Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่อง สัตว์นํ้าใต้ท้องทะเล

เรื่อง สัตว์นํ้าใต้ท้องทะเล

Published by Natthapon Klaiseethong, 2023-03-08 07:03:08

Description: เรื่อง สัตว์นํ้าใต้ท้องทะเล

Search

Read the Text Version

เรื่อง สัตว์นํ้าใต้ท้องทะเล

รวมสัตว์นํ้ าและสัตว์ใต้นํ้ าที่น่าสนใจ

ปลาการ์ตูน เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม โดยทั่วไปประกอบ ด้วยสีส้ม, แดง, ดำ, เหลือง และมีสีขาวพาด กลางลำตัว 1-3 แถบ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็น ชนิดเดียวกัน ก็จะมีสีแตกต่างกันเล็กน้อยเสมอ ซึ่งความแตกต่างนี้ทำให้จดจำคู่ได้ นอกจากนั้น แหล่งที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันทำให้เกิดการ แปรผันด้วย ปลาการ์ตูนอยู่กันเป็นครอบครัว กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เป็นปลาที่หวงถิ่น มาก มีเขตที่อยู่ของตนเอง

ฉลามขาว จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ พบได้ ตามเขตชายฝั่งแถบทะเลใหญ่ มีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนัก ประมาณ 2,250 กิโลกรัม ทำให้ปลาฉลามขาวเป็นปลากินเนื้อที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์เดียวในสกุล Carcharodon ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน[3] โดยเป็น ปลาที่ถือกำเนิดมาแล้วนานกว่า 16 ล้านปี[1]

ปลาแซลมอน เป็นชื่อสามัญของปลาที่มีก้านครีบหลายสปีชีส์ในวงศ์ Salmonidae (วงศ์ ปลาแซลมอน) ปลาอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกันรวมทั้งปลาเทราต์ (trout), ปลา ชาร์, ปลาสกุล Thymallus และปลาในวงศ์ย่อย Coregoninae คือ freshwater whitefish เป็นปลาที่กระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกเหนือ คือ อเมริกาเหนือ, อะแลสกา, ไซบีเรีย, ยุโรปเหนือ, เอเชียเหนือ และเอเชียตะวัน ออก[1] ปลาแซลมอนเป็นปลาท้องถิ่นของแม่น้ำต่าง ๆ ในมหาสมุทร แอตแลนติกเหนือ (สกุล Salmo) และในมหาสมุทรแปซิฟิก (สกุล Oncorhynchus) ปลาหลายสปีชีส์ได้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำซึ่งไม่ใช่ที่อยู่ เดิมต่าง ๆ รวมทั้งเกรตเลกส์ในอเมริกาเหนือและปาตาโกเนียใน อเมริกาใต้ ปลาเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในฟารม์ทั่วโลก

ปลาปักเป้า ป็นชื่อเรียกของปลาอันดับ Tetraodontiformes มีอยู่หลาย ชนิด หลายวงศ์ หลายสกุล อาศัยอยู่ทั้งในทะเล น้ำกร่อย และ น้ำจืด โดยมากมีลำตัวกลม ครีบและหางเล็ก จึงว่ายน้ำได้ เชื่องช้าดูน่ารัก หัวโต ฟันแหลมคมใช้สำหรับขบกัดสัตว์น้ำมี เปลือกต่าง ๆ เป็นอาหาร คนที่ลงเล่นน้ำจึงมักถูกกัดทำร้าย เป็นแผลบ่อย ๆ เมื่อตกใจหรือข่มขู่สามารถสูดน้ำหรือลมเข้า ช่องท้องให้ตัวพองออกได้คล้ายลูกโป่ง ในบางชนิดมีหนาม ด้วย แต่การที่ปลาพองตัวออกเช่นนี้ จะมีผลกระทบต่ออวัยวะ ภายใน ในบางครั้ง เช่น ปลาตกใจอาจไปกระทบกับถุงลมซึ่ง เป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้ในการทรงตัวเมื่ออยู่ใต้น้ำ ให้แตกได้ ปลาปักเป้าที่เป็นเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ แต่จะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำไปอย่างนั้น จนกระทั่งตาย เนื่องจากไม่สามารถป้องกันตัวหรือหากินได้อีก[1]

วาฬเพชฌฆาต เป็นสปีชีส์ที่ใหญ่ที่สุดในในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) ในอันดับ Artiodactyla สามารถ พบเห็นได้ในมหาสมุทรทั่วโลก ตั้งแต่แถบอาร์กติก และแอนตาร์กติกา จนถึงทะเลในแถบเขตร้อน จน อาจเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถ พบเห็นได้ทั่วโลกมากที่สุดนอกเหนือจากมนุษย์[

หมึกคาเค้น หมึกคาเค้น เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ได้ รวดเร็ว และว่องไว มีหนวดรอบปาก 4-5 คู่ บนหนวดมีปุ่มดูดเรียงเป็นแถว มีหน้าที่จับเหยื่อป้อนเข้าปาก เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา ชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำ ตัวอ่อนนิ่ม ชั้นย่อย Coleoidea ต่างจากกลุ่มสัตว์ที่ใกล้เคียงกันคือ Nautiloidea ซึ่งมีเปลือกแข็งห่อหุ้มภายนอกร่างกาย แต่หมึกส่วนใหญ่กลับ มีกระดูกหรือเปลือกอยู่ภายในเพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นทุ่นหรือพยุง ร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ลิ้นทะเล ยังมีบางชนิดที่ไม่มีกระดูก แต่มีกระดูกอ่อน ทดแทนเพื่อใช้ในการพยุงโครงสร้างร่างกาย

โลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจำพวกหนึ่ง อาศัยอยู่ทั้งในทะเล, น้ำจืด และน้ำกร่อย มีรูป ร่างคล้ายปลา คือ มีครีบ มีหาง แต่โลมามิใช่ปลา เพราะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มี รก จัดอยู่ในอันดับArtiodactyla ใน อันดับฐานวาฬและโลมา (Cetacea) ซึ่งประกอบไป ด้วย วาฬและโลมา ซึ่งโลมาจะมีขนาดเล็กกว่าวาฬมาก และจัดอยู่ในกลุ่มวาฬมีฟัน (Odontoceti) เท่านั้น โลมา เป็นสัตว์ที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่าเฉลียวฉลาด มีความเป็นมิตรกับมนุษย์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งจะช่วยชีวิตมนุษย์เมื่อยามเรือแตก จนกลายเป็นตำนานหรือเรื่องเล่าขานทั่วไป มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูง บางฝูงอาจมีจำนวนมากถึงหลักพันถึงหลายพันตัว ว่ายน้ำ ได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว รวมถึงสามารถกระโดดหมุนตัวขึ้นเหนือน้ำได้ ชอบว่ายน้ำ ขนาบข้างหรือว่ายแข่งไปกับเรือ[1]

ปลากระเบน ปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่งที่อยู่ในชั้นย่อยอีลาสโมแบรนชิไอ (Elasmobranchii) ในอันดับใหญ่ที่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Batoidea หรือ Rajomorphii[2] มีประมาณ 400 ชนิด[2] พบได้ทั้งน้ำจืดสนิท, น้ำกร่อย และทะเล มีรูปร่างแบนราบ ครีบทั้งหมดอยู่ชิดติดกับลำตัวด้านข้าง มีท่อน้ำออก 1 คู่ อยู่ด้านหลังของหัว ซึ่งทำ หน้าที่ให้น้ำผ่านเข้าทางเพื่อไหลเวียนผ่านเหงือกเพื่อการหายใจ ซึ่งจะไม่ไหลเวียน ผ่านปากซึ่งอยู่ด้านล่างลำตัว เหมือนปลากระดูกอ่อนหรือปลากระดูกแข็งจำพวกอื่น หากินบริเวณพื้นน้ำ ในปากไม่มีฟันแหลมคมเหมือนปลาฉลาม ดังนั้นการกินอาหาร จึงค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเคี้ยวอย่างช้า ๆ ซึ่งอาหารส่วนมากก็ได้แก่ หอย, กุ้ง, ปู หรือปลาขนาดเล็กตามพื้นน้ำ เป็นส่วนใหญ่[3]

วาฬสีน้ำเงิน ชื่อวิทยาศาสตร์: Balaenoptera musculus) เป็นวาฬบาลีน (Balaenopteridae) และถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก วาฬสีน้ำเงินที่ตัวขนาดกลาง ๆ จะยาว ประมาณ 30 กว่าเมตร แต่ถ้าขนาดเล็กจะมีความยาวน้อยกว่า 30 เมตร (วาฬ สีน้ำเงินแคระ หรือ B. m. brevicauda) แต่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมีความยาว 56 เมตร โดยวัดความยาวของช้างในปัจจุบันที่นำความยาวของช้างมาต่อกันจำนวนแปด เชือก(ช้างบางสายพันธุ์ในปัจจุบันสามารถยาวได้ถึง 7.4เ มตรหรือ 7.5 เมตร) น้ำ หนักเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 100–200 ตัน เฉพาะลิ้นก็มีน้ำหนักเกือบเท่าช้างหนึ่งตัว หัวใจมีขนาดเท่ารถยนต์คันหนึ่ง และเส้นเลือดบางเส้นกว้างขนาดที่มนุษย์พอจะลง ไปว่ายน้ำได้ และครีบหางก็มีขนาดกว้างกว่าปีกของเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก จัด เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา มีขนาดใหญ่กว่าไดโนเสาร์ชนิดที่ใหญ่ ที่สุดในโลก[6]

เต่าตนุ เป็นเต่าทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelonia mydas อยู่ในวงศ์ Cheloniidae และเป็นเพียง ชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chelonia[1] เต่าตนุเป็นเต่าทะเลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากเมื่อโตเต็มที่ โดยมีความยาวตั้งแต่หัวจรดหาง ประมาณ 1 เมตร น้ำหนักราว 130 กิโลกรัม หัวป้อมสั้น ปากสั้น เกล็ดเรียงต่อกันโดยไม่ซ้อนกัน กระดอง หลังโค้งนูนเล็กน้อย บริเวณกลางหลังเป็นแนวนูนเกือบเป็นสัน ท้องแบนราบขาทั้งสี่แบนเป็นใบพาย ขา คู่หลังมีขนาดเล็กกว่าขาคู่หน้ามาก ขาคู่หน้ามีเล็บแหลมเพียงข้างละชิ้น สีของกระดองดูเผิน ๆ มีเพียงสี น้ำตาลแดงเท่านั้น แต่ถ้าหากพิจารณาให้ละเอียดจะพบว่าเกล็ดแต่ละเกล็ดของกระดองหลังมีสีน้ำตาล แดงหรือน้ำตาลอมเขียว ขอบเกล็ดมีสีอ่อน ๆ เป็นรอยด่างและมีลายเป็นเส้นกระจายออกจากจุดสีแดง ปนน้ำตาล คล้ายกับแสงของพระอาทิตย์ที่ลอดออกจากเมฆ จึงมีชื่อเรียกเต่าชนิดนี้ว่าอีกชื่อหนึ่งว่า \"เต่า แสงอาทิตย์\" ขณะที่ชาวตะวันตกเรียกว่า \"เต่าเขียว\" อันเนื่องจากมีกระดองเหลือบสีเขียวนั่นเอง[2]

ปลาทู เป็นปลาทูชนิดที่ชาวไทยนิยมบริโภคมากที่สุดและคนไทยยังเชื่อ อีกว่าปลาทูคือสัญลักษณ์ของการมีคู่ครองตามความเชื่อของ ชนพื้นเมืองจังหวัดจันทบุรี ปลาทูมีลำตัวแป้นยาวเพรียว ตาโต ปากกว้าง จะงอยปากจะแหลม เกล็ดเล็กละเอียด มี ม่านตาเป็นเยื่อไขมัน บนขากรรไกรมีฟันซี่เล็ก ๆ มีซี่เหงือกแผ่เต็มคล้ายพู่ขนนก มีครีบ หลัง 2 อัน ครีบหลังอันแรกมีก้านแข็ง ส่วนอันหลังก้านครีบอ่อน ครีบท้องมีก้านครีบ แข็ง 1 อัน ครีบอกมีฐานครีบกว้าง แต่ปลายเรียว สีตัวพื้นท้องสีขาวเงิน บริเวณที่ชิด โคนครีบหลังตอนแรกมีจุดสีดำ 3–6 จุดเรียงอยู่ 1 แถว ผิวด้านบนหลังมีสีน้ำเงินแกม เขียว ช่วยในการพรางตัวให้พ้นจากศัตรู มีความยาวประมาณ 14–20 เซนติเมตร

ดาวทะเล เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อยู่ในชั้น Asteroidea[1] ลักษณะทั่วไป มีลำตัว แยกเป็นห้าแฉกคล้ายรูปดาวเรียกว่า แขน ส่วนกลาง มีลักษณะเป็นจานกลม ด้าน หลังมีตุ่มหินปูน ขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป มีปากอยู่ด้านล่างบริเวณ จุดกึ่งกลาง ของ ลำตัว ใต้แขนแต่ละข้างมีหนวดสั้น ๆ เรียงตามส่วนยาว ของแขนเป็นคู่ ๆ มี ลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่เหนียวและแข็งแรงเรียกว่า โปเดีย ใช้สำหรับยึดเกาะกับ เคลื่อนที่ มีสีต่าง ๆ ออกไป ทั้ง ขาว, ชมพู, แดง, ดำ, ม่วง หรือน้ำเงิน เป็นต้น พบอยู่ตามชายฝั่งทะเล โขดหิน และบางส่วนอาจพบได้ถึงพื้นทะเลลึก กินหอย สองฝา โดยเฉพาะ หอยนางรม, กุ้ง, ปู หนอน และ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ เช่น ฟองน้ำหรือปะการัง เป็นอาหาร

พะยูน ป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งตามพระราช บัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เป็นสัตว์น้ำชนิดแรกของ ประเทศไทยที่ได้รับการกำหนดให้เป็น สัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon อยู่ใน อันดับพะยูน (Sirenia)

แมงกะพรุน กะพรุน[1] จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ไฟลัม ย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็นอันดับได้ 5 อันดับ (ดูในตาราง) ลักษณะลำตัวใส และนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดที่อยู่ด้าน ล่าง ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำ ร้อยละ 94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำ หน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก แมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ในอันดับไซโฟซัว แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับ ไฮโดรซัว อาทิ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis) ซึ่งเป็น แมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก และแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับคูโบซัว ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกัน

ม้าน้ำ เป็นปลากระดูกแข็งที่อาศัยอยู่ในทะเลจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Hippocampinae (ซึ่งมีอยู่ 2 สกุล คือหนึ่งสกุลนั้นคือ ปลาจิ้มฟัน จระเข้สัน ที่อยู่ในสกุล Histiogamphelus มีรูปร่างคล้ายปลาจิ้มฟัน จระเข้ผสมกับม้าน้ำ) ในวงศ์ Syngnathidae อันเป็นวงศ์เดียวกับ ปลาจิ้มฟันจระเข้และมังกรทะเล ในอันดับ Syngnathiformes

เม่นทะเล หอยเม่น (อังกฤษ: sea urchin) เป็นสัตว์ที่มีทรงกลม (globular animal) และมักมีหนาม เป็นสัตว์ในไฟลัมอิคีเนอเดอร์เมอเทอ อยู่ในชั้นเอไค นอยเดีย (Echinoidea) สัตว์ในชั้นเอไคนอยเดีย เรียกว่า เอไคนอยด์ มีราว 950 สปีชีส์อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล ในทุกมหาสมุทรตั้งแต่ชายฝั่ง จนถึงระดับความลึก 5,000 เมตร (16,000 ฟุต; 2,700 ฟาร์ธอม) เปลือกนอกมีลักษณะแข็ง กลม และมีหนาม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัว ตั้งแต่ 3 ซม. ถึง 10 ซม. เม่นทะเลเคลื่อนที่ได้อย่างช้า ๆ ด้วยขาท่อ (tube feet) และบางครั้งยังเคลื่อนที่ด้วยหนาม อาหารหลักของเม่นทะเลคือ สาหร่ายต่าง ๆ แต่ก็กินสัตว์ที่เคลื่อนที่ช้าหรืออยู่กับที่ด้วย นักล่าที่กินเม่นทะเลเป็นอาหารได้แก่ นากทะเล, ดาวทะเล, ปลาไหลหมาป่า (wolf eels), ปลาวัว และมนุษย์ เช่นเดียวกับเอไคโนเดิร์มอื่น ๆ เม่นทะเลจะมีลักษณะลำตัวสมมาตรห้าชั้น (fivefold symmetry) เมื่อโตเต็มที่ แต่ตัวอ่อนมีลักษณะสมมาตร 2 ด้าน (bilateral symmetry) แสดงถึงการเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายแบบไบลาทีเรีย กลุ่มของสิ่งมีชีวิตในไฟลัมขนาดใหญ่อันประกอบไปด้วยไฟลัม สัตว์มีแกนสันหลัง, สัตว์ขาปล้อง, สัตว์พวกหนอนปล้อง และมอลลัสกา ซึ่งมีแหล่งอาศัยอยู่ในทุกมหาสมุทรตั้งแต่แถบเส้นศูนย์สูตรถึงขั้วโลก อาศัยอยู่บนพื้นมหาสมุทรตั้งแต่ชายฝั่งถึงก้นมหาสมุทร ฟอสซิสของเอไคนอยถูกค้นพบย้อนกลับไปถึงยุคออร์โดวิเชียน (450 ล้านปีที่แล้ว) มี ความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับสัตว์ในกลุ่มเอไคโนเดิร์มด้วยกันคือ ปลิงทะเล โดยทั้งคู่จัดเป็นสัตว์ประเภท deuterostomes (ปากกับทวารอยู่คนละ ด้าน) จัดว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันกับสัตว์มีแกนสันหลัง เม่นทะเลถูกศึกษามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยใช้เป็นสิ่งมีชีวิตตัวแบบในสาขาวิชาชีววิทยาการเจริญ เนื่องจากตัวอ่อนของเม่นทะเลง่ายต่อการ สังเกตการณ์ และมีการศึกษาจีโนมของลักษณะลำตัวสมมาตรห้าชั้น (fivefold symmetry) และความสัมพันธ์กับสัตว์มีแกนสันหลัง เม่นทะเล หนามดินสอเป็นที่นิยมในวงการปลาทะเลสวยงามเนื่องจากความสามารถในการควบคุมปริมาณสาหร่าย ฟอสซิสของเม่นทะเลยังใช้ทำ เครื่องรางป้องกันภัยด้วย

แมวน้ำเครา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อ จัดเป็น แมวน้ำชนิดหนึ่ง พบมากในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติก[2] แมวน้ำเครามีส่วนสูงตั้งแต่ 2.1-2.7 เมตร และมีน้ำหนักตั้งแต่ 200-430 กิโลกรัม[3] แมวน้ำ เคราเป็นสัตว์ที่มีความแตกต่างระหว่างเพศ เนื่องจากเพศเมียมีขนาดตัวใหญ่กว่าเพศผู้ แมวน้ำเคราเป็นอาหารที่สำคัญของหมีขาวเช่นเดียวกับแมวน้ำวงแหวน[4] และยังเป็นอาหารที่ สำคัญของชาวอินูอิตที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติกด้วย

กุ้งมังกร มีลักษณะต่างจากกุ้งทั่วไป คือ เป็นกุ้งที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่ และมีลวดลายและ สีสันสวยงาม มีลำตัวรูปทรงกระบอก หนวดคู่ที่ 6 ยาวกว่าความยาวของลำตัวมาก โคนหนวดคู่ที่สองไม่ อยู่ติดกัน บนแผ่นกลางหนวดมีหนามขนาดใหญ่อยู่ปลายสุด 9 คู่ อยู่ตรงแนวกลางของโคนหนวดคู่ที่ 5 โคนละ 3หนาม ใช้สำหรับป้องกันดวงตา ไม่มีก้ามเหมือนกุ้งจำพวกอื่น ปล้องท้องเรียบไม่มีร่องขวาง กลางปล้อง ขอบท้ายของปล้องท้องมีลายสีครีมขวางทุกปล้อง หางลักษณะแผ่เป็นหางพัด พบทั่วไปตาม หาดโคลนบนพื้นทะเล พบกระจายพันธุ์ตามทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก[2] กุ้งมังกรเมื่อเทียบกับกุ้งอื่น ๆ จัดเป็นกุ้งที่เติบโตช้ามาก การเจริญเติบโตใช้วิธีการลอกคราบในขณะที่อยู่ใน วัยอ่อน จะมีการลอกคราบบ่อยครั้ง คือประมาณปีละ 1–2 ครั้ง กว่าจะโตเต็มที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5–7 เดือน การออกไข่แต่ละครั้งจะมีปริมาณไข่ประมาณ 2300,000–9,000,0000 ฟอง ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะฟักเป็นตัว ในระยะวัยอ่อนจะมีชีวิตแบบแพลงก์ตอนขนาด 1 มิลลิเมตร ล่องลอยอยู่ในกระแส น้ำ จนอายุได้ 8–9 เดือน จึงจะกลายเป็นกุ้งวัยอ่อนขนาด 3–6เซนติเมตร จะเข้ามาอาศัยหลบภัยในกอ สาหร่ายทะเล, หญ้าทะเล หรือแนวปะการังนาน4 ปี ถึงจะแข็งแรงพอช่วยตัวเองได้ และเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุได้ 7–20 ปี[3]

ปะการัง กะรัง[1] เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในชั้นแอนโธซัวและจัดเป็นพวกดอกไม้ทะเล มีขนาดเล็กเรียกว่าโพลิฟ แต่จะอาศัย รวมกันอยู่เป็นโคโลนีที่ประกอบไปด้วยโพลิฟเดี่ยว ๆ จำนวนมาก เป็นกลุ่มที่สร้างแนวปะการังที่สำคัญพบในทะเลเขตร้อนที่สามารถ ดึงสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลมาสร้างเป็นโครงสร้างแข็งเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้ หัวของปะการังหนึ่ง ๆ โดยปกติจะสังเกตเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยว ๆ อันหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นมันประกอบขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆขนาด เล็กนับเป็นพัน ๆ โพลิฟโดยในทางพันธุ์ศาสตร์แล้วจะเป็นโพลิฟชนิดพันธุ์เดียวกันทั้งหมด โพลิฟจะสร้างโครงสร้างแข็งที่มี ลักษณะเฉพาะของปะการังแต่ละชนิด หัวของปะการังหนึ่ง ๆ มีการเจริญเติบโตโดยการสืบพันธุ์แบบไม่ใช้เพศของโพลิฟเดี่ยว ๆ แต่ปะการังก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกหลานโดยการใช้เพศกับปะการังชนิดเดียวกันด้วยการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์พร้อม ๆ กันตลอด หนึ่งคืนหรือหลาย ๆ คืนในช่วงเดือนเพ็ญ แม้ว่าปะการังจะสามารถจับปลาและสัตว์เล็ก ๆ ขนาดแพลงตอนได้โดยใช้เข็มพิษ (เนมาโตซิสต์) ที่อยู่บนหนวดของมัน แต่ส่วนใหญ่ แล้วปะการังจะได้รับสารอาหารจากสาหร่ายเซลล์เดียวที่สังเคราะห์แสงได้ที่เรียกว่าซูแซนทาลา นั่นทำให้ปะการังทั้งหลายมีการ ดำรงชีวิตที่ขึ้นตรงต่อแสงอาทิตย์และจะเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลใสตื้น ๆ โดยปรกติแล้วจะอาศัยอยู่บริเวณที่มีความลึกน้อยกว่า 60 เมตร ปะการังเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้สร้างโครงสร้างทางกายภาพของแนวปะการังที่พัฒนาขึ้นมาในทะเลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน อย่างเช่นเกรตแบริเออร์รีฟบริเวณนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ของประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีปะการังบางชนิดที่ดำรงชีวิตอยู่ ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายเนื่องจากอยู่ในทะเลลึกอย่างในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ปะการังสกุล “โลเฟเลีย” ที่อยู่ได้ในน้ำเย็นๆที่ระดับความลึกได้มากถึง 3000 เมตร[2] ตัวอย่างของปะการังเหล่านี้สามารถพบได้ที่ดาร์วินมาวด์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเคพแวร็ธในสก๊อตแลนด์ และยังพบได้บริเวณนอกชายฝั่งรัฐวอชิงตันและที่หมู่เกาะอะลูเชียนของ อะแลสกา

จระเข้น้ำเค็ม จระเข้น้ำเค็มเป็นสัตว์เลี้อยคลานและอันดับจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่[7][8][9] เพศผู้สามารถมีความยาวได้ ถึง 6 เมตร (20 ฟุต) แทบไม่ยาวเกิน 6.3 เมตร (21 ฟุต)และมีน้ำหนัก 1,000–1,300 กิโลกรัม (2,200–2,900 ปอนด์)[10][11][12]ส่วนเพศเมียมีขนาดเล็กกว่า และแทบไม่ยาวเกิน 3 เมตร (10 ฟุต)[13][14] นอกจากนี้ ยังเป็นจระเข้ 1 ใน 3 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีก 2 ชนิด คือ จระเข้น้ำจืดและตะโขง) มีลักษณะทั่วไปคล้ายจระเข้น้ำจืด จุดที่แตกต่างกันคือ ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าขาคู่หน้าและมีเพียง 4 นิ้วมีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่าจระเข้น้ำจืด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ ชัด มีสันเล็ก ๆ ยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา สีลำตัวออกเหลืองอ่อนหรือสีขาว และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก ตัวผู้มีความยาวหางยาว กว่าตัวเมีย แต่ลำตัวของตัวผู้ผอมเพรียวกว่าแต่โดยรวมแล้วขนาดลำตัวของตัวเมียจะเล็กกว่าเมื่อเทียบ กันตัวต่อตัว และระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น ตัวเมียจะดูหัวยาวเรียว

ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลมอเรย์ชนิดอื่น ๆ พื้นลำตัวสีเหลืองอมน้ำตาลแต้มด้วยจุดและลายสีน้ำตาลไหม้อยู่ ทั่วไป ด้านข้างลำตัวบริเวณคอมีจุดสีดำเด่นชัดหนึ่งแห่ง ปลาไหลมอเรย์ยักษ์มีความยาวโดยเฉลี่ย 1.5 เมตร ยาวเต็ม ที่ได้ถึง 2.5-3 เมตร น้ำหนักถึง 36 กิโลกรัม นับเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้[3] พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, หมู่เกาะริวกิว, ฮาวาย, นิวแคลิโดเนีย, ฟิจิ, หมู่เกาะออสเตรียล มักซุกซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินในแนวปะการัง โดยโผล่มาแค่เฉพาะส่วนหัว กินอาหาร ได้แก่ กุ้ง, ปู, ปลา และหมึกสาย ด้วยการงับด้วยกรามที่แข็งแรงและแหลมคม ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่ากลัว แต่ที่จริงแล้วเป็นปลาที่รักสงบ ไม่ดุร้าย แต่อาจทำอันตรายนักดำ น้ำได้หากไปรบกวนถูก หรือเข้าใจผิดเพราะคิดว่าเป็นอาหาร ซึ่งอาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ และจะ มีฤดูกาลที่ดุร้าย คือ ฤดูผสมพันธุ์ นอกจากนี้แล้วในเนื้อจะมีสารพิษซิกัวเทอรา [4]

ปลาสิงโต มีลักษณะทั่วไป คือ มีลำตัวยาวปานกลาง แบนข้างเล็กน้อย หัวมีขนาดใหญ่ ลำตัวปกคลุมด้วย แผ่นกระดูก และมีหนามจำนวนมาก เกล็ดขนาดเล็ก ครีบหลัง และครีบอกขนาดใหญ่แผ่กว้าง โดยทั่วไปครีบอกมีความยาวถึงโคนหาง ก้านครีบแข็งของครีบหลัง และครีบอกมีขนาดใหญ่ แหลมคม แต่ละชนิดมีก้านครีบแข็งจำนวนแตกต่างกัน หัวและลำตัวมีแถบลายสีน้ำตาลปน แดง มักว่ายช้า ๆ หรือลอยตัวนิ่ง ๆ ตามแนวปะการัง และบริเวณแนวหินในเขตน้ำตื้นชายฝั่ง ทั่วไป เป็นปลาที่มีต่อมพิษที่ก้านครีบแข็งทุกก้าน รวมถึงมีถุงพิษเล็ก ๆ อยู่เต็มรอบไปหมด[3] โดย จะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ พิษ เป็นสารประกอบโปรตีน เมื่อแทงเข้าไปแล้ว ถุงพิษเล็ก ๆ นั้นจะแตกกลายเป็นของเหลวเข้าไป ในเนื้อเยื่อของเหยื่อ ซึ่งผู้ที่โดนแทงจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของปลา ในวงศ์นี้ แต่โดยรวมแล้ว ปลาสิงโตจะมีความรุนแรงของพิษน้อยกว่าปลาสกุลอื่นหรือวงศ์ อื่น ในอันดับเดียวกัน[4] ผู้ที่โดนต่อมพิษของปลาสิงโตแทงจะมีหลายอาการ ทั้งอัมพาต, อัมพาตชั่วคราว หรือแผลพุพอง[3]

แมงดาทะเล จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมอาร์โธรพอด โดยที่ไม่ใช่ครัสเตเชียน แต่เป็นเมอโรสโทมาทา แมงดาเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนจานคว่ำหรือชามขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อทั้งสิ้น 750 มัด มีหัวใจที่ยาวเกือบเท่าขนาดลำตัว มี อัตราการเต้นอยู่ที่ 32 ครั้งต่อนาที (ช้ากว่ามนุษย์ถึงครึ่งหนึ่ง) มีรูเปิด 8 คู่ มีลิ้นเปิดปิดที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้ ไหลจากเหงือกไปที่ขาและอวัยวะที่สำคัญ มีกระเพาะอาหารธรรมดา เมื่อเวลากินอาหาร แมงดาจะกินทางปากจากนั้นจึงผ่าน ไปที่สมองก่อนจะไปถึงกระเพาะ แล้วจึงค่อยขับถ่ายออกมา โดยมีอวัยวะเหมือนแขนชิ้นเล็ก ๆ ทำหน้าที่จับอาหารส่งเข้าสู่ปาก ซึ่งสัตว์จำพวกอื่นที่มีอวัยวะแบบเดียวกันนี้ คือ แมงมุมและแมงป่อง ซึ่งเป็นสัตว์ที่เป็นเสมือนญาติใกล้เคียงที่สุด อาหารของ แมงดามีด้วยกันหลากหลาย ทั้งสาหร่ายทะเลและสัตว์น้ำมีเปลือกขนาดเล็ก ๆ มีสมองที่มีรูปร่างเหมือนเฟือง ขาของแมงดามี ความสามารถใช้สำหรับจับการเคลื่อนไหวหรือดมกลิ่นได้ มีดวงตาหลายคู่ที่ด้านข้างและด้านหลังที่เหมือนกับแมลง เห็นภาพ ได้เป็นสเกลหรือตาราง โดยมีเซลล์รับแสงอยู่ด้านใน ต่างจากสัตว์ทั่วไปที่มีอยู่ตรงกลาง แต่ตาหลักจะช่วยในการมองเห็นรูป ร่างของแมงดาตัวอื่น ๆ ส่วนตัวผู้จะใช้ในการมองหาคู่ ตาคู่ที่เล็กมีความไวกว่า ใช้ตรวจจับรังสีต่าง ๆ ได้ เช่น อัลตราไวโอเล็ต รวมถึงแสงจันทร์เพราะเป็นสัตว์ที่มีวิถีชีวิตคู่กับน้ำขึ้นน้ำลง และยังมีตาที่อยู่ด้านท้องที่ตรวจจับทิศได้แม้ลำตัวจะหงายท้อง ก็ตาม และส่วนหางก็ยังตรวจจับแสงได้อีกด้วย แม้จะมีร่างกายดูเหมือนเทอะทะ แต่ทว่าร่างกายของแมงดากลับยืดหยุ่นได้ เป็นอย่างดี[5]

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (Solenostomidae) มีจะงอยปากยาว ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย มีติ่งสั้น ๆ ทั่วทั้งตัว ครีบมีขนาดใหญ่ และมีขอบเป็นเส้นสั้น ๆ ลำตัวค่อนข้างใส มีสีสันหลากหลาย ทั้งสีแดง, ขาวสลับดำหรือเหลือบสีอื่น ๆ โดยปรับเปลี่ยนสีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัย มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 8 เซนติเมตร มักพบในแนวปะการังหรือกัลปังหาที่เขตน้ำลึก ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก มัก ลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ เพื่อแฝงตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน โดยกิน แพลงก์ตอนสัตว์และครัสเตเชียนข นาดเล็ก เป็นอาหาร โดยเอาส่วนหัวทิ่มลงพื้น [1] ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ มีพฤติกรรมการวางไข่ที่แตกต่างไปจากปลาชนิดอื่นในอันดับเดียวกัน คือ ตัวเมียจะเป็นฝ่ายอุ้มท้อง โดยใช้ครีบ หน้าท้องขนาดใหญ่สองครีบไว้สำหรับโอบอุ้มไข่ที่ได้รับการผสม และอุ้มท้องพาไข่ติดตัวไปด้วยตลอดเวลาจนกว่าจะฟักออกเป็นตัว โดยมี ปลาตัวผู้ที่มีขนาดเล็กกว่า คอยดูแลอยู่ตลอด ซึ่งถุงครีบใต้ท้องของแม่ปลานั้นจะคอยกระพือเปิดปิดเป็นระยะ ๆ เพื่อให้น้ำทะเลและ ออกซิเจนที่ผสมอยู่ในน้ำไหลเวียนถ่ายเท เพื่อให้ตัวอ่อนในไข่เจริญเติบโต ซึ่งสามารถมองเห็นเป็นไข่ลูกกลม ๆ ใส ๆ หรือบางครั้งก็ สามารถมองเห็นดวงตาจุดดำ ๆ คู่โตในไข่ได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า [2] ปลาจิ้มฟันจระเจ้ปีศาจ เป็นปลาที่พบได้น้อยมาก ในน่านน้ำไทยอาจพบได้ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไม่จัดว่าเป็นปลามีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และปัจจุบันได้มีการจับมาจากแหล่งธรรมชาติเพื่อขายเป็นปลาสวยงาม[3]

สิงโตทะเล เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Otariidae ในวงศ์ใหญ่Pinnipedia หรือแมวน้ำ จัดเป็นแมวน้ำมีหู จำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก ตั้งแต่ทะเลเขตหนาวแถบขั้วโลกเหนือหรือ อาร์กติก และเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นในทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตร เช่น เกาะกาลาปากอส สิงโตทะเล มีลักษณะแตกต่างจากแมวน้ำ คือ มีใบหูขนาดเล็กที่ข้างหัวทั้งสองข้าง สามารถใช้ครีบ ทั้งสี่ข้างนั้นคืบคลานไปมาบนบกได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิน ต่างจากแมวน้ำที่ไม่สามารถทำเช่น นั้นได้ เมื่ออยู่บนบกครีบของแมวน้ำใช้ได้เพียงแค่คืบคลานหรือกระเถิบตัวเพื่อให้เคลื่อนที่เท่านั้น สิงโตทะเลโดยทั่วไปมีอายุโดยเฉลี่ย 20–30 ปี อาหารหลัก คือ ปลาและปลาหมึก มีลักษณะและขนาด แตกต่างกันไปตามชนิดในแต่ละภูมิภาค โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ สิงโตทะเลสเตลลาร์ (Eumetopias jubatus) ที่ตัวผู้อาจยาวได้ถึง 3 เมตร น้ำหนักประมาณ 1,000 กิโลกรัม สิงโตทะเลชนิดที่พบได้บ่อย คือ สิงโตทะเลแคลิฟอร์เนีย (Zalophus californianus) ตัวผู้มีความยาว 2.41 เมตร เมื่อโตเต็มที่ น้ำ หนัก 300 กิโลกรัม[2]

ปลากบ เป็นปลาในตะกูลปลาตกเบ็ดพบได้ทั่วไปในมหาสมุทรเขตร้อนยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มันเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสั้นตัวหนาและมีครีบและสีตัวที่ใช้ในการพลางตัวได้ดีและ บางชนิดสามารถเปลียนสีได้ ปกติอาศัยอยู่บริเวณพื้นทะเลที่มีสาหร่ายซาร์กัสซัม ทำให้มีอีกชื่อนึงว่าปลาซาร์กัสซัม พวกมันจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นขึ้นตามลำตัวจึงทำให้สามารถพรางตัวได้ดี มันยังเคลื่อนที่ช้า ๆ หรือการล่อเหยือเพื่อจะได้พรางตัวได้อย่างแนบเนียนและเมื่อมีเหยือเข้ามาใกล้พวกมันก็ จะพุ่งกระโจนเข้าหาเหยือและงับอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 6 มิลลิวินาทีเท่านั้น[2] จากหลักฐานทางฟอสซิลพบว่าพวกมันเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยไมโอซีน

งูทะเล เป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงู ที่อาศัยและดำรงชีวิตอยู่ในทะเลตลอดชีวิต ไม่เคยขึ้นมา บนบกเลย ยกเว้นการผสมพันธุ์และวางไข่ในบางชนิด งูทะเลเป็นงูที่อยู่ในวงศ์ย่อย Hydrophiinae งูทะเล ทุกชนิดอาศัยอยู่ในทะเลหรือปากแม่น้ำชายฝั่งหมด ยกเว้น ชนิด Hydrophis semperi และ Laticauda crokeri เท่านั้น ที่พบอาศัยอยู่ในทะเลสาบน้ำจืดในประเทศฟิลิปปินส์ งูทะเลทั่วโลกมีทั้งหมดประมาณ 50 ชนิด[1] พบตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เชื่อว่าเป็นงู บกที่พัฒนาการลงมาสู่น้ำ โดยปกติ งูทะเลจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งน้ำตื้นที่อบอุ่น หากินปลาเป็นอาหารหลัก มี รูปร่างคล้ายงูบก แต่มีส่วนที่แตกต่างออกไปคือ เกล็ด บางชนิดมีเกล็ดเป็นมัน บางชนิดมีเกล็ดฝังอยู่ใต้ ผิวหนัง ลำตัวลื่นคล้ายปลา หางแบนราบคล้ายใบพาย ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใช้สำหรับว่ายน้ำ สีสันลำตัวเป็น ปล้อง จึงทำให้จำแนกด้วยตาเปล่าได้ยากว่าชนิดไหนเป็นชนิดไหน โดยทั่วไปงูทะเลมีความยาวเต็มที่ประมาณ 50 - 70 เซนติเมตร แต่ก็มีบางชนิดที่ยาวได้ถึง 2 เมตร และมักอาศัยตามทะเลโคลนหรือทะเลที่มีน้ำขุ่น มากกว่าทะเลน้ำใส[2]

ปลาซาร์ดีน เป็นชื่อสามัญที่หมายถึงปลาทะเลไขมันสูงเล็ก ๆ ในวงศ์ปลาหลังเขียวคือ Clupeidae ซึ่งรวม ปลาเฮร์ริงด้วย[2] เนื่องจากเป็นปลาขนาดเล็กจึงมักตกเป็นอาหารของปลาขนาดใหญ่หรือสัตว์ ทะเลขนาดใหญ่กว่าเสมอ ๆ[3] ถือเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมากของยุโรปและทั่วโลก ใช้ ทำปลากระป๋องหรือปรุงกินสด ๆ เป็นปลาที่มีคุณค่าทางอาหารสูง คำว่า ซาร์ดีน เริ่มใช้ในภาษา อังกฤษตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 และอาจได้ชื่อมาจากเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคือ ซาร์ดิเนียซึ่งในช่วงนั้นมีปลาอย่างนี้มาก[4][5] คำภาษาอังกฤษว่า sardine และ pilchard (พิวชาร์ด) จะใช้อย่างไม่แน่นอนโดยขึ้นอยู่กับ ภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นองค์การอุตสาหกรรมปลาทะเล (Sea Fish Industry Authority) แห่ง สหราชอาณาจักรจัดซาร์ดีนว่าเป็นปลาพิวชาร์ดที่ยังเล็ก[6] นักเขียนผู้หนึ่งเสนอว่า ปลาที่สั้น กว่า 15 ซม. คือซาร์ดีน ปลาที่ใหญ่กว่านั้นเป็นพิวชาร์ด[7] ส่วนมาตรฐานปลาซาร์ดีนกระป๋อง ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุปลา 21 สปีชีส์ว่าเป็นซาร์ดีน[8] ส่วนฐานข้อมูลปลาคือ FishBase เรียกปลาอย่างน้อย 6 สปีชีส์ว่าเป็นพิวชาร์ดโดยส่วนเดียว เรียกปลาเกินกว่าโหลว่าเป็นซาร์ดีนเท่านั้น และเรียกปลาอื่น ๆ อีกมากด้วยชื่อสองอย่างเหล่านี้โดยมีคำวิเศษณ์ต่าง ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook