Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธประวัติสังเขป

พุทธประวัติสังเขป

Published by สิริมาภรณ์ กลายสุข, 2021-01-01 09:24:39

Description: พุทธประวัติสังเขป

Search

Read the Text Version

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนาที่ 47 ตอบวา \"ยังกอน กําลังเขาสญั ญาเวทยิตนิโรธ). ออกจากสัญญาเวทยติ ฯ เขา ฌานท่ี ๘ โดยนยั นี้ลงมาถงึ ฌานท่ี ๑ ออกจากฌานท่ี ๑ เขาฌานท่ี ๒ โดยนยั นจ้ี นถงึ ฌานท่ี ๔ ออกจากฌานที่ ๔ แลว ทรงปรนิ ิพพาน. พระพทุ ธเจาปรินิพพานแลว ณ เวลาใกลร ุงวนั องั คาร ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๖ ทป่ี าไมสาละ (สาสวโนทยาน) เมอื งกุสนิ ารา. ๒๗. ในขณะนัน้ เกดิ มหศั จรรยแผนดนิ หวัน่ ไหวกกึ กอง มเี ทพยดา และมนษุ ยกลา วสังเวคคาถาดังตอไปนี้ :- (๑) ทา วสหมั บดพี รหม กลา ววา \"บรรดาสัตวทงั้ ปวงใน โลก ลว นจะตองท้ิงรา งไวถ มปฐพี แมอ งคพ ระชินสีหมพี ระคุณ ยิ่งใหญ กป็ รินพิ พานแลว นาสลดนัก ! (๒) ทาวโกสยี เ ทวราช กลา ววา \"สงั ขารท้ังหลายไมเทยี่ ง หนอ ! เกิดข้ึนแลวดับไปเปน ธรรมดา ความสงบแหง สังขารเปน (๓) พระอนรุ ทุ ธ กลา ววา \"พระพทุ ธเจามีจิตมีไดหว่ันไหว สะทกสะทานตอมรณธรรม ปรนิ พิ พานเปน อารมณ ประหนึ่ง ประทีปอนั ไพโรจนด บั ไป ฉะนน้ั ! (๔) พระอานนท กลาววา \"เมอ่ื พระพทุ ธเจาปรินิพพาน- ขันธ เกิดเหตุมหัศจรรย มโี ลกชาติชชู ันเปนอาทิ ปรากฏมีแก เทพยดาและมนุษยทั้งหลาย !

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนา ที่ 48 อปรกาล ๑. ถวายพระเพลงิ ๑. คร้ันพระพุทธเจาปรินิพพานแลว แตย งั ไมสวางวัน พระอนรุ ทุ ธ กบั พระอานนท แสดงธรรมไปจนสวา ง พอสวางแลว พระอนรุ ทุ ธ บัญชาพระอานนทใหไ ปบอกแก มลั ลกษัตรยิ . ๒. มลั ลกษตั ริย ใหราชบรุ ุษเท่ียวตีกลองประกาศทัว่ เมือง นําเครอ่ื ง สักการบูชา เครือ่ งดนตรี ผา อยา งดี ๕๐๐ พับ เสดจ็ ไปสูสาลวัน พรอมกนั บชุ าพทุ ธสรีระมโหฬารสิ้นกาล ๖ วัน ครนั้ วนั ที่ ๗ ปรกึ ษากนั วา จะเชญิ พระสรีระไปทางทิศใตแหงพระนครแลว ถวายพระเพลงิ นอกเมอื ง. ๓. อมลั ลปาโมกข ๘ องค ทรงกําลงั พรอมกันเขาเชิญพระสรรี ะ มสิ ามารถทจี่ ะใหเขย้ือนจากท่ไี ด. ๔. มัลลกษตั รยิ ทงั้ หลายถามพระอนุรทุ ธวา เพราะเหตุใด ? พระ อนรุ ุทธ จึงบอกไปตามเทวดาประสงคว า \"ใหเชิญประสรีระไป ทางทิศเหนอื พระนคร แลวขา ทรงอดุ รทวาร ผา นไปทามกลาง เมือง เยอ้ื งไปออกทางประตบุ ูรพทศิ แลวถวายพระเพลิง ณ มกฎุ พนั ธนเจดีย ท่ีดานตะวนั ออกแหงพระนคร (ดแู ผนผัง ดงั ตอ ไปน้ี) :-

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 49 เหนอื กุ สิ สาสวโนทยาน มกุฏพนั ธนเจดีย ออก นา รา ๕. มลั ลกษตั ริยท้ังหลายไดทราบดังนั้น จึงผอ นผนั ตามความประสงค ของเทวดา เชิญพระสรรี ะไปยังมกุฏพนั ธนเจดีย พันดว ยผาใหม ซับดวยสาํ ลี ตามวิธีท่ตี รสั ไวแกพระอานนท เตรยี มจะถวาย พระเพลิง. ๖. ครั้งน้ันมลั ลปาโมกข ๔ องค สรงนําดําเกลา นุงหมผา ใหมนําไฟ เขา จุดทั้ง ๔ ทศิ ไมต ดิ เลย พระอนุรทุ ธจึงเฉลยใหทราบวา \"เทพยดาใหร อ พอ พระมหากสั สปะ ถวายบงั คมพระพุทธบาท ดว ยเศยี รเกลากอน\" มลั ลกษัตริยจ งึ ผดั ผอ นตามเทวาธบิ าย. ๗. สมยั นนั้ พระมหากัสสปะพรอ มดว ยภกิ ษุ ๕๐๐ รปู เดินทางจาก ปาวานคร พักอยทู ร่ี มไมแ หง หนึง่ เหน็ อาชีวกถอื ดอกมณฑารพ เดินมา จงึ ถามขาวพระศาสดา เขาบอกวาพระองคป รนิ ิพพาน ๗ วัน แลว. ๘. ลาํ ดับนนั้ ภิกษุที่ยังไมส ิ้นราคะ กร็ องใหกลอ งเกลือกไปมา ทา นท่ี สิน้ ราคะ ก็อดกลัน้ ดวยธรรมสังเวช มีภกิ ษบุ วชภายแกร ปู หนงึ่ ชอื่ สภุ ัททะ หา มวา \"หยุดเถิด \"หยุดเถิด ทานอยารํ่าไรไปเลย พระสมณะ

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนาที่ 50 นั้นพน (ปรินิพพาน) แลว เราจะทาํ อะไรกไ็ ดตามพอใจ ไมตอ ง เกรงบญั ชาใคร\" พระมหากสั สปะไดฟ งเชนน้นั คดิ จะทํานคิ คห- กรรม (ทาํ โทษ) แตเ หน็ วา ยังมิควรกอ น จึงพาบริวารสัญจร ตอไป. ๙. ครนั้ มาถงึ มกฏุ พนั ธนเจดีย จึงหมผา เฉวยี งบา ประณมหัตถ นมสั การ เดินเวียนจิตกาธาร ๓ รอบ แลวเปดเพยี งเบ้ือง พระบาท ถวายบงั คมพระยคุ ลบาทดวยเศียรเกลาของตน ภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ก็ปฏบิ ัติเชนเดยี วกัน. ๑๐. พอพระมหากัสสปะกบั บริวารนมสั การแลว เพลงิ ทิพยเ กิดขนึ้ เอง ไหมพ ระสรรี ะ เหลอื อยู ๕ อยาง คือ ๑. พระอฐั ิ ๒. พระ เกสา ๓. พระโลมา ๔. พระนขา ๕. พระทันตา กบั ผูคูห นึง่ สาํ หรับหอ พระธาตุนน้ั (ขอ น้แี หละเปนมูลเหตุใหช าวพุทธทํา วิสาขอฏั ฐมีบชู า ประจาํ ป ซงึ่ เรียกกันวา วันถวายพระเพลงิ ) ๑๑. มลั ลกษตั รยิ นาํ นาํ้ หอมมาดับจิตกาธาร (ดบั ไฟทเ่ี ชงิ ตะกอน) แลว เชญิ พระสารรี กิ ธาตุเขาไปประดษิ ฐานไวใน สณั ฐาคารศาลา ในนครกุสนิ ารา พิทกั ษร กั ษาอยางมนั่ คง ดวยประสงคจะมิให ใครแยง ชิงไป และไดท าํ สกั การบูชามโหฬาร สน้ิ กาล ๗ วัน. ๒. แจกพระสารรี กิ ธาตุ ๑. พระมหากษตั ริย และพราหมณ ทัง้ ๗ พระนคร คอื :- (๑) พระเจาอชาตศัตรู เมือง ราชคฤห. (๒) กษัตริยลจิ ฉวี \" เวสาล.ี

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 51 (๓) กษตั ริยศากยะ เมือง กบิลพสั ดุ. (๔) ถลู กี ษตั รยิ  \" อัลลกัปปะ. (๕) โกสกิ ษัตรยิ  \" รามคาม. (๖) มหาพราหมณ \" เวฏฐทปี กะ. (๗) มลั ลกษตั รยิ  \" ปาวา. ไดท รงทราบวา พระพุทธเจาปรินพิ พานท่ีเมืองกสุ ินารา จึงสง ทูต มาของแบงพระสารีรกิ ธาตุ. ๒. มลั ลกษตั รยิ  ไมย อมแบง ใหดว ยเหตุ ๒ ประการ คือ :- (๑) ทรงเหน็ วา ถา เราแบงใหไ ปโดยเรว็ ทกุ หมทู ี่มาขอ คง จะไมพอแน ยากท่ีจะเสร็จสงบลงได และยากทจ่ี ะผอ นผันให ถูกตองตามอธั ยาศยั ของเจา นครทกุ องคได (เพราะสงไปโดย ราชสาสน). ๒) ทรงคิดวา พระพุทธเจาทรงอุตสาหมาปรนิ ิพพานใน คามเขตของเรา กเ็ พอ่ื ประทานพระสารีรกิ ธาตแุ กเ รา. จึงไมย อมแบงใหแ กน ครใด ๆ และไดต รัสแกท ตู านุทูตทั้ง ๗ นครวา \"พระผูมพี ระภาคเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พานในอาณาเขต ของเรา เราจักไมใหส วนพระสารรี ิกธาต.ุ \" สว นทตู านทุ ูต กไ็ มย อม จวนจะเกิดมหาสงครามอยูแลว. ๓. โทณพราหมณผหู ามทพั ผูมปี ญญาผอนผันใหตอ งตามคดโี ลก คดีธรรม เมือ่ เห็นเชนน้ันจงึ คดิ ถึงความไมเหมาะสม ๓ ประการ คอื :-

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวตั สิ งั เขป - หนา ท่ี 52 (๑) มลั ลกษัตรยิ ครองนครนอยน้ี ควรสมานไมตรีกบั นคร อนื่ ๆ ไมควรรบกนั . (๒) การรบนน้ั ขัดตอคําสอนของพระศาสดา เพราะพระองค ทรงสอนใหเวนเบียดเบียนกนั . (๓) พระสารรี กิ ธาตนุ ้นั ควรแบงไปยังนครตาง ๆ เพ่ือ สักการบูชาของชนทั่วไป. จึงกลา ว สนุ ทรพจน ตอไปวา :- ขอคณานกิ รเจาผูเจริญ เชญิ ฟงวาจาขาพระองคในบดั นี้ พระพทุ ธเจา ของเราทง้ั หลายเปนขนั ตวิ าที การรบกนั เพราะเหตุ แหง พระสารรี ิกธาตุของพระองคนัน้ ไมง ามเลย. ขาแตก ษตั ริยเจาผูเจริญ ทั้งเจา นครเดมิ และตางราชธานี จงชื่นชมสามัคคีกัน แลว แบงปน พระสารีริกธาตุ ออกเปน ๘ สว น ใหเ สมอกันทุกพระนครเถิด. ของพระสถปู บรรจพุ ระสารีรกิ ธาตุ จงแพรห ลายทวั่ ทกุ ทศิ สถิตสถาพรเพื่อนกิ รสัตวส ้นิ กาลนาน เถิด. กษตั รยิ แ ละพราหมณไ ดส ดับมธุรภาษิต ก็เหน็ ชอบในสามัคคี ธรรม. ๔. กษตั ริยและพราหมณ มอบธุระใหโทณพราหมณเปนผูแ บงสว น พระบรมธาตุ โทณพราหมณจึงเอา ตมุ พะ (ทะนานทอง) ตวง ได ๘ สว นเทา ๆ กัน แลว ถวายแกเจานครทัง้ ๘ แลวขอตุมพะนน้ั ไปบรรจุไวใ นเจดียมีชอื่ วา \"ตุมพสถปู \" หรอื \"ตมุ พเจดยี \"

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนาท่ี 53 ๕. โมรกิ ษตั ริย เมืองปป ผลิวนั ทราบขาวปรินพิ พานทีหลัง จึง สงทตู มาขอพระบรมธาตุ เมอื่ ไมไดจ ึงเชญิ พระอังคาร (เถา ถาน ในเชงิ ตะกอน) ไปบรรจุไวใ นเจดีย มีชอื่ วา \"อังคารเจดยี . \" ประเภทแหง สัมมาสัมพทุ ธเจดีย ๑. สมั มาสัมพทุ ธเจดยี เกิดขนึ้ ครงั้ แรก ๑๐ ตําบล คอื :- พระธาตเุ จดยี  ๘ ตาํ บล (คอื ใน ๘ นครทก่ี ลา วแลว). พระตมุ พเจดยี  ๑ \" (ท่โี ทณพราหมณท ําไว). พระอังคารเจดยี  ๑ \" (ในเมืองปปผลิวัน). รวม ๑๐ ตําบล. ๒. เจดียท ่ีสรา งไว เพอ่ื เปนเครอ่ื งระลกึ ถึงพระสมั มาสัมพุทธเจา ๔ ประเภท คอื :- (๑) ธาตุเจดยี  คือ เจดยี ทบี่ รรจุพระสารีริกธาตุ. (๒) บรโิ ภคเจดยี  คือ พระตุมพเจดยี  พระอังคารเจดีย สงั เวชนยี สถาน ๔ ตําบล เจดียทีบ่ รรจบุ รขิ ารที่พระองคทรง บรโิ ภคแลว เชน บาตร, จวี ร, เตยี ง, ตง่ั กุฏ,ิ วหิ าร, และ บรขิ ารอืน่ ๆ. (๓) ธรรมเจดีย คอื เจดยี ท จี่ ารกึ พระพทุ ธวจนะลงใน ใบลาน, แผนทอง, แผน ศลิ า เปน ตนแลว บรรจุไวในเจดยี . (๔) อทุ เทสกิ เจดีย คอื พระพทุ ธรูป. ๓. ความเปนมาแหง พระธรรมวนิ ัย ๑. ในวันท่ีแจกพระบรมสารีริกธาตุนน้ั มีพระสงฆป ระชมุ กนั เปน

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนา ท่ี 54 มหาสันนิบาต พระมหากัสสปะเปนประธานในสงฆ หวงั จะให เกดิ อตุ สาหะในการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั จงึ นาํ เอาคําจวงจาบ พระธรรมวนิ ยั ของสุภัททวฑุ ฒบรรพชิตมากลาว แกภิกษุ ท้งั หลายแลวชักชวนวา \"อยากระนั้นเลย เราท้ังหลายจงรอ ยกรอง พระธรรมวินยั เถดิ มฉิ ะน้ัน วาทะทีม่ ิใชธ รรมวินัยจกั รุง เรอื ง พระธรรมวนิ ัยก็จกั เสื่อมถอย คนช่ัวจกั ลบลา งธรรมวนิ ยั คนชัว่ จกั เจริญ คนดีจักเสื่อมถอยนอ ยกําลงั พระศาสนากจ็ กั ตั้งอยู ไมได. \" ๒. คร้นั พระมหากสั สปะกลา วจบ พระสงฆในทีป่ ระชมุ นั้นเหน็ ชอบ จงึ ตกลงทําสงั คายนารอ ยกรองพระธรรมวนิ ยั เปนครงั้ แรก และ ตอจากนัน้ พระสงฆรงุ หลัง ๆ กไ็ ดช วยกนั ทําการสังคายนาเปน ครง้ั คราว ตามเหตกุ ารณรณนนั้ ๆ รวม ๕ คร้งั . ๓. ภายหลงั จากนัน้ นักปราชญไ ดแ ตง คมั ภรี อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า กบั ทงั้ ศพั ทศ าสตร เปนอุปการะแกนักศกึ ษา กุลบตุ รไดบวช เรยี นปฏิบตั ิสบื ตอ กันมา พระธรรมวินัยอันเปน ตัวแทนพระศาสดา จึงไดด าํ รงเจรญิ แพรห ลายไป ณ พทุ ธศาสนิกมณฑล ดว ยประการ ฉะนแ้ี ล. ๔. แผนผังการสงั คายนา ๕ ครง้ั ดงั ตอ ไปนี้ :-

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 55

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 56

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนาท่ี 57 พุทธประวัติเนติ ๑๕ เหตกุ ารณใ นพทุ ธประวัติ แสดงใหเ หน็ วาพระพุทธเจาทรงมี พระลักษณะ หรือพระนสิ ยั ที่ควรยึดถอื ไวเปนเย่ียงอยา งเปน อนั มาก แต ในที่นจี้ ะนํามาใหเ หน็ เพียง ๑๕ ขอ ดงั ตอ ไปน้ี :- ๑. ทรงมีพระเมตตากรณุ า เชน เมอื่ ทรงพจิ ารณาถงึ ธรรมที่ พระองคไดตรัสรแู ลว วา เปนคณุ อนั ลึกซง้ึ มาก ยากท่ีบุคคลผยู ินดีในกามคุณ จะตรัสรูตามได ทรงทอ พระทยั เพ่อื จะตรัสสง่ั สอน แตอ าศยั พระกรุณาใน หมสู ัตว จงึ ทรงพจิ ารณาเหน็ วาบุคคลนี้มี ๔ เหลา เปรยี บเหมือนดอกบวั ๔ เหลา ผูส ามารถรตู ามไดถงึ ๓ เหลา จึงไดเ สด็จเที่ยวสง่ั สอนดว ยความ เมตตากรณุ าในหมชู นนนั้ ๆ (๑/๔๔-๔๕) (พุทธ-สงั เขป ๑๗) แมใ นตอนใกลจ ะปรนิ พิ พาน ทรงพระกรุณาโปรดใหส ุภทั ทะ- ปรพิ าชกเขาเฝา ถามปญ หา ทรงแสดงธรรมใหเขาใจ และใหอปุ สมบท เปนองคสุดทา ย (๓/๓๗) (พทุ ธ-สงั เขป ๔๔) ๒. ทรงต้ังใจจริง ขยันหม่ันเพียนจรงิ เชน ในคราวพระราชบดิ า ทรงทาํ วปมงคลแรกนาขวัญ, พระสิตธัตถกุมารพระองคเ ดียวประทับที่ ภายในมาน โคนตน หวา เจริญอานาปานสติกมั มัฏฐาน ยงั ปฐมฌานให เกดิ ขึน้ ได นีจ้ ัดเปนสัมมาสมาธิตง้ั ใจจริง (๑/๑๙-๒๐) อนง่ึ ในสมัยเปน นักเรยี กในสาํ นักครวู ศิ วามิตร ทรงเรยี นดว ย ความขะมักเขมน จนจบส้ินความรขุ องครใู นเวลาอันรวดเรว็ ไดแ สดงความ รูใหปรากฏในหมูพระญาตยิ งิ่ กวาพระกมุ ารอืน่ (๑/๑๙) (พทุ ธ- สังเขป ๑๐)

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวตั ิสงั เขป - หนา ที่ 58 ภายหลงั เสดจ็ ออกทรงผนวชแลว ทรงบําเพญ็ เพียรทาํ ฌานใน สํานักทา นอาฬารดาบสและทานอทุ กดาบส ไดเทา เทยี มกับดาบสทงั้ สอง ในเวลาอนั ส้ัน ครัน้ เหน็ วา มิใชท างตรัสรู จงึ เสด็จออกไปทรงบําเพ็ญ ทกุ รกิริยา ปรารภความเพียรไมทองถอยไมย อ หยอน (๑/๓๕ - ๓๖ - ๓๗) (พุทธ - สงั เขป ๑๓ - ๑๔ ) ตอนทท่ี าํ ความเพยี รอยา งสูง คือ ในวนั ทต่ี รัสรปู ระทับนัง่ ทโี่ พธิ- บัลลงั ก ทรงตั้งพระหฤทยั วา ยงั ไมบรรลุพระสมั มาสัมโพธญิ าณเพยี งใด จกั ไมเสด็จลุกข้นึ เพยี งน้ัน แมเลอื ดเนือ้ จะแหงไป คงเหลอื แตห นงั หมุ เอน็ และกระดูกกต็ าม (๑/๔๔) (พทุ ธ - สงั เขป ๑๔) ทงั้ ๓ ตอนน้ี แสดงถงึ ความต้งั ใจจรงิ และพากเพยี รจรงิ . ๓. ทรงมีความกลาหาญ เชน ทรงมีพระหฤทยั กลาตอ สูก ับ พระยามาร คือกิเลสกามและเสนามารถอื กเิ ลสอันเปน ฝา ยเดียวกนั เชน ราคะ ความกําหนัด อิจฉา ความอยากได อสิ สา ความหึง เปน ตน ที่เกิดขึ้นทอ งเท่ียวอยใู นจิต ใหหวนคดิ ถึงความเสวยสขุ ในพระราชวงั และ หวนกลบั พระองคแ ข็งพระทัยตอ สูจะไดช ัยชนะ ดวยพระบารมี ๑๐ ประการ มีทาน เปน ตน (๑/๔๕) (พทุ ธ - สังเขป ๑๔) ๔. ทรงคิดแกปญ หาดวยปญ ญา เชน ทรงแกป ญหาเรื่องทุกข เพราะเกดิ เพราะแก เพราะเจบ็ เพราะตาย ดว ยพระปญญาพจิ ารณา เห็นวาการอยคู รองเรอื น เปนท่ีคับแคบ เปน ที่ต้ังแตงความเศราหมองใจ ทรงเหน็ วา การบวชเปนชองวา ง เปนโอกาสเพื่อปฏิบตั กิ ําจดั กิเลสอนั เปน เหตุชาตทิ ุกขเปนตนได จงึ ไดเสด็จออกทรงผนวช (๑/๒๔) (พทุ ธ- สังเขป ๑๒)

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวตั สิ งั เขป - หนา ที่ 59 ๕. ทรงเช่อื ในเหตุและผล เชนทรงเชอื่ วา ๕.๑ ผูม ีกายและจติ ยังไมออกจากกาม ก็ไมอาจตรสั รูได เปรยี บเหมือนไมสดแชนํ้า สีกัน ก็ไมต ดิ ไฟ ๕.๒ ผมู กี ายออกจากกามแลว แตจ ิตยงั ไมออก ก็ไมอาจ ตรัสรไู ด เปรียบเหมอื นไมส ดต้งั บนบก สีกัน กย็ งั ไมต ดิ ไฟ ๕.๓ ผมู ีกายและจิตออกจากกามแลว ควรตรัสรไู ด เปรียบ เหมือนไมแหง ตัง้ อยูบนบก สีกันเขา ก็ยอ มติดไฟ (๑/๓๗ , ๓) (พุทธ - สังเขป ๑๔) ๖. ทรงมีความสุภาพออนโยน เชนคร้งั ทีต่ รสั รูแ ลว เสด็จไปยัง ปา อสิ ิปตนมฤคทายวัน เพือ่ แสดงธรรมโปรดเบญจวคั คยี  เบญจวคั คียพ ูดกับ พระองคดว ยวาจาไมเ คารพ พระองคท รงหา มเสีย แลวตรัสบอกดว ย พระสุรเสยี งอันสุภาพออ นโยนวา \"เราไดตรัสรอู มตธรรมโดยชอบแลว ทา นทั้งหลายคอยฟงเถดิ เราจักสัง่ สอน\" (๑/๕๘) ครงั้ หน่ึง เสดจ็ ไปยงั ตําบลอรุ เุ วลา ตรสั ขอพักในโรงบชู าเพลงิ ของ อรุ ุเวลกัสสปะ อรุ เุ วลกสั สปะไมอ ยากใหพ ัก บอกวา มีนาคดรุ ายอาศัยอยู ในโรงน้นั ใครเขาไปไมได พระองคตรัสวา ไมเปนไร ในทีส่ ดุ ก็ไดร ับ อนุญาต เม่อื ไดรบั อนญุ าตกอนแลว จึงเขาไปพักอาศัย (๑/๗๘) คร้ังหน่งึ ตรัสสอนพระมหาโมคคลั ลานะใหปฏบิ ตั สิ ุภาพวา \"ทาน ควรตัง้ ใจไววา เราจักไมชงู วง (คอื ถือตวั ) เขาไปหาชาวบา น ๑ เรา จักไมพ ูดคําทะเลาะโตเถียงกนั ไมถ ือผดิ ตอ กัน ๑\" เธอควรเก็บตัวในท่ี สงดั ปฏบิ ตั จิ ติ ใหสงบตามสมณวสิ ัย\" (๑/๙๐) (พทุ ธ - สงั เขป ๒) คร้งั หนึง่ ตรัสสอนพระมหากัสสปะวา \"ทานควรตงั้ ใจไวว า เรา

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนาที่ 60 จกั เขาไปต้ังความละอายเกรงใจ ในภกิ ษุท้ังหลาย ท้ังทเี่ ปน ผเู ฒาแก ท้ัง ทเ่ี ปนผูบ วชใหม ท้งั ทเ่ี ปนปานกลางอยางแรงกลา\" (๒/๒) (พทุ ธ- สงั เขป ๒๘) ครัง้ หนง่ึ เสดจ็ กลบั จากบณิ ฑบาตแลว ไดท อดพระเนตรเมอื ง เวสาลคี รง้ั สุดทา ยเปน นาคาวโลก คือ มองอยางชางเหลียวหลัง เปนพระ กริ ิยาสงางาม ออ นโยน แลว ตรัสพระวาจาไพเราะกบั พระอานนท พทุ ธ- อนุชา หลายอยาง (๓/๑๒) (พุทธ - สังเขป ๔๐) ๗. ทรงเปนพระโอรส, พระบิดา, พระสวามี, พระเชษฐา, พระสหายท่ีดี ไดท รงรับการศึกษาเปนอนั ดใี นขตั ตยิ ธรรมและคดีโลก อยา งอืน่ อกี สมควรเปนผทู รงดาํ รงอยูในขัตตยิ รัชสมบัติสบื สนั ตติวงศตอ ไป (๑/๐๒) แมไ ดต รสั รูแลวทรงพระกตัญกู ตเวทีตอพระพุทธบิดา ได เสด็จกลบั กรงุ กบลิ พัสดุ แสดงธรรมโปรดพระพุทธบดิ าใหบรรลุมรรคผล (๒/๓๘) (พทุ ธ - สงั เขป ๓๖) นจ้ี ดั เปน พระโอรสทดี่ ี ไดทรงมอบอรยิ ทรพั ย ๗ อยาง อันเปน โลกตุ รทายาทใหพระราหลุ ปโยรสของพระองค และใหผ นวชเปนสามเณร (ธ. บ. ๑/๑๑๓) นจ้ี ดั เปนพระบิดาทีด่ ี เมือ่ กอนเสดจ็ ออกผนวชไดเสวยโลกยิ สมบัตริ วมกับพระนางพิมพา วรชายา เปน เวลา ๑๔ ป โดยไมม ีเร่ืองเดอื ดรอนอันใดเกดิ ขึ้น (๑/๒๐- ๒๑) (พทุ ธ - สงั เขป ๑๑) และเมอ่ื ไดตรัสรูแลว กไ็ ดแ สดงจันทกนิ รี ชาดกโปรด (ธ. บ. ๑/๑๑) นีจ้ ดั เปน พระศวามที ดี่ ี ไดโปรดใหพระนนั ทะอนชุ าตางพระมารดาผนวชและทรงแสดง

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวตั สิ งั เขป - หนาที่ 61 ธรรมพรํา่ สอนจนไดบ รรลุเปน พระอรหนั ต (ธ. บ. ๑/๑๑/๑๖) น้ีจดั เปนพระเชษฐาทด่ี ี ไดท รงแสดงปฐมเทศนาโปรดเบญจวคั คยี  พระสหายคทู ุกขค ยู ก ในคราวทรงลาํ เพญ็ ทุกรกริ ิยา และทรงแสดงธรรมตา ง ๆ จนถงึ แสดง พระอนตั ตลักขณสตู โปรด จึงไดเปน พระอรหนั ตทกุ องค (๑/๕๗- ๖๙) (พทุ ธ-สงั เขป ๑๘-๑๙) อนง่ึ ไดตรัสสง่ั ใหสงฆลงพรหม- ทณั ฑแกพระฉันนะพระสหายผสู หายชาต (เกดิ พรอ มกัน) เพ่อื ใหเ ธอ สลดใจ และปฏบิ ตั ิธรรมจนบรรลุมรรคผล (๓/๔๔) (พุทธ - สังเขป ๔๖) น้ีเปนพระสหายที่ดี ๘. ทรงมลี กั ษณะผูนํา เชนทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวตั ตนสูตร ปฏิวัติคาํ สอนของศาสดาอน่ื ซงึ่ มีอยเู ปนอนั มากทส่ี อนในทางผิด ๆ หยอน ไปบา ง ตงึ เครียดไปบา ง แตพ ระองคทรงสอนทางถูก ทางสายกลาง อันเปน ทางไปถึงความดับทุกขโ ดยตรง (๑/๖๐ - ๖๒) (พทุ ธ - สังเขป ๑๘) อน่งึ เม่อื พระสาวกมีมากขนึ้ พอจะสงไปประกาศพระศาสนา กอน จะสงไดตรัสเรียกพระสาวกเหลา น้ันมาประชมุ ทรงอบรมแนะแนวการสอน แนะนโยบายการเผยแผพระศาสนาใหเขาใจกันเรียบรอ ยแลว สง ไป (๑/๗๔) (พทุ ธ - สังเขป ๒๒) ๙. ทรงมพี ระหฤทัยเด็ดเดยี่ วและเด็ดขาด เชนทรงตัดสินพระ หฤทยั ออกทรงผนวช โดยมิไดอาลัยเยอื่ ใยในจักรพรรดิราชสมบตั ิที่มาถงึ ในอนาคตอันใกล และแมม พี ระราชโอรสพระวรชายาอนั นา รักสลกั จติ อยา งเหนียวแนน พระองคก็ทรงตัดไดโดยเด็ดขาด (๑/๒๗) (พุทธ- สงั เขป ๑๒) อน่งึ เมือ่ ไดท รงปลงอายุสังขาร คือกําหนดวันปรินพิ พาน

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนาที่ 62 แลว พระอานนทกราบทลู ขอใหเลอ่ื นเวลาออกไปอีก พระองคจึงปฏเิ สธ คาํ ทูลขอน้นั เสยี วา \"ดกู อ นอานนท กส็ ิ่งใดแลพระตถาคตไดส ละแลว คายแลว ปลอ ยเสยี แลว ละเสียแลว วางเสยี แลว อันตถาคตจะกลบั คืน มายังสิง่ นน้ั เพราะเหตแุ หงชวี ิต ดงั น้ี ไมเ ปน ฐานะทีจ่ ะมไี ด\" (๓/๙ -๑๐) (พทุ ธ-สงั เขป ๓๙) ๑๐. ทรงเปน นกั ปราชญ และเปน ศาสดา เชนทรงมีพระปรีชา หยัง่ เห็นวา ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตายเปนทุกขเปน ภยั อนั ใหญ และทรงเหน็ วา การบวชเปน ชอ งทางที่จะแสวงหาความพนจาก ทุกขด ังกลาวน้นั ได (๑/๒๖) (พุทธ - สังเขป ๑๒) เม่ือผนวชแลว ทรงศึกษาในสาํ นกั ๒ อาจารย ทเ่ี ขานิยมวา เปนปราชญใ นสมยั น้นั คร้ัน เรียนจบความรูอ าจารยแลว ทรงเห็นวายังไมมีความรทู ท่ี าํ ใหพ น ทกุ ข จงึ เสด็จออกจากสํานกั อาจารยนั้นไปแสวงหาดวยความลาํ พงั พระองคเอง ก็ได บรรลญุ าณ ๓ คอื :- ๑. ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ รขู นั ธท อี่ าศัยอยูในกาลกอ น ๒. จตุ ูปปาตญาณ รกู ารตายการเกิดของสตั ว ๓. อาสวักขยญาณ รูท ําใหสนิ้ อาสวกเิ ลส (๑/๓๕- ๔๔) ตรัสรขู องจริง ๔ อยาง (พุทธ- สังเขป ๑๕) ท้ังหมดน้จี ดั วาทรงเปน นักปราชญย ่ิงกวา นกั ปราชญอ ่ืน ๆ ครัน้ ตรสั รแู ลว เสดจ็ สงั่ สอนมนุษยแ ละเทวดาใหบรรลุคณุ ธรรม ตามภมู ชิ นั้ อนั สมควรแกจรติ อปุ นสิ ยั ตลอดคามนคิ มราชธานีนอยใหญ ไมทรงคาํ นึงถงึ ความเหนื่อยยากลําบากใด ๆ และไดท รงวางหลักการสอน พเิ ศษกวา ศาสดาอืน่ อันเปรยี บดงั หัวใจพระพุทธศาสนาไว ๓ ขอ คอื :-

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวตั สิ งั เขป - หนา ท่ี 63 ๑. สอนใหเ วนจากการทาํ บาปทั้งปวง ๒. สอนใหทํากศุ ลใหถงึ พรอ ม ๓. สอนใหทําจติ ใหผอ นแลว (๒/๘-๙) (พทุ ธ-สงั เขป ๒๙) ท้ังหมดนี้จัดวาทรงเปนศาสดาเอกในโลกอยา งแทจ รงิ อนึ่ง ศาสดาอื่นมกั จะปดบงั ความรูไวเ พอื่ ประโยชนสวนตวั หรอื เพอ่ื บคุ คลบางคน แตพ ระพทุ ธเจาทรงสอนธรรมะจนหมดความรจู รงิ ๆ ไมป ดบังไวเ พื่อพระองคเอง หรอื เพอ่ื พระสาวกบางเหลา (๓/๓) พทุ ธ -สงั เขป ๓๘) นกี้ จ็ ัดเปน ยอดของศาสดา ๑๑. ทรงเปน ผปู ระนปี ระนอม และตดั สินยตุ ิธรรม เชน รบั สง่ั กบั พระอานนท ในกรณที ี่พระองคเสวยพระกระยาหารท่บี า นนายจนุ ทะ แลวปรินิพพาน อาจจะมีผมู ากลาวหาวานายจนุ ทะเจือปนยาพษิ ในอาหาร ถวายพระพทุ ธเจา หากมเี ร่อื งดงั กลาวเกดิ ขนึ้ แกนายจุนทะ พวกทาน ท้งั หลายพึงระงบั เสยี ใหส งบ ดว ยปลอดใหเบาใจวา เปน ลาภขงิ ทา น ทา นไดด ีแลว บิณฑบาตที่มีผลมาก ๒ คร้ังคือ ครัง้ ทเ่ี สวยแลว ตรสั รู ๑ เสวยแลวปรินพิ พาน ๑ (๓/๒๑-๒๒) (พุทธ - สังเขป ๔๑) คร้ังหนง่ึ พระ ๕ รปู ถกเถยี งกัน รูปท่ี ๑ วา บรรดาอายตนะท้งั หลาย ตารกั ษายากกวา รูปวา ๒ วา หูรักษายากกวา รปู ท่ี ๓ วา จมูกรักษายาก กวา รปู ท่ี ๔ วา ลิ้นรกั ษายากกวา รปู ที่ ๕ วา กายรกั ษายากกวา ไมมี ใครยอมแพใคร จึงพากันไปกราบทูลขอใหพระพุทธเจาทรงตดั สนิ ทรง ตัดสินวา รักษายากพอ ๆ กันทัง้ ๕ อยา ง แตย งั มที ่ีก็รักษายากกวา ๕ อยางนั้นอีก คือใจ รักษายากทีส่ ดุ ภิกษทุ ้ัง ๕ รปู น้ันพอใจ และตั้งใจ รกั ษาใจตามทท่ี รงสงั่ สอน ไมตองโตเถยี งกันตอไป (ธ. บ. ๘. ๔๙)

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 64 ๑๒. ทรงเปนผแู นะแนวทาง เชนทรงแนะแนวทางใหส ิงคาล- มาณพปฏิบตั ใิ นการไหวท ิศอนั ถูกตอง คอื ทิศเบ้ืองหนาคือบดิ ามารดา ทศิ เบือ้ งขวาคืออาจารย ทิศเบือ้ งหลังคือบุตรภรรยา ทิศเบ้อื งซายคอื มิตรอมาตย ทศิ เบือ้ งลา งคอื ลูกจาง ทิศเบื้องบนคือสมณพรามหณ ผไู หว ทศิ ควรเวนการงานท่เี ศราหมอง ๔ คือ ฆาสัตว ๑ ขโมย ๑ ผิดใน กาม ๑ พดู ปด ๑ และเวนลําเอยี ง ๔ คอื ลําเอยี งเพราะรกั ๑ เพราะ ชงั ๑ เพราะหลง ๑ เพราะกลวั ๑ และยังตอ งเวนอบายมุข ๖ คอื ดืม่ สุขา ๑ เทยี่ วกลางคืน ๑ เพลนิ ในการเลน ๑ เลน การพนนั ๑ เกียจครา นไมเ อาการงาน ๑ คบมติ รชว่ั ๑ ทง้ั หมดนเ้ี ปน ตวั อยางในการแนะแนวอันเปน คดีโลก ๒/๒๓-๒๔) (พุทธ - สงั เขป ๓๒) สว นทที่ รงส่ังสอนใหปฏิบัตติ ามอรยิ มรรคมอี งค ๘ ประการ อนั สรุปเขา เปน ศลี สมาธิ ปญ ญา ท่เี รยี กวา ไตรสขิ า ซึง่ มีปรากฏอยใู น พระพุทธศาสนาท้ังสิน้ จดั เปน การแนะแนวอันเปนคดธี รรม อริยมรรค มีองคื ๘ คอื ทางมอี งค ๘ ท่ผี ูด าํ เนนิ ใหเปน อรยิ ะผูประเสรฐิ (๑/๖๐) (พุทธ - สังเขป ๑๘) ๑๓. ทรงเปน นักปกครองแบบประชาธิปไตย คือทรงมอบให สงฆเปนใหญในกจิ กรรมตาง ๆ เชนอุปสมบทกรรมเปน ตน ๒/๒๐- ๒๑) พุทธ - สงั เขป ๓๒) ๑๔. ทรงเปนนกั ดัดแปลงประยุกตธ รรมเนียมเดิมใหม ีประสทิ ธิ- ภาพย่ิงขน้ึ เชน อนุญาตใหท าํ บพุ พเปตพลีอนโุ ลมตามธรรมเนยี มพราหมณ แตใหบ รจิ าคไทยธรรมแกท ักขิเณยยบุคคล แทนทจี่ ะเอาไปวางไวใ หส ตั ว

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนา ท่ี 65 เชน กาเปนตนกิน (๒/๑๓-๑๘) (พทุ ธ-สังเขป ๓๐) ๑๕. ทรงเปนผมู งุ ประโยชนส ุขแกผอู ื่นเสมอ เชนเวลาจะปริ- นพิ พานไดต รสั ปจ ฉมิ โอวาทวา \"ทานทั้งหลาย จงยงั กิจอันเปนประโยชน ตนและประโยชนผอู นื่ ใหบริบรู ณดว ยความไมประมาทเถิด (๓/๔๖) (พทุ ธ - สงั เขป ๔๖) หมายเหตุ :- ในวงเลบ็ เลขหนา ขดี ทับ หมายถึงหนังสอื พุทธประวตั ิ เลม ๑ หรือ ๒ หรอื ๓ สวนเลขหลังขีดทับหนา หมาย ถึงหนาหนงั สอื สวนคําวาพทุ ธ - สงั เขป หมายถึงหนงั สอื พุทธประ- วตั ิสังเขปน้เี อง, ดวยเลขหมายถงึ หนา หนงั สือ.

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนา ท่ี 66 ศาสนพธิ สี ังเขป คูมือนักธรรม และธรรมศกึ ษา ชนั้ ตรี ศาสนพธิ ี คอื แบบอยา งหรอื แบบแผนตาง ๆ ทีพ่ ึงปฏบิ ัตทิ างพระ ศาสนา โดยเฉพาะทางพระพทุ ธศาสนา และเกดิ ขึ้นภายหลงั พระศาสนา. หลกั การสอนพระพุทธศาสนา ทตี่ รงปฏบิ ตั ิ มี ๓ ประการ คอื :- ๑. สอนใหไมทําความช่วั ท้งั ปวง ๒. สอนใหท ําความดใี หบ รบิ ูรณ ๓. สอนใหทาํ จิตของตนใหผอ งแผว. การทาํ ความดี เรยี กวา \"ทําบุญ\" หลกั การทาํ บญุ หรอื วธิ ีทําบญุ เรียกวา \"บญุ กริ ยิ าวัตถ\"ุ โดยยอ มี ๓ อยาง คือ :- ๑. ทาน การใหสิง่ ของ ๒. ศลี รักษากาย - วาจาใหเรียบรอ ย. ๓. ภาวนา อบรมจติ ใหผองใสในทางกศุ ล. บุญกริ ิยาวตั ถุ น้ีเอง เปน ตนเหตใุ หเ กิดศาสนพธิ ตี า ง ๆ คอื ๑. รบั ศลี ปรบั ปรงุ กายวาจาใหเ รียบรอ ยกอ น ๒. ภาวนา คอื ฟงพระสวด หรือเทศนใหจ ิตผอ งใสสบาย ๓. ทาน คือถวายสง่ิ ของแกพระ. หมายความ วา ๑. ศีล ๒. ภาวนา ๓. ทาน ทงั้ ๓ อยางนี้ เปนหลกั ในการทําบญุ ในพระพุทธศาสนา. เนอ่ื งจากการทาํ พธิ ที างศาสนามีมาก หากแยกเปน หมวด กไ็ ด ๔ หมวด คอื :-

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวตั ิสงั เขป - หนาท่ี 67 ๑. หมวดกุศลพธิ ี วา ดวยพิธีบําเพ็ญกศุ ล ๒. หมวดบญุ พิธี วา ดว ยพธิ ีทําบญุ ๓. หมวดทานพิธี วา ดวยพธิ ถี วายทาน ๔. หมวดปกณิ ณกะ วาดว ยพธิ เี บด็ เตล็ด. หมวดที่ ๑ กศุ ลพิธี กุศลพิธี หมายถงึ การทาํ พิธีใหเกิดความฉลาดยง่ิ ๆ ข้นึ จนสามารถ ตดั ความช่วั หรือบาปมวั หมองใหห มดไปโดยลําดบั . เฉพาะที่พงึ ปฏบิ ตั ใิ น เบ้อื งตน มี ๓ เรอ่ื ง คือ :- ก. พธิ แี สดงตนเปนพุทธมามกะ ข. พิธีรกั ษาอโุ บสถ ค. พธิ ีเวียนเทยี นในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา. ก. พธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ การทําพธิ ีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ หมายความวา ประกาศตนวา เปนผูรับนบั ถอื พระพทุ ธเจา กลา วคือ เปนผถู ือพระพทุ ธศาสนา. (พทุ ธ แปลวา ผูรู ผฉู ลาด พุทธศาสนา แปลวา คําสอนของทานผูร ู, ผูถ อื พุทธศาสนา ปฏบิ ัติถกู ตอ งก็ยอมฉลาดยง่ิ ๆ ขึ้น สามารถตดั ความชั่ว ความโงได) การทาํ พธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะน้ี มมี าตั้งแตสมัยพระพทุ ธเจา ตลอดมาจนถึงบดั นี้ รวมเปน ๔ วิธี คอื :- ๑. มีผมู าทลู ขอบวช พระพุทธเจาทรงใหบ วชดวยพระวาจาวา

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนา ท่ี 68 \"มาเถิดภกิ ษุ จงประพฤติพรหมจรรยเถิด\" ดังนเี้ ปนตน. ผูนั้นถือเพศ คอื โกนผม นุง หม สบงจีวร เปน เสร็จพิธี. ๒. ขอบวชตอ พระสาวก ตองปลงผม นุง หม สบงจวี รกอน แลว ลน่ั วาจาถึงพระรตั นตรยั เปนสรณะคือเปน ท่ีพึ่งที่ระลกึ ๓ หน เปนเสร็จพธิ ี. ๓. ผูม อี ายุไมค รบ ๒๐ ปบรบิ รู ณ ขอบวช ก็บวชดวยวิธีท่ี ๒ สําเรจ็ เปนสามเณร. ๔. คฤหสั ถผ ูไมตองการบวช ลนั่ วาจาถึงพระพุทธ - พระธรรม - พระสงฆ วา เปน สรณะ ถาอายเุ กนิ ๑๕ ป ผูชาย เรียกวา \"อุบาสก\" หญงิ เรยี กวา \"อบุ าสิกา\" ถาอายุ ๑๕ ลงมา ๑๒ ข้ึนไป เรยี กวา \"พทุ ธมามกะ\" หรือ \"พทุ ธมามกิ า\" ตามเพศชาย - หญิง. การปฏญิ าณตนเปนผูน บั ถือพระพุทธศาสนา คนหนึ่งจะปฏญิ าณ หลายคร้งั ตามความเลือ่ มใสศรทั ธากไ็ ด. ประเพณนี ิยมแสดงตนเปน พทุ ธมามกะในประเทศไทย ในปจ จุบัน มสี รปุ ได ๔ คราว คอื :- ๑. คราวที่บตุ ร - หลาน มอี ายพุ นเขตทารก คือระหวางอายุ ๑๒-๑๕ ป เพ่ือใหเดก็ สบื ความเปน ชาวพุทธตามตะกลู วงศ. ๒. คราวสงบตุ ร - หลาน ที่เปนชาวพุทธอยแู ลว ไปอยูในถน่ิ ศาสนาอื่นนานแรมป เพื่อใหเดก็ ระลกึ อยเู สมอวา ตนเปน พทุ ธศาสนกิ ชน. หรือเมื่อเขา โรงเรียนตางศาสนา. ๓. คราวทเ่ี ดก็ เขาศกึ ษาในโรงเรยี นท่ีสอนวิชาทั้งสามญั ศกึ ษาและ วสิ ามัญศึกษา เพ่ือใหน ักเรยี นเหน็ ความสําคัญในการทต่ี นเปน ชาวพทุ ธอยรู ว มกนั .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนา ท่ี 69 ๔. คราวท่บี คุ คลตา งศาสนาเกิดเร่อื งเลอื่ มใสในพทุ ธศาสนา กท็ าํ พิธี ประกาศตนเปนชาวพทุ ธ เพอื่ ใหผอู ่นื ทราบวา คนถือพระ พทุ ธศาสนาแลว . ระเบยี บพิธี ๑. มอบตวั คอื ก. เขาไปหาพระทีต่ นเคารพนับถอื ควรมีผู ปกครองนาํ ไป ถา เปน โรงเรยี น ก็มตี วั แทนของโรงเรียนนําไป พรอ ม ดวยตัวแทนนกั เรยี น ถวายดอกไมธูปเทียน กราบ แจงความประสงค. ข. ฝกหดั อบรมผจู ะแสดงตนใหร ูจ กั กราบไหว ทอ งคําบชู า คาํ นมสั การ คําปฏิญาณ คําอาราธนาศลี ๕ คาํ สมาทานศีล ๕. ๒. เตรยี มการ คอื ก. ฝายพระสงฆ นมิ นตพ ระผูใ หญห รอื ผูน อยทส่ี มควร ใหค รบ ๔ รปู เปนองคสงฆ จดั สถานที่ ควรจดั ในโบสถ หรือวหิ าร ศาลาการเปรยี ญ มโี ตะ ต้ังพระพทุ ธรูป และเครือ่ งบูชาพรอม ข. ฝา ยผแู สดงตน นุงหมผา ขาว มีผาหม เฉวยี งบา ไมใสห มวก- รองเทา , ถานักเรยี นกแ็ ตง เคร่อื งแบบ แตตองถอดหมวก - รองเทา . เตรยี มดอกไม ธูป เทยี น บชู าพระรตั นตรัย ๑ ชดุ ถวายพระอาจารย ในพิธีอีก ๑ ชดุ . จะมไี ทยธรรมถวายดว ยก็แลวแตศ รัทธา. ๓. พธิ กี าร ก. ผูแ สดงตนเตรียมแตงตัว และเครอื่ งบูชาพรอ ม แลว เขาในบริเวณพิธี นัน่ ประจาํ ที่ รอเวลา. ข. ถึงเวลา พระสงฆ เขา ประจําท่.ี ค. ผแู สดงตน จดุ ธปู เทียน วางดอกไมบชู าพระ ระลกึ ถึงคณุ พระรัตนตรัย เปลง วาจาวา อมิ ินา สกฺกาเรน, พทุ ธฺ  ปูเชม.ิ ขาพเจา ขอบูชาพระพทุ ธเจา ดว ยเครือ่ งสักการะน.้ี (กราบ)

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนา ที่ 70 อมิ นิ า สกกฺ าเรน, ธมฺม ปเู ชม.ิ ขาพเจาขอบูชาพระธรรม ดวยเครือ่ งสักการะน.ี้ (กราบ) อมิ นิ า สกฺกาเรน, สงฺฆ ปเู ชม.ิ ขาพเจา ขอบูชาพระสงฆ ดว ยเครื่องสักการะน้ี. (กราบ) ถวายพานเครอื่ งสกั การะแกพระอาจารย กราบ ๓ คร้ัง กลา วคาํ นมสั การพระพทุ ธเจาวา นโม ตสิส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธสสฺ (๓ จบ) กลาวคาํ ปฏญิ าณตนวา เอสาห ภนฺเต สุจิรปรนิ ิพฺพุตมฺป, ต ภควนฺต สรณ คจฉฺ าม,ิ ธมมฺ ฺจ สงฆฺ ฺจ พุทธฺ มามโกติ ม สงโฺ ฆ ธาเรต.ุ หมายเหตุ :- ชายหลายคนวา เอเต มย ภนเฺ ต . . . คจฺฉาม. . . พุทฺธมามกาติ โน. . . หญงิ คนเดียววา เอสาห ภนเฺ ต. . . คจฺฉามิ. . . พทุ ฺธมามกิ าติ ม. . . หญงิ หลายคนวา เอตา มย ภนฺเต. . . คจฉฺ าม . . .พทุ ธฺ มามกิ าติ โน. . . เม่ือกลา วคาํ ปฏิญาณจบแลว พระสงฆรบั วา \"สาธุ\" พรอ มกนั . ตอ จากนน้ั ผูปฏิญาณนัง่ ราบคอยฟงโอวาท ประนมมือฟง. พระอาจารย ใหโอวาทเก่ียวกับหัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ขอ เปนตน. เมื่อฟงโอวาทจบ รบั วา \"สาธุ\" แลว นั่งคุกเขา กลาวคาํ อาราธนาศีล ๕ วา

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนา ท่ี 71 คาํ อาราธนาเบญจศลี (ศีล ๕) อห ภนเฺ ต วสิ ุ วสิ ุ รกขฺ ณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปฺจ สีลานิ ยาจามิ. ทุติยมฺป อห ภนฺเต . . . ยาจามิ. ตติยมฺป อห ภนเฺ ต. . . ยาจาม.ิ หมายเหตุ :- ถา หลายคน อห เปล่ียนเปน มย. ยาจามิ เปล่ียนเปน ยาจาม. จาํ สมาทานเบญจศลี พระอาจารยเ ปน ผูบอก ผปู ฏญิ าณวาตาม. นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทฺธสสฺ (๓ จบ) พทุ ฺธ สรณ คจฺฉามิ. ธมมฺ  สรณ คจฺฉามิ สงฆฺ  สรณ คจฉฺ าม.ิ ทตุ ิยมปฺ  พทุ ธฺ  สรณ คจฺแาม.ิ ทตุ ิยมฺป ธมมฺ  สรณ คจฺฉามิ. ทุติยมปฺ  สงฆ สรณ คจฺฉาม.ิ ตตยิ มปฺ  พทุ ฺธ สรณ คจฺฉาม.ิ ตติยมปฺ  ธมฺม สรณ คจฉฺ าม.ิ ตติยมฺป สงฆ สรณ คจฺฉาม.ิ (พระอาจารยว า \"ตสิ รณคมน นฏิ  ิต\" ผปู ฏญิ าณรบั วา \"อาม ภนฺเต\") พระอาจารยบอกตอไป ผูปฏิญาณวา ตามตอไปวา ปาณาติปาตา เวรมณี สกิ ขฺ าปท สมาทิยาม.ิ อทินนฺ าทานา เวรมณี สิกขฺ าปท สมาทยิ ามิ. กาเมสุ มจิ ฺฉาจารา เวรมณี สกิ ขฺ าปท สมาทยิ าม.ิ มุสาวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปท ปมาทยิ ามิ. สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทยิ าม.ิ

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนาที่ 72 อิมานิ ปฺจ สกิ ขฺ าปทานิ สมาทยิ ามิ. (บรรทัดนี้ อาจารย ๑ จบ. ผปู ฏิญาณวา ๓ จบ) พระอาจารยว า สเี ลน สุคตึ ยนตฺ ิ สเี ลน โภคสมฺปทา สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนตฺ ิ ตสมฺ า สลี  วิโสธเย. (ผปู ฏญิ าณไมตองวาตาม) ผปู ฏญิ าณกราบ ๓ ครั้ง. ถามีไทยธรรมกถ็ วายแกพระสงฆ แลว เตรยี มกรวดน้าํ . พระสงฆอนโุ มทนาดวยบท ดงั น้ี ๑. ยถา . . . ๒. สพพฺ ตี ิโย. . . ๓. โส อตฺถลทโฺ ธ. . . หรอื สา อตถฺ ลทฺธา . . . หรอื เต อตฺถลทฺธา. . . ๔. ภวตุ สพพฺ . . . หมายเหตุ :- ขณะพระวา องคเ ดียว วา ยถา. . . ผูปฏิญาณ พงึ กรวดนํา้ รนิ น้ําพรอ มกบั วา คํากรวดนํา้ ตามแบบ. พอ พระวา พรอ มกนั ทุกองควา สพฺพีติโย. . . กร็ นิ นํา้ ให หมด แลว ประนมมือรับพร. เมื่อพระสวดจบ ก็คกุ เขา กราบพระสงฆ ๓ ครง้ั เปนอันเสรจ็ พิธี. ข. พธิ ีรักษาอโุ บสถ อโุ บสถ หมายความวา การจําศลี คือการรักษาศีล ๘ เพอ่ื ขดั เกลา กิเลสหยาบ ๆ ใหเ บาบาง มี ๒ อยา ง คือ :- ๑. ปกตอิ ุโบสถ เดอื นละ ๔ วนั คอื ข้ึน ๘ คาํ่ , ขน้ึ ๑๕ คาํ่ , แรม ๘ คา่ํ , แรม ๑๔ คา่ํ ในเดอื นเลยคี่ หรอื แรม ๑๕ ค่าํ ในเดือนเลขค.ู

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนา ท่ี 73 (เดือนเลขค่ี เชน เดือน ๗, เดอื นเลขคู เชนเดอื น ๘) ๒. ปฏชิ าครอุโบสถ คอื เพ่มิ ขา งหนา ๑ วัน ขา งหลงั ๑ วนั รวมเปน คราวละ ๓ วัน เดือนละ ๔ คราว, จงึ เปนเดอื นละ ๑๒ วัน. เชน ปกติอุโบสถมีในวัน ๘ คํา่ เพม่ิ ๗ คํา่ และ ๙ คาํ่ เขา มา ก็ เปนปฏชิ าครอุโบสถ. การรกั ษาศลี ๘ ขอ ในวันทก่ี ําหนดนี้ ช่อื วา \"รกั ษาอุโบสถ\" การรกั ษาอุโบสกน้ี มีพิธตี อไปน:้ี - ระเบียบพิธี ๑. พึงต่ืนนอนแตก อ นอรณุ ข้ึน เตรยี มตัวใหส ะอาดเรียบรอ ย บชู า พระต้งั แตรงุ อรุณ เปลง วาจาดวยตนเองกอ นวา อิมิ อฏงคฺ สมนนฺ าคต พทุ ฺธปฺ ตฺต อโุ ปสถ, อิมฺจ รตตฺ ึ อมิ ฺจ ทวิ ส สมฺสเทว อภิรกขฺ ิตุ สมาทยิ าม.ิ ๒. ไปวัด เขาสโู บสถ หรอื วหิ าร หรือศาลา เปน ตน ซงึ่ ทางวัดจัดเตรยี มไว. ไดเวลาประมาณ ๙.๐๐ น. พระก็ลงโบสถ ทาํ วตั รเชา จบแลว อบุ าสก - อุบาสกิ า กท็ าํ วตั รเชา . ๓. ทําวัตรจบแลว หัวหนา อบุ าสก นงั่ คุกเขา ประนมมอื ประกาศ องคอ โุ บสถ. คาํ ประกาศองคอุโบสถ อชชฺ โภนโฺ ต ปกขฺ สสฺ อฏิ มีทวิ โส เอวรโู ป โข โภนฺโต ทิวโส, ฯ เป ฯ มา นริ ตถฺ ก โหต.ุ (วา คาํ แปลดวย) หมายเหตุ :- ถาวัน ๑๔ ค่าํ วา \"จาตทุ ทฺ สที ิวโส\" ถาเปน วนั ๑๕

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 74 คํา่ วา \"ปณณฺ รสที วิ โส\" แทนคําวา อฏมีทวิ โส ซงึ่ เปน วัน ๘ คา่ํ . ๔. เมื่อประกาศใกลจ บ พระผแู สดงธรรม ขนึ้ นั่งบนธรรมาสน, อุบาสก - อบุ าสิกาทุกคน คุกเขา กราบ๓ ครง้ั แลวกลา วคาํ อาราธนา (ขอ) อโุ บสถศีล. คําขออโุ บสถศีล มย ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏงคฺ สมนฺนาคต, อุโปสถ ยาจาม. (วา ๓ จบ) ๕. รบั ศลี อโุ บสถ วา ตามพระ เหมอื นรบั ศลี ๕ เพียงแต เปลย่ี นขอ ๓ วา อพรฺ หฺมจริยา. . . และเพมิ่ ขอ ๖ วา วกิ าลโภชนา. . . ขอ ๗ วา นจจฺ คตี วาทติ วสิ ูกทสสฺ นา, มาลาคนฺธวเิ ลปน ธารณ มณฑฺ น วภิ สู นฏานา. . . ขอ ๘ วา อุจจฺ าสยน มหาสยนา เวรมณี สิกขฺ าปท สมาทิยามิ. อิม อฏ งคฺ สมนนฺ าคต. . . (เหมอื นขอ ๑ ของระเบยี บพิธนี ี้ หนา ๗๓) พระผูเ ทศก ผใู หศลี วา อิมานิ อฏ สกิ ฺขาปทานิ อโุ ปสถวเสน สาธุก รกขฺ ติ พฺพาน.ิ อบุ าสก - อุบาสิกา รบั พรอมกันวา อาม ภนเฺ ต. พระวา ตอไปวา สีเสน สุคตึ ยนฺติ ฯ เป ฯ ตสมฺ า สีล วิโสธเย. อุบาสก - อบุ าสกิ า กราบ ๓ ครง้ั น่งั ราบ ประนมมือฟง ธรรมตอไป. ๖. เมื่อพระแสดงธรรมจบ ทกุ คนใหส าธุการ และสวดประกาศ ตนพรอ มกัน วา

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนาท่ี 75 สาธุ สาธุ สาธุ อห พุทฺธจฺ ธมมฺ ฺจ สงฆฺ จฺ สรณ คโต๑ อุปาสกตตฺ ๒ เทเสสึ ภกิ ขฺ สุ งฆฺ สสฺ สมมฺ ขุ า เอต เม สรณ เขม เอต สรณมตุ ฺตม เอต สรณมาคมฺม สพฺพทกุ ขฺ า ปมุจจฺ เย ยถาพล จเรยฺยาห สมมฺ าสมฺพุทธสาสน ทุกขฺ นสิ สฺ รณสเฺ สว ภาคี อสฺส๓ อนาคเต. หมายเหตุ :- ๑. ชายวา คโต หญงิ วา คตา. ๒. ชาววา อุปาสกตฺต หญิงวา อุปาสกิ ตตฺ . ๓. ชายวา ภาคี อสฺส หญงิ วา ภาคินิสฺส. (เสร็จพธิ ีตอนเชาเพียงน)้ี ๗. ถวายภัตตาหารเพลแกพระสงฆ ตนเองก็รับประทานอาหาร ใหเ สดจ็ กอ นเท่ยี ง. ครนั้ ถงึ เวลาบาย หรอื เย็น (ประมาณ ๑๕.๐๐ น. หรือสุดแลว แตจ ะนัดกนั \" ประชมุ กนั ทําวัตรค่ํา. ถามีพระมาเทศนโ ปรด หัวหนา อุบาสก คุกเขา กราบพระ ๓ ครัง้ กลาวคาํ อาราธนาพิเศษ หรือ ธรรมดา. คําอาราธนาธรรม (พิเศษ) จาตทุ ฺหสี ปณณฺ รสี ยา จ ปกขฺ สฺส กฏ มี กาลา พุทเฺ ธน ปฺตฺตา สทธฺ มฺมสฺสวนสสฺ เิ ม อฏ มี โข อยนทฺ านิ สมฺปตตฺ า อภิลกฺขติ า เตนาย ปริสา ธมมฺ  โสตุ อธิ สมาคตา

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนาท่ี 76 สาธุ อยฺโย ภกิ ฺขสุ งโฺ ฆ กโรตุ ธมมฺ เทสน อยฺจ ปรสิ า สพฺพา อฏ กิ ตวฺ า สุณาตุ ตนฺต.ิ หมายเหตุ :- วนั ๘ คํา่ วา อฏมี โข. . . วนั ๑๔ ค่ํา วา จาตทุ ทฺ สี. . . วนั ๑๕ คา่ํ วา ปณณฺ รส.ี . . คาํ อาราธนาธรรม (ธรรมดา) พรฺ หมฺ า จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตอฺ ฺชลี อนธฺ ิวร อยาจถ สนฺตธี สตฺตาปปฺ รชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมมฺ  อนุกมฺปมั ปช. ๘. เมอ่ื พระเทศนจบ ทกุ คนพึงใหสาธุการ และสวดประกาศตน เหมือนภาคเชา และสวดคาํ ขอขมาพระรตั นตรัยวา กาเยน วาจาย ว เจตสา วา . . . เหมือนตอนปลายทาํ วัตรคํ่า. ๙. เมอ่ื เสร็จพิธี ภาคเชา หรอื ภาคคาํ่ แลว กอ นจะกลบั บาน พึงกลา วคําลาตอ พระผูเทศกวา หนฺททานิ มย ภนเฺ ต อาปจุ ฉฺ าม, พหุกิจฺจา มย พหุกรณียา. พระผูเทศก ถามีพรรษาสงู สดุ กวา องคอืน่ ๆ ในทป่ี ระชมุ น้นั พงึ กลาวคาํ อนุญาต. แตถ า มีพรรษานอ ย กต็ อ งใหพ ระองคที่มีพรรษาสงู สุด เปนผูกลาวคําอนุญาตวา ยสสฺ ทานิ ตมุ ฺเห กาล มฺ ถ. ผูลาพงึ รบั วา สาธุ ภนฺเต. แลว กราบ ๓ ครง้ั เปนอนั เสด็จ พธิ บี รบิ รู ณ.

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวตั ิสงั เขป - หนา ที่ 77 ค. พธิ ีเวียนเทยี นในวนั สาํ คญั ทางพระศาสนา วันสําคญั ทางพระพุทธศาสนา ท่นี ิยมประกอบพิธีเวยี นเทยี น มี ๔ วัน คือ :- ๑. วนั วสิ าขบชู า ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๖ (หรอื เดือน ๗ ปท ่มี ี เดือน ๘ สองหน) สาํ คัญคือ คลายกับวันประสูติ ตรสั รู และปรินิพพาน ของพระพทุ ธเจา. ๒. วนั อฏั ฐมบี ชู า แรม ๘ คํา่ เดอื น ๖ (หรอื เดือน ๗ ปทม่ี ี เดือน ๘ สองหน) สําคัญคือ คลา ยกบั วนั ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรรี ะ (เผาศพพระพทุ ธเจา)ง ๓. วนั มาฆบูชา ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๓ (หรอื เดอื น ๔ ปท่ีมี เดอื น ๔ สองหน) สําคัญคือ คลา ยวันทีพ่ ระพทุ ธเจาทรงแสดงพระโอวาท- ปาติโมกข อันเปนหวั ใจ หลกั การ ของพระพุทธศาสนา ใน \"จาตรุ งค- สนั นิบาต\" ทป่ี ระชุมประกอบดว ยองค ๔ คือ ก. พระอรหนั ต ๑,๒๕๐ องค ข. ทา นเหลานน้ั ลวนแตเปนอหิภกิ ขุ ค. ทานเหลา นนั้ มาประชมุ กันโดยมิไดนัด ง. ประชมุ กันในวนั เพ็ญเดือน ๓. ๔. วนั อาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ (หรอื เดือน ๘ หลงั ในปท มี่ เี ดอื น ๘ สองหน) สําคัญคือ คลายวนั ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรง แสดงธรรมกณั ฑแรก ชอ่ื วา \"ธัมมจกั กปั ปวัตตนสูตร\" แกพระเบญจ- วัคคยี  ไดผลดีคือ พระโกณฑญั ญะ หัวหนา พระเบญจวคั คีย ไดเ ปน พระอริยสาวกสงฆองคแรก.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 78 ระเบยี บพธิ ี ๑. ถงึ เวลากําหนด บา ย หรือเยน็ หรอื ค่าํ ทางวดั ตรี ะฆังสญั ญาณ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อบุ าสกิ า ประชมุ ท่หี นาอุโบสถ หรอื ลาน พระเจดีย ทีเ่ ปน หลักสําคัญของวดั หรอื ท่ีปชู นียสถานทางพระพทุ ธศาสนา บางแหง. ทกุ คนถือดอกไม ธปู เทียน ชนดิ ท่มี ีไสใหญ. ๒. ถา มพี ระบรรยายใหทุกคนทราบความสําคญั ของวันน้ัน (คือ วันวสิ าขบูชาเปน ตน ทก่ี ําลังเวยี นเทยี นอยู) กอนสัก ๕ นาที ก็จะ เปนการสมควร. ๓. หัวหนาสงฆ จุดเทียน - รูป ทกุ คนจุดตาม หนั หนา เขา หา ปชู นียสถานท่ีจะเวียนเทียน กลา ว นโม. . . พุทธฺ สฺส พรอมกนั ๓ จบ. หัวหนานาํ กลาวคําถวายดอกไม ธปู เทียน บชู าพระรตั นตรัยตามแบบที่ กําหนดไวสําหรบั วนั น้นั เปน คํา ๆ เฉพาะบาลี หรอื แปลดวยก็ได ทุก คนวา ตามจนจบ. ๔. หวั หนา สงฆเดินนําแถว เรยี ง ๑ แถว หรือ ๒-๓ กไ็ ด พระ - สามเณร เดนิ หนา อุบาสก- อบุ าสิกา เดนิ หลงั เดนิ เวยี นขวา คอื ใหแ ขนขวาเขาหาปชู นยี สถานทเี่ ดินเวยี น. เวยี น ๓ รอบ. รอบท่ี ๑ ภาวนาบทสวดสรรเสริญพระพุทธคณุ วา อติ ปิ  โส ภควา อรห . . . รอบท่ี ๒ ภาวนาบทสวดสรรเสรญิ พระธรรมคุณ วา สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม, สนทฺ ิฏโิ ก. . . รอบที่ ๓ ภาวนาบทสวดสรรเสรญิ พระสังฆคุณ วา สุปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ, อชุ .ุ . .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนา ที่ 79 ครงั้ เวียนครบ ๓ รอบแลว ก็นาํ ดอกไม ธปู เทียน ปกไวในท่ี ซึ่งไดเตรียมไว. ๕. เขา โบสถ หรือวหิ าร ศาลาการเปรยี ญ ทก่ี ําหนดไว ทํา วตั รคํ่า สวดมนต แสดงธรรม ฟง ธรรม ๑ กัณฑ หรือ ๒-๓ กัณฑ หรอื หลายกัณฑต ลอดคืน ตามศรัทธาและสามารถ. เปนอันเสรจ็ พธิ ี หมวดที่ ๒ บญุ พิธี บญุ พธิ ี คือพธิ ีทําบุญ ใหเกดิ ความสขุ ความสบายใจ เกย่ี วกบั เร่อื ง ฉลองบาง เรื่องตองการสิรมิ งคลบา ง เรื่องตายบา ง โดยแยกเปน ๒ ประเภท คือ :- ๑. ทาํ บญุ งานมงคล ๒. ทาํ บุญงานอวมงคล. บุญพิธที ง้ั ๒ ประเภทนี้ นยิ มการนิมนตพ ระใหส วด เลย้ี งพระ และถวายไทยธรรม ฉะนน้ั จงึ มผี เู กย่ี วขอ งในการปฏิบตั ิ เปน ๒ ฝา ย คือ ๑. ผูทําบุญ เรียกวา \"เจาภาพ\" เปนฝายให. ๒. ผปู ระกอบ พิธกี รรม เรยี กวา \"ฝา ยภิกษุสงฆ\" เปน ฝา ยรบั จงึ ตอ งมรี ะเบียบพธิ ี ตามสมควรแกประเภทนน้ั ๆ ตอไปน้ี :- ๑. ทําบงุ านมงคล ฝายเจาภาพตอ งเตรียมการตาง ๆ ดงั น้ี ๑. อาราธนาพระสงฆ นยิ มค่ี คอื ๕-๗-๙, ถาแตงงาน นยิ มคู คอื ๘, พิธีหลวงนิยมคู คือ ๑๐ รูป เปน ตน. ๒. เตรยี มทีต่ ง้ั พระพุทธรูป พรอ มทง้ั เคร่ืองบชู า ควรใชโ ตะ หมู ๕-๗-๙ ถา หาไมไดก็ใชโตะอื่นทสี่ มควรกไ็ ด ควรปผู า ขาว หรือผาสี

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 80 ที่สะอาด ยังไมเ คยใชเ ปนดีท่ีสุด อยา เอาผาท่ีนุงหม แลวปโู ตะบชู าเปน อันขาด. ของบนโตะบชู า คอื พระพทุ ธรปู ๑ กระถางธปู ๑ เชิง เทียน ๒ แจกันดอกไมสด ๒ จะเพ่มิ อะไรที่สมควรใหมากไปกวา น้ีก็ได. จะตั้งพระพุทธรปู ควรใหอ ยูทางขวาของพระสงฆ หนั พระพกั ตรไปทิศ เดยี วกบั พระสงฆห ันหนา ไป. แตถ า ทไ่ี มอ ํานวย กจ็ ัดตามความเหมาะสม. ๓. ตกแตง สถานท่ีบรเิ วณพธิ ี ตอ งใหส ะอาดเรียบรอ ย ดูแล งามตา ชือ่ ใจ เปน สิรมิ งคล. ๔. วงดา ยสายสิญจน. สิญจน แปลวา \"รดน้ํา\" สายสญิ จน คอื สายดายดิบ จบั ใหเปน ๓ เสน แลว จับใหเ ปน ๙ เสน. การวง สายสญิ จน โยงจากฐานพระพทุ ธรูป วนขวารอบพระพุทธรูป โยงมาท่ี หมอ นํ้ามนต วนนขวาทห่ี มอ วางไวในพาน ตง้ั ใกลอาสนะพระเถระผูเปน ประธานในพธิ ี. (หามขามสายสิญจน) ๕. เชญิ พระพทุ ธรูปมาต้ังบนโตะ บูชา ควรสรงนาํ้ พระพทุ ธรปู ใหหมดฝนุ มลทนิ ท่อี าจติดอยู แลวเชญิ ขึ้นตง้ั บนโตะท่เี ตรยี มไว แลว กราบงาม ๓ ครง้ั . ๖. ปลู าดอาสนะสําหรบั พระสงฆ จะยกพื้นใหส ูงข้นึ ขนาดเกาอ้ี หรอไมยกพื้น เพียงแตป ูเสื่อ ปูผา ขาว แลวปผู านิสที นะ (ผารองนัง่ ของพระ) แลว แตความเหมาะสม. ตองใหท ี่พระน่ังสงู กวา ที่น่งั ของ คฤหัสถ ถา เสมอกัน ตองแยก อยาใหตดิ กัน. ๗. เตรียมเครื่องรับรองพระสงฆ คอื หมากพลู นาํ้ เย็น นาํ้ รอ น และกระโถน วางไวด านขวาของพระทุกรูป (พานหมากพลู กระโถน วางระหวางกลาง ๒ รูปตอ ๑ ชุดก็ได) การวาง ใหว างกระโถนขางใน

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนา ท่ี 81 สุด ถัดออกมา ภาชนะน้ําเย็น, ถดั ออกมา พานหมากพลู. นาํ้ รอนจดั ประเคนภายหลัง. ๘. ต้ังภาชนะทําน้ําพทุ ธมนต ใชหมอ น้ํามนตมฝี าครอบ (เรียก วา \"ครอบนาํ้ มนต\") หรอื บาตร หรือขนั ทองเหลอื ง (เวน ขันเงิน- ทองคาํ ) มีพานรอง นา้ํ ท่ใี ชทาํ นํ้าพทุ ธมนต นยิ มนํา้ ที่ไดมาจากดิน (ไมนิยมนํ้าฝน) ใสป ระมาณคอนภาชนะ เทยี นทาํ นา้ํ พุทธมนต ใช เทยี นขนึ้ ผง้ึ แทขนาดหนัก ๑ บาทอยา ตํา่ เตรียมตั้งไวหนาโตะ บชู า เยอ้ื ง มาใหใ กลพระสงฆองคท่ี ๑ ๙. การจดุ เทียน - รปู เมอ่ื เริม่ พิธี เจา ภาพควรจดุ เทียน - ธูป เอง. (อยาตอ ไฟจากตะเกียงหรือจากที่อ่ืน) ตั้งใจบชู าพระ. อาราธนา ศลี รับศีล อาราธนาพระปรติ ร. พระสวดถึงบทวา \"อเสวนา จ พาลาน\" เปน ตน เจาภาพจุดเทยี นที่ครอบนํ้ามนต แลว ยกครอบประ- เคนพระองคท่ี ๑. ๑๐. ขอ ปฏบิ ตั ิวนั เลี้ยงพระ ถาสวดและฉันเชา หรือฉนั เพลดว ย หากมีการตกั บาตร พอพระสวดถึงบทวา \"พาหุ\" กเ็ ร่มิ ตกั บาตร แลวยกบาตรและภัตตาหารมาตง้ั ไวใ กลพระ พอสวดจบ ก็ประเคนให พระฉันทนั ท.ี ถา สวดตอนเย็นเลี้ยงพระในวันรงุ ข้นึ . ก็ตองเตรียมเครือ่ ง รบั รองพระสงฆเ หมอื นวันสวดมนตเย็น. อาราธนาศีล รับศลี . ไมต อง อาราธนาพระปริตร. พระสวดถวายพรพระ (นโม, อติ ปิ  โส, พาห)ุ พอถงึ บท พาหุ ก็เรม่ิ ตักบาตร. . . ๑๑. สดุ ทา ย พอพระฉันเสรจ็ เจาภายถวายไทยธรรม. พระ สงฆอ นุโมทนา เริม่ คําวา ยถา . . . เจา ภาพกรวดน้าํ . พอพระวาพรอ ม

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั สิ งั เขป - หนา ท่ี 82 กันวา สพฺพีติโย. . . เจาภาพกรวดน้ําใหห มด ประนมมอื รบั พรจน พระสวดจบ แลว กราบ ๓ ครงั้ สง พระกลบั . อน่ึง ในพธิ ีทาํ บญุ เลีย้ งพระ นิยมถวายขา วพระพทุ ธ คอื จัด ภัตตาหารทกุ อยา ง เหมอื นที่ถวายพระสงฆ แตใ ชภ าชนะเลก็ กวา วาง บนโตะ หรอื บนผา ขาวสะอาด หนาโตะ บูชา จุดธูป ๓ ดอกปก ใน กระถางธูปหนา พระ น่งั คุกเขา ประนมมือวา นโม. . .๓ จบ แลววา อิม สปู พยฺ ชฺ นสมฺปนนฺ  สาสนี  (ถา ไมข าวสาลี กต็ ดั บทวา สาลีน ออกได) โอทน อทุ ก วร พุทฺธสสฺ ปูเชม.ิ เมอื่ พระสงฆฉนั เสร็จ เจา ภาพกราบพระพทุ ธ ๓ คร้งั ประนมมือ กลาวคําลาขาวพระวา เสส มงฺคล ยาจามิ. กราบแลวยกภาชนะขาว พระพทุ ธออกไป. (จะใหผ อู ่ืนลาขาวพระกไ็ ด) ฝา ยพระสงฆ พระสงฆควรปฏิบตั กิ ารตอไปน้ี :- ๑. ควรเตรยี มตัวไวใหพรอ มกอนถงึ เวลา พอมคี นมารบั ก็ไปได ทันท.ี ควรไปตามกาํ หนด อยา ใหกอ นมากนกั อยา ใหก ระชัน้ นกั ตอง มกี าลัญตุ า ๒. ตองนุง หม เรยี บรอ ยเปน สมณสารปู . ในถิน่ ทน่ี ิยมใชพ ดั ควร นําไปทกุ รูป และควรใชพ กั งานมงคล (หามใชพ ัดงานศพ ในงานมงคล) ถา ขดั ของก็ใชพ ัดเฉพาะหวั หนา องคเ ดียวกไ็ ด. พดั นํ้าใชในเวลา ๑. ให ศีล ๒. ขัดตาํ นาน ๓. อนุโมทนา ๔. ชกั ผา บงั สุกลุ . ๓. ขณะขึน้ นง่ั บนอาสนะ อยา เหยียบผาขาวทีป่ ูไว ควรคกุ เขา เดนิ เขาไปยังทนี่ ัง่ , ยามตองถือดวยมอื ซา ยรวมกับพัด (อยาเอายามคลอง

แบบประกอบนักธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 83 แขน ตั้งแตเ ขาบาน จนออกไป) วางพัดดา นขวามอื . ๔. พอเจา ภาพอาราธนาศลี ผหู วั หนา คลี่สายสญิ จนสง ตอไปปลาย แถว, พออาราธนาถงึ วาระที่ ๓ วา ตติยมปฺ . . . ผูหวั หนาตั้งพัดดว ย มือขวา ถัดใบพัดลงมา ๔-๕ น้วิ หวั แมมือทาบตรงขน้ึ ตามดามพัด สายสิญจนพาดบนนิว้ ชี้ พอจบคําอาราธนา กต็ ง้ั นโม. . .ใหส รณะ และศีล. ไมต องวา \"ตสิ รณคมน นฏิ ติ \" ๕. พอเจา ภาพอาราธนาพระปรติ รถึงครงั้ ที่ ๓ พระผทู ีข่ ดั ตํานาน (รปู ท่ี ๓) ตง้ั พดั เตรียมขดั พออาราธนาจบ กเ็ ริ่มขดั สมนตฺ า. . . ทนั ที. พอขัดจบ ทกุ รปู ยกสายสิญจนประนมมือ ใหสายสิญจนอ ยรู ะหวา ง งา มแมมือ. หัวหนานําสวด ต้ังแต นโม. . . พอสวดถงึ บทวา เย สุปปฺ ยตุ ฺตา. . . ปลดเทยี นนํา้ มนต หยดเทยี นลงในน้ํา พอถงึ บทวา นพิ พฺ นตฺ ิ ธรี า ยถา ยมปฺ ทโี ป กจ็ มุ เทยี นลงในนํ้ามนตและยกขน้ึ (นิพฺ จมุ ลง. . .ปทโี ป ยกขนึ้ ) ๖. การพรมนํา้ พระพุทธมนต นยิ มใชห ญาคามดั เปนกํา, หรือ กานมะยม ๗ กาน มดั ติดกนั . พรมแกบ ุคคลผูเปนเจาภาพที่ตองการให พรม หรอื พรมแกสถานที่ ซ่งึ เจาภาพตองการ. (พระสงฆส วดบทวา ชยนโฺ ต. . . ในขณะพรม.) ถา เดนิ พรมแกบุคคลหรอื สถานท่ี ควรถอื พดั ไปดวย. ๒. ทําบุญงานอวมงคล การทาํ บญุ งานอวมงคล หมายถงึ การทําบุญเกย่ี วกับเร่อื งการตาย มี ๒ อยา ง คือ:-

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนา ท่ี 84 ๑. งานทาํ บุญหนาศพ ที่เรยี กวา \"ทําบญุ ๗ วัน\" . . . ๕๐ วนั . . . ๑๐ วนั หรอื ทําบุญหนา วันปลงศพ. ๒. งานทําบญุ อัฐิ ที่ปรารภบรรพบรุ ษุ หรอื ผใู ดผูห นึง่ ที่ลว งลับ ไปแลว เปน งานประจําป เชนวันสงกรานต (เดอื น ๕), วันสารท (เดือน ๑๐) หรอื วันคลา ยกบั วนั ตายของผนู ัน้ ๆ. ๑. งานทาํ บญุ หนาศพ พธิ ฝี า ยเจาภาพ ตอ งเตรียมการตา ง ๆ สว นใหญคลายกบั งาน ทาํ บญุ มงคล แตม ีขอแตกตาง คอื :- ๑. อาราธนาพระสงฆส วดพระพทุ ธมนต นยิ มคู คอื ๘ รูป ๑๐ รูป เปนตน แลว แตก รณ.ี ใชคําอาราธนาวา \"ขออาราธนาสวด พระพุทธมนต\" (งานมงคลใชคาํ วา \"ขออาราธนาเจริญพระพุทธมนต\" ) ๒. ไมต ้งั ภาชนะน้ําพุทธมนต ไมวงสายสญิ จน คอื ไมตอ งทาํ นาํ้ พระพทุ ธมนต. ๓. เตรยี มสายโยงหรือภูษาโยงตอจากศพไว สายโยง คอื ดาย สายสิญจนน ัน่ เอง. ภูษาโยงคือแผน ผา กวางประมาณ ๔ น้ิว ยาวใหพอ ตงั้ แตพ ระองคืตนแถว ถงึ องคป ลายแถว และตอ งมีสายโยงจากศพมา เชอ่ื มกับภษู าโยงอีก, ระวังการเดินสายโยง อยา ใหส กู วา พระพุทธรปู ใน พธิ ี และอยา งใหต า่ํ กวาท่ีคนน่ัง อยา ขามสายโยงหรือภษู าโยง เพราะตอ เนอ่ื งดวยศพ สาํ หรับพระจับบงั สกุ ุล. การปฏบิ ัติกิจในพิธี เมอื่ พระสงฆป ระจาํ ท่พี รอมแลว เจาภาพ จดุ ธูปเทียนทบี่ ูชาพระพุทธรปู กอน จดุ ธูปเทียนทีห่ นา ศพภายหลงั . (แต

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนาท่ี 85 บางทานวา จุดท่ีหนาศพกอ น จดุ ท่ีหนาพระทหี ลงั ถามกี ารเล้ยี งพระดว ย พอพระฉนั เสรจ็ เจา ภาพถวายไทยธรรมแลว คลี่สายโยง ถามีผาสบง จีวร เปนตน กท็ อดลงบนสายโยง แลวนัง่ ประจาํ ที่ พอพระซกั บงั สกุ ุล กป็ ระนมมอื ไหว. เมือ่ พระสงฆอนโุ มทนา ก็กรวดนํ้าอุทศิ สว นกุศลใหผูตายตอไป. พธิ ีฝายพระสงฆ เตรยี มตวั และปฏบิ ตั กิ ารสว นใหญก ็เหมือนงาน ทําบุญมงคล แตม ขี อ แตกตาง คอื :- ๑. ใชพ ดั ที่เกีย่ วกับงานศพ. (ถาไมมี (จะใชพ ดั งานอน่ื กไ็ ด). ๒. ทําบญุ งานศพ ๗ วนั สวดอนัตตลกั ขณสตู ร. ๕๐ วัน สวด อาทิตตปรยิ ายสูต. ๑๐๐ วนั สวดธรรมนยิ ามสูตร. นอกจาก ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน สวดสตู รใดก็ได (เวน เจ็ดตํานาน, สนิ สองตาํ นาน, ธรรมจกั ร, มหาสมัย). ๓. ไมต องขัด สมนฺตา. . . สคฺเค. . . มีลําดบั สวดคือ :- นโม. . . พุทธฺ . . .ยถาป เสลา. . . (องคท ี่ ๓ ขดั ตัง้ พดั ขัดบทขดั ของสูตร ที่ตองการ) ทุกรูปสวดพระสตู รท่ีตอ งการ จบพระสูตรแลว ตอ ดว ย อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา. . .ยทา หเว. . . อตตี  นานวฺ าคเมยฺย. . . ถาสวดธรรมนยิ ามสูตร จบแลว ตอดวย สพฺเพ สงขฺ ารา. . . แลว ตอ ดวย อวชิ ชฺ า. . . ๔. ถางานวันเดียว มเี ทศนดวย เลี้ยงพระดว ย สวด อตตี  นานวฺ า- คเมยยฺ . . .จบแลว เทศน เทศนจบแลว สวดถวายพรพระ (อติ ปิ  โส. . .พาห.ุ . . ชยนโฺ ต. . .) ภวตุ สพฺพมงคฺ ล. . . ๕. ถา เพียงแตสวดมนต บังสกุ ุล รบั ไทยธรรมแลว อนโุ มทนา

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวตั ิสงั เขป - หนาที่ 86 ดว ยบท อทาสิ เม. . . ๖. การชกั บังสกุ ลุ ตอ งจกั พัดมือซา ย, จับสายโยงมือขวา สอด สี่นิ้วใตสาย หวั แมม อื จบั บนสาย, ถามีผา ทอดบนสายโยง ก็จับผาโดย วิธเี ดยี วกนั . ลัน่ วาจาวา อนจิ จฺ วต สงฺขารา. . . ๒. งานทําบญุ อฐั ิ พิธีฝายเจา ภาพ พงึ เตรียมงานสว นใหญคลายกบั งานทําบุญหนาศพ. เพยี งแตตงั้ โกศอัฐิ หรือรปู หรือชอื่ ของผูตายบนโตะ ตา งหากจากโตะ บูชาพระ จดั ดอกไมป ระดับ ต้งั กระถางธปู เชิงเทียน ๑ คู หรอื ใช กระบะเครื่องหา แทนกระถางธปู เชิงเทียนก็ได. พธิ ีฝายพระสงฆ สว นใหญก ็เชน เดียวกับงานทําบญุ หนา ศพ. เพียง แตบทสวด นิยมสวด ธรรมนยิ ามสตู ร สติปฏฐานปาฐะ เปนตน . หมวดท่ี ๓ ทานพธิ ี ทานพธิ ี คอื พิธถี วายทานตา ง ๆ วตั ถุทีค่ วรถวาย มี ๑๐ อยา ง ๑. ภัตตาหาร ๒. นาํ้ ๓. เคร่ืองนุง หม ๔. ยานพาหนะ ๕. มาลัย และดอกไมบชู าพระ ๖. ของหอมคอื ดอกไมบ ชู าพระ ๗. สบชู ําระกาย ๘. ที่นอนหนอนมุง ๙. กุฏิ เตยี ง ตู โตะ เกา อี้ ๑๐. ตะเกียง นา้ํ มนั ตะเกียง ไฟฟา ไฟฉาย เปนตน. แมข องอื่น ๆ ทสี่ งเคราะหเ ขา ในปจจัย ๔ คอื เครื่องนุงหม อาหาร ทอ่ี ยู ยา ได และสงิ่ ทจ่ี าํ เปน ตอ งใช อันสมควรแกพ ระภกิ ษสุ ามเณร ก็ จดั เปนทานวัตถทุ ง้ั ส้นิ .

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 87 การถวายทานมี ๒ อยาง คอื :- ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน ถวายเจาะจงพระ - เณร องคน้นั องคน ี้. สงั ฆทาน ถวายแกสงฆท่วั ไป ไมเ จาะจงองคใ ด ๆ. เวลาถวายทาน มี ๒ เวลา คอื :- กาลทาน ถวายจาํ กัดเวลา เชน ผากฐนิ กายใน ๑ เดอื นทาย ฤดฝู น. อาหาร เชาถึงเท่ยี ง. วิกาลทาน ถวายไมจ าํ กดั เวลา เชน อติเรกจวี ร, ยา, ทีน่ อน ทน่ี ่งั เปนตน . ระเบยี บพธิ ี ระเบียบพธิ ีทีต่ อ งศึกษาน้ี มงุ ถึงพิธถี วายแกส งฆ ท่ีเรยี กวา \"สังฆทาน\" ซึง่ มีระเบียบพิธี คือ :- ๑. ต้ังเจตนาใหแนว แน คือ นงุ ถวายสงฆจ ริง ไมเ หน็ แกหนา ผรู ับ จะเปนพระแก พระหนมุ หรอื สามเณร ก็ไดท ้งั นน้ั แตตองใหส งฆ สงมา ไมใ ชท ายกเลอื กเอาเอง. ๒. เตรยี มทานวตั ถุ คอื จะถวายสง่ิ ของชนดิ ใด เวลาใด แกสงฆ กีร่ ปู ก็เตรยี มใหพ รอม ถาเปน ของหนกั หรือเคล่ือนทีไ่ มได ก็เตรยี ม ใหเ หมาะกบั การทีจ่ ะถวายของนน้ั ๆ ได. ๓. เผดยี งสงฆ คอื แจง ความประสงคจะถวายสังฆทานนั้น ๆ ให สงฆท ราบ ระบจุ ํานวนภิกษุสงฆเ ทาทตี่ องการ ระบเุ วลา - สถานท่ี ทาํ พธิ ีใหชัดเจน. ๔. ครนั้ พรอ มทั้งฝายเจา ภาพและฝา ยสงฆแลว พึงปฏิบตั ิการ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวตั ิสงั เขป - หนาท่ี 88 พิธีดงั ตอ ไปนี้ :- ก. เจา ภาพจุดธปู เทียนบูชาพระรตั นตรยั . ข. เจา ภาพอาราธนาศลี รับศลี . ค. เจา ภาพต้ัง นโม ๓ จบ, กลา วคําถวายสังฆทาน ตาม แบบอันสมควรแกว ัตถุทานน้ัน ๆ. ๕. พระสงฆทไี่ ดรับอาราธนา ประนมมอื รบั วา สาธุ ในขณะ เจา ภาพกลาวคาํ ถวายจบ. เม่ือเจาภาพประเคนทานวัตถแุ ลว (เปน ของ หนักยกไมไ ด หรอื ของเคล่ือนทไี่ มไ ด กร็ ับน้ําท่ีเจา ภาพหล่ังถวายในมอื หรือใชส ายสิญจนโยงจากของน้ัน ๆ ถวายแลว) ก็อนุโมทนา ยถา สพพฺ ตี ิโย. . . ใชค าถาอนุโมทนาตามควรแกทานนนั้ ๆ ภวตุ สพฺพ- มงคฺ ล. . . เจาภาพกรวดนํ้า. เปนเสรจ็ พิธ.ี คาํ ถวายสังฆทาน (ประเภท สามัญ ถวายเพอ่ื ตนเอง) อมิ านิ มย ภนเฺ ต, ภตตฺ านิ สปรวิ าราน,ิ ภิกขฺ ุสงฆฺ สฺส โอโณ- ชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภกิ ฺขสุ งฺโฆ, อมิ านิ ภตตฺ านิ สปริวารานิ, ปฏิคคฺ ณฺหาต,ุ อมหฺ าก ทฆี รตฺต หติ าย สขุ าย. ขา แตพระสงฆผเู จริญ, ขาพเจาทง้ั หลาย ขอนอ มถวายภัตตาหาร กบั ทั้งบริวารท้ังหลายเหลา นี้ แกพระภิกษสุ งฆ, ขอพระภิกษสุ งฆจงรับ ภัตตาหาร กบั ทั้งบรวิ ารทง้ั หลายเหลาน้ี ของขาพเจาทง้ั หลาย เพ่ือ ประโยชนเกอ้ื กูล เพอื่ ความสขุ แกขา พเจาทั้งหลาย สน้ิ กาลนาน เทอญ.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนาที่ 89 (ประเภท มตกภัต อุทศิ ผตู าย) อมิ านิ มย ภนฺเต มตกภตฺตานิ สปรวิ ารานิ ภิกขฺ ุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนเฺ ต ภิกฺขุสงโฺ ฆ, อิมานิ มตกภตตฺ านิ ปรวิ ารานิ ปฏคิ คฺ ณหฺ าตุ, อมหฺ ากเฺ จว มาตาปตอุ าทนี จฺ าต- กาน กาลกตาน, ทฆี รตฺต, หติ าย สุขาย. ขา แตพ ระสงฆผ เู จรญิ ขา พเจา ท้ังหลาย ขอนอ มถวายมตกภตั ตาหาร กบั ท้ังบรวิ ารทงั้ หลายเหลาน้ี แกพ ระภกิ ษุสงฆ, ขอพระภิกษุสงฆจงรับ มตกภัตตาหาร กับทงั้ บรวิ ารทั้งหลายเหลา นี้ ของขา พเจาทั้งหลาย เพ่อื ประโยชนเกอื้ กูล เพือ่ ความสขุ แกข าพเจาทัง้ หลายดวย แกญ าติของ ขา พเจา ท้ังหลาย มีมารดาบดิ าเปนตน ผทู ํากาละลว งลับไปแลวดวย ส้นิ กาลนาน เทอญ. (คําถวายของตาง ๆ มีคําทเ่ี ปลย่ี นจากคําวา ภตฺตานิ ตอไปนี)้ สลากภตั . . . ภตตฺ านิ สปรวิ ารานิ อสกุ ฏ าเน ปต านิ . . . ขาวสาร . . . ตณฺฑลุ านิ สปริวาราน.ิ . . เสนาสนะ กฏุ ิ วหิ าร . . . เสนาสนานิ อาคตานาคตสฺส จาตทุ ฺทิสสฺส. . . ศาลาโรงธรรม . . . อิม สาล ธมมฺ สภาย อุททฺ ิสสฺ จาตุทฺทสิ สสฺ . . . ศาลโรงธรรม . . . อมิ  สาล ธมมฺ สภาย อุทฺทสิ สฺ จาตุทฺทสิ สฺส. . . ผา วัสสกิ สาฏก (ผาอาบนํ้าฝน) . . . วสฺสกิ สาฏกิ านิ สปรวิ ารานิ. . . ผา จาํ นาํ พรรษา . . . วสสฺ าวาสิกจีวรานิ . . . ผา อัจเจกจวี ร . . . อจเฺ จกจวี รานิ . . . ผา ปา . . . ปส ุกลู จวี ราน.ิ . .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนาท่ี 90 ผากฐิน (แบบท่ี ๑) อิม สปริวาร กนิ จีวรทสุ ฺส, สงฆฺ สฺส โอโณชยาม. (วา ๓ จบ) ผา กฐิน (แบบท่ี ๒) อมิ  ภนฺเต สปริวาร กินทสุ ฺส สงฺฆสสฺ โอโณชยาม, สาธุ โน ภนเฺ ต, สงฺโฆ อมิ  สปริวาร กินทุสฺส ปฏคิ คฺ ณหฺ าตุ, ปฏคิ คฺ เหตฺวา จ อิมินา ทสุ เฺ สน กนิ  อตถฺ รต,ุ อมหฺ าก ทหี รตฺต หติ าย สขุ าย. ธปู เทียน ดอกไม เพือ่ บูชา อิมานิ มย ภนฺเต, ทปี ธูปปุปผฺ - วรานิ รตนตตฺ ยสเฺ สว ปเู ชม. อมฺหาก รตนตฺตยสสฺ ปชู า ทีฆรตตฺ  หติ สขุ าวหา โหตุ อาสวกฺขยปฺปตฺตยิ า. กระทงสําหรับลอยประทปี มย อิมนิ า ปทีเปน อสกุ าย นมฺมทาย นทยิ า ปลุ ิเน ติ  มุนโิ น ปาทวลชฺ  อภปิ ูเชม อย ปทเี ปน มนุ ิโน ปาทวลชฺ สฺส ปชู า อมหฺ าก ทีฆรตฺต หติ าย สุขาย สําวตฺต.ุ ธงเพอ่ื บูชา มย อิมนิ า ธชปฏาเกน รตนตตฺ ย อภปิ ูเชม, อย ธชปฏาเกน รตนตฺตยปชู า อมหฺ าก ทีฆรตตฺ  หิตาย สุขาย สาํ วตตฺ ตุ. ธงเพือ่ บูชา มย อมิ นิ า ธชปฏิาเกน รตนตฺตยั อภปิ เู ชม, อย ธชปฏาเกน รตนตฺตยปูชา อมหฺ าก ทฆี รตฺต หติ าย สขุ าย สวตตฺ .ุ เวจกฎู ี มย ภนเฺ ต อมิ  วจฺจกฏุ ี อาคตานาคตสฺส จาตทุ ฺทสิ สฺส ภิกฺขสุ งฆฺ สฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขสุ งฺโฆ อิม วจจฺ กุฏี ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ อมหฺ าก ทฆี รตตฺ  หติ าย สขุ าย. สะพาน มย ภนเฺ ต อมิ  เสตุ มหาชนาน สาธารณตฺถาย นิยฺยาเทม, สาธุ โน ภนฺเต, สงโฺ ฆ อมิ สฺมึ เสตมุ หฺ ิ นิยฺยาทิเต

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัตสิ งั เขป - หนาที่ 91 สกฺขิโก โหต,ุ อิท เสตุทาน อมฺหาก ทฆี รตฺต หติ าย สขุ าย สวตตฺ ต.ุ เภสัชทานมนี ้ําผ้งึ เปนตน สรโท นามาย ภนเฺ ต กาโล สมปฺ ตฺโต, ยตฺถ ตถาคโต อรห สมฺมาสมฺพทุ โฺ ธ สารทกิ าพาเธน อาพาธิกาน ภกิ ขฺ ูน ปจฺ เภสชฺชานิ อนุฺ าสิ, สปฺป นวนีต เตล มธุ ผาณิต, มยนฺทานิ ตกกฺ าลสทิส สมปฺ ตตฺ า, ตสฺส ภควโต ปฺตฺตานุค ทาน ทาตุกามา, เตสุ ปรยิ าปนฺน, มธุฺจ เตลฺจ ผาณติ จฺ ภิกฺขนู ฺเจว สามเณรานฺจ โอโณชยาม, สาธุ โน ภนเฺ ต, อยฺยา ยถาวภิ ตฺตา มธทุ านฺจ เตลจฺ ผาณิตฺจ ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ อมฺหาก ทฆี รตตฺ  หติ าย สขุ าย. หมวดท่ี ๔ ปกณิ ณกะ หมวดนี้วา ดว ยเร่อื งเบด็ เตลด็ เก่ียวกบั วิธีปฏบิ ตั ิบางประการ ใน การประกอบพิธตี า ง ๆ ในหมวดตน ๆ เพ่ิมเตมิ อกี ๕ เร่อื ง คือ :- ๑. วธิ แี สดงความเคารพพระ พระท่คี วรเคารพในศาสนพิธนี ี้ มี ๒ อยา ง คือ :- ๑. พระพทุ ธรูป หมายถงึ ปชู นียวัตถทุ ่เี ปน เครอ่ื งระลกึ ถงึ พระ พุทธเจาทกุ อยา ง เชนพระเจดีย. ๒. พระภกิ ษุ หมายถงึ พระภิกษุ และสามเณร ในพระพุทธ- ศาสนา ซ่ึงทรงเพศสูงกวาตน. การแสดงความเคารพระดับกลาวน้ี มี ๓ วธิ ี คอื :-

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวัติสงั เขป - หนาที่ 92 ๑. ประนมมอื ในบาลีเรียกวา \"ทําอญั ชล\"ี คือประกบฝามือ ใหนวิ้ แนบชิดตดิ ตรงกนั ประคองไวตรงระหวางอก ปลายนวิ้ เชิดขึน้ ศอกแนบชดิ ชายโครง. ในเวลาสวดมนต ฟงสวด ฟงเทศน รบั ศีล และเวลาพูดกบั พระผูใ หญ เปน ตน . ๒. ไหว ในบาลเี รยี กวา \"นมสั การ\" คอื ยกมือประนม กม ศีรษาลงเล็กนอ ย หัวแมม ือจดระหวางค้วิ น้วิ ช้จี ดสวนบนหนา ผาก. ใน เวลาพระน่งั เกาอ้ี หรือยนื เดินอยใู นทอี่ นั ไมค วรกราบ. ๓. กราบ ในบาลีเรยี กวา \"อภวิ าท\" คอื กราบลงดว ยองค ๕ เรยี กวา \"เบญจางคประดิษฐ\" องค ๕ คอื หนาผาก ๑ ฝา ยมือตลอด ถงึ ขอ ศอก ๒ เขา ๒ จดพนื้ . การกราบ ผูชายนงั่ \"ทาพรหม\" คือคุกเขา ฝา เทายันพ้ืนกับ กน , ผูหญงิ นัง่ \"ทานเทพธดิ า\" คอื คุกเขา ฝาเทา เหยยี ดดอกไปรองกน. กราบในเวลาทาํ วตั ร และเวลาแสดงคารวะอยางสงู . ๒. วิธปี ระเคนของพระ การประเคนของพระ คือการถวายของใหถึงมอื พระ. ถา ผูหญงิ ประเคน ตองวางบนผา หรอื ภาชนะ เชนบาตร เปน ตน ทพ่ี ระถืออยู. ของท่ีประเคน ตองไมเ ปน วตั ถุอนามาส หรือของทพี่ ระไมค วร จับ เชน เงิน ทองคาํ และไมเปน ของที่หนกั ถึงกบั ตอ งหาม. แม อาหารทุกชนิด ถา เลยเทยี่ งแลว กไ็ มต องประเคน. ผูป ระเคน พงึ เขา ใกลพ ระประมาณ ๑ ศอก ไมเกินศอกคบื จะนงั่ หรอื ยืน แลว แตสถานที่. จับของสองมอื (บางอยา งตอ งจบั มือเดียว เชน ชอนตักของใสบาตร) ยกข้นึ นอมถวาย เสรจ็ แลวไหวหรือกราบ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พทุ ธประวตั ิสงั เขป - หนาท่ี 93 แลว แตกรณ.ี มารยาทของผปู ระเคน ตอ งแสดงออกดวยความเคารพ ไมใ ช เสือกไสให ทงิ้ ให โดยไมเ คารพ, ไมควรสบู บุหรี่ ปากคาบ หรอื น้ิว หนบี ุหร่ีขณะประเคน. คนทมี่ นื มา กไ็ มควรเขาประเคน. ๓. วธิ ที ําหนังสืออาราธนา และทําใบปวารณาถวายจตุปจจยั การนมิ นต หรอื อาราธนา (ก็คอื การเชิญ) พระ ไปประกอบ พธิ ี ตอ งระบุจํานวนพระ ระบุงาน ระบสุ ถานท่ี ระบวุ นั เดอื น พ.ศ. เวลา ระบุการไป - กลับ. ตัวอยา งดังตอไปนี้ ขออาราธนาพระคุณเจา (พรอ มดวยสงฆรวมทั้งหมด . . .รปู ) เจริญพระพทุ ธมนตในงานทาํ บญุ วนั เกดิ ของ . . . . ท่บี านเลขที่ . . . . หมทู ี่ . . . . ตาํ บล . . . . อําเภอ . . . . ณ วนั ที่ . . . . เดอื น . . . . พ.ศ. . . . . . เวลา . . . . มีผูร บั - สง . (ถาไมม ี ก็บอกวา \"ไมม ผี รู ับ - สง\") ถา มกี ารเลยี้ งเชา หรือเพลดวย หรือตองการบาตร - ปน โตดวย กบ็ อกไวใ นหนังสอื อาราธนา. (ใบปวารณาถวายจตุปจ จัย) ขอถวายจตุปจ จยั อันควรแกสมณบริโภค แดพ ระคณุ เจา เปน มลู คา . . . . บาท . . . .สตางค หากพระคุณเจาประสงคส่ิงใด อันควรแก สมณบรโิ ภคแลว ขอไดโปรดเรยี กรอ งจากกัปปยการกผปู ฏบิ ตั ขิ องพระ คุณเจา เทอญ. ใบปวารณานถ้ี วายรวมกบั ไทยธรรมในงานมงคล. ถางานอวมงคล มผี า ทอดบังสกุ ลุ กก็ ลัดตดิ กับผาทีท่ อด. สว นเงนิ คา จตุปจ จัยมอบใหไ ป

แบบประกอบนักธรรมตรี - พุทธประวัติสงั เขป - หนา ท่ี 94 กับศษิ ยพ ระ. อยา รวมในซองปวารณา. ๔. วิธีอาราธนาศีล - อาราธนาพระปรติ ร การอาราธนาศลี นิยมในพิธี ตอไปนี้ ๑ ในพธิ ีถวายทาน ๒. ใน พิธีสวดมนต ๓. ในพธิ เี ล้ยี งพระ ๔. ในพธิ ีเทศน (ถา เทศนตอจาก สวดมนต ตอนสวดมนตไมตอ งอาราธนาศีล) ๕. ในพิธีแสดงพทุ ธ- มามกะ. ผูอาราธนาศลี ถา พระสงฆนั่งบนอาสนะยกสูง เจาภาพและแขก นงั่ เกา อี้ ตอ งยืนไหวพระพทุ ธ แลว ไหวพ ระสงฆ แลวอาราธนาศลี . ถา พระสงฆนง่ั อาสนะตํ่า ตองนัง่ กราบพระพุทธ ๓ คร้ัง แลว หันหนา ไปทาง พระสงฆองคป ระธาน ประนมมือตั้งตัวเอง อาราธนาศลี . การอาราธนาพระปริตร นิยมในพธิ ีสวดพระพุทธมนต ตอ จาก รับศีลสว นมาก. ถา สวดมนตก อนเทศน กอ็ าราธนาพระปรติ รกอ น, สวดจบ กอ็ าราธนาศีล. รบั ศีลจบ ก็อาราธนาธรรม. คาํ อาราธนาศลี ๕ (ดูในพิธแี สดงตนเปน พุทธมามกะ หนา ๗๑) คาํ อาราธนาพระปรติ ร วปิ ตฺตปิ ฏพิ าหาย สพพฺ สมฺปตฺตสิ ทิ ฺธยิ า, สพฺพทกุ ขฺ วินาสาย ปรติ ฺต พฺรถู มงคฺ ล. วิปตฺตปิ ฏิพาหาย สพฺพสมฺปตตฺ สิ ิทฺธยิ า, สพพฺ ภยวินาสาย ปริตตฺ  พฺรูถ มงคฺ ล. วิปตฺตปิ ฏพิ าหาย สพพฺ สมฺปตฺตสิ ิทฺธิยา, สพพฺ โรควนิ าสาย ปรติ ตฺ  พฺรถู มงคฺ ล.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - พุทธประวัตสิ งั เขป - หนาท่ี 95 คาํ อาราธนาธรรม (ดใู นพธิ รี ักษาอุโบสถ หนา ๗๕) ๕. วิธีกรวดน้าํ ๑. เตรยี มภาชนะท่สี ะอาด เชน คนที ขวดเล็ก แกว นา้ํ ใสน ้ํา ท่ีสะอาด, มีภาชนะรับนาํ้ เวลากรวดดวย. พอพระเรมิ่ วา ยถา . . . ก็ เริ่มกรวด ตง้ั ใจอุทศิ สว นบุญ คอย ๆ รนิ นาํ้ ลงในภาชนะใบที่สําหรับรับ (อยา ใชนิว้ รับน้าํ ) ถาจะกรวดลงทดี่ นิ ก็เลือกดินทสี่ ะอาด. นํ้าท่ีกรวดใน ภาชนะรอง กต็ อ งเอาเทลงทพ่ี ้ืนดินสะอาด. พอพระวา สพพฺ ตี โิ ย. . . กร็ ินนํา้ กรวดใหหมด แลว ประนมมือ ต้ังใจรบั พร. คาํ กรวดนาํ้ แบบสน้ั ๑. อิท เม าตีน โหตุ. ขอใหผ ลบุญนี้ จงมแี กญาตขิ อง ขา พเจา . (วา ๓ จบ) ๒. อิท เม าตนี  โหต,ุ สขุ ิตา โหนตฺ ุ าตโย. ขอใหผ ลบุญน้ี จงมแี กญาตขิ องขาพเจ, ขอใหพวกญาติ จงมี ความสขุ เถิด. ๓. สพเฺ พ สตฺตา สทา โหนตฺ อเวรา สุขชวี โิ น ขอปวงสตั วทัง้ หลาย จงเปน ผไู มมีเวรตอกัน, จงเปนผูดํารงชพี อยู เปน สขุ ทกุ เม่ือเถดิ . กต ปุ ฺ ผล มยหฺ  สพเฺ พ ภาคี ภวนตฺ ุ เต. ขอสัตวท ั้งสนิ้ นน้ั , จงเปน ผมู สี วนไดเ สวยผลบญุ , อันขาพเจา บาํ เพ็ญแลวน้นั เถดิ . พระศรีวิสทุ ธิญาณ วดั บวรนเิ วศวิหาร รวบรวม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook