รายละเอียดหลักสูตร 1. ช่ือหลกั สตู ร “การประยุกตใ์ ช้กฎระเบยี บข้อบังคบั ในการทางานและกฎหมายอ่นื ๆทเี่ ก่ียวข้อง ” 2. วตั ถุประสงค์ 1.1.เพือ่ ให้หัวหนา้ งานมีความรูค้ วามเขา้ ใจในข้อบังคบั ในการทางานเชงิ ลกึ 1.2.เพื่อให้หัวหนา้ งานมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในกฎหมายตา่ งๆทีเ่ ก่ยี วข้อง เชน่ กฎหมาย คมุ้ ครองแรงงาน ค้มุ ครองสิทธิขอ้ มูลสว่ นบคุ คล และอืน่ ๆ 1.3.เพ่ือให้หวั หน้างานนาความรูค้ วามเข้าใจท่ีไดน้ าไปประยุกตใ์ ช้ในหน่วยงาน 3. หัวขอ้ ฝึกอบรม 3.1 ความรูค้ วามเข้าใจในข้อบังคับในการทางาน 3.2 ความรู้ความเข้าใจในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 3.3 ความรูค้ วามเข้าใจในกฎหมายคุ้มครองขอ้ มูลสว่ นบคุ คล 3.4 ความรคู้ วามเข้าใจในกฎหมายประกันสงั คม/ กองทุนเงนิ ทดแทน/กองทนุ สารองเลย้ี งชพี 3.5 ฝึกการประยุกต์ใช้ ความเช่ือมโยง ในการบรหิ ารจัดการหนว่ ยงาน 4. เป้าหมาย หวั หน้างาน หรือผู้ท่ไี ด้รับมอบหมายในงานบรหิ ารบุคคลของหนว่ ยงาน 5. รูปแบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 50 % 2. กิจกรรม Workshop 50 % 6. ระยะเวลาฝกึ อบรม เวลา 6 ชั่วโมง
รายละเอียดหลักสูตร 1. ชอ่ื หลักสตู ร “การปรับบุคลิกภาพและทัศนคติ หวั หน้างานเพ่ือสรา้ งความเชอื่ มนั่ ให้กบั ลูกค้า” 2. วตั ถุประสงค์ 1.1.เพ่ือให้ผเู้ ข้าอบรมไดเ้ รียนรู้กระบวนการพฒั นาตนเองแบบ Growth Mindset 1.2.เพ่อื ให้ผเู้ ข้าอบรมไดเ้ รยี นรกู้ ารบริหารคนเพื่อการมอบหมายงานและติดตามงานอย่างมี ประสิทธภิ าพ 1.3.เพ่ือให้ผู้เข้าอบรมมีมีทัศนคตแิ บบ Growth Mindset ในการพัฒนาวธิ ีคดิ ในเชิงผนู้ า 3. หัวข้อฝึกอบรม 3.1 การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน (Internal Personality Development) 3.1.1 การเสริมสร้างความมน่ั ใจและความศรัทธาในตนเอง 3.2 การสร้าง Growth Mindset กบั การพฒั นาตนเอง 3.2.1 คาสาคญั Growth Mindset (Keyword) 3.2.2 ความหมายของกรอบความคดิ (Mindset) 3.2.3 ความแตกต่างของ Fixed Mindset & Growth Mindset 3.3 การสรา้ ง Growth Mindset กับการวางแผนส่เู ป้าหมาย 3.3.1 การตั้งเปา้ หมายคุณภาพ (Goal Setting) 3.3.2 หลักพื้นฐานของการวางแผน 3.3.3 การกาหนดค่าวัด KPI ทช่ี ัดเจน 3.4 การบรหิ ารผลการปฏบิ ตั ิงานด้วย Growth Mindset 3.4.1 การบริหารจดั การเชิงรุกอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 3.4.2 หลกั กการสงั่ งานที่ดี 3.4.3 หลักการมอบหมายงานทดี่ ี 3.4.4 หลักการตดิ ตามงานทด่ี ี 3.5 การพฒั นา Growth Mindset สาหรับการแกไ้ ขปญั หาและการตัดสนิ ใจ 3.5.1 การมองปญั หาด้วย Growth Mindset 3.5.2 การเป็นนักแก้ปัญหาด้วย Growth Mindset 3.5.3 การกลา้ ตัดสินใจอย่างมเี หตผุ ลดว้ ย Growth Mindset 3.5.4 การพฒั นา Growth Mindset กับเหตกุ ารณท์ ่ีเปน็ ปัญหา 3.6 Workshop สรา้ ง Growth Mindset กบั การแก้ไขปัญหาของตนเอง
4. เปา้ หมาย หัวหนา้ งาน หรอื ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กิจกรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ช่วั โมง
รายละเอยี ดหลกั สูตร 1. ช่อื หลักสตู ร “การสรา้ งแรงบันดาลใจ เพิ่มพลังปลุกไฟในการทางาน” 2. วัตถปุ ระสงค์ 1.1.เพื่อให้ผเู้ ข้าอบรมได้ยกระดบั พลงั งานของตนเองใหส้ งู ขึ้น 1.2.เพ่อื ใหผ้ ู้เข้าอบรมไดเ้ รียนรู้และปรบั พฤตกิ รรมให้มีความกระตือรือรน้ มากยิ่งขึ้น 1.3.เพอ่ื ใหผ้ เู้ ข้าอบรมทางานอย่างมีความสขุ และได้ผลลพั ธท์ ด่ี ขี ้นึ 3. หัวข้อฝึกอบรม 3.1 ทาไมต้องเพ่ิมพลงั ปลุกไฟในการทางาน 3.1.1 พลงั งานสาคญั กบั เราอยา่ งไร 3.1.2 ปจั จัยท่ีทาให้เกดิ ภาวะหมดไฟ 3.1.3 สาเหตุท่ีทาให้เราหมดไฟ 3.1.4 หากภาวะหมดไฟเกิดข้ึน และไม่ได้รบั การจัดการจะส่งผลกระอยา่ งไร 3.2 วธิ ีการเพิ่มพลังปลุกไฟในการทางาน 3.2.1 กระบวนการชารต์ พลงั ชวี ติ 3.2.2 การชาร์ตพลงั ทางความคิด 3.2.3 การชาร์ตพลงั ทางคาพูด 3.2.4 การชาร์ตพลังผ่านการลงมอื ปฏบิ ัติ 3.3 Workshop ชาร์ตพลงั อย่างไรให้มีไฟตอ่ เนื่อง 4. เปา้ หมาย หวั หน้างาน หรอื ผู้เกี่ยวขอ้ ง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กจิ กรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ชั่วโมง
รายละเอยี ดหลักสตู ร 1. ช่ือหลักสตู ร “การใช้งาน Excel Advance (Pivot, vlookup, graph) ” 2. วตั ถปุ ระสงค์ 1.1.เพอ่ื ให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจหลกั การทางานของโปรแกรม Excel 1.2.เพือ่ ให้ผ้เู ข้าอบรมสามารถใช้งาน ฟังกช์ ัน VLOOKUP(),HLOOKUP()ได้ 1.3.เพือ่ ใหผ้ เู้ ข้าอบรมสามารถใชง้ าน PIVOT Table / Chat ได้ 3. หัวขอ้ ฝึกอบรม 3.1 การจดั การรูปแบบตารางและระบบข้อมูลใน Excel 3.2 การจัดรปู แบบแสดงข้อมูลตามเงื่อนไข (conditional Formatting) 3.3 การทางานกบั สูตรคานวณท่วั ไปของ Excel 3.4 การกาหนด Auto Fill ช่วยเตมิ ข้อมูลอัตโนมัตดิ ้วย (Data Validation) 3.5 การจัดการเคร่อื งมือ (Data Tools & Data Validation) 3.6 การใชง้ านฟังกช์ ่นั IF, SUMIFS(), COUNTIFS(), VLOOKUP 3.7 นาเสนอข้อมลู ด้วยแผนภูมิ (Chart) 3.8 สรา้ งและควบคุม PIVOT Table / Chart ในองค์กร 3.9 เทคนิคการป้องกนั ข้อมลู ดว้ ยการ ซอ่ นสตู ร / ป้องกนั Sheet / ป้องกันไฟล์ 3.10 เทคนิคอ่นื ๆทีค่ วรรู้ 4. เปา้ หมาย หวั หน้างาน หรือผู้เก่ียวข้อง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 70 % 2. กจิ กรรม Workshop 30 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ชั่วโมง
รายละเอียดหลักสตู ร 1. ช่ือหลักสตู ร “การใช้งาน PowerPoint เพื่อการนาเสนอ ” 2. วัตถุประสงค์ 1.1.เพ่อื ให้ผู้เข้าอบรมมคี วามรู้ความเขา้ ใจความสาคัญของโปรแกรม PowerPoint 1.2.เพือ่ ใหผ้ ้เู ข้าอบรมสามารถเรยี นรเู้ ทคนิคการออกแบบ PowerPoint เพือ่ การนาเสนอได้ 1.3.เพอื่ ให้ผู้เข้าอบรมสามารถสรา้ งสรรผลงานในการนาเสนองานด้วยโปแกรม PowerPoint ได้ 3. หัวขอ้ ฝึกอบรม 3.1 รู้จกั PowerPoint ในภาพรวม 3.1.1 ทาความรจู้ ักสว่ นประกอบของหนา้ ต่างโปแกรม PowerPoint 3.1..2 ทาความรู้จักมมุ มองตา่ งๆของโปรแกรม PowerPoint 3.2 เทคนิคการทางานกับเน้ือหาตา่ งๆ 3.2.1 การจดั เตรยี มเนื้อหาเพื่อการนาเสนอ 3.2.2 การนาเสนอข้อมูลในรูปแบบอินโฟกราฟิกส์ (infographic) เป็นการเชอ่ื มโยง ข้อมลู ในรปู แบบกราฟิก 3.2.3 เทคนคิ การทาภาพเคล่ือนไหว (Animation) 3.2.4 เทคนิคการทางานกบั รูปภาพ 3.2.5 เทคนคิ การทางานกบั ตาราง (Table) 3.2.6 เทคนคิ การทางานกับกราฟ (Chart) 3.2.7 เทคนคิ การทางานกบั ไฟล์ (Video) 3.2.8 เทคนิค พเิ ศษ การนาเสนอ Flash Movie & YouTube 3.3 เทคนคิ Tips & Tricks 3.3.1 รวมคียล์ ัดท่จี าเปน็ 3.3.2 การสง่ ออกสไลด์ทีโ่ ชวอ์ ย่างเดยี วแก้ไขไมไ่ ด้ 3.3.3 การสง่ ออกเป็นไฟลร์ ปู ภาพ 3.3.4 การส่งออกเพอ่ื การนาเสนอ 3.3.5 การแปลงเปน็ ไฟล์ PDF 3.3.6 การปรนิ้ สไลด์ 3.6 Workshop การออกแบบไฟลน์ าเสนอผลงานอย่างมืออาชีพ
4. เปา้ หมาย หัวหนา้ งาน หรอื ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 70 % 2. กิจกรรม Workshop 30 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ช่วั โมง
รายละเอยี ดหลกั สตู ร 1. ช่อื หลักสูตร “การแก้ไขปญั หาอยา่ งมรี ะบ Systematic Thinking” 2. วัตถปุ ระสงค์ 2.1. ผ้เู ข้าอบรมเรยี นรเู้ ครื่องมือชว่ ยคดิ อย่างเป็นระบบมาใชใ้ นการพัฒนาการคดิ เชิงระบบ ของตนเอง 2.2. ผู้เขา้ อบรมได้ฝกึ ทักษะการคดิ อยา่ งเป็นระบบอย่างเป็นขั้นตอน รจู้ กั วิเคราะห์ข้อมลู ได้ อย่างมีเหตุผล ซง่ึ เป็นพ้นื ฐานสาคัญในการจัดการกับปัญหาทีซ่ บั ซ้อนทั้งเร่ืองงานและเร่ือง ส่วนตวั 2.3. ผู้เข้าอบรมสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือช่วยคิด มาใช้ในการพฒั นาการคดิ เชิงระบบของ ตนเอง เพื่อจัดการงานท่รี ับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. หัวข้อฝึกอบรม 3.1 สมองกบั ความคิด (โครงสร้างของสมอง และ หลกั การทางานของสมอง) 3.2 ทัศนคติ และกรอบทางความคดิ กับอทิ ธพิ ลของการเปลย่ี นแปลงกรอบความคิด 3.3 เรียนรูห้ ัวข้อ หลุมพรางวธิ ีคิดที่ผิดพลาดของคนทางานทมี่ ักเกดิ ข้นึ 3.3.1 7 หลุมพรางการคดิ ควรระวงั และผลกระทบท่ีเกดิ ข้ึน การปฏเิ สธหรอื การหลีกเลี่ยง ก็ได้นะ..แต่วา่ การคิดตามกันเป็นกลมุ่ การเลอื กพิจารณา การคิดไปทางเดียว ทาให้เป็นเรอื่ งซับซ้อนมากเกินไป ไมใ่ ชค่ วามคดิ ของฉัน 3.3.2 กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ 3.4 การเสริมสรา้ งการคิดอย่างเป็นระบบ (Systematic Thinking) 3.4.1 ความสาคญั และ ปัจจัยทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับการคิดอย่างเป็นระบบ 3.4.2 โครงสร้างและหลกั การในการคิดเชงิ ระบบ 3.4.3 ขนั้ ตอนการเสริมสร้างการคดิ อย่างเปน็ ระบบ 3.4.4 เคร่ืองมอื และเทคนคิ การคิดอย่างเป็นระบบ
3.5 เรียนร้หู ัวขอ้ เครื่องมือช่วยคิดเพอ่ื พัฒนาการคดิ เชิงระบบในการทางาน 3.5.1 Why Why Diagram 3.5.2 Tree Diagram 3.5.3 Mind Mapping 3.5.4 Fishbone Diagram 3.5.5 Turtle Diagram 3.6 เรยี นรูห้ วั ขอ้ ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารพฒั นาทักษะการคิดเชงิ ระบบเพื่อแก้ไขปญั หาหน้างาน ในสถานการณ์ต่างๆ 4. เปา้ หมาย หัวหนา้ งาน หรือผูเ้ กยี่ วขอ้ ง 5. รูปแบบกิจกรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กิจกรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ช่วั โมง
รายละเอียดหลักสตู ร 1. ชือ่ หลกั สูตร “การสรา้ งเป้าหมายคุณภาพองค์กรดว้ ย OKR ” 2. วัตถุประสงค์ 2.1. เพอื่ ให้ทราบความสาคัญและแนวคิดการบริหารผลการปฏิบัติงาน ของ OKRs – KPIs 2.2 เพ่อื ให้เรยี นรู้แนวคิด OKRs (Objective and Key Results) ในการบรหิ ารจดั การ ผลงานสคู่ วามเป็นเลิศ 2.3. เพ่ือให้ทราบแนวทางและเทคนิคต่างๆ ในการนา OKRs มาปรับใช้ในองคก์ ร สามารถ ประยุกต์ใชใ้ นการบริหารงาน เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายขององคก์ รได้ประสิทธิภาพ 3. หัวขอ้ ฝึกอบรม 3.1 ทาความเข้าใจการจดั การเชิงกลยุทธ์ขององค์กร 3.1.1 ความหมายวิสัยทัศน์ ภารกิจ 3.1.2 วัตถปุ ระสงค์-เปา้ หมายองค์กร 3.1.3 กลยทุ ธ์ธรุ กจิ คา่ นยิ มองคก์ ร 3.1.4 กระบวนการจัดการเชิงกลยทุ ธ์ 3.2 ระบบบรหิ ารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management Systems : PMS) 3.2.1 ความหมายการบริหารการปฏิบัตงิ าน 3.2.2 การนาไปใช้ประโยชน์ 3.3 ความหมายและประโยชน์ ของ OKRs 3.3.1 Objectives and key results (OKR) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร 3.3.2 ความแตกตา่ ง ระหว่าง OKRs กบั KPIs 3.4 OKR กบั การบรหิ ารจดั การผลงานสคู่ วามเป็นเลิศ 3.4.1 แนวทางการจดั ทา Objective ขององค์กร 3.4.2 การสร้างผลลพั ธห์ ลกั Key Result ขององคก์ ร 3.4.3 การสรา้ ง Key Result ให้สอดคล้องกนั ทัง้ องค์กร 3.4.4 หลกั การในการประเมนิ OKRs 3.5.5 OKRs กับ การทางานแบบ agile 3.5.6 การบริหาร OKRs กบั การบริหารจดั การผลงาน 3.5.7 การบริหาร OKRs กบั การมีสว่ นร่วมในเป้าหมายองค์กร 3.5.8 การบรหิ าร OKRs กับการวางแผน การควบคุม 3.5.9 การบรหิ าร OKRs กบั ประเมินผลความคบื หนา้
3.5 Workshop การนาไปประยุกตส์ ู่การทางานจริงการปฏิบัติจริง 4. เปา้ หมาย หัวหนา้ งาน หรอื ผเู้ กีย่ วขอ้ ง 5. รูปแบบกิจกรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กจิ กรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝกึ อบรม เวลา 6 ช่วั โมง
รายละเอียดหลกั สูตร 1. ชอ่ื หลกั สตู ร “การวิเคราะหข์ ้อมูลคุณภาพงานบริการอย่างมืออาชพี ” 2. วตั ถุประสงค์ 2.1 เพือ่ ให้ผเู้ ข้าอบรมไดเ้ ข้าใจและเหน็ ถึงความสาคญั และประโยชนข์ องการมีข้อมูล 2.2 เพือ่ ใหผ้ เู้ ข้าอบรมได้เพิ่มทกั ษะในการอ่านขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแก้ปัญหา ได้อยา่ งเป็น ระบบ 2.3 เพอ่ื ให้ผเู้ ข้าอบรมสามารถนาความรูท้ ่ีได้ไปใช้ในการปรับปรงุ และพัฒนาการทางานได้ อย่างมีประสิทธภิ าพและมปี ระสทิ ธผิ ล 3. หัวข้อฝึกอบรม 3.1 Data คืออะไร 3.1.1 ประเภทของข้อมลู (Type of Data) 3.1.2 การวิเคราะหข์ ้อมูล (Data Analysis) มคี วามสาคญั อยา่ งไร 3.1.3 ข้อมูลอะไรบ้างที่ควรนามาวเิ คราะห์ 3.2 ปญั หาของข้อมูล 3.2.1 การใช้ประโยชน์จากข้อมลู เพ่ือการวิเคราะห์ (Data Analyst) 3.2.2 ทกั ษะในการวเิ คราะห์ข้อมลู 3.2.3 ปัญหาและประเภทของปัญหา 3.3 การบรกิ ารเชงิ รุกต้องทาอยา่ งไร 3.3.1 นักบรกิ ารยุคใหม่ตอ้ งเปลยี่ นแนวคดิ อย่างไร 3.3.2 แผนการทางานของนักบรกิ ารท่ีดี 3.3.3 การบรกิ ารสมัยใหม่ท่ีลูกค้าคาดหวัง 3.3.4 Service Process Techniques 3.4 ระบบการบรกิ ารทดี่ กี ับการสรา้ งความประทับใจลกู ค้า 3.4.1 ความเร่งดว่ นของลูกค้าท่ีนกั บริการต้องรู้ 3.4.2 วิธีการทาใหล้ ูกคา้ ร้วู า่ เราไมล่ ะเลยงานบริการ 3.4.3 การใช้ระบบการบริการใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 3.4.4 สือ่ สารประสานงานแบบใหน งานบรกิ ารไม่ล่าช้า Workshop : การสร้างความเข้าใจท่ีดีกับลกู ค้า
4. เปา้ หมาย หัวหนา้ งาน หรอื ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กิจกรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ช่วั โมง
รายละเอียดหลักสตู ร 1. ชอ่ื หลักสูตร “การ Coaching ทมี งาน ” 2. วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ให้ผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมเข้าใจทฤษฎเี ทคนคิ การสอนงานสาหรับหวั หน้างานทีม่ ี ประสิทธิภาพได้อย่างถูกต้อง สรา้ งทศั นคตทิ ่ีดีในการเป็น Coach ท่ีจรงิ ใจ 2. เพอ่ื เรยี นรู้หลกั การเปน็ Coach และทักษะในการ Coaching 3. ฝึกปฏบิ ัตกิ ารใชเ้ ครอื่ งมือและเทคนิค Coaching ที่สาคัญในสถานการณส์ มมุติ เพือ่ ให้ผู้เข้าอบรมสามารถนาทกั ษะและเทคนิค Coaching ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏิบัติงาน 4. เพอ่ื กาหนดโปรแกรมการสอนงาน (Coaching) ร่วมกับผู้จัดการให้สามารถนาไปใชจ้ ริง ในการสอนงาน (Coaching) บคุ ลากรในองคก์ ร 3. หวั ข้อฝึกอบรม 3.1 หลักการพ้ืนฐานการสอน Coaching, Mentoring และ Counseling 3.1.1 บทบาท หน้าท่ี และความสาคัญของ Coaching 3.1.2 หลกั การพืน้ ฐานของ Coaching 3.1.3 ศิลปะในการครองใจลูกนอ้ ง 3.1.4 หลกั และวิธีการครองใจผู้รว่ มงาน Workshop กิจกรรม: Coaching Moment และกรณีศกึ ษา 3.2 ทักษะพนื้ ฐานของการสอนงาน (Coaching) 3.2.1 การฟังอย่างลกึ ซึ้ง (Deep Listening) 3.2.2 การสนทนา (Dialogue) 3.2.3 การใชค้ าถามเพื่อการเรียนรู้ (Learning Questions) 3.2.4 การสอ่ื สารดว้ ยความจริงใจ (Heartfelt Communication) 3.2.5 การใหเ้ สยี งสะท้อนกลับ (Feedback) Workshop กจิ กรรม: ฝกึ การรบั ฟงั เป็นคู่และกลุ่มย่อย ฝึกการสนทนาในกลุม่ ยอ่ ย ฝกึ ต้งั คาถามให้ถูกจุด ฝกึ แยกการสังเกตออกจากการตีความ และฝกึ ให้ความเหน็ และคาแนะนา 3.3 ขนั้ ตอนและเทคนิคการ Coaching 3.3.1 การเตรียมความพร้อมในการโค้ช (Preparation) 3.3.2 ขน้ั ตอนดาเนนิ การ Coaching 3.3.3 การติดตามผล อานวยการ และสนับสนุนใหเ้ กิดการปฏิบัติ
3.3.4 การเรียนรแู้ ละเกิดการเปลย่ี นแปลง หรือไดผ้ ลลัพธต์ ามทตี่ ้องการ (Facilitate Learning and Result) Workshop กจิ กรรม: ฝกึ หดั วางแผนการโค้ช ฝกึ โคช้ เปน็ คู่และกลมุ่ ย่อย 3.4 แสดงบทบาทสมมุติ ฝึกการรับและใหเ้ สียงสะท้อนกลับในกลมุ่ ผู้เข้าอบรม 3.5 ฝกึ ประเมินตนเองในฐานะโค้ช Training Styles 4. เป้าหมาย หัวหน้างาน หรอื ผ้เู กีย่ วข้อง 5. รูปแบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 60 % 2. กจิ กรรม Workshop 40 % 6. ระยะเวลาฝกึ อบรม เวลา 6 ชัว่ โมง
รายละเอียดหลักสตู ร 1. ชือ่ หลักสตู ร “การสร้างความตระหนักดา้ นความปลอดภยั ท่ีสอดคลอ้ งกับเงอื่ นไขลูกค้า” 2. วตั ถปุ ระสงค์ 1.1.เพ่ือให้ผเู้ ข้าอบรมเข้าใจถึงความสาคัญของความปลอดภยั ในการทางาน 1.2.เพอ่ื ใหผ้ เู้ ข้าอบรมปฏบิ ัตงิ านได้ตามเงอื่ นไงและมาตรฐานความปลอดภยั ทบ่ี ริษัทกาหนด 1.3.เพอ่ื ให้ผ้เู ข้าอบรมมีเกิดความตระหนักถึงความปลอดภัยในทกุ ข้ันตอน 3. หัวขอ้ ฝึกอบรม 3.1 บทบาทหนา้ ที่ด้านความปลอดภัย 3.2 ทศั นคตดิ จติ สานึกด้านความปลอดภยั 3.2.1 การมที ศั นคตดิเชิงบวก 3.2.2 การเปดิ ใจรับการเปลีย่ นแปลง 3.3 การตระหนักด้านความปลอดภยั 3.3.1 ตระหนกั ขัน้ ตอนการทางานปัจจัยท่ปี ลอดภัย 3.3.2 ประเมนิ ผลกระทบ ความเสยี หายทีเ่ กิดขึน้ 3.3.3 ควบคุมปจั จยั ท่ีทาให้เกิดและไมใ่ หเ้ กิดผลกระทบ 3.4 การวางแผนการทางานด้านความปลอดภัยตามเงอ่ื นไขและมาตรฐาน 3.5 การสร้างมาตรฐานความปลอดภยั อยา่ งต่อเนื่อง 4. เปา้ หมาย หัวหน้างาน หรือผู้เก่ียวข้อง 5. รปู แบบกจิ กรรม 1. การบรรยาย 30 % 2. กิจกรรม Workshop 20 % 3. การฝกึ ปฏิบตั ิ 50 % 6. ระยะเวลาฝึกอบรม เวลา 6 ชวั่ โมง
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: