51 กลาวถึงวิถีแหงพุทธะนั้นวาดวยเร่ืองการฝก เหตุใดจึงวาดวยการฝก เพราะองคพระศาสดา ทรงมีพระนามหนง่ึ วา ปรุ ิสทมั มสารถิ เปนสารถฝี กบุรุษทีส่ มควรฝก ดงั พระพทุ ธดาํ รสั วา “ดูกรอานนท เราจักไมทะนุถนอมพวกเธอ เหมือนชางหมอ ไมทะนุถนอมหมอดินที่ยัง เปย ก ๆ อยู (ตบตีหมอดิน) เราก็เชนกัน จักขมแลวขมอีกจึงกลาวเตือน จึกยกแลวยกอีกจึงบอก กลาว ผูใ ดมสี าระแกน สาร ผูน้ันจงึ จะดํารงอยไู ด” ผูป ระเสรฐิ เกิดจากการฝก ฝน สําหรับบุคคลท่ีไดร บั การฝก ฝนอบรมตนดแี ลว เปน ผูควรแกก ารเคารพกราบไหว เปรียบ เหมือนโตะ หมบู ูชาอันเปน ที่รองรับพุทธปฏิมากร เมื่อเรากราบพุทธปฏิมากรกเ็ ทา กับกราบโตะ หมู บูชานัน้ ดว ย นัน่ หมายถึงวา ไมที่รองรับพทุ ธปฏิมากรน้นั ไดถ กู แกะสลกั เสลาขัดเกลาดีแลว จงึ ควร คามารองรับส่ิงเลศิ ประเสรฐิ สุด ถา เปน ไมดิบ ๆ หรอื ไมแหง ที่ทงิ้ อยูในปา ก็ไมมีคาอะไรนอกจาก นําไปเปนถา นฟน เผาไฟ ขอ นี้ฉนั ใด คนเรากฉ็ ันนั้น ตอ งฝก ฝนอบรมตนจงึ จะมคี ณุ คา มิฉะนนั้ ก็ เหมือนไมท ่ีทงิ้ อยใู นปา เพราะผูท ่ีฝก ฝนอบรมตนดีแลวเปนผูประเสรฐิ ดงั พระพทุ ธพจนว า “ทนโฺ ต เสฏโ ฐ มนสุ ฺเสสุ ผทู ่ีฝก ดแี ลว ประเสรฐิ ในหมูม นษุ ย” เรามพี ยานบุคคลท่ีประสบผลสําเรจ็ ในการฝกนนั้ คือพระพุทธเจา พระองคไดเร่มิ จากความ เปน ปุถุชนคนธรรมดามาบาํ เพญ็ บารมธี รรมและฝก ฝนอบรมตน จนพระชาติสุดทา ยเสวยพระชาติ เปนเจาชายสทิ ธตั ถะ ยังมาพฒั นาฝกฝนตนเอง ดวยการเสดจ็ เขา สูสํานักปฏบิ ตั ธิ รรมทม่ี ชี ื่อเสยี งใน กาลนน้ั ทดลองปฏิบตั ดิ วยวิธีการตา ง ๆ อยางยง่ิ ยวด จนในท่ีสดุ กท็ รงบรรลอุ นุตรสมั มาสมั โพธิ ญาณ สาํ เร็จเปนพระพทุ ธเจา ผปู ระเสรฐิ สูงสุดกวา เทวดาและมนษุ ยท ้ังหลาย ตอ มามพี ระอรหนั ต สาวกมากมายไดผ านกระบวนการฝก ทพี่ ระองคท รงแสดงไว สําเรจ็ เปน ทกั ขไิ ณยบุคคลผปู ระเสริฐ สุดควรแกก ารนบนอมอญั ชลี พระพทุ ธเจาและพระอรหนั ตสาวกท้งั มวลก็ลว นแตเปน พยานบุคคล หรอื เนติตวั อยา งของเราชาวพทุ ธทงั้ หลาย เสน ทางชีวติ ลขิ ิตไดด ว ยตนเอง ดงั นน้ั การอบุ ัตขิ น้ึ มาของพระพทุ ธศาสนาจึงเปนไปเพอื่ ปลดแอก ประกาศอสิ รภาพของ มวลมนษุ ยออกจากพระผูเปน เจา พระพุทธศาสนาแสดงวา มนุษยน น้ั สามารถพัฒนาฝกฝนตนเขาสู เปา หมายสูงสดุ คอื มรรคผลนพิ พานไดโ ดยไมตอ งอาศยั พระผเู ปนเจา แตอาศยั ตนนแ่ี หละพฒั นาตน ดงั พระพทุ ธพจนวา “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเปนทพี่ ่ึงของตน” ดงั นั้นพระพุทธองคจ ึงตรัส เตอื นภกิ ษุทงั้ หลายวา “เธอทัง้ หลายจงมตี นเปนเกาะ มตี นเปน ทพี่ ่งึ อยาเปนส่ิงอ่ืนเปน ท่ีพึ่งเลย มี ธรรมเปน เกาะ มธี รรมเปนท่ีพึ่ง อยา มีสงิ่ อนื่ เปนที่พ่งึ เลย”
52 กอ นหนา ทพี่ ระพุทธศาสนายงั ไมอุบตั ขิ ้ึนมา มนษุ ยน นั้ มสี ภาพจติ ออ นแอ เมื่อถกู ภยั คกุ คาม ก็หนั หาปาไม ภูเขา หรืออารมเจดียว าเปน สรณะทพ่ี ึ่ง ดงั พระพุทธคาถาวา พหุ เว สรณํ ยนฺติ วนานิ ปพฺพตานิ จ อารามรกุ ขฺ เจตยฺ านิ มนสุ สฺ า ภยตชฺชติ า ฯ สว นมาก มนุษยเมอ่ื ถูกภยั คกุ คาม ก็ถงึ ปา ไม ตน ไมภเู ขา อารามเจดยี วาเปน สรณะที่พงึ่ ฯ เพราะมนษุ ยม สี ภาพจิตทอ่ี อ นแอน่นั เอง จงึ ไมอ าจปกปอ งคุมครองตน และไมม ัน่ ใจวา จะ พฒั นาตนได จึงหันหาทพี่ งึ่ ในภายนอก เม่อื เกดิ ความหวาดกลวั ก็เซนสรวงภตู ผีปศ าจ จนกลายเปน การนบั ถือเทพเจา และพฒั นาออกมากลายเปนศาสนา เรยี กวา ศาสนาเทวนิยม (Theism) คือนบั ถอื พระเจา เชน ศาสนาครสิ ต อสิ ลาม เหลาศาสนกิ ชนก็ถงึ พระเจา (God) วา เปน สรณะที่พ่ึง ให ความเคารพนบั ถอื ยําเกรง หากทําดพี ระเจา จะโปรดปรานประทานรางวลั ให หากทาํ ชั่วพระเจา จะ พโิ รธลงโทษทัณฑ ดังปรากฏในคร้ังท่ีโมเสสพาชาวยวิ อพยพออกมาจากประเทศอยี ปิ ต เดนิ ทางเขา สดู ินแดนแหงพันธสัญญาท่พี ระเจาประทานไว โมเสสพาชาวยวิ หลายหมื่นคน วากนั วา ๔๐,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ คน เดนิ ดน้ั ดน มาตามทางทรุ กนั ดารอันรอนระอุ ขามทะเลแดงถึงภูเขาซีนาย พากนั ตงั้ คาย พักแรมทีเ่ ชิงเขา เนือ่ งจากคนหมมู ากหลากหลายพอ พนั แมไมสงบเรียบรอ ย เกิดทะเลาะเบาะแวงชก ตอยตบตีกนั และถงึ กบั ลวงละเมิดประเวณี โมเสสไมส ามารถใหค นหมูมากยอมเชอ่ื ตนสงบสามคั คี กนั ได จึงขน้ึ ไปท่ีภเู ขาซีนายเปนเวลา ๔๐ วัน และลงมาพรอมกบั ศลิ า ๒ แผน ในแผนศิลานั้นถกู สลกั ดวยอกั ษรภาษา โมเสสกลาววา “นค้ี อื บัญญัติ ๑๐ ประการของพระเจา ท่ีไดทรงประทานใหแ ก เราทั้งหลาย พวกเราจะตองปฏบิ ัติตาม หากผใู ดไมย อมปฏิบัตติ าม พระเจา จะลงโทษ” ในบญั ญตั ิ ๑๐ ประการนน้ั ๓ ขอตนมคี วามวา ๑. อยามพี ระเจา อนื่ ใดนอกจากเรา ๒. อยาสรางรปู เคารพสําหรบั ตัวเอง และอยากราบไหว ๓. อยาเอย นามพระเจา อยา งไมบ งั ควร ศรัทธาจะบอดใบหากไรป ญ ญา ชาวยวิ ทุกคนตา งก็ยนิ ดีปฏิบตั ิตามบัญญัตขิ องพระเจา แตสําหรับชาวพทุ ธกลาวถงึ ความเชอื่ ในลักษณะเชน นัน้ วาเปน ศรทั ธาญาณวิปยตุ คอื ความเชอื่ ทป่ี ราศจากปญ ญา ไมตอ งไปพิสจู นว าพระ เจา จะมจี รงิ หรอื ไม ใหเ ชื่อปฏบิ ัตติ ามนน้ั จะดีเอง เปน การปกใจเชื่อเลย ทางวิชาการเรียกศรทั ธา ประเภทนนั้ วา Dogma คือความเชือ่ แบบตายตัวไรก ารพสิ ูจน หรอื ความเชือ่ แบบดนั ทุรงั ไมม ี เหตผุ ล ในทางพระพทุ ธศาสนากใ็ หเช่อื เหมือนกนั เรยี กวา ศรัทธา ๔ คอื
53 ๑. กรรมศรัทธา เช่ือในเรอื่ งกรรม ๒. วิบากศรัทธา เชื่อในเร่ืองผลของกรรม ๓. กมั มสั สกตาศรัทธา เชื่อในเร่อื งความมกี รรมเปนของ ๆ ตน ๔. ตถาคตโพธศิ รทั ธา เชื่อในการตรัสรูข องพระตถาคตเจา ขอสดุ ทายมีความคลา ยคลงึ กับศาสนาเทวนิยม คือเช่ือพระเจา แตที่พระองคตรัสเชน น้มี ิได เปนไปเพื่อผลประโยชนของผกู ลา ว แตเพอื่ ประโยชนสขุ ของผสู ดับ ใหผฟู งมีความเช่ือ ยอมรับ สมาทานกอน ถา ไมเชื่อเลยจะไมย อมรับสมาทาน จึงมคี วามจําเปน ทจ่ี ะตองเชือ่ ม่ันในการตรสั รูของ พระองคกอ นเขาสกู ารปฏบิ ตั ิ แตมใิ หป ก ใจเชอื่ ทนั ที ยงั เปดโอกาสใหใ ชปญ ญาพจิ ารณาใครครวญ (โยนิโสมนสกิ าร) มปี ญญาไตส วนตรวจสอบ ศรทั ธาในทางพระพทุ ธศาสนาจงึ ชอ่ื วา ญาณสัมปยุต คือความเชอื่ ที่ประกอบดว ยปญ ญา ไมมศี รทั ธาเดียว ๆ โดด ๆ แตมปี ญ ญามาประกอบการพจิ ารณา อยดู ว ย ศรทั ธาในทางพระพทุ ธศาสนาจึงเอ้อื ใหเกิดการพฒั นาปญ ญาเพ่ือไตเตาเขา ไปสูความรแู จง ทวา ในเบือ้ งตน จะตอ งมศี รทั ธาเปน แกนนาํ กอ น มาดว ยความสงสยั อาจจะกลับไปดว ยความฟงุ ซา น มาดวยศรัทธาจะกลบั ไปดว ยปญ ญา เพราะไมมาเชอื่ อยา งเดียว แตม าประพฤตปิ ฏิบัติดวย ดังนน้ั ขอใหทา นสาธชุ นทม่ี าประพฤตปิ ฏิบตั ิมีศรทั ธา นอ มใจเช่อื กอน จึงคอยนําหลกั การและวธิ ีการ ปฏิบตั ิไปฝก ปฏิบตั ดิ ูวา จะเปน อยา งไร ฝก ทําไม เพ่ือประโยชนอ นั ใด ก็ฝกปฏบิ ตั ิเพอ่ื พักผอน ระงบั ความทกุ ข ใหเ กิดความสงบสุข เพราะชีวติ น้ีมแี ตก ารดน้ิ รนจงึ ทกุ ขร อน ทุกขก ายทุกขใจมีอะไรเปนสาเหตุ ถา จะแบงความทกุ ขออกมางาย ๆ กม็ อี ยู ๒ ประการ คือ ๑. กายทกุ ข ทุกขท างกาย (Physical suffering) ๒. จติ ทุกข ทุกขท างจติ วญิ ญาณ (Spiritual suffering) ปจจยั ทท่ี ําใหเ กดิ ความทุกข คอื กิเลสเหตุแหง ความรอน จงึ ปฏิบตั ิเพอ่ื ลดความรอ นลง ญาติโยม ทงั้ หลายทีม่ าปฏิบตั ิ ในเบื้องแรกเปน เหมอื นแกวนาํ้ รอนทนี่ ํามาตั้งไวซ ง่ึ ยงั รอน ๆ อยู กวาจะอนุ จะ เยน็ ลงก็ตองใชเวลา เยน็ แลว นําไปแชใ นตูเยน็ กวาจะเยน็ ไดระดบั ก็ตอ งใชเวลาอกี ฉันใด การปฏบิ ัติ ใหม ๆ กฉ็ นั นนั้ ตองคอ ยเปน คอยไป ปฏบิ ตั ิตามวิธีการที่พระวิปส สนาจารยแนะนําให ดว ยการเดนิ จงกรมและน่ังสลบั สบั เปล่ยี นกนั ไป พระวิปส สนาจารยจะบอกใหท าํ ชา ลงกวา ปรกติ ความจริง สภาพรางกายสามารถทําชาไดอ ยแู ลว แตท ีช่ าไมไ ดเ พราะใจรอ น รา งกายสามารถเหยยี ดออกไปชา ๆ คเู ขามาชา ๆ นีค้ อื วธิ ีการฝกท่ที าํ ใหใจเยน็ ลง เม่ือฝก ก็ตองฝน เปนธรรมดา ทาํ ใหช าลงหนอย คอ ย ๆ ฝก คอย ๆ ฝนไป ในไมช าก็จะชนิ และกลายเปนเรือ่ งปกติ กลาวถงึ ความรอ น อะไรเปน เหตุปจ จัยทําใหเกดิ ความรอ น ทางพระพทุ ธศาสนาไดแสดงไว วา สิ่งที่ทําใหร อนคือกเิ ลส เปนไฟมากลุมรุมเผารนจติ ใจใหร มุ รอน ดงั พระพทุ ธคาถาวา
54 นตถฺ ิ ราคสโม อคคฺ ิ นตฺถิ โทสสโม กลิ นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกขฺ า นตถฺ ิ สนตฺ ปิ รํ สุขํฯ ไมมไี ฟรอนเราเทา ราคะ อันโทสะกไ็ มมกี ลเี สมอ ไมมีทุกขเทาขนั ธต อ งหมั่นเปรอ สุขเลศิ เลอเทา สขุ สันตน้นั ไมม ี ฯ กลัวอะไรก็กลัวไปแตขอใหกลัวกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ คือไฟทที่ ําใหเกดิ ความรอน รอ นขน้ึ มาคราใดกท็ กุ ขข นึ้ มาครานั้น ภาวะ ของความรอ นจึงควรคลายระบายออกไปหรอื ลดความรอ นลง กิเลสทง้ั ๓ ตัวนเ้ี ปนกเิ ลสทีน่ ากลวั หากเราตกไปสูกระแสของมนั จะมพี ฤติกรรมทไี่ มพ ึงประสงคแสดงออกมา ถา ถามวเ กดิ มานก้ี ลัว อะไร จะไดร บั คําตอบหลาย ๆ อยา งวา กลวั ทุกขย ากลําบาก กลัวไมมอี ยูไมม ีกนิ กลวั เจบ็ ไขไ ดปว ย กลวั ตาย เหลา นี้เปนเรือ่ งทนี่ ากลวั ไมน อย แตก เิ ลสเปน เรอื่ งทีน่ ากลวั กวา เพราะถาเราลุแกอาํ นาจ ของมันไปทาํ ความผดิ ก็เกดิ ทุกขโทษตามมา และตอ งชดใชว บิ ากกรรม เชน ลุแกอ ํานาจของโทสะ ก็ ดาวาชกตอยตบตจี นถึงขนาดฆาฟน กนั ตอ งไปตดิ คกุ ตดิ ตะรางรับโทษทณั ฑ กิเลสจึงเปน เรอื่ งทน่ี า กลวั อาตมาอยทู ว่ี ัดชนะสงคราม คร้ังหนงึ่ มีชาวธรรมกายจาํ นวนมากมาชุมนุมกนั ภายในวัดเพอื่ เรยี กรอ งขอความยตุ ธิ รรม เจาประคณุ สมเดจ็ พระมหาธีราจารย ไดล งมาทาํ วตั รเชาสวดมนตไหว พระ เสร็จแลว กป็ รารภข้นึ วา “ความยุตธิ รรมอยทู ี่ไหน อยูท่คี วามถกู ใจหรอื วาความถูกตอ ง เขามาเรยี กรองขอความ ยตุ ิธรรมจากเรา ครั้นเราไมใ หตามทเี่ ขาขอ ก็ตอ วา เราไมมคี วามยุตธิ รรม นค่ี อื ความยตุ ธิ รรมตาม ความถกู ใจทไี่ มถ ูกตอง ความยตุ ธิ รรมจะตอ งมาพรอ มกบั ความถูกตอ งมิใชถ ูกใจ ขอใหจําไวอ ยา ง หนง่ึ วา กลวั ผดิ ผมกลวั กลวั ตายผมกลัว แตกลวั คนผมไมก ลวั ถา ผมตรี ะฆังดังข้นึ มาเมอ่ื ไหร ใคร จะเฉย ก็เฉย ใครจะมาก็มา จาํ ไวน ะเราเกดิ มาเจอคนไมต องกลวั คน” เจา ประคุณสมเด็จไดกลาวเชน นี้ เพอื่ บอกวา “ไมตองกลวั คน แตใ หก ลวั ความผดิ ” คือทาน จะไมทาํ ผดิ ตอ ธรรมวินยั ถา เราไมอยากทาํ ความผดิ ก็ตองกลวั กิเลส กลวั ราคะ โทสะ โมหะ ถาไมก ลัว สามตัวนตี้ กไปสกู ระแสอํานาจของมนั กต็ องทําความผดิ เปนแนแ ท มีนกั เทศนอ ยทู างภาคอีสานรูปหนึ่ง มาเยยี่ มอาตมา เลา ใหฟง วา “เวลาผมไปเทศนสอนญาตโิ ยมทไี ร มักจะถามวา โยมกลวั อะไร เกดิ มานกี่ ลวั อะไร อาตมาวา โยมตองกลัวโกรธนะกลวั โกรธใหคนอนื่ เพราะอะไรรมู ยั้ ถา โกรธขึ้นมาแลว เดยี๋ วกจ็ ะดา วา ตบตี บางทถี งึ กับฆา ฟน ตอ งถกู จบั ไปติดคกุ ตดิ ตะราง เวลาเชา โยมต่นื ขึ้นมาใหอ ธษิ ฐานจติ บา ง นะวา “วนั นข้ี า พเจา จะไมโกรธ ถึงโกรธกจ็ ะไมดาวา ไมแ สดงอาการใด ๆ ดว ยความโกรธ ตอง
55 อธษิ ฐานจติ ไวอ ยา งนี้ อธษิ ฐานจติ เสร็จแลวก็ไปนงึ่ ขาว นง่ั นง่ึ ขา วกาํ ลงั ไดที่ใกลจะสุกเต็มทแี ลว แมวไมรูว ากระโดดมาจากไหน ชนหวดขา วนงึ่ ขาวควาํ่ ลงเพงเลง แตก อ นถา แมวกระโดดมาชน แบบนี้ กบ็ อกลกู บอกหลานใหชวยกนั จบั แมว จับไดก็ตอ งตี แตค ราวนมี้ ีสตริ ทู นั เพราะไดอธิษฐาน จิตไว เออ หวดมันลม ลงมาแลว ก็ไมเ ปน ไรนึ่งใหมไ ด ไมต อ งโกรธ ระงบั ความโกรธเสยี ” ในทางวิปสสนาถา เกิดความโกรธข้นึ มากใ็ หก ําหนดวา “โกรธหนอ ๆ” “ไมพอใจหนอ ๆ” “ขุนเคอื งหนอ ๆ” มสี ตริ ูเทาทัน ไมต กไปสกู ระแสอาํ นาจของความโกรธนั้น ไลเจา ทีอ่ อกไปไมมคี วามผดิ จิตของคนเราน้นั เปนทหี่ มกั หมมกิเลส สะสมมาเปนเวลายาวนาน ไมเฉพาะเพียงชาติน้ี เทา น้นั นานแสนนานไมรกู ภ่ี พก่ชี าติ เกดิ มาแลว ไมมใี ครสอนใหโ ลภมนั กโ็ ลภเปน ไมม ใี ครสอนให โกรธมันกโ็ กรธเปน ไมม ีใครสอนใหห ลงมันก็หลงเปน เมอ่ื มาปฏิบัตกิ เ็ ปนเรื่องยากทีเดียวที่จะขับ ไลใ หอ อกไป เพราะเทา กบั ไลเ จาที่ สมมตวิ า เราไปอาศยั อยทู ่ีแหงหน่งึ ซง่ึ มเี จาถิน่ อยูประจาํ มากอน ตองการใหเจาถิ่นออกไปจากพ้นื ท่นี น้ั เขาจะยอมออกไปงา ย ๆ หรอื เปลา ย่ิงถาเจาถน่ิ เปน คนมี อทิ ธิพลครอบครองมาเปน เวลานานกเ็ ปนเร่อื งยากมาก ดจุ เดียวกนั เจาที่ ๆ อยปู ระจําขันธสนั ดานน้ี คอื โลภะ โทสะ โมหะ ซงึ่ ครอบครองมาเปน เวลานานแสนนาน ไมเฉพาะเพียงชาตนิ ี้ ไมร กู ภ่ี พกี่ชาติ ทผ่ี า นมา จะไลอ อกไปมใิ ชเ ร่ืองงายเลย เปนเรื่องยากจรงิ ๆ แตย ากนที่ าํ ไดหรอื เปลา ยากยงั ทาํ ไดอ ยู ทาํ ไดแ ตยาก มิใชย ากแลว ทาํ ไมไ ด ตามท่ที ราบวาวิปส สนากรรมฐานมีหลักการและวธิ ีการตาง ๆ เปน ไปเพอื่ การฝกกายและ จิต ท่ผี านมาเราทา นทัง้ หลายไดฝก กําหนดทางกายมาพอสมควร บัดนจ้ี ะอธบิ ายการกาํ หนดจติ วา จติ น้นั ควรกาํ หนดอยางไร กาํ หนดความคิดพชิ ิตใจ ในเบอ้ื งแรกมาทาํ ความเขาใจเก่ยี วกบั ธรรมชาติของจติ กอ น พระอรรถกถาจารยได วิเคราะหธรรมชาตขิ องจติ ไววา “จนิ ฺเตตตี ิ จิตฺตํ ธรรมชาตทิ ค่ี ดิ ชอื่ วา จติ ไดช ่ือวาจติ เพราะคิด นามตตี ิ นามํ ธรรมชาตทิ ่ีนอ มนกึ หาอารมณ ชื่อวานาม ไดช อ่ื วา นาม เพราะนอมนึกหาอารมณ” นคี้ ือธรรมชาตขิ องจติ หรอื นาม และเปนธรรมชาติท่ีตกอยใู นสภาพอนตั ตาหาตวั ตนบงั คับบัญชา ไมได จะหา มไมใ หคดิ กห็ ามยาก หา มลําบาก หามไมไ ด จะหามไมไ ด นึกหนว งหาอารมณ กห็ าม ยาก หา มลาํ บาก หามไมได เม่ือมาปฏบิ ัตกิ ็ใหทาํ ความเขา ใจเกยี่ วกับธรรมชาติของจติ วา เปนอยา งนี้ อยาไปฝนธรรมชาติ หากไปฝน กดขม เชน คดิ ขน้ึ มาก็ฝนไมคดิ หรือกดขม ความคดิ ลง นกึ หนวงหา อารมณก ็ดึงกลับสลดั ทง้ิ ทันที นั่นเปนการปฏบิ ตั แิ บบสมถกรรมฐาน ซง่ึ จะเกดิ อาการตึงเครียด การ
56 ปฏบิ ตั แิ บบวปิ ส สนากรรมฐานจะไมฝ นกดขม แตอ ยางใด กาํ หนดไปตามสภาพความจรงิ ที่กําลังคดิ หรอื นกึ หนวงนนั้ วา “คิดหนอ” “นึกหนอ” หายแลวก็เวียนกาํ หนดดตู ามปจจบุ นั อารมณตอไป ดังกลาววา ธรรมชาติของจติ หรือนามมีการนกึ นอ มหาอารมณ อารมณท ่ีจติ มกั นกึ นอ มไปมี ๒ ประการคอื อฏิ ฐารมณ อารมณท น่ี าปรารภนา อนฏิ ฐารมณ อารมณท ี่ไมนาปรารถนา ๑. อิฏฐารมณ จติ มกั จะคดิ นึกไปหาคนที่ชอบใจเปนทีร่ กั เรียกวา ปย บคุ คล เกดิ คิดนึกถงึ ให กําหนดวา “คิดถึงหนอ” “นกึ ถึงหนอ” บางครั้งในขณะท่กี ําลงั กําหนดอยูนน้ั หนา ตาหรอื มโนภาพ ของคนท่ีชอบใจเปน ทีร่ กั นน้ั อาจปรากฏหรอื ผดุ ข้นึ ในหวงความรูส กึ กําหนดเพยี งอาการท่จี ิตคิดถึง นกึ ถงึ นนั้ เทา น้ัน อยาไปเพง มองหนา ตาทป่ี รากฏหรอื ผดุ ขน้ึ มานั้น ประเดีย๋ วจะคดิ ถงึ ไปกันใหญ ๒. อนฏิ ฐารมณ จติ มักจะนกึ ถึงคนทไี่ มช อบใจเปนทเ่ี กลยี ดชงั เรยี กวา เวรบี คุ คล นกึ ข้ึนมา ก็โกรธไมพ อใจ ใหก ําหนดวา “โกรธหนอ” “ไมพอใจหนอ” บางครงั้ หนาตาของคนท่ไี มช อบ เปนท่ีเกลียดชงั นั้นอาจปรากฏใหเหน็ เปนมโนภาพ กาํ หนดเพยี งอาการโกรธหรือความคิดที่กาํ ลังคิด โกรธอยเู ทา นน้ั อยา ไปจองมองหนา ตาทป่ี รากฏเปน มโนภาพน้นั ถาจอ งมองก็ย่งิ โกรธไมพ อใจ และแลวความพึงพอใจกด็ ี ความขุนเคอื งแคนก็ดี จะคลีค่ ลายสลายตัวไปตามธรรมชาติของ การเกิด-ดับ โดยสวนมาก ผูปฏบิ ัตใิ หมมกั จะสับสนวุนวายอยกู บั ความคิด ความคดิ พรง่ั พรเู ขา มา มากมาย ยิ่งกาํ หนดยิง่ มา เพราะเรามาขงั แตก ายมิไดขงั จติ สิง่ กีดขวางตา ง ๆ สามารถขังกายได แตข งั จิตไมไ ด ยงิ่ กายมาถูกกกั บริเวณอยูอยา งนี้ จติ ก็ยิง่ ด้นิ รนออกไปหาอารมณต า ง ๆ ผูป ฏิบัติใหมควรใจ เย็น ๆ ขอใหท ําความเขา ใจวา นัน่ คอื ธรรมชาตขิ องจติ ทีม่ ีปกตคิ ดิ และนึกหาอารมณ อยา ฝน บงั คบั กดขม เพราะยงิ่ บงั คบั ยิ่งด้นิ รน ยิ่งกดขม ยิง่ ขดั ขนื ยงิ่ ฝน ยงิ่ กวัดแกวง ตอ งใจเยน็ ๆ คอ ย ๆ กําหนด ในการกาํ หนดความคดิ พระวิปสสนาจารยม กั จะแนะนําอยูเสมอวา ถาความคดิ ไมห นัก หนวงไมเปน เรือ่ งเปนราว คดิ ธรรมดา ๆ ก็กาํ หนดแบบธรรมดาวา “คิดหนอ ๆ” แตถ า ความคดิ หนักหนวงเปน เร่อื งเปนราววกไปวนมาไมจ บสักที อยใู นลกั ษณะพายเรือในอา ง ตองกาํ หนดใหถ่แี รง เร็ววา “คดิ หนอ ๆ ๆ” หนกั ๆ อยากาํ หนดแบบหาง ๆ วา “คิดหนอ...คดิ หนอ...” กาํ หนดอยา งน้จี ะ ไมทนั ความคดิ และจิตจะปรุงแตง ไปเร่ือย จนเกาะแนนไมย อมสลายตวั อยางไรก็ตาม การกําหนดอยา งธรรมดากด็ ี ถี่เร็วแรงก็ดี มไิ ดหมายความวา จะทําใหความคิด นัน้ หายไป การกําหนดความคดิ กเ็ พยี งมาดอู าการหรือลักษณะของจิตท่กี ําลงั คิดอยู มไิ ดไ ลใ ห หายไป เพยี งแตก าํ หนดรตู ามสภาพความจริง หายหรอื ไมหายเปน เร่ืองของสภาวะซงึ่ ตกอยูใน ลักษณะการเกดิ ขนึ้ ตั้งอยู ดบั ไป หากบงั คบั ใหห ายกแ็ สดงวา ฝนสภาวะใหเปน อตั ตาตามบัญชาของ ตน สภาพที่แทจริงของจติ คอื อนัตตาหาตวั ตนบงั คบั บญั ชาไมไ ด หากไปบงั คับกดขม จะกลายเปน วิธีของสมถะ วธิ ีของวปิ ส สนามไิ ดบ งั คบั กดขม เพยี งแตใหก าํ หนดรตู ามธรรมชาตขิ องจิต คดิ กค็ ดิ หนอ กาํ หนดทนั กท็ นั ไมทันก็ท้งิ ไป
57 ไมชนะ ไมแ พ แตอ ยกู ึ่งกลาง สตทิ กี่ าํ ลังทาํ หนา ท่กี ําหนดดูความคิดอยนู ้ัน ควรอยกู ึ่งกลาง ไมเอนเอียงไปดา นใดดา นหน่งึ คอื ไมอ ยากเอาชนะและอยากใหห าย ดังกลาวนเี้ ปน วธิ ีการปฏิบตั ติ รงตออารมณท ุกอยา ง ไมว า จะ เปนอารมณท างกาย เวทนา จติ ธรรม หากอยากเอาชนะหรอื อยากใหห าย จะมคี วามอยากนาํ หนา ตก ไปสกู ระแสของโลภะ ไมชนะไมห ายก็หงดุ หงดิ ไมพ อใจ ตกไปสูกระแสของโทสะ นคี้ ือสิ่ง ตองหา มในการปฏบิ ัตทิ ่มี ิใหป ฏบิ ัตเิ พือ่ เอาชนะและหายไป ดงั พระพทุ ธคาถาวา ชยํ เวรํ ปสวติทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชโย อปุ สนโฺ ต สขุ ํ เสตหิ ิตวฺ า ชยปราชยํ ฯ ผชู นะยอ มประสบพบเวรแท ผพู า ยแพไรช น่ื ทกุ ขขื่นขม สว นผูละชนะแพแ นนิยม สงบสมสขุ สันตนิรนั ดร ฯ ละท้งั ชนะและแพก ็สงบ ถา ชนะจะไดใ จไปกอ เวรอีก ถา แพก ็ทกุ ขใ จหาทางแกม ือ จงึ ใหอยู กงึ่ กลางระหวา งชนะและแพ ไมช นะไมแ พ ไมหนี ไมสู ไมอยู ไมถอย หากทําไดอยางนี้ ผปู ฏบิ ัติจะมี แตจ ิตเปน กลาง กาํ หนดไดอ ยา งสบาย ๆ ไมวิตกกังวลอะไร สภาวะจะเกิดกเ็ กิด จะดับกด็ บั เปน เรอื่ ง ของธรรมชาติ ความคดิ เปนเรอื่ งตองระวังอยาพลงั้ เผลอลืมละท้ิง หากละทิง้ ไมยอมกาํ หนด ความคดิ จะกอ ตัวปรงุ แตง มากยิ่งขึ้น จนกระทัง่ คดิ ภเู ขาพงั ทลายกลายเปน ทองทุง ความคิดเล็ก ๆ นอ ย ๆ เหมอื นไฟ แมเ ลก็ นอ ยมันกส็ ามารถกอ ตวั ข้นึ มาลุกโพลงเผาไหม อยาปลอ ยปละละเลยเปน อันขาด พยายาม กาํ หนดไป ในทีส่ ุดความคิดที่มากในเบือ้ งตน จะนอ ยลงในเบ้อื งปลาย มเี พียงหนง่ึ เดยี วไมเ กย่ี วกับสอง ประการตอมา คือพยายามอยูกบั ปจ จบุ นั อารมณใ หไ ดม ากท่ีสดุ อยูก ับขวายางหนอ ซา ยยา ง หนอ พองหนอ ยบุ หนอ ถา ตั้งใจอยกู บั ปจจบุ นั อารมณ ความคดิ จะนอยลง เพราะธรรมชาติของจิต เปน เอกจรํ อสรรี ํ ไมม รี ปู พรรณสัณฐาน ทอ งเทย่ี วไปตามลาํ พงั เพยี งหนงึ่ เดียว มหี นง่ึ กต็ อ งรับ อารมณเพยี งหน่งึ รับสองไมไ ด แตท ม่ี คี วามรูส ึกวารบั สองอารมณไ ดพ รอ ม ๆ กัน เพราะความ รวดเร็วของจิต ดังพระพุทธดาํ รัสวา “ดูกรภกิ ษทุ ัง้ หลาย เราไมพ ิจารณาเห็นธรรมอ่นื ใดเลยท่ีเปลี่ยนแปลงไปเรว็ เหมือนจติ แมจ ะนําสงิ่ ใดมาเปรียบเทยี บกบั จติ ท่เี ปลยี่ นแปลงไปเรว็ นนั้ ก็มใิ ชเรอื่ งงาย ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย
58 ลงิ เที่ยวเตน ไตไ ปตามไพรพง กระโดดควา จบั ก่งิ ไม ปลอ ยก่งิ นีจ้ บั กง่ิ น้ัน ปลอ ยกิง่ นน้ั ก็จบั ก่ิง โนน ฉนั ใด ธรรมชาตทิ ี่เรียกวา จิต มโน วญิ ญาณน้ี ก็ฉนั น้นั ดวงหนง่ึ เทยี วเกิด ดวงหนง่ึ เทียว ดับอยูอยา งน้นั ทัง้ วันทง้ั คนื ” แสงท่วี า เดินทางเร็วกวา ส่งิ ใด ยงั ไมเ รว็ เทา กบั จติ นกึ ปบุ ถึงอเมรกิ าปบ และเกดิ ดับเร็ว เพียง ลัดน้ิวมอื เดยี วกเ็ กิดดบั ไมรูกพ่ี ันครั้ง ดว ยความเรว็ ของจติ จงึ เหมือนกับรบั อารมณไ ดห ลาย ๆ อยา ง พรอ มกนั เชน ขณะทดี่ ู ทวี ี ทง้ั ตากเ็ หน็ ภาพ ทงั้ หกู ็ไดย นิ เสยี ง เหมอื นรบั อารมณส องอยางพรอ มกัน แทจ ริงรบั ทีละอยาง แตเพราะความเรว็ ของจติ น่ันเอง จงึ ไมเห็นวารบั ทลี ะอยาง แตเ พราะความเร็ว ของจติ นั่นเอง จึงไมเห็นวารับทลี ะอยา ง ถาตงั้ ใจอยกู บั ปจจบุ ันอารมณแตล ะอยางแตล ะอาการคอื ขวายา งหนอ อยูก บั ขวา ซา ยยางหนอ อยกู ับซา ย พองหนอ อยกู บั พอง ยบุ หนอ อยกู บั ยบุ ความคดิ จะ เขา มาแทรกไดยาก ดังกลาวมานี้ เปนวิธกี ารฝกจิตตามกระบวนการของวปิ สสนากรรมฐาน ที่ใหกาํ หนดดู อาการของจติ ทีค่ ดิ ปรุงแตงนกึ หนวงหาอารมณต าง ๆ ตามสภาพความจรงิ โดยปราศจากการฝน บังคับกดขม หกขอน้มี ีคาพระศาสดาทรงแสดง การฝกฝนอบรมจิตมใิ ชเ รอ่ื งงา ย จะมาทําประเดี๋ยวประดาวชว่ั ครูช ่วั ยามไมได ตอ งใชเวลา พอสมควร และตอ งมีองคป ระกอบหลาย ๆ อยางเขา มาเปนสว นรว ม หรอื มีความจาํ เปนทจ่ี ะตอ ง ปฏิบัตติ ามแนววิธีท่ีเอื้อใหเ กดิ ผลทางการปฏบิ ตั ิ แนววิธีนพ้ี ระพทุ ธเจาไดทรงแสดงไวว า ๑. อกมฺมารามตา ไมย นิ ดใี นการทําการงาน การงานในทน่ี คี้ อื การงานทีไ่ มเ ก่ยี วของกับการ กําหนด เชน ตัดตน ไมด ายหญา ซง่ึ จะกําหนดไมท นั การงานของวิปส สนาคอื การกําหนด ถา ไปปด กวาดเชด็ ถู กาํ หนดไดอยวู า “กวาดหนอ” “ถูหนอ” ยงั คอื วา เปนการงานของวิปส สนา สว นการ งานใดทที่ ําแลวกําหนดไมไ ดเลย การงานน้ันถือวา ไมพ งึ ประสงคและเปน ปฏปิ กษต อ การปฏิบัติ ๒. อภสสฺ ารามตา ไมย นิ ดใี นการพดู คุยสนทนา หากพดู คุย สมาธทิ ีก่ อ ตัวขน้ึ มากร็ ่วั ออกไป ทา นกลาววา การกาํ หนดแตล ะคร้งั เหมอื นนาํ้ ทลี ะหยดทหี่ ยดลงสูภาชนะมขี ันเปนตน หยด ลงมาทลี ะติง๋ สองต๋งิ กวาจะเตม็ ขนั ตองกาํ หนดไมรกู คี่ รั้ง แตถ า พดู คยุ กเ็ ทากับเอาน้ําขันนนั้ ไปเททง้ิ กรรมฐานรั่วออกไปทางการพูดคุยหมด เพราะการพูดคยุ กําหนดไดย าก ทา นจึงหามมิใหพดู คุย ให พูดคยุ กับพระวิปส สนาจารยเ ทานนั้ เพราะถอื วา เปนการพูดคุยในเรอ่ื งกรรมฐาน ๓. อนิทฺทารามตา ไมยนิ ดีในการพกั ผอนหลับนอน มาปฏิบตั มิ ไิ ดมาพักผอ น ถา ตอ งการ จะพกั ผอ นไปท่ีอนื่ ดกี วา ในสงั คมปฏิบตั ิธรรมหากมวั มานง่ั เลน นอนเลน กไ็ มเกิดประโยชนอะไร กลายเปนตวั อยางไมด ี อยา หาความสขุ จากการหลบั นอน บางคนกลาววา ถา นอนนอ ย พกั ผอนไม เพียงพอจะเปน อันตรายตอสุขภาพ ไมตองกงั วล เพราะการปฏบิ ตั ิมกี ารเดนิ และการนงั่ ที่ปรบั ความ ยดื หยนุ อยใู นตัว การน่ังนนั่ เองคอื การพกั แตสําหรบั ผปู ฏบิ ตั ิใหม เริ่มแรกกไ็ ปพักผอ นใหพ อเหมาะ
59 กอ น เพราะยังไมช นิ กบั การเดิน-น่งั ครน้ั ปฏิบัติไดใ นระดับหนึง่ ตองนอนนอ ยลง เพราะการปฏบิ ตั ิ เริ่มไดท ่ีแลว และสมาธทิ ่ีกอ ตัวจะสง ผลไปหลอ เลีย้ งรา งกายใหอ ม่ิ ตวั ลง จึงไมจําเปน ตองนอนมาก หากนอนมากกลบั จะกลายเปนผลเสยี ไป ๔. อสงฺคณิการามตา ไมยนิ ดกี ารคลกุ คลีดวยหมคู ณะ เห็นเขาจบั กลมุ คุยกันทไ่ี หนกเ็ ขา ไปทน่ี ั่น คลุกคลตี ีโมงพูดคยุ เรือ่ งโนนเร่อื งน้ี จะมเี ร่อื งตา ง ๆ ตามมารบกวนในขณะปฏบิ ัติ ถงึ แมว า มาอยูใ นสงั คมปฏบิ ัติธรรมเปนกลมุ เปน คณะก็ตาม ตอ งทาํ เปนประหน่ึงวา อยูเพยี งคนเดยี ว ตอ งยนื น่งั กาํ หนดตามลําพัง อยูหลายคนเหมอื นอยูค นเดยี ว อยาอยูค นเดยี วเหมือนอยหู ลายคน มคี ํากลา ว วา “อยคู นเดยี วเหมอื นอยูหลายคน อยูหลายคนเหมือนอยคู นเดียว” หมายความวาอยา งไร บางคน อยูคนเดยี วกค็ ดิ ถงึ คนน้ันนกึ หาคนนี้ มแี ตค นโนนคนนเี้ ขา มา ไมไดอยูคนเดยี วมหี ลายคนมาอยดู ว ย นเี้ รียกวา อยคู นเดยี วเหมอื นอยูหลายคน บางคนอยใู นกลมุ ของผปู ฏิบตั ิ เห็นคนโนน เดนิ คนนน้ี ง่ั ก็ ไมใ สใจ ใสใจแตตัวเอง อยกู บั ปจ จุบนั อารมณเทานนั้ อยกู บั ขวา-ซา ย พอง-ยบุ นเ้ี รยี กวา อยหู ลายคน เหมอื นอยูคนเดยี ว ฉะนน้ั อยา ไปคลกุ คลีตีโมงเกาะกลมุ กนั เปนหมคู ณะหรอื ไปสง อารมณก ันเอง เพราะผปู ฏบิ ตั ิใหมเ หมอื นคนกําลังหัดวายน้ํา หากไปสง อารมณก นั เอง จะพากนั กอดคอจมนํ้าตาย ใหม าสงอารมณก ับพระวปิ สสนาจารยเ ทาน้นั ๕. อินฺทฺริเยสุ คุตตฺ ทวฺ ารา รูจกั คมุ ครองอนิ ทรีย หากไมส าํ รวมตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ กิเลสจะไดช อ งไหลบา เขา มาทางทวารนน้ั ๆ ๖. โภชเน มตตฺ ฺ ตุ า รจู กั ปริมาณในการบรโิ ภคอาหาร ถา ผปู ฏบิ ตั ิมากินใหมาก นอน ใหมาก ทอ งกเ็ ต็มแนน จบั พอง-ยบุ ไดล ําบาก หนงั ทอ งตงึ หนงั ตากห็ ยอ น เกดิ อาการงว งเหงา หาวนอนเซ่ืองซมึ จงึ ตองรจู ักประมาณในการบรโิ ภคอาหาร ถากินมาก คยุ มาก นอนมาก จะไมม ี ประโยชนอ ันใดเกดิ ขึ้น ย่ิงเปน เหตใุ หอ กศุ ลธรรมเจริญเติบโต ท้ัง ๖ ประการเหลาน้ี เปนไปเพื่อความเจริญงอกงามแหงกศุ ลธรรม กศุ ลธรรมที่ยงั ไม เกดิ ขึ้น ยอ มเกดิ ข้ึน ทเ่ี กดิ ขึ้นแลว ยอ มเจริญงอกงามมากยงิ่ ขน้ึ ปด หูปด ตาปญ หาไมมี วิธที เี่ อ้ือใหเ กดิ ผลทางการปฏบิ ัติ กลาวโดยสรปุ คือ กินนอย คุยนอย นอนนอย ปฏบิ ตั มิ าก ซึ่งเปน คติของสาํ นักวิปสสนาวิเวกอาศรมโดยเฉพาะ ทานใดยา งกรายเขา มาทางประตขู องสาํ นกั หากหนั ไปมองสกั นดิ จะเหน็ ลิงอยู ๓ ตัว ตวั หน่ึงมือปด ตา ตวั สองมอื ปดหู ตวั สามมอื ปดปาก เปน ปรศิ นาธรรมเตอื นสตผิ ปู ฏบิ ตั วิ า เขา มาภายในสาํ นกั แลว จะตอ งปดตาทง้ั คู ปด หูสองขา ง ปด ปากเสีย บา ง แลว กําหนดอารมณ ถามาเปด ตามองโนน ดนู ่ี เปด หฟู ง เรื่องโนน ไดย นิ เรอ่ื งนี้ เปด ปาก พดู โนน คุยน่ี จะไมเ กิดผลดีเลย มาแลว ตอ งทําไวภ ายในใจวา
60 ใครชอบใครชงั ชา งเถิด ใครเชดิ ใครชชู างเขา ใครเบอื่ ใครบน ทนเอา ใจเรารม เยน็ เปนพอฯ และทข่ี า ง ๆ ทางกอ นเขาสาํ นักกม็ ีเสือโครง ตวั ใหญย ืนคาบรางของนายพรานเลือดไหลโชก ออกมา อกี ทางดา นหนงึ่ มีชายหนมุ ผูเปน ลูกชายของนายพรานโกง ธนจู ะย่งิ เสอื มบี ทกลอนท่ีขา ง ๆ เขียนไวว า นายเอยนายพราน กรรมบันดาลพลาดทา นา หวาดเสยี ว ถกู เสอื คาบกลางกายตายแนเ ชยี ว ลูกชายเหลียวพบพลันทันเวลา โกง ธนูหมายเขมนเขนฆา เสอื พอโลภเหลอื บอกลกู ยงิ ดิง่ ตรงขา หากถกู ตวั กลวั เสียหนงั หวงั ราคา จะมรณาโลภมิคลายเสยี ดายเอย ฯ เปน บทกลอนท่ีเตือนสตวิ า เขา มาสูสาํ นักแลว ก็ขอใหต งั้ ใจปฏบิ ัตเิ พอื่ ปลดปลอ ยวาง มใิ ช โลภอยากไดโนนอยากเปน นี่ (อยากไดส ภาวะ อยากสอนกรรมฐาน) ใหป ฏิบตั ไิ ปตามเหตุปจ จยั ตามเรยี่ วแรงกาํ ลังของตนอยางเต็มความสามารถ ครนั้ ออกจากสํานกั แลว กใ็ หความโลภมนั เบาบาง ลงบา ง อยา ใหเหมือนนายพรานถกู เสอื กดั จะตายอยแู ลว ลูกมาชว ยจะยงิ เสอื ก็บอกใหยงิ ทขี่ า ถาถูก ตัวกลัวเสียราคา ยังโลภอยากไดห นังเสอื ไปขายอีก โลภเหลือหลาย โลภมากลาภหาย จะตายเพราะ โลภนแี่ หละ พระธรรมเทศนาในวันนไี้ ดแ สดงถงึ วธิ ีการฝกฝนอบรมตนตามวปิ ส สนาวิถี ซ่ึงมแี นวทาง ตา ง ๆ ทเ่ี อ้ือตอ การปฏบิ ัตโิ ดยตรง และแสดงถึงการกําหนดดจู ติ โดยอาศยั นยั ทป่ี รากฏใน พระไตรปฎกและการสบื ทอดของพระวปิ ส สนาจารยมาอธบิ ายขยายความตอ หากทา นใดเขา ไป กาํ หนดรูตามธรรมชาติของจติ น้ี ก็สามารถกาํ จดั อภิชฌาและโทมนสั ได ดังพระพุทธดาํ รัสทอี่ าตมา ไดย กข้ึนเปนนกิ เขปบทในเบือ้ งตนวา จิตฺเต จิตตานุปสฺสี วิหรติ อาตาป สติมา สมฺปชาโน วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโท มนสฺสนติ ฯ ภิกษุตามดูจิตในจิตอยู เพียรพยายามอยางมีสติสัมปชัญญะ กําจัดอภิชฌาและ โทมนสั เสยี ไดในโลกฯ ดงั แสดงพระธรรมเทศนามากส็ มควรแกก าลเวลา ขอยุติลงปลงไวแตเพียงเทานี้ เอวํ ก็มี ดวยประการฉะนี้
61 กัณฑท ี่ ๖ ธัมมายานปุ สสนากถา สําหรับวิปสสนากรรมฐานจะใหความสําคัญตออัตนัย คือดูภายในใสใจตนมากกวาปรนัย คือดูภายนอกสนใจคนอ่ืน อยางไรกต็ าม เราไมอาจปฏิเสปรนัย คือปจจัยภายนอกที่เขามามีสวนรวม ในการปฏิบัติ เพราะหมวดหมูหน่ึงท่ีแสดงถึงปจจัยภายนอกโดยตรง คือ ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และอารมณทางใจ เหลานี้เปนปจจัยภายนอกที่เขามา เก่ียวของใหเกิดการรับรู เรียกเปนภาษาวิชาการวา ปฏิสัมพันธ (Interaction) คือปฏิกิริยา โตตอบกันระหวา งอายตนะภายในคือ ตา หู กับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง ซ่ึงจะตองมาทําความ เขา ใจใหช ัดเจนวา ควรปฏิบตั อิ ยางไร นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทฺธสสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สฺส ธมเฺ มสุ ธมฺมานปุ สฺสี วหิ รติ อาตาป สติมา สมปฺ ชาโน วิเนยยฺ โลเก อภิชฌฺ าโทมนสสฺ นตฺ ิ ฯ ณ บัดน้ี อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงธรรมานุปสสนากถา วาการ กําหนดดูธรรม เพ่ือเปนเคร่ืองเจริญศรัทธา เพ่ิมพูนปญญาบารมี ใหแกทานสาธุชนคนดี โยคีและ โยคินี ท้ังทเ่ี ปน คฤหสั ถและบรรพชติ อนุสนธิสืบตอจากวันพระท่ีแลวไดแสดงจิตตานุปสสนากถา วาดวยการกําหนดจิต ได กลาวเกริ่นไววา “คนจะดีไดเพราะฝกและศึกษา” ขอกลาวซ้ําอีกวา วิปสสนากรรมฐานนั่นแลคือ วิธีการฝกกาย วาจา ใจ ฝกกายดวยการเดินจงกรม ฝกวาจาดวยการมาสงอารมณแกพระวิปสสนา จารย ฝกใจดวยการกาํ หนดจติ การฝก ก็คอื การใชเรี่ยวแรงกําลังประกอบความเพียร ในเบื้องตนการ ประกอบความเพียรจะเปนศัตรูกับเรา แตจะเปนมิตรกับเราในภายหลัง ความเกียจครานจะเปนมิตร กบั เราในเบื้องตน แตจะเปน ศตั รูกับเราในเวลาตอมา การใชเร่ียวแรงกําลังประกอบความเพียรก็ตอง เหน็ดเหน่ือยเปนธรรมดา เพราะใชพลังงาน ไมวาจะยืน เดิน น่ัง ลวนแตใชพลังงานทั้งน้ัน มีสิ่งใด หรือท่ีทําแลวจะไมเหนื่อย มองไมเห็นส่ิงใดเลย แมแตการนอน นอนอยูเฉย ๆ ก็ยังเหนื่อย ดังนั้น อยาพะวงวามาปฏิบัติแลวจะตองเหนื่อย แตถาจะเหนื่อยทั้งทีขอใหมีคุณคาเกิดขึ้นบาง การปฏิบัติ ธรรมนแี่ หละคือการเหนอ่ื ยอยา งมีคุณคา
62 กลาวโดยเฉพาะความเพียรท่ีเรียกวา วิริยะ เปนบอเกิดของกุศลธรรม ความเกียจครานเปน บอเกดิ ของอกุศลธรรม ดังพระพุทธดํารัสวา “ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย เราไมพ จิ ารณาเห็นสงิ่ ใดเลยทีเ่ ปนที่ตั้งของกศุ ลธรรม กุศลธรรมท่ียัง ไมเกิดข้ึนยอมเกิดข้ึน ท่ีเกิดข้ึนแลวยอมเจริญงอกงามมากย่ิงขึ้นเหมือนความเพียร และไม พิจารณาเห็นสิ่งใดเชนกันที่เปนท่ีตั้งของอกุศลธรรม กุศลธรรมท่ียังไมเกิดข้ึนยอมเกิดขึ้น ที่ เกิดขน้ึ แลว ยอ มเจริญงอกงามมากย่งิ ข้ึน เหมือนความเกียจครา น” ความขยันหมั่นเพียรเปนเหตุใหเกิดความเจริญกาวหนา ความเกียจครานเปนเหตุใหเกิด ความเสอื่ มถอย ผลจากการฝก กายและจติ นา พิศวง กลาวถึงธรรมะทพี่ ระพทุ ธเจาทรงแสดงน้ัน เปนธรรมะท่ีมนุษยฝกไดและเทวดาก็ฝกได ถา เปนธรรมะที่มนุษยและเทวดาไมสามารถฝกได พระองคจะไมทรงแสดง ช้ีใหเห็นวา ธรรมะท่ี พระพุทธเจาทรงแสดงนั้น เปนไปเพื่อการฝก ฝกกาย วาจา และใจ ฝกอยางไรไดอยางน้ัน ฝกขยันก็ ขยนั ฝกเกยี จครานกเ็ กยี จครา น มนุษยนั้นสามารถพัฒนาศักยภาพของตนดวยการฝกท้ังกายและใจ คนท่ีฝกกายไดดีแลว สามารถแสดงอาการทางกายดวยทาทีท่ีนุมนวลหรือโลดโผนผิดแผกออกไป จากภาวะปกติท่คี นทั่วไปทําไมไ ด เชน นกั ยมิ นาสตกิ สามารถตีลังกาหลายรอบในอากาศมวนตัวลง มายนื อยูบ นพื้นทีไ่ ดโดยไมเ ปนอนั ตราย โดยปกติรา งของคนสามารถทําอยางนั้นไดอยูแลว เพียงแต ตองมาฝก นั่นเฉพาะทางรางกายกอน สวนทางจิตใจก็สามารถฝกได จิตท่ีไดรับการฝกดีแลว สามารถแสดงผลออกมาย่ิงกวากาย เพราะจิตเปนศูนยรวมของพลังอํานาจ เปนใหญในกองสังขาร จิตเปนนายกายเปน บาว ดังพระพุทธคาถาวา มโนปุพพฺ งฺคมา ธมมฺ า มโนเสฏฐา มโนมยา ฯ ธรรมทัง้ หลายมีใจเปนหัวหนา มีใจประเสริฐ สําเร็จไดด วยใจ ฯ หากฝกจิตใหมีความเปนหน่ึงไมซัดสาย ก็สามารถแสดงผลออกมา ดังท่ีปรากฏในคัมภีร ทางพระพุทธศาสนาวา ภิกษุผูฝกจิตมีสมาธิท่ีควรแกการงาน (กัมมนียะ) สามารถนอมเขาไปสู อภิญญา ๕ มี อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินฟา ทิพยจักษุ มีดวงตาทิพย ทิพยโสตะ มีหูทิพย เจโต ปริยญาณ รรู อบจติ ใจของสตั วอ ่นื ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาตไิ ด เหลา นม้ี ปี จ จัยมาจากการฝก จติ เทาน้นั ไมฝก จติ ยอมทาํ ไมไ ดเ ลย ไมจบั จดกาํ หนดจิต ในเรอ่ื งของจติ มีคาํ เปรยี บเทียบไวว า “จิตเหมอื นปลา เมตตาเหมือนนาํ้ ปลาขาดนา้ํ กต็ อง ตาย จิตขาดเมตตาก็หาความชมุ ช่ืนไมได” เหตใุ ดจึงกลา ววา จิตเหมือนปลา เพราะปลามีปกตอิ ยูใน
63 น้าํ แหวกวายไปมา ย่ิงถาไดน า้ํ ใหมใ สสะอาด ปลาจะดาํ ผุดดาํ วายอยางลิงโลด ครั้นนํ้าแหง ขอดลง ปลากย็ งั ชอบอยูในนํ้าแหงนน้ั รสู กึ สงสารจงึ จบั มนั ข้ึนมา นาํ ไปปลอยทส่ี วนอุทยานปาทีก่ วา งขวาง รม รืน่ ปลาจะอยูไ ดห รอื ไม ปลากอ็ ยูไ มไดด ิ้นพลาน ฉนั ใด จิตกฉ็ นั นนั้ ในกาลกอ นเราปลอยจติ ให ทองเท่ยี วไปตามอารมณต า ง ๆ อยางเพลิดเพลนิ คร้นั มาปฏิบัตวิ ปิ สสนากรรมฐาน ใหอยกู บั ขวา- ซาย พอง-ยุบ กไ็ มอยากอยู ดนิ้ รนไปหาอารมณต ามเดมิ เหมือนปลาท่ถี ูกนําออกจากแหลง นาํ้ มา ปลอยไวท ี่สวนอุทยานปา ถึงแมจ ะเยน็ รมรืน่ กด็ ้นิ รนไปหานาํ้ ดงั เดมิ เพราะอารมณตา ง ๆ เปน ท่ี อาศัยของจิตเหมือนปลามที อี่ าศยั คือน้ํา ใหเ ปลีย่ นที่อาศยั ใหมกต็ องตอตา นเปน ธรรมดา น่คี อื เรอ่ื ง ปกตขิ องจิตทต่ี องทาํ ความเขาใจเปนอนั ดบั แรก หากมาฝก ใหอ ยกู บั ขวา-ซา ย พอง-ยุบ จงรวู า จติ มัก ไมยอมอยกู บั อารมณก รรมฐาน มีวธิ ีการอยา งไรที่จะทาํ ใหจติ ยอมอยกู บั อารมณก รรมฐานน้ี ทา นมี ขอ อปุ มาเปรยี บเทยี บไววา เหมอื นโคหนมุ ที่นายโคบาลปลอ ยใหไปกนิ หญา ท่ีทุง กวา ง พบโคสาวก็ ชอบใจเขาไปคลอเคลีย จนติดโคสาวไมยอมกนิ หญา นายโคบาลเห็นโคของตนไมยอมกนิ หญา กลัววา จะผอมแหง แรงนอ ย ใชไถนาไมไ ด จึงจบั โคหนุมนั้นใชเ ชอื กผกู ไวทเี่ สา ในเบื้องแรก โค หนุมที่ถกู ผูกมดั ไวจ ะดนิ้ รน เดนิ บา ง นัง่ บา ง เหลียวซา ยแลขวา สงเสียงรองไมยอมอยูเ ฉย จนใน ที่สดุ ก็เหนื่อยหมดแรง ดน้ิ รน ยอมกนิ หญา ขอ นฉ้ี ันใด จิตก็ฉนั น้นั ครน้ั มาปฏบิ ตั ิ พระวิปสสนา จารยบอกใหใ ชเชือกคือสติจับกาํ หนดจิตนนั้ ในเบอ้ื งแรกจะจบั ไดบ า ง จับไมไ ดบาง เพราะจิตยังซดั สายออกไปหาอารมณอยู แตถ าผปู ฏิบัตติ ั้งใจจบั กําหนดวา “คิดหนอ ๆ” “นกึ หนอ ๆ” อยูเรอื่ ย ๆ ใชเ ชอื กคอื สตจิ บั ผกู ไวท ี่เสาคือหลกั หลกั ในทนี่ ี้คอื กาย เวทนา จติ ธรรม ในท่สี ดุ จติ ก็หมดฤทธ์สิ ิน้ พยศ ยอมอยกู บั หลกั นนั้ นัน่ เอง ปรากฏการณท างจิตอยาคิดสงสัย เมอ่ื ฝก จับจิตใหอ ยูกับหลักไดมากข้นึ จติ กส็ ามารถแสดงผลใหเ ห็นเปน ปรากฏการณต าง ๆ ดงั ที่ผูปฏิบตั ิบางคนเหน็ นมิ ติ สสี นั แสงตาง ๆ เพราะจติ มสี มาธิ สามารถเนรมิตหรอื สรา งภาพตา ง ๆ ใหป รากฏได ตองกาํ หนดวา “เห็นหนอ” อยาไปเพลิดเพลนิ พอใจอยกู บั ภาพหรือสสี นั แสงตา ง ๆ ที่ จติ เนรมติ หรอื สรา งภาพขน้ึ มานน้ั จิตท่ีมสี มาธจิ ะเกิดพลังเหมอื นแมเหลก็ ทป่ี ระกอบดว ยมวลสาร ละเอียดมาก มีพลงั ดงึ ดดู เหลก็ เขา มาติดกับตัวได จิตกด็ งั นนั้ เม่ือมสี มาธมิ ั่นคงรวมพลงั กันเตม็ ที่ จะ ดึงภาพตาง ๆ เขา มาปรากฏทางตา บางครง้ั เปนภาพทเี่ ราไมเคยพานพบมากอน ทาํ ไมเกดิ ปรากฏให เห็นได ผูปฏบิ ตั บิ างทา นนกึ สงสัย ถา อยากทราบสาเหตุจะอธบิ ายวา ตามแนวทางอภิธรรมไดจ าํ แนกจติ ไว ๒ ระดบั คอื ๑. ภวังคจติ ๒. วิถจี ิต ภวงั คจิตคอื จิตใต สํานึก วิถีจติ หรือจติ เหนอื สาํ นกึ ขอนําไปเปรียบเทียบกบั นกั จิตวทิ ยาชาวออสเตรเลยี คนหนึ่ง ชอื่ ซกิ มัน ฟรอยด เขากลา ววา มจี ติ อยู ๒ ระดบั คอื จติ ใตส าํ นกึ (Id) จิตเหนอื สาํ นกึ (Ego) และจติ มโนธรรม (Super Ego) ภวงั คจิตเทากบั จติ ใตสํานกึ วิถีจิตเทากบั จติ เหนือสํานกึ อปุ มาเหมอื น
64 นํา้ แขง็ กอ นโต ๆ ลอยอยใู นน้ํา นํ้าแขง็ กอ นโตนัน้ จะจมลงไปในนํ้าเกอื บหมด เหลือเพียงผิวนา้ํ แขง็ โผลพ น นา้ํ นดิ เดยี ว เปรยี บเทียบใหเ ห็นวา สว นทจี่ มลงไปในนํ้านัน้ เปรียบเปน ภวังคจติ คือจิตใต สาํ นึก สวนทโ่ี ผลพน น้ําเพียงนอยนดิ เปน วถิ ีจิตคอื จิตเหนอื สาํ นกึ ภาพตา ง ๆ ไดถ กู เกบ็ ไวภ ายในจิต ใตสํานกึ นน้ั หรือจิตใตสาํ นกึ ไดท ําหนาทเี่ กบ็ ภาพตา ง ๆ นัน้ ไว ไมเ ฉพาะในปจจบุ นั ชชาตนิ ้เี ทาน้ัน ในอดตี ชาติอกี นบั ไมถ วน เพราะจิตมธี รรมชาตเิ กบ็ สะสม ดังบทวเิ คราะหว า “อตฺตโน สนตฺ านํ จโิ น ตตี ิ จติ ตฺ ํ ธรรมชาติท่สี ะสมความหนาแนน ของตนช่อื วา จิต” ครั้นผปู ฏิบัติสามารถปรับจิตใหมสี มาธิไดในระดับหนึง่ กเ็ ทา กับไปเปด ประตูใหภ าพตา ง ๆ ภายในจติ ใตสาํ นกึ นนั้ แสดงตวั ออกมาปรากฏ บางครง้ั จงึ เปนภาพทเ่ี ราไมเคยพานพบมากอ น น่คี อื สาเหตุทที่ าํ ใหเ ราไดเ หน็ ภาพตาง ๆ อยา งไรก็ตาม ผปู ฏิบตั ไิ มค วรไปสบื สาวหาสาเหตวุ า มาอยา งไรไปอยางไร เพราะการไปสืบ หาสาเหตุนนั้ จะทําใหผูปฏบิ ตั พิ ลัดออกไปจากการกาํ หนด ตกไปสูหว งแหงอดีต คิดหาสาเหตวุ ามนั มาจากไหน คอื อะไร บางคนบางทานไปทกึ ทักวาเปนเร่ืองกรรม เลยตอ งหาทางไปแกกรรมดว ยวธิ ี ตา ง ๆ ในเรื่องการแกก รรมน้ขี อใหผ ปู ฏิบัตทิ าํ ความเขาใจวา สาํ นกั วปิ ส สนาวเิ วกอาศรม ชลบุรี มิได สอนเรอ่ื งกรรมฐานแกก รรม แตสอนเนน การกาํ หนด ไมต องสนใจวา จะมาอยางไรจะไปอยา งไร ปรากฏขน้ึ มาก็กําหนดเทานน้ั หากมวั ไปคดิ วาเปน กรรมเปนเวร คอยหาทมี่ าทไี่ ป จะพลาดออกจาก การกาํ หนดไมอ ยูก ับปจ จุบนั อารมณ และกรรมฐานก็รั่วออกไป นอกและในเปน ปจจยั ใหแ กก ัน เม่ือกา วเขา สวู ปิ ส สนาวถิ ี กม็ คี วามจาํ เปนทจี่ ะตองรูขอบขายของการปฏิบัตวิ ามขี อบขาย เทาไหร กลา วถงึ ภาคปริยัตทิ ่ที านจําแนกขอบขายของการปฏบิ ตั ิในแงข องอารมณเ พอื่ นาํ มา ประกอบการกาํ หนด มอี ยู ๖๓ อารมณ เรียกวา วปิ ส สนาภูมิ ๖ ไดแ ก ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรยี ๒๒ อริยสจั ๔ และปฏจิ จสมปุ บาท ๑๒ เหลา นเี้ ปน ขอบขายท่ผี ปู ฏบิ ัตจิ ะตอ งไตไ ป ตามลําดบั เริม่ ต้งั แตข นั ธ ๕ จนถงึ ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ ในเบ้อื งตน ขอบขายของผูปฏิบตั ใิ หมคือ อะไร คือขนั ธ ๕ ทาํ ความเขาใจงา ย ๆ วา รา งกายอันกวา งศอกยาววาหนาคบื มวี ญิ ญาณครองเรยี กวา รูป-นามน้เี องคอื ขอบขา ย ใหกลับมาดูรูป-นามของตน อยา ไปดูรปู -นามของคนอ่นื มาใสใจ ไตรต รองมองดูและกาํ หนดรูอ ยางจดจอตอ เนื่อง หากมวั ใสใ จไปมองคนอน่ื จะออกไปจากขอบขา ย น้ี หากสนใจในรา งกายอนั กวางศอกยาววาหนาคืบของตนนี้ กอ็ ยใู นขอบขายของวปิ ส สนา กรรมฐานโดยแท ดงั กลาวนเี้ ปน การปฏบิ ตั แิ บบอัตนยั มใิ ชปรนัย คือใหความสําคัญตอการดูภายใน มิใชภายนอก ภาษาปรัชญาเรียกวา Subjective และ Objective ในสวนของปรัชญา นัก ปรัชญาบางคนใหความสาํ คญั ตออัตนยั ปฏเิ สธปรนัย บางคนใหค วามสําคญั ตอปรนยั มากกวาอัตนยั
65 ก็ตามแตทรรศนะของแตล ะทา น แตส าํ หรับวปิ สสนากรรมฐานจะใหค วามสําคญั ตอ อัตนยั คือดู ภายในใสใ จตนมากกวาปรนัยคือดภู ายนอกสนใจคนอน่ื อยา งไรกต็ าม เราไมอาจปฏิเสธปรนัย คอื ปจจยั ภายนอกทีเ่ ขามามสี ว นรวมในการปฏบิ ตั ิ เพราะหมวดหมูหน่งึ ทีแ่ สดงถึงปจจัยภายนอกโดยตรงคอื ธมั มานุปส สนาสติปฏฐาน ไดแก รปู เสยี ง กล่นิ รส สมั ผัสทางกาย และอารมณท างใจ เหลานเ้ี ปจ ปจจัยภายนอกท่เี ขา มาเกยี่ วขอ งใหเ กิดการ รับรู เรียกเปนภาษาวิชาการวา ปฏิสมั พนั ธ (Interaction) คือปฏกิ ริ ิยาโตต อบกันระหวาง อายตนะภายในคือ ตา หู กบั อายตนะภายนอก คอื รูป เสียง ซ่ึงจะตองมาทําความเขา ใจใหช ดั เจนวา ควรปฏบิ ัติอยา งไร ในเร่อื งของรูป เสยี ง กลนิ่ รส สัมผสั ทางกายและอารมณท างใจ จัดเปน อายตนะ ภายนอกเขา มาสมั พันธก นั กบั อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เชน รปู มาสัมพนั ธก บั ตา ก็ เกิดการเหน็ ในเรอื่ งการเหน็ ไดย นิ ล้มิ รส สัมผัสถูกตอ ง และการรบั รูท างใจ เหลา นมี้ ขี อแตกตางกนั อยใู นระยะหา งตางก็ปรากฏ ตามแนวทางอภิธรรมแสดงถงึ รปู วิภาคนยั คอื การจาํ แนกแจกแจงในเร่ืองรายละเอยี ดของ รูปไวว า รูป เสียง กลนิ่ รส ก็กําหนดวา “รหู นอ” ในสว นของการไดกลิน่ ลมิ้ รส สัมผัสถกู ตอง และ การรบั รูท างใจ จงึ ตองกาํ หนดตรงท่ีถูกกระทบท่เี กิดการรบั รูน้ัน ๆ วา “ไดกล่ินหนอ” “รรู สหนอ” “ถูกหนอ” “รูหนอ” ประเดน็ สาํ คญั คือการเห็น การไดย นิ ไดก ลิ่น ล้มิ รส สมั ผัสถูกตอง และการรเู หลา นี้ จะตอง ปฏิบตั เิ พียงสกั แตวาเห็น ไดย นิ ไดกลน่ิ ลม้ิ รส สมั ผสั ถกู ตอง และรเู ทาน้ัน ไมลว งเลยไปมากกวา นน้ั ดังพระพทุ ธดาํ รัสวา “ดกู รมาลกุ ยบตุ ร ในบรรดาธรรมทมี่ กี ารเหน็ ไดยนิ ลิ้มรส สัมผัสถูกตอ ง และรู เหน็ กส็ ัก แตว า เห็น ไดย นิ ก็สกั แตว า ไดยนิ ล้ิมรสกส็ กั แตว าล้มิ รส สมั ผสั ถูกตอ งกส็ ักแตวา สัมผัสถูกตอ ง รู ก็สกั แตวา ร”ู ไมรวู า เปน อะไรก็ไรป ญหา เม่ือเขา ไปกําหนดการเหน็ กด็ ี การไดย นิ กด็ ี ตองกําหนดเพียงสกั แตว า คือไมเขาไปสาํ คัญ ม่นั หมายวา เปน รปู เสียงอะไร เปนรปู ผหู ญิงหรือรปู ผูช าย เปนเสยี งผูหญิงหรือเสยี งผูช าย ไมเ กดิ การ ปรงุ แตง ใดใด ในขอทว่ี าปฏบิ ัตเิ หน็ กส็ ักแตว าเหน็ นี้ มกี ารปฏิบัตอิ ยางไร พระวิปสสนาจารยไดสบื ทอดมาวา ในขณะท่ีเห็นจะลมื ตาเต็มตาไมได เพราะถา ลืมตามองเต็มตาจะเหน็ เปนรปู ผูหญงิ รปู ผชู ายทันที และเกดิ การปรุงแตงทันใด ไมอาจกาํ หนดสกดั กนั้ รปู ผูหญิงหรือรูปผชู ายนน้ั ได จงึ ใหหร่ี ตาลงครึ่งหนงึ่ จนเห็นรูปท่ปี รากฏนนั้ เพยี งราง ๆ มวั ๆ ไมปรากฏชดั เหมือนคนสายตาสั้นประมาณ ๒๗๕ – ๓๐๐ ท่ีมองพรามัวเบลอ ๆ ดไู มอ อกวาหนาตาเปนอยางไร นนั่ แลใหก าํ หนดวา “เหน็ หนอ
66 ๆ” จึงจะเปน เพียงสกั แตวาเห็น การไดย นิ กเ็ ชน กัน แตในเรื่องการไดยนิ ทา นไมใ หรายละเอยี ดวา ควรทาํ อยา งไร ใชส ําลีอดุ หูหรือก็ไมใ ช บอกแตว า เสียงก็สกั แตวา เสียง อยา ไปรวู า เสียงเพราะ หรอื ไมเพราะ สว นการไดก ลนิ่ ลม้ิ รส สัมผัสถูกตอ งและการรูกใ็ หปฏบิ ัตติ ามทแี่ สดงมาน้ี จะเห็นไดวา การปฏิบตั ิในหมวดของธมั มานุปสสนาสติปฏฐานน้ัน จะตองเกีย่ วเนอื่ งกับ อายตนะ คือตากบั รปู หกู ับเสียง จมกู กบั กล่ิน ลนิ้ กับรส กายกับสง่ิ สัมผสั ถกู ตอ ง ใจกับธรรมารมณ ซึ่งมคี วามสมั พนั ธกนั ทีต่ องปฏบิ ตั ิโดยตรง การปฏบิ ัติธรรมกอ็ ยูตรงนนี้ ่ีเอง ทํากนั ไดหรอื เปลา ได ยนิ ก็เพยี งสักแตว า ไดย นิ ไมรับรอู ารมณปรงุ แตง อะไร การทถี่ ูกดาวาเกิดโกรธขนุ เคืองคับแคน ปลอ ยใหจิตคดิ ปรุงแตงจนลกุ ลามกลายเปน เรือ่ งใหญโ ต เพราะวา เราไมไดย นิ สกั แตว าไดย นิ ถาจะ แกปญหาใหถ กู จุด ตอ งแกป ญ หาตรงทไ่ี ดย ินนี้ กาํ หนดวา “ไดยนิ หนอ ๆ” เทา น้ันกจ็ บ แตเ พราะเราไมสามารถกําหนดไดอ ยา งน้ี จงึ เกดิ ปญ หาเปน เรื่องเปนราว คอย เกบ็ มาครนุ คิดอยวู า เขาวาเรา เขาดาเรา ปญหาจึงไมอ ยทู ี่หู แตม าอยทู ่ีใจ ถา จะแกก ันก็ตอ งแกทใ่ี จ โกรธตอ งกําหนดโกรธหนอ ไมพ อใจกไ็ มพอใจหนอ ยายจดุ มาแกทใี่ จ บางทรี นุ แรงจนสงบระงบั ไมลง เพราะเปน การแกปญ หาที่ปลายเหตมุ ิใชต น เหตุ ถาจะแกทีต่ น เหตใุ หถ กู จดุ ตอ งแกท ี่หู เคยได ยนิ บางมย้ั “ระวงั หูของเราจะดกี วา เฝา ดปู ากคนอืน่ ” ครงั้ หนง่ึ อาตมาไปอบรมขาราชการตาํ รวจระดบั สารวัตรรนุ ที่ ๕๓ ท่ีวดั เน่ืองจาํ นง ชลบุรี ยามเชา ไดพ าตาํ รวจทั้งชายและหญิงจาํ นวนมาก ประมาณ ๑๐๐ กวา คน เดินจงกรมรอบสระนํ้าใหญ โดยแยกออกเปน ๒ ฝาย อาตมานาํ ฝายหนง่ึ เดนิ ไป อกี ฝา ยหนงึ่ กม็ ีพระรูปหน่ึงเดนิ สวนมา ในขณะ เดนิ อาตมาสาํ รวมสายตาโดยหรีต่ าลงครง่ึ หนึง่ มองไมเ หน็ วาเปน หญงิ หรอื ชาย กําหนดวาขวายาง หนอ ซายยา งหนอไปเรอื่ ย ๆ เดนิ ไดส กั ระยะหนึ่งไดก ลิน่ น้าํ หอมชัดมาก รทู นั ทวี าทปี่ รากฏเบอ้ื ง หนานนั้ เปน ผหู ญิงแนน อน เดินรอบสระนา้ํ เสร็จแลวก็พาเขา มาภายในศาลาปฏิบตั ิธรรม อาตมาเลา ใหผูฝก อบรมฟง วา “อาตมาไดนําพาทานท้ังหลายเดินจงกรมรอบสระนาํ้ ในยามเชานี้ ในขณะทเี่ ดนิ จงกรมอยู นัน้ กําหนดวา “ขวายา งหนอ ซายยา งหนอ” ทอดสายตาไปขางหนา ประมาณ ๓-๔ ศอก ไมสนใจผู ท่ปี รากฏอยูเบอ้ื งหนา วา เปน หญิงหรือชาย นี้คือการปฏบิ ตั ิทางตาดวยการสํารวมระวัง หากปฏิบตั ิได เชน นกี้ เิ ลสจะเขา มาแทรกไมไ ด เพราะไมร บั รอู ารมณและไรก ารปรงุ แตงใด ๆ แตครน้ั เดินไปไดส กั ระยะหนงึ่ ไดกลิ่นนํ้าหอมชดั มาก แสดงวา คนท่อี ยูเบ้ืองหนานั้นเปน สตรเี พศอยางแนน อน” ในยามเยน็ มีจดหมายมาฉบับหน่ึงเขียนวา “ในขณะทีเ่ ดินจงกรม ทานบอกวากําหนด “ขวายางหนอ ซา ยยา งหนอ” ไมเ ห็นเปน หญงิ หรือชาย แตครนั้ มกี ล่นิ เขามาทานกลับรูวา เปนผหู ญิง และหอม แสดงวา ทา นยงั มีกิเลสอย”ู อาตมาตอบวา “โยมก็เหน็ อาตมาเปน พระหนิ พระปนู ไปได ถา ไดกล่นิ ก็ไดกลิน่ หนอ ถา หอมกห็ อมหนอเทา นั้นเอง ไมม ีอะไร”
67 นัน่ คอื การปฏิบตั ติ รงตอรูป เสยี ง กลนิ่ รส สิ่งสัมผัสถูกตอ งและอารมณท างใจ ซึง่ จะตอง หยดุ เพียงเทานั้น เพราะถา ไมห ยุดเพียงเทานัน้ จะเปน อันตราย เกดิ การปรงุ แตง และกเิ ลสก็จะตามมา เปนพรวน ในทีน่ ีท้ า นมีอุปมาเปรียบเหมอื นการไปเรยี นขับรถ ในสถานท่ีบางแหง มีปายตดิ ไวว า สอน ขบั รถ มคี รูฝกสอนขบั รถอยู ครสู อนจะมานงั่ อยูใกล ๆ และฝกใหข บั รถไป ฝก หดั ขับไดส ักระยะ หนึ่ง ครฝู กกใ็ ชช อลคขีดทาํ เครือ่ งหมายวา ถาถึงตรงทข่ี ีดเสนน้จี ะตอ งหยุดรถเบรกทนั ที แรก ๆ ผฝู ก ขบั รถใหมข บั ไปถึงที่ ๆ ทาํ เคร่อื งหมายไว ก็หยดุ ตรงบางไมต รงบาง ถา หยุดตรงถอื วา ปลอดภยั ถา หยุดไมตรง เลยไปจะประสบอุบัตเิ หตุ รถไปชนรถคนั อ่ืน หรอื ชนสง่ิ กีดขวางขา งหนา จะตองหยดุ ใหไดระยะตรงทีน่ นั้ เทา นน้ั จงึ จะปลอดภัย ขอ นีฉ้ นั ใด ในการปฏิบัตกิ ็ฉนั นน้ั การใหก าํ หนดวา เหน็ หนอกด็ ี ไดย นิ หนอกด็ ี เพยี งสกั แต วาเหน็ และไดย นิ เทา นน้ั หยดุ อยแู คนน้ั อยาเลยเถดิ ไปปรุงแตงตอ ถาไปปรงุ แตง ตอ กเิ ลสจะเขา มาทํา อันตรายได ธรรมกวางใหญอ ยูท ีใ่ ดก็มีธรรม ในหมวดของธมั มานุปส สนาสตปิ ฏ ฐานนี้ ไมมเี พยี งเหน็ ไดย นิ ไดก ลิ่น ลม้ิ รส สมั ผสั ถูกตอง และรับรูเทานัน้ ยงั มีขอบขายทก่ี วางมากกวา น้นั แทจ รงิ ธัมมานุปสสนาสตปิ ฏฐาน มี ขอบขายกวา งกวาสตปิ ฏ ฐานทั้งหมด ในกาลกอนท่พี ระอาจารยภ ทั ทนั ตะอาสภะเถระ ซึ่งเปน พระ อาจารยใหญฝ า ยวิปส สนาธรุ ะ ยังพาํ นักอยู ณ สาํ นักวิปสสนาวเิ วกอาศรม ทหี่ นา กุฏิของทา นมี รูปภาพหนงึ่ แขวนไว คอื ภาพของแมโ คยนื ใหน มแกล กู โค ๓ ตวั เปน ภาพปริศนาธรรมบงบอกวา ในบรรดากาย เวทนา จติ ธรรมนั้น กาย เวทนา จติ เปรียบเปนลูกโค ๓ ตวั สว นธรรมเปรียบเปนแม โค มีความหมายวา แมโ คใหญก วา ลกู โค ๓ ตวั ธรรมกวา งกวา กาย เวทนา จติ และครอบคลุม ทงั้ หมด ธมั มานุปส สนาสติปฏฐาน จงึ มขี อบขา ยกวา งใหญ คงไมอ าจอธบิ ายไดท ัง้ หมด ขอนาํ อารมณในธัมมานปุ ส สนาหมวดหนง่ึ มาแยกอธบิ ายกอ น น่ันคือ นวิ รณธรรม ๕ ประการ ๑. กามฉันทะ คอื ความพงึ พอใจในกามคณุ ทัง้ ๕ ไดแ ก รูป เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั ถกู ตอง และการรับรทู างใจ ที่นาปรารถนานา ใครน า พอใจ ๒. พยาปาทะ คือ ความขุนเคอื งอาฆาตมาดรา ย ตองการแกแ คน กระทาํ ตอบ ๓. ถีนมิทธะ คือ ความงว งเหงาหาวนอนเซ่ืองซึม หดหู ทอแททอ ถอย ๔. อทุ ธจั จกุกกจุ จะ คอื ความฟุง ซานราํ คาญใจ หงดุ หงิดงนุ งาน ๕. วจิ ิกิจฉา คอื ความเคลือบแคลงสงสยั ลงั เลไมม ่ันใจ
68 เหลา น้คี อื ธรรมเปนเคร่อื งกางกนั้ ผูป ฏบิ ัติมิใหประสบผลดีทางการปฏบิ ตั ิ ในทีน่ ีข้ ออธิบาย นวิ รณธรรมเพยี ง ๒ ตวั คือ ถีนมิทธะ และอุทธจั จกุกกุจจะเทา นนั้ เพราะเหน็ วา เกีย่ วขอ งกบั ผูป ฏิบัติ โดยสว นมาก นวิ รณธรรมก้นั กลางอยา วางเฉย ในบรรดานวิ รณธรรมทั้ง ๕ ประการ นิวรณธรรมตัวใดทไ่ี มเ ปด โอกาสใหกําหนด ตวั อนื่ ๆ ยงั เปดโอกาสใหก าํ หนดไดบ าง แตน วิ รณธรรมตวั นจี้ ะปด โอกาสการกําหนด หากมีปริมาณมากเขา มาแทรกแซงครอบงาํ แลว สติสัมปชัญญะจะออ นกาํ ลงั ลงจนกาํ หนดไมไ ด ตกเขาสหู ว งของโมหะ ทันที นั่นคอื ถนี มิทธะ ถนี มิทธนิวรณน ้มี อี ยู ๓ ระดบั คอื ตน กลาง สูง ระดบั ตน ๆ ยงั ไมเ ทา ไหร กําหนดได ระดับกลางพอทนไหว ตานทานอยู แตระดับสงู มกี ําลังมากจรงิ ๆ ตา นทานไมไหวเอาไม อยู มีผูปฏบิ ตั ธิ รรมเปนพระรูปหน่งึ เลา ใหฟ ง วา “เจอถีนมทิ ธนิวรณใ นระดับท่ีโงกงว งมาก เดินยงั จะหลับ นั่งทไ่ี หนกจ็ ะหลบั ทา เดียว นอน ๔ ช่ัวโมงก็งวง นอน ๘ ชัว่ โมงยงั งว ง เดินเรว็ มาน่งั ยังงว ง อกี ตองว่งิ ว่ิงมานัง่ ก็ยงั งว งเหมอื นเดมิ เอ ทําไมมันถงึ งวงขนาดนนี้ ะ เอา เปน ไงเปน กัน นาํ อา งน้าํ ใหญ ๆ มาเทนํ้าใสประมาณคร่ึงอาง เดนิ เสร็จแลวก็ลงมานง่ั แชในอา งน้ํานั้น ขนาดนั่งแชน้ําอยูอยา ง นน้ั ยงั งว งซมึ คอย ๆ กม ลง ๆ บมุ จมลงไปในนา้ํ ศีรษะจมอยูใ นน้าํ อยางนัน้ ยงั จะหลับเสยี ใหไ ด รบี เงยหนาขน้ึ มา ถอนหายใจ เฮอ โอไมไ ดเดย๋ี วตายแน” นนั่ คอื ความรนุ แรงของถนี มทิ ธะท่ไี มธ รรมดา ญาตโิ ยมอาจจะไมเ ช่ือ แตอ าตมามีพยาน บุคคลคอื คณุ ชัยวัฒนน ่ังอยมู มุ โนน มาบอกวา “จรงิ ครบั พระอาจารย ผมใชฝ ก บัวรดหนายังจะหลบั เลย” ถีนมทิ ธะเปนเร่อื งทีย่ อมกนั ไมได งว งขึ้นมาอยาไปนอนเดด็ ขาด ถา ยอมไปนอนหลบั ถือวา แพอยา งราบคาบ และมนั จะสะสมกาํ ลงั เขา ไป ตอ งต่นื ตวั กระฉับกระเฉงขะมกั เขมน มากขึน้ อยาทาํ เปนออ ยสรอยออยอิง่ ถาออ ยสรอ ยเด๋ยี วเสร็จมนั แน ตอ งขงึ ขงั ตง้ั ใจประกอบความเพียรอยา งเตม็ กาํ ลงั ขนื ปลอ ยไว ถีนมทิ ธะนจ้ี ะชกั ชวนพรรคพวกเขา มา คือความหดหู ทอแททอถอย เหนอื่ ยหนา ย เกียจคราน ซึ่งอยูในฝายของโมหะ เอาไปเอามาเลยละทิ้งการปฏบิ ัติหาทางนอนลกู เดยี ว การแกปญหาถีนมิทธนิวรณ มีวิธปี ฏบิ ตั ิดังตอ ไปนี้ ๑. น่งั ต้ังกายตรงดาํ รงสติใหม ัน่ ต้ังใจกาํ หนด “พองหนอ” “ยุบหนอ” ความงว งเริม่ จะเขา มาแทรกซึมรบี กาํ หนดทนั ทวี า “งว งหนอ ๆ” กําหนดแบบหนักเนน ถแี่ รง อยา ไปกําหนดแบบหา ง ๆ วา “งว งหนอ...งวงหนอ...” เอาไมอ ยูห รอก คํานับแน ๆ คาํ นับ ๑ งกึ คาํ นบั ๒ งกึ คาํ นบั ๓ งกึ อยาออมกําลงั ตอ งเพิ่มพลังการกาํ หนดเขา ไปเตม็ ท่ี ๒. กําหนดจิต หากกําหนดทค่ี วามงวงยงั เอาไมอยู กห็ นั มากาํ หนดจิต ปกตกิ อนจะหลับจะมี ความคิดบาง ๆ เกดิ ข้นึ แลว เร่มิ สะลมึ สะลอื ใหก ําหนดทคี่ วามคดิ น้นั ทนั ทวี า “คิดหนอ ๆ”
69 ๓. เดนิ ใหม าก นง่ั เทา ทจ่ี ะนั่งได ถึงกําหนดอยอู ยางนัน้ ยงั เอาไมอ ยจู ะตอ งลุกขนึ้ เดินจงกรม ทันทอี ยาไปนง่ั ตอ เดินใหมากขน้ึ นงั่ ใหนอ ยลง เดิน ๔๕ มานัง่ ไดไ มถ ึง ๕ นาที งวง ตองลุกขน้ึ เดนิ เลย เดินแลว มาน่งั ใหมไ ดแค ๖-๗ นาที งว งเหมือนเดิม กต็ องลุกขึน้ เดนิ อีก ๔. ไปปด กวาดเชด็ ถูหรือยกของหนกั ๆ หากอยใู นหองกรรมฐานคอ นขางมดื ทึบไมสวาง ตา เปนเหตใุ หโ งกงวงอยู กอ็ อกจากหอ งนนั้ มาอยูในทโ่ี ลงแจง เดินจงกรม ไปปดกวาดเชด็ ถู “กวาด หนอ ๆ” “เช็ดหนอ ๆ” หรือยกของหนัก ๆ ใหเ หนด็ เหน่ือย มีเหงอื่ ออกมา แลว ไปอาบนา้ํ จะไดส ด ชน่ื ๕. ไมตองนง่ั ทําตามทั้ง ๔ ยังโงกงว งอยู ใหเดนิ อยางเดยี วไมต องน่ัง เหนอ่ื ยก็น่ังพกั สักครู แลวเดนิ ตอ ในขณะเดินจะเดนิ แบบท้งิ ๆ ขวา ง ๆ กาํ หนดบางไมกาํ หนดบางก็ไมเ ปน ไร ๖. นอนใหน อยลง ความโงกงว งเปน สภาวะไมเ กย่ี วกับนอนมากนอนนอย ดังน้นั อยานอน มาก นอนใหน อ ยลง รสู กึ ตวั เมอื่ ไหรลกุ ขนึ้ ทันทอี ยาไปนอนตอ ถา นอนตอจะเพม่ิ กาํ ลังใหแ กถนี มทิ ธะ ใหปฏบิ ัติตามวิธกี ารทัง้ ๖ นี้จนกวา เวลานง่ั จะขยบั ตวั ขนึ้ มาเทากบั เวลาเดินโดยไมง ว งซึม เลย นนั่ แหละจงึ จะหายจากถนี มทิ ธะ ตอมาคืออทุ ธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซา นนกี้ ็ตัวราย ถา ปลอ ยใหเกดิ ขึ้นมาไมย อมกําหนดสกดั ก้นั ต้ังแตต น จะชักชวนพรรคพวกเขามาเหมอื นกนั คือ ความหงดุ หงดิ งนุ งานรําคาญใจ ขัดของเคอื ง ขนุ ซึ่งอยูใ นฝา ยของโทสะ พลอยพาลรีพาลขวางไมย อมปฏิบตั ิ ทวา ความฟุงซา นนี้ยังเปดโอกาสให กาํ หนดอยู มาทําความเขาใจกอ นวา ความฟงุ ซานกบั ความคิดแตกตา งกนั แตมาจากสมุฏฐาน เดยี วกนั คอื จติ จติ ทีค่ ดิ ไมม าก เรียกวาความคดิ แตจติ ทค่ี ดิ มากเรอื่ งนยี้ งั ไมเ สรจ็ เรอื่ งน้ันเขา มา เรอ่ื ง นัน้ ยงั ไมห ายเร่ืองโนน กเ็ ขา มาอกี วกไปเวยี นมาไมรูจ กั จบ เรยี กวา ความฟงุ หากจะกาํ หนดสกดั ความฟุงกอ น ตอ งกาํ หนดความคดิ วา “คดิ หนอ ๆ” อยา ปลอ ยใหคดิ ความคดิ จะมากข้ึนจนแตก ซา นจับตน ชนปลายไมถูก ไมร ูว า เรอื่ งไหนเปนเรอ่ื งไหน กลายเปนความฟุงเอาไมอ ยู ถาฟงุ แลว ตอ ง กาํ หนดใหมวา “ฟงุ หนอ” กาํ หนดแบบหนักเนน เหมอื นกันวา “ฟงุ หนอ ๆ” คนท่ีฟงุ ซานจนสงบ ระงับไมไ ด บางครั้งจะแสดงอาการพลุกพลา นหาทางระบายดว ยการพูดคยุ ในขณะปฏิบัตอิ นญุ าต ใหไ ปคยุ กบั พระวิปสสนาจารยเ ทา นั้น อยา ไปคยุ กับเพ่อื นปฏิบัติเดย๋ี วจะพากนั ฟุงอกี ฟุงคนเดยี วก็ พออยา ทาํ ใหคนอืน่ ฟุง ดว ย ถา นัง่ กาํ หนดไมไ หวจริง ๆ ก็นอนกาํ หนดใหห ลับไปเลย ดงั กลา ววาความฟงุ มาจากความคดิ การกาํ หนดวา “ฟุงหนอ” บางคร้งั จะเอาไมอยู เพราะ มาแกป ญ หาทป่ี ลายเหตุ ดงั น้ันอยาปลอ ยใหคิด ตองกําหนดท่ีความคดิ กอนท่ีจะคดิ มากจนเกินไป สว นการเดนิ -นัง่ เดนิ ใหน อ ยลงเพอ่ื ลดความเพียร นงั่ ใหม ากขนึ้ เพ่อื เพมิ่ สมาธิ การเดินและการนงั่ ดงั กลา วมานี้ เปนการเปล่ียนอิริยาบถซง่ึ จะเขาไปปรับวริ ยิ ะกับสมาธใิ ห พอเหมาะพอดี มิใหต วั ใดตวั หนึ่งเหล่อื มลาํ้ นําหนา ดว ยการเดินใหมากน่งั ใหน อ ยเพอ่ื ปรบั วริ ยิ ะให เทา กับสมาธิ และเดนิ ใหนอ ยน่ังใหมากเพอ่ื ปรับสมาธิใหเ ทากับวริ ยิ ะ เร่ืองของเวลาจึงไมจาํ กดั
70 ตายตัว ทงั้ นขี้ นึ้ อยกู บั สภาวะเปน ตวั แปร แตในเบอ้ื งตน กม็ ีความจาํ เปน ท่จี ะตอ งกาํ หนดเวลาดูกอ น วาจะเปน ไปไดห รือไม ควรปรบั อยา งไร วธิ ีการดงั กลาวนีเ้ รียกวา ปรบั อินทรยี อินทรยี ไ มเหล่ือมล้าํ จะนําทางถกู การปรับอินทรยี ไมจ าํ เพาะวา ตองปรับวิรยิ ะกับสมาธเิ ทานนั้ หากแตต องปรบั ศรัทธากบั ปญ ญาดวย รวมแลว เปน การปรับอนิ ทรีย ๕ คอื ศรทั ธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปญญา ปรับศรัทธากบั ปญ ญาและวริ ยิ ะกบั สมาธิใหเ ทาเทยี มกัน เรียกเปน ภาษาวิชาการวา ปรับอินทรยี ใหมดี ลุ ยภาพ อนิ ทรยี ๕ หากเปรยี บเทยี บก็เหมอื นกับนวิ้ ทัง้ ๕ จะสงั เกตเหน็ วา นวิ้ โปงกับน้วิ กอยมีความยาวเทา ๆ กัน นวิ้ ชก้ี ับนว้ิ นางมีความยาวเทา ๆ กัน แตนิ้วกลางยาวกวาทุกนว้ิ สามารถนํามาเปรียบเทยี บกบั อนิ ทรีย ๕ ไดวา นว้ิ โปง เปรียบเปนศรทั ธา นวิ้ ชเ้ี ปรียบเปน วริ ยิ ะ น้วิ กลางเปรยี บเปนสติ นว้ิ นาง เปรียบเปนสมาธิ และน้วิ กอ ยเปรียบเปน ปญญา ศรัทธาคือนว้ิ โปง จะตองเทากบั ปญ ญาคือนิว้ กอย วิริยะคอื น้ิวชจี้ ะตองเทากบั สมาธิคือนวิ้ นาง แตส ติคือน้ิวกลางจะตอ งชไู ว สตยิ งิ่ มากเทา ใดยิง่ ดี เทานน้ั สติเปน ทพี่ งึ ประสงคของวิปส สนากรรมฐานโดยแท กลา วไดว า การปฏิบัตวิ ิปส สนากรรมฐาน คือการพัฒนาสติ สตติ อ งนาํ เปน ท่ี ๑ มิใชส มาธนิ ํา สมาธติ องเปน ที่ ๒ รองลงมาสตินน้ั เปนแหลงรวมใหก ศุ ลธรรมตา ง ๆ เกิดข้ึน อปุ มาเหมือนรอยเทา ชา ซึ่งรอยเทาทกุ ชนิดสามารถรวมลงทรี่ อยเทาชา งนน้ั สติเปน องคธ รรมใหญ ธรรมตาง ๆ จะมา รวมลงทสี่ ตนิ น้ั ปญญาเกดิ จากสติ ดงั คําพดู วา สตมิ าปญ ญาเกิด สติเตลดิ จะเกิดปญ หา ดวยเหตุน้ีสติ จงึ ทําหนา ทน่ี าํ ทางใหแกศรัทธา วิริยะ สมาธิ และปญ ญา อุปมาเหมอื นรถทีเ่ ทยี มดวยมา ๔ ตัว มนี าย สารถนี ง่ั ขบั อยคู อยลงแส มาตวั ที่ ๑ เปรียบเปน ศรัทธา มาตวั ที่ ๔ เปรียบเปน ปญญา มาตวั ท่ี ๒ เปรยี บเปนวริ ยิ ะ มาตวั ท่ี ๓ เปรียบเปน สมาธิ สวนนายสารถีเปน สตทิ าํ หนา ที่กําหนดทิศทางใหแ กม า ทัง้ ๔ ตวั นว้ี งิ่ ไป ถา มา ตัวใดวง่ิ เตลิดเลยไป นายสารถจี ะชักมา ตวั นน้ั ลงมาพรอมกบั ลงแสทีม่ า ตวั หน่ึงทชี่ าใหวง่ิ เรว็ ข้ึนจะไดทนั กัน ตัวใดเร็วก็ตอ งชักใหช าลงมา ตวั ใดชาก็ตอ งลงแสใหเ ร็วขนึ้ ไป สติจงึ ทําหนา ทคี่ วบคุมดูแลและกาํ หนดทิศทางให ถา วิริยะมากไปกด็ งึ ลงมาเพ่มิ สมาธเิ ขา ไป ถา สมาธมิ ากไปกด็ ึงลงมาเพิ่มวริ ิยะเขาไป ถา ศรทั ธามากไปกต็ องดงึ ลงมาเติมปญ ญาเขา ไป ถา ปญญา มากไปก็ดงึ ลงมา เติมศรทั ธาเขาไป เรือ่ งการปรบั อนิ ทรียน้ี จะปรากฏชดั ในรปู ของการเดนิ -น่ัง ถา ฟงุ ซาน ตอ งเดนิ ใหนอ ยนั่ง ใหม าก ถางว งเหงาหาวนอนเซ่อื งซึม ตอ งเดนิ ใหมากนั่งใหน อย จนกวา จะไมฟงุ ซานงว งเหงา หาวนอนเซ่ืองซึม และอยูในระดับเดยี วกัน คอื เดนิ ได ๓๐ นาที น่ังได ๓๐ นาที จงึ จะช่ือวา อินทรยี สม่ําเสมอ แทจ รงิ ในเร่อื งการปรับอนิ ทรยี ๕ นั้น ไมปรับเวลาแตป รบั สภาวะตา งหาก มไิ ดบ อกวา จะตอ งเดิน ๓๐ น่ัง ๓๐ นาทีเทา กนั ตลอด ไมเ ทากนั ไมไ ด หาเปน เชน นน้ั ไม ขนึ้ อยกู บั สภาวะ
71 มากกวา เพราะในครงั้ พทุ ธกาล พระภกิ ษุที่เรยี นกรรมฐานจากพระพทุ ธเจา ไปปฏิบตั ิธรรม ไมม ี นาฬิกาบอกเวลา เดนิ ไดสกั ระยะหนงึ่ เห็นวา พอสมควรกม็ านงั่ นง่ั ไดส กั ระยะหน่ึงเห็นวาพอสมควร กล็ กุ ขนึ้ เดนิ แตพระในกาลกอนทา นจะทราบไดดว ยตนเองวาอะไรขาด อะไรเกนิ เทา กนั หรอื ไม เทา กนั สามารถปรบั เองได จึงไมจําเปนตองมนี าฬกิ า แตป จจบุ นั นผ้ี ปู ฏบิ ตั ิกําหนดรูสภาวะของตน ไมไ ด จึงตองใชเวลาเปนเครอื่ งกําหนดกอ น เกดิ ปญหาคอ ยมาปรับแกก นั ทีหลงั เดินทางสายกลางจะกระจางธรรม การปรับอนิ ทรยี นั้น เพอื่ ใหอ ยกู ึ่งกลางอยา งพอเหมาะพอดมี ิใหโยกไปดานซา ย มใิ หย า ยไป ดา นขวา ซ่ึงเปน การปฏิบตั ิแบบมชั ฌมิ าปฏิปทา จะเห็นไดวา การปฏบิ ัตสิ ายน้มี ีการเดิน-นั่งทีส่ ลบั สบั เปล่ียนปรบั กนั อยใู นตวั มใิ ชไ ปเดินเปน ๓-๔ ช่วั โมง มานงั่ ๓๐ นาที หรือนงั่ เปน ๓-๔ ชัว่ โมง ไป เดิน ๓๐ นาที มใิ หทําเชนนัน้ จงึ ไดช อ่ื วา ปฏิบัตติ ามแนวมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ผูทีป่ ฏิบตั ติ ามแนวมชั ฌิมาปฏปิ ทาจนประสบผลสําเรจ็ เปน เนตติ วั อยา งใหแ กเราทา น ทง้ั หลาย คอื พระโพธิสัตว พระองคประกอบความเพยี รอยา งย่งิ ยวด ดว ยการบาํ เพ็ญทกุ รกริ ยิ า (การ กระทําท่ียากลาํ บาก) โดยไมยอมเสวยพระกระยาหารจนพระวรกายซบู ผอมหมดเรีย่ วแรงกําลงั และ ลม สลบลง ครั้นทรงต่ืนฟนพระชนมขน้ึ มา ทาวสกั กเทวราชกเ็ สด็จมาดดี พิณ ๓ สายใหไดท รงสดับ ดังบทกวใี นพทุ ธประวตั ติ อนหนงึ่ วา เมือ่ นั้น ทาวสกั กเทวราช รวู า พลาดพลงั้ ไปไมสมประสงค รูมุนีมใี จไมตกลง พลันหายองคจ ากอาสนป ราสาทวัง มาดีดพิณสามสายผอ นคลายเศรา ขอองคเ จา จงสมั ฤทธพ์ิ ชิ ติ หวัง ดดี สายหนง่ึ ยานไปไมน า ฟง เสียงไมด งั กังวานหวานจบั ใจ ดดี สายสองกองดงั มฝิ ง จิต หาชวนชิดช่ืนชวี าพาหลงใหล ยนื สาํ เนียงเสยี งดงั พอฟงไป สายพณิ ไซรทีต่ งึ จงึ ขาดพลนั ตดิ สายสามเสยี งใสฟงไพเราะ แสนเสนาะเพราะพร้งิ ยงิ่ จับขวญั ชวนเคลบิ เคลม้ิ เจมิ ใจไปหลายวนั เพราะสายนัน้ มิขงึ ยานตึงไป เสยี งสายพิณดดี ดงั วงั เวงแวว ครนั้ ฟงแลวพระองคมิสงสยั จึงสอดสองมองเหน็ จบเจนใจ รูความนัยอยา งนัน้ ดวยปญ ญา เหมอื นบาํ เพ็ญความเพียรท่ีเวยี นกอ หากยานหนอหยอนไปก็ไรคา ยอ มไมพบสบแสงแหง อาภา แมนอุตสา หพ ากเพยี รหลายเวียนวนั หากเครง นักหนกั ไปก็ใชเหตุ เกิดอาเพศชวี าจะอาสัญ ยอ มไมสบแสงธรรมสองอาํ พนั ชีพตนน้ันคงดบั ลับลงเอย ตอ งเพยี รพอดดี ีดงั ทีว่ า มัชฌมิ าสายกลางใจวางเฉย หากหยอ น-ตึงนกั นะจงละเลย จะไดเ ชยช่ืนทางกระจางธรรม ฯ
72 เมอื่ พระองคทรงทราบวา การปฏิบตั ิจะตอ งมีความพอเหมาะพอดี ไมห ยอ นยานและเครง ตึง จนเกนิ ไป จงึ กลับมาเสวยพระกระยาหารบํารุงพระวรกายใหทรงมกี าํ ลัง และบําเพ็ญเพียรทางจติ ดว ยการปรบั ใหเกิดความสมดลุ ตามแนวมชั ฌมิ าปฏิปทา ในไมช า พระองคก็ทรงบรรลุอนตุ รสมั มา สัมโพธญิ าณ สําเรจ็ เปน พระสัมมาสมั พทุ ธเจา พระธรรมเทศนาในวันนี้ ไดแสดงถึงเรอื่ งอายตนะภายนอกมาสัมพนั ธกับอายตนะภายใน วา ควรกาํ หนดอยางไร และนวิ รณธรรมบางตัวท่ีไมค วรไวว างใจตองกาํ หนดอยางจรงิ จัง รวมทั้งการ ปรับอนิ ทรียใหเ กิดความพอเหมาะพอดตี ามแนวมชั ฌิมาปฏิปทาดงั กลา วนี้อยใู นขอบขา ยของธัมมา นปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน หากทา นใดเขา ไปกาํ หนดรธู รรมตามที่แสดงมา กส็ ามารถกาํ จดั อภิชฌาและ โทมนัสไดดังพระพุทธดํารสั ที่อาตมาไดยกข้ึนเปน นกิ เขปบทในเบ้ืองตน วา ธมเฺ มสุ ธมฺมานปุ สฺสี วหิ รติ อาตาป สตมิ า สมฺปชาโน วิเนยฺย โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสฺสนตฺ ิ ฯ ภิกษุตามดูธรรมในธรรมอยู เพียรพยายามอยางมีสติสัมปชัญญะ กําจัดอภิชฌาและ โทมนสั เสยี ไดใ นโลก ฯ ดงั แสดงพระธรรมเทศนามากส็ มควรแกก าลเวลา ขอยตุ ิลงปลงไวแ ตเ พยี งเทา น้ี เอวํ ก็มี ดว ยประการฉะนี้
73 กณั ฑที่ ๗ ความแตกตา งระหวางสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน คนไทยสวนใหญจะชอบอทิ ธิปาฏิหาริย (แสดงฤทธิเ์ ดชตา ง ๆ) อาเทสนาปาฏหิ าริย (แสดง ดักใจ) สว นอนสุ าสนียปาฏิหารยิ (แสดงใหร ูเหน็ ตามสภาพความจรงิ ) จะไมช อบ ดังทีเ่ ราเห็นกนั อยางดาษดื่นวา ชอบทําวัตถมุ งคลเคร่อื งรางของขลงั ปลกุ เสกเลขยันตใ หเ กดิ ฤทธ์เิ ดชอยยู งคง กระพัน เหลานอ้ี ยูในขา ยอทิ ธปิ าฏหิ าริย เมือ่ มาสอนอนสุ าสนยี ป าฏหิ ารยิ กลา วคอื วิปสสนา กรรมฐาน ก็ไมชอบ เห็นวาจืดชดื เช่อื งชานา เบอ่ื หนาย ไมเหมอื นสมถกรรมฐานทมี่ เี ครอ่ื งอลงั การมา ตกแตง มีอภิญญาอันนา พศิ วงมาประกอบ ถาเปรียบเหมอื นอาหาร สมถกรรมฐานคอื อาหารปรุงดว ย เคร่ืองแกงมรี สเดด็ เชน ตม ยํา ผัดเผ็ด วิปส สนากรรมฐานคอื อาหารจดื ๆ ไมปรุงรสอะไร เชน ตมจดื ทอดไขไ มมีนาํ้ ปลา คนทงั้ หลายกต็ องชอบทานอาหารทปี่ รุงรสจึงจะเอรด็ อรอย สวนตม จดื ทอดไข ไมม นี าํ้ ปลากไ็ มอยากทาน นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสสฺ สมโถ จ วปิ สสฺ นา จ อสทิสภาวํ คจฉฺ ตตี ิ ฯ ณ บัดนี้ อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงความแตกตางระหวางสมถ กรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน เพื่อเปนเคร่ืองเจริญศรัทธา เพิ่มพูนปญญาบารมี ใหแกทาน สาธชุ นคนดี โยคีและโยคนิ ี ทัง้ ที่เปนคฤหัสถแ ละบรรพชติ กอนท่ีจะมาทําความรูจักหรือมาทําความเขาใจเกี่ยวกับกรรมฐาน ๒ สาย คือ สม ถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน ควรมาทําความเขาใจเก่ียวกับคําวา “กรรมฐาน” วาหมายถึง อะไร คําวา “กรรมฐาน” แยกออกเปน ๒ คํา คือคําวา กรรมะ + ฐานะ กรรมะหมายถึงการงาน ฐานะหมายถึงที่ต้ังอาศัย คําวา “กรรมะ” คือการงาน ในท่ีน้ีหมายถึงการงานทางรางกายและจิตใจ แตมีจุดเนนท่ีจิตใจมากกวา เพราะเปนงานยกระดับจิต ท้ัง ๒ คํามารวมกันเปนกรรมฐาน ไดความ เต็มตามความหมายวา ท่ีตั้งของการงานทางกายและจิต กลาวโดยสรุปวา กรรมฐานคืองานยกระดับ จิตเม่อื ตองการทาํ งานทางจิตหรอื ใหจิตมงี านทํา ก็มีความจําเปน ทจี่ ะตอ งมีหลกั อะไรบางประการมา เปนเคร่ืองยึดเหน่ียวเกาะเก่ียวไวมิใหจิตเรรวนหรือซัดสาย กรรมฐานจึงเขามามีสวนรวมโดยตรง กรรมฐานแยกออกมาเปน ๒ สาย คือสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานเปนไป
74 เพื่อความสงบ คําวา “สมถะ” แปลวา สงบ ดังมีรูปวิเคราะหวา “ปจฺจนึกธมฺเม สเมตีติ สมโถ การ ทําใหธรรมท่ีเปนขาศึก (นิวรณธรรม สงบ ช่ือวา สมถะ” สมถกรรมฐานจึงมีอุบายวิธีมากมาย เพ่ือใหเกิดความสงบ สมถะจึงเปนตัวสมาธิ ภาษาอังกฤษใชคําวา Calm Meditation หมายถึงสมาธิสงบนงิ่ สว นวปิ ส สนากรรมฐาน หมายถึงการเห็นประจกั ษแ จง ที่ผา นมาภาษาอังกฤษ ไดใชคําวา Insight Meditation คือสมาธิท่ีเจาะลึกในรายละเอียด แตคร้ันมาพิจารณาคําวา “ปสสนา” ก็ไมตรงกับคําวา Meditation ตรงกับคําวา Seeing มากกวา ดังนั้นจึงขอใชคํา วา Insight Seeing หมายถึงการเห็นรายละเอียดตาง ๆ ของรูป-นามอยางเจาะลึก เห็นอาการ อันหลากหลาย (Variety) ของรูป-นามอยางชัดเจน ดังมีรูปวิเคราะหวา “อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธหิ อากาเรหิ ธมฺเม ปสฺสตีติ วปิ สฺสนา การเห็นธรรมท้ังหลายดวยอาการตาง ๆ อยางท่ีไมเท่ียง เปน ตน ชื่อวา วิปสสนา” วิปสสนาจึงมิใชตัวสมาธิ แตมีสมาธิเปนองคประกอบ อาศัยสมาธิมาเปน เครอ่ื งมอื เพื่อเกิดวปิ ส สนา สมถะมมี านานวิปส สนาเฉพาะกาลเทาน้ัน ในเบื้องแรกจะขอกลาวถึงประวัติความเปนมาของสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน กอนวา มีความเปนมาอยางไร สมถกรรมฐานนั้นมีมาแตกอนพุทธกาล ดังท่ีเราศึกษาประวัติศาสตร ของพระพุทธศาสนาไดทราบวา มีอสิตดาบส อาฬารดาบส และอุททกดาบส บําเพ็ญสมถกรรมฐาน สําเร็จฌานสมาบัติ แสดงใหเห็นวา สมถกรรมฐานมีมากอนท่ีพระพุทธเจาจะตรัสรู สวนวิปสสนา กรรมฐานมีเฉพาะในพุทธกาล กอนพุทธกาลก็ไมมี หลังพุทธกาลก็ไมมี ถาพระพุทธศาสนามีอายุ อยู ๕,๐๐๐ ป วิปส สนากรรมฐานจะมอี ายุเพียง ๕,๐๐๐ ป หลังจากน้ันก็ไมมีวปิ สสนากรรมฐาน มีแต สมถกรรมฐานเทาน้ันที่ยังดําเนินการตอไป เหตุใดวิปสสนากรรมฐานจึงไมมีกอนพุทธกาลหรือ หลังพุทธกาล เพราะวิปสสนากรรมฐานเปนพุทธวิสัย จุดสําคัญของวิปสสนากรรมฐานคืออนัตตา ในขณะที่สมถกรรมฐานหรือลัทธิความเชอื่ อยา งอ่ืนจะเชือ่ เรอื่ งอตั ตา ดงั กลาวกันวามีปรมาตมันเปน องคอมตะสถิตอยูอยางนิรันดร (อัตตวาทุปาทาน) จึงมีแตลัทธิอัตตา อนัตตาไมปรากฏ เพราะ อนัตตาน้ันเปดเผยไดยาก มิใชวิสัยของใครคนใดคนหน่ึง เปนพุทธวิสัยโดยตรง ดังพระอรรถกถา จารยกลาวไววา “การประกาศอนัตตลักษณะเปนวิสัยของพระสัพพันญูพุทธเจาเทาน้ัน มิใชวิสัย ของคนใดคนหน่ึง เพราะวาอนัตตลักษณะน้ันสุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก ไมปรากฏไดโดยงาย เหตุนั้น องคพระศาสดา เม่ือทรงแสดงอนัตตลักษณะจะแสดง อนิจจัง ทุกขังกอน จึงแสดงอนัตตาใน ภายหลงั ” ขอความดังกลาวน้ีเปนหลักฐานสําคัญท่ีบงบอกวา อนัตตาเปนวิสัยของพระพุทธเจาโดน เฉพาะ แมในกาลท่ีพระพุทธเจาทรงเสวยพระชาติเปนสรภังคดาบสบําเพ็ญปญญาบารมี ก็ไม สามารถแสดงอนัตตาได แสดงไดแตอนิจจังกับทุกขัง ซ่ึงยังเปนอนิจจัง ทุกขังแบบเทียมไมแท เชน
75 ถวยโถโอชามแตก ก็บอกวาไมเท่ียง หรือเกิดความเจ็บปวดบีบค้ันก็บอกวาเปนทุกข อนิจจังกับทุก ขังท่ีสรภังคดาบสแสดงเปนบัญญัติ (สมมติ) มิใชปรมัตถ (ตัวสภาวะ) เม่ือไมเห็นปรมัตถก็ไมอาจ เปดเผยอนตั ตา ดังนั้นพระพทุ ธเจา จึงแสดงอนจิ จงั ทกุ ขงั แท (ปรมตั ถสภาวะ) กอนเชื่อมเขาสูอนัตตา เปดเผยใหปรากฏ ศาสนาบรรดาหลายท่ีมีอยูในโลกนี้ลวนแตแสดงอัตตา มีเพียงพระพุทธศาสนา เทาน้นั ท่ีแสดงอนัตตา นค้ี อื ขอ แตกตา งทีม่ มี าแตเดมิ ทําไมในเมืองไทยไมนยิ มวิปส สนา ถาถามวา เมืองไทยในปจจุบันน้ี นิยมเจริญสมถกรรมฐานหรือวิปสสนากรรมฐาน มีสม ถกรรมฐานเทาไหร มีวิปสสนากรรมฐานเทาไหร เม่ือพิเคราะหตรวจสอบดูก็ประเมินผลตอบไดวา มีการปฏิบัติสมถกรรมฐานถึง ๗๐-๘๐ เปอรเซ็นต มีการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานเพียง ๒๐-๓๐ เปอรเซ็นต วิปสสนามีอัตรานอยกวาสมถะ เพราะวาในเมืองไทยไปศึกษาวิสุทธิมรรคหลักสูตรของ ประโยค ป.ธ. ๘ เพียงเลม ๑-๒ คือสีลนิเทศ สมาธินิเทศ วาดวยศีล สมาธิ เปนสมถกรรมฐานลวน ๆ ซึ่งพระพุทธโฆสาจารยรจนาดวยภาษาท่ีสละสลวยไพเราะ แสดงเน้ือหาไดอยางละเอียดถ่ีถวน จึง เกิดความพอใจไมประสงคจะเรียนเลา ๓ หรือเรียนเฉพาะชวงตน ๆ เพียงประปราย เลม ๓ นั้น คือ ปญญานิเทศ วาดวยปญญา เปนสวนของวิปสสนากรรมฐานโดยเฉพาะ พระพุทธโฆษาจารยแสดง ไดอยางละเอียดถี่ถวนดวยภาษาท่ีสละสลวยไพเราะเชนกัน แตเปนเรื่องอภิธรรม ไปศึกษาแลวก็ บอกวายาก เขา ใจลําบาก ดวยการศึกษาไมครบถวนกระบวนความน่ีเอง จึงเปนสาเหตุใหสมถกรรมฐานในเมืองไทย มมี าก วปิ สสนากรรมฐานมนี อ ย สาเหตุตอมาคือ คนไทยสวนใหญจะชอบอิทธิปาฏิหาริย (แสดงฤทธ์ิเดชตาง ๆ) อาเทสนา ปาฏิหาริย (แสดงดักใจ) สวนอนุสาสนียปาฏิหาริย (แสดงใหรูเห็นตามสภาพความจริง) จะไมชอบ ดังทเี่ ราเหน็ กนั อยา งดาษดนื่ วา ชอบทาํ วัตถมุ งคลเคร่ืองรางของขลังปลุกเสกเลขยันตใหเกิดฤทธิ์เดช อยูย งคงกระพัน เหลา นอ้ี ยใู นขายอิทธิปาฏหิ าริย เม่อื มาสอนอนสุ าสนียปาฏหิ าริย กลา วคอื วิปสสนา กรรมฐาน ก็ไมชอบ เห็นวา จืดชืดเชือ่ งชา นา เบื่อหนาย ไมเหมือนสมถกรรมฐานท่มี ีเครอ่ื งอลงั การมา ตกแตง มอี ภญิ ญาอันนา พศิ วงมาประกอบ ถา เปรยี บเหมือนอาหาร สมถกรรมฐานคอื อาหารปรุงดวย เครื่องแกงมรี สเด็ด เชน ตม ยํา ผัดเผ็ด วิปส สนากรรมฐานคอื อาหารจดื ๆ ไมปรงุ รสอะไร เชน ตมจืด ทอดไขไมมีน้ําปลา คนทั้งหลายก็ตองชอบทานอาหารท่ีปรุงรสจึงจะเอร็ดอรอย สวนตมจืด ทอดไข ไมมีน้ําปลาก็ไมอยากทาน การปฏิบัติสมถกรรมฐานมีความเพลิดเพลินเจริญใจเต็มไปดวยปติสุข สว นการปฏิบตั วิ ปิ ส สนากรรมฐาน มแี ตค วามยากลาํ บาก แสนจะเหน็ดเหนื่อยเต็มไปดวยทุกข เด๋ียว เจ็บโนนเดี๋ยวปวดน่ี ท้ังจิตก็ไมสงบซัดสายคิดเรื่องโนนเร่ืองน้ีอยูเรื่อย สภาพความจริงเชนนี้คน
76 ทั้งหลายไมตองการรับรู จึงคอยหลบเล่ียงไปอยูในโลกมายาหาอามิสมาหลอกลอ น้ีก็เปนอีกสาเหตุ หนึ่งทส่ี มถกรรมฐานในเมืองไทยมีมาก วปิ สสนากรรมฐานมีนอย กลาวถึงประวัติความเปนมาของวิปสสนากรรมฐานเรียกวาวิปสสนาวงศ ไดมีการสืบทอด กันมาสามารถสืบสาวไปหาพระโสณะและพระอุตตระที่มาเผยแผพระพุทธศาสนาในแดนสุวรรณภู มิไดไปจนถึงพระพุทธเจา ผูใดสนใจประวัติความเปนมา ศึกษาไดที่หนังสือวิปสสนาทีปนีฎีกา รจนาโดยพระอาจารยใหญภัททันตะ อาสภเถระ ซึ่งกลาวถึงการสืบทอดของพระเถระแตละรูปมา ตามลําดบั มิใชเพิ่งจะมาเกิดขึ้นเม่ือ ๒๐๐ – ๓๐๐ ปท ผ่ี านมา หรือขาดชวงตกหลนหายไป มาเกิดผุด โผลใ นกาลน้ี แตมมี าตัง้ แตครัง้ พุทธกาลและสบื ทอดกันมาตราบเทา ปจจุบัน กรรมฐานสองอยางอยูตา งมติ ิ บัดน้ีจะไดแสดงความแตกตางระหวางสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐานวาเปน อยางไรไปตามลาํ ดบั ๑. อารมณ หมายถงึ อารมณทางการปฏิบัติ สมถกรรมฐานมีบัญญัติคือสิ่งสมมติเปนอารมณ สวนวิปสสนากรรมฐานมีปรมัตถคือสภาพความจริงเปนอารมณ สิ่งที่ถูกบัญญัติดวยการต้ังช่ือหรือ จดั แตงอาจจะเปนสมมตบิ ญั ญัตหิ รอื สจั บัญญตั ิกต็ ามแต แตไ ดชอ่ื วา เปน บัญญัติ เชน นําดินสีอรุณมา แตงเปนดวงกสิณ บริกรรมภาวนาคําวา ปฐวี ๆ หรือ ดิน ๆ ซ่ึงเปนภาษาที่คุนเคย เบื้องแรกเปน บริกรรมนิมิตกอน เพ่ือใหเกิดอุคคหนิมิตคือนิมิตติดตา ตอมาคอยแปรสภาพจากอุคคหนิมิต กลายเปนปฏิภาคนิมิต คือนิมิตที่ขยายยอสวนได สมถกรรมฐานจึงมีการจัดแตงอารมณที่เหมาะแก จริตเพื่อใหจิตเขาไปยึดเกาะ สวนวิปสสนากรรมฐานมีธรรมชาติความจริงที่เรียกวา ปรมัตถ เปน อารมณ ไมแตงอารมณใด ๆ ใหเขาไปกําหนดรูสภาพความจริงอยางตรงไปตรงมา สภาพความจริง นั้นคือ รูป-นาม ไดแกรางกายและจิตใจน่ันเอง สภาพรางกายมีอะไร มีอิริยาบถหลักคือ ยืน เดิน น่ัง นอน อิริยาบถรอง คือ เหยียด คู กม เงย เหลียวหนา แลหลัง เหลาน้ีเปนอากัปกิริยาท่ีแสดงออกทาง กาย ใหกําหนดรูอาการที่เคล่ือนไหวไปตามสภาพนั้น ๆ สภาพจิตใจมีอะไร มีคิด หงุดหงิด ฟุงซาน รําคาญ เบ่ือหนาย หดหู ทอแท ทอถอย หรือ ดีใจเสียใจอันเปนเวทนาทางจิต ก็กําหนดรูตามสภาพ ความจริง ความจริงเปนเชนใด ก็เขาไปกําหนดูตามความเปนจริงเชนนั้น น้ีคือการใชอารมณท่ีเปน จรงิ ตามธรรมชาตเิ ขา มาประกอบการปฏิบัติ มไิ ดบ ัญญัติจัดแตง ขน้ึ มา แตเ บือ้ งแรกใหมบี ัญญตั คิ อื คาํ กําหนดเขามาสําทับกับปรมัตถคือความจริงกอน การปฏิบัติดังกลาวก็เพียงเพื่อเปนส่ือเขาไปรูเห็น ปรมัตถ เปรียบเหมือนจะเขาบานตองเปดประตูกอน ถาไมเปดประตูก็เขาบานไมได บัญญัติเปรียบ เหมือนประตู ปรมัตถเปรียบเหมือนภายในบาน หรือเหมือนผลสม บัญญัติเปรียบเหมือนเปลือก นอก ปรมัตถเปรียบเหมือนเน้ือใน การที่เรากําหนดวา พองหนอ ยุบหนอ คิดหนอ ไดยินหนอ ได
77 กลิ่นหนอ ชาหนอ เจ็บหนอ ปวดหนอ เหลานี้เปนคําบัญญัติเขามาประกอบการปฏิบัติเพื่อไปทํา ความรูจกั ปรมตั ถค ือความจรงิ น่ันเอง นี้คือเร่ืองของอารมณท่ีนํามาปฏิบัติตอสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน กลาวโดย สรุปคือ สมถะมีส่งิ สมมติเปนอารมณ วปิ สสนามีสภาพความจรงิ เปน อารมณ ๒. วิธีการปฏิบัติ อารมณของสมถะและวิปสสนามีความแตกตางดังกลาวถึง สวนการ ปฏิบัติจะเหมือนกันหรือไม การปฏิบัติก็ตองแตกตางกัน สมถกรรมฐานจะเกาะอยูกับอารมณเดียว ยึดอยูกับสมมติบัญญัติที่จัดแตงข้ึนมา เชน ปฐวีกสิณ ก็เกาะอยูกังดวงกสิณน้ันเทานั้น ไมเปล่ียนยัก ยายไปหาอารมณอื่น หากอารมณอ่ืนเขามากระทบก็ไมใสใจ เชน เสียงเขามาก็ไมใสใจ เวทนา ปรากฏก็ไมสนใจ สมถกรรมฐานจึงอยูกับอารมณท่ีหยุดนิ่ง ไมอยูกับอารมณท่ีเคล่ือนที่หรือ เปล่ียนแปลง จะตองพัฒนาใหเกิดความน่ิงแนบแนนไปตามลําดับ ซ่ึงเริ่มจากขณิกสมาธิ (สมาธิชั่ว คร)ู เขา สอู ปุ จารสมาธิ (สมาธจิ วนจะมนั่ คงเปนหนึ่ง) และเขาสูความแนบแนนในระดับสูงคือ อัปป นาสมาธิ (สมาธิที่ม่ันคงเปนหนึ่ง) เปรียบเหมือนนําเสามาตอกลงไปในดิน ทีแรกเสาจะเอนโอน โคลงเคลงไปมาไมมั่นคง ก็ตอกยํ้าลงไปเรื่อย ๆ จนกวาจะปกฝงแนนไมขยับเขยื้อนเลย เสาเหมือน อารมณเดียวซ่ึงสมถกรรมฐานจะตองอยูกับอารมณนั้นใหคงความเปนหน่ึง (เอกคฺคตา) นั่นคือสม ถกรรมฐานทีพ่ ัฒนาสมาธิตอ งการความนิ่งแนบแนนด่งิ ลกึ อยา งเดยี ว สวนวิปสสนากรรมฐานมิไดพัฒนาความแนบแนนด่ิงลึก จึงตองเปล่ียนยักยายไปตาม อารมณที่สับเปล่ียนเวียนวนกันเขามา หรืออาการตาง ๆ ที่เกิดข้ึนทางฐานทั้ง ๔ คือกาย เวทนา จิต ธรรม อารมณเกิดทางฐานใดก็กําหนดรูทางฐานน้ัน ไมเจาะจงฐานใดฐานหน่ึงเปนการเฉพาะ เพียงแตเกิดจากฐานใดกอนก็กําหนดฐานน้ัน เชน ขณะน่ังมีเสียงปรากฏกอนก็กําหนดท่ีเสียงน้ัน ทันที กําหนดอารมณหนึ่งดับไปก็ท้ิงไป อารมณใหมเขามาก็กําหนดอารมณใหมนั้นตอไป ซ่ึง แปรเปล่ียนยักยายไปตามอารมณท่ีเกิด-ดับ ๆ เรื่อยไป ไมปกด่ิงอยูกับอารมณใดอารมณหนึ่งเลย เปรียบเหมือนเคร่ืองจักรเย็บผาที่ถักเย็บไปตามเนื้อผาที่เล่ือนเขามา ไมเย็บถักปกอยูกับที่อยางเดียว เนื้อผาจะตองเลื่อนเขามาใหเคร่ืองจักรเย็บ เชนกันวิปสสนากรรมฐานจะตองมีอารมณตาง ๆ ไหล เขามาใหกาํ หนด อารมณม ากเทาใดยิ่งดีเทาน้นั กลาวโดยสรุป วิปสสนากรรมฐานอยูกับอารมณที่เคล่ือนที่เคลื่อนไหว ไมอยูกับอารมณที่ หยุดยิ่ง ขวายางหนอ ซายยางหนอ ก็ตองเคลื่อนท่ีเคล่ือนยายไป พองหนอ ยุบหนอ ก็ตองกระเพื่อม เคล่อื นไหว อยูกบั กิรยิ าอาการตาง ๆ และเผชิญกับทุก ๆ อารมณ ไมไดเลือกวาจะตองกําหนดเฉพาะ อิฏฐารมณ อารมณที่นาปรารถนาเทาน้ัน อนิฏฐารมณ อารมณที่ไมนาปรารถนาไมตองกําหนด วิปสสนากรรมฐานไมมีการเลือกอารมณ กําหนดทุกอยางที่ขวางหนา จะสังเกตไดวา แมแตถาย หนักถายเบาในหองสุขาก็ตองกําหนด จะบอกวาสกปรกไมกําหนดไมได โดยเฉพาะอารมณฝายลบ เชน ความหงุดหงิดงุนงานฟุงซานรําคาญใจ ยิ่งตองกําหนด ถาไมยอมกําหนดผูปฏิบัติจะตกไปสู กระแสอํานาจของอารมณฝายลบน้ัน และแสดงพฤติกรรมที่ไมพึงประสงคออกมา วิปสสนา
78 กรรมฐานจึงไมหลบหนีซึ่งแตกตางจากสมถกรรมฐานที่เลี่ยงหลบ เชน โกรธ ก็เล่ียงออกมาจาก ความโกรธ โดยหันไปพิจารณาวา โกรธทําไม โกรธตรงไหน คนน้ันเปนเพียงองครวมของธาตุทั้ง ๔ คอื ดนิ น้าํ ลม ไฟ ถาโกรธกโ็ ง โมโหกบ็ า ไมโกรธดีกวา จะไดไ มบาไมโง หรือไมก็หันไปนับเลข นับ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐ เพื่อเล่ียงหลบอารมณออกมา ไมปะทะอารมณโกรธนั้นตรง ๆ มี เร่อื งหนง่ึ ขอนาํ มาเลา ประกอบเปน ตัวอยาง มีเด็กผูชายคนหนึ่งชื่อปอง เปนเด็กอารมณรอน ไปโรงเรียนไมพอใจใครก็ชกตอยหัวราง ขางแตกกลบั มาบานอยเู ร่อื ย ๆ แมต องคอยบอกคอยสอนอยูเปนประจําวา “ปอ งทําไมลกู เปนคนอารมณร อ นแบบนนี้ ะ ใจเย็น ๆ หนอ ยสิ โตขึ้นมาเปนผใู หญจ ะตอ งมี ครอบครัว ถาอารมณรอนแบบน้ี ครอบครัวก็ไมมีความสุข ตองหัดใจเย็น ๆ ลงบาง” สอนอยางไร ไอปอ งก็เกิดเรื่องชกตอ ยอยเู หมอื นเดิม “เอาอยางน้ีปอง ถาปองโกรธข้ึนมาอยากจะชกใครละก็ใหรีบนับเลขเลย คนอื่นเขานับ ๑- ๑๐ แตสาํ หรบั ปองน่ี ตอ งนบั ๑-๒๐ นับชา ๆ นะ ในขณะท่ีนับหามทําอะไรเด็ดขาด หยดุ อยูนิง่ ๆ” “ครบั ๆ” ไอป องรบั ปาก รุงเชาไปโรงเรยี นกลับมาตาเขียวช้าํ เหมือนเดมิ “อา ว ปอ ง ทาํ ไมไมทาํ ตามแมบอกละ บอกใหน ับ ๑-๒๐ ทําไมไมนับ ไมทําตามคําแมสอน เลย” “กเ็ พราะทาํ ตามคาํ แมสอนนแี่ หละ ปอ งถงึ ตาเขียวกลบั มาเนย่ี ” “ทําไมเปน อยา งน้นั ละ ” “เพราะไอแตมนะสิ แมของมันสอนเหมือนแมนี่แหละวา ถาโกรธขึ้นมาเมื่อไหรใหนับ ๑- ๑๐ ไอแตมมันก็นับ ๑-๑๐ พอนับเสร็จปุบมันก็ตอยตาปองเปร้ียงเลย กวาปองจะนับ ๑-๒๐ ไอแตม ว่งิ หนไี ปไหนแลวก็ไมรู” เปนอยางน้ันไป เดก็ ไมร ูเ รื่องรรู าวอะไร นน่ั คอื ลกั ษณะทเี่ ล่ียงออกมาจากอารมณไ มป ะทะตรง ๆ ดวยการหันไปนับเลขแทน เพื่อให ความโกรธจางคลายไปดวยตัวของมันเอง แตสําหรับวิปสสนากรรมฐานจะไมมีการเล่ียงหลบ อารมณ จะตองสูกับอารมณนั้นตรง ๆ ถาโกรธก็กําหนดวา “โกรธหนอ ๆ” ดูที่อาการโกรธหรือ ความโกรธนั้น จนกวาความโกรธจะคล่ีคลายหายไปดับไป พบวา แทจริงความโกรธก็เกิดขึ้น ต้ังอยู ดบั ไป เปนธรรมดา ไมเ ท่ียงแทแ นนอนเหมอื นกัน เม่อื มสี ตกิ าํ หนดความโกรธ องคกําหนดกท็ าํ หนาทกี่ าํ จัดกดั กรอ นความโกรธน้ันใหเบาบาง ลงไป มีผูปฏิบัติธรรมทานหน่ึงอายุได๕๐ ปมาบวชยามชรา คนที่มีประสบการณผานทางโลกมา มากนักมีเรื่องราวมากมายติดตามมา มันผุดขึ้น ๆ คอยกําหนดวา “คิดหนอ” “ฟุงซานหนอ” ใช เวลาเปนปกวาจะหมดไป ทานเลาใหฟงวาคราวที่ครองเรือนอยูนั้น เคยโกรธภรรยาอยูคร้ังหน่ึง โกรธมาก โกรธจนตัวส่ัน ในขณะนั้นถามีปน ตองหยิบฉวยมายิง ถามีกอนอิฐกอนหินก็ตองจับปา กัน ถาอยูใกลก็ตองตอยเตะ ผานไปนานจนลืมไปแลว คร้ันมาปฏิบัติถึงระดับหนึ่งอารมณโกรธนั้น
79 มันผดุ ข้นึ มา เคยโกรธอยางไรก็โกรธอยา งน้นั น่งั โกรธตัวส่ันอยู กําหนดวา “โกรธหนอ ๆ” คอย ๆ ตบมันลงไป องคกําหนดก็กัดกรอนกําจัดกิเลสที่เปนของเกา เรียกวา ชําระอนุสัยกิเลสท่ีนอนเนื่อง อยูนาน การปฏิบัติจงึ เปนการลางของเกา และกน้ั ของใหม ระดบั จิตจะถกู ยกใหส งู ขึ้น สมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน จึงแตกตางกันในการหลบเลี่ยงและการเผชิญ สม ถกรรมฐานตองการสมาธิจึงหลบออกมาจากอารมณอ่ืน ๆ เพื่ออยูกับอารมณเดียว (ปลีกวิเวก) วปิ ส สนากรรมฐานกําหนดทุกอารมณ เพ่ือรูแจงอารมณนั้น ๆ ไมจํากัดเปนการเฉพาะวา จะตองเดิน เทาน้ัน หรือน่ังอยางเดียว แตใหกําหนดดูตามอิริยาบถทุกอยางและอารมณทุกชนิด ตองปฏิบัติใน ขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู เวลาที่ไมปฏิบัติคือเวลานอนหลับ นอกจากนั้นตองอยูในอารมณของ การปฏบิ ตั ทิ ั้งหมด และตองทําใหต อ เนื่องเกาะเกีย่ วกันไป ถาทํา ๆ หยุด ๆ หยุด ๆ ทาํ ๆ จะเกาะเกี่ยว กันไปไมได ทงั้ สมาธิก็รว่ั ออกไป มาปฏิบตั ิอีกคร้งั กเ็ หมอื นมาเร่มิ ตน ใหม ดวยเหตุวาสมถกรรมฐานตองการความน่ิงแนบแนน วิปสสนากรรมฐานตองการรูแจง อารมณ รูชัดอาการตาง ๆ จึงเกิดขอแตกตางอีกอยางหน่ึงคือ สมถกรรมฐานน่ังมากดี เดินมากไมดี เพราะเดนิ มากจะซดั สา ยฟุงซา นอารมณท ่ีเปนหน่ึงไมมั่นคง จึงนิยมใหนั่งมาก ๆ นาน ๆ ไมคอยเดิน ถึงเดนิ กเ็ พียงเพื่อผอนคลายอิริยาบถ แตสําหรับวิปสสนากรรมฐานน่ังมากไมดี เดินมากดี เพราะจะ เกิดความหลากหลายทางอารมณและพบรายละเอียดของอาการตาง ๆ ไดมากขึ้น การเดินมากจะทํา ใหสติต่ืนตัวเปนปฏิปกษตอความงวงโดยตรง ถาน่ังมากสมาธิจะนําเกิดอาการงวงเหงาหาวนอน เซ่ืองซึม ความนิ่งเฉยจึงมิใชอารมณท่ีพึงประสงคของวิปสสนากรรมฐาน ถานั่งน่ิงเฉยอยู ตอง กําหนดคลายสมาธิวา “น่ังหนอ ถูกหนอ” อยาไปกําหนดวา “นิ่งหนอ” ถาเฉยมากไปใหลุกขึ้น เดินจงกรม อยาไปนั่งกําหนดตอ เพราะทางวิปสสนาถือวา นิ่งก็ดี เฉยก็ดี เปนบอเกิดของโมหะ ไม เห็นการเคล่ือนที่เคลื่อนไหว ไมเห็นการเกิด-ดับ วิปสสนากรรมฐานจึงประสงคอารมณท่ีเกิด-ดับ และไมตองการรักษาอารมณท่ีเกิดข้ึนน้ันใหคงอยู ใหเขาไปกําหนดรูเพื่อเห็นความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงแตกดับ เห็นความเปนอนิจจังเกิดข้ึน ตั้งอยู ดับไป ความเปนทุกขังทนตั้งอยูในสภาพ เดิมไมได ความเปนอนัตตาหาตัวตนไมไดตานทานไวไมอยู ซึ่งเล่ือนเคลื่อนไปไมหยุดนิ่ง ดุจ กระแสน้ําท่ีไหลไปเร่ือย ๆ ดังน้ัน จะมาน่ังมากเปน ๓-๔ ชั่วโมงไมดีแนนอน แตคร้ันถึงระดับหนึ่ง อาจจะแปรเปล่ียนไป ไมจํากัดวา ตองเดิน ๓๐ นั่ง ๓๐ นาทีเทา น้ัน ท้ังน้ีขึ้นอยูกับสภาวะของผูปฏิบัติ โดยเฉพาะ ถาเกิดความโงกงวงมาก ตองเดินใหมากขึ้นนั่งใหนอยลง เพ่ือปรับสมาธิใหทัดเทียมกับ วิริยะ บางคร้ังอาจจะเดินเปนช่ัวโมง นั่งเพียง ๑๕ นาที น้ีคือความยากของวิปสสนากรรมฐานท่ีตอง คอยปรับประคองความสม่ําเสมอของอินทรีย โดยเฉพาะการปรับอินทรียดวยการเดิน-นั่งนั้นเปน เรื่องเหน่ือยยาก จึงเปนเหตุใหคนไทยไมชอบ เพราะใชพลังงาน เกิดความเหน็ดเหน่ือย สูมานั่งอยู เฉย ๆ สบาย ๆ จะดีกวา วิปสสนากรรมฐานใชความเพียรในการเดิน ไมเพลิดเพลินเหมือนสมถกร รมฐานท่ีน่ังเฉยนงิ่ สงบ ไมต องใชความเพียรในการเดินมากนัก ยิ่งถาไดอารมณแลวก็ติดอารมณน้ัน เลย เรียกวา ตดิ สมถะ ไมอ ยากออกมาจากสมาธิ ถาจะเปรียบอกี อยางหน่ึงคอื เหมอื นกับการเขา ไปอยู
80 ในหองแอร อากาศเย็นสบายทีเ่ กิดจากเครอ่ื งปรบั อากาศ มีความรูสึกวา เยน็ สบายเงียบ จึงอยากอยูใน หองแอรน้ันนาน ๆ ไมอยากออกมา แตวิปสสนากรรมฐานมิใหอยูในหองแอร ตองออกมาสัมผัส ธรรมชาติความจริงวาเย็นรอนออนแข็งอยางไร และกําหนดรูตามธรรมชาตินั้น ๆ แตคนท่ีติดแอรก็ ไมอยากออกมาจากหองแอร เพราะรอนไมเย็นสบาย คนติดสมถะก็เหมือนกัน ไมอยากออกจาก สมถะมาสงู านวิปส สนาเพราะเหนือ่ ยยาก ไมสงบสุข ๓. กุศลผลปรากฏ ก็มีความแตกตางกัน สมถกรรมฐานพัฒนาฌาน เปนอาเนญชาภิ สงั ขาร คอื โนม ไปในฌาน สังขารมีอยู ๓ ประการ คือ ๑. ปญุ ญาภิสังขาร เกิดความคิดโนม ไปใหสรา งกศุ ลดว ยการใหทาน รักษาศีล ๒. อปุญญาภสิ ังขาร เกดิ ความคิดโนม ไปใหกอบาปกรรม ทําอกุศลดวยการฆาสัตว ลัก ทรัพย ๓. อาเนญชาภิสงั ขาร เกิดความคดิ โนม ไปใหบ ําเพญ็ ฌานสมาบตั ิ เมื่อสมถกรรมฐานเปนอาเนญชาภิสังขาร กุศลที่เกิดขึ้นจึงเปนวัฏคามินีกุศล คือกุศลให ไปเกิดในภพภูมิเบื้องสูงคือพรหมโลก ผูที่บําเพ็ญสมถกรรมฐาน ยังฌานใหเกิดข้ึนจะไปเกิดใน พรหมโลกแตล ะระดับชน้ั เร่ิมตง้ั แตพ รหมปรสิ ัชชาจนถึงเนวสัญญานาสญั ญายตนะ ตามอํานาจของ ฌานมปี ฐมฌาน เปนตน มอี ายุอานามแตกตางกัน เชน ปญจมฌานก็ไปเกิดเปนพรหมลูกฟก เรียกวา อสัญญีสัตตพรหม มีอายุถึง ๕๐๐ มหากัป กุศลผลทางสมถกรรมฐานจึงขยายภพภูมิใหยืดยาว ออกไปและไมดับทุกขอยางแทจริง เปนเพียงการกดขมกิเลส (วิกขัมภนนิโรธ) สวนวิปสสนา กรรมฐานเปน ววิ ัฏคามินีกุศล คอื กุศลทีเ่ ปน ไปเพื่อยน ยอ วฏั สงสารอันหาประมาณมิไดใหส้ันลงและ ออกจากการเวียนวายตายเกิด ดวยเหตุน้ีจึงตองการใหเห็นทุกขเห็นโทษของรูป-นามสังขาร ไมเกิด ความชน่ื ชมพอใจ เห็นทกุ ขเ หน็ โทษแลวกต็ อ งการหลุดออกมาจากวงจรของสังสารวัฏ มนุสสโลกก็ ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ลวนเต็มไปดวยทุกขโทษที่แปรปรวนเปล่ียนแปลงไปไมคงทนถาวร เมื่อเกิดความเห็นเชนน้ี (เกิดวิปสสนาญาณ) ก็ไมประสงคจะไปเกิดในมนุสสโลก เทวโลก และ พรหมโลก ตองออกไปจากโลกท้ัง ๓ น้ีเพื่อเขาสูมรรคผลนิพพาน กุศลผลทางวิปสสนากรรมฐาน จงึ ยน ยอ ภพภูมิใหส ั้นลงและขา มพนจากการเวยี นวา ยตายเกดิ ดบั ทกุ ขอยางแทจรงิ (สมจุ เฉทนโิ รธ) พฒั นาตอไปไมยดึ ตดิ ประการสุดทายคืออัตราเส่ียงของการปฏิบัติท้ังสองสาย การมาบอกกลาวเชนนี้ มิได หมายความวาสมถะไมดี วิปสสนาดี หรือวิปสสนาไมดี สมถะดี สมถะก็ดีวิปสสนาก็ดี สมถะเปน บาทฐานใหแกวปิ สสนาอยูในข้ันศีลบริสุทธิ์ (สีลวิทสุทธิ) และจิตบริสุทธิ์ (จิตตวิสุทธิ) คือศีลสมาธิ น่ันเอง สวนวิปสสนาอยูในข้ันความรูแจงคือปญญา เริ่มตนจากทัศนบริสุทธิ์ (ทิฏฐิวิสุทธิ) ซึ่งมีศีล สมาธิเปนเครื่องหนุนสงเพ่ือเกิดความรูแจง ดวยเหตุน้ีการปฏิบัติจึงควบคูกันระหวางสมถะและ
81 วิปสสนา หรือสมถะขึ้นกอนวิปสสนาในภายหลัง ใหสมถะเปนบาทฐานของวิปสสนา แตในที่สุด จะตองโคงเขามาหาวิปสสนา ถาไมยอมมาหาวิปสสนาก็ไปพรหมโลก ไมเขาสูอริยมรรคอริยผล ดังน้ันวิปสสนากรรมฐานชอบก็ทํา ถึงไมชอบก็ตองทํา ถาประสงคไปมรรคผลนิพพานจะปฏิเสธ วิปสสนากรรมฐานไมได ถาปฏิเสธก็เทากับปฏิเสธมรรคผลนิพพาน การท่ีกลาวเชนนี้มิได หมายความวาสมถะไมดี เพราะทาน ศีล สมาธิ ปญญา ลวนแตเปนคําสอนของพระพุทธเจา ถาบอก วาสมถะไมดี เพราะทาน ศีล สมาธิ ปญญา ลวนแตเปนคําสอนของพระพุทธเจา ถาบอกวาสมถะไม ดี ทานก็ไมดี ศีลก็ไมดี ดีท้ังน้ัน เพียงแตมีการพัฒนาไปตามลําดับ จากทานเขาสูศีล จากศีลเขาสู สมาธิ จากสมาธิเขาสูปญญา มิใหไปหยุดชะงักติดอยูจุดใดจุดหน่ึง พัฒนาการทางพระพุทธศาสนา น้นั เปน ไปตามขัน้ ตอนเหมอื นมหาสมทุ รท่ลี าดลกึ ไปตามลําดับฉะนน้ั หลงตดิ กับไมขยับข้ึนเบอื้ งสงู อัตราเส่ียงของการปฏิบัติท้ัง ๒ สายก็เกิดข้ึนไดอยู มิใชไมเกิดข้ึน กลาวคือ สมถกรรมฐาน จะเปดโอกาสใหผูปฏิบัติเกาะติดอยูกับอารมณไดงาย จนถึงกับไมยอมกาวขยับเขาไปสูวิปสสนา กรรมฐาน ทางการแพทยไ ดม ีการพิสจู นว า ในภาวะท่ีคนนั่งนิ่งสงบไมไหวติง จะมีสารประเภทหนึ่ง หลั่งออกมา สารประเภทนั้นเรียกวา Endophine สารประเภทน้ีเมื่อหล่ังออกมาแลวจะเกิด ความรูสึกสบาย สดชื่นกระปร้ีกระเปรา จนกระทั่งเกิดความดื่มด่ําเคลิบเคลิ้ม Endophine จะมี ความคลายกับ Morphine จัดเปนสารเสพยติดชนิดหน่ึง ดวยเหตุน้ีเองผูปฏิบัติสมถกรรมฐาน จึงติดอยูกับความสบายสดช่ืน เรียกวาติดอยูในองคปติ ไมเปนอันทําอะไรนอกจากนี้ แหละน่ีคือ อัตราเสี่ยงของสมถกรรมฐาน หากผูใดไมมีโยนิโสมนสิการ (พิจารณาใครครวญ) จะติดตกอยูใน หลุมพรางของสมถกรรมฐาน เชน อาฬารดาบสและอุททกดาบสติดอยูในองคฌาน พิจารณาไมเห็น วาจะพนทุกขไดอยางไร และไมสามารถขามพนไปได ดังที่พระพุทธเจาทรงแสดงไวในพรหมชาล สูตร พรหมชาละ ชาละคือขายดักพรหมดักคลุมศาสดาอยางเลิศ ผูบําเพ็ญสมถะแมจะสูงเพียงใดก็ ไมส ามารถหลุดรอดออกจากขายนี้ไป แตพระโพธิสัตวบําเพ็ญปญญาบารมีมาอยางดีย่ิง จึงมีโยนิโส มนสิการสูงมาก พิจารณาเห็นวาไมสามารถชําระลางกิเลสไดอยางแทจริง เปนเพียงการกดขมไว เทานั้น พนจากการเวียนวายตายเกิดไมได จึงเสด็จออกมาจากสํานักของอาฬารดาบสและอุททก ดาบส เขาสวู ปิ สสนาวถิ ดี วยพระองคเอง ดังกลาวมาน้ีคอื อตั ราเส่ยี งของสมถกรรมฐานทผ่ี ูปฏบิ ตั ิจักตอ งระวังอยา งยิ่ง วิปสสนากรรมฐานก็มีอัตราเสี่ยงเชนกัน หากผูปฏิบัติไมมีโยนิโสมนสิการอยางถูกตอง คร้ันมาปฏิบัติเห็นสภาพความจริงคือปรมัตถอันละเอียดประณีตก็เกิดความชอบใน (นิกันติ) กลายเปนอุปกิเลส มาเห็นการเกิดดับก็เพลิดเพลินพอใจ เอาไปเอามาอัตตาก็เกิด อัตตาซอนอัตตา ขึ้นมาวา เราปฏิบัติไดดีกวาคนอ่ืน คนอื่นปฏิบัติไมไดดีเทาเรา เราไดสภาวดี คนอ่ืนไมไดสภาวะดี
82 แทนที่จะปฏิบัติเพื่อมุงเขาไปสูอนัตตา ทําลายความเห็นวามีตัวตน กลับกลายขยายอัตตาใหเติบโต ตรงนี้อันตรายมากขอใหสังวรระวัง ถาชอบตองกําหนดวา “ชอบหนอ” ทันที อยาไปปลอย ถา ปลอยแลวจะเกาะติดอยูกับสภาวะน้ัน ไมตางจากสมถะเลย จนในท่ีสุดก็ไมยอมกาวขยับเขาไปสู สภาวะท่ีสูงย่ิงข้ึนไป การปฏิบัติจึงเนนใหเห็นเพียงสักแตวา เห็นเปนเพียงปรากฏการณทางกาย เวทนา จิต ธรรม เทานั้น มิใชสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา อยาเขาไปยึดหนวงเหนี่ยวไว เรามิไดปฏิบัติ เพื่ออภินิเวศน คือยึดมั่นถือม่ัน แตเพื่อการปลอยวาง ดังพระพุทธดํารัสวา “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิ เวาสย ธรรมท้ังหลายท้ังปวงไมควรเขาไปยึดม่ันถือม่ัน” ถาเขาไปยึดม่ันสําคัญหมายก็กลายเปน อัตตาทันที ไมกาวเขาสูอนัตตา น่ีคืออัตราเสี่ยงของวิปสสนากรรมฐานท่ีเกิดขึ้นแกผูปฏิบัติได เชนกัน ดังแสดงมาทั้งหมดน้ัน คือความแตกตางระหวางสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน เมื่อไดทราบรายละเอียดแลวน้ีก็สามารถวินิจฉัยไดวา อารมณใดเปนอารมณที่พึงประสงคของสม ถกรรมฐาน อารมณใดเปนอารมณที่พึงประสงคของวิปสสนากรรมฐาน จะไดกําหนดทิศทางถูกวา ควรกําหนดอารมณอะไร ไมควรกําหนดอารมณอะไร อารมณใดควรทําใหเจริญ อารมณใดไมควร ทาํ ใหเจริญ พระธรรมเทศนาในวนั น้ี ไดแ สดงถึงความแตกตางกนั ระหวางสมถกรรมฐานและวิปส สนา กรรมฐานไวห ลายประเดน็ หวงั วาคงจะเปน ประโยชนแ กท า นสาธุชนผูสดบั รับฟงไมม ากก็นอย ดงั ภาษามคธท่อี าตมาไดยกข้นึ เปน นกิ เขปบทในเบ้อื งตน วา สมโถ จ วปิ สฺสนา จ อสทิสภาวํ คจฺฉตตี ิ ฯ สมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐานยอมถึงความแตกตา งกันฯ ดังแสดงพระธรรมเทศนามากส็ มควรแกก าลเวลา ขอยตุ ลิ งปลงไวแ ตเ พียงเทานี้ เอวํ ก็มี ดวยประการฉะนี้
83 วปิ สสนาเทศนาวา ดวยไตรลักษณ (อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา) *********************** สพเฺ พ สงฺขารา อนิจจฺ า สรรพส่งิ คอยคลอ ยเคลื่อน ทุกครา ไมเทีย่ งทนทกุ ทิวา ท่ัวน้นั ปรวนแปรเปลยี่ นโรยรา เหลอื อยู แลฤา มแี ตพังทลายส้นั เส่อื มสน้ิ สูญสลาย ฯ สพฺเพ สงขฺ ารา ทุกฺขา สรรพส่ิงแลมากลวน หลากหลาย ทกุ ขบ เคยกลบั กลาย เกลอ่ื นแท ทนทุกขจวบจนตาย ตราบลว ง ลาแล นา เบอ่ื หนายเกนิ แก เกดิ ข้นึ ทกุ ขเสมอ ฯ สพเฺ พ สงขฺ ารา อนตตฺ า ถงึ ธรรมกเ็ ปลา แท ทานเอย หาหอนมสี ง่ิ ใดเคย คฟู า อยายดึ ม่ันนกั เลย ปลอยวา ง วางเทอญ หากมงุ ไลไขวค วา จกั เควงข่ืนขม ฯ
84 ประวัติพระมหาอุเทน ปญญาปริทตฺโต (สัจจงั ) ผูแตง หนังสอื • เปรียญธรรม ๙ ประโยค (ขณะเปน สามเณร) จากสาํ นักเรยี นวดั ชนะสงคราม กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ • ปรญิ ญาพทุ ธศาสตรบณั ฑิต (เกียรตินยิ ม) จากมหาวทิ ยาลยั พ.ศ. ๒๕๓๖ • สอนวชิ าฉนั ทภ าษามคธประโยค ป.ธ.๘ สํานกั เรยี นวดั ชนะสงคราม กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๓๕-๒๕๓๗ • สอนวิชาธรรมภาคปฏิบตั วิ ทิ ยาเขตบาลศี กึ ษาพุทธโฆส จงั หวดั นครปฐม พ.ศ.๒๕๓๗- ๒๕๔๒ • ผลงานหนังสอื ไดรบั จดั พิมพออกเผยแพรห ลายเลม เชน ฉนั ทปรารมภ, พทุ ธประวัตภิ าค หลากบทกว,ี ธรรมหรรษา, บันเทงิ ธรรม, วปิ ส สนาวิถ,ี พลิ้วเพลงพระธรรม, พัฒนาชีวติ , พระไตรปฎกรวมสมัย ๑-๒ • อบรมกรรมฐานใหแ กผ ูสนใจปฏบิ ตั ิตามทไ่ี ดร บั อาราธนาใหไปเปน พระวปิ สสนาจารย เชน ท่ีสํานกั วปิ ส สนามลู นิธิวิเวกอาศรม ชลบรุ ี, ยวุ พุทธกิ สมาคมแหง ประเทศไทย • ปจ จบุ นั อยูทว่ี ดั ชนะสงคราม คณะ ๙ บางลาํ พู กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐
85 บทสงทาย ในที่สดุ ‘วิปสสนาวิถ’ี ก็ไดทําหนาท่ีเสนอขอ มูลทางการปฏบิ ัตทิ ีป่ ระกอบไปดว ยหลกั การ และวิธกี ารจนจบ ตามที่กลา วไวใ นเบ้ืองตน วา “ตอ งการใหส ื่อไปสมั ผสั ใจของผูปฏบิ ัติโดยตรง จงึ ขอตดั ความยุงยากตามหลกั วชิ าการ คือการอางอาคตสถานทม่ี าท่ีไป” ไมป ระสงคใหเปน วิชาการ แต ทวา กระบวนการการนําเสนอกลบั อยูในเชิงวชิ าการซึ่งจะเปนไปในลกั ษณะเชน นั้นกไ็ มใชเ ร่อื ง แปลก หากกลาวถึงนักการศกึ ษาผใู ฝรขู อ มลู ทางวชิ าการตองการรูว า วปิ สสนาคอื อะไร มหี ลกั การ และวิธกี ารอยา งไร และถา อยากทราบวาอะไรคือจุดหมายปลายทางของพระพทุ ธศาสนาจะดาํ เนนิ ไปสจู ุดหมายปลายทางนนั้ ไดอ ยางไร ขาพเจาเช่อื วา ‘วิปสสนาวิถ’ี นี้ ตอบสนองความตอ งการของ ทา นได ในใจของขาพเจา เองก็ตอ งการใหเ ปน สมบตั ทิ างวชิ าการเหมือนกนั มิใชอ ยใู นวงแคบ เฉพาะกลมุ ผูปฏิบตั ิธรรมเทานน้ั หากแตตอ งแผขยายออกไปสวู งกวา งใหผ ูตอ งการรขู อมลู วิปส สนา ไดศึกษาและมาทําความเขาใจ ความจริงวปิ สสนากรรมฐานเปน เรื่องลกึ ซงึ้ มรี ายละเอียดขอปลีกยอ ยมากมายอยใู น บรรยากาศของการสง -สอบอารมณระหา งพระวปิ ส สนาจารยและผปู ฏบิ ตั ิ ขา พเจา ยงั ไมไดน าํ เสนอ เพราะเกรงวา เนอ้ื หาจะขยายออกไปมากกวา นีแ้ ละเปน การช้นี าํ ในวงการวปิ สสนาถอื วา ถาผูปฏิบตั ิ ยงั ไมเ กดิ ผลสภาวะใด ๆ จะปด เปนความลบั ไมเ ปดเผยอยา งเดด็ ขาด เพราะตองการใหผปู ฏิบัติเขาไป มีประสบการณสมั ผสั รูช ดั ดว ยตนเอง หากดวนเปดเผย ผปู ฏิบัตจิ ะจดจอ งอยากพบอยากเหน็ มีโลภะ หนวงนําซ่ึงกอ ใหเ กดิ ผลเสียอยางใหญหลวง อปุ มาเหมอื นมีหลุมลุกปกคลุมไปดว ยหญา พรางตาไว คนเดนิ ทางสวนมาบอกวามหี ลมุ ลึกอยเู บือ้ งหนาโนน แนะ เราจะเดนิ ไปก็ตอ งระมดั ระวงั คอยดูวา จะ ถงึ เมอื่ ไหรใกลห รือยัง ครั้นถงึ ท่ใี กลก ็จะเดินวนรอบเล่ียงหลบหลุม แตถ าไมทราบวา มีหลมุ พรางอยู จะเดนิ ไปตกหลมุ นน้ั ฉันใด การปฏบิ ัตกิ ฉ็ ันนั้น ถาผูปฏิบตั ทิ ราบวามอี ะไรรออยู จะจดจอ งวา ถงึ หรือยัง ใชห รอื ไม สภาวธรรมที่ควรเกดิ ขนึ้ กไ็ มเ กดิ ขน้ึ แตถา ไมท ราบเลยวา มีอะไร จะปฏบิ ัติไป ตามปกตไิ มจ ดจอง สภาวธรรมที่ควรเกดิ ขนึ้ ก็เกดิ ข้ึนเพราะในหลมุ พรางนน้ั มสี มบัตลิ ํา้ คาอยู ตอ งการใหเดนิ ไปตกหลมุ เจอจึงไมบอกวา มีหลมุ อะไร ดังนน้ั การสง-สอบอารมณแ ละการปรับแก สภาวะตา ง ๆ จึงรูเฉพาะในแวดวงของพระวปิ ส สนาจารยเทา น้ัน ดว ยเหตนุ ้ี ‘วปิ สสนาวิถี’ จงึ มงุ แสดงแตห ลักการและวิธกี ารกวาง ๆ ใหครอบคลมุ ไว ไม ประสงคจ ะเจาะลกึ ในรายละเอยี ดตาง ๆ หากตอ งการทราบรายละเอียดขอปลกี ยอยมากกวานี้ ขอให ไปปฏิบตั ไิ ถถ ามพระวิปสสนาจารยดว ยตนเอง เมื่อมองโดยภาพรวมก็พบวา ‘วปิ ส สนาวิถี’ นี้ ประกอบไปดวยหลกั การและวิธีการปฏิบตั ิ ซ่งึ ผูมศี รัทธาสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิวนั ละ ๑-๒ ช่ัวโมง โดยไมเ ปนอันตราย แตถ าจะปฏบิ ตั ิอยาง จรงิ จังกต็ องเขา ไปพบพระวปิ ส สนาจารยและสง -สอบอารมณ ปฏิบตั ติ ามลาํ พงั ไมได เพราะธรรม
86 เนียมของกรรมฐานสายนม้ี อี ยูวา ผปู ฏบิ ตั ติ องอยภู ายใตก ารดูแลของพระวิปส สนาจารยเ ทานัน้ พระ วิปส สนาจารยน น่ั แลคือกลั ยาณมิตรผมู ีสวนสําคัญยงิ่ ตอ การปฏบิ ตั ิ ดังพระพุทธดาํ รัสวา “ดกู ร อานนทก ลั ยาณมิตรเปน ทงั้ หมดของพรหมจรรย” ขอทงิ้ ทา ยดวยถอยคาํ วา “สาํ หรบั ทา นผเู ปน นักการศกึ ษา ตอ งการรเู พยี งภาคทฤษฎีก็อา น ‘วปิ ส สนาวถิ ’ี นผี้ าน ๆ เปนอาหารสมองได สําหรับทานผูมศี รัทธาประสงคจ ะปฏบิ ตั ิขอใหย อ นกลบั ไปอา นทบทวนใหมท าํ ความเขาใจอยางถอ งแท และหากมเี วลามากพอกข็ อใหเ ขา ไปพบพระ วิปสสนาจารย ปฏบิ ัติตามวิธกี ารของวปิ สสนากรรมฐานดว ยความเคารพเถดิ ” คณุ สนิ รี ัตน ศรีประทมุ พิมพตน ฉบบั
Search