อรุโณทัย ชยสาโร ภกิ ขุ พมิ พ์แจกเปน็ ธรรมบรรณาการดว้ ยศรัทธาของญาตโิ ยม หากท่านไมไ่ ด้ใช้ประโยชนจ์ ากหนงั สอื นี้แล้ว โปรดมอบใหก้ ับผู้อน่ื ทจี่ ะไดใ้ ช้ จะเป็นบุญเปน็ กศุ ลอย่างยง่ิ
อรโุ ณทยั ธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์ชยสาโร แสดง ณ โรงเรียนทอสี วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ พมิ พแ์ จกเป็นธรรมท าน ส งวนลิขสิทธ์ิ หา้ มคัดลอก ตดั ตอน หรอื น�ำ ไปพมิ พ์จำ�หนา่ ย หากท่านใดประสงค์จะพมิ พ์แจกเป็นธรรมทาน โปรดติดต่อ มลู นิธปิ ญั ญาประทปี หรือ โรงเรียนทอสี ๑ ๐๒๓/๔๗ ซอยปรีดีพนมยงค์ ๔๑ สุขุมวทิ ๗๑ เขตวัฒนา กทม. ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐-๒๗๑๓-๓๖๗๔ www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org พ มิ พ์ครัง้ ท ่ี ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๕ จำ�นวน ๓,๐๐๐ เลม่ พมิ พ์ค รงั้ ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ จ�ำ นวน ๒,๐๐๐ เลม่ ขอขอบคณุ และอนโุ มทนา ผูถ้ อดเทป กฤษณา พรพบิ ูลย์ ผเู้ รยี บเรยี ง ศรวี รา อสิ สระ ผถู้ า่ ยภาพปก พรรษา สนุ าวี ศลิ ปกรรม ปริญญา ปฐวินทรานนท์ จ ดั ท ำ�โดยมลู นิธปิ ัญญาประทปี ดำ�เนินการพมิ พ์ บรษิ ัท คิว พริ้นท์ แมเนจเม้นท์ จำ�กัด โทรศพั ท์ ๐-๒๘๐๐-๒๒๙๒
อรุโณทัย วันน้ีถือว่าเป็นวันสิริมงคล เป็นวันท่ีโยมมีอายุ ครบ ๗ รอบ แล้วมีความคิดที่เป็นกุศลว่าต้องการจะ นิมนต์พระมาเทศน์ในงานวันเกิดนี้ ถือเป็นการทำ�บุญ วันเกิด เพราะการฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นถือว่าเป็นบุญ ที่ว่าเป็นบุญนั้นเพราะความหมายของบุญคือสิ่งที่ทำ� ให้จิตใจเราสูงขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับเงินกับทอง ไม่ได้ เกี่ยวกับวัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะวัดได้ง่ายๆ แต่เมื่อความ โลภ ความโกรธ ความหลงลดน้อยลง ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเพิ่มขึ้น นี่เรียกว่าบุญ เหตุผลในการ ฟังธรรมะก็เพ่ือเราจะได้ยินบางส่ิงบางอย่าง ซ่ึงปกติ เราไม่ค่อยได้ยินได้ฟัง หรือบางส่ิงบางอย่างเราเคยฟัง มาแล้วแต่ชอบลืม ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเป็นของ
2 ใหม่ หากเป็นของเกา่ ทมี่ ักจะเป็นปัญหาในชีวิตเราอยู่ เสมอว่า พฤติกรรมในชีวิตประจำ�วันมักจะไม่ค่อยตรง กับอุดมการณ์ของเรา เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ภาระ หน้าท่ีต่างๆ กดดันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้ที่จะสามารถ หยุดแล้วถามตัวเองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ ตรงหรือไม่ ตรงกับเป้าหมายชีวิตหรือแนวทางที่เราเคยกำ�หนดไว้ว่า เหมาะสมกับเรามนี ้อย ดงั นนั้ การฟงั ธรรมะจึงเปน็ บุญ ตรงที่ว่า เราจะได้ทบทวนชีวิตตัวเอง จะได้ระลึกถึง บางสิ่งบางอย่างท่ีเราชอบลืม เพราะว่าพวกเราอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ส่วนมากชวนให้หลงมากกว่าชวนให้ฉลาด ส่ิงที่ย่ัวยุกิเลสมีมากกว่าส่ิงท่ีจะส่งเสริมสติปัญญา ฉะน้ันการอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าปล่อยไปตามกระแส หลวงพ่อชาบอกว่าเหมือนกับนำ้� ปล่อยตามกระแสมัน ก็ไหลลงไปท่ีต่ำ� ท่ีจริงก็ไม่เสมอไปในปัจจุบันน้ี บางที มนั กไ็ ม่ยอมไหลเหมอื นกัน แตโ่ ดยธรรมชาตมิ นั ก็จะเป็น อย่างนน้ั
3 โยมมีอายุครบ ๗ รอบ ก็ต้องเทศน์อะไรที่มันมี ๗ ขอ้ จงึ จะเหมาะสม และเนอ่ื งจากเราอยทู่ โ่ี รงเรยี นทอสี จึงนึกถึงหมวดธรรมท่ีว่าเป็นบุพนิมิตของอริยมรรค หรือเปน็ แสงอรุณของการศกึ ษาซ่งึ มี ๗ ขอ้ พระพุทธองค์ ตรสั หมวดธรรมนว้ี า่ ผทู้ จ่ี ะกา้ วไปสอู่ รยิ มรรคอรยิ ผล ทจ่ี ะ ดำ�เนินในทางที่ดีงามนั้นต้องเตรียมชีวิตไว้ในทุกๆ ดา้ น พรอ้ มๆ กนั เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่คนเรา ท่ีมามองดูชีวิตตัวเองแล้วมีความรู้สึกว่าไม่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะตง้ั แตเ่ ราตน่ื ขน้ึ มาในตอนเชา้ เราต้องมีการกระท�ำ ไมม่ ีไมไ่ ด้ นอกจากจะนอนหลับทง้ั วนั ทง้ั คืน การกระทำ�ท้ังด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ และ การกระทำ�อันใดท่ีประกอบด้วยเจตนาท่านให้ช่ือว่า กรรม ถ้าเจตนาดีก็เป็นกรรมดีหรือเป็นบุญ ถ้าเจตนา ร้ายเจตนาเศร้าหมองเป็นอกุศลก็เป็นกรรมไม่ดีหรือเป็น บาป ในแตล่ ะวนั จะบอกว่าเราอยู่เฉยๆ ไม่ไดเ้ ราตอ้ งมี การกระทำ�ซ่ึงประกอบด้วยเจตนาอยู่ตลอดเวลา การ
4 ที่เรารับผิดชอบการสร้างกรรม รับผิดชอบการกระทำ� ด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจให้ถูกต้องดีงามเท่าท่ีจะทำ�ได้ นั่นคือการปฏิบัติธรรม เพราะฉะน้ันการปฏิบัติธรรม ไม่ได้หมายความวา่ อย่เู ฉยๆ ไม่ไดป้ ฏิบัตอิ ะไร รอคอย เวลาในอนาคตว่า วันใดวันหน่ึงถึงจะเริ่มปฏิบัติ ท่ีจริง มนั กป็ ฏิบตั อิ ยู่แล้ว เพราะปฏบิ ตั คิ ือกระทำ� การปฏิบัติ หรือการกระทำ�ด้วยเจตนาเป็นส่ิงท่ีเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต ประจำ�วันทางเลือกของเราจึงไม่ใช่ว่าปฏิบัติหรือไม่ ปฏิบัติ ส่ิงทีเ่ ปน็ ประเดน็ หรอื สงิ่ ทต่ี อ้ งถามตวั เอง คอื เรา กำ�ลังปฏิบัติอะไรอยู่ ปฏิบัติสิ่งที่เป็นธรรมหรือสิ่งท่ีเป็น อธรรม สิง่ ทีท่ �ำ ใหช้ ีวติ เราสงู ข้นึ หรือสง่ิ ทที่ �ำ ใหช้ ีวติ เรา ต่ำ�ลง และเราทุกคนต้องรับผิดชอบการพัฒนาชีวิตของ เราเอง เพราะไมม่ ีใครอน่ื ท่ีจะทำ�ใหเ้ ราได้ ถึงแม้ว่าครอบครัวจะอบอุ่น มีคนรอบข้างท่ีหวัง ดีต่อเรา เราก็ยังเป็นทุกข์ได้ทุกวันถ้าจิตใจของเราขาด การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องให้มีปัญญากำ�กับอยู่ เพราะ
5 วา่ ทกุ ขห์ รือสุขไมไ่ ดเ้ กิดจากส่ิงแวดลอ้ ม ส่ิงแวดล้อมเปน็ แคโ่ อกาส เปน็ สิง่ ทเ่ี อือ้ สิง่ ทช่ี วนให้เป็นทกุ ขบ์ ้าง ชวน ใหเ้ ป็นสุขบ้าง แต่เราจะรบั เชญิ ให้เปน็ สุขเปน็ ทุกขก์ ับสง่ิ รอบๆ ตวั เราหรอื ไม่ก็อยู่ทีต่ วั เรา อยทู่ ี่การปฏบิ ตั ขิ องเรา อยู่ที่ความรบั ผดิ ชอบหรอื ไมร่ บั ผิดชอบชีวติ ของตน การปฏิบัติให้ถูกต้องนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้มอง ข้ามความสำ�คัญของส่ิงแวดล้อม หรือถือว่าทุกสิ่งทุก อยา่ งอยทู่ ี่จิตทัง้ หมด เชน่ เพยี งทำ�จิตใจเราให้ดี ทุกอย่าง ก็จะดีไปเอง หากพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าคนเราจะต้อง พัฒนาชีวิตทุกๆ ด้าน คำ�สอนของพระพุทธเจ้าในยุค พุทธกาล พระองคต์ ั้งชื่อวา่ พระธรรมวินัย ธรรมะเปน็ เรื่องการปฏิบัติด้านใน วินัยก็คือการพัฒนาส่ิงแวดล้อม ทั้งในครอบครัวในชุมชนในสังคมทั่วไปให้เอื้อต่อการ ปฏิบัติ วินัยก็เพ่ือการปฏิบัติธรรม ศีลก็เพ่ือการสร้าง เหตปุ ัจจยั ทที่ �ำ ให้เราสงู ขึน้ ได้ สูงขึ้นไดง้ ่าย ป้องกันไมใ่ ห้ เราตกต�่ำ ได้งา่ ย
6 ข้อแรกที่ถือว่าเป็นเงื่อนไขหลักในการสร้างส่ิง แวดล้อมที่จะนำ�ไปสู่ความสุขความเจริญในชีวิตคือ กัลยาณมิตตตา การมีเพ่ือนที่ดีและการเป็นเพื่อนที่ดี ถือว่าการเลือกเพื่อนเป็นส่วนสำ�คัญในชีวิต โดยเฉพาะ ในสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมท่ีเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง คนมากกว่าหลกั การหรอื กตกิ า ซง่ึ ท�ำ ใหส้ ังคมเราไมค่ อ่ ย ว้าเหวว่ งั เวงเหมอื นสงั คมตะวนั ตก แตก่ ็มดี า้ นลบ คอื คน เสียเพราะเพื่อนเยอะ เสียเพราะเกรงใจ บางทีรู้ว่าบาง ส่ิงบางอยา่ งไมถ่ ูกต้องแต่ไมก่ ล้าปฏิเสธ ไมก่ ลา้ ฝนื ไม่ กล้ารักษาหรือยืนหยัดในหลักการของตัวเองเท่าท่ีควร กลบั เอาความนยิ มชมชอบของพรรคพวกเป็นหลกั ที่จรงิ ก็ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยหรอก เมืองนอกกม็ ี แต่วา่ เปน็ เรื่องท่ีเด่นชัดมากในสังคมไทย เพราะฉะน้ันเมื่อสังคม เราเป็นอย่างน้ันและเราไม่ต้องการให้เป็นอย่างอื่น เรา ก็พร้อมทจี่ ะรักษาวฒั นธรรมอนั นไี้ ว้ แตใ่ นขณะเดียวกัน เรากต็ ้องระมดั ระวังไมใ่ ห้เกิดผลเสยี
7 ในการเลือกเพือ่ น เราต้องใช้เวลาและระมัดระวงั นอกจากต้องการมีเพื่อนท่ีดีแล้วเราก็ยังต้องถือเป็น อุดมการณ์ในชีวิตท่ีจะเป็นเพ่ือนที่ดีของผู้อ่ืนด้วย ถาม ตัวเองเสมอว่าเราเป็นเพ่ือนแบบไหน เราเป็นเพ่ือนท่ีดี ไหม ต้องพิจารณาว่าการเป็นเพื่อนที่ดีมันเป็นอย่างไร เม่ือพูดถึงการเป็นเพ่ือนที่ดีส่วนมากเราจะเน้นในเรื่อง เมตตาหรือความเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่เป็นหลัก ซึ่งก็ถูกต้อง ไมผ่ ิด แตเ่ ราอาจจะมองขา้ มทางด้านปญั ญาซ่งึ ก็ส�ำ คัญ มาก ถา้ จะวางเปน็ หลกั กว้างๆ งา่ ยๆ ก็คือ ถา้ เราเปน็ เพอื่ นที่ดีของใคร คนๆ น้ันเม่ือมาคบเราเป็นเพ่อื น เขา ต้องมีอะไรบางสิ่งบางอย่างในชีวิตท่ีดีข้ึน ถ้าเราคบกับ ใครและร้สู ึกว่าเมื่ออย่กู บั คนนัน้ แล้ว การประพฤติผดิ ศลี ๕ งา่ ยกว่าการรกั ษา คนๆ น้ันคงไม่ใช่เพอื่ นทีด่ ีแน่ ถ้าเป็นคนที่คุยด้วยแล้วชอบคุยในเรื่องที่ทำ�ให้ จิตใจฟุ้งซ่าน หม่นหมอง ทำ�ใหเ้ กิดอารมณ์ มีการแบ่ง แยกว่าเราว่าเขา ดูถูกดูหม่ินคนท่ีไม่เหมือนกับเรา
8 เป็นต้น ในกรณีนี้ เขาไม่ใช่เพ่ือนที่ดี ถ้าเป็นเพื่อนท่ี ดแี ล้วเราจะมีความรู้สึกว่า คนเรายงั เปน็ ปุถุชนอยู่ ยังมี ทงั้ สง่ิ ทด่ี ีสงิ่ ท่ไี ม่ดี นิสยั ดนี สิ ัยไมด่ ี แตร่ ู้สึกว่าเม่ืออยู่กบั เขาแล้วนิสัยท่ีดีมันจะออกมาเองเหมือนกับว่าการเข้า ใกล้เขาช่วยกระตนุ้ สิ่งทีด่ งี ามในตวั เราเอง ถ้าเป็นเพอื่ น ที่ไม่ดเี ขา้ ใกล้แลว้ จะรู้สึกว่า สิง่ ที่ไม่ดีในตวั เราจะออกมา อยู่เรื่อยๆ ให้เราเอาเร่ืองนี้เป็นจุดสังเกตในการคบคน เป็นเพื่อน ประการที่สองคือดูตัวเอง ดูการกระทำ�ของเรา การพูดของเรา ว่าเป็นในลักษณะท่ีจะสนับสนุนสิ่งท่ี ดีงามของเพ่ือนหรือไม่ เรื่องการพูดการจานี่สำ�คัญ มาก ถ้าเราพดู จาในทางทท่ี ำ�ให้เพื่อนโกรธคนอนื่ หรือ ว่าไม่พอใจใคร หรือว่าเราพูดแล้วทำ�ให้เพื่อนฟุ้งซ่าน วุ่นวายใจ เราก็กำ�ลังไม่ทำ�หน้าที่เป็นกัลยาณมิตร เรา กำ�ลังทำ�หน้าท่ีเป็นปาปมิตร อย่างไรก็ตาม เราไม่ควร จะประทับตราใครว่าเป็นเพ่ือนไม่ดีเป็นปาปมิตร หรือ แมแ้ ต่จะประทับตราใครว่าเปน็ กัลยาณมิตร ให้เราถือวา่
9 เป็นกระบวนการ คอื ไมไ่ ด้มองเพียงตัวบุคคล แต่เราตอ้ ง พยายามทำ�ให้ความเป็นกัลยาณมิตรของเราเพ่ิมมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางครั้งบางคราวเราจะเผลอเป็นปาปมิตรของ เขา ก็พยายามทำ�ส่วนทเ่ี ป็นปาปมติ รใหน้ อ้ ยลง เราอาจมีเพื่อนท่ีคบกันมานานที่เรารู้สึกว่าเข้า ใกล้แล้วบางคร้ังมีผลไม่ดีกับเรา แต่ว่าถึงอย่างไรก็เป็น เพอื่ นกนั เรากต็ ้องชว่ ยเขา ในกรณนี ี้ เราก็ตอ้ งพยายาม ใหเ้ ขารสู้ ึกตัวบา้ ง ไมใ่ ชว่ า่ เขาพูดหรอื ทำ�อะไรท่ไี มด่ ี เรา ก็หลับหูหลับตาเพราะเกรงใจเพ่ือน นั่นไม่ใช่เพื่อนที่ดี เ พื่ อ น ท่ี ดี ต้ อ ง รู้ จั ก ก า ล เ ท ศ ะ ที่ จ ะ ใ ห้ ข้ อ คิ ด แ ล ะ คำ � ตักเตือน นี่เป็นหน้าท่ีของเพ่ือน เพราะถ้าเพ่ือนไม่ กล้าบอกแล้วใครจะไปกล้าก็ต้องเพื่อนน่ันแหละที่จะ มีโอกาสช่วยเพื่อนท่ีกำ�ลังหลงทางให้ได้เห็นทาง แต่ ต้องทำ�ด้วยความระมัดระวัง ด้วยความเคารพในความ คิดความเห็นความต้องการของเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเรารู้ ดกี ว่าเขา แต่ในฐานะทเ่ี ราหวังดตี ่อกัน นเ่ี ปน็ เรื่องของ กัลยาณมิตร ซ่ึงต้องเป็นหลักในการอยู่ร่วมกัน ทั้งใน
10 ครอบครัว ในสถาบันการทำ�งาน และในชุมชนสังคม ท่ัวไป เป็นหลักที่จะนำ�ไปสู่อริยมรรคของพระพุทธเจ้า ได้ในทสี่ ุด ข้อท่ี ๒ คือเรื่องศีล เร่ืองนี้ขอสรุปว่าศีลใน พุทธศาสนามีเอกลักษณ์ส�ำ คัญมากที่ทำ�ให้แตกต่างจาก ศาสนาท่ีเชือ่ ในพระผ้เู ปน็ เจ้า ในพทุ ธศาสนาศลี ต้องเกดิ จากความสมัครใจ ต้องเกิดจากปัญญาความฉลาดของ แต่ละคน ถ้าคนเรางดเว้นจากการกระทำ�บางสิ่งบาง อย่างเพียงเพราะพระหรือคัมภีร์บอก หรือเพราะกลัว ติดคุกหรอื ตกนรก นีก่ ม็ ีผลดีตอ่ พฤตกิ รรม แต่ไมถ่ ือว่า เป็นศีลในทางพุทธศาสนา ศีลต้องเกิดจากความฉลาด ท่เี หน็ ชัดวา่ การรกั ษาศลี มผี ลดีตอ่ ชวี ิตเรา ตอ่ ครอบครัว เราต่อชุมชนเราอย่างไร และต้องเห็นโทษเห็นทุกข์จาก การไม่รักษา ต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ท่ีเกิดจากการ รกั ษาจนกระท่ังเกิดความต้องการจะรักษา อานสิ งส์ของ ศลี ท่เี หน็ ได้ง่ายก็คอื ชมุ ชนจะอยู่อยา่ งไม่เบยี ดเบียนกนั ไม่ต้องหวาดระแวงกัน มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
11 เมื่อมีมาตรฐานการกระทำ�ท่ีเป็นที่ยอมรับร่วมกันของ ชุมชน ความสามัคคีความสขุ ในการอยู่ร่วมกนั จะเกิดขึน้ ได้ง่าย หากผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ครอบครัวชุมชนกจ็ ะมี ปัญหาและไม่มั่นคง การผิดศีลทุกๆ ข้อมีผลร้ายต่อ ความสุขความเจริญของชีวติ เราต้องมองตรงจดุ นี้ ศีล ๕ เป็นเพียงมาตรฐานตำ่�สุด ไม่ใช่ทั้งหมด ของศีลธรรม หลักศีลธรรมในภาคปฏิบัติ คือเราต้อง เฝ้าสังเกตกายวาจาของเรา ไม่ทำ�ไม่พูดในสิ่งที่เกิดจาก กิเลสความโลภความโกรธความหลง บางส่งิ บางอย่าง ที่ เราทำ�อะไรหรือพูดอะไรออกไป แม้จะไม่ผิดศลี ๕ แต่ เรารู้ว่าในขณะท่ีทำ�ท่ีพูด จิตใจของเราเศร้าหมอง ใน ภาคปฏบิ ตั กิ ็ถือวา่ เป็นการผิดศีล เราถอื วา่ สว่ นหน่งึ ของ การสรา้ งชีวติ ที่ดีงาม สร้างครอบครวั ท่ีดงี าม สรา้ งชุมชน สังคมใหด้ ีงาม คอื การฝกึ อบรมกายวาจาให้งดงาม เรื่อง นี้มีความสำ�คญั ย่ิง เพราะความเคารพนบั ถือตัวเองและ ความเชื่อมั่นในตัวเองท่ีจะนำ�ไปสู่ความสงบและปัญญา ต้องเกิดจากการรักษาศีล เมื่อเรายอมรับขอบเขตของ
12 การกระทำ�บางอย่างด้วยความพอใจของเราเอง ด้วย ความสมัครใจของตัวเอง และเราสามารถบริหารกาย วาจาให้อยู่ภายในขอบเขตน้ัน ทั้งๆ ท่ีส่ิงแวดล้อมย่ัวยุ ให้ละเมิด แต่เราไม่ละเมิด เราจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะไป ที่ไหนเราก็มีความเชื่อมั่นในตัวเอง พฤติกรรมหรือการ แสดงออกของเราจะไม่ขึ้นอยู่กับคนอ่ืนหรือขึ้นอยู่กับ ส่ิงแวดล้อม หากเรามีหลักตายตัวเป็นมาตรฐานท่ีเรา ยึดเหนี่ยวเอาไว้ท่ีทำ�ให้ชีวิตเรามั่นคงหนักแน่น เป็นที่ เคารพนับถือของทงั้ ตนเองและผ้อู ่ืน อาตมากลับไปอังกฤษครั้งแรก หลงั จากอยเู่ มือง ไทยได้ ๖ พรรษา ในสมยั นน้ั เมอ่ื เกอื บ ๓๐ ปีที่แล้ว ชาว อังกฤษยังไม่ค่อยรู้จักพุทธศาสนา และมองพระที่แต่ง ตัวอยา่ งนวี้ ่าแปลก เมื่อได้พบปะพดู คุยกับคนท่ีสงสัยวา่ เราคอื ใคร ทำ�อะไรอยู่ สงั เกตได้วา่ แม้เขาจะยงั ไมค่ อ่ ย สนใจและมีศรัทธาในคำ�สอนของพระพุทธเจ้า ส่ิงที่จะ ทำ�ให้เกิดศรัทธาในจิตใจของคนท่ีนับถือศาสนาอื่น คือ วินัยของสงฆ์ อาตมาเคยเดินธุดงค์ในประเทศอินเดีย
13 เดินจากเมืองปัตนะไปพุทธคยาและจากพุทธคยาไป สารนาถเป็นระยะทางหลายร้อยกิโล ส่วนมากชาวบ้าน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราก็พูดภาษาเขาไม่ได้ แต่เมื่อ เขาได้รู้จักวินัยของเรา เขาก็เคารพนับถือทันที น่ีเป็น ตัวอย่างง่ายๆ ว่า วินัย ความมีหลักการและความ สามารถรกั ษากติกา เป็นที่ยอมรับ เป็นท่เี คารพนับถอื ของคนทกุ ชาติ ทกุ ภาษา ทกุ วัฒนธรรม ทุกศาสนา และ เป็นสงิ่ ทีน่ �ำ ไปสูค่ วามเจรญิ ข้อท่ ี ๓ เป็นเรื่องของฉนั ทะ ซงึ่ เป็นเรือ่ งสำ�คัญ มากที่จะต้องเข้าใจวา่ พุทธศาสนาไม่ได้ตำ�หนแิ ละไม่ได้ วิจารณ์ความอยาก ความอยากนัน้ มี ๒ ประเภท ความ อยากท่ีเป็นกุศล และ ความอยากท่ีเป็นอกุศล ความ อยากท่ีเป็นอกุศลเกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ไม่เข้าใจส่ิง ใดกต็ ามหรือ ความเขา้ ใจผดิ ในส่ิงนัน้ ซ่ึงจะนำ�ไปสูค่ วาม อยาก อยากไดอ้ ยากมอี ยากเป็น ไมอ่ ยากได้ ไมอ่ ยากมี ไม่อยากเป็น ความอยากท่ีเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือรู้ผิดเข้าใจผิดนั้นเรียกว่าตัณหา ซ่ึงเป็นเหตุให้เกิด
14 ทุกข์ เป็นสงิ่ ทีต่ อ้ งละ แต่ในทางตรงกนั ขา้ มเรอื่ งใดกต็ าม ท่ีเรารู้เห็นตามความเป็นจริงและเข้าใจในสิ่งนั้นถูกต้อง แลว้ เกดิ ความอยาก น่เี รียกว่า ฉนั ทะ ซง่ึ พระพุทธองค์ ไม่ทรงต�ำ หนิ ไมท่ รงสอนให้เราละ หากทรงวา่ เป็นส่วน ประกอบของชีวิตท่ีดีงาม พระพุทธองค์ทรงสอนเร่ือง ฉันทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยฉันทะ ความพอใจเรามีกิจ หน้าที่ใด เราต้องใช้ความฉลาดให้เกิดความรู้สึกท่ีดีต่อ หน้าที่ของเรา เราเปน็ พอ่ เป็นแม่ เปน็ ลกู เป็นหลาน เรา ก็มีหน้าท่ี มภี าระ แตค่ �ำ วา่ ภาระนั้นมันกแ็ ฝงอยู่ในความ รู้สึกที่ไม่ค่อยจะดี ถ้าเราสามารถเปล่ียนมุมมองให้การ รับภาระเป็นการทำ�หน้าท่ี ความพอใจก็จะเกิดข้ึนทันที มีความภาคภูมิใจในส่ิงที่ทำ� สามสี่เดือนท่ีผ่านมานี้ เมืองไทยประสบปญั หามากมาย เร่อื งอทุ กภัย เรื่องน�ำ้ ท่วมนั้น มีคนไทยจำ�นวนมากท่ีมีฉันทะมีความต้องการ อยากจะช่วยเหลือเพ่ือนคนไทยท่ีกำ�ลังเป็นทุกข์ เดือด ร้อนใจเพราะนำ้�ท่วม ความอยากเช่นนี้ไม่ผิดหลักพุทธ ศาสนา และคนเข้าวัดสว่ นมากก็เป็นผ้นู ำ�ในเร่อื งนี้
15 การท่ีจะปล่อยวางตัณหาหรือความอยากในชีวิต คฤหัสถ์ลงทีเดียวเป็นไปได้ยาก แม้แต่พระก็ทำ�ได้ยาก มีวิธีหนึ่งที่เหมาะสม และเป็นหนทางท่ีไม่ฝืนจนเกิน ไป คือเปลี่ยนกระแสความอยากให้เปล่ียนช่องจากช่อง ตัณหาให้เป็นช่องฉันทะให้มากขึ้น ให้มีความอยากทำ� หน้าที่ อยากทำ�งาน อยากทำ�ส่ิงท่ีดีงามในสังคม เมื่อ มีความอยากแบบนี้เพ่ิมมากขึ้น ความคิดและความ ต้องการในทางท่ีเป็นบาปเป็นอกุศลก็จะน้อยลง เพราะ ความมุ่งม่ันความใคร่จะทำ� และความต้องการของเรา หันเหไปในทางที่ดีงามมากข้ึน เพราะความอยากเป็น พลังอย่างหน่ึง เราจึงไม่ควรจะเก็บกดพลังน้ันไว้ แต่ สมควรใช้ไปในทางสร้างสรรค์ แทนที่จะใช้ไปในทางที่ ทำ�ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งของตนเองและ คนอื่น ท้ังในระยะสั้นและระยะยาว ขอ้ ที่ ๔ คือ อตั ตสมั ปทา อัตตามีความหมาย หลายระดับ ถา้ เป็นระดบั สูงกม็ ีค�ำ สอนเรื่องอนัตตา ให้ เหน็ ว่าสง่ิ ตา่ งๆ ทีเ่ รายึดมนั่ วา่ เป็นเราเปน็ ของเรา ความ
16 จริงแล้วเป็นกระแสธรรมชาติ กระแสของรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ นีถ่ อื วา่ เป็นคำ�สอนระดบั สูง แต่ในระดับสามัญหรือระดับสังคมท่ัวไปเราใช้อัตตาใน ความหมายธรรมดาว่ารู้จักตัวเอง ไม่ต้องไปละอัตตา ในระดบั น้ี ความหมายในนยั น้กี ค็ อื ร้จู กั ตวั เอง ใหท้ �ำ ตัว เองให้ดี จะทำ�ตัวเองให้ดีอย่างไร พระพุทธองค์ก็ให้ เราพัฒนาท้ังกาย ศีล จิต ปัญญา ถือว่าชีวิตท่ีดีงาม คือ ชีวิตแห่งการศึกษา ชีวิตแห่งการฝึกปรือ ถ้าเรา ต้องการให้ชีวิตเราดีขึ้นเราก็ต้องทำ�ให้มันดีข้ึน ไม่ใช่ว่า ชีวิตมันจะดีข้ึนไปเองตามอายุสังขาร เพราะมันเป็นไป ไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นเร่ืองการทวนกระแส ให้เราให้ ความสำ�คัญกับการดูแลสุขภาพกายก่อน มนุษย์เราส่ง คนไปโลกพระจันทร์ได้ ส่งยานอวกาศไปถึงดาวอังคาร ได้ สร้างคอมพิวเตอร์ที่สามารถคิดอะไรได้เป็นล้านๆ เร่อื งใน ๑ วนิ าที แต่เร่ืองการกินอาหารใหพ้ อดีกบั ความ ตอ้ งการของร่างกายกนิ อาหารทถี่ กู หลักโภชนาการ ออก กำ�ลังกายให้พอดีกับความต้องการ มนุษย์ส่วนใหญ่ยัง
17 มีความร้คู วามเขา้ ใจแคร่ ะดับอนบุ าล ๑ หรืออาจไม่ถึง อนุบาล เราต้องถือว่าการดูแลสุขภาพกายเป็นส่วนหน่ึง ของการพฒั นาชีวติ พกั ผ่อนใหพ้ อดี ทำ�งานให้พอดี กิน เท่าไรถึงจะพอดี กนิ เท่าไรถงึ จะไม่มโี ทษตอ่ รา่ งกาย ทกุ วันนข้ี ้อมลู ขา่ วสารเร่ืองโรคมมี ากมาย มีจนล้น สิ่งทจ่ี ะ เข้ามาเป็นขยะสมองมีมากเหลือเกิน เราต้องฝึกในการ กลั่นกรอง หรือที่ภาษาเดิมเรียกว่าสำ�รวม จะรับมาก น้อยแค่ไหนจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการสื่อสารมาก นอ้ ยเพยี งใด ในลักษณะไหน เราตอ้ งรู้จกั คิดพิจารณา ดู ข่าวเท่าไรจงึ จะพอดี ไม่ใช่วา่ ย่ิงมากยิ่งดี หลายคนดขู ่าว มากเกินไปจนจิตใจฟุ้งซ่านเศร้าหมอง อาตมาว่า ๒๔ ชว่ั โมง ดู ๒๔ นาทีกเ็ กินพอแลว้ ไมต่ ้องดทู ง้ั เชา้ ทงั้ กลาง วนั ดซู ้ำ�ๆ ซากๆ ไม่ใช่สิง่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์แต่อย่างใด เร่ืองการใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้เว็บ การส่ง SMS Facebook อะไรพวกนี้ เราตอ้ งตงั้ ค�ำ ถามกับ
18 ตัวเองว่าเท่าไรจึงจะพอ คำ�ว่าพอน้ีเป็นคำ�ท่ีลึกซ้ึงกว่า ที่เราคิด เพราะว่าพอน่ีจะต้องมีว่าพอเพ่ืออะไร ถ้า เราไม่มีเป้าหมายท่ีชัดเจน เราก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าเรามี เป้าหมายของเราว่าต้องการให้ชีวิตของเราดีงาม ให้ สงบ ให้มีปัญญาเรากจ็ ะมีเคร่อื งตัดสนิ ว่าทีเ่ ราทำ�อยู่ทกุ วนั น้ีนอ้ ยไปไหม มากเกนิ ไปไหม เทา่ ไรมนั จงึ จะเอือ้ ตอ่ การดำ�เนินชีวิตในทางท่ีเราเห็นว่าดีงาม ความฉลาด ในการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมทางกายจะเป็นส่วนสำ�คัญ ของการฝึกจิต ต้องทำ�ให้ตัวเองเจริญ ทำ�ให้ตัวเราสูง ขึ้นดีข้ึน ฉลาดในการปฏิบัติต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ทุกวันนี้เรากำ�ลังจะเข้าสู่ยุคท่ีเราต้องรับผลกรรมจาก ความประมาท ความกอบโกย ความละโมภของพวกเรา หลายสิบปีท่ีผ่านมาเราเบียดเบียนธรรมชาติไว้มาก ตอนน้ีถึงเวลาท่ีธรรมชาติจะเล่นงานกลับ เราจะไปว่า อะไรไมไ่ ด้ มันเป็นตามเหตตุ ามปจั จยั แตอ่ ยา่ งนอ้ ยเรา ก็ต้องให้ความสำ�คัญกับเรื่องน้ีมากข้ึนทำ�อย่างไรเราจึง จะเบียดเบยี นธรรมชาติสง่ิ แวดลอ้ มใหน้ ้อยทีส่ ุด
19 ในเรอ่ื งจติ ใจ ถา้ จติ ใจเรายังมกี ิเลส แม้จะไดเ้ งิน ได้ทองไดล้ าภได้ชือ่ เสียง ได้ทุกส่ิงทุกอยา่ งครบสมบรู ณ์ บริบูรณ์แลว้ เราจะมคี วามสุขแนน่ อนหรอื คำ�ตอบงา่ ยๆ คอื ถา้ จติ ใจยงั มกี ิเลส ได้เท่าไรกไ็ มพ่ อเพราะจติ ใจมนั รวั่ เทลงไปๆ นึกง่ายๆ วา่ ถา้ เทลงไปๆๆ วันใดวนั หน่ึง มนั จะตอ้ งเตม็ แต่ถ้าภาชนะมันร่วั เทลงไปเทา่ ไรมันก็ไม่ เต็ม ทีเ่ ต็มไมไ่ ด้ก็เพราะมันร่ัว พระพทุ ธเจา้ ทา่ นว่าจติ ใจ มกี ิเลสเหมือนจิตใจมนั รัว่ ถ้าไมแ่ กต้ รงจดุ ท่มี ันรวั่ ไปหา แตส่ ิง่ ทจ่ี ะอำ�นวยความสขุ จากภายนอก มันจะคบั ขอ้ งใจ จะผิดหวัง เอ๊ะ... ทำ�ไม... มันนา่ จะมคี วามสขุ มากกวา่ น้ี แต่กอ่ นตอนหนุ่มๆ คิดวา่ ถา้ เราไดน้ ั่นได้นแ่ี ลว้ จะมี ความสขุ ทุกวนั นีม้ แี ลว้ แตก่ ็ไม่เห็นจะดขี น้ึ เลย เพราะ อะไร เราต้องมาดูตรงจดุ น้ีดว้ ย ต้องใช้ปัญญา ต้องเจรญิ ด้วยปัญญา ปัญญามีเง่ือนไขว่าจิตใจต้องไม่ฟุ้งซ่านไม่ วุ่นวาย ปัญญาในเรื่องชีวิตเราเองจึงจะเกิดข้ึนได้และ เป็นทพ่ี ่งึ ของเราได้
20 ดงั น้นั มนั เป็นเร่ืองของการเจรญิ การท�ำ ให้อตั ตา เราดีขึ้น เม่ืออัตตาเราดีความยึดมั่นถือม่ันในอัตตาก็ น้อยลง สมยั กอ่ นเขาเปรยี บเทียบกับการเอาไมม้ าแหย่ ไฟให้ไฟติด สิ่งที่ใช้ให้ไฟติดก็คือไม้ มันก็จะค่อยๆ หายไประหว่างการทำ�งาน การพัฒนาให้อัตตาเราดีข้ึน การกระทำ�นั้นจะทำ�ให้อัตตาน้อยลง พร้อมท่ีจะเข้าถึง เรอ่ื งของอนตั ตาต่อไป เรอ่ื งของอัตตาน้ี มขี อ้ คดิ อีกขอ้ หนง่ึ ว่าเราต้องพยายามรูจ้ กั ตวั เอง ขอ้ ดีข้อเสยี ยอมรับ ว่าการอยู่คนเดียวหรือการท�ำ ตัวเองเหมือนอยู่คนเดียวนี่ อนั ตราย ทำ�ตัวเองเหมอื นอยู่คนเดยี ว คอื เราเปน็ ผูใ้ หญ่ แต่ไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นของใครเลย ต้องการให้ทุก คน ครับๆ ค่ะๆ อยู่ตลอดเวลา ใครพูดอะไรขัดใจก็ โกรธทันที อย่างนี้เรียกว่าปิดประตูต่อความเจริญแล้ว เพราะคนเราทุกคนต้องมีจุดบอด คนเราทุกคนต้องมี ข้อบกพร่อง ถ้าหากเราหลับหูหลับตาต่อข้อเสียหรือข้อ บกพรอ่ งของตนเอง ไมเ่ ปดิ โอกาสเออื้ ใหค้ นอน่ื สามารถ ให้ข้อคิดหรือเสียงสะท้อนแก่เราได้ ถือว่าอยู่ในภาวะ
21 อนั ตราย แล้วไม่ใชว่ ่าแคอ่ นญุ าตให้คนใหข้ อ้ คดิ ใหเ้ สยี ง สะท้อน แต่ต้องสร้างบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมที่เอื้อ ให้คนอ่นื กล้า แม้เราจะบอกทุกคนอยู่เสมอว่า มีอะไรก็ให้พูด ได้นะ บอกไดน้ ะ แตใ่ นขณะเดียวกันกส็ รา้ งบรรยากาศ ที่ทกุ คนไม่กลา้ พดู และเมอ่ื ไม่มีใครกล้าบอก เรากเ็ ลย สรุปว่าคงไม่มีอะไรผิดกระมัง เพราะไม่เห็นมีใครพูด อะไรสักที มันไม่ใช่อยา่ งนั้น เขาไมก่ ลา้ ตา่ งหาก เพราะ ฉะนั้นถ้าเราจริงใจในเร่ืองน้ี เราก็ต้องฝึกให้ผู้อื่นรู้สึก ผ่อนคลาย รู้สึกว่าเขาสามารถพูดได้โดยไม่ต้องรับโทษ เราจะไม่ใสอ่ ารมณ์ เราจะยอมรบั ได้ นีเ่ ปน็ เรื่องการฝึก ตวั เอง สิ่งดงี ามของเราก็มีอยู่ ความคิดผดิ ของคนดี คือ ไม่ค่อยอยากจะยอมรับในความดีของตัวเอง กลัวจะ หลง นนั่ กน็ ่าเสียดาย ถ้าเรามองเห็นวา่ ความดขี องเรา มนั เกิดขึ้นตามเหตตุ ามปจั จัย เราไม่ใช่เจา้ ของมนั เมื่อ เราเหน็ ความดขี องเรา เราก็ช่ืนชม ไดอ้ นโุ มทนา ได้เปน็ ก�ำ ลงั ใจในการท�ำ ใหค้ วามดนี ัน้ เพม่ิ มากข้ึนดว้ ย
22 ข้อท่ี ๕ คอื ทฏิ ฐิสมั ปทา การถึงพรอ้ มดว้ ยความ คดิ เห็น เป็นสัมมาทิฏฐิ เรอื่ งของทิฏฐิ ความเหน็ ไม่วา่ จะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิมหี ลักใหญท่ สี่ ำ�คัญ ๒ ข้อ ขอ้ ทหี่ นึ่งคอื เชื่อในศักยภาพของตัวเองท่ีจะละ ทกุ ข์ ละเหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์ ทีจ่ ะเขา้ ถึงความสขุ ที่จะพัฒนา เหตุปัจจัยให้เข้าถึงความสุข น่ีก็คือสัมมาทิฏฐิในทาง พทุ ธศาสนา เช่อื มน่ั วา่ ตวั เองท�ำ ได้ เราไมต่ อ้ งเป็นเหยอ่ื ของสงั คม ไมต่ ้องเปน็ เหย่อื ของสง่ิ ใด ไม่ตอ้ งเป็นเหยื่อ ของใคร เราสามารถพัฒนาตัวเองศึกษาตัวเองให้หลุด พ้นจากทุกข์ท้ังปวงได้ นี่คือความคิดท่ีถูกต้องตรงตาม หลกั ความจรงิ ของธรรมชาติทเี่ ราต้องรกั ษาไว้ ข้อท่ีสองซ่ึงเก่ียวข้องโยงกันคือ ความเช่ือใน กฎแห่งกรรม เราจะเจริญเราจะเป็นผู้เลิศได้ประเสริฐ ไดด้ ้วยการกระทำ� เราจะเจริญเพราะการกระท�ำ เส่อื ม เพราะการกระทำ� ไม่ใช่เจริญเพราะโชคชะตาหรือดวง หรอื เพราะพระผู้เป็นเจ้า เพราะสง่ิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ทไี่ หน เรา ดีเพราะการกระทำ� เราเสียเพราะการกระทำ� เปน็ เรอ่ื ง
23 ที่ต้องการให้เรารับผิดชอบชีวิตตัวเองให้มาก อย่าไป โทษใครอย่าไปบ่นใคร อยา่ ไปวา่ ใคร จะว่าเขาทำ�ใหเ้ รา เสยี ใจมาก เขาท�ำ ให้เราผดิ หวงั มาก เขาทำ�ใหเ้ ราบอบชำ�้ ใจมาก น่ีเป็นความคิดผิดท้ังน้ัน ไม่มีใครจะทำ�ให้เรา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ การกระทำ�ของคนใดคนหน่ึง สามารถมีผลต่อกายเราได้ แต่การท่ีการกระทำ�หรือคำ� พูดของคนอื่นจะมีผลโดยตรงต่อจิตใจเรา มันเป็นไปไม่ ได้ มันต้องมีกิเลสของเราผสมโรงเข้าไปด้วย มันจึงจะ เป็นปัญหาขน้ึ มาไดข้ อใหเ้ ราเขา้ ใจอยา่ งน้ี เร่อื งของทิฏฐิก็อยทู่ ีค่ ่านิยม โดยเฉพาะเรอื่ งความ ทุกข์เร่ืองความสุข ให้ถามตัวเองว่าความสุขในชีวิตคือ อะไร ความทุกข์ในชีวิตคืออะไร เราต้องการอะไรจาก ชีวิต ไมต่ ้องการอะไรจากชวี ติ เราจะได้ดทู ฏิ ฐคิ วามเหน็ ของเรา ซง่ึ จะเหน็ ไดช้ ดั เมอ่ื ความตอ้ งการของเราขดั แยง้ กัน แล้วเราจะต้องเลือกว่าจะเอาอย่างน้ี หรือจะเอา อย่างน้ัน ดวู ่าเราจะตดั สินอยา่ งไร เพราะอะไร ตรงนี้เรา จะสามารถเห็นชดั ถงึ คณุ คา่ ของตัวเอง
24 อาตมาว่าทุกวันน้ีเราต้องการครอบครัว ชุมชน สังคม ทใี่ หค้ วามส�ำ คัญกับคุณคา่ เป็น Value based มากขึ้น การมีคุณค่าร่วมกันหรือตรงกันจะเอื้อให้การ พดู ในรายละเอียดและนโยบายกระท�ำ ไดง้ า่ ยขนึ้ เพราะ คนเราตกลงที่จะอยู่ในกรอบของคุณค่าร่วมน้ันแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนจะเป็นแค่ว่า อย่างนี้สอดคล้อง กับคุณค่าร่วมของเรา หรือไม่สอดคล้อง จะทำ�ให้ ความแตกต่างตลอดจนความหลากหลายและความ ขัดแย้งอยู่ในกรอบที่พอเป็นไปได้ เพราะมีหลักการ ใหญว่ า่ เราต้องการอย่อู ย่างไร เราตอ้ งการสงั คมอย่างไร เราตอ้ งการวฒั นธรรมอย่างไรในระยะยาว ไมใ่ ชแ่ ค่ ๕ ปี ๑๐ ปี แต่ ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี ต้องการใหเ้ ปน็ อย่างไร เรื่อง ครอบครัวก็เช่นเดียวกัน เราเป็นครอบครัวท่ีซ่ือสัตย์ มีเมตตา เห็นอกเห็นใจกันไหม เราก็ตกลงกันเป็น หลักการไว้ เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาหรือ พ่อแม่กับลูก เราก็ถือตามหลักการใหญ่ ดูว่าหลักการ เล็กที่เราก�ำ ลังเถียงกันอยู่มันสอดคล้องกับหลักการใหญ่
25 หรือไม่ นี่ก็เป็นหนทางที่เหมือนการสมานแผล ไม่ว่า ในครอบครัว ในชมุ ชน หรอื ในสงั คมใหญ่ เปน็ เรอื่ งความ สำ�คญั ของทฏิ ฐิ พระพุทธองคท์ รงสอนว่า บาปที่สุดคือมิจฉาทิฏฐิ ทำ�ไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าถ้าเราไม่ยอมรับในกฎ แหง่ กรรมกด็ ี ในศกั ยภาพตวั เองก็ดี ไม่เชือ่ เรื่องบาปบญุ คุณโทษแล้ว คนเราจะสามารถทำ�บาปได้มากโดยไม่รู้ สกึ ละอาย เพราะไม่ถือวา่ ตวั เองท�ำ สิ่งท่ีผดิ หรือวา่ สงิ่ ถกู ต้องทค่ี วรท�ำ แตไ่ มท่ �ำ ก็รสู้ ึกเฉยๆ ข้ีเกียจท�ำ เพราะ อะไร เพราะไม่เห็นว่าเป็นส่ิงที่ถูก ฉะนั้นความเข้าใจ ในการสร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดข้ึน ให้สอดคล้องตรงตาม หลักความจริงของธรรมชาติทั้งภายในภายนอกจึงเป็น สงิ่ ส�ำ คัญย่ิงในการน�ำ ไปสู่ชวี ิตและสังคมท่ีดงี าม ข้อที่ ๖ อัปปมาทสัมปทา ถงึ พรอ้ มด้วยความไม่ ประมาท เปน็ ปจั ฉิมโอวาทของพระพุทธเจา้ สงิ่ ทง้ั หลาย ท้ังปวงไมแ่ น่ไม่นอน เพราะฉะนัน้ เราตอ้ งถึงพร้อมดว้ ย ความไม่ประมาท คนเราส่วนมากจับแต่ประโยคแรกว่า
26 สงั ขารท้ังหลายไมเ่ ท่ยี ง ไม่แนน่ อน เพราะฉะนนั้ ปล่อย ไปเถอะเด๋ยี วก็เปน็ ไปเอง นเ่ี รียกวา่ ประมาท จากขอ้ มูล และความเข้าใจท่ีถูกต้องกลับนำ�ไปสู่ความคิดผิด แต่ เพราะส่ิงทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตาม เหตุตามปัจจัย บางส่วนเราสามารถมองเห็นบางส่วน มองไม่เห็น บางส่วนก็เห็นไม่ได้ เพราะกระแสความ เปลี่ยนแปลงนี้ละเอียดลึกซ้ึงมาก ยิ่งในปัจจุบันน้ีที่ เศรษฐกิจของแต่ละประเทศโยงถึงกัน เม่ือมีปัญหา เศรษฐกิจในประเทศหน่ึงทเ่ี ราอาจจะไม่รจู้ ักเลย ไมร่ ู้ว่า อยู่ที่ไหนในโลก แต่ปัญหาก็ลุกลามส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจของเราได้ ปัญหาในประเทศใดประเทศหนึ่ง ในโลกไม่ได้จบอยู่แค่ในประเทศนั้นเท่านั้น ทุกวันนี้มัน กระทบถงึ กันหมด เหตุปัจจัยที่จะมีผลต่อชีวิตเรานี้มีมากมาย มัน สลับซับซ้อนเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราประมาทไม่ได้ เราคาดหวังอะไรไม่ได้ สิ่งที่ต้องการคือความพร้อมท่ี จะรับมือกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เสมอ มีความสามารถท่ีจะ
27 ปรับตัวในสิ่งที่ควรจะปรับ ในส่ิงท่ีไม่ควรปรับก็ไม่ต้อง ปรับตาม มีสติปัญญาท่ีจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และไม่ ถือว่าเรามีสิทธิที่จะต้องเป็นอย่างน้ันอย่างน้ี ไม่คิดว่า มันนา่ จะต้องเป็นอยา่ งนั้นอยา่ งนี้ เช่น เราพยายามนกึ ภาพอนาคต แตเ่ ราจะเอาอะไรเป็นข้อมูลในการคิดสร้าง ภาพอนาคตก็ต้องเอาข้อมูลจากปัจจุบันและอดีตน่ันเอง ฉะน้ัน สมมติว่าเราวาดภาพอนาคตซ่ึงอาจไม่ค่อยจะ ตรง ดหู นังสอื เกา่ ๆ ทีเ่ ขาเขียนไวเ้ มื่อ ๑๐๐ ปที ่แี ลว้ ทเี่ ขาคาดการณว์ ่าปีนห้ี รือทศวรรษน้จี ะเป็นอย่างไร มนั ก็น่าตลกเปน็ ส่วนใหญ่ แคส่ กั ๒๐ ปีทีผ่ า่ นมาน้ี ก็มีเร่อื ง คอมพวิ เตอร์ เรือ่ งอินเตอรเ์ นต เรอ่ื งอะไรต่ออะไร ซงึ่ ท�ำ ให้สังคมเราชีวติ เราเปล่ียนไปอยา่ งมาก ขณะน้ีเรากำ�ลังจะเข้ายุคท่ีต้องรับผลจากภาวะ โลกร้อน พลังงานกำ�ลงั จะเป็นปัญหา น�ำ้ มันจะลดนอ้ ย ลง เราไม่รวู้ า่ ต่อไปจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร รู้แตว่ า่ มัน จะไม่เป็นอย่างที่เป็นทุกวันน้ี เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ ประมาท ต้องเตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะรับทุก
28 อย่าง ถ้าคิดในแงร่ า้ ยเกนิ ไป วิตกกงั วลเปน็ ทุกข์ นัน่ ก็ ไม่ใช่ คิดในแง่ดีเกินไปว่า เด๋ียวนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ เขาคงจะเป็นอัศวินม้าขาวมาแก้ปัญหาให้เราได้ อย่าง นก้ี เ็ รยี กว่าประมาททง้ั ๒ อย่าง ให้ฝกึ ตัวเองใหพ้ รอ้ มท่ี จะทำ�สิง่ ท่ีถกู ตอ้ งอย่เู สมอ เราจงึ จะเดินเข้าไปสูอ่ นาคต ท่ีไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยจิตใจที่ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก หากพรอ้ มทจ่ี ะได้กำ�ไรเสมอ ข้อที่ ๗ คือ โยนิโสมนสิการ รู้จักคิด รู้จัก พิจารณา ทุกวนั นีเ้ รามกั จะเปน็ ทกุ ขเ์ พราะความคดิ คดิ ไม่เป็น คดิ ไม่ถกู หลกั คิดเรื่อยเปื่อย ความคิดทีจ่ ะให้ ผลดีมีเง่ือนไขว่า หนึ่ง เราต้องสามารถขจัดความคิด ท่ีท�ำ ใหฟ้ ุ้งซา่ นเปล่าๆ ไมเ่ กดิ ประโยชน์ พวกขยะสมอง นี่ก็เป็นเรื่องของการเจริญสติ เป็นต้น พอจิตใจเร่ิมจะ คิดในสิ่งท่ีไม่เขา้ ท่า เราก็รู้ตัว แล้วกป็ ล่อย รู้ตวั แล้วก็ ปล่อย ฝึกใหร้ ้ตู วั เอง รู้อารมณต์ วั เองในปจั จบุ ัน รูจ้ กั ปล่อยวางอารมณ์ท่ีเปน็ พษิ เป็นภยั ต่อชวี ติ จิตใจ เหมือน กับเรามีห้องที่รกรงุ รงั เรากเ็ อาเฟอรน์ เิ จอร์เอาของท่ไี ม่
29 ไดใ้ ช้ออกไป เนือ้ ท่หี ้องถงึ จะเท่าเดมิ แต่เราจะรู้สกึ วา่ มัน ปลอดโปร่งน่าอยู่ข้ึน เราก็เก็บไว้เฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่ เราต้องการจะใช้อย่างเดียว สมองเราทุกวันนี้มันรก มาก เราจงึ คิดอะไรไมค่ ่อยจะออก เราคิดเขา้ ขา้ งตวั เอง ดว้ ย คิดตามอำ�นาจของกิเลส ของความอยากได้ ของ ความกลวั หรอื ความกังวล เปน็ ต้น เราตอ้ งรจู้ ักระวังจิตใจ เรอื่ งการใช้เหตุผล ไม่ให้ อารมณ์เข้าไปครอบงำ� เปรียบเสมอื นกับพระจันทร์เตม็ ดวงเมื่อวนั ก่อน แตก่ ลับมดื เพราะเงาของโลก ไดท้ ำ�ให้ สิ่งที่น่าจะสว่างกลายเป็นมืดไป จันทรุปราคานี้เกิดข้ึน ปีละครั้งหรือสองปีคร้ัง แต่ว่าจิตใจของเรานี่มันมืดอยู่ บอ่ ยๆ เพราะเงาของอารมณ์ต่างๆ มาครอบง�ำ เราจึง ต้องรักษาจิตใจไว้เพื่อที่เราจะได้ใช้ความคิดให้เป็น ประโยชน์ ความคิดในการที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริงก็ อย่างหน่ึง นอกจากนั้นเมื่อเรากำ�ลังคิดปรุงแต่งไปใน
30 ทางรา้ ย ไปในทางทีท่ ำ�ให้เป็นทกุ ข์ เราก็เปล่ียนความคิด ได้ เชน่ ก�ำ ลังโกรธใคร คิดวา่ เขาแย่อยา่ งน้ันอย่างนี้ เขา ไมน่ ่าทำ�อยา่ งนั้นไมน่ า่ ทำ�อยา่ งน้ี ยิ่งคดิ ย่งิ รอ้ น เรากต็ อ้ ง เปล่ียนความคิด คดิ ยังไงคดิ ไปในทางไหนท่จี ะทำ�ให้เย็น ลง ใหส้ บายข้ึนน่เี ปน็ ศิลปะชีวติ ทจี่ ะต้องรูจ้ ักคิดในทางที่ จะแกอ้ ารมณ์ตวั เอง ไม่ใชว่ า่ เมือ่ เกดิ อารมณท์ ุกข์ เดอื ด ร้อนใจแล้วกต็ ้องไปทานยา ต้องไปดมื่ เหล้า ต้องไปเที่ยว หรือต้องไปหาความบันเทิงมากลบเกลื่อนความทุกข์ แต่ให้เรารู้ว่าความทุกข์เกิดจากความคิดผิด และเรา สามารถปรบั ความคิดได้ คิดพจิ ารณาให้จติ ใจเป็นกศุ ล ในทุกๆ เหตกุ ารณ์ได้ คดิ ให้จิตใจน้อมมาสคู่ วามจรงิ คือ ความไมแ่ นน่ อน เป็นต้น คดิ เช่นนใ้ี ห้ไดอ้ ย่เู สมอ น่ีเป็น เรือ่ งของปัญญา สรุปได้ว่าบุพนิมิตของอริยมรรค หรือคุณธรรม ท่ีเราต้องพัฒนาในจิตใจในชีวิตตัวเอง เพื่อความเจริญ งอกงามย่ังยืนนั้นก็คือ ความเปน็ กลั ยาณมิตร การคบ กลั ยาณมิตร การถงึ พรอ้ มด้วยศีล ด้วยการฝกึ ปรอื กาย
31 วาจาของเราใหง้ ดงาม ปราศจากโทษ เรอ่ื งการเปล่ียน กระแสความอยาก จากความอยากที่เปน็ ตณั หาให้เปน็ ความอยากแบบฉันทะ เป็นกุศลฉันทะให้มากข้ึน ให้ เปน็ ผทู้ ถ่ี งึ พรอ้ มดว้ ยอตั ตสัมปทา ฝึกตนเอง ดตู นเองว่า มขี อ้ บกพรอ่ งตรงไหน กไ็ ปปรับปรุงแก้ไขที่ตรงน้ัน ไม่ ว่าในเร่ืองของกาย เร่ืองการปฏบิ ัตติ อ่ สง่ิ แวดลอ้ ม เร่ือง จติ ใจ เร่อื งปัญญา ก็รบั ร้แู ละพฒั นาดูแล ทำ�ใหส้ ่งิ ดงี าม ในจติ ใจเราดียง่ิ ๆ ขึ้นไป เรือ่ งทฏิ ฐิ ฝกึ ความคิด ความ เชอื่ ถือ คา่ นยิ ม หลักการชวี ติ ตา่ งๆ ให้ถกู ตอ้ งดงี าม ฝกึ ให้เป็นคนไม่ประมาท พร้อมที่จะรับรู้และปฏิบัติให้ถูก ต้องกับส่ิงที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่เสมอ เป็นผู้ท่ีรู้จักคิดใน เวลาท่ีสมควรคิด คิดในการแก้อกศุ ลแก้ความทุกข์ในใจ และส่งเสริมสิ่งท่ีดีงาม และความคิดที่จะนำ�ไปสู่ความ จรงิ ให้เปน็ ปญั ญาในทสี่ ดุ ขอให้ทุกคนได้นำ�สิ่งที่ได้แสดงธรรมในวันน้ีไปคิด ไปพิจารณาเพ่ือเปน็ กำ�ไรชวี ติ ตอ่ ไป ไดค้ วามรูค้ วามสุข จากการฟังธรรมน้ีโดยทัว่ กัน
32 กอ่ นจะจบลงในวนั นี้ ขอให้เราเจรญิ สมาธิภาวนา เพ่ือถวายเป็นพระราชกุศล และเพื่อเป็นการสร้างบุญ กศุ ลใหแ้ กญ่ าติโยมทุกคน การภาวนาเป็นการฝกึ ใหร้ ูจ้ กั ตื่นรอู้ ยใู่ นปจั จุบนั อย่างไมง่ ว่ งและไมฟ่ ุ้งซ่าน เปน็ ความ ปกติของจติ ใจ จติ ใจทต่ี ื่นรู้อยู่ในปัจจุบนั ไมฟ่ ้งุ ซา่ น ไม่ ง่วง เป็นจติ ใจท่ีมพี ลงั เป็นจติ ใจทีม่ คี วามสขุ และเป็น ฐานท่ีจะนำ�ไปสู่ปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ในเร่ือง น้ีเราต้องปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม วันน้ีเราน่ังอยู่ ในที่สงบพอสมควร เสียงที่ได้ยินก็มีแต่เสียงนก ไม่มี เสียงรถเสียงราเสยี งรบกวน ดินฟา้ อากาศก็ไมร่ ้อนมาก ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่เอ้ือพอสมควรต่อการนั่งเจริญ สมาธิภาวนา เรื่องของกาย เราก็น่ังในลักษณะที่ป้องกันความ ง่วงให้มากท่ีสุด ป้องกันความง่วงโดยอิริยาบถที่ตั้ง ตรงแตไ่ ม่เกร็ง ป้องกนั ความฟุง้ ซา่ น โดยอิรยิ าบถ คอื พยายามนงั่ ใหน้ งิ่ น่ีก็เปน็ การนงั่ ในลักษณะทจี่ ะป้องกนั
33 กิเลสได้บ้าง จากน้ันเราก็มาสนใจธรรมชาติ คือ ลม หายใจของเรา ธรรมชาตินี้พอเราน้อมจิตมาอยู่กับลม หายใจ จะเห็นว่าลมหายใจไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร เป็นอาการของกายซ่งึ มอี ยแู่ ล้ว แตโ่ ดยปกติเราไม่ค่อย ได้สนใจลมหายใจ นอกจากในกรณีที่หายใจไม่ออก เท่านั้น เราจะถอื วา่ เปน็ อบุ าย เปน็ เครอ่ื งระลกึ ของสติ เปน็ เคร่อื งรูข้ องใจ เพอ่ื จิตจะได้ปล่อยวางสง่ิ อ่นื ๆ เหลอื แต่สิ่งเดยี ว คอื ลมหายใจ ในเบอื้ งต้น ถา้ เรายังไม่ถนดั เรายงั ไมต่ ้องก�ำ หนด ลมหายใจ ณ จดุ ใดจดุ หนง่ึ ในกาย สกั แต่ว่ารับร้วู ่าลม หายใจเขา้ ก็เขา้ ลมหายใจออก ก็ออก ร้ใู นส่วนใดของ กายก็ไม่สำ�คัญ รู้สึกเหมือนกับร่างกายเป็นลูกโป่งก็ได้ ที่พองแล้วยบุ พองแล้วยุบ เราไมต่ ้องต้ังใจหายใจ เรา หายใจอย่แู ลว้ แต่ต้องการให้จิตใจอยู่กับลมหายใจอย่าง เดียว ถ้าจิตใจจะคิดเร่ืองอื่น ไม่ต้องรำ�คาญ ไม่ต้อง ท้อแท้ ไม่ต้องเพลินอยู่กับความคิดนั้น แต่พอรูส้ กึ ว่า
34 ไม่ใช่ส่ิงท่ีเราต้องการจะได้รับรู้ในปัจจุบันน้ี เราก็ปล่อย วาง คือเป็นการฝึกในการปล่อยวางสง่ิ ทีไ่ มใ่ ชธ่ ุระของเรา เมื่อจิตใจเราอยู่กับลมหายใจในปัจจุบัน โดยไม่ ตอ้ งคิด ไม่ตอ้ งยุ่งอย่กู บั ความจำ� หรือจนิ ตนาการตา่ งๆ จะมีความสุขทันที เป็นความสุขที่เยือกเย็น ความสุข ง่ายๆ ความสุขท่ีเกิดจากการไม่ต้องดิ้นรนไปหาความ สขุ ท่ีอน่ื พอปลอ่ ยวางความต้องการจะไดค้ วามสขุ ความ สุขก็เกิดข้ึนเอง เมื่อเราพอใจ สนใจในการกระทำ� มี ฉันทะในการภาวนาเห็นคุณค่าของการฝึกจิตตัวเองแล้ว กน็ อ้ มจิตไปอยู่กับลมหายใจ ณ จุดใดจดุ หนึ่งของกาย เชน่ ทป่ี ลายจมูกเป็นตน้ จดุ ไหนก็ไมส่ �ำ คัญ แต่ขอใหเ้ ป็น จดุ ทร่ี สู้ ึกสบาย และการสมั ผสั ของลมชัดเจน น่ันจะเป็น ที่ทำ�งานของเรา ท่ีท�ำ ความเพยี ร ที่พฒั นาจติ ใจของเรา อยูต่ รงจดุ นี้ การอยกู่ ับลมหายใจน้นั ไมต่ อ้ งเพ่ง ถา้ เพ่งแล้วจะ เครยี ด แต่ต้องการสรา้ งความรสู้ กึ เหมอื นจติ ใจ คือตัวรู้
35 กับลมหายใจเป็นเพื่อนสนิทกัน เพื่อนรักกัน ต้องการ จะสนทิ สนม ตอ้ งการจะอย่ใู กล้ชิด ไมต่ ้องการทีจ่ ะทิ้ง กันแมแ้ ต่ ๑ วินาที และเราตอ้ งรักษาความตั้งใจตลอด ลมหายใจเข้า ตลอดลมหายใจออก เราอาจจะใช้คำ� บริกรรม เชน่ พทุ โธ คอยก�ำ กับจิตใจไวก้ ับลมหายใจก็ได้ หรือจะนับลมหายใจกไ็ ด้ หาวธิ ีทเ่ี หมาะกับตัวเอง ที่จะ ให้จติ ใจตื่นรอู้ ยใู่ นปจั จบุ ันดว้ ยลมหายใจเขา้ ตื่นรู้อยู่ใน ปจั จุบนั ดว้ ยลมหายใจออก...
ชยสาโร ภกิ ขุ นา มเด มิ ฌอน ชเิ ว อรต์ นั (Shau n Ch iv erton) พ .ศ.๒๕๐๑ เกดิ ท่ปี ระเทศองั กฤษ พ.ศ.๒ ๕๒๑ ได้พบกบั พร ะอาจาร ยส์ เุ มโธ (พระราชสเุ มธาจารย์ วดั อมราวดี ประเทศอังกฤษ) ท่ีวหิ ารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ ถอื เพศเปน็ อนาคารกิ (ปะขาว) อยกู่ บั พระอาจารยส์ เุ มโธ ๑ พรรษา แล้วเดนิ ทางมายงั ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเป็นสามเณร ทว่ี ดั หนองป่าพง จังหวัดอบุ ลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อปุ สมบทเป็นพระภิกษุ ทวี่ ัดหนองปา่ พง โดยมี พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทั โท) เปน็ พระอุปชั ฌาย์ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔ รกั ษาการเจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จังหวดั อุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปจั จุบัน พ�ำ นกั ณ สถานพำ�นกั สงฆ์ จังหวัดนครราชสีมา
มลู นิธปิ ญั ญาประทีป ความเป็นม า มลู นธิ ิปญั ญาประทปี จดั ตง้ั โดยคณะผ้บู รหิ ารโรงเรยี นทอสี ดว้ ยความรว่ มมอื จากคณะครู ผู้ปกครองและญาติโยมซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ชยสาโร กระทรวง มหาดไทยอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ เลขที่ทะเบียน กท.๑๔๐๕ต ั้งแต่ว ันท ี่๑ เมษายน๒ ๕๕๑ วตั ถุประสงค์ ๑) สนับสนุนการพัฒนาสถาบันการศึกษาวิถีพุทธที่มีระบบไตรสิกขาของ พระพุทธศาสนาเป็นหลัก ๒)เผยแผ่หลักธ รรมค ำ�สอนผ ่านการจัดการฝึกอ บรมและปฏิบัติธ รรมแ ละ การเผยแผ่ส่อื ธ รรมะรูปแบบต ่าง ๆโดยแจกเปน็ ธ รรมทาน ๓)เพิ่มพูนความเข้าใจใ นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างม นุษย์และสิ่งแ วดล้อม สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมการด ำ�เนินชีวิตต ามห ลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ๔)รว่ มม อื กบั องคก์ รการก ศุ ลอน่ื ๆ เพอ่ื ด �ำ เนนิ กิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์
ค ณะท ปี่ รึกษา พระอาจารย์ชยสาโรเป็นองค์ประธานที่ปรึกษา โดยมีคณะที่ปรึกษาเป็น ผู้ทรงค ุณวุฒิใ นส าขาต ่าง ๆอ าทิด้านน ิเวศวิทยาพ ลังงานท ดแทนส ิ่งแ วดล้อมเกษตร อินทรีย์เทคโนโลยีส ารสนเทศ ว ิทยาศาสตร์ส ุขภาพก ารเงินกฎหมายการส ื่อสาร การละครดนตรีวัฒนธรรมศ ิลปกรรมภ ูมิปัญญาท้องถ ิ่น คณะกรรมการบ รหิ าร มูลนิธิฯ ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์นายแพทย์ปรีดา ทัศนประดิษฐ เป็นประธานคณะก รรมการบ ริหารแ ละม ีคุณบ ุบผาส วัสดิ์ร ัชชตาตะนันท์ผ ู้อ ำ�นวยก าร โรงเรียนทอสีเป็นเลขาธิการฯ การดำ�เนินก าร •ม ลู น ธิ ฯิ เปน็ ผ จู้ ดั ต ง้ั โรงเรยี นม ธั ยมป ญั ญาป ระทปี ใ นร ปู แ บบโรงเรยี นบ ม่ เพาะ ชีวิตเพื่อด ำ�เนินกิจกรรมต่างๆด้านการศึกษาว ิถีพ ุทธให้บ รรลุว ัตถุประสงค์ของมูลน ิธิฯ ข้างต ้นโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ท ี่บ ้านห นองน ้อยอ ำ�เภอปากช่องจังหวัดน ครราชสีมา •มูลน ิธิฯร ่วมมือก ับโรงเรียนทอสีในการผ ลิตและเผยแผ่ส ื่อธ รรมะแจกเปน็ ธรรมท าน โดยในสว่ นข องโรงเรยี นทอสีฯได้ดำ�เนินการตอ่ เนอ่ื งต งั้ แต่ ป ี พ .ศ.๒ ๕๔๕
พมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org ชยสาโร ิภก ุข
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: