ทุกข ทำไม ชยสาโร ภกิ ขุ
ททุกขำ์ ไม ชยสาโร ภิกขุ พิมพ์แจกเป็นธรรมบรรณาการด้วยศรทั ธาของญาตโิ ยม หากทา่ นไมไ่ ดใ้ ช้ประโยชนจ์ ากหนังสอื น้แี ล้ว โปรดมอบให้กบั ผ้อู นื่ ท่จี ะได้ใช้ จะเป็นบญุ เปน็ กุศลอย่างยง่ิ
ทกุ ข์ ชยสาโร ภกิ ขุ ทำไม พิมพ์แจกเป็นธรรมท าน สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอก ตัดตอน หรอื นำไปพมิ พจ์ ำหนา่ ย หากท่านใดประสงค์จะพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน โปรดตดิ ตอ่ กองทนุ ส่อื ธรรมะทอสี และมูลนิธิปญั ญาประทปี ๑๐๒๓/๔๖ ซอยปรีดพี นมยงค์ ๔๑ สขุ มุ วิท ๗๑ เขตวฒั นา กทม. ๑๐๑๑๐ โทรศพั ท์ ๐-๒๗๑๓-๓๖๗๔ www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org พิมพ์ครัง้ ท ี่๑ ธนั วาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๐๐ เลม่ พิมพ์ครั้งที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม่ ออกแบบปก วิชชุ เสริมสวัสดศ์ิ รี ศลิ ปกรรม ปริญญา ปฐวนิ ทรานนท์ จดั ทำโดย กองทนุ สอ่ื ธรรมะทอสี และมลู นธิ ปิ ญั ญาประทปี ดำเนนิ การพมิ พ์โดย บริษัท ควิ พร้นิ ท์ แมเนจเม้นท์ จำกัด โทรศพั ท์ ๐-๒๘๐๐-๒๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๘๐๐-๓๖๔๙
คำนำ หนังสือเร่ือง ทำไม ของพระอาจารย์ชยสาโร เปน็ การรวมธรรมเทศนา ๕ เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ เกิดมาท ำไม เขา้ วัดทำไม หลบั ตาท ำไม ทุกข์ทำไม และต ายก่อน ตายท ำไม ซง่ึ เคยจดั พ มิ พท์ งั้ ในลกั ษณะรวมเลม่ และพ มิ พ์ แยกเล่ม ตัง้ แต่ มกราคม ๒๕๔๘ ฉบับแยกเลม่ หมดไป นานแลว้ ในครง้ั นจี้ งึ จดั พ มิ พข์ น้ึ ใหมเ่ พอื่ สะดวกในการอา่ น การพกพาและการเผยแผ่ ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนช่วยใน การผลติ และเผยแผห่ นงั สอื ไดร้บั อานสิ งสจ์ ากการบ ำเพ็ญ บญุ ท เี่กดิ จากการใหธ้ รรมเปน็ ท าน ขอให้มีความสขุ ความ เจริญยง่ิ ๆขน้ึ ไป ท้ายนี้ คณะศิษย์ขอกราบนมัสการขอบพระคุณ พระอาจารย์ชยสาโรท่ีได้เมตตาอนุญาตให้พิมพ์หนังสือ เพอ่ื แจกเปน็ ธรรมท าน และท ไ่ี ดอ้ บรมสงั่ สอนลกู ศษิ ยแ์ ละ ญาตโิ ยมอย่างสม่ำเสมอตลอดมา คณะศษิ ยานศุ ิษย์ ธันวาคม ๒๕๕๒
ทมจ่ี ันะถไบา้ มงัเรคอ่ ายบั ไใู่ใมหนย่วเ้ อริสามยั เเปขปน็อ็นทงทใกุ ุกคขขรไ์ ์ ด้
ทกุ ข์ ทำไม อรยิ สจั ๔ เปน็ สจั จะความจรงิ ทป่ี ระเสรฐิ เพราะนำ ปุถชุ นผู้หนาดว้ ยกเิ ลสไปสคู่ วามป ระเสรฐิ ได้ เราตอ้ งการ อะไรจากชวี ติ หากประสงค์ หรือมุ่งมาดป รารถนาตอ่ ชวี ติ ท่เี ปน็ อริยะ คอื ชีวิตทป่ี ราศจากความเหน็ แกต่ัว ความ อิจฉาพยาบาท ความซมึ เศร้า ความวติ กกังวล และสิ่ง เศรา้ ห มองท้งั ห ลาย ถ้าเราเหน็ ว่า ความเป็นอสิ ระภายใน ความเมตตากรณุ า และป ญั ญา เปน็ สงิ่ ท นี่ า่ พ ฒั นาเราควร เอาใจใส่เรอ่ื ง อริยสจั พระพุทธเจา้ ตรัสว่าอริยสัจขอ้ แรก คอื ทุกข์ เปน็ สง่ิ ทคี่ วรกำหนดรู้ การทพี่ ระองคส์ อนอยา่ งนน้ั กเ็ พราะวา่ โดย สญั ชาตญาณเราไมอ่ ยากท ำ (กำหนดร)ู้ ความท กุ ขเ์ กดิ ขนึ้ แล้ว เราชอบปฏิเสธบา้ ง เอาห ัวมุดลงไปในท รายเหมือน นกกระจอกเทศบ้าง หาความสุขทางเนื้อหนังมากลบ เกล่ือนความท กุ ขเ์ อาไวบ้ า้ ง แตห่ นไีมพ่ น้ ตราบใดท เ่ี รายงั 1ชยสาโร ภกิ ขุ
ไมร่ ธู้ รรมชาตขิ องทกุ ขก์ เ็ หมอื นเราหลงในเขาวงกต ถงึ จะนง่ั พักในทร่ี ม่ เย็นชว่ั คราวก็ยงั คงหลงอยูด่ ี ก่อนจะอธบิ ายเร่ืองอริยสจั ขอทำความเข้าใจเรอ่ื ง ภาษาสกั เลก็ นอ้ ย ในภาษาบาลคี ำวา่ ทกุ ข์ มคี วามหมายท่ี กวา้ งขวางกวา่ และลกึ ซง้ึ กวา่ ในภาษาไทย มสี องแงห่ ลกั คอื หนึ่ง ความท ุกข์ที่เป็นอาการหรือเป็นลักษณะของ สิ่งท้ังปวง (ทุกข์ในไตรลักษณ์) และ สอง ความทุกข์ ท่ีเกี่ยวกับหรือเป็นเร่ืองของมนุษย์โดยเฉพาะ (ทุกข์ใน อรยิ สัจ) ขอเปรียบเทียบกับคำว่า ร้อน ความร้อนท่ีเป็น อาการของธรรมชาตกิ อ็ ยา่ งห นง่ึ ความรอ้ นในใจทไ่ี มส่ บาย กอ็ ย่างห นง่ึ ขอ้ แรก กวา้ งกวา่ และไม่ต้องขนึ้ อยูก่ บั คน พระองค์ตรัสวา่ “สัพเพ สังขารา ทุกขา” สงิ่ ท ัง้ หลายทงั้ ปวงเปน็ ทกุ ข์ เราอาจจะสงสยั เอ...ตน้ ไมเ้ ปน็ ทกุ ข์ ไดห้ รอื กอ้ นห นิ เปน็ ท กุ ขไ์ ดห้ รอื แกว้ น ำ้ เปน็ ท กุ ขไ์ ดห้ รอื ... ได้ แต่เปน็ ท ุกขใ์ นความห มายแรกคือ มนั ท นอยใู่นสภาพ เดมิ ของมนั ไมไ่ ด้ มอี ะไรบบี ใหเ้ ปลยี่ นแปลงตลอดเวลาหรอื วา่ พ ดู อกี นยั ห น่ึงว่าสิง่ ท ้ังหลาย “ขาดเสถียรภ าพ” เพราะฉะนั้นการกล่าวว่าส่ิงท่ีไม่มีชีวิตเป็นทุกข์ หมายถึงการขาดเสถียรภาพของมัน ท่านให้เราพิจารณา เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นหน่วยรวมของเหตุปัจจัยและส่วน 2 ทกุ ข์ ทำไม
ประกอบ เชน่ ตน้ ไม้มีราก แกน่ เปลือก ก่ิงกา้ น ดอก ผล เป็นส่วนประกอบ มีดิน แดด ฝนเปน็ ต้น เป็นป จั จัย ภายนอก แมลงกนิ ผลก็กระทบตอ่ ต้นไม้นั้นท้ังตน้ ฝนไม่ ตกตน้ ไม้อาจเห่ยี ว ลมพดั แรงๆ ต้นไมน้ ้ันอาจจะลม้ เม่ือเหตุปัจจัยล้วนแต่เป็นของไม่เท่ียง สิ่งที่เป็น หนว่ ยรวมของสง่ิ ทไี่ มเ่ ทยี่ งหลายๆ อยา่ งนน้ั กพ็ ลอยไมเ่ ทย่ี ง ไปด้วย และภาวะท่ีขาดความม่ันคงหรือขาดเสถียรภาพ ทา่ นเรยี กวา่ “ทกุ ข”์ แกงกะหรเี่ ปน็ ทกุ ข์ เพราะพ อตกั ใสจ่ าน แลว้ มนั พ รอ้ มทจ่ี ะเสอ่ื ม สง่ิ แรกทเี่ สอื่ มคอื ความรอ้ นของมนั ท้ิงไว้ช่ัวโมงหนึ่งก็เย็นไม่ค่อยน่าทานเสียแล้ว ถ้าท้ิงไว้วัน สองวันมันจะบูด ต้องทงิ้ ความรอ้ น ความห อม ฯลฯ ซ่งึ เปน็ สว่ นประกอบ ไม่คงทน ทำให้ตัวแกงไม่คงทน ท่านเรียกความจริงน้ีว่า ทุกข์ พระตถาคตจะบ งั เกิดข้ึนในโลกกต็ าม จะไม่บ งั เกิด ขน้ึ ในโลกก็ตาม ส่งิ ท ง้ั หลายท ง้ั ปวงไมเ่ ทยี่ ง เป็นท กุ ข์ เปน็ อนัตตา มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติยังไม่เป็นปัญหา หากทุกขใ์นอริยสัจคอื ความทุกข์ของมนษุ ยโ์ ดยเฉพาะ ไม่ เหมือนท กุ ขใ์ นไตรลักษณ์ แตส่ ืบตอ่ จากความท ุกขน์ ้นั คือ ขันธ์ห้าของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ต้องเป็น ไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่มนุษย์เราแปลกตรงที่ว่ามีส่ิงที่ เรยี กวา่ อวชิ ชา หอ่ ห มุ้ จติ ไว้ ทำใหเ้ กดิ ความผดิ ป กตทิ ที่ า่ น 3ชยสาโร ภิกขุ
ให้ชือ่ วา่ ทกุ ข์ เหมือนกัน แตเ่ป็น ทกุ ขอรยิ สจั ท่านแยกความทกุ ข์นี้ออกมาตา่ งห าก เพราะมเี หตุ ทีร่ ะงับไดแ้ ละมจี ดุ จบซึง่ พระองคใ์ ห้ช่ือวา่ นิโรธ ทุกข์ใน อริยสัจหมดแล้วมีแต่ทุกข์ในไตรลักษณ์สำหรับชีวิตท่ียัง เหลอื อยู่ คอื ท กุ ขเวทนาท างกาย ความแก่ ความเจบ็ และ ความตาย สำหรบั ผทู้ ่เีขา้ ถึงธรรมแลว้ สง่ิ เหลา่ น เ้ี ป็นท ุกข์ แต่ไม่เปน็ ป ัญหา เปน็ แคร่ สชาตขิ องไตรลักษณ์ที่ท กุ คนใน โลกรวมท้ังพ ระอรหันต์ต้องเสวย ทุกข์ท่ีเป็นอริยสัจเกิดเพราะจิตที่มี อวิชชา ย่อม กระสบั กระสา่ ยด้วยความท ะเยอทะยานอยาก คือตัณหา เราจะแปลอวชิ ชาวา่ “ความไมร่ ”ู้ อย่างเดียวไม่ไดเ้ พราะ อวิชชา รวมถงึ การ “รผู้ ิด” ด้วย คนเราจะอยเู่ ฉยๆ โดย ไม่รู้หรือไม่คดิ อะไรเลยไมไ่ ด้ เมื่อเราไม่รู้จรงิ เรากร็ ู้ไมจ่ ริง อวิชชาจึงหมายถึงไมร่ ู้ความจริง และรู้ไม่จรงิ เม่อื ความ รสู้ กึ นกึ คดิ คา่ นยิ มทมี่ ตี อ่ ชวี ติ ของตน โลกทศั นค์ วามเชอ่ื ถอื หรอื แนวความคดิ ไมล่ งรอยกบั ความเปน็ จรงิ ความขดั แยง้ ที่ เกดิ ขน้ึ ป รากฏในลกั ษณะของความอยากได้ อยากมอี ยาก เป็นตา่ งๆ มผีลคือความท กุ ข์ ความทุกข์ท่ีเกิดจากอวิชชา เกิดจากการไม่รู้จริง ความท กุ ขจ์ ากการรไู้ มจ่ รงิ เปน็ ความท กุ ขท์ แ่ี กไ้ ด้ แตค่ วาม ทุกข์ที่เป็นไตรลักษณ์ซ่ึงเป็นความทุกข์ของสิ่งทั้งปวงเป็น 4 ทุกข์ ทำไม
สง่ิ ท ตี่ อ้ งยอมรบั นกั ป ราชญผ์ มู้ ปี ญั ญา คอื ผรู้ วู้ า่ สง่ิ ไหนอยู่ ในวสิ ยั ทจี่ ะแกไ้ ขได้ สง่ิ ไหนไมอ่ ยใู่ นวสิ ยั ทจี่ ะแกไ้ ด้ เพราะถา้ เราแยกไมถ่ กู เดยี๋ วเราจะเสยี เวลาเหนอ่ื ยกบั การพ ยายาม แกส้ งิ่ ท เ่ี ราแกไ้ มไ่ ด้ สว่ นสง่ิ ท แ่ี กไ้ ดก้ ลบั ไมม่ เี วลาแกห้ รอื ไม่ คดิ ท ่ีจะแก้ อะไรคอื สง่ิ ทเ่ี ราแก้ไมไ่ ด้ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อาจจะพอบรรเทาได้บ ้าง ยดื อายุออกไปบา้ ง แตใ่ นท่สี ุดแล้วจะต้องยอมรบั พระพทุ ธศาสนาจึงสอนใหเ้รายอมดู ยอมรบั รู้ ให้ เราคอยฝึกเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตโดยเฉพาะกับ สง่ิ ทเี่ ราไมต่ อ้ งการหรอื ไมช่ อบ ผทู้ ไ่ี มเ่ ขา้ ใจอาจจะกลวั วา่ จะ ทำให้เรากลายเป็นคนมองโลกในแงร่ ้ายห รือเปล่า ไมใ่ ช่... เจตนาของเราคอื ตอ้ งการมองโลกอยา่ งรอบคอบ แบบลมื หู ลืมตา ดทู กุ แงด่ ทู กุ มุม ไม่ใชร่ ับรเู้ ฉพาะแงม่ ุมท ่ีถูกใจ หรือ ทท่ี ำให้ร้สู กึ อบอนุ่ และป ลอดภัย ต้องกลา้ ไมอ่ ยา่ งน น้ั จะ เปน็ เหย่อื ของความคดิ ผดิ และจะเป็นทกุ ขไ์ ด้ง่าย เชน่ ใน โรงพยาบาลในต่างประเทศหรือแม้ในเมืองไทยบางแห่ง มีการมองความตายว่าเป็นศัตรู เป็นส่ิงท่ีต้องสู้ต้องชนะ ทง้ั ๆ ท่ีเปน็ ส่งิ ที่ไม่เคยมใี ครชนะได้เลย ในเมอื งนอก ใครตายจากมะเรง็ เขามกั เขยี นประวตั ิ เขาวา่ “He lost his battle with cancer. หรอื After a two - year fight with cancer, he died.” เหมือนกบั 5ชยสาโร ภกิ ขุ
มะเรง็ เปน็ ศัตรทู ไ่ี ดเ้ขา้ ไปรกุ รานเขาอยา่ งไรย้ ตุ ธิ รรม ทเ่ีขา ไดส้ จู้นถงึ ที่สดุ แลว้ แพไ้ ปอย่างวรี บุรุษ น่ีคือความคดิ ผดิ ท ่ี เกดิ จากการไมเ่ ขา้ ใจธรรมชาติ หรอื การไมย่ อมเขา้ ใจเกย่ี ว กับความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หรือท กุ ขใ์น ไตรลกั ษณ์ จงึ กลายเปน็ ฐานของทกุ ข์ในอริยสจั หลวงพ่อชาเคยสอนศิษย์ของท่านอยู่เสมอว่า แก้วน้ำท่ีเราใช้ทุกวันแตกแล้ว ให้พิจารณาอย่างน้ีบ่อยๆ ฝึกให้เห็นอย่างนี้แล้ว เม่ือมันแตกจริงๆ จิตใจเราจะไม่ หว่ันไหว ร่างกายนี้เรายืมธรรมชาติมาใช้ชั่วคราวเท่าน้ัน ตอ้ งมองวา่ มนั แตกแลว้ เหมอื นแกว้ นำ้ เราจงึ จะไมป่ ระมาท พวกเราไมเ่ ข้าใจเรอ่ื งนีก้ ย็งั ไม่รอู้ ีโหน่อเี หน่ ไปอเมรกิ าจะเห็นคนแก่อายุ ๖๐ หรือ ๗๐ แต่งตวั เหมือนคนอายุ ๓๐ หรอื ๔๐ ท่อนบ นโป๊ใส่กางเกงส้นั กม็ ี เดนิ เกย่ี วกอ้ ยกนั ในทสี่ าธารณะกเ็ คยเหน็ เขาพ ยายาม พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า เขาไม่แก่ เขาไม่เป็นภาระแก่ใคร เพราะอะไร เพราะในสังคมตะวันตกท่ีเน้นเร่ืองกามและ งาน คนแกด่ เูหมอื นจะเป็นส่วนเกนิ สังคมยกยอ่ งความ เป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะฉะนั้นคนแก่จึงต้องพยายาม พิสูจน์ว่าฉันไม่แก่จริง นี่คืออาการของวัฒนธรรมท่ียัง อ่อนปญั ญา ไม่ยอมรับเรอ่ื ง ความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย โยมแมข่ องอาตมาเองอายุ ๖๐ กวา่ แลว้ ไมเ่ คยเหน็ 6 ทุกข์ ทำไม
คนตาย ไม่เคยเหน็ ซากศพ โยมแมอ่าตมาอาจจะสิ้นชีวติ ลงโดยไมเ่ คยมโี อกาสจะไดเ้ หน็ เวน้ แตใ่ นห นงั เพราะสงั คม ที่ทา่ นอยู่ไม่อยากจะรบั รตู้อ่ ความตายในโลกจริง แต่ชอบ ดูการฆ่าอย่างสยดสยองในโรงหนัง อาตมาก็ไม่เข้าใจ เหมอื นกัน วัฒนธรรมพุทธสอนให้เราอยู่กับความจริง เช่นที่ วัดป่านานาชาติเรา วันไหนมีการเผาศพ ผู้ใหญ่ต้องจูง เดก็ เล็กๆ อายุ ๓-๔-๕ ขวบข้ึนไปไปดศู พบ นเชิงตะกอน กอ่ นเผา เพอื่ จะไดร้ วู้ า่ ความตายมนั เปน็ อยา่ งนเ้ี อง มนั เปน็ เรื่องธรรมดา หลวงพ่อชา ท่านย้ำในเรื่องน้ีมากคือท่าน บอกวา่ กอ่ นทีเ่ ราจะดบั ความท ุกข์ เราตอ้ งรู้จักความทุกข์ เสียก่อน เหมือนแม่ทัพต้องรู้จักศัตรูดีก่อนจะได้วางแผน ชนะมันได้ ให้เรารู้จกั โฉมหนา้ ของความท ุกข์ ความทกุ ข์ อยู่ท่ีตรงไหน ก็ต้องดับความทุกข์ท่ีตรงนั้น ท่านบอกว่า ไฟไหม้ตรงไหนก็ต้องดับตรงนั้น อย่าไปดับที่อื่น อย่า พึงอ้างว่าที่นี้ดับไม่ได้หรอกมันร้อนเกินไป ขอดับที่อุ่นๆ ก่อน อย่างน้ีเอาตวั ไม่รอด วอดวายเลย การปฏิบัตไิ ม่ใช่ ยากล่อมใจเพือ่ จะไดล้มื สงิ่ ท่ีกำลงั ทำใหเ้ราเปน็ ท กุ ข์อยู่ เราไม่ไดภ้ าวนาเพอ่ื จะหนีจากป ัญหา หรอื เพอื่ เกบ็ กดป ัญหา ตรงกนั ข้าม เราฝึกให้จติ ร้จู กั ภาวะท ี่รู้ ตน่ื และ เบกิ บาน กบั ลมหายใจ เปน็ ตน้ เพอ่ื ใหจ้ ติ ใจมคี วามสงบสขุ 7ชยสาโร ภิกขุ
เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะดูปัญหา คือจิตจะปล่อยวางความ ยนิ ดี ยนิ รา้ ย หรอื ความยดึ มนั่ วา่ มเี ราห รอื ของเราตราบใด กส็ ามารถเขา้ ใจป ญั หาอยา่ งถอ่ งแทต้ ราบน น้ั เขา้ ใจป ญั หา รู้ขอบเขตของปัญหา สามารถเห็นเหตุปัจจัยของปัญหา อย่างแท้จริง แล้วคอยแก้ไข ปัญหาภายนอกก็แก้อย่าง หนึ่ง ปญั หาภายในกอ็ ยา่ งหนง่ึ คนท่ียังไม่มีปัญญามักปฏิเสธว่า “ฉันไม่มีปัญหา” เมอ่ื เรม่ิ สวา่ งขน้ึ มานอ้ ยหนงึ่ กย็ อมรบั วา่ “ฉนั มปี ญั หา” ขนั้ ตอ่ ไปกค็ ือ “ฉนั คอื ป ญั หา” ในท สี่ ุดแล้วไมม่ ีปญั หาจริงๆ แตก่ ารไมม่ ปี ญั หาอยา่ งคนท ว่ั ไปน ไี้ มใ่ ช่ ตอ้ งพ ฒั นาใหเ้ หน็ ปญั หา ยอมรบั ป ญั หา จนกระทง่ั เหน็ วา่ ความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในตวั ฉนั น่ันแหละคอื ตัวป ัญหา ไม่ใช่ว่าฉันมีปัญหา ตอน เราน่ังสมาธิภาวนาแล้วไม่สงบทำอย่างไร อดทน ! อย่า ใจรอ้ น อยา่ ทอ้ แท้ เปน็ ทกุ ขบ์ า้ งกช็ า่ งมนั ไมเ่ ปน็ ไรในระยะ ยาวมันคมุ้ อยหู่ รอก เรากำลังทำงานอยู่ กำลังได้รูจ้ ักกบั ความท กุ ขข์ องตวั เอง กำลงั ไดร้ จู้ กั สาเหตขุ องป ญั หา เรยี ก วา่ ได้กำไร เพียงแตว่ ่ายงั ไม่คอ่ ยสนกุ เทา่ นั้นเอง เงนิ เดอื น ยังไม่ออก ทำไปเร่อื ยๆ เอาความทกุ ข์เป็นบ ทศกึ ษาไดใ้ จ ก็ไม่ขนุ่ มวั ในการอบรมลกู ศษิ ยล์ กู ห า หลวงพ อ่ ชาท า่ นมคี วาม สามารถสงู สำหรับชาวตา่ งป ระเทศ ทา่ นเมตตาเลือกคำ 9ชยสาโร ภิกขุ
พดู ทงี่ า่ ยๆ สอนผทู้ ยี่ งั พ ดู ภาษาไทยไมไ่ ดห้ รอื ยงั พ ดู ไดไ้ มก่ ี่ คำ คำหนงึ่ ทที่ า่ นชอบใชก้ บั พ วกพ ระฝรง่ั เรา อาตมากย็ งั จำ ได้ตราบเท่าทุกวนั นี้ คือท่านย้ำเหลอื เกนิ วา่ “ทุกขเ์ พราะ คดิ ผิด” คำน ี้ผทู้ ี่เร่มิ เรียนภาษาไทย ก็ยงั พอเข้าใจ เราจะรอู้ ยา่ งไรวา่ เรากำลงั คดิ ผดิ ห รอื คดิ ถกู เราตอ้ ง รจู้ ักหยดุ แลว้ ดู ในการภาวนา สมถะ คือหยุด วิปัสสนา คือดู การภาวนาต้องการสองสิ่งน ี้ คอื ท ้งั “หยดุ” ท้งั “ดู” ถ้าไม่หยุดแล้ว ก็ดูไม่ชัด เหมือนเราอยากจะดูทิวทัศน์ น่ังในรถท่ีกำลังวิ่งเร็วก็ดูไม่ชัด ภูเขาทะเลก็เบลอไปหมด ต้องจอดรถเสยี กอ่ นแลว้ ลงจากรถไปชมวิว เหมือนกับจิตใจของเรามันกำลังวิ่ง ดูอะไรไม่ชัด จำเปน็ ตอ้ งห ยดุ ดว้ ยพ ลงั สมาธิ เพอื่ ระงบั ความคดิ ฟ ุง้ ซา่ น วนุ่ วาย ระงบั นิวรณต์่างๆ ซึง่ เปน็ สงิ่ ท ่คี รอบงำจิต ทำให้ ดูอะไรไม่ออก หรือดูผิดเพี้ยนจากความจริง มีแต่สมาธิ เทา่ นน้ั ท จ่ี ะระงบั น วิ รณไ์ ด้ ทนี เ้ี ราเคยอยกู่ ับน วิ รณม์าน าน แล้ว อยู่กับกิเลสต้ังแต่เกิด ถ้าไม่ทำสมาธิ ไม่ฝึกให้จิต พอใจและแน่วแน่อยู่ในปัจจุบัน เราไม่มีทางเข้าใจความ หมายของคำวา่ กเิ ลส วา่ เป็น “เคร่ืองเศร้าหมองแหง่ จติ ” เพราะไม่มโี อกาสสัมผัสจิตที่ไมเ่ ศรา้ ห มอง เหมอื น กบั วา่ เราเคยอยใู่ นแหลง่ แออดั ตงั้ แตเ่ กดิ เลยห ลงผดิ วา่ โลก ทั้งโลกเปน็ อย่างนเ้ี อง 10 ทกุ ข์ ทำไม
พระพุทธองคท์ รงตรัสว่า กเิ ลสไมใ่ ชข่ องตายตวั ไม่ ไดอ้ ยใู่ นจำพวกสง่ิ ทตี่ อ้ งยอมรบั แตเ่ ปน็ สง่ิ ท จ่ี รเขา้ มาในใจ เราเพราะความประมาทไมท่ ำสมาธจิ ะไมเ่ ขา้ ใจ หรอื อาจจะ เขา้ ใจในระดบั สมองระดบั ความจำ แตไ่ มเ่ หน็ ถา้ อบรมจติ จนถงึ จดุ สงบระงบั เขา้ ถงึ ทว่ี เิ วก สงดั จากอารมณ์ สงดั จาก การกอ่ กวนของอารมณ์ เราจงึ ไดร้ วู้ า่ โอ ้! นวิ รณม์ นั เศรา้ หมอง จรงิ ๆ เหมอื นเราเดนิ ขน้ึ เขาสดู อากาศบ รสิ ทุ ธเิ์ ปน็ ครง้ั แรก ในชีวิต จึงได้รู้ว่าบ้านท่ีตนอยู่แออัดขนาดไหน แต่ก่อน ไมเ่ คยคดิ เพราะไมม่ เี ครอื่ งวดั ไมม่ สี ง่ิ เปรยี บเทยี บ แตก่ อ่ น เราก็ลม่ จมอยใู่ นอารมณ์ มองไมเ่หน็ ท างออก เพราะไมร่ ู้ จกั สง่ิ ทด่ี กี วา่ สมาธคิ วามสงบท างจติ เปน็ เครอ่ื งวดั อารมณ์ เม่ือเราได้ความสงบเป็นมาตรฐาน เราได้เครื่องเปรียบ เทยี บ เรากร็ จู้ กั ห ยดุ หยดุ ความคดิ หยดุ การป รงุ แตง่ แลว้ ก็สามารถดู ดอูะไร ก็ดสู ง่ิ ที่มีอยู่ สิ่งท กี่ ำลงั ปรากฏอยใู่ห้ เห็นต ามความเป็นจริง ความท ุกข์ทางกาย ถอื ว่าเป็นเร่อื งธรรมดา เกดิ ขึ้น แลว้ เราพ ยายามแกไ้ ขด้วยยา ทานยาไปตามห นา้ ท่ี แต่ไม่ กงั วลจนเกนิ ไป ไม่กลัว ไมน่ ้อยใจ เพราะรู้ดีว่าความเจบ็ ไข้เป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร แม้องค์สมเด็จพระสัมมา สมั พ ทุ ธเจา้ และพ ระอรหนั ตท์ งั้ ห ลายกย็ งั มเี วทนาท างกาย ตอนพระพทุ ธองคช์ นมายุ ๘๐ พรรษา บางคร้งั ท่านน่ัง 11ชยสาโร ภิกขุ
พิงเสาเหมอื นกนั ปวดหลัง บางครัง้ พระองค์เอวงั ใหพ้ ระ อานนทเ์ ทศนต์ อ่ เพราะพ ระองคเ์ มอ่ื ยลา้ ตอ้ งการพ กั ผอ่ น แมแ้ ตพ่ ระตถาคตเองกไ็ มไ่ ดพ้ น้ จากความปวดหลงั ปวดขา ปวดเมอ่ื ย พระองคถ์ อื วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดาของสงั ขาร สว่ น ทกุ ขท์ างใจ ใหเ้ รารทู้ นั ทเี ลยวา่ “ทกุ ขเ์ พราะคดิ ผดิ ” คอื ทกุ ข์ นก้ี เ็ รอ่ื งธรรมดาเหมอื นกนั แตเ่ ปน็ ธรรมดาของจติ ทคี่ ดิ ผดิ ซึ่งเราแก้ได้ ถ้าเราจำคำว่า “ท ุกข์เพราะคดิ ผดิ ” นไี้ดก้จ็ ะ ได้ทพี่ ึ่งท างใจอยา่ งแท้จริงจะช่วยให้เราได้หยดุ แลว้ ให้เรา ไดด้ วู ่าคิดผดิ อย่างไร พูดอีกนัยหนึ่งว่าเราทุกข์เพราะกำลังอยากอะไรอยู่ ไม่อยากกไ็ ม่ทุกข์ เขาด่าเรา เราเป็นทกุ ขไ์ หม เปน็ ท กุ ข์ เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะเขาด่าเราไหม เปล่า...เรา เปน็ ทุกขเ์พราะไม่อยากใหเ้ ขาดา่ เราต่างหาก เมื่อมคี วาม ไม่อยากอยู่ หรือว่าอยากไมใ่ห้เป็นอยา่ งน ้ี ไมอ่ ยากท ่ีจะ ตอ้ งเปน็ อย่างน ้ี หรอื อยากไดอ้ ะไรสักอยา่ ง อยากได้ของ ท่ีเราชอบ เมอื่ เราไม่ได้ มันเปน็ อย่างไรไหม...ทุกขใ์ชไ่ หม ถา้ เราทำใจว่า อะไรกไ็ ด้ มนั ก็ไมเ่ปน็ ทุกข์ เหมอื นกบั การทานอาหาร คนขท้ี กุ ขค์ ดิ แตว่ า่ อาหาร ต้องถูกปากฉนั สว่ นผูม้ ปี ัญญาทา่ นท านด้วยสติ ระลึกถงึ ผทู้ ี่ไดอ้ ุตสา่ หท์ ำใหเ้ราดว้ ยความกตัญญู พยายามท ำปาก ให้ถูกอาหาร อย่างน้อยถึงจะไม่อร่อยก็ไม่ทุกข์เท่านั้น... 12 ทกุ ข์ ทำไม
มันง่ายๆ ทุกข์เพราะคิดผิดให้จำไว้อย่าลืม เวลาเริ่มจะเป็น ทุกข์ แทนท่ีจะไปว่าเขาจะไปโกรธเขาหรือจะไปหงุดหงิด กบั เขา ทบทวนท จ่ี ิต ถา้ หากว่าจิตใจของเราอยูก่ับธรรม เปน็ ท กุ ขไ์ มไ่ด้ เป็นท กุ ข์ไม่เปน็ ไมม่ สี ง่ิ ใด หรือไม่มคี นใด จะบังคับให้เราเป็นทุกข์ทางใจได้ มันไม่อยู่ในวิสัยของ ใครท่ีจะบังคับให้ใครเป็นทุกข์ได้ ถ้าเราไม่ยอมเป็น ทุกข์ มีคุณธรรมพอท่ีจะปกปอ้ งตัวเอง หรือรักษาความ ทรงตวั ของจติ ตนไวไ้ ด้ ทีนี้ถ้าเราวงิ่ ตามกระแสของความอยาก เราก็จะไม่ เหน็ กระแส แต่จะฝนื กระแสมนั ก็ไมอ่ยากฝืน มันลำบาก ดีท่ีสุดคือมีกัลยาณมิตรช่วยเราฝืนกระแส หลวงพ่อชา ท่านทำหน้าที่น้ีตลอด คือท่านเมตตาให้ส่ิงท่ีเราไม่อยาก ได้ และไม่ให้ส่งิ ทเี่ราอยากได้ เพ่ือเราจะไดเ้ห็นจิตใจของ ตวั เอง และโทษของความคิดผิด ตอนที่อาตมาไปอยู่กับท่านใหม่ๆ พยายามจะอยู่ ใกล้ชิดท่านที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มีอุปสรรคเรื่องภาษา ก็ดเีหมอื นกันท ำใหข้ ยนั ในการเรียนภาษา ไปอยู่แรกๆ มี ปัญหาว่าพระเณรท่ีเป็นเพื่อนพูดภาษากลางไม่ถนัด ทุก องคช์ อบพ ดู ภาษาอสี าน อาตมาจงึ ตอ้ งพ ยายามพ ดู อสี าน อยากเรียนภาษากลางก็ไม่มีใครสอน เลยสับสนระหว่าง 13ชยสาโร ภิกขุ
ซ. โซ่ กับ ช. ชา้ ง ตั้งนาน พูดภาษาอีสานไดบ้ า้ งกไ็ ด้รับ รางวัลคือหลวงพ อ่ ท า่ นชม วันหน่ึงอาตมานั่งถวายการพัด มีชาวบ้านหรือ ใครมา หลวงพ่อท ่านชีท้ ี่ตวั อาตมา แลว้ พ ดู ว่า “องค์นี้บ่ เป็นพ ระฝร่ังเด.้ ..พระลาวเด้... พดู ภาษาลาวเกง่ แมน่ บ”่ อาตมาตอบ “โดยขา้ นอ้ ย” “น่นั ! ...เห็นบ ล่ ะ่ ” โยมท ำทา่ วา่ ทงึ่ ...แหม ! อาตมาป ลมื้ ภาคภมู ิใจท ีส่ ดุ เลย...มคี วาม สขุ มาก แต่พ อโยมเคา้ กลบั ไปแลว้ น่ี หลวงพอ่ เอาฟ นั ปลอม ออกมาแล้วกส็ง่ั อะไรไมร่ วู้ า่ “ชอ้ น...ซ..ซ.ซ” ฟังไมร่ ู้เรอื่ ง เลย งงๆ หลวงพ อ่ ใสฟ่ นั “ใชไ้ มไ่ ด้ สง่ั งานอะไรกไ็ มร่ เู้ รอื่ ง” เรากท็ ุกขใ์จ เมื่อกกี้ ็ยกยอ่ งว่าเราเก่ง ทีนก้ี ็ว่าเราใชไ้ ม่ได้ ภายในเวลาไมก่ ่นี าที แต่ตอนไปอยู่กับท่านใหม่ๆ ทั้งๆ ที่เราเป็นลูก ศิษย์ใหม่ ไม่มีโอกาสพูดกับท่านมาก ในใจรู้สึกใกล้ชิด พอสมควร ท่านพูดคำสองคำเราก็พอใจมีความสุขทั้งวัน แลว้ ท า่ นรู้ ปแี รกท ไี่ ปจำพ รรษาท ว่ี ดั น านาชาติ วนั ห นงึ่ เจา้ อาวาสก็พาเราไปกราบหลวงพ่อ คณะสงฆ์วัดนานาชาติ ปีนั้นมีสัก ๑๐ กว่ารูป ปีน้ันไม่มากเท่าไหร่ หลวงพ่อ ทา่ นตอ้ นรบั อยู่ใต้ถุนกุฏิ ทกุ องคต์ ่นื เต้นมากท ่ีจะได้กราบ หลวงพ อ่ อาตมาไมเ่ หน็ ท า่ นตงั้ เดอื นกวา่ กค็ ดิ วา่ เราจะได้ 14 ทกุ ข์ ทำไม
รับความอบอุ่น จะไดร้ับอะไรจากท ่านเช่นเคย ทา่ นกเ็รมิ่ ถามเจ้าอาวาส “ชาคโร เปน็ อยา่ งไรการป ฏิบตั ิ” ถามแลว้ กถ็ ามรองเจา้ อาวาสไปตามแถว ถามท กุ คนท อี่ ยทู่ น่ี นั่ เวน้ แตเ่ราคนเดยี ว... แมแ้ ต่มองก็ไม่ได้มองท างเราเลย ไมใ่ ช่ ไม่เห็นนะ ...ทุกข์ ๒๐ ปตี อ่ มากย็ ังช้ำน ิดๆ ท่านชอบท ำ อยา่ งน้ี คอื ไมใ่ หส้ ่งิ ทเ่ี ราอยากได้ กลบั ใหส้งิ่ ที่เราไมอ่ ยาก ได้ ใหด้ใู จ หลวงพ่อท่านไม่ต้องการมีบริวารมากๆ ถ้าท่าน เหน็ พระองค์ไหนตดิ ตัวท่าน...ไม่ให้อยแู่ ล้ว สง่ ไปอยูต่ าม สาขา ไม่ใชอ่าทติ ยส์องอาทติ ยน์ ะ บางทีเป็นป ี เรยี กวา่ รกั ษาศิษย์ป่วยด้วยยาขม ตอนหน้าหนาว ทำงานกัน สมัยน้ันไม่ใช่ว่าจะได้ ฉนั นำ้ ร้อน (น้ำป านะ) ทกุ วนั นะ ถ้าเป็นวันพระจงึ จะได้ นอกจากนั้นจะได้เฉพาะเวลาทำงาน ได้ยินเสียงตีระฆัง ทำงานน น้ั จติ มคี วามขดั แยง้ ใจห นงึ่ ไมอ่ ยากท ำงานอยาก นั่งสมาธิมากกว่า ใจหน่ึงก็รู้ว่าการทำงานคือการปฏิบัติ เหมือนกนั กเิ ลสบอกวา่ ... “ไมเ่ปน็ ไร เสรจ็ แล้วจะได้ฉัน น้ำรอ้ นแก้หนาว” แล้วก็มีอยู่ช่วงหน่ึง ปีนั้นเราก็กำลังยกก้อนหิน ใหญๆ่ มาวางเปน็ แนวเป็นแถว เป็นงานหนกั พอสมควร วันหน่ึงทำหลายช่ัวโมงแล้วก็พอถึงเวลาที่เคยเลิกฉันน้ำ 15ชยสาโร ภิกขุ
หู senstive มากคอื ไดย้ นิ เสยี งสามเณรถอื กานำ้ มา กลก๊ั ๆ (เสยี งกระทบของกานำ้ ) แตไ่ กลเลย หา้ สบิ เมตรกไ็ ดย้ นิ นะ วันนนั้ สามเณรก็วางกาไว้ อากาศหนาวมาก เห็น ไอออกจากกา “เดี๋ยวจะได้ฉันน้ำร้อนแล้ว...” พระเณร ทุกรปู เริ่มชะลอแต่หลวงพอ่ ทำไมร่ ู้ไม่ชี้ ท่านยกไม้เท้าข้ึน ช้ีทำอย่างงั้นทำอย่างน้ี เราคิดว่าแป๊บเดียวก็เสร็จ แล้ว กจ็ ะไดฉ้ นั นำ้ ร้อนห้าน าที.... สิบนาที.... ชักสงสัย เอ๊ะ ! ท่านไม่ทราบวา่ กามาแลว้ ห รอื เปลา่ เอ๊ะ ! แล้วถา้ เราบ อก ท่านจะเปน็ การบ ังอาจไหม ...ไม่ ไม่ดกี วา่ กเ็ ลยท ำงาน ต่อ ทนี ้ีมันก็รู้สกึ ทรมานใจ เพราะวา่ แหม ! มนั กเ็ย็นลง เย็นลง แลว้ ท ่านกไ็ มส่ นใจเลย ทา่ นก็มองมาท างน้ี มอง ทุกท ิศ เวน้ แต่ตรงทีม่ ีกาน้ำ ก็ซักชัว่ โมง ชัว่ โมงคร่ึง ท่าน ก็ “โอะ๊ ! น้ำร้อนมาแลว้ นมิ นต์ นมิ นต”์ มนั กค็า้ นอยใู่ น ใจ นำ้ รอ้ นท ไ่ี หนกนั ละ่ มนั เยน็ มาน านแลว้ แลว้ ใจห นง่ึ มนั กอ็ยากประทว้ ง ไม่ฉนั หรอก กลับกุฏิเลยดกี ว่า ใจห น่ึงก็ บอก อย่า ยังดีกว่าไม่ไดฉ้ันอะไรเลย หลวงพ่อท่านรู้ ท่านใช้วิธีฝึกคนด้วยการทรมาน ทรมานไมใ่ ชเ่ รอ่ื งการใหเ้ ปน็ ทกุ ขเ์ ปลา่ ๆ หรอก ทา่ นตอ้ งการ ให้เราเห็นอริยสัจ ต้องการให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่าง ทุกข์กับสมุทัย ถ้าเราไม่เช่ือม่ันว่าท่านทำด้วย ความเมตตากรณุ า เรากค็ งไมไ่หวเหมอื นกัน แต่เรารูเ้ รา 16 ทกุ ข์ ทำไม
เชื่อว่าท่ีท่านทำอย่างน้ีเพื่อให้เราเห็นใจตัวเอง เพื่อที่จะ ได้เข้าใจ ถ้าเราวางใจถกู ตัง้ แต่แรกเลย ตอนท ไ่ี ด้ยินสามเณร ถือกาน้ำมา วางใจว่า ฉันก็ดี ไม่ฉันก็ดี ก็ไม่มีปัญหา จะท ำงานเทา่ ไหรก่ ไ็ มม่ ที กุ ขใ์ ชไ่ หม แตพ่ อไดย้ นิ เสยี งกานำ้ แลว้ จติ กเ็ ร่ิมปรงุ แต่ง เมอื่ ไรจะได้ทาน กเ็พราะเราคดิ วา่ “เมอื่ ไรจะ” นจ่ี ติ กไ็ มส่ งบแลว้ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นป จั จบุ นั แลว้ อยู่ ในอนาคต พอจิตมันห ลุดออกจากปจั จุบันเม่ือไหร่จะเปน็ ทุกข์ทันที ก็ถ้าหลวงพ่อท่านจะเทศน์ให้เราฟัง เทศน์ ทฤษฎใี หเ้ ราฟ งั เรื่องอริยสจั ๔ เราก็คงจะซาบซึ้งในระดบั หนง่ึ แต่มนั ไม่เหมือนการเจอเหตุการณ์อย่างนี้ มันถงึ ใจ จริงๆ นะ ญาติโยมชอบสงสัยว่า เอ๊ะ...พระฝร่ังไปอยู่กับ หลวงพ่อชาใหม่ๆ ไม่พูดภาษาไทย ท่านสอนอย่างไร คำถามน ้ีเกิดจากความเข้าใจว่าการสอนคือการพดู ท่ีจริง การพดู กเ็ ปน็ แค่ส่วนห นึ่งของการสอน ปีแรกหลวงพอ่ ชาท ่านสอนอยา่ งไร ขอตอบวา่ ท ่าน ทรมาน...เราอยากไดอ้ะไรท ่านไมใ่ ห้ หรือเมอ่ื เราไม่อยาก ได้ท า่ นกจ็ะให้ อาตมาก็โดนอยู่เร่ืองห นึง่ “ชอ้ น...” (ชือ่ เดมิ อาตมาคือ ฌอน (Shaun) ทา่ นชอบเรียกอาตมาว่า ชอ้ น) 17ชยสาโร ภิกขุ
“ชอ้ น...อยากบ วชมย้ั ” “อยากบ วชครบั ” “อยากบ วชก็ไมต่ ้องบวช อยากมนั ไม่ดีหรอก” ตอ่ มาท า่ นกถ็ ามอกี “ชอ้ น...ชอ้ น...” ทา่ นยม้ิ นอ้ ยๆ นะ เหมอื นน ายพราน “ช้อน...อยากบวชมั้ย” “ไมเ่ ป็นไรครบั ” “เอ่อ...ไม่อยากบวชก็ไมต่ ้องบวช” ในทสี่ ดุ เรากไ็ ดป้ ญั ญา ไดศ้ พั ท์ ศพั ทท์ ย่ี อดเยยี่ มเลย นึกออกไหมว่าคำอ ะไร “ช้อน...อยากบ วชมั้ย” อาตมาตอบวา่ “แล้วแต่ หลวงพอ่ ครบั ” อือ ! ทา่ นก็ยม้ิ พอใจ ลกู ศษิ ยเ์ ข้าใจ ตอ่ มากใ็ชค้ ำ น้ีเป็นป ระจำเลย อะไรๆ กแ็ ลว้ แตค่รบั แล้วแต่หลวงพอ่ ครบั นก่ี เ็ ปน็ แคค่ ำพ ดู แตถ่ า้ เราท ำใจไดต้ ามคำพ ดู อะไรๆ กแ็ ล้วแต่ แลว้ แต่ นพี่ ระเราก็ใชก้บั โยมเหมอื นกนั “ท่าน อาจารยอ์ ยากไดน้ นั่ ไหม อยากไดน้ ไ่ี หม” ลกู ศษิ ยจ์ ะถวาย “แลว้ แต่ แลว้ แต”่ คำน ี้เป็นคำท ี่เหมาะกบั พ ระมาก “แลว้ แตโ่ ยม” ทา่ นกไ็ มใ่ หพ้ ระเราเปน็ ผรู้ ะบุ โยมจะท ำบญุ ไมใ่ ช่ หนา้ ทพี่ ระเราทจ่ี ะตอ้ งไปชกั ชวนใหท้ ำบญุ มากๆ เพอื่ จะได้ ขน้ึ สวรรค์ หรอื จะไดส้ งิ่ ตอบแทนตา่ งๆ หนา้ ทข่ีองพ ระคอื 18 ทุกข์ ทำไม
อนุโมทนานะ แลว้ บริโภคสงิ่ ท่ีได้รับด้วยสติเพื่อป ระโยชน์ แกก่ ารป ระพฤติปฏบิ ตั ิ โยมจะทำบญุ เทา่ ไรอย่างไรกแ็ลว้ แต่ แล้วแต่โยม โยมทำแล้วพ ระก็อนโุ มทนา เราตอ้ งกล้าในการปฏบิ ตั ิ เราตอ้ งเป็นผูก้ ล้า กล้า ดูความท ุกข์ เพราะความท ุกข์มเี หตุมปี จั จยั ดูความท ุกข์ วิเคราะห์ความทกุ ข์ เราจะไดร้้วูา่ ส่วนไหนต้องแกไ้ ข สว่ น ไหนต้องยอมรับ ส่วนไหนเป็นความทุกข์ทางธรรมชาติ ส่วนไหนเป็นความทุกข์ท่ีเกิดจากความคิดผิดความถือผิด จงระวังคำวา่ “นา่ จะ” “ไมน่ า่ จะ” คนเราจะเป็นท ุกข์กับ คำนี้บ อ่ ยๆ เพราะเมื่อเราวาดภาพแล้ววา่ อยา่ งน ถ้ีกู เรา มที ฏิ ฐหิ รอื มคี วามเหน็ วา่ อะไรมนั น า่ จะเปน็ อยา่ งน นั้ อยา่ ง นี้ เม่อื มนั ไม่เปน็ อย่างท เี่ ราคดิ วา่ มันนา่ จะเป็น...ทุกข์ ถ้า เรามคี วามแนใ่ จว่าเราถูกเขาทำผิด อันน ้ียงิ่ เปน็ ท ุกข์ใหญ่ ทำอย่างนน้ั ผิด ผู้ที่แน่ใจว่าตัวเองถูกอันตราย อันตรายต่อตัวเอง อันตรายต่อคนอ่ืน เขามองไม่เห็นตัวเอง เหมือนกับว่า ถือว่ามีสิทธ์ิที่จะโกรธคนทำผิดหรือคนช่ัว ไม่น่าจะบาป เหมอื นโกรธคนดี บางคนท ำความดแี ลว้ เขายดึ มนั่ ในความ ดนี นั้ เลยไมด่ ี บางคนเคยสบู บ หุ ร่ี เลกิ สบู บ หุ รแี่ ลว้ เหน็ คน สบู บ หุ รเ่ีมอื่ ไหรแ่ ลว้ ก.็ ..ออื ! มนั ใชไ้ มไ่ ดน้ า่ เกลยี ด หรือถา้ เรามคี วามห วงั ดตี อ่ สถาบนั และมคี นกำลงั ท ำสงิ่ ทเ่ี สยี หาย 19ชยสาโร ภิกขุ
ตอ่ สถาบันน ้ี ทนไม่ได้ เป็นท ุกข์ใช่ม้ยั เราจะตอ้ งรวู้ า่ อนั นมี้ นั เปน็ ตามเหตตุ ามป จั จยั การ มองวา่ อะไรเปน็ ตามเหตตุ ามป จั จยั น น้ั ไมใ่ ชว่ า่ ป ดั ไปเฉยๆ นะแต่เป็นอุบายวิธีเพื่อช่วยให้เราได้หยุด หยุดแล้วดูว่าท่ี มันเป็นอย่างน้ีมันเป็นเพราะอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยอะไร บ้างอยเู่บ้ืองหลงั จิตท่ีปกติจะรอบคอบ จิตเร่าร้อน ถึงจะร้อนกับ ความห วงั ดี และเปน็ ห ว่ งตอ่ สงิ่ ทด่ี ี กพ็ รอ้ มทจ่ี ะพ ลง้ั พ ลาด ผู้ปกครองหรือผู้บริหารต้องระลึกอยู่ในหลักนี้อยู่เป็น ประจำ อยา่ งเช่นระหวา่ งการเข้ากรรมฐานนอี้ าตมาสง่ั ไม่ ใหพ้ ดู คยุ กนั เหน็ คนพ ดู อาตมาจะท ำยงั ไง กอ่ นอน่ื อาตมา ต้องทำใจเยน็ มองวา่ เป็นไปตามเหตุตามป ัจจัยอยา่ งเชน่ เขามหี ริ โิ อตปั ป ะแคน่ น้ั เขามสี ตแิ คน่ นั้ เขามศี รทั ธาแคน่ นั้ ความต้ังใจในข้อวัตรปฏิบัติมีแค่น้ัน อย่างนี้เรียกว่าเห็น ตามเหตตุ ามป ัจจยั อารมณ์ก็เลยไมแ่ ปรเปลย่ี นไปในท าง อกุศล ไมค่ดิ น อ้ ยใจว่า “แหม...แค่นเ้ี ขากย็ งั ทำไมไ่ ด้ ช่าง ไมเ่คารพครูบาอาจารย์ ไม่เกรงใจเพ่อื นเลย” จติ ใจรกั ษา ความท รงตวั ของมันไวไ้ด้ เป็นผูป้ กครอง ตอ้ งมีลกู น้องทำตามคำสั่งบ ้าง ไม่ ทำตามบา้ งใช่ไหม ลูกน้องทที่ ำตามคำส่งั ท กุ อย่างกห็ าได้ ยากมาก ผู้ใหญ่จึงมักเป็นโรครำคาญและหงุดหงิดบ่อย 21ชยสาโร ภิกขุ
แลว้ กเ็ สียห ลกั ในการป กครอง ที่ถกู คอื มองวา่ เปน็ ไปตาม เหตุตามปัจจัยอะไรบ ้าง แล้วพยายามแกท้ ่ีเหตปุ จั จยั ด้วย จิตใจทย่ีอมรบั ในความออ่ นแอของมนษุ ยเ์รา ในการปฏิบัติธรรมคือการบริหารตัวเองก็เช่น เดยี วกนั อยา่ งเชน่ สตไิ มด่ ี ไมด่ เี พราะอะไร เพราะขาดวริ ยิ ะ ขาดศรทั ธา มศี รทั ธามวี ริ ยิ ะสมบรู ณ์ สตกิ จ็ ะสมบรู ณ์ จงึ ตอ้ ง หาวิธีในการปลูกฝังศรัทธาในคุณค่าของการงดพูดคุยให้ มากข้นึ สติ คอื อะไร สตคิ อื ความระลกึ ได้ คอื ความสามารถ ระลึกสิ่งที่ควรระลึกในแต่ละกรณี ในแต่ละเหตุการณ์ สว่ นในการทำภาวนา สิง่ ที่สตติ ้องระลกึ คอื ระลึกอารมณ์ กรรมฐานอยู่ในปจั จุบนั คือผกู จิตไวก้บั ลมห ายใจเป็นต้น ไมใ่ ห้ลมื ไมใ่ห้เผลอ สตคิ อื ไม่ลมื ไม่ลืมอารมณ์กรรมฐาน อกี นัยหนึ่งของสติ คอื เรายงั ตอ้ งระลึกในคำสอน หรือสงิ่ ทเ่ี ราได้สงั่ ตัวเองไว้ตอนเรมิ่ ภาวนา ต้องระลกึ อยใู่นอบุ าย ต่างๆ ที่จะแก้จิตให้ละวางการภาวนา มีการระลึกสิ่งที่ เราเคยปลกู ฝังไว้ หรือสิ่งทเี่ ราเคยเรยี นรู้มาจากอดีต สติ จึงระลึกสิ่งท่ีปรากฏอยู่ในปัจจุบันหนึ่ง กับส่ิงที่เกี่ยวข้อง ท ่ีเคยเรยี นรู้เกยี่ วกับการภาวนาห นง่ึ สตใิ นลกั ษณะห รอื ในแงข่ องการระลกึ ไดน้ นั้ จะอยทู่ ่ี การไดป้ ลกู ฝงั หรอื การทไ่ี ดใ้ หข้ อ้ มลู เพอ่ื สติ คอื การยดึ ขอ้ มลู 22 ทกุ ข์ ทำไม
มาใชท้ นั เหตกุ ารณ์ ในบางครงั้ ทเี่ ราลมื มนั ไมใ่ ชว่ า่ บกพรอ่ ง อยู่ที่การระลึกแต่ปัญหาอยู่ท่ีว่าเราไม่ได้ฝากข้อมูลเอาไว้ ต้ังแต่แรก ยกตัวอย่างเช่น หาแว่นตาไม่เจออีกแล้วก็ว่า ตัวเอง “แหม ! สตเิราแยม่ าก” แต่ที่จริงมันไม่ใช่ปัญหาอยู่ในปัจจุบันนะว่าสติ บกพร่อง ปัญหาเกิดตั้งแต่ขณะท่ีเราวางแว่นไว้ใช่ไหม ในขณะที่เราวางแว่นไว้อาจกำลังพูดกับคนอื่นสนใจเร่ือง อน่ื แลว้ ไมม่ กี ารใสใ่ จกบั การวางแวน่ วา่ วางตรงไหน เพราะ ฉะน้นั เม่อื เราพ ยายามน กึ ว่า เอ๊ะ ! เราวางไวต้ รงไหนนะ กจ็ ำไมไ่ ด้ เพราะไมม่ ขี อ้ มลู ท จ่ี ะดงึ มาได้ เราจะดงึ ขอ้ มลู ได้ เพราะว่าฝากขอ้ มลู ไว้กอ่ น ถ้าไมฝ่ ากข้อมูลไวแ้ ล้วสติจะดี ขนาดไหนมันก็ไม่มที ่ีจะหยบิ มาได้ ฉะน้ันในปัญหาการขาดสติ หรือการมีสติไม่ดี หลงลมื หรอื ลมื ของบ อ่ ย ตอ้ งมาดทู เ่ี หตปุ จั จยั เหตปุ จั จยั ก็คือไม่ได้ฝากข้อมูลไว้หรือข้อมูลไม่ชัดเจน สติจึงระลึก ไมไ่ด้ เมือ่ เราทุกข์อยา่ งไรกต็ ามให้เรารูจ้ กั วิเคราะห์ หยดุ แล้วเผชิญหน้ากับความทุกข์ ให้ดูความทุกข์ด้วยใจที่ไม่ ทกุ ข์ คอื “ผู้ร”ู้ ดคูวามท ุกข์ แลว้ เหตุปัจจัยของความท กุ ข์ จะคอ่ ยๆ คลคี่ ลายออกมาให้เราเหน็ เรอ่ื งปญั หาต่างๆ ในชีวติ ประจำวัน ตอ้ งเข้าใจวา่ ปัญหาบางอย่างใช้ความคิดก็ได้ผล แต่หลายๆ ปัญหา 23ชยสาโร ภิกขุ
หยดุ คดิ จงึ จะไดผ้ ล ดจู ากประวตั ขิ องนกั วทิ ยาศาสตรต์ า่ งๆ ก็ได้ ส่วนมากทฤษฎีต่างๆ ของเขาจะเกิดเมื่อเขาหยุด คดิ อยู่ท่ีหอ้ งทดลองและอยู่ท่ีมหาวิทยาลัย คิด คิด คดิ ไม่ออก เหนอ่ื ย กลับบา้ นดีกว่า ข้นึ รถเมล์กลับบา้ นแล้ว อือ ! นึกได้ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ อาร์คิมิดิซ แช่อยู่ในอ่างแล้ว ก็ “ยูรกิ า้ !” ลกุ ขนึ้ ว่งิ เปลอื ยกายไปตามถนน รอ้ งตะโกน “ได้แล้ว...ได้แล้ว” ดอี กดีใจท ี่นกึ ไดใ้นขณะท ไี่ มค่ ิด ทกุ วัน นีเ้ ราให้คณุ คา่ ใหค้วามสำคญั กบั ความคิดมากเกินไป มอง ขา้ มหรอื ป ระมาทในพ ลงั ของการไมค่ ดิ คอื ถา้ จติ เปน็ สมาธิ แลว้ ป ัญญากจ็ ะเกดิ ขน้ึ ได้ โดยป กติแลว้ ปัญญาของเรามันกม็อี ยู่แลว้ แตค่วาม คิดผวิ เผินทบั ถมเอาไว้ พอเราเข่ียๆ ออก เขย่ี ๆ ความคิด ฟุ้งซ่าน ความคิดผวิ เผินออกมา จิตสะอาดขึ้นและความ คิดลึกซ้ึง ความคดิ ท ่เี ขา้ ถงึ ความจริงของป ัญหามนั จะโผล่ ขึ้นมาได้ แต่ก่อนปัญญามันขึ้นไม่ได้เพราะมันมีอะไรมา ปิดบังเอาไว้ เพราะฉะนนั้ ในห ลายกรณี มีปัญหา คิด คดิ คิดจะ แก้ คดิ ไมอ่ อกนนั่ แหละป ญั หาไมไ่ ดอ้ ยใู่ นวสิ ยั ของความคดิ สามญั ท จ่ี ะแกป้ ญั หาได้ ทำจติ ใจใหส้ งบซะ หยดุ ! หยดุ คดิ แลว้ กด็ำรงอยู่ด้วยสติ ในภาวะที่หยุดคดิ แลว้ เพยี งแต่วา่ 24 ทุกข์ ทำไม
เพง่ อยทู่ ปี่ ญั หาดว้ ยจติ ใจท เี่ ปน็ กลาง ความคดิ สรา้ งสรรค์ มนั ก็จะเกิดข้นึ ของมันเอง... ปญั ญาที่เกิดจากสมาธิ อย่างไรก็ตาม อาตมาไม่ได้ชวนให้ประมาทใน ประโยชน์ของความคดิ มันมบี ทบาทสำคญั ในชวี ิตเรามาก ทงั้ ท างโลกและท างธรรม อยา่ งเชน่ เรอ่ื งความอยาก ถา้ เรา ดตู ง้ั แตแ่ รกเลย ความทกุ ขท์ ที่ ม่ิ แทงจติ ใจในขณะทเ่ี ราอยาก ไดอ้ ะไร ความทกุ ขใ์ นการแสวงหา ความวติ กกงั วลวา่ จะไม่ ได้ ความกลวั ทจ่ีะไมไ่ ด้ การอจิ ฉาคนท ่ไี ด้แลว้ ถา้ เรามา พจิ ารณาถงึ ความทกุ ขใ์ นการแสวงหาและความทกุ ขใ์ นการ รกั ษาสงิ่ ทไ่ี ด้ ตลอดจนความเศรา้ โศกเมอื่ เราตอ้ งพ ลดั พราก จากสงิ่ ทเ่ี ราไดม้ า เทยี บกบั ความสขุ จากการไดส้ งิ่ ทต่ี อ้ งการ แลว้ มนั คงจะชว่ ยลดความมวั เมาห รอื ห ลงใหลในสง่ิ น นั้ ได้ บา้ ง ไม่ถงึ กบั ขัน้ ท่ีวา่ ไม่ตอ้ งการอะไรเลย แตอ่ ยา่ งน ้อย ก็ทำให้การแสวงหาของเราอยู่ในขอบเขตขอบข่ายของ ศีลธรรมไม่หลงใหลจนเกนิ ไป การภาวนาเราก็คอยคิดอย่างน้ีเรื่อย (คิดหาข้อ บกพรอ่ งในส่ิงท่ชี วนใหห้ ลงใหล) แต่บางทเีวลาไม่ควรคิด ก็ฝืนคิดวกวน บางทีควรคิดกลับไม่อยากคิด ในกรณีนี้ จงพ ยายามคดิ เช่น เรอ่ื งอาหาร เป็นต้น เรากไ็ ม่คอ่ ยคิด ว่าเม่ือทานลงไปแล้วอาหารมันจะเป็นอะไร ไม่อยากจะ คิด แค่ใสล่ งไปในปากเค้ียวสองสามครงั้ แลว้ กเ็อาออกมา 25ชยสาโร ภิกขุ
ด.ู .. แหยะ ! ยงิ่ กวา่ น อี้ กี ไมก่ ชี่ วั่ โมงอาหารโอชารสน ม้ี นั จะ กลายเป็นอ ะไร การทบทวนเรอ่ื งนม้ี นั กจ็ ะชว่ ยลดความอยากในเรอ่ื ง อาหารลงได้ แตก่ ่อนเราเหน็ อาหารก็ อันน ั้นน ่าอร่อยจัง ไขมันเยอะก็จริง หมอห้าม แต่ชิ้นเดียวคงไม่เป็นไร มา ตอนน้หี ยดุ แลว้ บ อกว่า นีน่ ะ ! ข้ี to be...ไม่นาน เหน็ น ้ำ เห็นน้ำก็ อ่มื ...น้ำน ี่ดนี ะเดีย๋ วๆ ก็เปน็ ...น้ำเยี่ยว จะชว่ ย แกค้ วามรู้สกึ หลงใหลเหล่าน้ี มันก็ทำให้จิตใจมันคิดอกี แง่หนึง่ แทนที่จะมองแต่ สงิ่ ท มี่ นั ดมี นั งามมนั สวย มาคดิ กลบั กนั กเ็ พอ่ื ใหจ้ ติ ใจกลบั มาสทู่ างสายกลาง หยดุ คดิ ห ยดุ ป รงุ แตง่ มนั จะไดเ้ กดิ อะไร อยา่ งนขี้ นึ้ มา มองไมเ่ หมอื นคนอนื่ เขามอง กำหนดรคู้ วาม ทกุ ข์ ละความคดิ ผดิ เพอ่ื ท ำนพิ พาน คอื การป ลอดท กุ ขใ์ ห้ แจง้ ดว้ ยการเจรญิ มรรค ดว้ ยการปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศลี สมาธิ ปญั ญา โดยสรุปแล้ววา่ อริยสจั ๔ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หนา้ ทกี่ ็คือกำหนดรคู้ วามท กุ ข์ ละสมุทยั คือความ คิดผิด ทำนิพพานความหลดุ พ น้ ให้แจง้ คอื ใหเ้ขา้ ถึง โดย การเจรญิ มรรคคอื การปฏบิ ตั ติ ามหลกั อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด ตามห ลักไตรสิกขาน่ันเอง 26 ทกุ ข์ ทำไม
ชยสาโร ภิกขุ นามเด มิ ฌอน ชิเวอร์ตัน (Shaun Chiv erton) พ .ศ.๒๕๐ ๑ เกิด ท ี่ประเทศอังกฤ ษ พ.ศ.๒๕๒๑ ได พ้ บกบั พระอาจาร ยส์ เุ ม โธ (พระราชสุเมธาจารย์ วัดอมราวดี ประเทศองั กฤษ) ทวี่ ิหารแฮมสเตด ประเทศองั กฤษ ถอื เพศเปน็ อนาคาริก (ปะขาว) อยกู่ บั พระอาจารย์สเุ มโธ ๑ พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเปน็ สามเณร ทีว่ ัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ ทวี่ ดั หนองปา่ พง โดยมี พระโพธิญาณเถร (หลวงพอ่ ชา สุภทั โท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔ รกั ษาการเจา้ อาวาส วัดปา่ นานาชาติ จังหวัดอบุ ลราชธานี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปัจจบุ ัน พำนัก ณ สถานพำนักสงฆ์ จงั หวดั นครราชสมี า
มูลนิธปิ ญั ญาประทีป ควา มเป็นม า มูลนิธิปัญญาประทีป จัดตั้งโดยคณะผู้บริหารโรงเรียนทอสี ด้วยความร่วมมือ จากคณะครู ผู้ปกครองและญาติโยมซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ชยสาโร กระทรวงมหาดไทย อนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ เลขที่ทะเบียน กท. ๑๔๐๕ ตั้งแต่วันท่ี ๑ เมษาย น ๒ ๕๕๑ ว ตั ถปุ ระสงค์ ๑) สนับสนุนก ารพัฒน าสถาบ ันการศึกษาวิถีพุทธที่มีระบบไต ร สิกขาข องพระพ ุทธ ศาสนาเป็นหลัก ๒) เผย แผ่หลัก ธรรมค ำสอ นผา่ นการจัดการฝึกอ บรม และปฏบิ ตั ิธรรม และการเผยแผ่ ส่ือธรรมะรปู แบบตา่ งๆ โดยแจกเปน็ ธรรมทาน ๓) เพม่ิ พนู ความเขา้ ใจในเรอ่ื งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม สนบั สนนุ การพัฒนาท่ยี ่งั ยืน และสง่ เสรมิ การดำเนินชวี ิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ๔) รว่ มมอื กับองค์กรการกศุ ลอ่ืนๆ เพอ่ื ดำเนินกจิ การทเ่ี ปน็ สาธารณประโยชน์ ค ณะทป่ี รกึ ษา พระอาจารยช์ ยสาโรเปน็ องคป์ ระธานทปี่ รกึ ษา โดยมคี ณะทป่ี รกึ ษาเปน็ ผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ น สาขาตา่ งๆ อาท ิ ดา้ นนเิ วศวทิ ยา พลงั งานทดแทน สง่ิ แวดลอ้ ม เกษตรอนิ ทรยี ์ เทคโนโลยสี ารสนเทศ วิทยาศาสตร์สขุ ภาพ การเงนิ กฎหมาย การสอ่ื สาร การละคร ดนตรี วฒั นธรรม ศลิ ปกรรม ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ คณะกรรมการบริหาร มลู นธิ ฯิ ไดร้ บั เกยี รตจิ ากรองศาสตราจารยน์ ายแพทยป์ รดี า ทศั นประดษิ ฐ เปน็ ประธาน คณะกรรมการบริหาร และมีคุณบุบผาสวัสด์ิ รัชชตาตะนันท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนทอสีเป็น เลขาธิการฯ การดำเนนิ ก าร • มลู นิธฯิ เป็นผูจ้ ัดตงั้ โรงเรียนมธั ยมปัญญาประทีป ในรูปแบบโรงเรียนบ่มเพาะชวี ิต เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้านการศึกษาวิถีพุทธ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ข้างต้น โรงเรยี นนี้ตัง้ อยทู่ ี ่ บ้านหนองน้อย อำเภอปากชอ่ ง จงั หวัดนครราชสีมา • มลู นธิ ฯิ รว่ มมอื กบั โรงเรยี นทอส ี ในการผลติ และเผยแผส่ อ่ื ธรรมะ แจกเปน็ ธรรมทาน โดยในส่วนของโรงเรียนทอสีฯ ได้ดำเนินการตอ่ เนือ่ งตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕
พมิ พแ จกเปน ธรรมทาน www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org ชยสาโร ิภก ุข ุทก ขทำไม
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: