อทิ ธพิ ลเชิงช่ำงทม่ี ตี อ่ รปู แบบกำรสร้ำงศำลหลักเมือง ในภำคอสี ำน The effect of technician on the building style of the pillar shrine city in Esaan บุตรดำ คนชม1 Butrada Konchom นิยม วงศพ์ งษ์ค�ำ2 Niyom Wongpongkham 1 นักศกึ ษำหลกั สตู รศลิ ปกรรมมหำบณั ฑติ สำขำวชิ ำวิจัยศลิ ปะและวฒั นธรรม คณะศลิ ปกรรมศำสตร์ มหำวิทยำลยั ขอนแก่น 2 รองศำสตรำจำรย์ ดร., อำจำรยป์ ระจ�ำ สำขำวชิ ำวฒั นธรรม ศิลปกรรมและกำรออกแบบ คณะศิลปกรรมศำสตร์ มหำวิทยำลยั ขอนแก่น
197 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ บทคัดยอ่ อิทธิพลเชิงช่างที่มีต่อรูปแบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอีสาน มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาและสภาพปจั จบุ นั ของศาลหลกั เมอื ง ในอสี าน และเพอื่ ศกึ ษาอิทธพิ ลเชงิ ชา่ งทม่ี พี ลต่อรปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมืองใน ภาคอีสาน การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบ เจาะจง ดงั นี้ ศาลหลกั เมอื งขอนแกน่ ศาลหลกั เมอื งอดุ รธานี ศาลหลกั เมอื งหนองคาย และศาลหลักเมืองนครพนม เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์แบบ มีเค้าโครง และแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีเค้าโครง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ทฤษฎีการ แพร่กระจาย และนำ� เสนอผลการวจิ ยั แบบพรรณนาวเิ คราะห์ ผลการวจิ ยั พบวา่ ประวัติการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอสี านนัน้ สรา้ งโดย มีผู้ก่อตั้งเมืองคนแรก และเป็นผลเชื่อมโยงมาสู่ระบบกษัตริย์ในปัจจุบัน สภาพ ปัจจุบันของศาลหลักเมืองส่วนใหญ่มีแผนผังเป็นแบบจัตุรมุขเพิ่มมุม มีการสร้างให้ หันหนา้ ไปในทิศทางท่แี ตกต่างกัน เชน่ ศาลหลักเมอื งขอนแกน่ และศาลหลกั เมอื ง หนองคาย หนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ออก สว่ นศาลหลกั เมอื งอุดรธานีหันหน้าไปทาง ทิศเหนือ ศาลหลักเมืองนครพนมก็เช่นกัน วัสดุที่ใช้เป็นการก่อฉาบปูน และหล่อ ซเี มนต์ สที ี่ใชส้ ว่ นใหญ่เน้นสแี ดง และสีขาว วสั ดตุ กแตง่ เพิม่ เตมิ เชน่ กระจกสี แกะ สลักไม้ เสาหลักเมืองนิยมเป็นเสาไม้ ยกเว้นศาลหลักเมืองขอนแก่นท่ีเป็นเสาหิน อิทธิพลเชิงช่างที่ปรากฏต่อรูปแบบศาลหลักเมืองส่วนใหญ่ได้รับจากรูปแบบศิลปะ ไทยทางภาคกลาง หรือศลิ ปะรัตนโกสนิ ทร์ ท้งั การวางผงั และลวดลายส่วนตกแต่ง ทป่ี ระกอบดว้ ยชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ มบี วั หวั เสา และคนั ทวย นนั้ ลว้ นสบื เนอ่ื งจาก ศลิ ปะจากสว่ นกลาง นอกจากนแ้ี ลว้ ยงั พบวา่ ชา่ งไดพ้ ยายามเพมิ่ รสนยิ มสว่ นตวั เขา้ ไป ในงานเพ่อื เปน็ มมุ มอง ความลงตัวและความสวยงามเฉพาะทางเชิงช่างอีกดว้ ย ค�ำส�ำคัญ : อิทธิพลเชงิ ชา่ ง, ศาลหลักเมือง, สภาพปจั จบุ ัน ปที ี่ ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
198 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น Abstract The dissertation of The effect of technician on the building style of the pillar shrine city in Esaan aims to study the history and current conditions of the pillar shrine city in Esaan, and to study the effect of technician on the building style of the pillar shrine city in Esaan. The population and sample for qualitative research the target group-specific were in the pillar shrine city of Khonkaen, Udonthani, Nongkhai and Nakhonphanom. In order to collect information, the research tools used include interview with layout, none interview layout. The data collected was analyzed using Diffusion theory and is presented in a descriptive analysis. According to this study, the history of the pillar shrine city in Esaan created by the founders of the first king. and is linked to the current king. The current condition of the pillar shrine city has increased over the map as a tetrahedron, facing in a different direction, such as Khon Kaen and Nongkhai city pillar shrine facing east, Udonthani and Nakhonpanom city pillar shrine facing north. The materials used to produce cement, cement to casting the colors used are highlighted in red and white materials such as stained glass, carved wood. Pillar is a popular used by wood, except the pillar shrine city of Khonkaen monolithic. The effect of technician appears to influence the pillar shrine city have largely been formed by the art form of central Thailand or Art Rattanakosin, the layout and the decorative motifs include Chopha, Bairaka, Hanghong, Bawhuasaw and Khanthaw, all because of central Thailand art. It also found that the technician was trying to select personal style into view, commodious and especially of technician. ปที ี่ ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
199 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ Keywords : Technician, Pillar shrine city in Esaan, Concrete 1. บทนำ� ศาลหลักเมืองเป็นปูชนียสถานส�ำคัญประจ�ำเมือง ประเพณีดั่งเดิมก่อนมี การก่อสร้างเมือง ต้องมีการฝั่งเสาหลักเมืองตามฤกษ์ยามที่ได้ค�ำนวณไว้โดย โหราจารยต์ ามประเพณพี ราหมณ์ ซึ่งมีความเช่อื วา่ หลักเมืองมอี ทิ ธิพลต่อบา้ นเมือง เป็นอย่างมาก ทั้งด้านการอ�ำนวยความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง รวมถึง ความเป็นอยสู่ งบร่มเย็นของประชาชนท่อี าศยั อยู่ในบ้านเมอื งนัน้ เปน็ เหตุให้ทกุ คน ตระหนักถึงความส�ำคัญของเสาหลักเมือง เป็นเสาท่ีสร้างข้ึนเพ่ือเป็นสัญลักษณ์ ของเมอื ง มกั ท�ำด้วยไม้ชยั พฤกษ์ เสาทยี่ กขน้ึ แสดงว่าจะสรา้ งเมอื งท่ีตรงน้นั แนน่ อน ชลธริ า สตั ยาวฒั นา (2533) ศาลหลกั เมอื งจงึ มคี วามสมั พนั ธต์ อ่ การสรา้ งบา้ นแปลงเมอื ง นอกจากนใ้ี นแงม่ มุ ของประโยชนใ์ ชส้ อย ศาลหลกั เมอื งเกดิ ขนึ้ เนอ่ื งจากความจำ� เปน็ และวตั ถปุ ระสงคใ์ นกจิ กรรมตา่ งๆ ของมนษุ ย์ รปู แบบศาลหลกั เมอื งนนั้ ยอ่ มแสดงออก ถึงคตินิยมตามลักษณะ และบริบทพ้ืนท่ีน้ัน การก่อสร้างศาลหลักเมืองเป็นอีก รูปแบบหนึ่งอันเก่ียวข้องกับความเชื่อ ซึ่งความเช่ือส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นความย่ิงใหญ่ อลงั การ ทง้ั นเี้ นอ่ื งจากความเชอ่ื ถอื ศรทั ธาเปน็ สำ� คญั เรม่ิ แรกจากการบชู าเสา กระทง่ั พัฒนาให้มีหลังคามุงหญ้าเพื่อกันแดดกันฝน การก่อสร้างศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ถูกสร้างข้ึนตามความเชื่อพื้นถิ่นผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งผลให้เป็นสิ่งที่ กระทำ� กันอยา่ งสดุ กำ� ลงั ความคิด สุดฝมี ือ ใช้วสั ดุท่ดี ที สี่ ุด และสวยงามทส่ี ดุ เพ่ือผล ตอบแทนทางใจ คณุ ค่าทางความงามจึงปรากฏบนศาลหลกั เมือง สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ อธิบายไวว้ ่า การ สร้างศาลหลักเมืองเป็นประเพณีพราหมณ์ท่ีมีมาแต่อินเดีย ประเทศไทยได้ต้ัง หลักเมืองขึ้นตามความเช่ือธรรมเนียมพราหมณ์ พิธียกหลักเมืองของชนชาติไทย มีมาต้ังแต่สร้างกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาสืบมาจนถึงกรุงธนบุรีและกรุง รัตนโกสนิ ทร์ หลักเมอื งกรุงสโุ ขทยั มซี ากโบราณสถานเล็กๆเหลืออยใู่ นปัจจบุ นั แต่ รูปลักษณะของศาลหลกั เมืองกรุงสโุ ขทยั จะเปน็ อย่างไรนน้ั หามีใครทราบไม่ เพราะ ปีที่ ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
200 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ มซี ากทีเ่ หลอื อยู่ในบดั นี้เหลอื เพยี งพน้ื กับฐานและเสาบางต้นเท่านัน้ ฐานชน้ั ล่างกอ่ ด้วยศลิ าแลง มบี นั ไดขึ้นศาลทางทศิ ตะวันออก บนฐานเนนิ นัน้ มเี สาศิลาแลงหักทงั้ 4 มุม ส่วนหลังคาศาลจะเป็นไม้ เพราะยังมีกระเบื้องแบบเก่าเหลืออยู่ ฉันทิชย์ กระแสสินธ์ (2525) หลกั เมอื งในสมยั อยุธยาก็เชน่ เดียวกัน ซ่ึงพบว่าแบบอยา่ งการ สร้างหลักเมืองท่ชี ัดเจนทส่ี ุด คือ การสร้างหลักเมอื งกรุงรัตนโกสินทร์ หลกั เมอื งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คอื สญั ลกั ษณแ์ หง่ การตง้ั เมอื งใหม่ โดยมนี ยั ยะ เพอ่ื ใหเ้ มอื งมคี วามมน่ั คง มชี ยั และรงุ่ เรอื งสบื ไป การตงั้ หลกั เมอื งของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ จึงเป็นการตั้งเสาหลักเมือง ณ บริเวณที่มีช่ือเดิมว่า บางกอก ธนบุรีศรีมหาสมุทร และกรุงธนบุรี ตามล�ำดับ โดยมีการต้ังหลักเมืองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การใช้ ตำ� ราพไิ ชยสงครามในการประกอบการยา้ ยเมอื งหลวง และพจิ ารณาเพอ่ื หาพกิ ดั องค์ ประกอบของศูนย์กลางเมือง และใหต้ ้งั เสาหลักเมืองนี้ พระราชประสงค์ของรัชกาล ที่ 1 ได้ให้มีการย้ายศูนย์การเมืองจากฝั่งตะวันตกของแม่น้�ำเจ้าพระยาไปฝั่งตะวัน ออก และโปรดใหม้ ีการตั้งหลกั เมืองใหมด่ ว้ ยน้นั เปน็ การต้งั หลักเมืองตามตำ� ราพชิ ัย สงคราม ทง้ั น้เี น่อื งจากรชั กาลท่ี 1 ทรงประฏิบตั ิพระราชภารกจิ ดา้ นความม่ันคงมา ต้ังแต่คร้ังกรุงเก่า และมีต�ำแหน่งเป็นแม่ทัพ เมื่อคร้ังสมัยกรุงธนบุรี ท�ำให้ทรง เชย่ี วชาญการศกึ และเขา้ ใจตำ� ราพชิ ยั สงคราม การตง้ั หลกั เมอื งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ จงึ มีการอ้างอิงการตั้งทัพหรือแต่งทัพ ท่ีสอดคล้องกับภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม พลหู ลวง (2539) หลักเมืองของกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ จงึ ถอื เป็นแกนเมอื งแหง่ แรกท่ีอยู่ ใจกลางพระนคร ซ่ึงเปน็ ชว่ งเวลาเบ้ืองต้นแหง่ การสถาปนากรงุ แกนเมอื งดงั กล่าวนี้ เกิดขน้ึ ทง้ั ทางแกนนอน คือบริเวณต�ำแหน่งกลางของผังใจกลางพระนคร (เมือ่ แรก สรา้ ง) และในแนวแกนตงั้ คือตัวเสาหลักเมืองท่ถี กู ก�ำหนดใหส้ งู ข้นึ มาจากพื้นดิน ณ บรเิ วณพกิ ดั อันเปน็ มงคลและมีความศกั ด์ิสทิ ธ์ิ การศึกษาศาลหลักเมืองไม่ใช่เรื่องเก่า แต่หากมีการศึกษามาแล้ว ซ่ึงมี ประเด็นศึกษา 2 กลุ่มแนวคิดใหญ่ ดังน้ี กลุ่มแรกคือกลุ่มที่มีแนวความคิดว่า วัฒนธรรมการต้ังเสาหลักเมืองรับมาจากอินเดีย ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ (2491) กลา่ ววา่ ประเพณกี ารตง้ั หลกั เมืองมที มี่ าจาก ปที ่ี ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
201 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประเพณีพราหมณ์ของอินเดีย นอกจากน้ียังระบุส�ำหรับเสาหลักเมืองท่ีเก่าท่ีสุดใน ประเทศไทยคอื หลกั เมอื งศรีเทพ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ขุนวิจิตรมาตรา (2517) อธบิ ายว่า เสาหลักเมืองมีท่ีมาจากอินเดีย เน่ืองจากค�ำว่า หลัก มีความหมายใกล้เคียงกับ ค�ำว่า ลักษ หมายถงึ หมายเป้า ลกั ษณ หมายถงึ เครื่องหมาย และ ลกั ข หมายถงึ เคร่อื งเปา้ หมาย จะเห็นไดจ้ ากการประกอบพิธพี ราหมณ์ในการตงั้ เสาหลักเมอื ง ฉัน ทิชย์ กระแสสินธ์ (2525) ได้แสดงทัศนะที่เห็นด้วยกับแนวความคิดของสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ท่ีกล่าวไว้ว่าเสาหลักเมืองเป็น วฒั นธรรมจากอนิ เดยี และเปน็ คตขิ องพราหมณ์ ซง่ึ จะเหน็ ไดจ้ ากการประกอบพธิ กี าร ต้ังเสาหลักเมืองเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่มี แนวความคดิ วา่ เสาหลกั เมอื งมที มี่ าจากวฒั นธรรมดง่ั เดมิ ของกลมุ่ ชนในภมู ภิ าคเอเซยี ตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บี.เจ. เทอร์วีล (2533) ให้ความเห็นว่าความเช่ือเร่ือง เสาหลักเมืองเป็นคติความเช่ือเรื่องผีของกลุ่มชาติพันธุ์ไท ซ่ึงได้อ้างจากงานวิจัยท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั ชุมชนชาวไททไี่ มเ่ คยอยู่ภายใต้อารยธรรมอนิ เดยี ซ่ึงสอดคล้องกบั แนว ความคิดของอาจารยบ์ ุญยงค์ เกศเทศ กลา่ วไวว้ า่ ศาลหลกั เมืองนน้ั มพี ฒั นาการเร่มิ จากบอื บา้ น ตลอดจนผบี า้ น แลว้ เปน็ ศาลผมี เหศกั ดหิ์ ลกั เมอื งในทส่ี ดุ (บทสมั ภาษณ์ จากงานสัมมนา เมอื่ ปีพ.ศ.2558) ชลธริ า สตั ยาวัฒนา (2533) เสนอวา่ คตคิ วามเช่อื เรอ่ื งเสาหลกั เมอื งเปน็ คตคิ วามเชอ่ื ในสายวฒั นธรรมนำ้� เตา้ มที ม่ี าจากการผสมผสาน วฒั นธรรมระหวา่ งกลมุ่ ชนทใ่ี ชภ้ าษาออสโตรเอเซยี ตกิ (มอญ-เขมร) แสดงใหเ้ หน็ คติ ความเชอ่ื ทนี่ บั ถอื หลกั เมอื งมาใชพ้ ฒั นาจนกระทงั่ กลายเปน็ เสาหลกั เมอื ง อกี ทง้ั เมอื่ ศาสนาพราหมณแ์ ละศาสนาพทุ ธแพรเ่ ขา้ มาในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ คตคิ วามเชอื่ เร่ืองหลักเมืองจึงถูกปรับใช้ให้เข้ากันเรื่อยมา และ ท.กล้วยไม้ ณ อยุธยา (2525) อธิบายคติความเชื่อเร่ืองเสาหลักเมืองว่าเป็นคติของไทยที่พัฒนามาจากลัทธิผีสาง เทวดาของไทย ไดแ้ ก่ คตผิ บี รรพบรุ ษุ หอผปี ระจำ� หมบู่ า้ น ผเี รอื นบนหง้ิ เสาเอก และ ศาลหลกั เมือง ที่มีพัฒนาการสืบเนอื่ งเรอ่ื ยมาจนปจั จุบัน อย่างไรก็ตามศาลหลักเมืองถือว่าเป็นหลักรวมใจของชุมชนที่รวมกันเป็น หมู่บา้ น หมบู่ ้านรวมเปน็ ตำ� บล ตำ� บลรวมเปน็ อ�ำเภอ อำ� เภอรวมเปน็ เมอื ง สมเด็จ ปที ่ี ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
202 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ (2491) เปน็ ความพยายามเชอื่ มโยง เพื่อให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ในประเทศไทยบางอ�ำเภอก็มีศาลหลักเมือง ซึ่งยังคง เรยี กวา่ ศาลหลกั เมอื ง เนอื่ งจากบางอำ� เภอเปน็ เมอื งเกา่ กอ่ นถกู ลดฐานะเปน็ อำ� เภอ ในปัจจุบัน หลักเมืองจัดเป็นตัวอย่างส�ำคัญในกรณีศึกษาเพ่ือเข้าใจศักยภาพของ สังคมไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงศักยภาพด้านการปกครอง ให้สอดผสานอุดมการณ์ ผา่ นพธิ กี รรมเพอื่ รกั ษาเสถยี รภาพและสรา้ งดลุ ยภาพแหง่ อำ� นาจ ชลธริ า สตั ยาวฒั นา (2533) ศาลหลักเมืองมีความสัมพันธ์กับการสร้างบ้านแปลงเมือง ประเพณีต้ัง หลักเมืองไทยจะเร่ิมมีต้ังแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่มีต�ำนานการตั้ง หลกั เมอื งเลา่ ตอ่ กนั มาในแตล่ ะพน้ื ที่ นอกจากนรี้ ปู แบบของศาลหลกั เมอื งยงั สามารถ บ่งบอกถึงยุคสมัยของศิลปะแต่ละยุคสมัย รูปแบบศาลหลักเมืองในประเทศไทย สว่ นใหญเ่ ปน็ จตั รุ มขุ ทรงไทย มปี ระตทู ง้ั สด่ี า้ น ยอดอาจเปน็ แบบปรางค์ แบบปราสาท แบบมณฑป หรือศาลเจ้าแบบจีน ซ่ึงมักมีองค์ประธาน ส่วนศาลเจ้าท่ีเป็นรูปไม้ หรอื ศลิ า เรยี กวา่ เจา้ พอ่ หลกั เมอื ง หรอื เจา้ แมห่ ลกั เมอื ง สถานทสี่ ว่ นใหญอ่ ยใู่ นพน้ื ท่ี ชุมชนเมืองเก่า อาจเป็นตัวจังหวัด หน้าศาลากลางจังหวัด ซึ่งก่อนการต้ัง ศาลหลักเมืองต้องมีการน�ำเอาเสาหลักเมืองไปทูลถวายเพื่อให้พระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ทรงนำ้� สหุ รา่ ย พรอ้ มทงั้ ทรง เจมิ องคเ์ สาหลกั เมอื ง จงึ จะสามารถนำ� องคเ์ สาหลกั เมอื งกลบั ไปยงั จงั หวดั ทต่ี อ้ งการ ประกอบพิธีต้ังศาลหลักเมืองได้ (หลักเมืองยะลา, 2509) ซึ่งเป็นการพยายาม เช่ือมโยงการตั้งศาลหลักเมอื งเขา้ กับสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ จากการศึกษาภาคสนามเบ้ืองต้นพบวา่ รปู แบบการก่อสร้างศาลหลกั เมือง ผังการก่อสร้างมีรูปแบบเดียวกัน คือส่ีเหลี่ยมจัตุรัส มีประตูทั้ง 4 ด้าน ตวั ศาลหลักเมืองแบง่ ออกเปน็ 3 สว่ น คอื ส่วนฐาน ส่วนเรือนธาตุ สว่ นยอด แต่หาก พิจารณาส่วนตกแต่งของศาลหลักเมืองแต่ละพื้นท่ีพบว่า ส่วนตกแต่งมีความเป็น เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั เชน่ มกี ารผสมผสานรปู แบบศลิ ปะเชงิ ชา่ งพนื้ ถน่ิ เขา้ ไปดว้ ย และ เมอ่ื พจิ ารณาสว่ นประดบั ของศาลหลกั เมอื งตามพน้ื ท่ี จงั หวดั ทอ่ี ยใู่ นพนื้ ทอ่ี สี านเหนอื จะพบว่า ส่วนยอดศาลหลักเมืองมีรูปแบบคล้ายส่วนยอดองค์พระธาตุพนม ปที ่ี ๙ ฉบับที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
203 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ศาลหลักเมืองท่ีมีรูปแบบดังกล่าว ได้แก่ ศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม ศาลหลักเมืองจังหวัดอุดรธานี ศาลหลักเมืองจังหวัดหนองคาย ส่วนรูปแบบของ ศาลหลกั เมืองในพนื้ ทอี่ ีสานกลาง มรี ปู แบบท่แี ตกต่างกันไป แตท่ ่ีนา่ สนใจคอื สว่ น ยอดศาลหลกั เมอื งจงั หวดั ขอนแกน่ ไดเ้ ลยี นแบบรปู แบบสว่ นยอดองคพ์ ระธาตขุ ามแกน่ นอกจากนี้ยังพบศิลปะการตกแต่งแบบพ้ืนถิ่นภายในอาคารศาลหลักเมืองด้วย เมื่อพิจารณาศาลหลักเมืองในพ้ืนท่ีอีสานใต้พบว่ามีศาลหลักเมืองท่ีได้เลียนแบบ รปู แบบของปราสาทหนิ อยู่ 2 ทไี่ ดแ้ ก่ ศาลหลกั เมอื งจงั หวดั บรุ รี มั ย์ และศาลหลกั เมอื ง จังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ยังพบส่วนตกแต่งที่ดูเหมือนมีการบังคับใช้ให้ทุกพื้นที่ มกี ารตกแตง่ แบบเดยี วกนั เนอ่ื งดว้ ยปจั จยั ใดทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การกอ่ สรา้ งศาลหลกั เมอื ง ที่ปรากฏดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมท่ีว่า การ เปลยี่ นแปลงทางสงั คมสว่ นใหญเ่ กดิ จากการแพรก่ ระจายทางวฒั นธรรมจากภายนอก เขา้ มามากกวา่ เกดิ การประดษิ ฐค์ ดิ คน้ ภายในสงั คม และนวตั กรรมทถี่ า่ ยทอดกนั นนั้ อาจเป็นความคิด ซ่ึงรับมาในรูปสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดได้ยาก หรืออาจเป็นวัตถุที่ รบั มาในรูปแบบการกระทำ� การศึกษางานวิจัยและงานวิชาการท่ีผ่านมาพบว่า การศึกษาท่ีเก่ียวกับ อาคารศาลหลักเมืองในอีสานยังมีน้อยเม่ือเทียบกับงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับอาคาร ประเภทศาสนสถานอื่นๆ หากมีมักจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับคติความเช่ือของ ศาลหลักเมืองในชุมชนน้ันๆ และเป็นการศึกษาคติความเชื่อท่ีมีต่อเสาหลักเมือง โดยให้ความสนใจต่อรูปแบบอาคารศาลหลักเมืองน้อยหรือเป็นอันดับรอง ซึ่งเป็น ข้อมูลที่น่าสนใจจะน�ำมาศึกษาต่อยอดอย่างยิ่ง จากการศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้นผู้วิจัย ไดต้ ง้ั ประเดน็ ศกึ ษาวจิ ยั 2 ประเดน็ คอื ประเดน็ แรกเทคนคิ การกอ่ สรา้ งศาลหลกั เมอื ง ที่ปรากฏในปัจจุบันมีแนวคิดท่ีแตกต่างกันออกไปตามแบบศิลปะพื้นถ่ิน ประเด็นท่ี สอง ศลิ ปะเชงิ ชา่ งในพน้ื ถน่ิ อสี านนบั จากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ตลอดทง้ั ศาลหลกั เมอื ง นน้ั รอบๆ อสี านยอ่ มมอี ทิ ธพิ ลสง่ ผลตอ่ รปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื งไมม่ ากกน็ อ้ ย ตามแนวคิดทฤษฎีการแพร่กระจายทางวฒั นธรรม ไดก้ ลา่ วโดยสรปุ ทฤษฎีการแพร่ กระจายทางวัฒนธรรมไว้ว่า วัฒนธรรมจะช่วยอธิบายวิธีการ ข้ันตอนของการ ปที ่ี ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
204 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น เผยแพรว่ ฒั นธรรมจากวฒั นธรรมหนงึ่ ไปสอู่ กี วฒั นธรรมหนง่ึ และจะตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ขอ้ เหมอื นและขอ้ ตา่ งของวฒั นธรรมทงั้ สองเปน็ สำ� คญั ซง่ึ เปน็ โจทยท์ า้ ทายและนา่ ศกึ ษา คน้ ควา้ วจิ ยั อยา่ งย่ิง วา่ รปู แบบศาลหลกั เมอื งในภาคอสี านได้รับอทิ ธิพลเชงิ ช่างจาก เหตุผลใดอย่างแท้จรงิ จากเหตุผลและความส�ำคญั ที่กล่าวมาขา้ งต้น ผู้วิจัยมีความสนใจจะศึกษา เรื่องอิทธิพลเชิงช่างที่มีผลต่อรูปแบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอีสาน โดยมี วัตถุประสงค์ คือ ศึกษาประวัติความเป็นมาของศาลหลักเมือง สภาพปัจจุบันของ การจดั วางผงั ทศิ ทางการตง้ั การกอ่ อาคารประกอบ รวมทงั้ ประโยชนใ์ ชส้ อยอาคาร และวเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ ถงึ อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งทง้ั ในและนอกพนื้ ที่ ทมี่ ผี ลตอ่ รปู แบบการสรา้ ง ศาลหลักเมืองในภาคอีสาน โดยใช้ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมเป็นหลัก เพอ่ื วเิ คราะหห์ าปจั จยั ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม การเมอื งการปกครอง เทคนคิ วธิ กี าร แนวคดิ รูปแบบ รวมถงึ วัสดุ ทม่ี ีผลตอ่ รูปแบบการสร้างศาลหลกั เมืองในอสี าน 2. วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย 2.1 ศกึ ษาประวตั คิ วามเปน็ มาและสภาพปจั จบุ นั ของศาลหลกั เมอื งในอสี าน 2.2 ศึกษาอิทธิพลเชิงช่างที่มีผลต่อรูปแบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาค อีสาน 3. วิธีด�ำเนนิ การวิจยั อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งทมี่ ตี อ่ รปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื งในภาคอสี าน เปน็ การ ศกึ ษาดว้ ยกระบวนการวจิ ยั เชิงคุณภาพ มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ศึกษาประวตั ิความเป็น มาของและสภาพปจั จบุ นั ของศาลหลกั เมอื งในอสี าน รวมไปถงึ อทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งทมี่ ผี ล ตอ่ รปู แบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอสี าน โดยมขี อบเขตพ้นื ทวี่ จิ ัยเป็นอาคาร ศาลหลักเมืองในภาคอีสานที่มีเคร่ืองยอดทรงบัวเหล่ียม อันได้แก่ ศาลหลักเมือง ขอนแก่น ศาลหลักเมืองอุดรธานี ศาลหลักเมืองหนองคาย และศาลหลักเมือง นครพนม โดยมกี ล่มุ ประเป้าหมายทเี่ กย่ี วขอ้ งกับศลิ ปะเชิงชา่ งสถาปตั ยกรรมอสี าน ปที ่ี ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
205 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น รวมถงึ รปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื งในภาคอสี านกลมุ่ บคุ คลทผี่ วู้ จิ ยั เลอื กนำ� มาให้ ข้อมูล เป็นบุคคลทม่ี คี วามรู้ความเช่ยี วชาญดา้ นศลิ ปะเชงิ ช่างในอีสาน กลมุ่ ผูป้ ฏิบัติ ประกอบด้วย สถาปนิกที่ออกแบบศาลหลักเมืองในภาคอีสาน รวมท้ัง อาจารย์ที่ ศึกษาเก่ียวกับศิลปะงานช่างในอีสาน และผู้เก่ียวข้อง ประกอบด้วย ผู้ท่ีดูแล ศาลหลกั เมอื ง รวมถงึ ผ้ทู ่ีอาศยั อยบู่ รเิ วณใกลเ้ คียงศาลหลักเมือง โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื ใน การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ แบบส�ำรวจ แบบสงั เกต แบบสมั ภาษณ์ แบบสนทนา กลมุ่ แลว้ รวบรวมนำ� มาวเิ คราะหต์ ามกรอบการวจิ ยั ซง่ึ ประกอบดว้ ยทฤษฎกี ารแพร่ กระจาย ทฤษฎสี ญั ญะวทิ ยา และแนวคดิ ศลิ ปะพนื้ ฟู แลว้ นำ� เสนอโดยใชว้ ธิ พี รรณนา วเิ คราะห์ ภาพประกอบท่ี 1 ส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมศาลหลักเมอื ง3 ปีที่ ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
206 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 4. ผลการวิจยั อิทธิพลเชิงช่างท่ีมีต่อรูปแบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอีสาน ผู้วิจัย ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากภาคสนามที่ได้จาก แบบส�ำรวจ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลมุ่ โดยนำ� มาวเิ คราะหต์ ามวตั ถปุ ระสงคท์ กี่ ำ� หนดไว้ ผลการศกึ ษา พบว่า 4.1 ประวัติความเปน็ มาและสภาพปัจจบุ นั ศาลหลักเมืองในภาคอสี าน ศาลหลกั เมอื งทผ่ี วู้ จิ ยั เลอื กทำ� การศกึ ษา ดงั นี้ ศาลหลกั เมอื งขอนแกน่ ศาลหลกั เมอื งอดุ รธานี ศาลหลกั เมอื งหนองคาย และศาลหลกั เมอื งนครพนม พบวา่ จากขอ้ มลู ภาคเอกสารและการศกึ ษาพน้ื ทวี่ จิ ยั การสรา้ งศาลหลกั เมอื งในสมยั กอ่ นนนั้ เพ่ือให้ทราบพื้นที่ที่ต้องการสร้างบ้านเมือง กษัตริย์หรือ ผู้น�ำจะน�ำเสามาปักไว้ เพ่ือให้เทราบเขตแดนแน่นอน ศาลหลักเมืองเร่ิมมีมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา สืบมาจนถึงธนบุรี และรตั นโกสนิ ทร์ จากศาลหรอื หอประจ�ำหมบู่ า้ น หรือท่เี รียกว่า บอื บา้ น พฒั นามาสอู่ ำ� เภอ เปน็ ศาลหลกั เมอื ง พธิ สี รา้ งศาลหลกั เมอื งปจั จบุ นั นอกจาก จะเป็นการสรา้ งเพ่อื เป็นศูนยร์ วมทย่ี ดึ เหน่ยี วจติ ใจของคนในสังคมแลว้ พธิ ีการการ สร้างศาลหลักเมืองยังพยายามเช่ือมโยงความสัมพันธ์จากอ�ำนาจส่วนกลาง เพื่อให้ สอดผสานอุดมการณ์ผ่านพิธีกรรมเพื่อรักษาเสถียรภาพและรักษาดุลยภาพแห่ง อำ� นาจ ซงึ่ จะเหน็ ไดจ้ ากการขนั้ ตอนกอ่ นการตงั้ ศาลหลกั เมอื ง ดงั เชน่ ศาลหลกั เมอื ง อุดรธานี ทางส่วนราชการจังหวัดอุดรธานีท�ำหน้าท่ีด�ำเนินการรวบรวมข้อมูล และ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเข้าเฝ้าฯ น้อมเกล้าฯ ถวายยอด เสาหลกั เมอื ง เพอ่ื ทรงสหุ รา่ ย และทรงเจมิ จากนนั้ จงึ จะสามารถประกอบพธิ อี ญั เชญิ ยอดเสาพระหลกั เมอื งขนึ้ ประกอบบนเสาหลกั เมอื งได้ ซง่ึ จะเหน็ จากพระบรมรปู ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงท�ำพิธีเจิมยอดเสาหลักเมือง ประดิษฐานไว้ ภายในอาคารศาลหลกั เมอื งหลายแหง่ บางทใ่ี ชเ้ ปน็ พระปรมาภไิ ธยยอ่ ประดบั ไวบ้ น ประตูทางเข้าด้านใน ได้แก่ ศาลหลักเมืองขอนแก่น ประวัติความเป็นมาของ ศาลหลักเมอื งในแตล่ ะพื้นท่นี ัน้ มีทัง้ คำ� บอกเลา่ ตอ่ กันมา ควบคู่ไปกบั ภายหลงั เร่มิ มี การบนั ทกึ เปน็ เอกสาร ซงึ่ ผวู้ จิ ยั ไดจ้ ำ� แนก ตามพนื้ ทว่ี จิ ยั เพอ่ื หาความสมั พนั ธก์ นั ของ ปที ่ี ๙ ฉบับที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
207 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ พนื้ ท่ี ดงั น้ี 1) ประวัติความเป็นมาของศาลหลักเมืองขอนแก่น เดิมตั้งอยู่ท่ีอ�ำเภอ ชมุ แพ เรม่ิ จากการคน้ พบเสาหนิ และไดอ้ ญั เชญิ มาประดษิ ฐานและสรา้ งศาลหลกั เมอื ง หลังใหม่ เม่ือปี พ.ศ. 2549 ตง้ั อยูท่ ่ี ถนนศรจี ันทร์ อ�ำเภอเมืองขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่ ใกลป้ ระตเู มอื ง แนวคดิ การกอ่ สรา้ งศาลหลกั เมอื งขอนแกน่ มที มี่ าจากงาน วิจัยเร่ือง เร่ือง “ศักยภาพของที่โล่งว่างสารธารณะประโยชน์ ในเขตเทศบาลนคร ขอนแก่น” จัดท�ำโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รูปแบบ อาคารศาลหลักเมืองเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ รูปทรงอาคารแบบจัตุรมุข อาคารยอ่ มุม มีระเบยี งโดยรอบ อาจารย์อดเิ รก ณรงค์ใย และคณะ เป็นผ้อู อกแบบ และชา่ งสถาปตั ยค์ มุ งานการกอ่ สรา้ ง สำ� หรบั สภาพปจั จบุ นั ของอาคารศาลหลกั เมอื ง ขอนแกน่ อย่ใู นสภาพค่อนขา้ งดี ตงั้ อย่บู ริเวณใจกลางการสัญจรของเมือง การวาง ผงั แบบสี่เหลยี่ มจตั ุรมุข เพม่ิ มมุ หนั หน้าไปทางทิศตะวนั ออก มสี ง่ิ ก่อสรา้ งทีอ่ ยูใ่ กล้ กบั บรเิ วณศาลหลกั เมอื ง ได้แก่ เทวสถานพระแมธ่ รณี ภายในบรเิ วณศาลหลกั เมือง มพี ระภูมิเจา้ ที่ เสาฟ้าดิน และพระพุทธรูปปรางอ้มุ บาตร ศาลหลักเมอื งขอนแก่นมี เสาหลักเมือง 2 เสา เป็นเสาหินทั้งหมด เสาเก่าประดิษฐานไว้ภายในอาคาร ศาลหลักเมือง สว่ นเสาจ�ำลองประดษิ ฐานไว้อาคารภายนอก 2) ประวตั คิ วามเปน็ มาของศาลหลกั เมอื งอดุ รธานี การกอ่ ตงั้ เมอื งอดุ รธานี นั้นมีบางตอนที่มีความสัมพันธ์ต่อการต้ังเสาหลักเมือง ซึ่งบริเวณที่ต้ังของอาคาร ศาลหลักเมืองอุดรธานีน้ันอยู่ใกล้กับบริเวณท่ีต้ังกองทหารไทย สมัยกรมหมื่นหลวง ประจกั ษ์เป็นแมท่ พั ใหญ่ ซง่ึ ไดอ้ พยพเคลื่อนย้ายทัพให้ห่างจากแม่น้�ำโขง เป็นระยะ ทาง 50 กโิ ลเมตร ไดเ้ ขา้ มาตง้ั บรเิ วณหนองนาเกลอื (หนองประจกั ษป์ จั จบุ นั ) ระหวา่ ง นน้ั กย็ งั ไมม่ กี ารตง้ั เสาหลกั เมอื งแตอ่ ยา่ งใด จนกระทง่ั ปี พ.ศ. 2502 ดว้ ยความรว่ มมอื จากประชาชนหลายฝา่ ยจงึ รว่ มการทำ� เรอื่ งขอกอ่ ตงั้ ศาลหลกั เมอื งขนึ้ ในเวลาตอ่ มา อาคารศาลหลักเมอื งเกิดทรุดโทรม จงึ ได้ทำ� การบรู ณะขน้ึ ใหมใ่ นปี พ.ศ.2542 โดย ไดร้ บั การอนเุ คราะหเ์ ขยี นแบบจาก อาจารยภ์ ญิ โญ สวุ รรณครี ี ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขา สถาปตั ยกรรม โดยออกแบบใหม้ ีลกั ษณะเปน็ สถาปตั ยกรรมไทยอีสาน ดงั รปู แบบที่ ปที ่ี ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
208 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ปรากฏในปัจจุบัน ศาลหลักเมืองอุดรธานีต้ังอยู่ ถนนพานพร้าว อ.เมืองอุดรธานี ในบรเิ วณท่โี ลง่ กว้าง ไม่มชี มุ ชนแออดั และอยู่ใกลศ้ นู ย์ราชการตา่ งๆ แบบผงั อาคาร ศาลหลักเมืองเป็นส่ีเหลี่ยมจัตุรมุข เพิ่มมุม หันหน้าไปทางทิศเหนือซึ่งสัมพันธ์กับ ทิศทางที่ท้าวเวสสุวรรณประดิษฐานอยู่ เสาหลักเมืองมี 2 เสา เป็นเสาใหญ่ กับ เสาเกา่ ประดิษฐานไว้ภายในอาคารศาลหลกั เมอื งดว้ ยกนั 3) ประวัติความเป็นมาของศาลหลักเมืองหนองคาย สมัยก่อนที่จังหวัด หนองคายยงั ไม่ไดส้ ร้างศาลหลกั เมอื ง ประชาชนได้ใหก้ ารเคารพอนสุ าวรยี ์ปราบฮอ่ เป็นดั่งศาลหลักเมืองประจ�ำจังหวัดหนองคาย ในเวลาต่อมาจึงมีการสร้างอาคาร ศาลหลักเมืองขึ้น จากความรวมมือของประชาชนทุกภาคส่วน ศาลหลักเมือง หนองคายตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ เส้นทางระหว่างหนองคาย-อุดรธานี ท�ำการ ก่อสร้างอาคารศาลหลักเมืองเมื่อปี พ.ศ.2542โดยความร่วมมือของประชาชน ชาวหนองคาย มเี จตนาเพอื่ สรา้ งเปน็ อนสุ รณแ์ หง่ ความสามคั คี เสาหลกั เมอื งมหี นง่ึ เสา อาคารศาลหลกั เมอื งถกู ออกแบบใหม้ รี ปู ทรงจตั รุ มขุ ทรงไทยประยกุ ต์ สภาพปจั จบุ นั ศาลหลกั เมอื งหนองคาย ศาลหลกั เมอื งอยใู่ นสภาพทค่ี อ่ นขา้ งสมบรู ณ์ เนอื่ งจากวสั ดุ ในการกอ่ สรา้ งตวั อาคาร กอ่ ดว้ ยซเี มนต์ สว่ นตกแตง่ ทงั้ หมดเปน็ ปนู ปน้ั ศาลหลกั เมอื ง ติดกับถนนมิตรภาพเป็นเส้นทางหลักในการสัญจร บริเวณใกล้เคียงมีเส้นทางเช่ือม ตอ่ สถานทรี่ าชการเชน่ ศาลากลางจงั หวดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั หนองคาย พนื้ ที่ บรเิ วณศาลหลกั เมอื งไมม่ สี งิ่ กอ่ สรา้ งอน่ื เหมอื นเชน่ ศาลหลกั เมอื งอน่ื ทมี่ ี ศาสนสถาน ฮินดู หรือ ศาลเจ้าแบบจีน อาคารศาลหลักเมืองตั้งอยู่ในพ้ืนที่ท่ีสะดวกต่อการ เดินทาง และผู้คนสามารถพบเห็นได้ง่าย จึงท�ำให้มีผู้คนเดินทางเข้ามาสักการะอยู่ ตลอดเวลา แมอ้ าคารศาลหลักเมอื งไม่ได้ตง้ั อยู่ภายในตวั เมอื ง แตบ่ รเิ วณใกลเ้ คียงก็ เป็นศูนยต์ ดิ ต่อราชการหลายแหง่ ผังของศาลหลกั เมอื งเปน็ ส่เี หลี่ยมจัตรุ มุข เพ่ิมมุม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เสาหลักเมืองมี 2 เสา ซึ่งเป็นเสาเก่า กับเสาใหม่ ทำ� จากไมท้ ัง้ หมด 4) ประวตั ิความเปน็ มาของศาลหลักเมอื งนครพนม ต้งั อยูห่ น้าศาลกลาง จงั หวดั นครพนม ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั นครพนม ทำ� การกอ่ สรา้ งอาคาร ปีที่ ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
209 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ศาลหลักเมืองเม่ือปี พ.ศ.2535 โดยความเช่ือในประเพณีโบราณเก่ียวกับการสร้าง ก่อตั้งเมือง จะต้องท�ำพิธีเพ่ือความเป็นสิริมงคล พิธีดังกล่าวคือการยกเสาเอกของ บา้ น และยกเสาหลกั เมอื งของเมอื ง เพอ่ื เปน็ หลกั ชยั ทางจติ ใจวา่ บา้ นเมอื งทส่ี รา้ งขน้ึ น้ันมีรากบานฝงั ไว้แนน่ หนาถาวร เสาหลักเมอื งมหี นึ่งเสา ทำ� จากไม้กันเกรา เป็นไม้ ประจ�ำของนครพนม อาคารศาลหลักเมืองถูกออกแบบให้มีรูปทรงจัตุรมุขทรงไทย ประยกุ ต์ ความเชอื่ เกยี่ วกบั การตงั้ ศาลหลกั เมอื งนนั้ มคี วามเชอื่ คลา้ ยกนั กบั ความเชอื่ ของศาลหลกั เมอื งพน้ื ทอี่ น่ื คอื มคี วามเชอื่ เรอ่ื งการกอ่ ตง้ั บา้ นเมอื งเกย่ี วกบั การลงเสา ปกั เสาเอกขอบา้ นกอ่ นทจ่ี ะกระทำ� กจิ การใด เมอ่ื มคี วามเหน็ ทตี่ รงกนั และจากความ ร่วมมือของทกุ ภาคส่วน ชาวเมืองนครพนมจงึ ท�ำพธิ ยี กเสาหลักเมืองขึ้น และได้รับ การสนบั สนนุ จากกรมศลิ ปากร ซง่ึ อนเุ คราะหด์ า้ นการออกแบบอาคารศาลหลกั เมอื ง ใหม้ ศี ลิ ปะท่ีสอดคลอ้ งกบั ศิลปกรรมในพ้ืนที่ ซึ่งมผี งั เป็นส่เี หลย่ี มจตั รุ มขุ เพม่ิ มุม เสา หลักเมอื งมีเสาเดียวท�ำจากไม้ ซงึ่ เปน็ ไมป้ ระจ�ำจังหวดั นครพนม การต้ังศาลหลักเมืองภายใต้คติความเช่ือเร่ืองเสาหลักเมืองในฐานะ สญั ลกั ษณอ์ ำ� นาจจากสว่ นกลาง จงึ เกดิ ค่านยิ มในการก่อสร้างศาลหลักเมืองข้ึนตาม ภมู ภิ าคตา่ งๆในราชอาณาจกั รไทย หลงั จากการเปลยี่ นแปลงการปกครองเมอื่ ปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลเร่ิมประกอบพิธีการต้ังศาลหลักเมืองขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2487 โดย กระทรวงมหาดไทยมนี โยบายใหส้ ว่ นภมู ภิ าคตง้ั เสาหลกั เมอื งขนึ้ ภายในปี พ.ศ. 2535 นบั จากนนั้ เปน็ ตน้ มาการสรา้ งศาลหลกั เมอื งหรอื ตง้ั เสาหลกั เมอื งนนั้ จงึ พยายามจะ เช่ือมโยงให้เข้ากับสถาบันชาติ ซ่ึงท�ำได้โดยการผูกดวงเมืองเข้ากับดวงเมือง กรงุ เทพมหานคร นอกจากนยี้ งั มีหลักการพยายามเชือ่ งโยงการตง้ั ศาลหลกั เมืองเขา้ กับสถาบนั พระมหากษตั ริย์ โดยกอ่ นทจี่ ะมีพิธีการตง้ั เสาหลักเมอื ง ต้องมีการน�ำเอา องค์เสาหลักเมืองไปทูลเกล้าถวายเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดลุ ยเดช ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ทรงนำ้� สหุ รา่ ย พรอ้ มทงั้ ทรงเจมิ องคเ์ สาหลกั เมอื ง จึงจะสามารถน�ำองค์เสาหลักเมืองกลับไปยังจังหวัดท่ีต้องการประกอบพิธีตั้ง ศาลหลักเมอื งได้ ปที ี่ ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
210 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น คติการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอีสานยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจน เกี่ยวกับรูปแบบของศาลหลักเมือง มีเพียงการศึกษาและต้ังข้อสังเกตรูปแบบ สถาปัตยกรรมศาลหลักเมืองในแต่ละพื้นที่ของภาคอีสาน ความเป็นมาของ ศาลหลักเมืองซึ่งเร่ิมจากการตั้งเสาหลักบ้าน ซึ่งเห็นได้จากอาจารย์วิโรฒ ศรีสุโร ไดท้ �ำงานวจิ ัยเกี่ยวกับหลกั บา้ นในภาคอสี าน ไดอ้ ธิบายการเกิดหลักบ้าน ในอดตี มี ความเช่ือเร่ืองผี ซ่ึงมีความส�ำคัญทางจิตใจของชุมชนอย่างมาก ซ่ึงได้ส่งผลต่อการ ปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ มา เชน่ การเซน่ สรวง ซงึ่ หลกั บา้ นอาจเปน็ ทพ่ี ง่ึ ทางใจ หรอื อาจบนั ดาล ส่ิงต่างๆได้จริง หลักบา้ นได้ถกู เซน่ สรวงให้ ผเี ทพารกั ษ์ ผู้เช่อื วา่ สถติ อยูก่ บั หลักบา้ น ขจัดภัยพิบัติเหล่าน้ัน ชาวบ้านในหมู่บ้านยืนยันว่าความอยู่เย็นเป็นสุขท้ังหมดท่ี เกดิ ขน้ึ นนั้ จากหลกั บา้ น รปู แบบของศาลหลกั เมอื งในทกุ ทท่ี ยี่ งั คงรปู แบบเดยี วกนั คอื ทรง สเี่ หลย่ี มจตั รุ มขุ ซงึ่ จากการสมั ภาษณ์ อ.อดเิ รก ณรงคใ์ ย ผอู้ อกแบบและควบคมุ งาน ช่างศาลหลักเมืองของแก่น ท่านให้แนวความคิดว่าการสร้างอาคารทรงจัตุรมุข อกี คตหิ นงึ่ วา่ มาจากการสรา้ งวมิ านใหเ้ ทพปกปกั รกั ษาประจำ� แตล่ ะทศิ ดงั จะเหน็ ได้ จากศาลหลักเมืองขอนแก่น ทีป่ ระดษิ ฐานเทพประจำ� ทศิ ไวท้ หี่ นา้ บัน ภาพประกอบที่ 2 หน้าบันศาลหลกั เมืองขอนแก่น ปีที่ ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
211 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ส่วนการใชร้ ูปแบบส่วนตกแต่งทีม่ ีอิทธพิ ลจากส่วนกลางที่เรียกวา่ อิทธพิ ล จากศิลปะรัตนโกสินทร์ หรือท่ีเรียกว่าแบบไทยประเพณี เห็นได้จากการตกแต่ง ลวดลายทวี่ จิ ติ รสวยงาม ลายกระหนกตา่ งๆ ทไี่ มใ่ ชล่ วดลายจากพนื้ ถน่ิ ทนี่ กั ออกแบบ ไดป้ ระยกุ ตข์ นึ้ เชน่ การตกแตง่ กลบี ดอกลำ� ดวนเพมิ่ เตมิ ทก่ี รอบหนา้ บนั ศาลหลกั เมอื ง ขอนแกน่ การตกแตง่ คนั ทวยดว้ ยรปู ทรงนาค ทศ่ี าลหลกั เมอื งอดุ รธานี ศาลหลกั เมอื ง หนองคาย และศาลหลักเมืองนครพนม เหล่าน้ีท่ียกมากล่าวล้วนได้รับอิทธิพล พนื้ ฐานทม่ี ีเรอ่ื งราวในพ้ืนถน่ิ น้ันๆ สภาพปจั จบุ นั ของศาลหลกั เมอื ง ศาลหลกั เมอื งสว่ นใหญม่ แี ผนผงั เปน็ แบบ จตั ุรมุขเพ่ิมมุม มกี ารสรา้ งใหห้ ันหน้าไปในทิศทางทีแ่ ตกต่างกนั เช่น ศาลหลักเมอื ง ขอนแก่น และศาลหลักเมืองหนองคาย หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วน ศาลหลักเมืองอุดรหันหน้าไปทางทิศเหนือ ศาลหลักเมืองนครพนมก็เช่นกัน วัสดุท่ี ใช้เป็นการก่อฉาบปูน และหล่อซีเมนต์ สีที่ใช้ส่วนใหญ่เน้นสีแดง และสีขาว วัสดุ ตกแต่งเพิ่มเติม เช่น กระจกสี แกะสลักไม้ เสาหลักเมืองนิยมเป็นเสาไม้ ยกเว้น ศาลหลกั เมืองขอนแก่นที่เปน็ เสาหินท้ังสองเสา ปีที่ ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
212 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาพประกอบท่ี 3 รูปแบบศาลหลกั เมอื งทั้ง 4 แห่ง 4.2 อิทธพิ ลเชงิ ชา่ งทม่ี ตี ่อรปู แบบการสร้างศาลหลักเมืองในภาคอสี าน ศาลหลักเมืองในภาคอีสานที่ผู้วิจัยท�ำการศึกษา ดังน้ี ศาลหลักเมือง ขอนแกน่ ศาลหลักเมืองอดุ รธานี ศาลหลักเมืองหนองคาย ศาลหลักเมอื งนครพนม ส่วนใหญ่นั้นมีรูปทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อนชั้นตั้งแต่สองช้ันขึ้นไป ลวดลายที่น�ำมา ประดับตกแตง่ สว่ นใหญ่เป็นลวดลายกระหนก เนน้ ทาสีดว้ ยสีทอง และสแี ดง ฐาน อาคารเป็นแบบเพ่ิมมุม เสาอาคารมีต้ังแต่ 16 เสาจนถึง 28 เสา มกี ารตกแต่งเสา หลอกเพมิ่ เตมิ ดว้ ย ตวั อาคารทรงทบึ ตนั ตงั้ ตรง เวน้ แตศ่ าลหลกั เมอื งอดุ รธานที เี่ สาคู่ ดา้ นหนา้ ประตทู างเขา้ มลี กั ษณะลม้ สอบเขา้ หากนั เลก็ นอ้ ย เหมอื นลกั ษณะเรอื นไทย ทางภาคกลาง การตกแต่งบัวหัวเสาด้วยลวดลายกลีบบัว เว้นแต่ศาลหลักเมือง ขอนแก่นท่ีตกแต่งหัวเสาด้วยลักษณะเสาแบบปราสาทหิน ช้ันหลังคามีการซ้อน สามชั้นเฉพาะที่ศาลหลักเมอื งอุดรธานี หนา้ บนั ตกแต่งแตกตา่ งกนั ซงึ่ ผู้วิจยั มองวา่ ปีที่ ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
213 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ชา่ งพยายามสรา้ งเอกลกั ษณ์ หรอื การจดจำ� หนา้ ตาของศาลหลกั เมอื งไวส้ ว่ นของหนา้ บนั หนา้ บนั ศาลหลกั เมอื งขอนแกน่ ทงั้ สที่ ศิ ตกแตง่ ดว้ ยปนู ปน้ั ลวดลายของเทวดาประจำ� ทศิ แตกตา่ งกนั หนา้ บนั ศาลหลกั เมอื งอดุ รธานใี ชล้ กั ษณะของการทำ� กรอบสหี่ นา้ แบบ ลา้ นนา หนา้ บนั ศาลหลกั เมอื งหนองคายตกแตง่ ดว้ ยลวดลายกระหนกพรรณพฤกษา และหนา้ บนั ศาลหลักเมอื งนครพนมมกี ารตกแตง่ ลกั ษณะคลา้ ยเกยี รตมิ ขุ หรอื หนา้ กาล ลักษณะเหมอื นหน้าตัวมกรท่กี ำ� ลังคายก้านกระหนกออกมา ซึง่ เปน็ ศลิ ปะขอม ทพี่ บการสลกั ลวดลายของทบั หลงั นอกจากนชี้ า่ งยงั ประดบั ตกแตง่ ชอ่ ฟา้ ใบระหาง หงส์ ไว้ เชน่ เดยี วกับการประดับตามแบบวัด เครื่องยอดของศาลหลกั เมอื งเป็นแบบ บัวเหล่ียมทั้งหมด และที่มีสัญฐานเป็นรูปแบบเฉพาะคือ ศาลหลักเมืองขอนแก่น เน่อื งจากจำ� ลององคพ์ ระธาตขุ ามแกน่ อิทธิพลเชิงช่างนอกจากจะเป็นการหยิบยืมเอารูปแบบของศิลปะที่มี ในท้องถน่ิ มาใชเ้ ปน็ แรงบนั ดาลใจในการออกแบบแล้ว ท้งั นีย้ งั ขน้ึ อยูก่ บั ยคุ สมัยทาง เชิงช่าง ประสบการณ์ต่างๆ และข้อก�ำหนด ทั้งทางด้านทุนทรัพย์ การเมืองการ ปกครอง หรือสภาพแวดลอ้ ม ก็อาจจะมผี ลต่อรปู แบบงานชา่ งได้ ซึ่งอาจเปน็ ไปไดว้ ่า สังคมในช่วงเวลาหน่ึงซึ่งอ�ำนาจถือครองท่ีดินเป็นของกษัตริย์ และพระราชทาน แกข่ ุนนางตามล�ำดับ ดังนนั้ ขนุ นางในตระกูลใดทไี่ ดค้ รอบครอบทีด่ นิ มาก ก็เท่ากับว่า มอี ทิ ธพิ ลมากอันเป็นส่วนหน่งึ ทจี่ ะส่งเสรมิ ให้ศิลปกรรมตามฐานอ�ำนาจ ดงั รปู แบบ งานช่างท่ีได้ปรากฏบนศาลหลักเมืองแต่ละพื้นท่ี ท่ีมีท้ังรูปแบบเหมือนและ แตกต่างกนั 5. สรปุ ผลการวิจัย จากการศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื งอทิ ธพิ ลเชงิ ชา่ งทม่ี ตี อ่ รปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื ง ในภาคอีสาน ศาลหลักเมืองในพ้ืนท่ีท่ีผู้วิจัยได้ท�ำการศึกษานั้น ล้วนมีประวัติความ เปน็ มาเหมอื นๆ กนั ประการสำ� คญั คอื การสรา้ งศาลหลกั เมอื งเพอื่ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐาน องค์เสาหลกั เมอื ง บ่งบอกถึงหลกั แหง่ การสร้างบ้านแปงเมอื งขึน้ ณ ทตี่ รงนั้นอยา่ ง แนน่ อน ซงึ่ เสาทป่ี กั ไวจ้ ะเปน็ เสาหลกั ของบา้ นเมอื งนน้ั และประการรองอาจเกดิ จาก ปที ี่ ๙ ฉบบั ท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
214 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ความเชื่อส่วนบุคคลในพื้นที่ เก่ียวกับการเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ิซ่ึงมีความเช่ือว่า มดี วงวญิ ญาณของเจ้าท่ีคอยปกปอ้ งค้มุ ครองใหพ้ ้นอนั ตราย ในบางจงั หวดั จะมีการ จัดงานประจ�ำปีส�ำหรับแสดงความเคารพสักการะต่อองค์ศาลหลักเมือง เช่นที่ ศาลหลักเมืองจังหวัดขอนแก่น จะจัดขึ้นในเดือนธันวาคมของทุกปี ศาลหลักเมือง อุดรธานีก็มีการจดั พิธีบวงสรวงข้ึนในเดอื นมกราคมเปน็ ประจำ� ของทกุ ปเี ช่นกัน ปัจจุบันการสร้างศาลหลักเมืองแต่ละพ้ืนที่ได้เพ่ิมความส�ำคัญอีกประการ หนง่ึ คอื การมงุ่ เนน้ ความสมั พนั ธข์ องระบบกษตั รยิ ก์ บั การกอ่ สรา้ งบา้ นเมอื ง รวมไป ถงึ การเปน็ ศนู ยร์ วมทย่ี ดึ เหนยี่ วจติ ใจของประชาชน ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการประดษิ ฐาน พระปรมาภิไธย และพระฉายาลักษณ์ ไว้ภายในอาคารศาลหลักเมืองทุกพื้นท่ี นอกจากน้ีศาลหลักเมืองบางจังหวัด เช่น ท่ีศาลหลักเมืองอุดรธานีหลังจากท�ำการ บูรณะศาลหลักเมืองข้ึนใหม่แล้ว ส่วนราชการยังจัดเป็นโครงการท่ีรัฐบาลให้เป็น โครงการเฉลมิ พระเกยี รตโิ ครงการหนงึ่ ในวาระมงคลที่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2542 จะเห็นได้ว่า เป็นการพยายามเชื่อมโยงความส�ำคัญของศาลหลักเมืองสู่การ ปกครองอำ� นาจจากสว่ นกลาง ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั นโยบายของรฐั บาล เมอ่ื ปี พ.ศ. 2535 กำ� หนดให้เมอื งทุกเมอื งตอ้ งมกี ารสร้างศาลหลกั เมือง สภาพปจั จบุ ันของศาลหลักเมอื ง การวางผงั ของศาลหลกั เมอื งแต่ละพ้ืนท่ี มีการวางผังแบบเดียวกัน คือเป็นแบบสี่เหล่ียมจัตุรมุขเพ่ิมมุม ทิศทางการหันหน้า แตกตา่ งกนั ศาลหลกั เมอื งจงั หวดั อดุ รธานหี นั หนา้ ไปทางทศิ เหนอื สว่ นศาลหลกั เมอื ง จังหวัดขอนแก่น หนองคาย และนครพนม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก การใช้ ประโยชน์เพ่ือการเคารพสักการะแก่ประชาชนในพ้ืนที่และผู้คนภายนอกท่ีเดินทาง เข้ามาในจังหวัดนั้น สภาพอาคารส่วนใหญ่ค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากมีการบูรณะ ข้ึนใหม่อยู่เรื่อยๆ หากนับเวลาหลังจากบูรณะเสร็จศาลหลักเมืองแต่ละท่ีก็ยังมีอายุ ไมถ่ งึ 30 ปี และเนอื่ งดว้ ยวสั ดทุ ที่ นั สมยั มคี วามคงทนแขง็ แรง ประกอบกบั การใชง้ าน ศาลหลกั เมือง มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ ดียว คือเพอ่ื เขา้ มาสกั การบูชา จึงทำ� ใหศ้ าลหลักเมอื ง คงสภาพคอ่ นขา้ งสมบรู ณ์ นอกจากนศี้ าลหลกั เมอื งแตล่ ะทยี่ งั จดั ตง้ั ผดู้ แู ลศาลประจำ� ปีที่ ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
215 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ศาลหลักเมืองไว้ด้วย ศาลหลักเมืองแต่ละท่ีล้วนตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนท่ีสะดวกต่อ การสัญจร และใกล้กบั แหล่งการคา้ สามารถเปน็ จดุ สนใจต่อคนทผ่ี ่านไปมาไดง้ า่ ย อิทธพิ ลเชงิ ช่างที่มีต่อรปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื งนน้ั เป็นทแี่ น่นอนว่า แผนผัง และการตกแต่งศาลหลักเมืองที่ปรากฏน้ันส่วนใหญ่แล้วได้รับอิทธิพลจาก ศลิ ปะรัตนโกสินทร์หรือท่ีเรียกว่า แบบไทยประเพณี ซ่ึงอาจมตี ้งั แตส่ มยั อยุธยาตอน ปลายและมกี ารใชล้ กั ษณะสว่ นตกแตง่ เชน่ นม้ี าตลอดจนปจั จบุ นั นอกจากพบรปู แบบ การพยายามของช่างที่จะตกแต่งศาลหลักเมืองให้สอดคล้องกับพ้ืนท่ีทาง ประวัติศาสตร์ คือ ศาลหลักเมืองเหล่านี้อยู่ในพ้ืนที่เดียวกัน และเป็นพ้ืนที่ที่มีการ แพร่กระจายทางวัฒนธรรมลา้ นชา้ ง การออกแบบศาลหลักเมืองขอนแก่นชา่ งไดน้ ำ� รปู แบบศลิ ปะปาปวนออกแบบผสมผสานรว่ มกบั รสนยิ มพน้ื ถน่ิ สว่ นทเ่ี ปน็ สว่ นยอด ของอาคารศาลหลักเมืองขอนแก่นน้ัน จ�ำลององค์พระธาตุขามแก่นเอาไว้ ช่าง ตอ้ งการใหอ้ าคารศาลหลกั เมอื งมคี วามเรยี บงา่ ย โดยเนน้ การตกแตง่ แบบศลิ ปะแบบ ปาปวนเฉพาะทีฐ่ านของยอด เสาอาคาร และผนังอาคาร เทา่ นน้ั ส่วนใหญจ่ ะเนน้ การแสดงลายเสน้ มากกวา่ การลงลายละเอยี ดความประณตี ที่ลวดลาย ฐานอาคาร มีการเพ่ิมมมุ ผนังอาคารทึบตัน แต่มีการเจาะชอ่ งลมท่เี ปน็ ลวดลายขดิ แบบอสี านที่ ผนังท้งั 4 ดา้ น เป็นการเพมิ่ รสนยิ มแบบพ้นื ถ่นิ ได้ชัดเจน เสาอาคารรปู ทรงเสาแบบ ปราสาทหนิ ช้ันหลังคาทรงไทยจัตุรมุข เป็นหลังคาซ้อน 3 ช้นั ช้นั ท่ี 4 เป็นเครื่อง ยอด โดยรวมแลว้ ลกั ษณะอาคารท่ีมกี ารผสมผสานศลิ ปะแบบภาคกลาง นอกจากนี้ ช่างได้เพ่ิมเติมความชอบเข้าไปในงานเพ่ือความลงตัวขององค์ประกอบแต่ละส่วน รปู แบบศาลหลกั เมอื งอดุ รธานี อาคารศาลหลกั เมอื งสว่ นใหญช่ า่ งไดน้ ำ� รสนยิ มทางศลิ ปะ ลา้ นนาเขา้ มาตกแต่งรว่ มดว้ ย ท่มี ลี กั ษณะเด่นไดแ้ ก่ คันทวยแบบหูชา้ ง การตกแตง่ หนา้ บนั แบบวดั ไทลอ้ื และการตกแตง่ บวั หวั เสาดว้ ยลายบวั ฟนั ยกั ษ์ ซงึ่ แตกตา่ งจาก อาคารศาลหลกั เมอื งหลงั อน่ื ทม่ี กั ตกแตง่ ดว้ ยลวดลายบวั แบบกลบี ขนนุ ฐานอาคาร แบบฐานปทั ต์ รูปทรงตวั อาคารมลี ักษณะลม่ สอบเล็กน้อย จึงดูคลา้ ยอาคารมขี นาด เล็กกว่าหลงั อ่ืน หลังแบบทรงไทยจัตุรมุข หลังคาซอ้ นชั้น 3 ชัน้ ชั้นที่ 4 เป็นเครื่อง ยอด รปู แบบอาคารศาลหลกั เมอื งโดยรวมเนน้ การตกแตง่ ลวดลายทคี่ รบเครอื่ งแบบ ปที ี่ ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
216 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ศิลปะไทยภาคกลาง ลวดลายส่วนใหญ่จะคล่ีแบบมาจากลวดลายแบบพระพรหม พิจิตร ส่วนเครอ่ื งยอดเปน็ รูปทรงบวั เหลยี่ มเนน้ การตกแต่งลวดลายคลา้ ยส่วนยอด ขององค์พระธาตุพนม รูปแบบอาคารศาลหลักเมืองหนองคาย รูปทรงไทยจัตุรมุข ตัวอาคารเน้นการตกแต่งลวดลายตั้งแต่ชั้นหลังคาข้ึนไปถึงเครื่องยอด หลังคาซ้อน ชัน้ 2 ชั้น ช้ันที่ 3 คือเครื่องยอด ลวดลายท่ใี ช้ตกแต่งเป็นลวดลายที่มกั พบตกแต่ง ตามโบสถ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นลวดลายที่นิยมใช้ในศิลปะไทยภาคกลาง เครื่องยอด จ�ำลองสัณฐานองค์พระธาตุพนม ท้ังรูปทรงแบบบัวเหล่ียม และลวดลายท่ีตกแต่ง และอาคารศาลหลักเมืองนครพนม รูปแบบและการตกแต่งคล้ายศาลหลักเมือง หนองคายหลายสว่ น อาคารทรงไทยจตั รุ มุขซ้อนช้นั หลงั คา 2 ช้ัน และชนั้ ที่ 3 เป็น เคร่ืองยอด ท่ีจ�ำลององค์พระธาตุพนมเช่นกัน ใช้ลวดลายการตกแต่งลวดลาย กระหนกแบบเดยี วกนั ตกแตง่ คนั ทวยเปน็ ลวดลายนาค และลวดลายกระหนกทห่ี นา้ ใช้วิธีการออกแบบลวดลายกระหนกเหมือนกัน ลวดลายที่น�ำมาประดับตกแต่งน้ัน ส่วนใหญ่เป็นลวดลายกระหนกทางภาคกลางซ่ึงจะเห็นได้ตามวัดท่ีใช้รูปแบบ มาตรฐานจากสว่ นกลาง จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ รปู แบบการสรา้ งศาลหลกั เมอื งในปจั จบุ นั อาจไดร้ บั อทิ ธพิ ลทางออ้ มจากรปู แบบอโุ บสถของสว่ นกลาง โดยผา่ นทางตวั ชา่ ง สว่ น การตกแต่งลวดลายที่ช่างพยายามเพม่ิ เข้ามา เชน่ นกการะเวก เป็นลวดลายสตั วใ์ น วรรณคดปี ่าหมิ พานต์ ที่ใช้ตกแตช่ ่อฟ้าศาลหลักเมอื งขอนแก่น และการใชล้ วดลาย นาคตกแตง่ คนั ทวย และเครอ่ื งลำ� ยองของศาลหลกั เมอื งหนองคายนน้ั อาจเปน็ ความ ชอบโดยส่วนตวั ของชา่ งทีต่ อ้ งการน�ำมาออกแบบเพื่อความลงตวั 6. ข้อเสนอแนะ 6.1 ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัย 6.1.1 องคค์ วามรดู้ า้ นศลิ ปะเชงิ ชา่ ง หรอื ยคุ สมยั ทางงานชา่ ง สามารถ นำ� ไปเปน็ องคค์ วามรเู้ พอื่ ใหท้ ราบถงึ ทม่ี าขอรปู แบบงานชา่ ง รจู้ กั ยคุ สมยั พฒั นาการ ของศิลปะในปัจจุบนั ได้ ปที ี่ ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐
217 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น 6.1.2 องค์ความรู้เกี่ยวกับศาลหลักเมืองควรมีการน�ำมาเผยแผ่ให้ กว้างขวางกว่านี้ เพราะศิลปะงานช่างท่ีปรากฏบนรูปแบบศาลหลักเมืองนั้นมีให้ ศึกษาไม่น้อยไปกวา่ สถาปตั ยกรรมแขนงอ่นื 6.1.3 หากมีการสร้างหรือบูรณะศาลหลักเมืองขึ้นใหม่ ควรมีการ ส่งเสริมการ และอนุรักษ์รูปแบบงานช่างให้มีความเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะใน แตล่ ะพื้นถิน่ เพือ่ เป็นการอนรุ ักษ์ของเดมิ ท่ีมีอยู่ 6.2 ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาวิจยั ในคร้ังตอ่ ไป 6.2.1 ส�ำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาวิจัยเก่ียวกับเร่ืองศาลหลักเมืองใน พนื้ ทอ่ี นื่ ๆ เชน่ พน้ื ทอ่ี สี านใต้ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั มคี วามคดิ เหน็ วา่ จงั หวดั ทอี่ ยใู่ นพนื้ ทอ่ี สี านใตน้ น้ั มรี ูปแบบศลิ ปะพ้นื ถิ่นทช่ี ดั เจน ท่ปี รากฏในรปู แบบการกอ่ สรา้ งศาลหลกั เมือง เช่น ศาลหลักเมืองจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ ได้น�ำรูปแบบปราสาทหินมา ออกแบบเปน็ อาคารศาลหลกั เมอื ง ดว้ ยขอ้ มลู ภาคเอกสารดงั กลา่ วจงึ ควรมกี ารศกึ ษา เพิ่มเติมในบางประเด็นที่อาจจะมีความน่าสนใจแฝงอยู่ แต่เน่ืองด้วยระยะเวลาที่ จ�ำกัดผ้วู ิจัยจึงยังไมม่ ีโอกาสไดล้ งพื้นทที่ ี่ได้กลา่ วไว้ 7. เอกสารอ้างองิ ขุนวิจติ รมาตรา. (2517). “หลักเมือง” วารสารสมทุ รสงคราม 6 (พฤศจกิ ายน) : หน้า 27-44 ฉันทิชย์ กระแสสนิ ธ์ุ. (2525). พระหลกั เมอื ง. กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทรก์ ารพมิ พ์. ชลธิรา สัตยาวฒั นา. (2533). ใจบ้าน ใจเมอื งและใจคน : ปัญหาการสบื สาวกำ� เนดิ และเอกลักษณไ์ ทย. กรงุ เทพฯ : ดา่ นสุทธาการพิมพ.์ ท.กล้วยไม้ ณ อยุธยา. (2525). หลักเมืองรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ประกายพรกึ . บ.ี เจ.เทอรว์ ลี . (2533). คน(ไท)เดิม ไม่ได้อยทู่ นี่ .ี่ กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ พลหู ลวง. (2539). คตสิ ยาม. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. (2491). หลักเมือง. ปที ี่ ๙ ฉบับท่ี ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
218 วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ กรงุ เทพฯ : ส�ำนักพมิ พ์คลังวทิ ยา หลกั เมืองยะลา. (2509). พระนคร : โรงพิมพ์สว่ นท้องถิ่น กรมการปกครอง. สัมภาษณ์ บญุ ยงค์ เกตเทศ (ผใู้ หส้ มั ภาษณ์), 14 มนี าคม 2560 อดิเรก ณรงค์ใย (ผู้ให้สัมภาษณ์), 10 กรกฎาคม 2559 ปีท่ี ๙ ฉบบั ที่ ๒ กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๖๐
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: