Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Research Article_SS

Research Article_SS

Published by sbcdsupak, 2020-05-03 12:55:41

Description: Research Article_SS

Search

Read the Text Version

การพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ โดยการจดั การเรยี นรแู้ บบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน เร่ือง “การบวก ลบ คูณ หารระคน” ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นหนองเขมร อําเภอกําแพงแสน จังหวัดนครปฐม The development of mathematics problem solving skills of combination of addition, subtraction, multiplication and division by using problem–based learning : 2nd grade students, Ban Nong Khamer School, Kamphaeng Saen , Nakhon Pathom สุภคั สมบูรณ์โชคดี * Suphakh Somboonchokdee บทคัดยอ่ การวจิ ยั น้ีเปน็ การวิจยั เชิงทดลอง (one-group posttest only design) มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือพฒั นาแผนการ จัดการเรียนรู้ เร่ือง การบวก ลบ คณู หารระคน สาํ หรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยจัดการเรียนรูแ้ บบใช้ปญั หาเป็น ฐาน และ 2) เพ่อื ศึกษาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เร่ือง การบวก ลบ คณู หารระคน หลังจากใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบใชป้ ญั หาเป็นฐาน ประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ น้ี คือ นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านหนองเขมร อาํ เภอกําแพงแสน จังหวัดนครปฐม ท่ีกาํ ลงั ศึกษาในปกี ารศกึ ษา 2562 จาํ นวน 16 คน เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั ได้แก่ แผนการจดั การเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน เรอื่ ง การบวก ลบ คณู หารระคน และแบบทดสอบวดั ทักษะ จาํ นวน 2 ชดุ ได้แก่ การเขียนประโยคสัญลกั ษณจ์ ากสถานการณก์ ารบวก ลบ คูณ หารระคน แบบเตมิ คําตอบ และการเขียนวิเคราะห์โจทยป์ ญั หาการบวก ลบ คณู หารระคน และหาคาํ ตอบ แบบเติมคาํ ตอบ วิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยหาค่าเฉล่ยี ร้อยละ แล้วนําไปเทียบเกณฑท์ ก่ี าํ หนดไวร้ อ้ ยละ 65 นาํ เสนอขอ้ มูลโดยใช้ตารางประกอบคาํ บรรยาย ผลการวจิ ัยสรุปได้วา่ แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง การบวก ลบ คณู หารระคน สําหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษา ปีที่ 2 โดยการเรียนรแู้ บบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ทผ่ี ู้วิจยั สร้างขึ้นมา สามารถพฒั นาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และแก้ โจทยป์ ญั หา เรื่อง การบวก ลบ คณู หารระคน ของนกั เรียนได้ โดยพบว่า หลงั จากใช้แผนการจัดการเรยี นรแู้ บบใช้ปัญหาเปน็ ฐานที่สร้างข้ึน นกั เรียนมีคะแนนเฉล่ียร้อยละ 72.50 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ ทรี่ อ้ ยละ 65.00 คาํ สําคญั : การจดั การเรยี นรูแ้ บบใชป้ ญั หาเป็นฐาน การแกโ้ จทย์ปญั หาคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ______________________________ * นักศกึ ษา หลกั สูตรประกาศนียบัตรบณั ฑติ วชิ าชีพครู ปกี ารศกึ ษา 2562 วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธุรกจิ บณั ฑติ ย์ E-mail Address: [email protected] 1

ABSTRACT This research was an experimental one-group posttest only design. The purposes of this research were 1) to develop a learning management plan on combination of addition, subtraction, multiplication, and division for the second-grade students by using problem–based learning 2) to study mathematics problem solving skills from simulate situations and mathematical problems of combination of addition, subtraction, multiplication, and division after using problem–based learning. The population used in this research is second-grade students at Ban Nong Khamer School, Kamphaeng Saen District, Nakhon Pathom Province which currently studying in the academic year 2019, amount 16 people. The research instruments were 1) problem - based learning management plans on combination of addition, subtraction, multiplication and division 2) the skill test for 2 sets which are 2.1) Writing symbolic sentences from simulate situations of combination of adding, subtracting, multiplying and dividing 2.2) Analyzing mathematics problems of combination of adding, subtracting, multiplying, dividing, and fill-in the answers. Data were analyzed by using percentage means then compared to the determined criteria which is 65.00 percent. The data analyzed will presented by using the table and commentary. The results of the research concluded that learning management plan on addition, subtraction, multiplication, and division for second-grade students by using problem-based learning able to develop mathematics problem-solving skills from simulate situations and solve mathematics problems of addition, subtraction, multiplication, and division. After studying, students have an average score of 72.50 percent, which is higher than the determined criteria of 65.00 percent. Keywords: Problem - Based Learning Management / Mathematical solving problems of combination of Addition, Subtraction, Multiplication and Division. บทนาํ คณิตศาสตร์มีบทบาทสําคัญย่ิง ต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทําให้มนุษย์มีความคิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบระเบียบ สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่าง รอบคอบ ทําให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจและแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกท้ังยังเป็น เครื่องมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อื่นๆท่ีเกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ ต่อการดํารงชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึน นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนามนุษย์ ให้สมบูรณ์ มีความสมดุลท้ังทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทําเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถ อยรู่ ่วมกับผู้อืน่ ได้อยา่ งมีความสขุ ( กรมวชิ าการ, 2544 อา้ งถงึ ใน นภสร เรอื นโรจน์รุ่ง, 2558, น.9) 2

สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ( 2560 ) ได้ให้ความสําคัญ เก่ียวกับทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เน่ืองจาก ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์เป็น ความสามารถท่ีจะนําความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ส่ิงต่างๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงความรู้ และประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงสอดคล้องกับ สํานักทดสอบทางการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (2562) ท่ีระบุว่า สถานการณ์โลกปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ ระบบการศึกษา ต้องมีการพัฒนาเพ่ือให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริง โดยเฉพาะผู้เรียนในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน จะต้องมีทักษะอื่นอีกหลายด้าน เช่น ทักษะการสื่อสาร และทักษะการคิดคํานวณ เป็น ต้น เพื่อให้อยู่ในโลกแห่งการแข่งขันได้อย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังที่ กระทรวงศึกษาธิการ กําหนดนโยบายและจุดเน้นเพื่อให้การบริหารจัดการศึกษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ เป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ วัตถุประสงค์ของแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษาและนโยบายของรัฐบาล เรื่อง การเตรียมคนในศตวรรษที่ 21 ในระดับประถมศึกษา มุ่ง คํานึงถึง พหุปัญญาของผู้เรียนรายบุคคลท่ีหลากหลายตามศักยภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาและส่งเสริมให้ นักเรียนระดับประถมศึกษา คิดเลขเป็น พร้อมกับสร้างเด็ก ให้เกิดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ รวมถึง การคดิ วิเคราะห์ เพ่อื ให้แก้ปญั หาได้ ที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านหนองเขมร อําเภอกําแพงแสน จังหวัด นครปฐม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับปานกลาง และพบว่านักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่ อยากเรียนวิชาคณิตศาสตร์ อยู่เป็นประจํา เน่ืองด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น ครูผู้สอนสอนโดยใช้วิธีการ บรรยาย, ครูขาดเทคนิคในการจูงใจให้ผู้เรียนสนใจเรียน การสอนโดยใช้สื่อการสอนท่ีไม่มีคุณภาพ, หรือครูไม่ ใช้สื่อและนวัตกรรมท่ีเหมาะสม กิจกรรมน่าเบ่ือ ทําให้นักเรียนไม่มีความรู้สึกว่าท้าทาย เป็นเหตุให้นักเรียนไม่ สนใจเรียน หลับในเวลาเรียน พูดคุยกันในห้องเรียน และมีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการ เรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ท่ีพบว่ามีปัญหามากที่สุด เนื่องจาก เป็น เรื่องที่ยาก นักเรียนไม่ชอบอ่านตัวหนังสือที่มากเกิน อ่านแล้วไม่สามารถสรุปใจความสําคัญหรือมองไม่เห็น ปัญหา การไม่เข้าใจโจทย์ นึกภาพ คิด จินตนาการไม่ออก ทําให้นักเรียนเบื่อ ขาดแรงจูงใจในการแก้โจทย์ ปญั หา นาํ มาซึ่งผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชน้ั ดงั กล่าว ไม่ดเี ท่าท่ีควร การจัดการเรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน ใหผ้ ลดีอยา่ งเหน็ ได้ชดั ในเรื่องของผลสัมฤทธ์ิทาง การเรยี น และทกั ษะการแก้ปญั หาคณิตศาสตร์ในชวี ิตประจาํ วนั นกั เรียนมีแนวทางในการแก้ปญั หามากกวา่ การนัง่ คดิ แกโ้ จทยป์ ัญหาเพียงลาํ พัง ท้ังน้ยี งั เปน็ การฝกึ ทักษะการแก้ปัญหา อย่างเปน็ ระบบ ให้นกั เรยี นนาํ ไป ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจําวนั ไดอ้ ีกด้วย การตั้งโจทยป์ ัญหาในลกั ษณะนี้ จะมสี ่วนกระต้นุ ใหน้ ักเรยี นมีความ สนใจในการอ่าน มเี จตคตทิ ่ดี ตี ่อวชิ าคณิตศาสตร์ นกั เรียนมคี วามตระหนกั วา่ คณติ ศาสตรอ์ ยู่รอบๆตวั เรา เป็น ส่ิงทอ่ี ยู่ในชวี ติ ประจําวัน เป็นการเรยี นรทู้ มี่ ีความหมายตอ่ ตัวเอง (นภสร เรือนโรจน์ร่งุ , 2558) สอดคลอ้ งกับ 3

วถิ สี รา้ งการเรียนร้เู พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ 21 ทบี่ อกว่า บรรยากาศของการตงั้ คาํ ถามและตัง้ ปัญหา นอกจาก จะชว่ ยวางรากฐานการเป็นนกั เรยี นรู้ตลอดชวี ิตให้แก่ศิษย์แลว้ ยังจะทําให้ชีวิตนกั เรียน เปน็ ชีวติ ทส่ี นกุ สนาน ตื่นเตน้ เร้าใจ กระตุน้ จนิ ตนาการ ยัว่ ยใุ ห้ ค้นควา้ คน้ หา สร้าง และเรียนรคู้ ือ ทําใหโ้ รงเรยี นไม่เปน็ สถานท่นี า่ เบอ่ื หรือสรา้ งความทกุ ขใ์ ห้แกศ่ ษิ ย์ (วิจารณ์ พานชิ , 2555, น. 70) นอกจากนี้ วิจารณ์ ยังกล่าวถงึ ความจรงิ เกยี่ วกับการคดิ 3 ประการ ที่ตรงกนั ขา้ มกับความเช่ือเดิม ไดแ้ ก่ 1) การคิดทําไดช้ ้า 2) การคิดนั้นยาก ตอ้ งใช้ ความพยายามมาก 3) ผลของการคิดนน้ั ไม่แน่ว่าจะถูกตอ้ ง แม้มนษุ ยจ์ ะมีธรรมชาตชิ อบคิด หรือมคี วามขี้ สงสยั (curiosity) แตก่ ต็ ้องมีธรรมชาตปิ ระหยัดการคดิ เปน็ ของคู่กนั ดว้ ย เมือ่ ไรที่การคิดน้นั เผชญิ โจทยท์ ี่ยาก เกนิ ความฉลาดจะทําให้มนษุ ยห์ ลกี เล่ยี งการคิด หรือ รสู้ ึกไมส่ นกุ ท่จี ะคิด นีค่ ือ เคลด็ ลบั สาํ หรับครเู พ่ือศิษย์ หรบั ออกแบบการเรยี นรู้ หรอื ตัง้ โจทย์ ใหพ้ อดีระหว่างความยากหรือทา้ ทายกับความง่ายพอสมควรท่ี นักเรียนจะทาํ ไดส้ ําเร็จและเกดิ ปติ ิ เกิดความภมู ิใจที่ทาํ ไดส้ ําเรจ็ มนุษย์จะคิด หากโจทย์นนั้ งา่ ยพอสมควรทีจ่ ะ คิดได้สําเร็จ ความสําเร็จ คือ รางวลั ทางใจ เปน็ แรงจงู ใจท่จี ะคดิ โจทย์ตอ่ ไป ครจู ะตอ้ งใช้จิตวทิ ยาข้อนี้กับศิษย์ อยตู่ ลอดเวลา ซงึ่ จะทาํ ให้ศิษย์เกดิ ความสนกุ ในการเรียน ถา้ โจทย์ยากเกินไป ธรรมชาติของความเป็นมนษุ ย์จะ กระตุ้นใหเ้ ขาเลกิ คดิ หนกี ารคิด หลกี หนีการเรยี น แตถ่ ้าโจทยง์ า่ ยเกินไป ก็ไมท่ ้าทาย นา่ เบ่อื หรือไม่เกดิ การ เรยี นรู้ ซ่ึงการจะเรียนรู้ได้ลกึ และเช่อื มโยง นกั เรยี นต้องได้เรยี นแบบ PBL (Project-Based Learning) และครู ก็ตอ้ งจัดการเรยี นรู้แบบนี้ เปน็ เพราะ การเรียนรแู้ บบ PBL มผี ลใหเ้ กดิ การเรียนร้ใู นมิตทิ ี่ลึก เดก็ เกิดแรงจงู ใจ (motivation) ในการเรยี น และจดจอ่ อยูก่ ับการเรยี นทเ่ี รียกวา่ student engagement (วจิ ารณ์ พานิช, 2555, น. 76-77) และนํามาซึ่ง ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนท่ดี ตี ่อไป ผลงานวิจัยจาํ นวนมากยนื ยันว่า การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (PBL) มผี ลตอ่ ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นในทางท่ดี ี เช่น รญั ชนา ทรงไชย และ จุไรรตั น์ อาจแกว้ (2562) ทีท่ าํ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นและความสามารถในการคิดวิเคราะหท์ างคณติ ศาสตร์ ของ นักเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 ระหว่างรูปแบบการจดั การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (PBL) และการจดั การเรยี นรตู้ ามปกติ พบว่า นกั เรยี น ทไ่ี ดร้ บั การสอนรูปแบบการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น และความสามารถใน การคิดวเิ คราะหท์ างคณติ ศาสตร์ สูงกวา่ นกั เรียนทไ่ี ดร้ ับการจัดการเรียนร้ตู ามปกติ ผุสดี กล่อมวงศ์ (2558) ไดศ้ กึ ษาผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ทม่ี ตี ่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นทักษะและกระบวน การทางคณติ ศาสตรด์ ้านการแก้ปัญหา และ เรอ่ื ง ความนา่ จะเป็น ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ด้านการแก้ปัญหา โดยการจัดกจิ กรรมการ เรียนรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น ผู้เรียนจึงสนใจทจี่ ะพัฒนา ปรับปรงุ การสอนของตนเอง โดยใช้แนวทางการจดั การเรียนรแู้ บบใช้ ปัญหาเปน็ ฐาน เพอ่ื พฒั นาทกั ษะในการแก้ปญั หาสถานการณแ์ ละโจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ เรือ่ ง “การบวก ลบ คณู หารระคน” แกน่ กั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นหนองเขมร อาํ เภอกําแพงแสน จังหวัด นครปฐม ให้มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนทีด่ ีขึน้ เรียนรู้อยา่ งมีคณุ คา่ และมีความสขุ 4

วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื พฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้ เรอ่ื ง การบวก ลบ คณู หารระคน สําหรับนกั เรียนชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 2 โดยการเรียนรูแ้ บบใช้ปญั หาเป็นฐาน 2. เพ่ือศึกษาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 หลงั จากใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน วิธดี าํ เนินการวิจัย กลุ่มประชากรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี คอื นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ของโรงเรียนบา้ นหนอง เขมร อําเภอกําแพงแสน จังหวดั นครปฐม ท่ีกาํ ลงั ศกึ ษาในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จาํ นวน 16 คน การวจิ ัยครั้งน้เี ป็นการวจิ ัยเชิงทดลอง (one-group posttest only design) เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน เร่อื ง การบวก ลบ คูณ หารระคน และแบบทดสอบวดั ทักษะ จาํ นวน 2 ชุด ได้แก่ 1) การเขยี นประโยคสญั ลกั ษณจ์ ากสถานการณ์การบวก ลบ คูณ หารระคน แบบเตมิ คาํ ตอบ 2) การเขยี นวิเคราะห์โจทยป์ ญั หาการบวก ลบ คณู หารระคน และหาคําตอบแบบเติมคําตอบ วิเคราะหข์ ้อมูลโดยหาค่าเฉลีย่ รอ้ ยละ แลว้ นําไปเทียบเกณฑท์ ก่ี าํ หนดไวร้ อ้ ยละ 65 ผลการวิจัย จากการวิจัยสรปุ ผลได้ดังน้ี 1. ได้จดั ทําแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน รายวิชาคณติ ศาสตร์ เรือ่ ง การบวก ลบ คณู หารระคน จาํ นวน 1 แผน ใชเ้ วลา 4 คาบ โดยแต่ละคาบมีข้นั ตอนดังตอ่ ไปนี้ 1) ขัน้ นําเข้าสูบ่ ทเรยี น 2) ขั้นกจิ กรรมการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย ขั้นตอนกาํ หนดปัญหา, ทาํ ความเข้าใจกบั ปญั หา, กําหนดแนวทางใน การแกป้ ญั หา, ระดมความคดิ , สังเคราะห์ความรู้, ดาํ เนินการแกโ้ จทย์ปัญหา และนาํ เสนอผลงานและประเมนิ คําตอบ 3) ข้นั สรปุ ผลการจัดเรยี นร้แู บบปญั หาเปน็ ฐาน พบวา่ ผู้เรียนมคี วามชื่นชอบและให้ความรว่ มมอื ในกิจกรรม ทกุ ๆ ขัน้ ตอน เมือ่ ครจู ดั การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน นกั เรียนจะมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการทํากจิ กรรมเปน็ อย่างดี เพราะนกั เรียนจะต้งั ใจคอยในทุกคาบเรียน ว่าวนั นจี้ ะได้แกป้ ัญหาอะไร และกลมุ่ ไหนจะสามารถแก้ ปญั หาสําเร็จบา้ ง เมื่อผ่านกจิ กรรมมาหลายๆคร้งั นกั เรยี นจะเกิดความคุน้ เคยและความชํานาญ ในการแก้ ปญั หามากข้ึน เพราะนกั เรียนจะได้ฝึกคดิ วิเคราะห์ และวางแผนแกป้ ัญหาอย่างเป็นระบบ ทําให้นกั เรยี นมี ความเข้าใจโจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์ที่จะตอ้ งแก้ เป็นผลใหส้ ามารถแกป้ ัญหาไดส้ ําเร็จลลุ ว่ ง อีกทั้งการ จดั การเรียนรแู้ บบปัญหาเปน็ ฐาน ยงั ทําใหน้ ักเรียนไดแ้ ลกเปล่ียนเรยี นรู้ และระดมความคดิ ในการแก้ปัญหา 5

เป็นการฝกึ การทํางานร่วมกับผ้อู ื่น ซึง่ นกั เรียนจะสามารถนาํ ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการทํากจิ กรรมไปปรับใช้ในการ แกโ้ จทยป์ ญั หาหรอื สถานการณ์อ่ืนๆ ต่อไป 2. ผลการทําแบบทดสอบวดั ทกั ษะในการแกโ้ จทย์ปญั หา เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของ นักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีท่ี 2 หลังใช้การเรยี นรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน นกั เรียนไดค้ ะแนนเฉลย่ี ร้อยละเทา่ กบั 72.50 ซ่ึงสงู กว่าเกณฑ์ทีต่ ง้ั ไว้ คอื รอ้ ยละ 65.00 การอภปิ รายผล จากการทดลองใขแ้ ผนพัฒนาทักษะในการแกโ้ จทย์ปญั หา เรอื่ ง การบวก ลบ คณู หารระคน ของ นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปี ท่ี 2 โดยการเรยี นรู้แบบใชป้ ญั หาเป็นฐาน ผูศ้ ึกษาเห็นวา่ ประเด็นสําคัญท่คี วร นํามาอภปิ รายผล มีดงั น้ี 1. แผนการจดั การเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน รายวชิ าคณติ ศาสตร์ เร่อื ง การบวก ลบ คณู หาร ระคน เป็นแผนการจัดการเรียนรทู้ ่ีสามารถทาํ ให้นักเรียนพัฒนาทกั ษะในการแก้โจทย์ปัญหา ไดอ้ ย่างมีประ- สทิ ธิภาพ ท้ังน้ี อาจเนอ่ื งมาจาก 1.1 การกาํ หนดโจทย์ปญั หาหรอื สถานการณ์ ในแผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่นา่ สนใจ ไมเ่ หมอื นกับ โจทยป์ ัญหาทีน่ ักเรยี นคุ้นเคยในหอ้ งเรียน มเี งือ่ นไขในการแก้โจทยป์ ัญหา เป็นปัญหาทม่ี ีความท้าทาย เกยี่ วข้องกบั นกั เรยี นและมีความหลากหลายทงั้ ในเร่อื งเนือ้ หาของโจทยแ์ ละวธิ ีการแกป้ ญั หา ทําให้นักเรียนเกิด กระบวนการคดิ ซ่งึ จะเป็นตวั กระตนุ้ ใหน้ กั เรียนสนใจอยากแกป้ ัญหา ซ่งึ สอดคล้องกบั คลายด์ (อา้ งถึงใน ซรู ายา สัสดวี งศ์, 2555, น. 80-81) ทีก่ ล่าวถงึ ลักษณะของปญั หาทางคณติ ศาสตรท์ ดี่ ี สรปุ ไดด้ ังนี้ 1) มคี วาม ใกล้เคียงกับปัญหาในชวี ิตประจําวัน และสัมพันธก์ บั ผแู้ ก้ปญั หามากทสี่ ดุ โดยอาจเป็นเร่ืองราวหรอื เหตกุ ารณ์ ทีเ่ กิดข้นึ กบั ผู้แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาํ วนั หรือลักษณะคล้ายกบั สถานการณ์ในชีวติ จริง 2) สถานการณท์ ่ีสร้าง ข้ึนเป็นปัญหา ควรใชภ้ าษาหรอื บรรยาย ในลกั ษณะทผ่ี ้แู ก้ปญั หามปี ระสบการณแ์ ละไม่ควรเป็นปญั หาธรรมดา ทวั่ ๆ ไป และยงั สอดคล้องกับ ทศิ นา แขมมณี (อ้างถงึ ในเจษฎา อินพินิจ ,2559,น.15) ทไ่ี ดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะ ของปัญหาทใี่ ชใ้ นกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานว่า ปัญหาสามารถกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี น เกิด ภาวะงนุ งง สงสัยและมีความตอ้ งการท่ีจะแสวงหาความรู้ เพอ่ื ขจดั ความสงสยั ดังกลา่ ว การใหผ้ เู้ รยี นได้เผชญิ ปญั หาจรงิ หรอื สถานการณป์ ญั หาต่างๆและรว่ มกันคดิ หาทางแกป้ ัญหานน้ั ๆ จะช่วยให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนรู้ อย่างมคี วามหมาย และ สามารถพัฒนาทกั ษะกระบวนการตา่ ง ๆ อันเปน็ ทกั ษะท่ีจําเปน็ ตอ่ การดาํ รงชีวิตและ การเรียนรู้ตลอดชีวติ และ ครลู ิคและเรย์ (อ้างถงึ ใน ซูรายา สัสดีวงศ์, 2555, น. 80-81) ท่กี ล่าวไว้โดยสรปุ ว่า การสร้างปัญหาคณติ ศาสตร์ให้นา่ สนใจ ควรคํานึงถึง ความรูพ้ น้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ของผูแ้ ก้ปัญหา กลวิธที ่ี ต้องใชใ้ นการแก้ปญั หา และความสามารถในการใช้ภาษาของผแู้ ก้ปัญหา 1.2 ข้ันตอนในการทาํ กิจกรรมมีการกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นเกิดการคิดวเิ คราะหโ์ จทยป์ ัญหาอย่างเป็น ลําดับขน้ั ตอน เพื่อใหเ้ กดิ ความเข้าใจในโจทยป์ ญั หา นําไปส่กู ารวางแผนแก้ปัญหาอยา่ งถกู ตอ้ ง ลงมือปฏบิ ตั ิ 6

ตามส่ิงทไ่ี ดว้ างแผนไว้ นาํ เสนอและสรุปผล โดยเรมิ่ จากโจทยป์ ญั หาท่ีง่ายไปสโู่ จทยป์ ญั หาที่มคี วามซบั ซอ้ น มากย่ิงข้ึน ซึง่ สอดคลอ้ งกับ มณั ฑรา ธรรมบศุ ย์ (อา้ งถึงใน เจษฎา อนิ พินิจ ,2559, น.14) อธบิ ายว่า การสอน โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ไมใ่ ชก่ ารสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving method) เพราะการสอนโดยใช้ ปญั หาเป็นฐานนนั้ ปญั หาทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับศาสตรโ์ ดยตรงของผเู้ รยี นต้องมาก่อน โดยปญั หาจะเปน็ ตวั กระตนุ้ หรอื นาํ ทางให้ผ้เู รยี นต้องไปแสวงหาความรู้ความเขา้ ใจดว้ ยตนเองเพอื่ จะไดค้ น้ พบคาํ ตอบของปัญหานน้ั กระบวนการหาความรดู้ ้วยตนเองน้ี จะทาํ ให้ผูเ้ รยี นเกิดทักษะในการแก้ปญั หา 2. ทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปญั หา เร่อื ง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของ นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 หลังใช้การจัดการเรยี นร้แู บบใช้ปญั หาเป็นฐาน ได้คะแนนเฉลยี่ ร้อยละเทา่ กบั 72.50 ซง่ึ สูงกว่าเกณฑ์ทีต่ ั้งไว้ ร้อยละ 65.00 อาจเน่ืองมาจาก 2.1 การจดั การเรยี นรู้แบบปญั หาเป็นฐานทาํ ใหน้ ักเรยี นไดฝ้ กึ กระบวนการคดิ อยา่ งเป็นระบบ ได้ ฝกึ แกโ้ จทย์ปญั หาทม่ี ีความหลากหลาย เกดิ การเรียนรใู้ นระหว่างท่ลี งมอื ปฏบิ ัตติ ลอดจน ได้คดิ แก้ปญั หาเฉพาะ หน้า หากวิธีการท่ไี ดว้ างแผนมาไม่สาํ เร็จ โดยนกั เรียนจะเป็นผู้กําหนดวธิ ีการแก้ปัญหาจากประสบการณ์หรือ ความรเู้ ดมิ ของตนเองแลว้ นํามาปรบั ใช้กับการแกโ้ จทย์ปญั หาว่า เมื่อเจอกบั โจทยป์ ัญหาในลกั ษณะต่างๆ ควร ใช้วิธีการใดแกป้ ัญหาจงึ จะเหมาะสม ทําใหน้ กั เรยี นคดิ เปน็ แกป้ ญั หาเปน็ และมีการตัดสนิ ใจทีด่ ี ซึ่งสอดคล้อง กับ นภสร เรือนโรจน์รุ่ง(2558) ทที่ าํ การวจิ ยั สรุปผลได้วา่ การจัดการเรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน ให้ผลดอี ย่างเห็นไดช้ ัดในเรอ่ื งของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน และทกั ษะการแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ ในชีวติ ประจาํ วนั นักเรยี นมีแนวทางในการแก้ปญั หามากกว่าการน่ังคดิ แก้โจทย์ปญั หาเพยี งลาํ พัง ท้งั นย้ี งั เป็นการ ฝึกทักษะการแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบ ใหน้ ักเรยี นนาํ ไปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจําวนั ไดอ้ กี ดว้ ย การตัง้ โจทย์ ปัญหาในลกั ษณะน้ี จะมสี ว่ นกระตุ้นใหน้ กั เรยี นมีความสนใจในการอา่ น มีเจตคติที่ดีตอ่ วิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนมีความตระหนกั ว่าคณิตศาสตร์อยรู่ อบๆตัวเรา เป็นส่ิงท่อี ยู่ในชีวติ ประจาํ วนั เปน็ การเรยี นรู้ท่ีมี ความหมายต่อตวั เอง 2.2 การจดั การเรยี นรแู้ บบปญั หาเป็นฐาน ทําให้นักเรยี นไดฝ้ ึกการทาํ งานรว่ มกับผอู้ น่ื ไดแ้ ลก เปล่ยี นเรยี นรู้ อภิปรายความคดิ เหน็ เพ่ือใหไ้ ด้มาซ่งึ วธิ ีการและคําตอบทถี่ กู ตอ้ ง ซงึ่ โจทย์ปัญหาหรือสถานการณ์ ที่นกั เรียนจะต้องร่วมกนั แก้ในกจิ กรรม เปน็ ปญั หาท่ีมีความยากและซบั ซอ้ น จึงต้องอาศัยการระดมความคดิ ของสมาชิกในกลุม่ ในการวางแผนแก้ปัญหา ทาํ ให้นักเรียนคน้ พบวา่ โจทยป์ ญั หาบางอยา่ งมวี ธิ ีการแกไ้ ข มากกว่าหน่ึงวิธหี รอื ได้เรียนรวู้ ิธกี ารแก้ปัญหาใหมๆ่ จากสมาชิกในกลุม่ ได้รจู้ กั การวางแผนและแบง่ หนา้ ที่ เนื่องจากมเี วลาจาํ กดั ในการทํากิจกรรมในแต่ละคร้ัง และเมือ่ ฝึกทาํ กจิ กรรมหลายๆ คร้ังก็จะเกดิ ความชาํ นาญ ในการแกป้ ญั หามากขน้ึ ซึง่ สอดคลอ้ งกับ สิริกาญจน์ พรหมวงศ์ (2561, น.19-20) ทไ่ี ด้นยิ ามความหมายของ การจดั การเรียนรแู้ บบใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ไวว้ า่ เปน็ กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรยี น สร้างองคค์ วามรจู้ ากปญั หาหรือสถานการณท์ ่สี นใจ ผา่ นทางกระบวนการทํางานกลมุ่ การอภิปราย การระดม 7

ความคิด เพ่ือทําความเขา้ ใจและแก้ไขปญั หาด้วยเหตุผล ซ่งึ ตวั ปัญหานัน้ จะมคี วามสัมพันธก์ ับชวี ติ จริงและเป็น จุดต้ังตน้ ของกระบวนการเรยี นรู้ ครูเปน็ เพียงผคู้ อยให้คําแนะนาํ และจัดสภาพแวดล้อมแหง่ การเรียนรู้ ขอ้ เสนอแนะ จากการวจิ ยั การพัฒนาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณ์และโจทย์ปญั หาคณิตศาสตร์ โดยการ จัดการเรยี นรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน เรื่อง “การบวก ลบ คูณ หารระคน” ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นหนองเขมร อาํ เภอกาํ แพงแสน จังหวดั นครปฐม ผู้วิจัยมขี ้อเสนอแนะสําหรับการนําผลวจิ ยั ไปใช้ และขอ้ เสนอแนะสาํ หรับการทาํ วิจยั ในครง้ั ต่อไป ดงั นี้ 1. ในการจดั การเรยี นรแู้ บบใช้ปัญหาเป็นฐาน ครตู อ้ งมกี ารเตรียมการสอนมาอยา่ งดี โดยเฉพาะ ในการทํากจิ กรรมคร้งั แรก ครคู วรช้แี นะแนวทางในการวิเคราะหโ์ จทย์ปัญหา ขั้นตอน การวางแผนแกป้ ญั หา และยกตวั อย่างที่เข้าใจไดช้ ัดเจน เพือ่ ให้นกั เรยี นเข้าใจกระบวนคดิ อย่างเป็นระบบ 2. ควรใชเ้ วลาในการจัดการเรียนรู้โดยการจดั การเรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ทม่ี ากกวา่ 4 คาบ ข้ึนไป สําหรับการแก้ปญั หาสถานการณ์และโจทย์ปญั หาคณิตศาสตร์ เรอื่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน เพื่อให้ นกั เรียนคิดวางแผนในการปรบั เปลีย่ นวิธกี ารคิด ได้ลองผดิ ลองถกู หลายๆครง้ั จนแกป้ ญั หาไดส้ าํ เร็จ 3. ควรมีการทดลองเพอ่ื ศึกษา การจดั การเรยี นรแู้ บบใชป้ ญั หาเป็นฐาน ในรายวิชาอื่นๆ โดยเฉพาะ ในรายวิชาคณติ ศาสตร์ ในหนว่ ยการเรียนรอู้ ่ืนๆ ด้วย รายการอา้ งอิง เจษฎา อินพินจิ . (2559). การพัฒนาความเข้าใจเชงิ มโนทศั นท์ างคณติ ศาสตรด์ ้วยกระบวนการเรยี นการสอน โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานตามแนวคิดของสะเต็มศึกษา (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน)ี . สบื ค้นจาก https://tdc.thailis.or.th/tdc ซรู ายา สัสดวี งศ.์ (2555). การพฒั นากระบวนการจัดการเรยี นรู้ โดยบรู ณาการรปู แบบการพัฒนาความคดิ ทางคณติ ศาสตรแ์ ละแนวคดิ การใช้ปัญหาเปน็ หลัก เพ่ือส่งเสรมิ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ และความสามารถในการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 (วทิ ยานพิ นธ์ ปรญิ ญามหาบณั ฑติ , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,กรงุ เทพฯ). สบื คน้ จาก http://cuir.car.chula.ac.th 8

นภสร เรอื นโรจน์รุ่ง. (2558). การจดั การเรียนร้โู ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานเพือ่ พฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทกั ษะ การแกป้ ญั หาคณติ ศาสตร์ในชวี ติ ประจําวัน และเจตคติต่อการเรยี นวิชาคณติ ศาสตร์ ของนกั เรียน ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2. (รายงานผลการวจิ ัย ). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สืบค้นจาก http://cuir.car.chula.ac.th ผสุ ดี กลอ่ มวงษ์. (2558). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานท่ีมตี อ่ ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ดา้ นการแกป้ ัญหาและผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรื่อง ความนา่ จะเปน็ ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลัยนเรศวร, พิษณุโลก). สบื คน้ จาก https://tdc.thailis.or.th/tdc รญั ชนา ทรงไชย, และ จุไรรัตน์ อาจแก้ว. (2562). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถ ในการคดิ วเิ คราะหท์ างคณิตศาสตรข์ องนักเรยี นระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ระหว่างรูปแบบการ จัดการเรยี นรโู้ ดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (PBL) และการจัดการเรยี นรู้ตามปกติ. มนษุ ยศาสตรแ์ ละ สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา, 7(2), 24-41. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วถิ สี รา้ งการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษท่ี ๒๑. กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิสดศรี-สฤษดวิ์ งศ์. สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรงุ เทพฯ : ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สิรกิ าญจน์ พรหมวงศ.์ (2561). การพัฒนาทกั ษะการแก้โจทยป์ ญั หา เร่อื ง การช่งั ของนกั เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใช้การเรียนรแู้ บบปัญหาเปน็ ฐาน (วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่). สบื ค้นจาก https://tdc.thailis.or.th/tdc สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน. 2562. ค่มู ือการประเมินคณุ ภาพผู้เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ปีการศึกษา 2562. ม.ป.ท. : ม.ป.พ. 9


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook