Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ไทยสื่อสาร

ไทยสื่อสาร

Published by kittipong.pi, 2020-06-25 01:05:17

Description: ๑.มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยสื่อสารในงานอาชีพ
๒.สามารถนำภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารในงานอาชีพ
๓.เห็นคุณค่าและความสำคัญของการใช้ภาษาไทยสื่อสารในงานอาชีพ

Keywords: สารสื่อสาร

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรู้ รหัส ๓๐๐๐ – ๑๑๐๑ วชิ า ภาษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชพี หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพชน้ั สงู นายกติ ตพิ งษ์ พิมพจ์ ตั ุรสั ปีการศกึ ษา ๑/๒๕๖๐ วิทยาลัยอาชีวศึกษาออมสินอปุ ถมั ภ์

รายการตรวจสอบและอนญุ าตใหใ้ ช้  ควรอนญุ าตใหใ้ ช้การสอนได้  ควรปรบั ปรงุ เกย่ี วกบั ........................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................ ลงช่ือ (....................................................................) หัวหน้าสาขาวิชา ............../.................................../....................  เหน็ ควรอนุญาตให้ใช้การสอนได้  ควรปรับปรงุ ดงั เสนอ  อ่นื ๆ ...................................................................................................................... ......................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... ........................................................................ ลงช่อื (....................................................................) รองผ้อู านวยการฝา่ ยวชิ าการ ............../.................................../....................  อนญุ าตให้ใช้การสอนได้  อน่ื ๆ ...................................................................................................................... ......................................... ................................................................................................................................................ .................................... ............................................................................................... ............................................................................. ........................................................................ ลงชือ่ (....................................................................) ผอู้ านวยการ ............../.................................../.................... 2

ลกั ษณะรายวิชา รหสั ๓๐๐๐ – ๑๑๐๑ ชอื่ วชิ า ภาษาไทยเพ่ือสอ่ื สารในงานอาชีพ จานวน ๓ หนว่ ยกิต ๓ คาบ / สปั ดาห์ รายวชิ าตามหลกั สูตร จุดประสงค์รายวิชา ๑. มคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั การใชภ้ าษาไทยส่ือสารในงานอาชพี ๒. สามารถนาภาษาไทยไปใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื สื่อสารในงานอาชพี ๓. เห็นคณุ ค่าและความสาคญั ของการใชภ้ าษาไทยส่อื สารในงานอาชพี มาตรฐานรายวชิ า ๑. เลอื กใช้ถ้อยคาสานวน ระดับภาษา ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ เหมาะสมกบั กาลเทศะ บุคคล โอกาส และ สถานการณ์ ๒. วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่าสารในชีวติ ประจาวันและงานอาชีพจากสือ่ ประเภทตา่ ง ๆ และ นาเสนอข้อมลู ตามหลักการ ๓. พูดตดิ ต่อกจิ ธรุ ะ ธรุ กิจ และพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ของสังคมตามหลกั การ ๔. เขยี นตดิ ต่อกิจธรุ ะ ธรุ กจิ และเขยี นรายงานตามหลักการ คาอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏบิ ัตเิ ก่ียวกบั หลักการใชภ้ าษาไทยในการสอื่ สาร การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินคา่ สารในชวี ิตประจาวนั และในงานอาชพี จากส่อื ประเภทต่าง ๆ การนาเสนอขอ้ มูลหรอื บรรยายสรปุ การพดู ใน งานอาชีพและในโอกาสต่าง ๆ ของสงั คม การเขียนเพ่ือตดิ ต่อกิจธุระและธุรกิจ และการเขียนรายงานวชิ าการ หรอื รายงานการวจิ ยั 3

หลักสูตร :ประกาศนยี บัตรวชิ าชพี พุทธศักราช ๒๕๕๖ โครงการสอนต่อ หน้าที่ รหัสวชิ า :๒๐๐๐-๑๖๐๗ ภาคเรียน ๑ ชอื่ วิชา :ภาษาไทยเพ่ือการสอื่ สาร แผน่ ที่ : ๑ ระดับการศึกษา ปวช ปี๑. ป๒ี . ปี๓. ปี๔. ปี๕. ปี๖. จานวน : ๓ ชวั่ โมงตอ่ สัปดาห์ จานวน : ๑๘ สปั ดาหต์ อ่ ภาคเรียน สอนในภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๐ หน่วย สัปดาห์ หวั ขอ้ กิจกรรม สื่อ วดั ผล หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ ๑ - ๒ ๑. ลักษณะภาษาไทย บรรยาย PP, ตย. - ประเมินจากการ หลักการใชภ้ าษาไทยใน ๒. ประเภทของภาษาไทย ถาม-ตอบ ตอบคาถาม การสื่อสาร ๓. ระดับภาษาท่ีใช้ในการสอ่ื สาร - ทดสอบยอ่ ย ๔. ภาษาถนิ่ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ ๕. การอ่านเครอ่ื งหมายต่าง ๆ บรรยาย PP, ตย, - ประเมินจากการ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ถาม-ตอบ ตอบคาถาม และประเมินคา่ สารใน ๓ – ๕ ๑. การวเิ คราะหก์ าร ปฏบิ ัติ - ทดสอบย่อย ชวี ติ ประจาวันและงาน ๒. การสังเคราะหส์ าร อาชีพ ๓. การประเมนิ คา่ สาร หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ การนาเสนอข้อมลู และ ๖ – ๗ ๑. การนาเสนอ บรรยาย PP,ตย. - ประเมนิ จากการ การบรรยายสรุป ๒. การบรรยายสรุป ถาม-ตอบ ปฏบิ ัติ ตอบคาถาม หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ - ทดสอบย่อย การพดู ในงานอาชีพ ๘-๙ ๑. การสนทนา บรรยาย PP, ตย. ๑๐ - ๑๑ ๒. การอภิปลาย ถาม-ตอบ ปฏบิ ัติ - ประเมินจากการ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๕ ๓. การพดู จงู ใจ ปฏบิ ัติ ตอบคาถาม การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ๔. การเปน็ พธิ กี ร - ทดสอบยอ่ ย ของสงั คม ๕. การสัมภาษณ์ ๖. การพดู ตอ้ นรบั ผ้ใู ต้บงั คบั บญั ชา บรรยาย PP, ตย. - ประเมินจากการ ถาม-ตอบ ปฏบิ ตั ิ ตอบคาถาม ๑. การกล่าวคาแนะนา ปฏบิ ตั ิ - ทดสอบยอ่ ย ๒. การกลา่ วให้เกียรตหิ รอื มองรางวลั ๓. การกล่าวตอบรบั การรับรางวลั ๔. การกล่าวตอ้ นรบั ๕.การกล่าวตอบรบั การต้อนรบั ๖. การกล่าวเขา้ รับตาแหนง่ ใหม่ ๗. การกล่าวรายงาน ๘. การกลา่ วคาอวยพร ๙. การกล่าวเปิดงาน ๑๐. การกลา่ วตอบรับคาอวยพร ๑๑. การกล่าวคาไวอ้ าลยั ๑๒. การกล่าวคาอาลา 4

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๖ ๑๒ - ๑๓ ๑. การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ บรรยาย PP, ตย. - ประเมนิ จากการ การเขียนเพ่ือตดิ ต่อกิจ ๒. การเขยี นจดหมายสมัครงาน ถาม-ตอบ ปฏบิ ตั ิ ตอบคาถาม ธรุ ะ ๓. การเขยี นโครงการ ปฏบิ ตั ิ - ทดสอบยอ่ ย หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ ๑๔ - ๑๕ ๑. จดหมายธุรกิจ บรรยาย PP, ตย. - ประเมินจากการ การเขยี นเพอื่ ตดิ ต่อธุรกิจ ๑๖ - ๑๗ ๒. บันทึก ถาม-ตอบ ปฏบิ ตั ิ ตอบคาถาม ๓. รายงาน ปฏบิ ัติ - ทดสอบย่อย หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๘ ๔. รายงานการประชมุ การเขยี นรายงานเชิง ๕. โฆษณา บรรยาย PP, ตย. - ประเมนิ จากการ วชิ าการและรายงานการ ๖. การประชาสมั พันธ์ ถาม-ตอบ ปฏบิ ตั ิ ตอบคาถาม วจิ ยั ๗. คาขวัญ ปฏิบตั ิ - ทดสอบยอ่ ย ๑. การเขยี นรายงานวชิ าการ ๒. การเขยี นรายงานการวจิ ยั สัปดาหท์ ่ี ๑๘ สอบปลายภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๐ 5

ตารางวเิ คราะห์หลักสตู ร พุทธิพิสัย (ด้านความร)ู้ พฤตกิ รรม ความรู้ความจา ความเ ้ขาใจ ชอ่ื หนว่ ย ประยุก ์ต-นาไปใช้ วิเคราะห์ สูงก ่วา ทักษะพิสัย (ด้าน ทักษะ) ิจตพิสัย รวม ลาดับความสาคัญ 1. หลักการใชภ้ าษาไทยในการสือ่ สาร 32 3 2 10 4 2. การวเิ คราะห์ สงั เคราะหแ์ ละประเมนิ ค่า 1 3 2 1 1 5 3 16 1 สารในชีวิตประจาวันและในงานอาชพี 3. การนาเสนอข้อมูลและการบรรยายสรปุ 2 2 1 5 2 12 2 4. การพดู ในงานอาชีพ 221 5 3 13 2 5. การพดู ในโอกาสต่าง ๆ ของสังคม 222 4 2 12 3 6. การเขียนเพื่อติดต่อกิจธุระ 122 5 2 12 3 7. การเขยี นเพ่ือตดิ ต่อธุรกิจ 122 4 3 12 3 8. การเขียนรายงานวชิ าการและรายงานการ 3 1 2 4 3 13 2 วิจยั 15 16 12 1 1 รวมแต่ละด้าน 45 35 20 100 ลาดับความสาคัญ 1 23 6

การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี น ๑. วิธีการ การดาเนนิ การวัดผลการเรียนวิชาน้ี จะแบง่ การประเมินออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑. การทดสอบกลางภาคกบั การสอบปลายภาคเรียน ๒. การกาหนดคะแนนระหวา่ งภาค กับ คะแนนปลายภาค ดังน้ี ๑.๑ งานทม่ี อบหมายในระหวา่ งเรยี น ๖๐ คะแนน ๑.๒ จิตพสิ ัยและการรว่ มกิจกรรม ๑๐ คะแนน ๑.๓ สอบกลางภาค-สอบปลายภาคเรยี น ๓๐ คะแนน ๒. เกณฑ์การผ่าน ผูท้ ส่ี อบผ่านรายวิชานี้ จะต้องผ่านเกณฑ์ดงั นี้ ๒.๑ มีเวลาเรียนไมต่ า่ กวา่ รอ้ ยละ ๘๐ของเวลาเรยี นท้งั หมด ต่อ ๑ ภาคเรยี น ๒.๒ งานท่มี อบหมายจะต้องผา่ นเกณฑร์ ้อยละ ๖๐ ของคะแนนทมี่ อบหมาย ๒.๓ ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด ต้องไม่ตา่ กว่าร้อยละ ๖๐ ๓. เกณฑ์การให้เกรดตามคา่ ระดบั คะแนน ได้เกรด ๔.๐๐ ร้อยละ ๘๐ – ๑๐๐ ไดเ้ กรด ๓.๕๐ ร้อยละ ๗๕ – ๗๙ ไดเ้ กรด ๓.๐๐ รอ้ ยละ ๗๐ – ๗๔ ไดเ้ กรด ๒.๕๐ ร้อยละ ๖๕ – ๖๙ ได้เกรด ๒.๐๐ ร้อยละ ๖๐ – ๖๔ ได้เกรด ๑.๕๐ รอ้ ยละ ๕๕ – ๕๙ ไดเ้ กรด ๑.๐๐ ร้อยละ ๕๐ – ๕๔ ไดเ้ กรด ๐.๐๐ ร้อยละ ๐ – ๔๙ 7

รหสั วชิ า ๓๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ สปั ดาห์ที่ ๑–๒ วชิ า วิชา ภาษาไทยเพอื่ สอ่ื สารในงานอาชีพ จานวน ๖ ชว่ั โมง เร่ือง หลกั การใช้ภาษาไทยในการสือ่ สาร หวั ข้อเรอื่ ง ๑.๒ ประเภทของภาษา ๑.๔ ภาษาถนิ่ ๑.๑ ลกั ษณะภาษาไทย ๑.๓ ระดบั ภาษาทใี่ ช้ในการสือ่ สาร ๑.๕ การอ่านเครอ่ื งหมายต่าง ๆ สมรรถนะยอ่ ย เลอื กใชถ้ ้อยคา สานวน ระดับภาษา ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล โอกาส และ สถานการณ์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ๑. อธบิ ายลกั ษณะของภาษาไทยได้ ๒. บอกประเภทของภาษาได้ ๓. บอกระดับภาษาท่ีใช้ในการสอ่ื สารได้ ๔. ยกตวั อย่างภาษาถิ่นได้ ๕. อ่านเคร่อื งหมายต่าง ๆ ในงานเขยี นภาษาไทยได้ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง/ค่านยิ ม แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซ่ือสัตย์ สุจริต ความมีน้าใจและแบ่งบนั เนอื้ หาสาระ ๑.๑ ลักษณะภาษาไทย ประกอบด้วย (๑.๑.๑) ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคา (๑.๑.๒) ภาษาไทยเปน็ ภาษา วรรณยุกต์ (๑.๑.๓) ภาษาไทยเปน็ ภาษาทม่ี ลี ักษณะนาม (๑.๑.๔) ภาษาไทยเป็นภาษาทม่ี รี ะดับ ๑.๒ ประเภทของภาษา ภาษาแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ วัจนภาษา เปน็ ภาษาที่ส่อื ด้วย คาพูด และอวัจนภาษา เป็นภาษาที่สอื่ ดว้ ยกริ ยิ าทา่ ทาง การแตง่ กาย ภาษามอื บุคลิกภาพ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ๑.๓ ระดับภาษาที่ใช้ในการส่ือสาร ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับ การใช้ถ้อยคาในภาษาไทยต้องใช้ให้ เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส โดยท่ัวไปภาษาแบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ภาษาเป็นทางการ ภาษาไม่เป็นทางการ และภาษากึ่งทางการ ๑.๔ ภาษาถิน่ ๑.๕ การอ่านเคร่ืองหมายต่าง ๆ การอ่านงานเขียนในภาษาไทย ผู้อ่านต้องทาความเข้าใจเคร่ือง- หมาย ต่าง ๆ ท่ีปรากฏในงานเขียน เครื่องหมายเหล่านี้จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจเน้ือหา หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีข้ึ น เคร่ืองหมายท่ใี ชใ้ นภาษาไทยมที ั้งท่ตี ้องอ่านออกเสียงและไม่ตอ้ งออกเสียง ส่อื การเรยี นการสอน แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรยี น ใบเน้ือหาหนว่ ยท่ี ๑ แบบฝึกหัดหน่วยที่ ๑ กจิ กรรมเสริม แบบประเมินกจิ กรรมและแบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม กิจกรรมการเรยี นการสอน (สัปดาหท์ ี่ ๑/๑๘, คาบท่ี ๑-๓/๕๔) ๑. ครูแนะนารายวชิ าและปฐมนเิ ทศ ร่วมกาหนดวิธกี ารเรียนรว่ มกัน การวัดผล ประเมินผล 8

๒. ครูอธิบายจุดประสงค์การเรียนรู้หน่วยที่ ๑ และสอดแทรกความรู้เรื่องคุณธรรม จริยธรรม เศรษฐกิจ พอเพียง ๓. ครูทดสอบความรู้ของนักศึกษาก่อนเรียน ๔. ครูสอนและอธบิ ายเนื้อหาสาระหัวขอ้ ท่ี ๑.๑-๑.๒ ๕. นกั ศึกษาช่วยกันสรปุ เรอ่ื งหลักการใชภ้ าษาไทยเพอ่ื การสื่อสาร โดยใชผ้ งั ความคดิ บนกระดาน หนา้ ห้องเรียน แลว้ จดบันทกึ ลงสมดุ และครสู รปุ ผล ๖. นักศกึ ษาทาแบบฝึกหดั ๗. ครแู ละนักศึกษารว่ มกนั สรปุ เน้ือหาสาระ และครูมอบหมายงาน กิจกรรมการเรียนการสอน (สัปดาหท์ ี่ ๒/๑๘, คาบที่ ๔-๖/๕๔) ๑. ครตู รวจสอบความพรอ้ มกอ่ นเรียน และทบทวนเนือ้ หาโดยการถาม-ตอบ ๒. ครสู อนและอธิบายเน้ือหาสาระหัวขอ้ ที่ ๑.๓-๑.๕ ๓. นกั ศกึ ษาชว่ ยกนั สรุปเรอื่ งแล้วจดบันทกึ ลงสมุด ๔. นกั ศกึ ษาทาแบบฝึกหัด ๕. ครูและนักศึกษาร่วมกนั สรุปเน้ือหาสาระ และครูมอบหมายงาน ๖. ครูทดสอบความร้หู ลังเรียน การวัดผลและประเมินผล การวัดผล การประเมนิ ผล (ใช้เครือ่ งมือ) (นาผลเทียบกับเกณฑ์และแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) หนว่ ยที่ ๑ (ไว้เปรียบเทียบกับคะแนนสอบหลงั เรียน) ๒. แบบสงั เกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลมุ่ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๓. แบบฝกึ หัดหน่วยที่ ๑ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) หนว่ ยที่ ๑ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๕. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง เกณฑ์ผา่ น ๖๐% งานทมี่ อบหมาย งานทมี่ อบหมายนอกเหนือเวลาเรยี น ใหส้ บื คน้ ตวั อย่างลกั ษณะของภาษาไทย สง่ ในการเรียนครง้ั ต่อไป ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสาเร็จของผูเ้ รียน ๑. ผลการทาแบบฝกึ หดั หน่วยท่ี ๑ ๒. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หนว่ ยท่ี ๑ ๓. ผลการทางานตามท่ีมอบหมาย เอกสารอา้ งองิ ๑. หนงั สอื เรียนวิชาภาษาไทยเพอ่ื ส่ือสารในงานอาชพี รหสั วิชา ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เวบ็ ไซตแ์ ละสื่อส่ิงพิมพ์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เนื้อหาบทเรยี นตามบรรณานกุ รม 9

รหสั วิชา ๓๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๒ สปั ดาหท์ ่ี ๓-๕ วิชา ภาษาไทยเพือ่ ส่ือสารในงานอาชีพ จานวน ๙ ช่ัวโมง เรื่องการวิเคราะห์ สงั เคราะหแ์ ละประเมนิ ค่าสารใน ชวี ติ ประจาวนั และในงานอาชีพ หวั ข้อเรื่อง การวิเคราะหส์ าร ๒.๑ การสงั เคราะหส์ าร ๒.๒ การประเมินค่าสาร ๒.๓ สมรรถนะย่อย ๑. เลอื กใช้ถอ้ ยคาสานวน ระดับภาษา ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เหมาะสมกบั กาลเทศะ บุคคล โอกาสและ สถานการณ์ ๒. วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่าสารในชีวติ ประจาวันและงานอาชีพจากสื่อประเภทตา่ ง ๆ และ นาเสนอข้อมลู ตามหลักการ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ๑. อธบิ ายหลกั การวิเคราะห์สารได้ ๒. อธบิ ายการสงั เคราะหส์ ารได้ ๓. อธบิ ายหลกั การประเมนิ ค่าสารได้ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง/ค่านิยม แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซื่อสตั ย์ สุจรติ ความมนี า้ ใจ และแบ่งบนั มีสติ รู้ตวั รคู้ ิดรู้ทา เนอ้ื หาสาระ ๒.๑ การวเิ คราะห์สาร (๒.๑.๑) การรับสารจากการฟงั และการดู (๒.๑.๒) การรบั สารจากการอ่าน (๒.๑.๓) ข้นั ตอนการวเิ คราะห์สาร ๒.๒ การสังเคราะห์สาร (๒.๒.๑) วธิ กี ารสงั เคราะห์สาร (๒.๒.๒) จดุ มงุ่ หมายของการสังเคราะห์สาร (๒.๒.๓) การประมวลความคิด (๒.๒.๔) การเลือกเรอ่ื ง (๒.๒.๕) ลกั ษณะของผู้สังเคราะห์สารท่ีดี ๒.๓ การประเมนิ ค่าสาร (๒.๓.๑) การตคี วาม (๒.๓.๒) การวินิจฉยั เพื่อประเมนิ ค่า (๒.๓.๓) ประโยชน์ ของการวิเคราะห์และประเมินค่าสาร สือ่ การเรียนการสอน แบบทดสอบกอ่ นเรียน–หลงั เรยี น ใบเนื้อหาหนว่ ยท่ี ๒ แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ ๒ ใบกจิ กรรมเสรมิ แบบ ประเมินกจิ กรรมและแบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท่ี ๓/๑๘ คาบท่ี ๗–๙/๕๔) ๑. ครูอธิบายจดุ ประสงค์การเรียนรู้ หน่วยท่ี ๒ และสอดแทรกความรูเ้ รื่องคุณธรรม จริยธรรม 10

เศรษฐกิจพอเพยี ง/ค่านยิ ม 12 ประการ ๒. ครทู ดสอบความรู้ของนักศึกษาก่อนเรียน ๓. ให้นักศึกษายกตวั อยา่ งการวเิ คราะห์สารตามความรู้เดิม ๔. ครสู อนและอธบิ ายเนื้อหาสาระขอ้ ๒.๑ ๕. นกั ศึกษาช่วยกันสรุปเรอื่ งโดยใช้การถามตอบจากครู ๖. นกั ศึกษาทาแบบฝกึ หดั ๗. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั ประเมินการเรยี นรู้ตามสภาพจริง กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ที่ ๔/๑๘ คาบที่ ๑๐–๑๒/๕๔) ๑. ครอู ธบิ ายทบทวนเนื้อหา ๒. ใหน้ กั ศกึ ษายกตัวอย่างการสังเคราะห์สารโดยครูชี้นา ๓. ครสู อนและอธบิ ายเนื้อหาสาระข้อ ๒.๒ ๔. นกั ศึกษาช่วยกันสรุปเร่ืองโดยใช้การถามตอบจากครู ๕. นักศึกษาทาแบบฝึกหัด ๖. ครแู ละนกั ศึกษาร่วมกันประเมนิ การเรยี นร้ตู ามสภาพจริงและสรุปผล กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ี่ ๕/๑๘ คาบที่ ๑๓–๑๕/๕๔) ๑. ครูอธบิ ายทบทวนเนอ้ื หา ๒. ใหน้ กั ศกึ ษายกตวั อยา่ งการประเมนิ คา่ สารโดยครูชี้นา ๓. ครูสอนและอธิบายเนื้อหาสาระข้อ ๒.๓ ๔. นักศึกษาชว่ ยกนั สรุปเรือ่ งโดยใช้การถามตอบจากครู ๕. นักศกึ ษาทาแบบฝึกหัด ๖. ครแู ละนกั ศึกษารว่ มกันประเมนิ การเรียนรตู้ ามสภาพจริงและสรุปผล ๗. ครูทดสอบความรขู้ องนักศึกษาหลังเรยี น การวดั ผลและประเมนิ ผล การวดั ผล (ใชเ้ ครอ่ื งมือ) การประเมนิ ผล (นาผลเทยี บกบั เกณฑ์และแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre–test) หนว่ ยที่ ๒ (ไว้เปรียบเทียบกบั คะแนนสอบหลงั เรียน) ๒. แบบสังเกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลมุ่ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๓. แบบฝกึ หัดหน่วยท่ี ๒ เกณฑ์ผ่าน ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลังเรียน (Post–test) หนว่ ยท่ี ๒ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๕. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง เกณฑผ์ ่าน ๖๐% งานท่มี อบหมาย งานทม่ี อบหมายนอกเหนือเวลาเรียน ให้นกั ศกึ ษาคน้ ควา้ ตัวอย่างการวิเคราะหส์ าร การสงั เคราะหส์ าร และการประเมินค่าสาร หวั ข้อละ ๑ ตัวอย่าง 11

ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสาเรจ็ ของผ้เู รียน ผลการทาแบบฝึกหดั หน่วยท่ี ๒ ผลการประเมินด้านจติ พิสยั คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post–test) หนว่ ยท่ี ๒ เอกสารอา้ งอิง หนังสือเรียนวชิ าภาษาไทยเพื่อส่อื สารในงานอาชีพ รหัสวชิ า ๓๐๐๐–๑๑๐๑ 12

รหสั วชิ า ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๓ สปั ดาห์ท่ี ๖-๗ วชิ าภาษาไทยเพือ่ สือ่ สารในงานอาชพี จานวน ๖ ช่วั โมง เรื่อง การนาเสนอขอ้ มูลและการบรรยายสรุป หัวข้อเร่ือง ๓.๑ การนาเสนอข้อมลู ๓.๒ การบรรยายสรุป สมรรถนะย่อย เลือกใช้ถ้อยคาสานวนเพ่อื นาเสนอข้อมลู และบรรยายสรปุ ได้ถกู ต้องเหมาะสมกับกาลเทศะ บคุ คล โอกาส และ สถานการณ์ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ๑. นาเสนอขอ้ มูลตามสถานการณ์ท่ีกาหนดได้ ๒. บรรยายสรุปตามสถานการณท์ ่กี าหนดได้ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แสดงออกดา้ นความสนใจใฝร่ ู้ การตรงต่อเวลา ประหยัด ความมีนา้ ใจ และแบ่งบัน มีสติ ร้ตู ัวร้คู ดิ รทู้ า เน้ือหาสาระ ๓.๑ การนาเสนอขอ้ มลู ๓.๑.๑ ลักษณะของข้อมูลที่นาเสนอ ควรมีลกั ษณะ เชน่ มีเนื้อหาสาระ ควรเปน็ ขอ้ มูลท่ีมี หลกั ฐานยืนยนั ได้ ไมจ่ าเป็นต้องสมบรู ณ์ในตวั เอง เป็นเร่ืองทีน่ า่ สนใจ ลีลาการนาเสนอน่าสนใจ เสนอแนวคิดท่ี แปลกใหม่ ๓.๑.๒ ประเภทของข้อมูล ๓.๑.๓ ขัน้ ตอนการนาเสนอข้อมูล ๓.๑.๔ ลาดับการนาเสนอขอ้ มลู ๓.๒ การบรรยายสรุป ๓.๒.๑ การส่งั สมประสบการณ์เพื่อช่วยพัฒนาเทคนคิ การบรรยายสรปุ ๑. การฟัง ๒. การอ่าน ๓. การสังเกต ๔. การกระทา ๓.๒.๒ โอกาสท่ีจะใช้การบรรยายสรุป ๓.๒.๓ วธิ เี ตรยี มการบรรยายสรุป ๓.๒.๔ วธิ ีดาเนินการบรรยายสรปุ ๓.๒.๕ รปู แบบการบรรยายสรุป ๓.๒.๖ องค์ประกอบท่สี าคัญในการบรรยายสรุป ๓.๒.๗ นา้ เสียงท่ีใชใ้ นการบรรยายสรุป ๓.๒.๘ อากัปกิริยาและบุคลิกภาพของผู้บรรยาย กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ท่ี ๖/๑๘ คาบที่ ๑๖–๑๘/๕๔) ๑. ครอู ธิบายจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ ๓ และสอดแทรกความรเู้ รื่องคุณธรรม จริยธรรม เศรษฐกิจพอเพียง/ค่านยิ ม 12 ประการ ๒. ครูทดสอบความรขู้ องนักศึกษาก่อนเรียน 13

๓. ให้นักศึกษายกตวั อย่างการพดู ต่าง ๆ ๔. ครูสอนและอธบิ ายเนื้อหาสาระข้อ ๓.๑ ๕. นกั ศึกษาช่วยกนั สรุปเร่อื งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๖. นกั ศกึ ษาทาแบบฝกึ หดั /กิจกรรมเสริม ๗. ครแู ละนักศึกษาร่วมกันประเมินการเรยี นรตู้ ามสภาพจริง กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ี่ ๗/๑๘ คาบท่ี ๑๙–๒๑/๕๔) ๑. ครูอธิบายทบทวนเนื้อหา ๒. ให้นกั ศึกษายกตวั อยา่ งการนาเสนอข้อมูลของงานต่าง ๆ ในวิทยาลัย ๓. ครูสอนและอธบิ ายเนื้อหาสาระข้อ ๓.๒ ๔. นักศกึ ษาชว่ ยกนั สรุปเรอื่ งโดยใช้การถามตอบจากครู ๕. นกั ศกึ ษาทาแบบฝกึ หัด ๖. ครทู ดสอบความรขู้ องนักศึกษาหลังเรียน ๗. ครูและนักศึกษารว่ มกันประเมินการเรียนรตู้ ามสภาพจริง สื่อการเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน ๒. ใบเน้ือหาหน่วยที่ ๓ ๓. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ ๓ ๔. ใบกจิ กรรมเสริม ๕. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม การวัดผลและประเมนิ ผล การวัดผล (ใชเ้ ครอ่ื งมอื ) การประเมินผล (นาผลเทียบกบั เกณฑแ์ ละแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre–test) หนว่ ยที่ ๓ (ไว้เปรียบเทียบกบั คะแนนสอบหลังเรียน) ๒. แบบสังเกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลมุ่ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๓. แบบฝึกหัดหน่วยท่ี ๓ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลังเรยี น (Post–test) หนว่ ยท่ี ๓ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๕. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง เกณฑ์ผ่าน ๖๐% งานท่มี อบหมาย งานทม่ี อบหมายนอกเหนือเวลาเรียน จดั เตรียมเรือ่ งที่เลือกนาเสนอข้อมลู จัดกลุ่ม ๆ ละ 3-4 คน ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสาเร็จของผเู้ รยี น ผลการทาแบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ ๓ ผลการประเมนิ จติ พิสัย คะแนนแบบทดสอบหลังเรียน (Post–test) เอกสารอ้างองิ ๑. หนงั สอื เรยี นวิชาภาษาไทยเพือ่ สื่อสารในงานอาชพี รหัสวชิ า ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เว็บไซตแ์ ละส่ือสิ่งพิมพ์ท่เี กยี่ วขอ้ งกบั เนื้อหาบทเรียน 14

รหัสวชิ า ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ สัปดาห์ที่ ๘-๙ วิชาวชิ า ภาษาไทยเพอื่ ส่อื สารในงานอาชพี จานวน ๖ ช่ัวโมง เรื่อง การพูดในงานอาชีพ หวั ขอ้ เรื่อง การสนทนา ๔.๒ การอภปิ ราย ๔.๑ การพูดจงู ใจ ๔.๔ การเปน็ พธิ กี ร ๔.๓ การสมั ภาษณ์ ๔.๖ การพูดต้อนรบั ผู้ใต้บังคับบญั ชา ๔.๕ สมรรถนะย่อย พูดในงานอาชีพตามหลกั การ วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม ๑. บอกความสาคญั ของการสนทนาได้ ๒. อภปิ รายตามสถานการณ์ท่ีกาหนดได้ ๓. พูดจูงใจตามสถานการณท์ กี่ าหนดได้ ๔. เปน็ พธิ ีกรตามสถานการณ์ท่ีกาหนดได้ ๕. สมั ภาษณต์ ามสถานการณท์ ่กี าหนดได้ ๖. พูดตอ้ นรับผ้ใู ต้บังคบั บัญชาตามสถานการณท์ ี่กาหนดได้ ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความขยัน อดทน ความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีน้าใจ และแบ่งบัน การประหยดั เน้อื หาสาระ ๔.๑ การสนทนา ในชีวิตประจาวันการสนทนาเป็นกิจกรรมสาคัญที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาใช้เป็นเคร่ืองมือสื่อสาร ให้มนุษย์ในสังคมน้ัน ๆ เข้าใจกัน เพื่ออยู่รวมกันอย่างราบร่ืนและสามารถประกอบกิจกรรมเพ่ือดารงชีวิตอย่างมี ความสขุ ๔.๑.๑ ความสาคัญของการสนทนา เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เป็นการ เพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ เป็นการสร้างพันธภาพและความเข้าใจท่ีดี เป็นการสร้างความสามคั คีกลมเกลยี ว ในหมู่คณะ เปน็ การประสานงานและประสานประโยชน์ ๔.๑.๒ ศิลปะในการสนทนา ศิลปะในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคู่สนทนา ศิลปะการสร้าง บรรยากาศในการสนทนา ศิลปะในการใช้กิริยาท่าทาง ศิลปะในการสร้างอารมณ์ขัน ศิลปะในการชมคู่สนทนา ศลิ ปะในการเป็นผรู้ บั ฟงั ทด่ี ี ๔.๒ การอภิปราย เป็นการพูดที่นิยมกันมากในสังคมประชาธิปไตย เป็นการพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ ทัศนะเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงอย่างกว้างขวาง ทาให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และ ชว่ ยกันแกป้ ญั หานั้น ๔.๒.๑ ความสาคญั ของการอภิปราย 15

การอภิปรายเป็นกิจกรรมท่ีจัดให้บุคคลได้มีโอกาสพบประกันอย่างมีจุดมุ่งหมายและมีระเบียบแบบแผน การอธปิ รายจึงมคี วามสาคัญหลายดา้ น ดงั น้ี ๑. ด้านการศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การอภิปรายเป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับ ความรแู้ ละเกิดความคิดสรา้ งสรรค์ ตลอดจนร้จู ักการทางานร่วมกบั ผอู้ ่นื ได้ ๒. ด้านสังคม การอยู่รวมกันในสังคมสมาชิกจะต้องยอมรับความคิดเห็นของสมาชิกส่วนใหญ่เป็น หลักในการตดั สนิ ปญั หาต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล ๓. ด้านการเมือง การอภิปรายเป็นส่ิงจาเป็นและมีบทบาทสาคัญในสังคมประชาธิปไตย โดย นกั การเมืองจะใช้การอภปิ รายตง้ั แตเ่ ร่มิ ต้นหาเสยี งจนกระทงั่ เข้าไปนง่ั ทางานในสภา ๔. ด้านศาสนา ศาสนาทกุ ศาสนามหี ลักคาสอนท่ีคล้ายกัน แต่การตคี วามในทางศาสนา มีหลากหลายจงึ ต้องมกี ารอภปิ รายเพอ่ื ชแี้ จงแสดงเหตผุ ลใหท้ กุ ฝ่ายยอมรบั ๕. ด้านเศรษฐกิจ การอภิปรายเก่ียวกับเศรษฐกิจ เป็นสิ่งสาคัญท่ีต้องร่วมกันหาข้อสรุป เพ่ือเป็น แนวทางพัฒนาและแกป้ ัญหาให้ดีทีส่ ุด ๔.๒.๒ จดุ มงุ่ หมายของการอภปิ ราย การอภิปรายโดยท่ัวไปมักเป็นการอภิปรายที่มีระเบียบแบบแผน โดยมีการเตรียมหัวข้ออภิปราย เชิญผู้ อภปิ รายไวก้ อ่ นล่วงหนา้ จึงมีจุดมุ่งหมายทชี่ ัดเจนดังน้ี ๑. เพอื่ แลกเปล่ยี นความรู้ ความคิด และประสบการณ์อย่างมีเหตุผล ๒. เพ่ือหาข้อสรุป ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับปัญหาเรื่องใดเร่ืองหน่ึงและนาไปสู่การแก้ปัญหาน้ันอย่าง ถกู ตอ้ ง ๓. เพอ่ื เผยแพรค่ วามรู้หรือความกา้ วหนา้ ทางวชิ าการใหส้ าธารณะชนทราบ ๔. เพอ่ื ให้ผอู้ ภปิ รายเขา้ ใจหลักการแสดงความคดิ เห็นแบบประชาธิปไตย ๕. เพอ่ื ใหผ้ ู้อภิปรายเขา้ ใจหลักการปฏบิ ตั ติ นรว่ มกนั ๖. เพอ่ื เปิดโอกาสใหบ้ ุคคลได้แสดงออกทางเหตุผลตามสทิ ธมิ นุษยชนและประชาธปิ ไตย ๔.๒.๓ หลักเกณฑ์ท่ัวไปของการอภิปราย การอภิปรายจะดาเนนิ ไปด้วยดีและเกิดประโยชนแ์ ทจ้ ริงทุกฝ่ายควรต้องมีหลกั เกณฑ์ดงั นี้ ๑. การอภิปรายเป็นการใช้ความคดิ ร่วมกนั กับผอู้ ่ืนเพือ่ หาคาตอบ โดยมีขั้นตอนดังนี้ (๑) ทาความเขา้ ใจปญั หา (๒) แยกแยะประเด็นปญั หา (๓) เสนอแนะแนวทางแกป้ ัญหาด้วยวิธตี า่ ง ๆ (๔) เลือกวธิ กี ารแกป้ ญั หาทดี่ ีทส่ี ดุ ๒. การอภิปรายจาเป็นต้องมีผู้นาอภิปรายเพื่อคอยกากับให้การแสดงความคิดตรงตามประเด็นและ อยู่ในกรอบที่ต้องการ ผู้นาอภิปรายต้องคอยกระตุ้นให้ผู้อภิปรายแสดงความคิดเห็น ควบคุมให้ผู้อภิปรายแสดง ความคิดเห็นในกรอบเวลาทีก่ าหนด ไมใ่ ห้ผู้อภิปรายผูกขาดการพดู เพียงฝ่ายเดียว ๓. ผู้อภิปรายอาจเปลี่ยนความคิดเห็นของตนได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ได้ฟังจากผู้ร่วม อภปิ รายทแ่ี สดงออกมาใหป้ รากฏ ๔. การอภิปรายควรมกี ารเตรียมขอ้ มลู ก่อนล่วงหนา้ เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ภิปรายไดพ้ ิจารณารว่ มกัน ๕. การอภิปรายตอ้ งใชค้ วามสามารถในการพูดและการฟังเป็นพิเศษ ในด้านการพดู ผู้อภิปรายต้อง แสดงความคดิ เหน็ ของตนอย่างสุภาพและตรงประเด็น ในด้านการฟังผู้อภิปรายต้องฟังคาพูดของผู้ ร่วมอภิปรายคนอืน่ ๆ โดยใชค้ วามคิดอยตู่ ลอดเวลา 16

๔.๒.๔ ประโยชนข์ องการอภิปราย ๑. เปิดโอกาสให้ผ้เู ชยี่ วชาญเรื่องใดเรอ่ื งหน่งึ ได้เผยแพรค่ วามร้แู กส่ าธารณชน ๒. เป็นการแสดงความก้าวหนา้ ของวิชาการในสาขาต่าง ๆ ใหก้ ลุ่มผ้สู นใจได้เรยี นรู้และรบั ทราบ ๓. นาวธิ ีการอภิปรายไปใช้ในการประชุม ปรกึ ษาหารือ วางแผน และแกป้ ญั หาต่าง ๆ ของหน่วยงาน ๔. นาไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อฝึกให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า รู้จักใช้เหตุผล และรู้จัก วธิ กี ารทางานร่วมกับผู้อ่นื ๕. เปดิ โอกาสใหบ้ ุคคลต่าง ๆ ได้แสดงความคดิ เหน็ รว่ มกนั ๔.๓ การพูดจงู ใจ ๔.๓.๑ คุณลักษณะของผู้พูดเพอ่ื จงู ใจ ในที่นี้จะเน้นท่ีบุคลิกภาพ การแสดงออก การสื่อภาษา กิริยาอาการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เวลา ผ้โู นม้ นา้ วจติ ใจควรมลี ักษณะดงั น้ี ๑. ต้องมีบุคลิกดี การยืน การน่ัง การเดิน ต้องม่ันคง มีพลัง จริงจังจริงใจ เข้มแข็ง แต่งกายดี เหมาะสม ๒. ใช้คาพูดท่ีหนักแน่น คลอ่ งแคลว่ รวดเรว็ กระชับ ชดั เจน เสียงดงั มีพลัง ชดั เจนแต่ไมห่ ้วน มีสี ยงสูง–ต่า กระตือรือรน้ ๓. สายตามั่นคง กลา้ เผชญิ หน้า หรือสบสายตากบั คูส่ นทนา ไมก่ ้มหน้าหรอื หลบสายตา ๔. พรั่งพร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อให้คาพูดมีน้าหนักผู้จูงใจต้องเตรียมสื่อ เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ จากแหล่งข้อมลู ทีเ่ ชอื่ ถือไดเ้ พือ่ ประกอบการพดู ๕. มที า่ ทางการแสดงออกที่เหมาะสม มกี ารใชอ้ วัจนภาษาประกอบการพูดเพือ่ ให้การพดู มนี ้าหนักนา่ เชอ่ื ถือ ๔.๓.๒ ขอ้ ควรคานงึ ในการสรา้ งแรงจูงใจ ก่อนท่ีจะพูดจูงใจใคร ผู้พูดต้องคานึงถึงหลักการบางอย่างเก่ียวกับคนเพ่ือไม่ให้การจูงใจกลายเป็นแรง กดดันและสรา้ งปญั หาให้กบั ผู้พูด ๑. เขา้ ใจธรรมชาตขิ องคน ๒. การรบั รู้ การเรยี นรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ และคา่ นยิ มของคน คนทุกคนมีความคิด ความรู้สึก ความเช่ือ ความชอบ ความศรัทธา และความสนใจท่ีแตกต่างกัน ดังน้ัน วธิ ีการพดู จงู ใจแตล่ ะคนจึงไม่เหมอื นกัน เรื่องท่คี วรพดู เพื่อการจงู ใจ ไดแ้ ก่ (๑) การรักษาสทิ ธิ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือหมู่คณะ (๒) ความศรัทธา ความรกั ความชอบ ความเชื่อถอื ความเช่ือต่อส่งิ ใดสง่ิ หนึง่ (๓) แนวทางท่จี ะช่วยแก้ปญั หา ความลาบาก ความทกุ ข์ยาก หรือความเดอื ดรอ้ นต่าง ๆ (๔) ปลกุ กาลงั ใจให้เข้มแข็ง ไม่ทอ้ แท้ ทอ้ ถอย หรือจูงใจใหร้ วมพลงั (๕) ปรับเปล่ยี นความคดิ เปลีย่ นวิถีการใช้ชวี ติ ในการทางาน สังคมและบุคคลรอบขา้ ง ๔.๔ การเปน็ พธิ กี ร ๔.๔.๑ การสร้างความเชอ่ื มัน่ ในการเปน็ พิธีกร ๔.๔.๒ บุคลกิ ภาพของพิธกี ร ๔.๔.๓ หน้าท่ีของพธิ ีกร ๔.๔.๔ การใช้คาพูดของพิธีกร ๔.๕ การสัมภาษณ์ 17

๔.๕.๑ จดุ ม่งุ หมายของการสัมภาษณ์ ๔.๕.๒ ขอ้ ควรปฏิบัติในการสัมภาษณ์ ๑. ตัง้ คาถามให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ๒. ต้องใชภ้ าษาท่สี ุภาพ เชน่ ขอประทานโทษ ขอเรียนถาม กรุณาเลา่ ฯลฯ ๓. รักษาเวลาในการสัมภาษณ์ ๔. จัดสถานทีแ่ ละเคร่อื งอานวยความสะดวกในการสัมภาษณใ์ หพ้ ร้อม ๔.๖ การพูดตอ้ นรบั ผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชา ๔.๔.๑ การเตรยี มตวั ต้อนรบั ผู้ใตบ้ งั คับบัญชา ๔.๔.๒ เมื่อผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชามารายงานตวั กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ่ี ๘/๑๘ คาบที่ ๒๒–๒๔/๕๔) ๑. ครูอธบิ ายจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๔ และสอดแทรกความรเู้ ร่ืองคุณธรรม จริยธรรม เศรษฐกิจพอเพียง/คา่ นิยม 12 ประการ ๒. ครทู ดสอบความรขู้ องนกั ศึกษากอ่ นเรยี น ๓. ใหน้ กั ศึกษายกตวั อยา่ งการพูดตา่ ง ๆ ๔. ครูสอนและอธิบายเนอ้ื หาสาระขอ้ ๔.๑-๔.๓ ๕. นกั ศึกษาช่วยกันสรปุ เรอื่ งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๖. นกั ศกึ ษาทาแบบฝึกหัด/กิจกรรมเสริม ๗. ครูและนักศกึ ษารว่ มกนั ประเมนิ การเรียนรตู้ ามสภาพจริง กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ท่ี ๙/๑๘ คาบที่ ๒๕–๒๗/๕๔) ๑. ครอู ธิบายทบทวนเนอื้ หา ๒. ใหน้ กั ศึกษายกตวั อยา่ งการนาเสนอข้อมลู ของงานต่าง ๆ ในวทิ ยาลัย ๓. ครสู อนและอธบิ ายเนอ้ื หาสาระขอ้ ๔.๔-๔.๕ ๔. นักศกึ ษาชว่ ยกนั สรุปเรือ่ งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๕. นักศกึ ษาทาแบบฝกึ หดั ๖. ครทู ดสอบความรขู้ องนักศกึ ษาหลังเรียน ๗. ครูและนักศึกษาร่วมกนั ประเมนิ การเรยี นรู้ตามสภาพจริง ส่อื การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น ๒. ใบเนอ้ื หาหน่วยท่ี ๔ ๓. แบบฝกึ หัดหนว่ ยที่ ๔ ๔. ใบกิจกรรมเสริม ๕. แบบประเมินกจิ กรรมและแบบประเมนิ คณุ ธรรม จริยธรรม การวดั ผลและประเมินผล (ไว้เปรยี บเทยี บกับคะแนนสอบหลงั เรียน) การวัดผล (ใช้เครื่องมอื ) การประเมินผล (นาผลเทียบกบั เกณฑ์และแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre–test) หน่วยที่ ๔ 18

๒. แบบสงั เกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลุม่ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๓. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ ๔ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลังเรยี น (Post–test) หนว่ ยที่ ๔ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๕. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจรงิ เกณฑ์ผา่ น ๖๐% งานท่ีมอบหมาย งานท่ีมอบหมายนอกเหนือเวลาเรียน จัดเตรียมเร่ืองการพูดในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามเน้ือหาหัวข้อใน หน่วยท่ี ๕ จัดเป็นกลมุ่ ๆ ละ ๒-๓ คน ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผเู้ รียน ผลการทาแบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ ๔ ผลการประเมนิ จิตพิสยั คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (Post–test) เอกสารอ้างองิ ๑. หนงั สือเรียนวิชาภาษาไทยเพ่อื สื่อสารในงานอาชีพ รหสั วชิ า ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เวบ็ ไซต์และส่ือสิง่ พมิ พ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับเน้ือหาบทเรียน 19

รหัสวชิ า ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๕ สปั ดาห์ท่ี ๑๐-๑๑ วชิ าวชิ า ภาษาไทยเพอ่ื สอ่ื สารในงานอาชพี จานวน ๖ ช่วั โมง เรอ่ื ง การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ของสังคม หวั ข้อเรื่อง ๕.๑ การกลา่ วคาแนะนา ๕.๒ การกลา่ วให้เกยี รตหิ รือมอบรางวัล ๕.๓ การกล่าวตอบรบั การรบั มอบรางวลั ๕.๔ การกลา่ วตอ้ นรบั ๕.๕ การกลา่ วตอบการต้อนรับ ๕.๖ การกลา่ วเขา้ รับตาแหน่งใหม่ ๕.๗ การกลา่ วรายงาน๕.๘ การกลา่ วเปดิ งาน ๕.๙ การกล่าวคาอวยพร ๕.๑๐ การกลา่ วตอบรับคาอวยพร ๕.๑๑ การกล่าวคาไว้อาลัย ๕.๑๒ การกลา่ วคาอาลา สมรรถนะย่อย เลอื กใชถ้ ้อยคา สานวนภาษาไทยเพ่ือพูดในโอกาสต่าง ๆ ของสังคมตามหลกั การ วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ๑. บอกการกลา่ วคาแนะนาได้ ๒. บอกการกล่าวให้เกียรตหิ รือมอบรางวลั ได้ ๓. บอกการกลา่ วตอบรบั การรับมอบรางวัลได้ ๔. บอกการกล่าวต้อนรับได้ ๕. บอกการกลา่ วตอบการตอ้ นรับได้ ๖. บอกการกล่าวเขา้ รับตาแหน่งใหมไ่ ด้ ๗. บอกการกล่าวรายงานได้ ๘. บอกการกล่าวเปดิ งานได้ ๙. บอกการกลา่ วคาอวยพรได้ ๑๐. บอกการกล่าวตอบรบั คาอวยพรได้ ๑๑. บอกการกลา่ วคาไวอ้ าลยั ได้ ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงตอ่ เวลา ประหยดั ความมนี ้าใจ และแบง่ บนั มสี ติ รตู้ ัวรู้คิดรู้ทา เนอ้ื หาสาระ ๕.๑ การกล่าวคาแนะนา ๕.๑.๑ หลกั การกลา่ วคาแนะนา ๕.๑.๒ ขนั้ ตอนในการแนะนา ๕.๒ การกลา่ วให้เกียรตหิ รือมอบรางวัล ๕.๒.๑ กลา่ วถงึ เหตุผลในการมอบ ควรช้ีแจงให้ชัดเจนเพอ่ื เป็นการแสดงวา่ ผใู้ ห้เกยี รติหรือมอบ รางวลั ตระหนักถึงความดนี ้ันอย่างแท้จริงและเพ่ือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติคณุ แกผ่ ไู้ ด้รับรางวัลนนั้ ๕.๒.๒ แสดงความพอใจและความเหมาะสมของรางวลั นนั้ ตอ่ ผู้ได้รบั โดยกลา่ วถึงความดี ความ สาเร็จ หรอื ความสามารถของผไู้ ดร้ บั รางวลั ๕.๒.๓ มอบของขวัญหรือรางวัล เมอ่ื ได้กลา่ วต่อผู้ฟงั จบแล้ว โดยหันไปพูดกบั ผรู้ ับโดยตรงดว้ ย เสียงที่ดงั พอให้ได้ยินทว่ั กัน พร้อมกบั มอบของขวญั หรอื ของรางวัลให้ ๕.๓ การกล่าวตอบรบั การรับมอบรางวัล 20

๕.๓.๑ แสดงความขอบคุณ แสดงความพอใจในของขวัญหรือรางวลั นั้นด้วยภาษางา่ ย ๆ ชัดเจน จริงใจ ๕.๓.๒ ถอ่ มตนและยกย่องผูร้ ่วมงาน ไมค่ วรโอ้อวดความสามารถของตนจนเกนิ ไปและไม่ควร ถ่อมตนจนไรค้ วามหมาย ควรสรรเสริญชมเชยผรู้ ่วมงานท่ไี ดช้ ว่ ยเหลอื จนเป็นผลสาเรจ็ ๕.๓.๓ สรรเสรญิ ผ้ใู ห้ของขวัญหรอื รางวลั ควรกล่าวดว้ ยความสุจริตใจ กล่าวถึงผลงานและความ ปรารถนาดีตา่ ง ๆ ๕.๓.๔ กล่าวสรปุ โดยเนน้ ถึงความพอใจท่ีได้รับของขวญั หรือรางวลั นนั้ ถ้ารางวัลนนั้ ช้นิ ไม่ใหญ่ มากก็ควรยกขน้ึ มาแสดงให้ผู้อืน่ ชมทว่ั กนั ๕.๔ การกล่าวตอ้ นรับ เมอื่ มบี ุคคลสาคัญหรือคณะบุคคลมาประชมุ หรอื มาเย่ยี มเยือน อาจมีการกลา่ วต้อนรับเพ่ือแสดง ความปรารถนาดีและเพ่อื ให้ผู้มาเยือนรู้สึกอบอุน่ ใจ การพดู ไม่ควรจะยาวนัก มีการเตรยี มลว่ งหน้า การพดู ต้อนรับ มักจะเป็นพธิ ีการมากกวา่ การกลา่ วคาแนะนาจึงมหี ลักเกณฑด์ งั นี้ ๑. กล่าวแสดงความยินดตี ่อผมู้ าเยอื น ๒. กลา่ วสรรเสรญิ หรือยกยอ่ งผมู้ าเยือน โดยอธบิ ายหนว่ ยงานย่อ ๆ เชน่ มผี ลงาน ดเี ด่นอะไร มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งไรกบั ผู้ต้อนรบั เปน็ ต้น ๓. แสดงความยินดที ี่ได้ให้การต้อนรบั ควรกลา่ วเพยี งส้ัน ๆ ย้าการต้อนรบั อกี ครัง้ หนึ่ง ๔. ขออภยั หากการต้อนรับขาดตกบกพร่อง และหวังว่าผ้มู าเยือนจะกลับมาเยือน อกี ๕.๕ การกลา่ วตอบการต้อนรบั เมอื่ มีการกลา่ วต้อนรบั ควรจะมีการกล่าวขอบคุณใหส้ อดคล้องกับการกล่าวต้อนรับน้ัน ๆ และ เพื่อความไม่ประมาทควรเตรียมตวั ไว้ล่วงหนา้ ดังนี้ ๑. แสดงความยนิ ดที ี่ไดม้ าเยอื น ๒. แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อเกียรติทีไ่ ด้รบั ๓. กลา่ วยกย่องสรรเสรญิ ฝ่ายที่ให้การต้อนรับ กลา่ วถึงช่อื เสยี งขององค์กรหรอื คณุ งามความดีของสถาบนั น้ัน ๆ ๔. กลา่ วถงึ ประโยชนท์ ไ่ี ด้จากการเยี่ยมเยือนครั้งนี้ โดยเนน้ จดุ เด่น ๆ ๕. กล่าวเชือ้ เชญิ ผู้ต้อนรบั ไปเยือนตนบา้ ง ๕.๖ การกลา่ วเข้ารับตาแหนง่ ใหม่ เมื่อมีการเปลย่ี นแปลงตาแหน่งหน้าทก่ี ารงาน ผูท้ ี่ไดร้ บั ตาแหน่งใหม่ โดยเฉพาะผ้ทู ่เี ปน็ หัวหน้า ควรจะเรียกผูใ้ ต้บังคบั บญั ชามาประชมุ เพ่ือแถลงนโยบายและแผนการดาเนนิ งานตลอดจนทัศนคติ ความรู้ ความคดิ ของผรู้ บั ตาแหนง่ ใหม่ แนวทางในการกลา่ วเข้ารับตาแหน่งใหม่มดี ังนี้ ๑. กลา่ วแสดงความยนิ ดีทีไ่ ด้มโี อกาสมาทางานรว่ มกับคณะผู้ใตบ้ ังคับบญั ชา ๒. กลา่ วยกย่องคณุ ค่าของสถานทท่ี ี่ตนมาปฏิบัติงาน ๓. กล่าวถึงหลักการ นโยบาย อุดมคติในการทางานของตน ๔. พูดใหค้ วามสาคญั แก่ผู้ใต้บงั คับบญั ชาทกุ คนและเชญิ ชวนใหม้ ารว่ มใจในการ ทางานเพื่อความก้าวหน้าของหน่วยงาน ๕.๗ การกล่าวรายงาน 21

การกลา่ วรายงานและการกล่าวเปดิ งาน คณะกรรมการจดั งานต้องเตรยี มไว้ลว่ งหน้า เป็นการพดู แบบอา่ นจากต้นฉบับ เพื่อเป็นการปอ้ งกนั ความผิดพลาดต่าง ๆ ไม่ใหเ้ กดิ ขึน้ เพราะคณะกรรมการจัดงานย่อม ทราบความเป็นมา วัตถปุ ระสงค์ในการจดั งาน จึงต้องเตรียมคากล่าวทัง้ สองฉบับไว้ลว่ งหน้า จดั พมิ พใ์ หเ้ รียบร้อย และตอ้ งให้ผกู้ ล่าวอ่านเพื่อเตรยี มตัวกอ่ นถึงวันงาน คากลา่ วรายงานควรมเี นือ้ หาดังนี้ ๑. ผู้กล่าวรายงานกล่าวปฏสิ นั ถารผูเ้ ป็นประธานเปิดงาน ๒. กล่าวแสดงความขอบคุณประธานในพิธที ใ่ี หเ้ กียรติมาเปน็ ประธานเปิดงาน ๓. กล่าวถงึ ความเป็นมาและวตั ถุประสงคข์ องการจดั งาน ๔. กลา่ วถึงผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั เม่ือจัดกิจกรรมนี้ (ถ้าม)ี ๕. กลา่ วเชญิ ประธานในพิธเี ปดิ งาน ๕.๘ การกล่าวเปิดงาน คากล่าวเปิดงาน คณะกรรมการจดั งานควรเตรียมไว้ล่วงหน้าและควรพิมพ์ใหป้ ระธานในพธิ ไี ด้ อา่ นก่อนถึงวันงาน ซ่ึงประธานในพิธีอาจตัดหรือเพิม่ เติมบางส่วน หรอื ประธานอาจกลา่ วสดตอนพธิ เี ปิดงานก็ได้ คากลา่ วเปดิ งานควรมีเน้อื หาดงั น้ี ๑. กล่าวปฏิสันถารต่อผู้กล่าวรายงานและผูม้ าร่วมพิธี ๒. กล่าวแสดงความรสู้ กึ เปน็ เกียรตทิ ่ีไดร้ บั เชิญมาเปน็ ประธานเปดิ งาน ๓. แสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั การจดั งานและประโยชนท์ จี่ ะได้รับจากการจัดงาน ในครั้งนน้ั ๔. กลา่ วอวยพรและกลา่ วเปดิ งาน ๕.๙ การกลา่ วคาอวยพร การกล่าวอวยพรนอกจากคานงึ ถงึ โอกาสแล้ว ยงั ตอ้ งคานงึ ถึงบคุ คลท่จี ะรับพรวา่ เปน็ ผู้อยู่ใน ฐานะใด เป็นคนเสมอกัน เป็นผมู้ ีอาวโุ สสูงกว่าหรือต่ากวา่ ผู้พดู เป็นพรท่ใี ห้เปน็ รายบุคคลหรือใหแ้ กห่ มู่คณะ ทงั้ นี้ เพ่อื จะได้เลือกใชถ้ ้อยคาให้ถกู ตอ้ งเหมาะสมเป็นรายกรณีไป ๕.๙.๑ กล่าวอวยพรงานมงคลสมรส ๕.๙.๒ กลา่ วอวยพรวันคล้ายวนั เกดิ ๕.๙.๓ กลา่ วอวยพรงานทาบญุ ข้ึนบ้านใหม่ ๕.๑๐ การกลา่ วตอบรบั คาอวยพร ผทู้ ี่ได้รับการกลา่ วอวยพรควรกล่าวตอบขอบคุณเพื่อแสดงมารยาทอันดงี ามและนอ้ มรบั คาอวย พรน้ัน การกล่าวตอบรบั คาอวยพรมีแนวทางดงั นี้ ๑. ขอบคุณผู้ที่มารว่ มงานทุกคนและซาบซ้ึงทใี่ ห้เกียรติมาในงานและขอบคุณผูม้ ีสว่ นร่วมใน การจัดงาน ๒. ขออภัยหากการต้อนรบั หรือมีส่ิงใดขาดตกบกพรอ่ ง ๓. ขอใหส้ นุกสนานกนั จนกระทัง่ งานเลกิ ๕.๑๑ การกลา่ วคาไว้อาลัย ๕.๑๑.๑ การกลา่ วไว้อาลัยผูต้ าย มหี ลกั เกณฑด์ ังน้ี ๑. กล่าวแสดงความเสยี ใจแก่ครอบครัวผ้ทู ีเ่ สียชีวิต ๒. สรรเสริญผเู้ สยี ชวี ิตโดยบอกเล่าถึงประวัติ ผลงานดเี ดน่ คณุ งามความดีของผตู้ าย ๓. ความรักความอาลัยของผูท้ ีอ่ ยูเ่ บ้ืองหลงั ในอนั ตอ้ งสญู เสียบุคคลอันเปน็ ทร่ี ักไป ๔. แสดงความหวังวา่ วญิ ญาณของผู้ตายจะไปสูส่ คุ ติภพ 22

๕.๑๑.๒ กลา่ วไว้อาลยั ผจู้ ากไปรับตาแหนง่ ใหม่ มีแนวทางดังน้ี ๑. แสดงความอาลยั ท่ตี ้องจากกนั หลงั จากได้ร่วมทางานจนค้นุ เคย รักใคร่กัน แต่กย็ นิ ดีที่ ผ้รู ่วมงานไดเ้ ล่ือนตาแหนง่ สูงขึ้นและมีอนาคตสดใสร่งุ โรจน์ ๒. ยกยอ่ งสรรเสรญิ คณุ งามความดขี องบุคคลทไ่ี ด้เล่ือนตาแหนง่ ๓. กลา่ วอวยพรแก่ผทู้ ่ีไดร้ ับตาแหนง่ ใหม่ให้ไดร้ ับตาแหน่งท่ีสงู ขน้ึ และประสบผลสาเร็จในการ ทางาน ๔. มอบของขวัญหรอื ของทรี่ ะลึกแก่ผู้ที่ได้รบั ตาแหน่งใหม่ ๕.๑๒ การกลา่ วคาอาลา ผู้ทตี่ อ้ งจากสถานที่ทีเ่ คยทางานอยเู่ พื่อไปรบั ราชการ หรอื ประกอบธุรกจิ หรือไปประจาทางาน ณ สถานที่อื่น ผทู้ ่ีใกล้ชิดหรอื เพื่อนฝูงอาจจัดให้มีงานเล้ียงส่ง อาจมีการมอบของขวัญ ของทีร่ ะลกึ ในงานนผ้ี ู้ไดร้ บั การเลีย้ งสง่ ควรกลา่ วขอบคุณและกลา่ วอาลา โดยมีแนวทางดังนี้ ๑. แสดงความเสยี ใจท่ตี ้องจากไป ๒. สรรเสริญคณะผู้จดั งานหรือรว่ มเลยี้ งส่งอย่างจริงใจ ๓. คาดหมายความสมั พนั ธ์อันดที ี่จะยังคงมีตลอดไป กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ที่ ๑๐/๑๘ คาบท่ี ๒๘–๓๐/๕๔) ๑. ครอู ธิบายจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ หน่วยที่ ๕ และสอดแทรกความรู้เร่ืองคุณธรรม จรยิ ธรรม เศรษฐกิจพอเพียง/ค่านิยม 12 ประการ ๒. ครูทดสอบความรู้ของนักศึกษาก่อนเรยี น ๓. ให้นกั ศกึ ษายกตวั อยา่ งการพดู ต่าง ๆ ๔. ครูสอนและอธบิ ายเน้ือหาสาระข้อ ๕.๑-๕.๖ ๕. นักศกึ ษาช่วยกนั สรุปเรอ่ื งโดยใช้การถามตอบจากครู ๖. นกั ศกึ ษาทา กจิ กรรมเสรมิ (ตามการมอบหมายงานของการสอนคร้งั ท่ี ๙) ๗. ครแู ละนกั ศึกษาร่วมกันประเมินการเรียนรตู้ ามสภาพจริง กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่ี ๑๑/๑๘ คาบที่ ๓๑–๓๓/๕๔) ๑. ครูอธิบายทบทวนเนื้อหา ๒. ให้นักศึกษายกตวั อยา่ งการนาเสนอข้อมูลของงานต่าง ๆ ในวิทยาลยั ๓. ครสู อนและอธบิ ายเน้ือหาสาระข้อ ๕.๗-๕.๑๒ ๔. นกั ศึกษาช่วยกันสรุปเรอ่ื งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๕. นักศกึ ษาทากจิ กรรมเสรมิ ตามการมอบหมายงาน ๖. ครูทดสอบความร้ขู องนักศึกษาหลงั เรยี น ๗. ครแู ละนกั ศึกษาร่วมกันประเมินการเรียนรตู้ ามสภาพจริง ส่ือการเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ๒. ใบเนื้อหาหนว่ ยที่ ๕ ๓. แบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี ๕ ๔. ใบกิจกรรมเสรมิ ๕. แบบประเมินกจิ กรรมและแบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม 23

การวดั ผลและประเมนิ ผล การวัดผล (ใชเ้ คร่ืองมือ) การประเมนิ ผล (นาผลเทียบกบั เกณฑแ์ ละแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre–test) หนว่ ยที่ ๕ (ไวเ้ ปรยี บเทียบกบั คะแนนสอบหลงั เรยี น) ๒. แบบสงั เกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลมุ่ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๓. แบบฝกึ หดั หน่วยท่ี ๕ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลงั เรียน (Post–test) หน่วยท่ี ๕ เกณฑ์ผา่ น ๕๐% ๕. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจรงิ เกณฑ์ผ่าน ๖๐% งานที่มอบหมาย งานที่มอบหมายนอกเหนือเวลาเรียน จัดเตรยี มตวั อย่างเร่ืองการเขยี นเพ่ือติดตอ่ กิจธรุ ะ เป็นกล่มุ ๆ ละ ๒-๓ คน ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสาเรจ็ ของผ้เู รียน ผลการทาแบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี ๕ ผลการประเมินจติ พิสยั คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post–test) เอกสารอา้ งอิง ๑. หนงั สือเรยี นวชิ าภาษาไทยเพือ่ ส่ือสารในงานอาชีพ รหัสวิชา ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เว็บไซต์และสือ่ ส่ิงพิมพ์ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั เน้ือหาบทเรียน 24

รหัสวิชา ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๖ สปั ดาห์ที่ ๑๒-๑๓ วชิ าวิชา ภาษาไทยเพื่อส่อื สารในงานอาชีพ จานวน ๖ ช่วั โมง เรอื่ ง การเขียนเพ่ือติดตอ่ กิจธุระ หัวข้อเร่อื ง ๖.๑ การเขียนจดหมายกิจธรุ ะ ๖.๒ การเขยี นจดหมายสมคั รงาน ๖.๓ การเขยี นโครงการ สมรรถนะย่อย เขียนตดิ ต่อกจิ ธรุ ะตามหลกั การ วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม ๑. อธบิ ายการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะได้ ๒. เขียนจดหมายสมคั รงานตามสถานการณ์ทก่ี าหนดได้ ๓. เขียนโครงการได้ ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง แสดงออกดา้ นความสนใจใฝร่ ู้ การตรงตอ่ เวลา ประหยดั ความมนี า้ ใจ และแบง่ บัน มีสติ ร้ตู ัวรคู้ ดิ รู้ทา เนื้อหาสาระ ๖.๑ การเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ จดหมายกิจธุระมีหลายประเภท เช่น จดหมายสมัครงาน จดหมายเชิญ จดหมายลา จดหมาย แสดงความยินดี และจดหมายแสดงความเสียใจ เป็นต้น การเขียนจดหมายกิจธุระมีรูปแบบค่อนข้างเป็นทางการ ตามแบบหนงั สือราชการภายนอก จงึ มลี กั ษณะตามแบบสากลนิยม มีสว่ นประกอบดังนี้ ๖.๑.๑ สว่ นตน้ ของจดหมาย ๑. ท่ีอยู่ หมายถึง สถานที่เขียนจดหมายอาจเป็นที่ทางาน ทบี่ ้าน พร้อมเขยี นสถานท่ีตง้ั ให้ชดั เจน มีความละเอียดพอสมควร โดยเขยี นอยสู่ ่วนบนของจดหมาย ๒. วัน เดือน ปี คือ วัน เดือน ปี ที่เขียนจดหมาย เช่น ๙ มกราคม ๒๕๕๘ โดยเขียนไว้กลาง หนา้ กระดาษ ๓. คาข้ึนตน้ ประกอบด้วย ๓ สว่ น คือ เรือ่ ง เรียน และส่ิงที่ส่งมาดว้ ย ๓.๑ เร่ือง หมายถึง ชื่อเร่ืองตามจุดประสงค์ในการเขียนจดหมาย เขียนด้วยข้อความ กะทัดรัด อ่านแล้วเขา้ ใจง่าย เชน่ เรอื่ ง ขอเชญิ เปน็ วิทยากร เรือ่ ง ขออนุเคราะหเ์ ขา้ เยย่ี มชมโรงงาน ๓.๒ เรียน หมายถงึ ชื่อตาแหนง่ หรือชอ่ื บุคคลทจี่ ะสง่ จดหมายถึง เช่น เรยี น ผอู้ านวยการวทิ ยาลยั ... เรยี น คุณนิยม รักงาน เรียน ผู้จดั การบรษิ ทั พิมานปร๊ินตงิ จากัด 25

๓.๓ สิ่งที่ส่งมาด้วย หมายถึง การส่งเอกสารต่าง ๆ ที่ส่งมาพร้อมจดหมายฉบับนี้ ซ่ึง อาจจะไมม่ กี ็ได้ ถ้าสง่ิ ท่สี ่งมาด้วยมากกว่าหน่งึ รายการใหเ้ รียงลาดบั รายการละหนึ่งบรรทดั เชน่ ส่ิงท่สี ่งมาดว้ ย ๑. ใบตอบรับ ๒. กาหนดการจัดงานมหศั จรรยเ์ มอื งสามอ่าว ๖.๑.๒ ส่วนเนอื้ เรือ่ งของจดหมาย ส่วนเน้อื เร่อื งของจดหมาย หมายถงึ ขอ้ ความที่เป็นสาระสาคัญของจดหมาย มีลักษณะการเขียน อยู่ ๓ ลักษณะ คอื กล่าวถึงจดุ ประสงคก์ ารเขียนจดหมาย กลา่ วถงึ รายละเอียดที่ผเู้ ขยี นต้องการใหผ้ รู้ ับปฏิบัติ และ กล่าวขอบคณุ หรือแสดงความหวงั ที่จะได้รบั ความช่วยเหลอื หรอื รว่ มมอื ๖.๑.๓ ส่วนท้ายของจดหมาย ๑. คาลงท้าย ตรงกับตาแหนง่ ของวันท่ี โดยทัว่ ไปใชค้ าลงทา้ ยวา่ ขอแสดงความนบั ถือ ๒. ลายเซ็น คอื ลายเซ็นของผ้เู ขียนจดหมายหรือผลู้ งนามในจดหมาย ๓. ช่ือตัวบรรจง คือ ชื่อ – นามสกุล ในวงเล็บของผู้ลงนามในจดหมาย โดยเขียน นาย นาง นางสาว หนา้ ชอ่ื เต็ม หากมีบรรดาศักดิ์ ฐานนั ดรศักด์ิ ให้เขียนนาหน้าชื่อเต็มด้วย ๔. ตาแหนง่ เป็นตาแหน่งของผลู้ งนาม ระบุตาแหนง่ ให้ช่อื ตัวบรรจง ๖.๒ การเขียนจดหมายสมคั รงาน ๖.๒.๑ ขอ้ ควรคานึงในการเขยี นจดหมายสมัครงาน ๖.๒.๒ ประเภทของจดหมายสมคั รงาน ๑. จดหมายสมัครงานท่ีให้รายละเอียดไปในจดหมาย มักใช้สาหรับผู้ท่ีเพิ่งจบการศึกษาและยังไม่มี ประสบการณใ์ นการทางานมากอ่ น ๒. จดหมายสมคั รงานทมี่ ีประวัตยิ อ่ แนบไปด้วย ใช้ในกรณที ผี่ ู้สมัครงานมีขอ้ มลู ประวัติ ส่วนบุคคล ประวัติการศึกษา ประวัติการทางาน ความสามารถพิเศษ ตลอดจนรายละเอียดอ่ืนที่สมควรเสนอให้ พจิ ารณามาก สว่ นใหญม่ ักใช้สาหรับผู้มีประสบการณก์ ารทางานมากอ่ น ๖.๒.๓ ส่วนประกอบของจดหมายสมัครงาน ๑. ส่วนนาหรอื อารมั ภบท ผู้สมัครบอกแหลง่ ที่มาของการรับสมัครงาน ความสนใจในการสมัคร บอก ถึงวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของจดหมายโดยระบุตาแหน่งท่ีต้องการสมัครให้ชัดเจน ควรใช้ภาษาท่ีแสดงถึง ความเชื่อม่ันในตนเองแตไ่ ม่ใชโ่ ออ้ วด ๒. รายละเอียดส่วนตัวและการศึกษา เป็นการแนะนาประวัติส่วนตัวเริ่ มจากชื่อ–สกุล อายุ สถานภาพ สาเรจ็ การศึกษาดา้ นใด ผลการศกึ ษา ความสามารถท่ีเหมาะสมกับงานในหน้าท่ีและสุขภาพ ๓. ประสบการณ์ ผู้สมัครต้องช้ีแจงประสบการณ์การทางานว่าเคยทางานตาแหน่ง หน่วยงานใด เหตผุ ลท่ีออกจากงาน หากเพ่ิงสาเร็จการศึกษาใหแ้ จ้งประสบการณก์ ารฝกึ งานทใี่ ด ตาแหนง่ อะไร ระยะเวลาเท่าไร หรอื เคยมีกจิ กรรมเสรมิ หลักสตู รใดทีเ่ ดน่ และมีสว่ นสมั พนั ธก์ ับงาน เพราะจะเสรมิ ให้ประวัตขิ องผสู้ มัครนา่ สนใจขน้ึ ๔. ผู้รับรอง ควรเป็นบุคคลที่สังคมยอมรับว่าเชื่อถือได้ หากเพิ่งจบการศึกษาอาจอ้างถึงอาจารย์ที่ คุ้นเคยให้รับรองได้ หากผสู้ มคั รจะอ้างใครเปน็ ผู้รบั รองต้องขออนญุ าตผู้นน้ั ก่อน ผู้รับรอง คือ บุคคลที่ผู้จ้างสามารถสอบถามถึงความรู้ ความสามารถ ลักษณะนิสัย ความประพฤติ และ รายละเอียดอืน่ ๆ เกย่ี วกบั ผสู้ มคั รได้ ผู้รบั รองควรมไี ม่นอ้ ยกว่า ๓ คน และตอ้ งไม่ใช่ญาติ การอ้างผรู้ บั รองต้องแจ้ง ชอ่ื –สกลุ ตาแหน่งงาน สถานที่ทางานหรือท่ีอยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ ให้ชัดเจน 26

๕. ส่วนท้ายหรือสรปุ ใช้สานวนขอรอ้ งใหไ้ ด้มีโอกาสรับการพจิ ารณา โดยบอกถึงความพรอ้ มสาหรับ มารบั การสัมภาษณ์หรอื ทดลองปฏบิ ัตงิ าน และแสดงหลักฐานอน่ื ๆ ๖.๓ การเขยี นโครงการ ๖.๓.๑ ความสาคญั ของโครงการ ๖.๓.๒ ลกั ษณะของโครงการทด่ี ี ๖.๓.๓ เทคนคิ การเขียนโครงการ ๖.๓.๔ เกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกโครงการ ๖.๓.๕ ส่วนประกอบของโครงการแบบดง้ั เดิมหรอื แบบประเพณนี ยิ ม ๖.๓.๖ การใชภ้ าษาในการเขียนโครงการ กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ่ี ๑๒/๑๘ คาบที่ ๓๔–๓๖/๕๔) ๑. ครอู ธบิ ายจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ หน่วยที่ ๖ และสอดแทรกความรเู้ รื่องคุณธรรม จริยธรรม เศรษฐกจิ พอเพียง/คา่ นิยม 12 ประการ ๒. ครทู ดสอบความร้ขู องนักศกึ ษาก่อนเรียน ๓. ให้นกั ศึกษายกตัวอย่างการพูดต่าง ๆ ๔. ครูสอนและอธิบายเนอื้ หาสาระข้อ ๖.๑-๖.๒ ๕. นกั ศกึ ษาชว่ ยกนั สรุปเรือ่ งโดยใช้การถามตอบจากครู ๖. นักศึกษาทา กจิ กรรมเสริม ๗. ครูและนักศกึ ษาร่วมกันประเมนิ การเรียนรู้ตามสภาพจริง กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ่ี ๑๓/๑๘ คาบที่ ๓๗–๓๙/๕๔) ๑. ครอู ธิบายทบทวนเนือ้ หา ๒. ใหน้ ักศกึ ษายกตวั อยา่ งการนาเสนอข้อมลู ของงานต่าง ๆ ในวิทยาลัย ๓. ครูสอนและอธิบายเนื้อหาสาระข้อ ๖.๓ ๔. นกั ศกึ ษาช่วยกนั สรุปเร่อื งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๕. นักศกึ ษาทากจิ กรรมเสริมตามการมอบหมายงาน ๖. ครูทดสอบความรขู้ องนักศึกษาหลงั เรียน ๗. ครูและนกั ศึกษารว่ มกันประเมนิ การเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ สอื่ การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ๒. ใบเนือ้ หาหน่วยที่ ๖ ๓. แบบฝกึ หดั หน่วยที่ ๖ ๔. ใบกจิ กรรมเสรมิ ๕. แบบประเมนิ กิจกรรมและแบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม การวดั ผลและประเมนิ ผล การวัดผล (ใชเ้ ครอื่ งมือ) การประเมนิ ผล (นาผลเทียบกับเกณฑ์และแปลความหมาย) 27

๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre–test) หนว่ ยท่ี ๖ (ไวเ้ ปรยี บเทยี บกบั คะแนนสอบหลงั เรียน) ๒. แบบสงั เกตการทางานกล่มุ และการนาเสนอผลงานกลุ่ม เกณฑ์ผ่าน ๕๐% ๓. แบบฝึกหัดหน่วยที่ ๖ เกณฑ์ผ่าน ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลังเรียน (Post–test) หนว่ ยที่ ๖ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๕. แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง เกณฑผ์ ่าน ๖๐% งานท่ีมอบหมาย งานท่ีมอบหมายนอกเหนือเวลาเรียน จัดเตรียมตัวอย่างเร่ืองการเขียนเพื่อติดต่อธรุ กิจ เป็นกลุ่ม ๆ ละ ๒- ๓ คน ผลงาน/ชนิ้ งาน/ความสาเรจ็ ของผู้เรยี น ผลการทาแบบฝกึ หัดหนว่ ยท่ี ๖ ผลการประเมินจิตพิสยั คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post–test) เอกสารอ้างองิ ๑. หนังสือเรียนวชิ าภาษาไทยเพื่อสอื่ สารในงานอาชีพ รหสั วิชา ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เว็บไซตแ์ ละสอื่ สิ่งพิมพท์ ีเ่ กยี่ วขอ้ งกับเนื้อหาบทเรยี น 28

รหัสวชิ า ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๗ สัปดาหท์ ่ี ๑๔-๑๕ วิชาวิชา ภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ จานวน ๖ ชัว่ โมง เรื่อง การเขียนเพ่ือติดตอ่ ธุรกจิ หวั ขอ้ เรื่อง จดหมายธุรกจิ ๗.๒ บันทกึ ๗.๑ รายงาน ๗.๔ รายงานการประชมุ ๗.๓ โฆษณา ๗.๖ การประชาสัมพันธ์ ๗.๕ คาขวัญ ๗.๗ สมรรถนะย่อย เขยี นติดตอ่ กจิ ธรุ ะตามหลักการ วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ๑. บอกการเขียนจดหมายธุรกิจได้ ๒. บอกการเขียนบนั ทึกได้ ๓. บอกการเขียนรายงานได้ ๔. บอกการเขยี นรายงานการประชมุ ได้ ๕. บอกการเขยี นการเขยี นคาโฆษณาได้ ๖. บอกการเขยี นการประชาสมั พนั ธไ์ ด้ ๗. บอกการเขียนคาขวญั ได้ ด้านคุณธรรม จริยธรรม/บรู ณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง แสดงออกดา้ นความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซือ่ สตั ย์ อดทน ความมีน้าใจ ความรว่ มมือ เน้อื หาสาระ ๗.๑ จดหมายธุรกิจ ๗.๑.๑ ประโยชนข์ องจดหมายธุรกจิ ๗.๑.๒ ลักษณะของจดหมายธรุ กิจทีด่ ี ๗.๑.๓ หลักการเขยี นจดหมายธรุ กิจ ๗.๒ บนั ทึก ๗.๒.๑ ประโยชนข์ องบนั ทึก ๗.๒.๒ ประเภทของบนั ทกึ ๗.๒.๓ สว่ นประกอบของบันทกึ ๗.๓ รายงาน ๗.๓.๑ ประโยชนข์ องรายงานธรุ กิจ ๗.๓.๒ ประเภทของรายงานธุรกิจ ๗.๓.๓ วิธีเสนอรายงาน 29

๗.๔ รายงานการประชุม ๗.๔.๑ ระเบยี บวาระการประชมุ ๗.๔.๒ วิธจี ดรายงานการประชุม ๗.๔.๓ การจดรายงานการประชมุ ๗.๔.๔ คณุ สมบัตขิ องผ้จู ดรายงานการประชุม ๗.๕ โฆษณา ๗.๕.๑ วตั ถุประสงค์ของการโฆษณา ๗.๕.๒ รูปแบบของการโฆษณา ๗.๖ การประชาสัมพนั ธ์ ๗.๖.๑ วัตถปุ ระสงค์ของการประชาสัมพันธ์ ๗.๖.๒ ประเภทของการประชาสมั พนั ธ์ ๗.๖.๓ หลกั การเขยี นเพอ่ื การประชาสมั พันธ์ ๗.๖.๔ สือ่ ที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ ๗.๗ คาขวัญ คาขวัญ คอื ถ้อยคาทแี่ ตง่ ข้ึนเพ่อื เตอื นใจหรอื เพือ่ ใหเ้ ป็นสิริมงคล หลักการเขยี นคาขวญั มดี งั น้ี ๑. ใช้ถอ้ ยคากะทัดรัด สละสลวย อาจมเี สยี งคล้องจองกนั ก็ได้ ๒. ใหข้ ้อคิดลึกซึ้งกนิ ใจ ๓. ใช้ถ้อยคาและขอ้ คิดสอดคล้องกบั โอกาสท่ีให้ เช่น การรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด รณรงค์ ให้รกั ษาความสะอาด รณรงคใ์ หว้ างแผนครอบครวั ฯลฯ ๔. ใชถ้ อ้ ยคาและขอ้ คิดเหมาะสมแก่ฐานะของผ้ใู ห้และผู้รับ กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ี่ ๑๔/๑๘ คาบท่ี ๔๐–๔๒/๕๔) ๑. ครูอธบิ ายจุดประสงค์การเรียนรู้ หน่วยท่ี ๗ และสอดแทรกความรเู้ รอ่ื งคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เศรษฐกจิ พอเพียง/ค่านิยม 12 ประการ ๒. ครทู ดสอบความรู้ของนักศึกษากอ่ นเรียน ๓. ใหน้ กั ศึกษายกตัวอยา่ งการพูดตา่ ง ๆ ๔. ครสู อนและอธบิ ายเน้อื หาสาระข้อ ๗.๑-๗.๔ ๕. นกั ศึกษาชว่ ยกันสรปุ เรือ่ งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๖. นกั ศึกษาทา กจิ กรรมเสรมิ ๗. ครแู ละนกั ศกึ ษารว่ มกันประเมนิ การเรียนรูต้ ามสภาพจริง กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ี่ ๑๕/๑๘ คาบท่ี ๔๓–๔๕/๕๔) ๑. ครูอธิบายทบทวนเน้อื หา ๒. ให้นักศึกษายกตวั อยา่ งการนาเสนอขอ้ มูลของงานต่าง ๆ ในวทิ ยาลัย ๓. ครูสอนและอธิบายเนอื้ หาสาระขอ้ ๗.๕-๗.๗ ๔. นักศึกษาช่วยกนั สรุปเร่ืองโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๕. นักศึกษาทากิจกรรมเสรมิ ตามการมอบหมายงาน 30

๖. ครูทดสอบความรู้ของนักศึกษาหลงั เรยี น ๗. ครูและนกั ศึกษารว่ มกันประเมินการเรยี นรูต้ ามสภาพจรงิ สอ่ื การเรียนการสอน ๑. แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน ๒. ใบเนื้อหาหนว่ ยที่ ๗ ๓. แบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ ๗ ๔. ใบกิจกรรมเสรมิ ๕. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม จรยิ ธรรม การวดั ผลและประเมินผล การวัดผล (ใช้เครอ่ื งมือ) การประเมินผล (นาผลเทยี บกับเกณฑ์และแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre–test) หนว่ ยที่ ๗ (ไว้เปรยี บเทยี บกบั คะแนนสอบหลงั เรียน) ๒. แบบสังเกตการทางานกลมุ่ และการนาเสนอผลงานกล่มุ เกณฑ์ผา่ น ๕๐% ๓. แบบฝึกหดั หนว่ ยที่ ๗ เกณฑผ์ า่ น ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลังเรยี น (Post–test) หน่วยท่ี ๗ เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๕. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ตามสภาพจริง เกณฑ์ผ่าน ๖๐% งานท่ีมอบหมาย งานทม่ี อบหมายนอกเหนือเวลาเรียน จดั เตรียมตัวอย่างเร่ืองการเขียนรายงานวิจัย กล่มุ ๆ ละ ๒-๓ คน ผลงาน/ช้นิ งาน/ความสาเรจ็ ของผเู้ รียน ผลการทาแบบฝึกหดั หน่วยที่ ๗ ผลการประเมินจิตพสิ ยั คะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post–test) เอกสารอา้ งอิง ๑. หนังสือเรยี นวชิ าภาษาไทยเพือ่ สอื่ สารในงานอาชพี รหัสวิชา ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เวบ็ ไซต์และส่ือส่งิ พมิ พ์ทีเ่ กีย่ วข้องกับเน้ือหาบทเรียน 31

รหสั วชิ า ๒๐๐๐ – ๑๑๐๑ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๘ สปั ดาหท์ ี่ ๑๖-๑๘ วิชาวิชา ภาษาไทยเพ่อื สื่อสารในงานอาชีพ จานวน ๙ ช่ัวโมง เรื่อง การเขยี นรายงานเชิงวิชาการและรายงานการวิจัย หัวขอ้ เรอื่ ง ๘.๑ การเขียนรายงานเชงิ วิชาการ ๘.๒ การเขียนรายงานการวจิ ยั สมรรถนะย่อย เขียนรายงานเชงิ วิชาการและรายงานการวิจยั ตามหลักการ วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. อธบิ ายและเขียนรายงานเชงิ วชิ าการได้ 2. อธิบายและเขียนรายงานการวจิ ัยได้ ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง แสดงออกด้านความสนใจใฝ่รู้ การตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ อดทน ความมีน้าใจ รักษาวัฒนธรรม ประเพณี เน้ือหาสาระ ๘.๑ การเขยี นรายงานเชิงวิชาการ ๘.๑.๑ วิธีเสนอรายงาน ๑. เสนอรายงานเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร เป็นวิธีทนี่ ิยมใช้มากทสี่ ุดเพราะเปน็ หลักฐานท่ีสามารถเกบ็ ไว้ เพอ่ื ศึกษาค้นควา้ และหาอ่านได้ ๒. เสนอรายงานด้วยปากเปล่า เป็นอีกวิธีหน่ึงที่นิยมกัน เป็นการแถลงถึงผลการศึกษาค้นคว้า โดย พูดเฉพาะประเด็นสาคัญและเปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ ังซักถามได้ ๓. เสนอรายงานด้วยรูปภาพหรือแผนภูมิต่าง ๆ ทางสถิติ พร้อมท้ังมีคาบรรยายส้ัน ๆ เพื่อช่วยให้ เกิดความเข้าใจงา่ ยข้นึ การเสนอรายงานอาจใช้ทั้ง ๓ วิธี มาผสมกันก็ได้คือทาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วนาเสนอด้วยวาจาขณะ นาเสนออาจมรี ปู ภาพ กราฟ แผนภมู ิ หรอื สถิติประกอบ ๘.๑.๒ ประเภทของรายงาน ๑. รายงานท่ัวไป เป็นรายงานข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเก่ียวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ความเคล่ือนไหว หรือสถานการณ์ที่ดาเนินไปแล้วหรือกาลังดาเนินอยู่ หรือจะดาเนินต่อไปให้ผู้สนใจได้ทราบ อาจเสนอเป็นลา ย ลักษณอ์ กั ษรหรอื ดว้ ยวาจาก็ได้ ๒. รายงานแสดงผลงาน เป็นรายงานท่ีพนกั งานเจ้าหน้าท่ีรายงานผลการปฏบิ ตั งิ านตอ่ ผู้บังคับบญั ชา หรือผู้เกยี่ วขอ้ งให้ทราบ ๓. รายงานเหตุการณ์ เป็นรายงานที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการตรวจตราควบคุมสถานการณ์ รายงานสภาพท่เี ป็นอย่หู รอื อาจเกิดข้ึนในอนาคตแก่ผู้บงั คับบัญชา 32

๔. รายงานเชิงวชิ าการทน่ี ยิ มศกึ ษามี ๒ ประเภท (๑) รายงานประจาภาค เป็นรายงานท่ีเรียบเรียงและรวบรวมจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง โดยเฉพาะ (๒) วิทยานิพนธ์ เป็นรายงานท่ีเรียบเรียงจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ลึกซ้ึง รอบคอบตามลาดับข้ันตอนของการวิจัย ประกอบด้วยความคิดเห็น ข้อเสนอแนะและวิธีดาเนินการ มุ่งฝึกฝนให้ รู้จกั วิธีการศึกษาค้นควา้ อย่างมรี ะเบียบ มเี หตผุ ล สามารถใชภ้ าษาได้รัดกมุ และถูกตอ้ ง ๘.๑.๓ จุดมุ่งหมายในการทารายงาน ๑. เพ่ือฝึกฝนให้นักศึกษามีนิสัยรักการเรียนและมีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วย ตนเอง ๒. เพ่ือส่งเสริมให้นักศึกษามีความคิดริเร่ิม รู้จักแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลโดยมีหลักฐาน อา้ งองิ และมรี ะเบียบแบบแผนในการทางาน ๓. เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่ตนสนใจหรือถูก กาหนดให้ศึกษาอย่างกวา้ งขวางลึกซ้ึงยง่ิ ขน้ึ ๔. เพื่อฝึกให้มีความรคู้ วามสามารถในการวิเคราะห์เร่ืองราวต่าง ๆ อยา่ งถกู ต้อง ๕. เพ่ือส่งเสริมและฝึกทักษะทางภาษาโดยสามารถประมวลความรู้และเรยี บเรียงความรคู้ วามคิดได้ อยา่ งเปน็ ระบบมรี ะเบียบ ๖. เพ่ือเปดิ โอกาสใหน้ ักศึกษาได้นาความรูท้ ่มี ีอย่มู าใช้ประกอบการศกึ ษา ๗. เพ่อื ปูพนื้ ฐานการศึกษาค้นควา้ และการเขียนรายงานสาหรบั การศึกษาในชัน้ สงู ขึ้น ๘. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพ รู้วิธีการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง และรักการ เรยี นรู้อย่างตอ่ เนือ่ งตลอดชีวิต ๘.๑.๔ รูปแบบของรายงาน รายงานทางวชิ าการมรี ปู แบบเฉพาะเพ่อื ทาใหร้ ายงานมีความสมบรู ณ์ ช่วยให้ผอู้ า่ นเข้าใจ ไดง้ ่าย รายงานทางวิชาการโดยทวั่ ไปมีส่วนประกอบดังนี้ ๑. ส่วนประกอบตอนตน้ (๑) หน้าปก (๒) หนา้ ชอื่ เรอ่ื ง (๓) คานา (๔) สารบัญ(๕) สารบัญตาราง (๖) สารบัญภาพประกอบ ๒. สว่ นประกอบเนอื้ เรอื่ ง (๑) ส่วนท่เี ปน็ เนื้อเรื่อง (๒) สว่ นประกอบในเน้อื เรื่อง (ก) อัญประภาษ (ข) เชงิ อรรถ (ค) ตาราง (ง) ภาพประกอบ ๓. ส่วนประกอบตอนทา้ ย (๑) บรรณานกุ รม (๒) ภาคผนวก (๓) ดัชนี (ดรรชนี) รายงานทางวชิ าการแต่ละเร่ืองท่ีจัดทาไมจ่ าเป็นต้องมสี ว่ นประกอบยอ่ ยครบถว้ น ส่วนประกอบย่อยต่าง ๆ จะมีมากนอ้ ยเท่าไรขน้ึ อยู่กับดลุ ยพนิ จิ ของผจู้ ัดทารายงาน เพ่อื ความเข้าใจในแต่ละส่วน ขอกล่าวโดยสงั เขปดงั นี้ ๑. หน้าปก ใช้กระดาษค่อนข้างแข็งกว่าปกตินิดหน่อย ข้อความบนหน้าปกจะมี ๓ ส่วน จากบนมา ล่าง คือ ส่วนบนเขียนชื่อเรื่อง ส่วนกลางเขียนช่ือและช่ือสกุลผู้จัดทารายงาน ไม่ต้องใช้คานาหน้าช่ือ นาย นาง นางสาว ถ้าจดั ทาเปน็ กลมุ่ เขียนชอื่ ผจู้ ัดทาคนละบรรทัด ส่วนลา่ งเขยี นบรรทดั แรกวา่ “รายงานนี้เป็นสว่ นหน่งึ ของ การศึกษาวิชา...” บรรทัดทส่ี องเขียนชือ่ สถาบัน บรรทัดท่สี ามเขียนภาคเรยี นและปีการศกึ ษา ๒. หน้าชื่อเร่อื ง ประกอบดว้ ยข้อความ ๓ ส่วน เหมือนหน้าปก แตใ่ ช้กระดาษรายงานปกติ 33

๓. คานา ให้เขียนคาว่า คานา กลางหน้ากระดาษหา่ งจากขอบบน ๒ นิ้ว (ไม่ต้องขีดเสน้ ใต้) คานามัก มี ๓ ย่อหน้า ย่อหนา้ แรกบอกมูลเหตุจงู ใจท่จี ัดทา ย่อหน้าที่สองบอกขอบเขตของการจดั ทา ย่อหนา้ สุดทา้ ยกลา่ วขอบคณุ ผ้มู ีสว่ นช่วยเหลอื จนสาเรจ็ สุดทา้ ยใหล้ งชอื่ ผจู้ ดั ทาและระบุวนั เดอื น ปี ๔. สารบัญ หมายถึง บัญชีบอกบท หรือเรื่อง หรือตอนต่าง ๆ ของรายงานตามลาดับ ของเนือ้ หาตง้ั แต่ต้นจนจบและมเี ลขหนา้ บอกกากับไว้รมิ ขวามอื คาวา่ สารบัญให้เขยี นไว้กลางหน้ากระดาษหา่ งจาก ขอบบนกระดาษ ๒ นวิ้ ไม่ตอ้ งขีดเสน้ ใต้ ๕. สารบัญตาราง ต้องมีหมายเลขกากับตารางและมีช่ือท่ีเข้าใจง่าย แสดงความหมายของตัว เลขที่ปรากฏในตาราง หากมีการวิเคราะห์ข้อมูลในตารางก็ควรกล่าวไว้ต่อเนื่องกับตารางน้ัน สารบัญตารางมี ลกั ษณะเชน่ เดียวกับสารบัญ เพยี งแตเ่ ปล่ียนคาวา่ “เรื่อง” มาเปน็ “ตารางท”่ี ๖. สารบัญภาพประกอบ เป็นสิ่งประกอบช่วยเสริมเน้ือเร่ืองให้เข้าใจง่ายและสมบูรณ์ข้ึน สารบัญ ภาพประกอบมลี กั ษณะเชน่ เดยี วกับสารบญั ตาราง เพยี งแตเ่ ปลีย่ นคาวา่ “ตารางที่” มาเปน็ “ภาพท”ี่ ๗. ส่วนที่เป็นเน้ือเร่ือง เป็นส่วนที่อธิบายสาระสาคัญของรายงานเรื่องน้ันโดยละเอียด ถือว่าเป็นตอนที่ สาคัญท่ีสุดของรายงาน เน้ือเร่ืองต้องลาดับตามที่แจ้งไว้ในสารบัญ การลาดับหน้าให้นับหน้าแรกที่เขียนเน้ือเร่ือง เปน็ หนา้ ๑ แตไ่ มน่ ิยมเขยี น ควรเขียนตง้ั แต่หนา้ ๒ เป็นตน้ ไป โดยเขียนห่างจากบรรทดั บน ๑ น้ิว และวางแนวเดยี วกบั ขอบขวา ๘. อัญประภาษ เป็นส่วนประกอบเนื้อเรื่องให้มีน้าหนักน่าเชื่อถือ โดยนาข้อความที่คัดมาจากคาพูดหรือ ข้อเขียนของผู้อื่นมาเขียนไว้ในรายงานของตนด้วยเห็นว่าเป็นข้อความสาคัญ หรือต้องการอ้างอิงเพื่อสนับสนุนค วามคิดของตน กอ่ นนาอัญประภาษมาแทรกควรกล่าวนาวา่ เป็นคาของใคร แลว้ ใชเ้ ครอ่ื งหมาย อัญประภาษคร่อม ไว้ (“...”) และบนอกั ษรตัวสดุ ทา้ ยของอัญประภาษต้องใชเ้ ลขกากบั ใหต้ รงกบั เชิงอรรถ ๙. เชิงอรรถ คือ ข้อความท่ีลงไว้ตอนสุดท้ายของหน้าเพ่ือบอกที่มาของข้อความท่ียกมา ส่วนมากแต่ละ เชิงอรรถใช้เนื้อท่ี ๒ บรรทัด โดยให้เว้นบรรทัดจากเนื้อความในหน้านั้น ๑ บรรทัดก่อน แล้วขีดเส้นคั่นยาว ประมาณ ๒ นว้ิ แล้วเว้นอกี ๑ บรรทัดจึงเร่ิมเขยี นเชิงอรรถ ๘.๒ การเขยี นรายงานการวจิ ัย ๘.๒.๑ ลักษณะของวิจยั วิจัยเป็นการศึกษาโดยต้ังสมมติฐานและหาเหตุผลมาพิสูจน์สมมติฐานท่ีต้ังไว้ แล้วรายงาน ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ไี ดจ้ ากการค้นควา้ ให้ผ้เู กยี่ วขอ้ งทราบหรือเผยแพรใ่ ห้กว้างขวาง โดยมลี ักษณะดังน้ี ๑. มีสมมตฐิ าน เปน็ ขอ้ เสนอที่ตัง้ ไว้เพอ่ื เป็นเคร่อื งกาหนดแนวทางในการศึกษาค้นควา้ ๒. มกี ารศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มลู และข่าวสารมาประกอบเพอ่ื การวิเคราะห์และพสิ ูจนส์ มมตฐิ าน ๓. เป็นการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นความรู้เชิงวิชาการได้ ควรเป็นเร่ืองที่ ศกึ ษาขึ้นใหม่หรอื ต่อเติมสว่ นทยี่ งั มไิ ด้ศึกษาให้กระจ่างแจง้ ย่งิ ขึน้ ๘.๒.๒ สว่ นประกอบของรายงานการวจิ ัย ๑. สว่ นประกอบตอนตน้ (๑) ปก นิยมทาด้วยกระดาษแข็งหรือค่อนข้างแข็ง ข้อความบนปกจะมีชื่อเร่ืองทั้งภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ ช่ือ–สกุลผู้วิจัย ชื่อคณะวิชา และช่ือมหาวิทยาลัยที่เสนอวิทยานิพนธ์ ชื่อปริญญาที่จะได้รับสาหรับ งานวิจยั เร่อื งน้ี ปี พ.ศ. ที่ไดร้ ับปริญญาน้ี (๒) หนา้ ช่ือเรื่อง เขียนเหมอื นหนา้ ปกแตใ่ ช้กระดาษรายงานปกติ (๓) หน้าอนุมัติ ประกอบด้วย ข้อความที่อนุมัติ ชื่อและตาแหน่งของผู้มีอานาจอนุมัติปริญญานิพนธ์ และผ้คู วบคมุ ปรญิ ญานพิ นธ์น้ัน 34

(๔) บทคดั ยอ่ เป็นข้อความโดยสรปุ ของรายงานการวิจยั ท่ีสนั้ กะทดั รัด ชดั เจน ได้ใจความ ครอบคลุม เน้ือหาของรายงานการวิจัยทั้งหมด บทคัดย่อนิยมทาเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มักประกอบด้วยเนื้อหา ๓ ตอน ได้แก่ ตอนท่ี ๑ กล่าวถึงปัญหาและขอบเขตของปัญหาในการวิจยั ตอนท่ี ๒ กล่าวถึงแหล่งข้อมลู วิธกี ารรวบรวมขอ้ มลู และวธิ ีการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ ๓ กลา่ วถึงผลของการวจิ ยั อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ (๕) คานาและกิตติกรรมประกาศหรือประกาศคุณูปการ เป็นการช้ีแจงส่ิงที่ผู้วิจัยต้องการให้ผู้อ่าน ทราบเป็นพิเศษ เช่น มูลเหตุท่ีทาวิจัยเรื่องนั้น การทาวิจัยนั้นทาข้ึนเพื่ออะไร มีจุดประสงค์และขอบเขตสาคัญ อย่างไร ผลของการวิจัยน้ันใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง รวมทั้งกล่าวขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้การวิจัย ครง้ั น้นั สาเร็จลุลว่ งไปดว้ ยความเรียบรอ้ ย อาจระบชุ ือ่ ผเู้ ชย่ี วชาญทีใ่ หค้ าแนะนาในดา้ นตา่ ง ๆ (๖) สารบัญ ให้แสดงบทหรือหัวข้อของรายงาน พร้อมระบุเลขหน้า สารบัญจะช่วยให้การค้นคว้าทา ไดร้ วดเรว็ ขน้ึ (๗) สารบัญตาราง ใชแ้ สดงรายการตารางท้งั หมดในรายงานการวจิ ัย โดยบอกเลขทีต่ าราง ชอ่ื ตาราง และเลขหนา้ (๘) สารบัญรูปภาพ ใช้แสดงรายการรูปภาพ รวมทั้งแผนภูมิ แผนภาพทางสถิติต่าง ๆ ท้ังหมดท่ีมีใน รายงานการวจิ ยั โดยบอกเลขทีร่ ปู ภาพและเลขหน้า ๒. สว่ นประกอบเนอ้ื เร่อื ง ส่วนเน้อื เรอ่ื งเปน็ สว่ นทแี่ สดงสาระสาคญั ของการวิจยั โดย แบง่ ออกเป็น ๕ บท ไดแ้ ก่ บทที่ ๑ บทนา เป็นการบรรยายความเป็นมาและความสาคัญของปญั หาที่จะวจิ ัยว่ามีมลู เหตุอะไรทจ่ี ะทา การวิจยั นั้น โดยระบุถึงจุดมงุ่ หมายของการวิจัย ความสาคญั ของการวิจยั นั้นวา่ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนเ์ ก้อื กูลแก่ การศกึ ษาในวงวิชาการหรือสาธารณะประโยชน์ได้อย่างไร ในบทน้ีผู้วิจัยต้องคาดคะเนถึงผลของสมมติฐานท่ีตั้งไว้ว่าจะได้ผลอย่างไร พร้อมท้ังมีแนวความคิดทาง ทฤษฎีสนับสนุนเป็นเหตุผลว่าทาไมจึงต้ังสมมติฐานไว้อย่างน้ัน และสมมติฐานท่ีต้ังไว้มีข้อตกลงเบื้องต้นอย่างไร หากมีความหมายของศัพทเ์ ฉพาะบางคาท่ีนามาใช้ในการวิจัยนั้นและไม่เป็นท่คี ุน้ เคยหรือมคี วามหมายหลายอยา่ งก็ ต้องใหค้ านยิ ามศัพท์ว่า การวิจยั ครง้ั นนั้ ต้องการความหมายใด บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เป็นการนาเอาทฤษฎีและรายงานการวิจัยที่เก่ียวข้องที่มีผู้ทาไว้ แลว้ มาวิเคราะห์ วิจารณ์ เพือ่ ให้ผู้อ่านเข้าใจภูมหิ ลังและความสมั พนั ธ์ของการวจิ ัยเพื่อแก้ปัญหาในคร้ังน้ีต้ังแต่อดีต จนถงึ ปัจจบุ นั วา่ มสี ่วนใดทย่ี ังไม่ไดท้ าและนา่ จะทาให้สมบูรณข์ น้ึ ดังน้ัน การเขียนรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องนี้ ผู้วิจัยต้องพยายามเรียบเรียงแนวความคิดของตนเองท่ีได้ จากการอา่ นงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้องให้เป็นเนื้อเดียวกนั และสอดคล้องสัมพนั ธก์ ับปญั หาทีจ่ ะวิจัย บทท่ี ๓ วิธีดาเนินการวิจัย กล่าวถึงรายละเอียดของการทาวิจัย เพ่ือชี้ให้เห็นว่าข้อมูลทั้งหมดท่ีนามาใช้ นามาสรปุ น้นั เทย่ี งตรง เชอ่ื ม่ันไดเ้ พียงพอและใชว้ ธิ ที ่ีเหมาะสมโดยประกอบด้วยหัวข้อสาคัญดังนี้ (๑) วิธกี ารวเิ คราะหว์ จิ ัย โดยบอกวา่ ใช้วธิ ีใด ใช้วธิ ีการสารวจทดลองหรอื การศึกษารายกรณี (๒) ประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง บอกให้รู้ว่าการวิจัยน้ันใช้อะไรเป็นประชากร ใครเป็นประชากรใน การวิจัยครั้งน้ัน และใช้ประชากรท้ังหมดหรือใช้เพียงกลุ่มตัวอย่าง หากใช้กลุ่มตัวอย่าง มีวิธีการเลือกหรือสุ่ม ตัวอยา่ งอย่างไร (๓) วิธีการเก็บข้อมลู บอกวิธีการว่ารวบรวมข้อมูลได้อย่างไร ใช้วิธกี ารใด ใช้เคร่ืองมืออะไรช่วย เช่น รวบรวมข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถามต้องอธิบายวิธีการสร้างแบบสอบถามลักษณะของแบบสอบถามท่ีใช้ 35

คุณภาพของแบบสอบถามว่า มีความเท่ียงตรงและความเช่ือม่ันได้หรือไม่ โดยอาจให้ผู้ทรงคุณวุฒิช่วยตรวจสอบ และวธิ ีการกรอกแบบสอบถามใช้วธิ สี ง่ ไป–กลบั ทางไปรษณีย์ หรือมี ผู้เดินทางไปเกบ็ ข้อมูลถงึ ประชากรโดยตรง (๔) การวิเคราะห์ข้อมูล กล่าวถึงวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลว่าทาอย่างไร มีหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์ อยา่ งไร ใชเ้ ครอื่ งมืออะไรในการวเิ คราะห์ การวเิ คราะหน์ ้ันหาค่าสถิตอิ ะไรบา้ ง บทท่ี ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การนาค่าสถิติต่าง ๆ มาเสนอให้ผู้อ่านทราบพร้อมกับแปลผลและ ตีความหมายของข้อมูล หรือค่าสถิติที่เสนอนั้นว่าได้ข้อสรุปอย่างไรบ้าง เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ อย่างไร การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลอาจใช้ตารางและแผนภูมิช่วยจะทาให้ผู้อ่านเข้าใจได้รวดเร็วและถูกต้อง แต่ควรมคี าอธบิ ายประกอบการตคี วามหมายและข้อสรุปของข้อมูลในตารางและแผนภูมนิ ้นั ๆ ด้วย บทท่ี ๕ สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ เป็นบทสรปุ ทา้ ยของการวิจัย ซง่ึ ต้องกล่าวสรุปเรื่องราวใน การทาวจิ ัยท้งั หมดโดยกลา่ วถึงเร่อื งตา่ ง ๆ ดงั น้ี (๑) การดาเนินการศึกษาค้นคว้าวิจัยเร่ิมตั้งแต่ความเป็นมา ความสาคัญ ปัญหา และขอบเขตของ ปญั หา วิธวี จิ ัยโดยกลา่ วย่อ ๆ (๒) ผลการวิจัยและข้อสรุป กล่าวสรุปผลการวิจัยว่าได้ค้นพบข้อมูลอะไรที่สาคัญบ้าง เป็นไปตาม สมมติฐานหรอื ไม่ การเขียนขอ้ สรปุ ผลการวจิ ยั มหี ลกั เกณฑด์ งั น้ี (ก) ต้องตอบคาถามหรือปัญหาท่ีตั้งไว้ (ข) ต้องอยู่ภายในขอบเขตของการวิจยั (ค) ตอ้ งเปน็ ประโยชน์ต่อการนาไปใชแ้ ละการวจิ ัยเพ่มิ เติม (ง) ตอ้ งตรงตามขอ้ เท็จจริงของขอ้ มูล (จ) ต้องตัดอคติสว่ นตัวออกไป (ฉ) ต้องเป็นผลจากการคิดทบทวน ไตรต่ รองอย่างละเอยี ดรอบคอบแลว้ (๓) การอภิปรายผล เป็นการช้ีให้ผู้อ่านทราบว่าการวิจัยนั้นได้ข้อค้นพบอะไรบ้าง แล้วผู้วิจัยต้องนา ข้อค้นพบดังกล่าวมาอภิปรายผลว่างานวิจยั นั้นได้ผลเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ โดยการอภิปรายต้องอ้าง ทฤษฎีและการวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ งมาประกอบดว้ ย (๔) ขอ้ เสนอแนะ เป็นการเสนอแนะเกี่ยวกับการนาผลการวิจัยน้ันไปใช้และการจะศึกษาค้นคว้าวิจัย เพมิ่ เติมเพอ่ื ใหก้ ารวิจัยนนั้ สมบรู ณย์ ง่ิ ข้ึน การเขียนขอ้ เสนอแนะมีลักษณะดังนี้ (ก) ต้องเป็นสาระท่ีไดจ้ ากผลการวจิ ยั (ข) ต้องเปน็ เรอ่ื งใหม่ (ค) ต้องปฏิบตั ไิ ดภ้ ายในขอบเขตของกาลังความสามารถและเวลา (ง) ข้อเสนอแนะใดที่ควรต้องศึกษาเพิ่มเติม ควรระบุให้ชัดเจนว่าควรเพิ่มเติมเรื่องใด หรือส่ิงใดควร ปรับปรงุ ก็ต้องระบุให้ชัดเจน กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่ี ๑๖/๑๘ คาบที่ ๔๖–๔๘/๕๔) ๑. ครอู ธิบายจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ หน่วยท่ี ๘ และสอดแทรกความรู้เร่อื งคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เศรษฐกิจพอเพียง/ค่านิยม 12 ประการ ๒. ครทู ดสอบความรู้ของนักศึกษาก่อนเรียน ๓. ใหน้ กั ศึกษายกตัวอย่างการพดู ตา่ ง ๆ ๔. ครสู อนและอธิบายเน้ือหาสาระข้อ ๘.๑ ๕. นกั ศึกษาช่วยกนั สรุปเร่อื งโดยใช้การถามตอบจากครู 36

๖. นกั ศกึ ษาทา กจิ กรรมเสรมิ ๗. ครูและนักศกึ ษาร่วมกนั ประเมนิ การเรยี นรตู้ ามสภาพจริง กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ที่ ๑๗/๑๘ คาบที่ ๔๙–๕๑/๕๔) ๑. ครูอธิบายทบทวนเนือ้ หา ๒. ให้นักศึกษายกตวั อย่างการนาเสนอข้อมูลของงานต่าง ๆ ในวิทยาลยั ๓. ครสู อนและอธิบายเนื้อหาสาระข้อ ๘.๒ ๔. นกั ศกึ ษาช่วยกันสรุปเรอื่ งโดยใชก้ ารถามตอบจากครู ๕. นักศกึ ษาทากิจกรรมเสรมิ ตามการมอบหมายงาน ๖. ครูทดสอบความรขู้ องนักศกึ ษาหลงั เรยี น ๗. ครแู ละนักศึกษาร่วมกนั ประเมินการเรียนร้ตู ามสภาพจรงิ สือ่ การเรยี นการสอน ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรียน ๒. ใบเน้ือหาหน่วยที่ ๘ ๓. แบบฝึกหัดหนว่ ยท่ี ๘ ๔. ใบกจิ กรรมเสริม ๕. แบบประเมนิ กจิ กรรมและแบบประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม การวัดผลและประเมินผล การวดั ผล (ใชเ้ ครื่องมอื ) การประเมินผล (นาผลเทยี บกบั เกณฑแ์ ละแปลความหมาย) ๑. แบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pre–test) หนว่ ยที่ ๘ (ไวเ้ ปรยี บเทียบกบั คะแนนสอบหลังเรยี น) ๒. แบบสังเกตการทางานกลุ่มและการนาเสนอผลงานกลุ่ม เกณฑผ์ ่าน ๕๐% ๓. แบบฝึกหัดหนว่ ยที่ ๘ เกณฑ์ผ่าน ๕๐% ๔. แบบทดสอบหลงั เรียน (Post–test) หน่วยที่ ๘ เกณฑ์ผ่าน ๕๐% ๕. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ตามสภาพจริง เกณฑผ์ ่าน ๖๐% งานท่ีมอบหมาย งานท่มี อบหมายนอกเหนอื เวลาเรียน ทบทวนเนอ้ื หาเพอ่ื เตรียมสอบนสัปดาห์ท่ี ๑๘ ผลงาน/ชน้ิ งาน/ความสาเร็จของผเู้ รยี น ผลการทาแบบฝึกหัดหน่วยที่ ๘ ผลการประเมนิ จติ พิสยั คะแนนแบบทดสอบหลังเรียน (Post–test) เอกสารอ้างอิง ๑. หนงั สอื เรียนวิชาภาษาไทยเพอื่ สอ่ื สารในงานอาชพี รหัสวชิ า ๓๐๐๐–๑๑๐๑ ๒. เว็บไซต์และสือ่ สง่ิ พิมพ์ที่เกยี่ วขอ้ งกับเนื้อหาบทเรยี น 37

ตารางวเิ คราะห์จุดประสงค์การเรยี นรู้ โดยบูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ทางสายกลาง จุดประสงคก์ ารสอน 2 เงอ่ื นไข หน่วยท่ี 1 ความรู้ คุณธรรม 3 ห่วงพอประมาณ ีมเหตุผล เรือ่ ง ความรู้เบื้องตน้ เกย่ี วกับระบบฐานข้อมลู ีมภู ิมคุ้ม ักน รอบรู้ รอบคอบ ระ ัมดระวัง ่ืซอสัต ์ยสุจริต ข ัยนอดทน ีมสติปัญญา แบ่งปัน รวม ลา ัดบความสาคัญ 1. ความหมายของระบบฐานข้อมลู  8 2 2. โครงสรา้ งของระบบฐานข้อมลู  8 2 3.คาศพั ทพ์ ้ืนฐานทเ่ี ก่ยี วกับระบบฐานขอ้ มูล  9 1 4.ประโยชนข์ องฐานข้อมูล  8 2 5.ระบบจัดการฐานข้อมลู  8 2 6.โปรแกรมฐานข้อมลู ทีน่ ยิ มใชใ้ นปจั จบุ นั  9 1 2646666662 รวม 3121111113 ลาดบั ความสาคัญ 38


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook