Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องเรือง เรื่องโรย

เรื่องเรือง เรื่องโรย

Description: เรื่องเรือง เรื่องโรย

Search

Read the Text Version

ชยสาโร ภกิ ขุ



ชยสาโร ภกิ ขุ พมิ พ์แจกเป็นธรรมบรรณาการดว้ ยศรัทธาของญาตโิ ยม หากทา่ นไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากหนงั สือน้แี ล้ว โปรดมอบใหก้ ับผอู้ ืน่ ทีจ่ ะไดใ้ ช้ จะเปน็ บญุ เป็นกศุ ลอย่างยง่ิ

เรื่องเรือง เรอ่ื งโรย ชยสาโร ภกิ ขุ ธรรมเทศนาแสดง ณ มูลนธิ ิมายาโคตมี วันที่ ๒๒ มถิ ุนายน ๒๕๕๖ พิมพ​์แจกเ​ปน็ ธ​ รรม​ทาน ส​ งวนลิขสิทธิ์ ห้ามคดั ลอก ตดั ตอน หรอื นำ�ไปพมิ พ์จำ�หน่าย หากทา่ นใดประสงคจ์ ะพมิ พ์แจกเปน็ ธรรมทาน โปรดตดิ ต่อ มลู นิธิปญั ญาประทีป หรือ โรงเรียนทอสี ๑​ ๐๒๓/๔๗ ซอยปรีดพี นมยงค์ ๔๑ สุขมุ วทิ ๗๑ เขตวฒั นา กทม. ๑๐๑๑๐ โทรศพั ท์ ๐-๒๗๑๓-๓๖๗๔ www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org พ​​ ิมพ์ค​ ร้ังท​ ี​่ ​๑ ​ ธนั วาคม ๒๕๕๖ จำ�นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม ถอดไฟล์เสียง กีรติ นาคประสทิ ธิ์ ตรวจทานต้นฉบบั ศรีวรา อิสสระ ภาพปก นิรนาม ศลิ ปกรรม ปรญิ ญา ปฐวินทรานนท์ ​จัด​ท�ำ ​โดย​ มูลนิธปิ ัญญาประทปี ด​ ำ�เนินการพิมพ์ บริษทั ควิ พรน้ิ ท์ แมเนจเม้นท์ จ�ำ กัด โทรศพั ท์ ๐-๒๘๐๐-๒๒๙๒

อาตมาขอเปรียบเทียบศาสนาพุทธกับศาสนาอ่ืน  โดยถือ หลักว่าศาสนาทเ่ี กดิ ข้ึนในตะวันออกกลาง เช่น ศาสนายวิ ศาสนา ครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม ซงึ่ ศาสนาเหล่านัน้ ถงึ แม้วา่ ไมค่ ่อยจะถูกกัน บางทีก็ยังรบราฆ่าฟันกัน  แต่โดยสรุปแล้วถือได้ว่าเป็นศาสนา ตระกูลเดยี วกนั ซ่ึงเราอาจจะเรยี กได้ว่าเป็น Belief System หรอื เป็นระบบความเช่ือผู้ท่ีนับถือศาสนาเหล่านั้นจะมองศาสนาว่า เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  จุดเด่นของศาสนาเหล่านั้นอยู่ท่ี ศรทั ธา เนน้ ทศ่ี รทั ธา เมื่อมีการเน้นทีศ่ รัทธา สง่ิ ท่ีเปน็ ศัตรูทที่ ุกคน กลวั ไมอ่ ยากให้มเี ลย ก็คือความสงสัย ท�ำให้ต้องคอยระแวงและ รังเกยี จสิ่งหรอื บุคคลท่ีชวนสงสัยในค�ำสอนทีต่ นนบั ถอื

ส่วนศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนละตระกูล  คนละประเภท คนละพนั ธ์ุ ศาสนาพทุ ธเปน็ Education system หรอื ระบบการ ศึกษาเป็นระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดท่ีเคยปรากฏอยู่ ในโลก และคณุ ธรรมหลกั ของศาสนาทอี่ ยใู่ นตระกลู นค้ี อื ปญั ญาใน ศาสนาพทุ ธเราไมร่ งั เกยี จความสงสยั แตถ่ อื วา่ เปน็ บทเรยี น เราฝกึ ใหร้ เู้ ทา่ ทนั ความสงสยั ดว้ ยปญั ญา เม่ือพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีเน้นทางปัญญา  ไม่เน้นทาง ศรัทธา  หมายความว่าศรัทธาไม่ส�ำคัญอย่างนั้นหรือ  นั่นก็ไม่ใช่ หากค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้เพ่ือเช่ือ  แต่มีไว้เพ่ือใช้ ค�ำสอนของพระพุทธองค์เปรียบเหมือนเคร่ืองมือที่เราควรจะต้อง ใช้ในการศกึ ษา เพอื่ พฒั นาตน ศรทั ธากม็ บี ทบาทส�ำคญั เหมอื นกนั โดยมีเง่ือนไขว่าศรัทธาตอ้ งมีปัญญาคอยก�ำกับอยเู่ สมอ ศรัทธาที่ ขาดปัญญาย่อมล่อแหลมตอ่ อันตราย ๒ รปู แบบ หนึง่ คือ ความงมงาย และ สอง คอื ความคล่งั ในค�ำสอน ในโลกปัจจุบนั ทกุ วนั นี้ บางคนท�ำความชั่วโดยอ้างศาสนา ถือว่าท�ำดว้ ยศรัทธา เพอ่ื ศาสนา คงไมบ่ าป ทางพทุ ธศาสนาถอื วา่ 2

ถ้ามีเจตนาจะเบียดเบียน  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม  เจตนาจะ เบยี ดเบยี นนั่นแหละคือตัวบาป  บาปอยทู่ ่ีเจตนาเหตผุ ลก็เป็นแค่ ตวั ตัดสินว่า  บาปมาก  หรือ  บาปนอ้ ย ศรัทธาในทางพระพุทธ ศาสนาของเรามเี ครอ่ื งวดั เครอื่ งตดั สนิ วา่ จะถกู ตอ้ ง หรอื ไมถ่ กู ตอ้ ง อยทู่ ่ีการกระท�ำ เราถอื การกระท�ำเป็นใหญ่ พระพทุ ธองคจ์ ึงตรสั เรียกพระธรรมวินัยของพระองค์ว่าเป็นศาสนาประเภท  วิริยวาท เปน็ ศาสนาทถ่ี อื วิริยะ ถอื ความเพยี ร หรือการกระท�ำเปน็ ใหญ่ ศรัทธาของชาวพุทธ คือ ศรัทธาความเช่ือมั่นในการตรัสรู้ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่า ตถาคตโพธิสัทธา แต่ความเชื่อเช่นน้ีไม่ใช่ว่าเชื่อแล้วจบ เพราะความเช่ือในการ ตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้   กค็ อื ความเชอ่ื ในการตรสั รขู้ องมนษุ ย์ คนหน่ึง เพราะก่อนจะตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ยังเป็นคน ถึงจะ เปน็ ผมู้ บี ญุ บารมอี ยา่ งยง่ิ กจ็ รงิ แตก่ ย็ งั เปน็ มนษุ ยธ์ รรมดาอยู่ เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในฐานะเป็น มนุษย์คนหน่ึง  และในขณะนั้นได้พิสูจน์ถึงศักยภาพของ มนุษย์ท่ีจะบรรลุธรรมด้วยความพากเพียรพยายามของตน 3

เจ้าชายสิทธัตถะจึงบรรลุในฐานะเป็นผู้แทนของมนุษย์ ดังน้ันความเช่ือในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือความเชื่อ ในศักยภาพของมนุษย์ที่จะตรัสรู้ธรรม ความเช่ือข้อท่ีส�ำคัญท่ีสุดก็คือ  เมื่อพวกเราท้ังหลาย เปน็ มนุษย ์ เราทกุ คนยอ่ มมศี กั ยภาพในการบรรลธุ รรม ไมว่ า่ เราจะเปน็ ชาวตะวันตก ชาวตะวนั ออก ผูช้ าย หรือ ผู้หญงิ เม่ือ เกิดเป็นมนุษยแ์ ล้ว ถือว่ามีคุณสมบัติพรอ้ มทจ่ี ะบรรลุธรรม ฉะนัน้ จากความเชื่อในการตรสั ร้ขู องพระพทุ ธเจา้ สติปัญญา จะน�ำไปสคู่ วามเชอ่ื ในศักยภาพของมนุษย์ที่จะตรัสรู้ และขนั้ สดุ ทา้ ย น�ำไปสคู่ วามเชอ่ื ในศกั ยภาพของตนเองทจี่ ะบรรลธุ รรม หรอื พูดอกี นัยหน่งึ ก็คอื เชือ่ วา่ ขา้ พเจ้าสามารถละบาปทงั้ ปวงได้ ข้าพเจา้ สามารถท�ำกศุ ลธรรมใหถ้ ึงพรอ้ มได้ ขา้ พเจา้ สามารถชำ� ระจิตใจของตนใหข้ าวสะอาดได้ ทำ� ได้ ควรท�ำ ตอ้ งทำ� ไม่ท�ำไมไ่ ด้ ดงั น้ัน ศรัทธาของเรา 4

ไม่ใช่ศรัทธาในส่ิงที่เกิดขึ้น ๒,๖๐๐ ปีท่ีแล้วหรือศรัทธาใน สง่ิ ทไ่ี มม่ ที างพิสูจน์ได้ แตเ่ ปน็ ศรทั ธาวา่ ข้าพเจ้าละบาปได้ และควรจะละ ถ้าเช่ืออย่างน้ันแล้ว แต่ไม่พยายามละบาป เรยี กวา่ ศรทั ธาปลอม ศรทั ธาไม่แท้ ถ้าเราถอื วา่ เราเปน็ ชาว พทุ ธดว้ ยการละบาป เป็นชาวพุทธด้วยการบ�ำเพญ็ กุศล เปน็ ชาวพุทธด้วยการช�ำระจิตใจของตน  แต่ไม่มีความพยายาม เลยในการละบาป  บ�ำเพญ็ กศุ ล ช�ำระจิตใจของตน  สมควร หรือท่ีจะถือว่าเป็นพุทธมามกะ  หรือพุทธศาสนิกชน พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่ไหน  พุทธศาสนาไม่ได้อยู่ ท่วี ัดวาอาราม พทุ ธศาสนาไมไ่ ดอ้ ยู่ในตพู้ ระไตรปฎิ ก พุทธ ศาสนาไมไ่ ดอ้ ยทู่ ส่ี ถาบนั สงฆอ์ ยา่ งเดยี ว พทุ ธศาสนาอยทู่ ก่ี าย อย่ทู ่ีวาจา อยทู่ ่ใี จของชาวพุทธทกุ คน เราทกุ คนมสี ่วน และ มีสิทธใิ์ นการสืบตอ่ อายุของพระพทุ ธศาสนา พระสงฆ์มีหน้าท่ีส�ำคัญหลายอย่างในสังคมพุทธ ข้อส�ำคญั ขอ้ หน่ึงคือ ตอ้ งเป็นตวั อย่าง เป็นตวั อย่างในการ ส�ำรวมระวัง เป็นผู้พิสูจน์โดยวิถีชีวิต ว่าชีวิตเราถึงจะมีส่ิง 5

อ�ำนวยความสะดวกไม่มาก เรากย็ งั มีความสขุ ได้ ถา้ พระเรา อยู่อย่างเรียบง่าย ค�ำสอนเร่ืองความส�ำรวม เรื่องความ ประหยัด ย่อมมีน�้ำหนักแต่ถ้าพระเราสะดวกสบายเกินไป ไปไหนก็นั่งเครื่องบินส่วนตัว  แต่สอนเร่ืองความสันโดษ ค�ำสอนก็คงไม่เข้าหูญาติโยม ตอนทอี่ าตมาไปอยวู่ ัดปา่ นานาชาตแิ รกๆ เม่อื ๓๕ ปีที่แล้ว ตอนนนั้ ยงั ไม่มีไฟฟา้ ส�ำหรับชาวตะวนั ตกอยา่ งอาตมาค่อนข้างจะ ขีร้ อ้ น ชว่ งเดอื นเมษา พฤษภา ทรมานพอสมควร ศาลากม็ ุงด้วย สังกะสเี วลาน่งั สมาธิเปน็ หมอู่ ยใู่ นศาลา นส่ี ุดทรมาน เหงอ่ื โชกจวี ร พอเหงือ่ ไหลยุงก็มา เรามแี ตป่ ลอบใจตวั เองว่า ความอดทน คือ เครือ่ งเผากิเลสอย่างยิง่ ช่วงนั้นเจ้าหน้าท่ีการไฟฟ้าก็มากราบท่านเจ้าอาวาสว่าจะ ขอถวายไฟฟ้า  ขอต่อไฟฟ้าเข้าวัด  คณะสงฆ์ก็ปรึกษาหารือกัน ประชุมวา่ จะรับ หรอื ไม่รบั พระฝ่ายอนรุ ักษน์ ยิ มเหน็ ว่า ไม่ควร รบั หากไฟฟ้าเขา้ วดั แลว้ จะเป็นทางไปสูค่ วามเส่อื ม ข้อวตั รปฏิบตั ิ 6

จะหายไปหมด ตอ้ งอยเู่ หมอื นกบั พระสมยั หลวงปมู่ น่ั ครบู าอาจารย์ สมยั ก่อนไม่มไี ฟฟา้ ไมเ่ หน็ เปน็ ปญั หาอะไร ส่วนพระรุ่นใหม่ก็เห็น วา่ นง่ั สมาธิแตล่ ะวนั ไมค่ ่อยไดเ้ ร่ือง อากาศรอ้ นเหลือเกนิ ยุงก็กัด เต็มไปหมด มีพัดลมก็น่าจะดี ไมฟ่ ่มุ เฟือยจนเกินไป เรื่องนพี้ ระเรา พดู กันนาน สุดท้ายกล็ งมติทถี่ อื ว่าเปน็ ทางสายกลาง คือไมป่ ฏิเสธ ไฟฟ้าเสียทเี ดยี ว แต่จะใหเ้ ขา้ เฉพาะศาลา โรงครัว ไม่ให้เขา้ กฏุ ิ พระสงฆ์ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า เราก็จะ ไม่รับ ถ้าหมู่บ้านไดแ้ ล้ว ชาวบ้านไดแ้ ลว้ เราจึงค่อยรบั เพราะถ้า เรามีพัดลม แตช่ าวบ้านไม่มี เราจะรับบณิ ฑบาตตอนเชา้ ไดอ้ ย่างไร ในเมื่อชวี ิตเราสะดวกกว่าเขา ยงั จะไปขอทานจากเขาไดอ้ ีกหรือ น่ีเป็นหลักท่ีเราถือไว้ต้ังแต่สมัยน้ันว่า  เราไม่ปฏิเสธ เทคโนโลยหี รอื อะไรตา่ งๆ โดยสน้ิ เชิง แต่ใชป้ ัญญาพิจารณาโดยมี หลักการบางอย่าง เช่นวา่ ไม่ใหส้ บายกว่าโยม พระต้องเป็นตัวอย่างในบางเร่ือง  แต่ในบางเรื่องก็ไม่ต้อง เป็นตัวอยา่ ง เช่น เรอ่ื งการพฒั นาสงั คม การสรา้ งความยตุ ธิ รรมใน 7

สังคม เรือ่ งทางโลก เรือ่ งสังคมสงเคราะหอ์ ะไรต่างๆ พระเราไม่ได้ ท�ำงานเรื่องนโี้ ดยตรง แตน่ ่นั ไมไ่ ดห้ มายความว่า ไมส่ มควรทีจ่ ะท�ำ เพียงแคว่ า่ พระไม่สามารถเปน็ ตวั อย่างในเรื่องเหล่าน้ี เพราะต้อง รักษาความเปน็ สมณะของทา่ นไว้ ทา่ นมีหน้าที่เป็นผ้ใู ห้ก�ำลังใจแก่ ผู้ท่ีอย่ใู นสนามรบ หรือผู้ทก่ี �ำลงั ตอ่ สเู้ พื่อความยุติธรรม เพ่อื ความ ดีงามในสังคม พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า  หน้าท่ีชาวพุทธคือรักษาศีล และน่ังสมาธิให้จิตใจสงบ และเม่ือจิตใจสงบ ทุกส่ิงทุกอย่างมัน จะดไี ปเอง  ไมเ่ คยสอนว่าหนา้ ท่ีของชาวพุทธคอื   ท�ำใจ มีอะไรท่ี ไม่ถูกตอ้ ง มีอะไรท่ไี ม่สบายใจ ก็ให้ท�ำใจ พระพุทธองค์ไม่เคยสอน อย่างน้ัน  ท่านสอนหลักพระธรรมวินัย  วินัยเป็นเรื่องการจัดสรร ส่ิงแวดล้อมให้เอ้อื ท่สี ดุ ต่อความเจริญในธรรม ส�ำหรับปถุ ชุ นท่วั ไป ธรรมชาติของปุถุชนคือ ทำ� ความช่วั ง่ายกว่าท�ำความดี  เพราะฉะนั้น  เราต้องพยายามจัดสรรสิ่ง แวดลอ้ มในสงั คมใหช้ วนท�ำความดมี ากกวา่ ทจ่ี ะยวั่ ยใุ หท้ �ำความชว่ั 8

ยกตัวอย่างเร่ืองสิ่งแวดล้อม หลายสิบปีก่อน สถิติอาชญากรรม โดยเฉพาะอาชญากรรมรุนแรง คือ ฆาตกรรมในอเมริกาเพ่ิมขึ้น ทุกปีๆ จนมาถงึ จดุ ๆ หน่ึงเมอ่ื ประมาณ ๓๐ ปที ี่แลว้ ทม่ี นั เริม่ ลดลง และลดลงอย่างมากด้วย  นักวิทยาศาสตร์พยายามหาสาเหตุว่า ท�ำไมจึงเป็นเช่นน้ัน ก็หาได้ยาก เพราะตัวแปรส�ำคัญๆ เช่น กฎหมายบา้ นเมืองกไ็ มไ่ ด้เปลย่ี นแปลงอะไรมากมาย สุดท้ายมีทฤษฎีหรือมีการวิจัยท่ีน่าสนใจว่า  ๒๐  ปีก่อนท่ี สถิติอาชญากรรมฆาตกรรมเร่ิมลดน้อยลงรัฐบาลอเมริกาห้ามการ ใช้สารตะกั่วในสินค้าหลายชนดิ เช่น สที าบ้าน เป็นต้น เพราะมี หลักฐานพิสูจน์ว่าสารตะก่ัวมีผลต่อสมองของเด็กเล็ก  โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่งสมองด้านหนา้ ซงึ่ เป็นทีอ่ ยขู่ องสง่ิ ท่เี รียกว่า Executive Function ซ่ึงเกย่ี วกับการคิด การใชส้ ตปิ ญั ญา และทีส่ �ำคญั คือ การควบคมุ อารมณ์ หรือความยับยง้ั ช่ังใจ ปกติผู้ท่มี แี นวโน้มชอบ รนุ แรงและมีส่วนในอาชญากรรมฆาตกรรมมาก ทีส่ ุดคือ เดก็ หนุ่ม อายุ ๒๐ กวา่ ๆ เม่อื เลิกใชส้ ารตะกวั่ แล้ว ๒๐ กวา่ ปี พบวา่ เดก็ ท่ี 9

เกิดในช่วงนั้นเริ่มจะเกิดโดยไม่มีสารตะกั่วในสมอง  ความยับย้ัง ช่ังใจมมี ากข้นึ ความรุนแรงและฆาตกรรมในสังคมลดนอ้ ยลง นี่ก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่าการแก้ปัญหาทางศีลธรรม แน่นอนส่วนหน่ึงของการแก้ปัญหาในความส�ำรวมความไม่ส�ำรวม ในหมูช่ าวพุทธ อยทู่ ี่วัฒนธรรม อยู่ที่การปฏบิ ัติธรรม อยูท่ จี่ ิตใจ และส่วนน้ันพระท่านช่วยให้แนวทาง  แต่บางทีเช่นในกรณีมีสาร เคมีในอากาศ  สารเคมีในอาหารมากมาย  ซึ่งมีผลต่อสมองและ จิตใจของคน เราจะแกด้ ว้ ยการปฏิบัตธิ รรมอย่างเดยี วไม่ได้ คดิ จะ แก้ด้วยการปฏิบัติธรรมกลายเป็นประมาทไป  เพราะมองข้ามเหตุ ใหเ้ กิดปญั หา โดยยนื ยันวา่ ไมเ่ ก่ียวกับศาสนาพทุ ธ ธรรมะต้องอยู่กับวินัยเสมอ  ก่อนอาตมาออกบวชท่ีเมือง ไทยก็ไดศ้ กึ ษาพทุ ธศาสนาทัง้ ฝ่ายมหายาน เซน ทิเบต ไมถ่ ึงกบั แตกฉานหรอก  แต่ว่ามีความรู้พอประมาณ  เหตุผลข้อหนึ่งที่ ท�ำใหเ้ ลอื กปฏบิ ตั ิ และออกบวชในพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาท เพราะ ระแวงทที่ างมหายานบางส�ำนัก หรือทิเบตบางนิกายมีค�ำสอนและ 10

ความเชื่อว่า  ผู้บรรลุธรรมแล้วไม่ต้องรักษาศีลก็ได้  เพราะจิตใจ ของท่านบริสุทธิ์แล้วไม่ว่าท่านท�ำอะไร  ย่อมไม่มีความคิดท่ีเป็น อกศุ ลอยใู่ นใจ  จะท�ำอะไรกท็ �ำได ้ ไมม่ ผี ดิ   อาตมาเคยอา่ นพระสตู ร มีพราหมณ์คนหน่ึง  ไม่ทราบว่ากราบเรียนพระอรหันต์องค์ใด องค์หนึ่ง  หรือพระพุทธเจ้า ...ขอโทษจ�ำไม่แม่น แต่ไม่เป็นไร สาระส�ำคญั ก็คอื พราหมณ์ถามวา่   วัดนี้มีพระอรหนั ตบ์ ้างไหม? ได้ค�ำตอบว่ามี...มีเยอะ ...อนาคามี สกทาคามีโสดาบัน มีทั้งน้ัน มีครบหมด พราหมณ์ก็ถามต่ออีกว่า  แล้วพระท่ียึดว่าท่านเป็น พระอริยเจ้าแต่ไม่ใช่  มีบ้างไหม? ท่านก็ตอบว่า มีเหมือนกัน อาตมาสะดุ้งเหมือนกันว่า ขนาดอยู่ในวัดซ่ึงมีพระพุทธเจ้า  หรือ พระอริยสงฆ์อยู่จ�ำนวนมาก ก็ยังมีพระท่ียังไม่ถึงแต่คิดไปเองว่า ถึงแสดงว่าท่านต้องเช่ือมั่นในตัวเองเหลือเกิน เม่ืออาตมาไปเจอ ฝ่ายทเิ บตหรอื มหายาน กอ็ ดคิดไมไ่ ด้ว่า แล้วมันเปน็ ไปไมไ่ ดห้ รอื ท่ีอาจารย์ท่ีถือว่าอยู่ เหนือบุญ-เหนือบาป ท�ำอะไรก็ได้ ไม่ผิด ไม่มีผล ทา่ นจะหลงไมไ่ ด้หรือแม้แตใ่ นสมัยพุทธกาล  ขนาดว่าอยู่ ในวัดเดยี วกับพระสารีบตุ รพระโมคคลั ลา ก็ยังมีผหู้ ลงอยู่ 11

ระหว่างท่ีอาตมาศึกษาค�ำสอนของฝ่ายเถรวาท  ได้ดูวินัย ของสงฆ์ ปรากฏวา่ ผู้ทบ่ี วชแล้ว ๓๐ พรรษา ๔๐ พรรษา ๕๐ พรรษา  ถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์เรียบร้อยแล้ว  ยังจะต้องรักษา วินัยทุกข้อเหมือนพระบวชใหม่  พระไม่มีกิเลส  พระท่ียังมี กิเลสหนา ลว้ นรกั ษาวินยั อนั เดยี วกนั เพราะอะไร กเ็ พราะความ เคารพในพระวนิ ัย อาตมาเคยสอนพระท่ีวัดป่านานาชาติว่า  มรดกตกทอด ที่ชัดเจนท่ีสุดของพระพุทธเจ้าคือ พระวินัย คือ วิถีชีวิตใน ทกุ ๆ แงม่ มุ ถกู ก�ำหนดโดยพทุ ธวจนะ  ท�ำใหเ้ รารสู้ กึ วา่ วถิ ชี วี ติ ของสงฆ์ ชีวติ พรหมจรรยม์ นั ประเสรฐิ จรงิ ๆ เราท�ำอะไร เรา นงั่ อย่างไร พดู อย่างไร  วางของอยา่ งไร  ทกุ ส่งิ ทุกอยา่ งนัน้ ท�ำเพราะอะไร  ท�ำเพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  และหลวง พ่อชาท่านกส็ อนพวกเรางา่ ยๆ เชน่ ท่านสอนว่าเรารักษาศลี ศีลรกั ษาเรา ค�ำน้ีเปน็ ค�ำพดู ทง่ี า่ ยๆ ฟังงา่ ย จ�ำง่าย แต่ลกึ ซง้ึ เรารักษาศีลศลี รกั ษาเรา 12

ญาติโยมมักจะชมว่า พระวดั ปา่ ทา่ นเคร่ง เคร่งในพระวนิ ัย มากๆ  แต่พวกเราเองไม่รู้สึกว่าเคร่งอาตมาขอเปรียบเทียบว่า พระเหมอื นเด็ก คือเดก็ เล็กๆ อยชู่ ั้น ป.๒ ป.๓ เช่อื ฟังพ่อแม่ เราจะ ชมเดก็ คนนน้ั วา่ เปน็ ลูกทเี่ คร่งมากไหม กค็ งไม่นะ เพราะลูกกต็ ้อง เชอ่ื ฟังพ่อแมอ่ ยแู่ ลว้ ไมเ่ ห็นจะเป็นเรอื่ งแปลก พระเราก็ถอื อย่าง นน้ั เหมอื นกนั ไมใ่ ชเ่ คร่งหรอก พ่อคอื พระพุทธเจ้าสัง่ อย่างไร เราก็ พยายามท�ำตามน่ันไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก  ถ้าการท�ำตามหน้าที่ กลายเป็นเรื่องแปลก สถาบันสงฆ์คงต้องอยใู่ นสภาพท่ีน่าเป็นหว่ ง สรุปว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทให้ความปลอดภัยกับผู้ ศกึ ษาและปฏบิ ตั ิ เพราะถงึ พระจะหลงตนเองบ้าง ตราบใดทยี่ ัง รักษาพระวนิ ัย กย็ อ่ มไม่เกดิ ความเสียหายจนเกนิ แก้ ในหมู่สงฆ์ พระอยไู่ ด้ ทงั้ ผู้ท่บี รรลุแล้ว และท่ีไม่บรรลุ ทง้ั ผทู้ เี่ กง่ และไมเ่ กง่ เพราะมศี ลี เสมอกนั มาตรฐานอนั เดยี วกนั ตายตวั แนน่ อนไมม่ ยี กเวน้ ความผดิ พลาดที่เกดิ ขน้ึ ในชีวติ เหน็ ไดไ้ ม่งา่ ย สมมตวิ ่ามผี ู้ ท่ีเชื่อมั่นในตัวเองมาก  เช่ือม่ันว่าสามารถเดินตรงได้โดยไม่ต้องดู 13

เข็มทิศ ยืนยันได้ว่า สามารถเดินเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เขวจาก เสน้ ตรง เมอื่ เขารบั การทา้ พสิ จู น์ เขากเ็ ขา้ ไปในทะเลทราย มองซา้ ย มองขวาไม่มีภูเขา ไม่มีเครื่องหมายอะไรเลย แล้วเดิน ๘ ชั่วโมง ไปทางทิศเหนือ เดิน... เดินไปเรื่อยๆ เดินตรงไป เวลาผ่านไป ๘ ชวั่ โมงกห็ ยดุ กรรมการวดั ดวู า่ ตรงไหม อศั จรรย.์ ..อศั จรรยม์ าก เดนิ ตรงมากเลย เพ้ยี นจากเสน้ ตรงแค่ ๑ องศา เดิน ๘ ช่วั โมง ไมม่ ี เข็มทิศ เพ้ียนจากเส้นตรงไปทางตะวันออกแค่ ๑ องศาเท่าน้ัน เรยี กว่าเกง่ มากๆ วนั ท่ี ๒ เขาเดนิ ตอ่ เขารกั ษาสถติ เิ อาไวไ้ ดอ้ ยา่ งดี ตรงมาก เลย ๘ ชวั่ โมงเพย้ี นไปแค่ ๑ องศาไปทางตะวนั ออก ทนี เ้ี ดนิ ๙๐ วนั จะเพีย้ นไปก่อี งศา ๙๐ องศาใชไ่ หม แลว้ ถ้าเดิน ๑๘๐ วนั ทิศเหนือ จะกลายเปน็ ทศิ ใตโ้ ดยผเู้ ดนิ ไมร่ สู้ กึ ตวั เลย ยงั เชอื่ มนั่ ๑๐๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ว่าตนเองเดินตรง ใช่ไหม กถ็ อื ว่าเดินได้ตรงดเี พราะวา่ เพยี้ นแค่ นิดเดียว  แต่นิดเดียว...นิดเดียวนี่แหละอันตราย  ทิศเหนือกลาย เป็นทศิ ใต้โดยเจ้าตัวไมร่ ูส้ ึกเลย ขอให้สงั เกตในชีวติ ของเรา ความ ผิดพลาดท่ีเกิดขึ้น เอ... จะไปทางนี้ หรือไปทางน้ันดีนะน่าจะไป 14

ซ้ายหรือจะไปขวา ชีวิตเราเป็นอย่างน้ีไม่กี่ครั้ง ที่มันเพ้ียน ท่ีมัน เสียทีละนิด...ทีละเล็ก...ทีละน้อยแค่น้ีนิดเดียว แต่นิดเดียวๆ รวมกันแล้วมันผิดพลาดไปมากโดยไม่รู้สึกตัว เรามักจะประมาท จนเกิดปัญหาเพราะความเสื่อมนิดๆ น้อยคอยพอกพูน วธิ ีปดิ กน้ั หรือวิธีป้องกนั อันตรายเชน่ นี ้ จะท�ำได้อยา่ งไร ข้อท่ี ๑ คือศีลธรรม การหม่ันรักษาศีลท�ำให้เรามี หลักการตัดสินการกระท�ำท่ีตายตัวแน่นอน  ไม่เปิดช่อง ใหก้ ารเขา้ ขา้ งตัวเองครอบง�ำใจ เพราะผดิ หน่ึงเซนติเมตรกบั ผิดหน่ึงกิโลเมตรก็ผิดพอๆ กัน ศีลแต่ละข้อเป็นเครื่อง สะทอ้ นเจตนา ชว่ ยใหร้ วู้ ่าเราก�ำลงั ท�ำอะไรอยู่ ข้อท่ี ๒ คือการภาวนา ในขอ้ นี้อาจมีปญั หาเพราะการ ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั สิ งู เกนิ ไป เมอ่ื ดว่ นสรปุ วา่ เรอื่ งนไี้ ดแ้ ลว้ เรือ่ งนเี้ รียบรอ้ ยแล้ว ผ่านไปแล้ว ไม่ตอ้ งเป็นกงั วลอีกแลว้ ก็ ประมาทแทนทจ่ี ะหมน่ั พจิ ารณาทกุ เรอ่ื งทคี่ ดิ จะท�ำวา่ ท�ำอยา่ ง นถ้ี กู ไหม หรอื ท�ำอยา่ งนผี้ ดิ ไหม กป็ ลอ่ ยไป ถอื วา่ ไมต่ อ้ งดแู ลว้ 15

มนั ต้องถกู อยแู่ ล้ว ท�ำไมตอ้ งถูก ถูกเพราะตวั เราถกู อยแู่ ลว้ คนถกู กต็ อ้ งท�ำสงิ่ ทถี่ กู อยเู่ สมอ  คนทไี่ มม่ ปี ญั หาในเรอ่ื งนแี้ ลว้ กค็ งไมม่ ปี ญั หาอะไรอกี ตอ่ ไป นห่ี ลงแลว้ และความเศรา้ หมอง กค็ อ่ ยๆ เพมิ่ ขน้ึ ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ยได้ หลวงพ่อชาท่านจึงสอนพวกเราเรื่องความไม่แน่นอน สอนวา่ มนั ไมแ่ นห่ รอก  ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งมนั ไมแ่ น ่ สงิ่ ภายนอก กไ็ มแ่ น่ เปลย่ี นแปลงไดเ้ สมอ ภายในชวี ติ ของเรากเ็ หมอื นกนั มีแต่ของไม่แนไ่ มน่ อน รูปก็ไมแ่ น่ เวทนา ความร้สู กึ สขุ ทุกข์ เฉยๆ กไ็ มแ่ น่ สัญญา ความจ�ำได้หมายรู้ กไ็ มแ่ น่ สงั ขาร อารมณ์ทั้งฝ่ายกุศลอกุศล ทั้งกิเลสทั้งคุณธรรม ก็ไม่แน่ วิญญาณ การรับรู้ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ก็ไมแ่ น่ เราต้อง พจิ ารณาความไม่แน่ในขันธห์ า้ ของเราทกุ วนั ๆ ท่านสอนว่า  ชอบก็ไม่แน่  ไม่ชอบก็ไม่แน่  ครั้งหน่ึง ท่านสอนว่า  ถึงแม้ใครเชื่อว่าตนเองบรรลุเป็นโสดาบันแล้ว ให้ถือว่าไมแ่ น่ สกทาคามี...ไม่แน่ อนาคามี...ไมแ่ น่ อรหนั ต.์ .. 16

ไม่แน่ ถึงจะม่ันใจว่าเป็นแล้วก็ให้สมมติว่า  ...ไม่แน่...เพ่ือ ความปลอดภยั อาตมาประทบั ใจค�ำสอนนมี้ าก  ถา้ เราค�ำนงึ ถงึ ค�ำนพ้ี จิ ารณาค�ำนเ้ี ปน็ ประจ�ำ จะปลอดภยั เรยี กวา่ ไมป่ ระมาท พิจารณาความไมแ่ น่ จิตใจกจ็ ะทรงอยใู่ นความไม่ประมาท อย่างแนน่ อน ก่อนอาตมาบวช ในยุคฮปิ ปี้ มคี �ำขวญั ทเ่ี ราชอบมาก และ ยงั ชอบอยจู่ นทกุ วนั น้ี เปน็ ค�ำปลกุ ระดมของนกั ศกึ ษาผมู้ อี ดุ มการณ์ อยากสร้างโลกที่น่าอยู่กว่าน้ี  ขอกล่าวเป็นภาษาอังกฤษก่อนคือ You’re either part of the problem or part of the solution. แปลว่า ทางเลือกของเราอยู่ระหว่างการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา กบั การเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการแกป้ ญั หา การอยเู่ ฉยๆ ไมใ่ ชท่ างเลอื ก เพราะอยู่เฉยๆ ก็ยังเป็นส่วนหน่ึงของปัญหา  ไม่ว่าเร่ืองอะไรเกิด ขึน้ ในชีวิตเรากต็ าม ทุกเร่ืองของเราและในการปฏบิ ตั ธิ รรมของเรา เชน่ กัน  เรามีทางเลือกว่าเราจะเป็นสว่ นของปัญหา  หรือจะมสี ่วน รว่ มในการแก้ปัญหา 17

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์ถึงจะมี มากมายก่ายกอง ทัง้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธก์ ต็ าม สรุปรวมกัน ไดเ้ หลอื แค่ ๒ ข้อ คอื ทุกข์ กบั ความดบั ทกุ ข์เราไม่ได้ทกุ ขเ์ พราะ ดวงไม่ไดท้ ุกข์เพราะพระผ้เู ปน็ เจ้าดลบนั ดาล ไมไ่ ด้ทุกข์เพราะเจ้า กรรมนายเวร หากเราเป็นทกุ ขเ์ พราะสมทุ ยั สมทุ ยั คอื อะไร เหตใุ ห้ เกิดทุกข์คอื ตณั หา ขอให้เราเขา้ ใจวา่ ตัณหานเ้ี ป็นอาการของ อวิชชา มีอวิชชาเมื่อใด ตัณหาเกิดเมื่อน้ัน ในอริยสัจ ๔ พระองค์ใช้ค�ำว่าตัณหา คือ ความอยากทเ่ี กิดขึน้ เมอื่ เราขาด ปัญญา หรอื มีอวชิ ชา แตเ่ ม่ือมวี ชิ ชา ความรคู้ วามเขา้ ใจตาม ความเป็นจริงแล้ว  ความอยากท่ีเกิดขึ้นไม่ใช่ตัณหา  ความ อยากน้นั เรยี กว่าฉันทะ คอื กุศลฉนั ทะ หรอื ธรรมฉันทะ บางคนเข้าใจผิดว่าผู้ท่ีบรรลุมรรคผลนิพพานไม่มีความ อยาก ความอยากดบั ไปหมดแลว้ แตใ่ นความเป็นจรงิ ความอยาก ทีด่ ับไปคือ ความอยากประเภทตณั หา ซึ่งเปน็ ผลหรอื เป็นอาการ ของอวิชชา  ส่วนความอยากที่เกิดจากวิชชาความรู้น้ันไม่หายไป 18

ไหนไม่ดบั   เราเหน็ พระอรหนั ต์ของเมอื งไทย ท่านไม่ได้อยเู่ ฉยๆ ทา่ นท�ำงานหนกั กว่าพวกเราอยา่ งเปรียบเทียบกนั ไม่ได้ หลวงพ่อชาท่านเคยเป็นไข้มาลาเรีย ไข้ขึ้นตัวสั่น พอถึง เวลาประชุมสงฆ์ท่านต้องประชุม  มีญาติโยมต่างจังหวัดมากราบ ท่านก็ลุกข้ึนครองผ้าไปต้อนรับ ท่านถือหน้าที่เป็นใหญ่ ท่านมี ความเมตตากรณุ า ท่านตอ้ งการสรา้ งประโยชนต์ น สร้างประโยชน์ ผู้อน่ื ให้ถงึ พรอ้ ม สิ่งทม่ี ผี ลดลบนั ดาลใจท่านไม่ใช่ตัณหา แตเ่ ปน็ ฉันทะ ฉะนั้น  ในการปฏิบัติของเรา  เม่ือเราเป็นทุกข์ต้องเตือน สตติ วั เองว่าไม่มีอะไรบงั คบั เราใหต้ ้องเปน็ ทกุ ขท์ างใจ ให้เราจ�ำไว้ ให้แม่นวา่ จะทุกขใ์ จเม่ือไหร่ เพราะมีตณั หาอยูใ่ นใจ ไมม่ ตี ณั หา ไม่มอี วิชชา เป็นทุกขไ์ มไ่ ด้ ไม่ว่าอะไรเกดิ ขึน้ ก็ตาม ไม่มสี ่งิ ใดใน โลกน้ีบังคับใหเ้ ราเป็นทุกขไ์ ด้ ไม่มีบคุ คลใดสามารถ ท�ำใหเ้ ราเปน็ ทุกขไ์ ด้ การกระท�ำของคนอน่ื เป็นปัจจัย แต่ไมใ่ ช่เหตุ การกระท�ำ ของคนอนื่ การพดู ของคนอื่นเปน็ trigger (เป็นไกปืน หรือตัวจุด 19

ชนวน) แต่ว่าไม่ใชต่ ้นเหตขุ องทกุ ข์ ทกุ ขเ์ กิดเพราะตัณหา หรอื ใน ส�ำนวนที่หลวงพ่อชาใช้สอนพวกพระฝรั่งทุกข์เพราะคิดผิด  เมื่อ เกดิ ทุกข์ทางใจ ใหร้ วู้ ่านี่เพราะตณั หานะ ถา้ ไม่มีตัณหา ความร้สู กึ อยา่ งน้ไี มม่ ี สิ่งท่ีเกิดขึ้นนอกตัวเรา  การกระท�ำของคนอื่นหรือ เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ เราจะเขา้ ไปเกีย่ วข้องอย่างไร เม่ือไหร่ กใ็ ห้วางไว้ ก่อนแลว้ มาดทู ี่จติ ใจเรา  ส่วนการแก้ด้านนอกเรากไ็ มไ่ ดล้ ะเลย ถึง เวลาอันสมควรแล้วก็ค่อยจัดการ  แต่ในขณะปัจจุบันน้ี  เราต้อง ถามตนเองวา่   เราจะตอ่ เติมความทกุ ข์ หรือจะดับเหตใุ ห้เกดิ ทกุ ข์ อยา่ งไรจะดีกว่ากัน  เราจะเปน็ สว่ นหนึ่งของปัญหา หรอื สว่ นหนึง่ ของการแก้ปัญหา ตอนน้เี ราจะไปทางทุกข์  หรอื ไปทางดบั ทุกข์ ทุกส่ิงทุกอย่างชวนให้หลง  โลกน้ีมีส่ิงท่ีชวนให้เราไปในทาง ที่ดนี อ้ ยมากที่ชวนใหโ้ ลภมีเยอะ ชวนให้โกรธกเ็ ยอะ ชวนให้ หลงกเ็ ยอะทเี ดียว แตก่ ็เป็นแคก่ ารเชือ้ เชิญ เราไม่จ�ำเปน็ ตอ้ ง รบั ค�ำเชญิ เขาเชญิ ใหเ้ ราโลภ...เราก็ไม่ตอ้ งรับเชิญ เขาเชญิ ให้ 20

เราโกรธ...กไ็ ม่ตอ้ งรบั เชญิ ได้ เขาเชิญเราหลง...เรากไ็ ม่ต้อง รบั ค�ำเชญิ ทีนี้การท่ีเราจะหาความสงบ  หรือหาความรู้สึกม่ันคง ปลอดภัยด้วยการควบคุม  บังคับสิ่งแวดล้อมควบคุมบุคคล รอบข้างทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปในทางที่เราต้องการ  คง เปน็ ไปไม่ได้ และเราจะเครยี ดมากดว้ ย เราไมส่ ามารถจะรบั ประกันว่า เราจะไม่ต้องพลัดพรากจากบุคคลท่ีเรารัก  หรือ สงิ่ ทเ่ี รารกั   ตรงกนั ขา้ มพระพทุ ธเจา้ ทรงยำ้� อยเู่ สมอวา่ เราตอ้ ง มีความพลัดพรากจากของรัก  ของเจริญใจท้ังหลายท้ังปวง ทา่ นใหเ้ ราสวด  ทา่ นใหเ้ ราพจิ ารณาทกุ วนั   ทกุ เวลาเมอ่ื เราฝกึ ให้คุ้นเคยกับรสชาติของความพลัดพรากในเร่ืองเล็กๆ น้อยๆ จติ ใจเราก็จะมกี �ำลงั เจอความพลัดพรากในเรือ่ งใหญ่ เรื่องส�ำคัญในชีวิต ไม่ใช่ว่าจะไม่ทุกข์ คงจะเป็นทุกข์บ้าง แต่ เป็นทุกข์ท่ีระงับได้หรือปล่อยได้  ไม่ใช่ทุกข์ที่ประกอบด้วย มจิ ฉาทฏิ ฐ ิ แตม่ สี มั มาทฏิ ฐ ิ ความเหน็ ชอบโดยสญั ชาตญาณ 21

ของปุถุชนมันก็จะต้องมีอยู่บ้าง  แต่มันเหมือนกับแผลท่ี สะอาด แมแ้ ผลจะสะอาด มนั กย็ งั เปน็ แผลอยู่ ซงึ่ ตอ้ งใชเ้ วลา กวา่ แผลจะหาย  แตก่ ย็ งั ดกี วา่ แผลทย่ี งั มสี ิ่งสกปรกอยู่ข้างใน ซง่ึ อาจจะอกั เสบตอ่ ไป การทเี่ ราจะด�ำเนนิ ชวี ติ ของเราอยา่ งไมใ่ หม้ แี ผลเลย มนั เปน็ ไปได้ยากมาก  แต่สิ่งท่ีเราท�ำได้คือ  ศึกษาวิธีที่จะรักษาความ สะอาดของแผลให้มันหายเร็ว  ให้หายเป็นปรกติ หมายถึงว่าเรา ต้องเห็นความพลัดพรากที่เกิดข้ึนในแต่ละวันๆ  ซึ่งวันหน่ึงๆ  นี่ เรากพ็ ลดั พรากจากอะไรต่ออะไรมากมาย ความดบั ไปหายไปของ อารมณ์ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ตา่ งๆ มนั มอี ยตู่ ลอดเวลา ถา้ เราไดก้ �ำหนด ความพลดั พรากวา่ เปน็ เรอ่ื งธรรมดา  เราเจอความพลดั พรากอนั ใด ในรูปแบบไหน  เราก็พร้อมท่ีจะไม่เป็นทุกข์พร้อมที่จะรู้เท่าทัน และปล่อยวาง  ให้เรารู้อารมณ์ว่าสักแต่ว่าอารมณ์  ความศรัทธา เลื่อมใสในส่ิงใดส่ิงหน่ึงหรือ  บุคคลใดบุคคลหน่ึงนั่นก็เป็น อารมณ์อยู่ในจิตใจเรา  เป็นอารมณ์ที่ไม่แน่ไม่นอน ผู้ที่เราเคารพ 22

นับถือก็มีความไม่แน่ไม่นอน  หากจิตใจเราต้องการความแน่นอน เราก็ต้องเป็นทุกข์ ใช่ไหม กลับมาพดู ถงึ เรอ่ื งศาสนาทงั้ หลาย เม่ือ ๒๐ กวา่ ปีที่แลว้ ทุกคนต่ืนเต้นเร่ืองโลกาภิวัตน์ เห็นว่าความแบ่งแยกต่างๆ จะ คอ่ ยๆ ลดนอ้ ยลง ดว้ ยพลงั ของโลกาภวิ ัตน์ เราจะรวมเปน็ อนั หนึง่ อันเดียวกัน  น่ีเป็นพวกท่ีมองโลกในแง่ดีมาก  ผลออกมากลับ ตรงกันข้าม  ความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาที่แตกต่างแบบงมงาย ความยึดมน่ั ถือมนั่ ในเชอื้ ชาติกลับเพ่ิมมากขึ้น เพราะอะไร เพราะ ในยคุ โลกาภวิ ตั น์ โลกเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็   และเปลย่ี นแปลง ในลักษณะที่คนรู้สึกว่าไม่มีอ�ำนาจท่ีจะต่อต้านได้  ไม่มีอะไรท่ีจะ ยึดเหน่ียวได้  คนจึงต้องการอะไรสักอย่างท่ีจะท�ำให้สบายใจว่า ชวี ติ ยงั มน่ั คงอยู่ ซง่ึ กม็ กั จะเอาศรทั ธาในศาสนา  หรอื ความเชอ่ื ใน บคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ เปน็ หลกั ไมว่ า่ โลกจะวนุ่ วาย จะนา่ กลวั หรอื จะ เปลี่ยนแปลงอย่างไร  อย่างน้อยเราก็มีส่ิงน้ียึดเหนี่ยวได้แน่นอน อนั นค้ี อื ความตอ้ งการของมนษุ ย์โดยสญั ชาตญาณ 23

แต่พุทธศาสนาสอนว่า  เราไม่ต้องกลัวความเปล่ียนแปลง ความเปล่ียนแปลงไม่ได้เป็นส่ิงคุกคามเพราะแม้แต่ชีวิตเราเองก็ คือกระแสความเปล่ียนแปลง  ความกลัวความเปล่ียนแปลงเกิด จากความหลงยึดม่ันถือม่ันในอัตตาตัวตน เพราะเชื่อว่ามีตัวเรา ...ตัวเราตัวเลก็ ๆ ... อยู่ในโลกท่เี ตม็ ไปดว้ ยความเปล่ียนแปลง ปรวนแปรต่างๆ นานา ก็ลังเล ไม่รู้จะเชื่ออะไร ไม่รู้จะเช่ือใคร คดิ แบบน้ีกท็ กุ ขแ์ น่ แต่พอเรามองตวั เราท่กี ลวั ตัวเราทีต่ อ้ งการ ตวั เราทรี่ ะแวง ตวั เราที่หวัง...เราหาไม่เจอ  เจอแต่อาการของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสงั ขาร ของวญิ ญาณ ไหลไป ไหลไป ไหลไป แมแ้ ต่ผรู้ กู้ ็เป็นสว่ นหน่งึ ของกระแสน้ัน ฉะน้นั แทนทีจ่ ะ เหน็ ว่าเป็นส่งิ ท่ีตายตัวแน่นอน ก็เหน็ ว่าเราอยู่ในโลกทีไ่ ม่ตายตัว เราเห็นกระแสความเปล่ียนแปลงนอกตัว  และเห็นกระแสความ เปลยี่ นแปลงภายในตวั   เปน็ อนั เดยี วกนั เปน็ นำ้� กบั นำ้� ไมใ่ ชห่ นิ กบั นำ้� เรอื่ งความศรัทธาในครูบาอาจารย์นนั้   อาตมายงั เคยพูดว่า สมยั ก่อนโนน้ เวลาพระเทศน์ ต้องเอาตาลปัตรมาปิดหน้า  โยมไม่ ตอ้ งเห็นหน้าของผแู้ สดงธรรม  ไม่ต้องถ่ายรปู ถา่ ยวดี ีโอ แม้แต่ชอื่ 24

กไ็ มต่ อ้ งรู้ คอื ทา่ นตอ้ งการให้ศรัทธาในหลกั ธรรม พระเราก็เปน็ แค่ ตวั แทนบรษิ ัทสี่เทา่ น้นั เอง ไม่มอี ะไรพเิ ศษเราเปน็ เหมอื นภาชนะ โอกาสทภี่ าชนะจะแตกไปกม็ ี เศรา้ หมองไปกม็ ี จะเปน็ อะไรไป มนั กเ็ ปน็ แค่ภาชนะ แตส่ ิ่งที่อยู่ในภาชนะนนั้   คือ  หลักธรรมก็ไมห่ าย ไปไหน  เราศรัทธาใครก็ตาม  จริงๆ  แล้วถามว่าเราศรัทธาอะไร ในตวั ทา่ น บางคนศรทั ธาในความเมตตาของทา่ น บางคนศรทั ธา ความอดทน บางคนศรทั ธาในปญั ญาของทา่ น แตม่ นั ไมใ่ ชข่ องทา่ น หรอก  ท่านไม่ใช่เจ้าของคุณสมบัติน้ันๆ  ท่านเป็นภาชนะที่ท�ำให้ เราได้เห็นว่า  ความเมตตานี้เป็นคุณธรรมท่ีงดงามเหลือเกินความ อดทนน้ันงดงามเหลือเกิน  ท่านใช้ปัญญา  ซ่ึงเป็นคุณธรรมท่ีงาม เหลือเกิน  ข้าพเจ้าจะต้องพัฒนาให้สิ่งเหล่าน้ีปรากฏในจิตใจของ ข้าพเจา้ บ้าง มันไมใ่ ช่วา่ ตัวท่านเป็นอยา่ งนนั้ เปน็ อย่างนี้  ตวั ท่าน เป็นแค่ส่ือ  หรือภาชนะที่เราจะเห็นความงามของคุณธรรมต่างๆ ผ้เู ป็นภาชนะจะอย่หู รือไมอ่ ย ู่ จะไปทีไ่ หน จะเป็นอย่างไร  ความ งามของคุณธรรมท่เี ราเคยเห็นในตวั ทา่ นไมไ่ ด้หายไปไหน หากยัง เหมือนเดิม 25

อาตมาพูดเร่ืองน้ีบ่อยๆ  เหมือนกัน  บางทีญาติโยมเห็น พระบางองค์มีพฤติกรรมที่แตกต่าง  มีความเป็นอยู่ที่ออกจะ หรหู ราฟมุ่ เฟอื ย ญาตโิ ยมบางคนบน่ วา่ เหน็ พระแบบนห้ี มดศรทั ธา ไมเ่ อาแล้วพุทธศาสนา ยุคนี้ยุคเสื่อม คนเหล่าน้ีเข้าใจและรู้สึก เหมอื นพทุ ธศาสนาขนึ้ อยกู่ บั ตวั บคุ คล นกั บวชไมด่ หี มายความวา่ ศาสนาไมด่ ี มันก็เหมือนกบั ว่า มญี าติคนหน่งึ ท�ำความผิด แลว้ เรา กบ็ อกวา่ ตระกลู นเ้ี ราไมเ่ อาดว้ ยแลว้ ครอบครวั นไ้ี มไ่ หวแล้ว ... ท�ำไมล่ะ ...อ้าว... กล็ ูกพี่ลกู นอ้ งคนน้นั ไปท�ำผิดเสียหาย.... แตใ่ คร จะเป็น อยา่ งไรกต็ าม ตระกลู ของเรากย็ งั เป็นตระกลู ของเราอยู่ดี มใิ ช่หรือ  คนที่ท�ำผดิ เขาก็ไมใ่ ช่เจา้ ของตระกูลคนเดียว หรือวา่ ถ้า มีนกั การเมอื ง หรอื ส.ส. ทจุ ริต ซง่ึ อาจจะมไี ด้นะ นน่ั ก็ไม่ใชก่ าร พสิ จู นห์ รอื ชวนใหเ้ ราเสอื่ มศรทั ธาในระบบประชาธปิ ไตย  การกระ ท�ำที่ไมเ่ หมาะสมของ ส.ส. กับความเชือ่ ในระบอบประชาธิปไตย เปน็ คนละเรือ่ ง การกระท�ำของพระสงฆท์ กุ รูป กบั หลักพระธรรมก็ เหมอื นกนั ใครจะเข้า  ใครจะออก  ธรรมะกธ็ รรมะเหมือนเดมิ ไม่มี ขน้ึ ไมม่ ีลง เปน็ อกาลโิ ก 26

ผู้ท่ีสงสัยมากคือ ผู้ท่ียังเข้าไม่ถึง ยังไม่เห็นความงาม ของธรรม หลักท�ำดไี ด้ดี ท�ำช่ัวไดช้ ่ัว นี่ชัดเจนแนน่ อน และไมข่ ึ้น อยู่กับตัวบุคคลผู้สอน พระเราเป็นผู้เปิดเผย เป็นผู้ที่ให้ก�ำลังใจ เราก็ท�ำหน้าท่ีของเราก็แค่นั้น  แม้แต่ในสมัยพุทธกาล พระน้า ของพระพุทธเจ้า พระนางมหาปชาบดีโคตมีน�ำผ้าไตรไปถวาย พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่   ถวายสงฆด์ กี วา่   จะไดบ้ ญุ มากกวา่ น่ีเป็นเหตุที่ท�ำให้ทุกวันนี้เราถือว่า  สังฆทาน  เป็นทานสูงสุด เป็นหลักมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล เราถือว่าสงฆ์เป็นใหญ่ ไม่ใช่ พระสงฆ์องค์ใดองค์หน่ึง อาตมาเคยคิดยินดีในการลาสิกขาของพระสงฆ์แค่คร้ัง เดยี ว รสู้ ึกจะคร้ังเดยี ว คือ หลงั จากอาตมาอายุ ๑๗ ปแี ล้ว อาตมา ออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ชีวิต เดินทางคนเดยี วจากอังกฤษ ไปอนิ เดยี อยอู่ นิ เดยี ๑ ปี และใชเ้ วลาทง้ั หมด ๒ ปกี อ่ นจะกลบั บา้ น ก�ำลังจะต้องเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแต่เปล่ียนใจต้องการจะ ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว  แต่ยังไม่เห็นแนวทาง  ตอนนั้น ได้ยนิ กติ ตศิ ัพทข์ องอาจารยว์ ิปสั สนาช่ือ  ครสิ โตเฟอร์ ไปเช่าบ้าน 27

หลังใหญ่ทางใต้เกาะอังกฤษ  มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนอยู่ในบ้าน หลงั เดียวกัน ตอนเช้าตอนเย็นกน็ ่งั สมาธิกนั ตอนกลางวันก็ตอ้ ง ประกอบสัมมาอาชีพ  ส่วนมากกท็ �ำงานสงั คมสงเคราะห์ ท�ำงาน ในบา้ นพักคนชรา เป็นตน้ และจะมีการปฏบิ ัติธรรมเป็นระยะๆ อาตมาได้เข้าปฏิบัติธรรมเป็นคร้ังแรกกับอาจารย์คริสโตเฟอร์ ตอนกลางคืนคริสโตเฟอร์บรรยายธรรมก็บรรยายถึงชีวิต พรหมจรรย์สมัยท่ีบวชเป็นพระในเมืองไทยเคยอยู่กับอาจารย์ พุทธทาส  ท่ีสวนโมกข์บ้าง  ไปอยู่เกาะพะงันบ้าง  เล่าถึงวิถีชีวิต ของพระปฏบิ ตั ใิ นเมอื งไทย ท�ำใหอ้ าตมาไดท้ ราบวา่   ชาวตะวนั ตก สามารถบวชเป็นพระในเมืองไทยได้  ฟังวิถีชีวิตท่ีบรรยายแล้ว เห็นวา่ นี่เปน็ ส่งิ ทเี่ ราแสวงหาตลอด ๒ ปีทผ่ี ่านมา ใช่เลย เปน็ สง่ิ ท่ี เราต้องการมานานแล้วฟังแล้วก็เห็นว่าเราไม่ต้องการเพียงแค่จะ เข้าปฏิบัติธรรมแต่ต้องการวิถีชีวิตแบบน้ีต้องการจะมอบกาย ถวายชีวิตกับการศึกษาและปฏิบัติธรรมอาตมาจึงตัดสินใจ ออกบวชในเมืองไทย  หลังจากเข้าอบรมปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ คนน้ี ซึง่ เคยเปน็ พระในเมืองไทย  แล้วเม่ือลาสกิ ขาแลว้ กก็ ลบั ไป สอนธรรมะในรูปแบบของฆราวาส 28

เรื่องน้ีสอนว่าอะไร?  ก็สอนเรื่องความไม่แน่ไม่นอนน่ันเอง ไมม่ ใี ครทราบอนาคตได้ อาจจะเปน็ วา่ ...ตอ่ ไปพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท จะเจรญิ ในญ่ปี ุ่นเพราะอาจารย์คนหน่ึง ผูเ้ คยบวชเปน็ พระในเมือง ไทยตัง้ ๓๐ กวา่ ปี ต่อไปอาจจะมีชาวญป่ี ่นุ หลายท่านคดิ ออกบวช ในเมอื งไทย เพราะระหว่างการเข้าปฏบิ ัตธิ รรมกบั อาจารย์คนน้ี ไดฟ้ งั ทา่ นเลา่ ถงึ สมยั เปน็ พระในเมอื งไทยกไ็ ดน้ ะ มนั ไมแ่ นไ่ มน่ อน เรือ่ งของโลกนีม้ นั เปน็ กระแสความเปลีย่ นแปลง ความไม่ แน่ไม่นอนจึงละเอียดลึกซึ้ง  หลายส่ิงหลายอย่างแม้แต่ในชีวิต ของเราแตล่ ะคน  ตอนนอ้ี าจจะผดิ หวงั เหลอื เกิน ผิดหวงั จริงๆ แต่ ภายหลังกลบั สมหวงั เอ... ท�ำไมจึงสมหวงั ในเรือ่ งนไี้ ด้ อ้าว... ก็ เพราะเคยผิดหวงั ในเรอื่ งนั้นมาก่อน ฉะนั้น แมใ้ นทางโลกเกดิ รัก ใครสักคนหนึง่ แตผ่ ิดหวงั อกหัก ทกุ ข์มาก ตอ่ ไปเจออกี คนหนง่ึ แต่งงานกนั แลว้ มีความสขุ ที่สมหวงั กับคนใหมน่ ี้กเ็ พราะอกหกั จากคนนนั้ มิใชห่ รอื ตอ้ งขอบคุณคนเกา่ มากท่ีเขาท�ำใหเ้ ราผิดหวัง ไม่อยา่ งน้ันก็ไม่ไดเ้ จอคนน้ี เรื่องพรรณนมี้ ันเป็นธรรมดาของชวี ิต ในทกุ ๆ ดา้ น ทกุ ๆ ระดบั สมหวงั เพราะผดิ หวงั ผดิ หวงั เพราะสมหวงั 29

การลาสกิ ขาของอาจารยค์ เวสโกใหบ้ ทเรยี นเรอ่ื งความไมแ่ น่ ทุกอยา่ งไมแ่ นไ่ มน่ อน เราจงึ ตอ้ งไม่ประมาท ขอให้เรารกั ษาจิตเรา ไว้ในอารมณ์กุศลด้วยการระลึกอยู่ในคุณงามความดีที่ท่านเคยท�ำ ไว้ขณะเดียวกันพระสงฆ์เราก็มีโอกาสทบทวนบทเรียน  บางสิ่ง บางอย่างอาจจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างเช่นความสัมพันธ์ท่ี ถูกต้องระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย  การส่ือสารกันที่เหมาะสมและ เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย  น่ีไม่ได้กล่าวถึงกรณีของอาจารย์ท่าน ใดท่านหน่ึงโดยเฉพาะ สิ่งที่ส�ำคัญท่ีสุดไม่ว่าจะในครอบครัว ในโรงเรียน ในสถาบัน ในทุกๆ แห่ง คอื เราตอ้ งพยายาม พฒั นาการสอ่ื สาร ตอ้ งรจู้ กั ใหข้ อ้ คดิ ใหเ้ สยี งสะทอ้ น ดว้ ยความ เคารพ ด้วยปัญญา ถูกกาลเทศะ ตกั เตอื นซึ่งกนั และกนั ใน พระวนิ ัย พระพุทธองค์บัญญัติไวเ้ ลยวา่ เปน็ หนา้ ทีข่ อ้ หน่งึ ของลูกศิษย์ตอ่ พระอปุ ชั ฌาจารย์ ผู้นอ้ ยตอ้ งเปน็ ผใู้ ห้ขอ้ คดิ แกผ่ ูใ้ หญ่ ถ้าผใู้ หญก่ �ำลังเผชิญกับสิ่งทลี่ ่อแหลมต่ออนั ตราย หรอื หากมีข้อมูลบางส่ิงบางอย่างที่ท่านควรจะทราบ ก็ตอ้ ง บอก พอพูดเรอ่ื งน้ขี ้นึ มา บางคนจะบอกว่า นคี่ ิดแบบฝรง่ั 30

ชาวตะวันตกเขาจะคดิ อย่างนน้ั มอี ะไรกจ็ ะพูดออกมา...แต่ ไม่ใช่นะ น่มี นั เปน็ หลักพระวินยั ในพระไตรปฎิ ก ในพระวินัยมีหลักส�ำคัญเรียกว่าการปวารณาตัว  ใน กรณีน้ีปวารณาไม่ใช่ปวารณาแบบโยมใช้ทั่วไปคือการบอก พระเป็นทางการว่าถ้าจ�ำเป็นอะไรนิมนต์ขอความช่วยเหลือ จากตนได ้ แตก่ ารปวารณาตวั ของพระคอื   “ขา้ พเจา้ ยอมรบั วา่ อาจจะยงั มจี ดุ บอดอยบู่ า้ ง  อาจจะมบี างสงิ่ บางอยา่ งทมี่ าก กว่าเรา พรรษาเสมอกับเรา  พรรษาน้อยกว่าเรากรุณา  ถ้า พบเหน็ อะไรทไี่ มส่ บายใจ  ชว่ ยบอกดว้ ย” บางสง่ิ บางอยา่ งผใู้ ห้ ข้อคิดอาจจะเข้าใจผิดหรือจับประเด็นไม่ถูกก็ได้  ผู้ปวารณา ตอ้ งอดทน รบั ฟงั โดยดี ใหท้ กุ คนเหน็ วา่ การปวารณาตวั จรงิ ใจ ไมใ่ ชว่ ่าปากพดู “มีอะไรกบ็ อกนะ” แต่กริ ิยาท่าทางท�ำให้ผู้ อยู่รอบขา้ งรู้สกึ ตรงกันขา้ ม ท�ำให้ไมม่ ใี ครกล้าเตอื น ลองถามตัวเองว่าเรามีเพื่อนท่ีกล้าพูดในส่ิงที่เราไม่อยาก ฟงั บ้างไหม ถา้ ไม่มกี ็เปน็ ข้อบกพร่องในการปฏบิ ตั ิ เราตอ้ งหา 31

กัลยาณมิตรที่ดี กัลยาณมติ รหรอื เพือ่ นท่ีดี คอื เพ่ือนท่ีกลา้ พดู ใน สงิ่ ทค่ี วรพดู ทง้ั ๆ  ทเ่ี พอ่ื นไมอ่ ยากฟงั   การพดู ไมใ่ ชล่ กั ษณะสงั่ สอน ไม่ใช่ตักเตือนว่ากล่าว แต่เป็นการฝากข้อมูลเพื่อพิจารณาด้วย ความเคารพ  ดว้ ยความส�ำนกึ ในกาละและเทศะทสี่ มควรทเี่ หมาะสม พวกเราทุกคนผิดพลาดได้อยู่เสมอ ถึงจะผิดพลาดเล็ก ผิดพลาดน้อย  หากเราไม่ระวัง  ไม่ยินดีรับฟังเสียงสะท้อนจาก คนอน่ื   เปน็ ไปไดเ้ หมอื นกนั วา่ จะกลายเปน็ คนทเ่ี ชอื่ วา่ เขาเดนิ ตรง ผดิ นดิ เดยี ว แตว่ ่านดิ เดียว ทีละนดิ เดยี ว กลายเป็นมาก ขาวกลาย เปน็ ด�ำ ด�ำกลายเป็นขาวได้ ท�ำอย่างไรจึงจะได้สร้างวัฒนธรรมครอบครัว วัฒนธรรม องคก์ ร วัฒนธรรมสถาบันตา่ งๆ ทีใ่ หค้ วามส�ำคญั กับคุณภาพการ สอื่ สาร หลายองคก์ รมปี ญั หาวา่ ผมู้ อี �ำนาจไมท่ ราบปญั หาในองคก์ ร เพราะผู้น้อยไม่กล้าบอกให้ทราบ การตัดสินของผู้น�ำจึงไม่ค่อย จะถูกประเด็น  ปัญหาก�ำเริบเสิบสานโดยใช่เหตุ  เพียงแค่ว่ามี การขาดการส่ือสารภายในองค์กร  เป็นปัญหาทั่วไป  การส่ือสาร 32

คือวิชาการท่ีเราค่อนข้างประมาทการรู้จักพูด  เวลาไหนควรพูด เวลาไหนควรคล้อยตาม เวลาไหนควรคัดค้าน เวลาไหนควรเงียบ นี่เป็นเร่ืองของสติในชีวิตประจ�ำวัน ต้องฝึกจึงจะเป็น อย่างไรก็ตาม  ธรรมะค�ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของ ไมม่ ีกาล  ไม่มเี วลา  มันจรงิ อยเู่ สมอ  ทันสมัยอยูเ่ สมอ ใครศกึ ษา ใครปฏบิ ตั ิถกู ต้องตามหลักที่พระองค์ทรงฝากไวย้ อ่ มได้ผล ขอให้ เราเดนิ ไปเรอื่ ยๆ เดนิ ตามมรรค ถ้าเดินไม่ไหวกค็ ลานไป แต่ขอ อยา่ ลงจากเสน้ ทางเทา่ นน้ั เอง บางคนอาจมคี วามเหน็ วา่   “พระ ทา่ นปฏบิ ตั มิ ามากขนาดนแ้ี ลว้ ยงั ลาสกิ ขาได้ แลว้ พวกเราจะ หวังอะไรได้” คิดแบบน้ีเรียกว่าคิดแบบ อโยนิโสมนสิการ คดิ ในทางทเี่ พม่ิ ทกุ ขอ์ ยใู่ นใจท�ำใหไ้ มม่ กี �ำลงั ใจ ถา้ จะคดิ ใหถ้ กู ตอ้ งคดิ อยา่ งไรเรากต็ อ้ งคดิ วา่ “ขนาดอยใู่ นผา้ เหลอื งตง้ั ๓๐- ๔๐ ปี ปฏบิ ตั ไิ ดถ้ งึ ขนาดนแ้ี ลว้ ยงั ลาสกิ ขาไดเ้ ลยเราตอ้ งเรง่ ความเพียร  ต้องต้ังอกต้ังใจมากกว่าน้ี เพราะถ้าขนาดน้ียัง พลาดได ้ ตวั เรานไ่ี มป่ ลอดภยั แน่ ประมาทไมไ่ ด้ ขเ้ี กยี จไมไ่ ด้ ตอ้ งเรง่ ความเพยี ร” 33

เหน็ ไหม เรอ่ื งเดยี วกนั แตม่ องไมเ่ หมอื นกนั คดิ อยา่ งไร มองอย่างไรจึงจะได้ก�ำไร คิดอย่างไรมองอย่างไรจึงจะไม่ เปน็ ทกุ ข์ มองอยา่ งไรจติ ใจของเราจะเปน็ บญุ เปน็ กศุ ล นเ่ี ปน็ สงิ่ ทที่ า้ ทายพวกเราทกุ คน วันน้ีอาตมาได้แสดงธรรมพอสมควรแก่เวลา  ขอยุติ เพียงเทา่ นี้ 34

ชยสาโร ภกิ ขุ น​า​ม​เ​ดิม​ ฌอน​ ช​ เิ ว​ อรต​์ ั​น ​(S​ha​un C​hi​​ver​ton​) พ​ .ศ.​๒๕๐​ ๑​​ ​เกดิ​ ​ที่ป​ ระ​ ​เ​ทศอังก​ฤษ พ.ศ​.​๒​ ๕๒​๑ ​ ได​ พ้ บก​ ับ​พร​ ะอาจาร​ ย์สเุ ม​ โ​ธ (พระราชสเุ มธาจารย์ วัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ) ท่วี หิ ารแฮมสเตด ประเทศองั กฤษ ถอื เพศเปน็ อนาคารกิ (ปะขาว) อยูก่ ับพระอาจารย์สเุ มโธ ๑ พรรษา แล้วเดนิ ทางมายังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเป็นสามเณร ทวี่ ดั หนองป่าพง ​จงั หวัดอบุ ลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุ ทีว่ ดั หนองป่าพง โดยมี พระโพธญิ าณเถร (หลวงพ่อชา สภุ ัทโท) เปน็ พระอุปชั ฌาย์ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔ รักษาการเจ้าอาวาส วดั ปา่ นานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปจั จบุ นั พ�ำ นัก ณ สถานพำ�นกั สงฆ์ จังหวัดนครราชสมี า

มูลนิธิ​ปัญญาป​ ระทปี ความเ​ปน็ ม​ า​ ​ ​มูลนิธปิ​ ัญญาป​ ระทีป​​​จัดต​ งั้ ​โดย​คณะ​ผบู้​ ริหาร​โรงเรยี นท​ อ​สี​​ด​ ว้ ย​ความร​ ว่ ม​มือ​จ​ ากค​ ณะ​ คร​ู ​ผ​ ป​ู้ กครองแ​ ละญ​ าตโิ ยมซ​ งึ่ เ​ปน็ ล​ กู ศ​ ษิ ยพ​์ ระอ​ าจารยช​์ ยส​ าโ​ร​​ก​ ระทรวงม​ หาดไทย​อ​ นญุ าตใ​ห​้ จดท​ ะเบยี นเ​ป็น​นติ บิ คุ คล​อยา่ ง​เป็นท​ างการ​​เลข​ทที่​ ะเบียน​​กท.​​​๑๔๐๕​ต​ ้ังแต่​วันท​ ี​่ ๑​ ​เ​มษายน​ ๒๕๕๑​ ​วตั ถุประสงค​์ ​​​​​​​​ ๑​ )​​​ส​ นบั สนนุ ​การพ​ ฒั นา​สถาบนั ก​ ารศ​ กึ ษา​วถิ ​พี ทุ ธ​ทม​่ี ร​ี ะบบ​ไตรสกิ ขา​ของ​พระพทุ ธศ​ าสนา​ เปน็ ​หลกั ​​ ​ ​๒​)​​เ​ผยแผ่​หลกั ธ​ รรม​ค�ำ ​สอน​ผ่านก​ าร​จดั การ​ฝกึ ​อบรม​​และ​ปฏบิ ัตธิ​ รรม​​และก​ ารเ​ผยแผ่​ ส่อื ธ​ รรมะ​รูปแ​ บบต​ า่ งๆ​โ​ดยแ​ จกเ​ปน็ ธ​ รรมท​ าน​ ​​ ​๓​)​​​เพม่ิ พนู ​ความเ​ขา้ ใจ​ใน​เรอ่ื งค​ วามส​ มั พนั ธร​์ ะหวา่ งม​ นษุ ย​์ แ​ ละส​ ง่ิ แ​ วดลอ้ ม​​ส​ นบั สนนุ ​ การพ​ ฒั นาท​ ี่​ย่ังยนื ​​และส​ ง่ ​เสริม​การ​ด�ำ เนนิ ช​ ีวิตต​ าม​หลกั ​ปรัชญาเ​ศรษฐกจิ พ​ อ​เพียง​ ​ ​๔)​​​ร​ ว่ ม​มอื ก​ บั ​องค์กร​การก​ ศุ ลอ​ น่ื ๆ​เพือ่ ด​ �ำ เนิน​กิจการ​ท่เ​ี ป็น​สาธารณประโยชน์​

​คณะ​ท​ปี่ รกึ ษา​ ​ ​พระ​อาจารย์​ชย​สา​โร​เป็น​องค์​ประธาน​ท่ี​ปรึกษา​ ​ ​ ​โดย​มี​คณะ​ที่​ปรึกษา​เป็น​ผู้ทรง​คุณวุฒิ​ ใน​สาขาต​ า่ งๆ​​​อาท​ิ ​​ดา้ นน​ เิ วศวทิ ยา​​พลงั งาน​ทดแทน​​ส​ ง่ิ ​แวดลอ้ ม​​เกษตรอ​ นิ ทรยี ​์ ​เ​ทคโนโลยี​ สารสนเทศ​ว​ ิทยาศาสตรส​์ ขุ ภาพ​​​การ​เงิน​​​กฎหมาย​​​การ​สือ่ สาร​​​การล​ ะคร​​​ดนตรี​​​วัฒนธรรม​ ศลิ ปกรรม​​แ​ ละภูมิปัญญา​ท้องถ​ ่นิ ​ ​ ค​ ณะ​กรรมการ​บรหิ าร​ ​ ​มลู น​ ธิ ฯิ ​​ไดร​้ บั เ​กยี รตจ​ิ าก​รองศ​ าสตราจารยน​์ าย​แพทยป​์ รดี า​ท​ ศั น​ประด​ษิ ฐ​​​เปน็ ​ประธาน​ คณะก​ รรมการ​บรหิ าร​​แ​ ละม​ ​ีคุณ​บุบ​ผาส​ วัสดิ์​​​รชั ​ชต​ าต​ ะ​นันท์​​​​ผูอ​้ �ำ นวยก​ าร​โรงเรียนท​ อส​ ีเ​ป็น​ เลขาธกิ ารฯ​ ก​ าร​ด�ำ เนินก​ าร​ ​ ​•​​ม​ ลู น​ ธิ ฯิ ​เ​ปน็ ผ​ จ​ู้ ดั ต​ ง้ั โ​รงเรยี นม​ ธั ยมป​ ญั ญาป​ ระทปี ​​ใ​ นร​ ปู แ​ บบโ​รงเรยี นบ​ ม่ เ​พาะช​ วี ติ ​เ​พอ่ื ​ ด�ำ เนนิ ก​ จิ กรรมต​ า่ งๆ​​ด​ า้ นก​ ารศ​ กึ ษาว​ ถิ พ​ี ทุ ธ​ใ​ หบ​้ รรลว​ุ ตั ถปุ ระสงคข​์ องม​ ลู น​ ธิ ฯิ ​ข​ า้ งต​ น้ ​โ​ รงเรยี น​ นต​้ี ั้ง​อยท่​ู ่​ี ​​บา้ นห​ นอง​นอ้ ย​​​​อำ�เภอป​ ากชอ่ ง​​​​จังหวัดน​ ครราชสมี า​ ​ ​•​​​มูลน​ ธิ ิฯ​ร​ ว่ มม​ อื ก​ ับโ​รงเรยี นท​ อส​ ี​​​ใ​ นก​ ารผ​ ลิตแ​ ละเ​ผยแผส่​ ่อื ธ​ รรมะ​​​​แจกเ​ปน็ ธ​ รรมท​ าน​ โดยใ​ นส​ ว่ น​ของโ​รงเรียนท​ อ​สีฯ​ไ​ด​้ด�ำ เนิน​การ​ตอ่ ​เนอ่ื งต​ ั้งแต​่ ป​ ​ี ​พ​.ศ​ .​​​๒๕๔๕​





พมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org ชยสาโร ภิกขุ เ ่ืรองเ ืรอง เ ืร่องโรย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook