่น ดนิ นําธรรมชาติ และพลังงานแสงอาทติ ย์ l แหล่งนําไหล – เขตนําเชียว – เขตนําไหลเออื ย 4
องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ (Ecosystem components) l ระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม เป็ นระบบทมี นุษย์ องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ เข้าไปมสี ่วนร่วมและหรือทดแทน ตลอดจนดาํ เนินการ น อ ก เ ห นื อ ไ ป จ า ก ก ร ะ บ ว น ก า ร แ ล ะ ก ล ไ ก ล ข อ ง องคป์ ระกอบทมี ชี วี ติ องคป์ ระกอบทไี มม่ ชี วี ติ ธ ร ร ม ช า ติ อี ก ลั ก ษ ณ ะ ห นึ ง โ ด ย นํ า เ อ า วั ต ถุ ดิ บ จ า ก -ผผู้ ลติ -ประเภททมี ลี กั ษณะทางกายภาพ ธรรมชาตแิ ละระบบนิเวศกงึ ธรรมชาตมิ าแปรสภาพให้ -ผบู้ รโิ ภค (อุณหภมู ิ แสงแดด นํา อากาศ) กลายเป็ นผลติ ภณั ฑ์สาํ เร็จรูป -ผยู้ อ่ ยสลาย -ประเภททมี ลี กั ษณะทางเคมี (ธาตุต่างๆ) องคป์ ระกอบทีมีชีวิต 1. ผ้ผู ลิต (Producer หรอื Autotroph) หมายถึง สิงมชี ีวิตที สามารถสงั เคราะหอ์ าหารได้ มี 2 ประเภท คือ 1ต.อ1นสพงั ืชเค(รPาhะyหtoอ์ pาlหanาkรtเoอnง)ไดโด้ ยไใดชแ้ ้พกล่ พงั งชื าสนีเขจียากวแแสพงลองากท์ิตย์ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ : ผ้ผู ลติ ผู้ผลติ ระบบนิเวศ ผ้ผู ลติ ระบบนเิ วศนาํ จดื ผ้ผู ลติ ระบบนิเวศทะเล 5
ผผู้ ลิต องคป์ ระกอบทีมีชีวิต 1.2 ได้อาหารจากสิงมชี ีวิตชนิดอืน ผ้ผู ลิตบาง 3. ผ้ยู อ่ ยสลาย (Decomposers or Saprotrops) หมายถงึ พวกสามารถกินสตั วไ์ ด้เพราะต้องการนําธาตุ สิงมชี ีวิตทีไมส่ ามารถสรา้ งอาหารเองได้ ดาํ รงชีวิตโดย ไนโตรเจน ไปสร้างเนือเยอื พืชพวกนีไดแ้ ก่ ต้น การปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมายอ่ ยอินทรียส์ ารทีอยใู่ นซากพชื หมอ้ ข้าวหมอ้ แกงลิง กาบหอยแครง ซากสตั วไ์ ด้แก่ รา (Fungi) กบั แบคทีเรีย (Bacteria) องคป์ ระกอบทีมีชีวิต องค์ประกอบของระบบนิเวศ : ผู้ย่อยสารอนิ ทรีย์ 2. ผ้บู ริโภค (Consumer) หมายถงึ สิงมชี ีวิตทีไมส่ ามารถ สร้างอาหารเองได้ จาํ เป็นต้องบริโภคผ้ผู ลิต หรอื ผ้บู ริโภคด้วยกนั เองเป็นอาหาร แบง่ เป็นกลุม่ ยอ่ ยได้ดงั นี 2.1 ผ้บู ริโภคทีกินพืชเป็นอาหาร (Herbivore) 2.2 ผบู้ ริโภคทีกินสตั วเ์ ป็นอาหาร (Carnivore) 2.3 ผ้บู ริโภคทีกินทงั พืชและสตั ว์ (Omnivore) 2.4 ผ้บู ริโภคทีกินซากพืชซากสตั ว์ (Detritivore or Scarvenger) องค์ประกอบของระบบนเิ วศ : ผู้บริโภค องคป์ ระกอบทีไมม่ ีชีวิต ผู้บริโภคอนั ดบั ที 1 1. อนินทรียสาร (Inorganic substance) เช่น คารบ์ อน ผู้บริโภคอนั ดบั ที 2 คารบ์ อนไดออกไซด์ นํา ออกซิเจน เป็นต้น ผ้บู ริโภคอนั ดบั ที 3 2. อินทรียสาร (Organic substance) เช่น คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ไขมนั เป็นต้น 3. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) เช่น แสง อณุ หภมู ิ อากาศ ความเป็นกรด-ด่าง เป็นต้น 6
ปัจจยั ทีมีผลต่อความสมั พนั ธใ์ นระบบนิเวศ 1. ปจั จยั ทางกายภาพ ได้แก่ สภาพแวดล้อมทีไรช้ ีวิต 1.1 แสง 1.2 อณุ หภมู ิ 1.3 แร่ธาตุ 1.4 ความชืน ปัจจยั ทีมีผลต่อความสมั พนั ธใ์ นระบบนิเวศ 2. ปัจจยั ทางชีวภาพ ได้แก่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิงมชี ีวิต ด้วยกนั 2.1 ภาวะพงึ พากนั (Mutualism) ทงั สองฝ่ ายเมอื อยู่ รว่ มกนั แลว้ ต่างกใ็ ห้ประโยชน์แก่กนั 2.2 ภาวะไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั (Protocooperation) คล้าย ภาวะพึงพากนั แต่ตงั คไู่ มไ่ ด้อยดู่ ว้ ยกนั ตลอดเวลา 2.3 ภาวะเกือกลู กนั (Commensalism) ฝ่ ายหนึงได้ ประโยชน์ อีกฝ่ ายหนึงไมไ่ ด้และไมเ่ สีย ปัจจยั ทางชีวภาพ(ต่อ) ความสมั พนั ธเ์ ชิงอาหารของสิงมีชีวิต (Food relationship) 2.4 ภาวะล่าเหยือ (Predation) ฝ่ ายได้ประโยชน์คือผ้ลู ่า(Predator) ฝ่ ายเสียประโยชน์คือเหยือ (Prey) 1. ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) คือ การกินต่อกนั เป็นทอดๆ มี ลกั ษณะเป็นเส้นตรง สิงมชี ีวิตหนึงมกี ารกินอาหารเพียงชนิด 2.5 ภาวะมปี รสิต (Parasitism) ฝ่ ายได้ประโยชน์คือปรสิต (Parasite) เดียว ซึงเขียนเป็นลกู ศรต่อกนั แบ่งออกเป็น 3 แบบ ฝ่ ายเสียประโยชน์คือ ผ้ใู ห้อาศยั (Host) 1.1 ห่วงโซ่อาหารแบบจบั กิน (Predator chain) เป็นห่วง โซ่อาหารทีเริมต้นจากพืชไปยงั สตั วก์ ินพืช สตั วก์ ินสตั ว์ 2.6 ภาวะการณ์แข่งขนั กนั (Competition) ต่างแก่งแย่งอาหารและที ตามลาํ ดบั เช่น อยู่ จึงทาํ ให้เสียประโยชน์ทงั คู่ อาจรนุ แรงจนกระทงั อย่ฝู ่ ายหนึง ข้าวโพด → ตกั แตน → นก ตายฝ่ ายหนึง หรืออย่ทู งั ค่กู ไ็ ด้ 2.7 ภาวะเป็นกลาง (Neutralism) อาศยั อยู่ในแหล่งเดียวกนั แต่ต่าง ฝ่ าย ต่างอยู่ 7
ห่วงโซ่อาหาร 1.2 ห่วงโซ่อาหารแบบยอ่ ยสลาย หรือแบบเศษอินทรีย์ (Saprophytic chain or Detritus chain) เป็นห่วงโซ่ อาหารทีเริมต้นจากซากอินทรียถ์ กู สลายโดยจลุ ินทรยี ์ แล้วจึงถกู กินต่อไปโดยสตั วท์ ีกินเศษอินทรยี แ์ ละผลู้ า่ ต่อไป ตามลาํ ดบั เช่น ซากพืชซากสตั ว์ → ไส้เดือนดิน → นก → งู ห่วงโซ่อาหาร หน้าทีของระบบนิเวศ (Ecosystem function) 1.3 ห่วงโซ่อาหารแบบพาราสิต (Parasitic chain) เป็นห่วง หน้าทีทีสาํ คญั ของระบบนิเวศประกอบด้วย 2 โซ่อาหารทีเริมจากผถู้ กู อาศยั ไปยงั ผอู้ าศยั อนั ดบั หนึง ส่วน คือการถา่ ยทอดพลงั งาน และการหมนุ เวียน ของธาตอุ าหารในระบบนิเวศ แลว้ ไปยงั ผอู้ าศยั ลาํ ดบั ต่อๆ ไป เช่น แบคทีเรีย ไก่ → ไรไก่ → โปรโทซวั → แบคทีเรีย → ไวรัส ความสมั พนั ธเ์ ชิงอาหารของสิงมีชีวิต 1. การถ่ายทอดพลงั งาน (Energy Flow) การเคลอื นยา้ ยพลงั งานจากระดบั การสง่ ถา่ ย 2. สายใยอาหาร (Food Web) Ø คือการถา่ ยทอดพลงั งานเคมีในรปู อาหารระหว่างสิงมชี ีวิต พลงั งานหนึง ไป ยงั อีกระดบั หนึง เช่น การ เคลอื นยา้ ยพลงั งานจากพชื ไปส่สู ตั ว์ หลายๆ ชนิดมารวมกนั ทาํ ให้เกิดการถ่ายทอดพลงั งานที ซบั ซ้อน - ห่วงโซ่อาหาร Ø การถา่ ยทอดพลงั งานจะไหลไปในทิศทางเดียว เริมจาก - สายใยอาหาร ผผู้ ลิตไปยงั ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ต่างๆ Ø มีการสญู เสียพลงั งานในแต่ละลาํ ดบั ขนั ของการบริโภค Ø ไม่มีการเคลือนกลบั เป็นวฏั จกั ร 8
การถา่ ยทอดพลงั งาน วฏั จกั รของนํา ในการถา่ ยทอดพลงั งานจะมีการสญู เสียพลงั งาน การเปลียนแปลงสถานะของนาํ ระหวา่ ง ของเหลว ไปเป็นช่วงๆ เนืองจากการหายใจ และการคายความ ของแขง็ และ ก๊าซ. ในวฏั จกั รของนาํ นี นาํ จะมีการเปลียนแปลง รอ้ น สถานะไปกลบั จากสถานะหนึงไปยงั อีกสถานะหนึง อยา่ ง ตอ่ เนือง ไม่มีสินสุด “Ten Percent Law” หน้ าทีของระบบนิ เวศ ภาพแสดงวฏั จกั รของนํา 2. การหมนุ เวียนธาตอุ าหาร(Nutrient cycle in ecosystem) คือ การเคลอื นยา้ ยธาตอุ าหารทีสะสมอยใู่ นดินไปสู่ ส่วนต่างๆ ของพืช แลว้ เคลือนยา้ ยผ่านสตั ว์ และผยู้ อ่ ย สลายอินทรียสารกลบั ไปสะสมอยใู่ นดิน เพือให้พชื ได้ใช้ ประโยชน์ต่อไป *** การหมนุ เวียนธาตอุ าหารมีลกั ษณะเป็นวฏั จกั ร จาก ธรรมชาติเขา้ สสู่ ิงมีชีวิต และจากสิงมชี ีวิตกลบั คนื สู่ ธรรมชาติ*** ภาพแสดงหน้ าทีของระบบนิ เวศ วฏั จกั รคาร์บอน การทีแก๊สคาร์บอนไดออกไซดจ์ ากกอากาศถูกนาํ เขา้ สู่ สิงมีชีวิตหรือออกจากสิงมีชีวติ คืนสู่บรรยากาศ และนาํ อีก หมุนเวยี นกนั ไปเช่นนีไมม่ ีทีสินสุดโดย แก๊สคาร์บอนได ออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและนาํ ถกู นาํ เขา้ สู่สิงมีชีวติ ผา่ น กอินระทบรวียนสการารทสีมงัีพเคลรงั างะาหน์ดสว้ะยสแมสองยขตู่ อ่องมพาืชสา(CรอOิน2)ทจระียถสกู าเรปทลีพียืชนเป็น สะสมไวบ้ างส่วนถูกถา่ ยทอดไปยงั ผบู้ ริโภคในระบบตา่ ง ๆ โดย การกิน CO2 ออกจากสิงมีชีวิตคืนสู่บรรยากาศและนาํ ไดห้ ลาย ทาง 9
วฏั จักรคาร์บอน วฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จกั รของฟอสฟอรัส ธาตุไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบของคลอโรฟิลและโปรตีน จึง ฟอสฟอรัสไม่มีในบรรยากาศ ดงั นันวงจรฟอสฟอรัสจึงจาํ กัด เป็นธาตุทีมีความสาํ คญั ต่อสิงมีชีวติ ไนโตรเจน มีอยปู่ ระใน 78 % ของ อยู่ในดินและนาํ โดยเป็ นกระบวนการที ฟอสฟอรัสถูกหมุนเวียงจาก ปริมาณอากาศทงั หมด แต่สิงมีชีวติ สามารถนาํ ไปใชใ้ นรูปของ ดินสู่ทะเล และจากทะเลกลบั สู่ดิน กระบวนการตกตะกอน ออกซิเจนมี สารประกอบอนื ๆ เช่น แอมโมเนีย ไนเตรท ยเู รีย กรดอะมิโนหรือ บทบาทสาํ คญั ต่อวงจรของฟอสฟอรัส ถา้ มีออกซิเจนมาก ฟอสฟอรัสที โปรตีน และจาการทแี ร่ธาตุไนโตรเจนมีความจาํ เป็นต่อการเจริญเติบโต เกิดขึนจะเป็ นประเภททีไม่ละลายนําและจะตกตะผนึก ซึงพืชไม่ ของพชื มนุษยจ์ ะนาํ ธาตุไนโตรเจนมาผลิตป๋ ยุ โดยใชไ้ นโตรเจนจากใน สามารถนาํ ไปใชไ้ ดถ้ า้ อย่ใู นสภาพนนั นานๆ เกลือฟอสฟอรัสจะสะสม อากาศเป็นวตั ถุดิบและนาํ ป๋ ยุ ทไี ดใ้ นรูปของแอมโมเนียไปใชใ้ น เป็ นหินฟอสเฟส ซึงจะค่อยๆกลับสู่ระบบนิเวศโดยกระบวนการ การเกษตร ไนโตรเจนทถี กู นาํ ไปใชจ้ ะถูกส่งต่อไปตามข่ายใยอาหาร สลายตวั ของหนา้ ดิน ( Erosion ) ( Food Web ) วฏั จกั รไนโตรเจน วฏั จกั รฟอสฟอรัส 10
วฏั จกั รกาํ มะถนั การอนุรักษค์ วามหลากหลายทางพนั ธุกรรม กาํ มะถนั มีความสาํ คญั เพราะเกียวขอ้ งกบั ผลผลิต และการยอ่ ย l โดยการแสวงหาแหล่งพันธุกรรมทมี ีอย่ตู ามธรรมชาติ สลายตวั ของสารอินทรียใ์ นระบบนิเวศ วงจรของกาํ มะถนั จะถูกนาํ ไปสู่ อนั เป็ นผลพวงมาจากการเปลยี นแปลงววิ ฒั นาการของ โซ่อาหาร โดยพืชนาํ ไปใชก้ ่อน แลว้ กาํ มะถนั ถูกส่งต่อไปยงั สัตว์ โดย สิงมีชีวิต ทีอาจนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน เป็นทาสทเี ป็นองคป์ ระกอบของโปรตีนในสิงมีชีวติ ทุกชนิด กาํ มะถนั ที การปรับปรุงพันธ์ุพืชและสัตว์ อยใู่ นรูปของโปรตีนจะถูกเปลียนเป็ นซลั เฟต ( sulphates ) โดยแบคทีเรีย และรา ( fungi ) พืชจะนาํ กาํ มะถนั กลับไปใชอ้ ีกโดยตรง กาํ มะถันที ปนเปื อนอย่ใู นเชือเพลิงจะถูกเผาไหมเ้ ป็ นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ( SO2 ) และซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ ( SO3 ) ซึงเป็นตน้ เหตุของอากาศเสีย วฏั จกั รกาํ มะถนั การอนุรักษร์ ะบบนิเวศอยา่ งยงั ยนื lได้ศกึ ษาหาความรู้และความเข้าใจเกียวกับระบบ นิเวศตามสภาพธรรมชาติดังเดิมและระบบนิเวศ ทีได้รับการจัดการอยู่ และจะมีวิธีการใดบ้างที ช่วยรือฟื นระบบนิเวศทไี ด้รับความเสียหายนันให้ กลับคืนสภาพ 11
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: