Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือองค์ประกอบศิลป์

หนังสือองค์ประกอบศิลป์

Published by อารียา แซ่หมี, 2021-03-17 07:01:21

Description: หนังสือองค์ประกอบศิลป์

Search

Read the Text Version

47 การสรา้ งงานศลิ ปะอาจทาไดต้ งั้ แตก่ ารวาดภาพโดยใชโ้ ปรแกรมวาดภาพทม่ี เี คร่อื งมอื ใหส้ ามารถใช้ เมาสแ์ ทนการใชพ้ ู่กนั และสี ในบางโปรแกรมสามารถปรบั ความหนกั เบาของเสน้ มาช่วยทาใหก้ ารวาดภาพ เป็นธรรมชาตขิ น้ึ บางโปรแกรมสามารถปรบั แตง่ ภาพถ่ายมาเป็นภาพวาดสนี ้า สนี ้ามนั หรอื แบบอน่ื ๆ ได้ และยงั รวมความสามารถในการเลอื กพน้ื ผวิ สาหรบั วาดภาพดว้ ย นงานศิลปะการละคร ฟิล์มภาพยนตร์หรอื วีดีทศั น์สามารถบันทึกภาพการแสดงได้แต่ไม่สามารถเก็บ รายละเอยี ดท่าทางของตวั ละครแต่ละตวั การใช้คอมพวิ เตอร์กราฟิกจะทาให้ผู้กากบั การแสดงสามารถ วเิ คราะหอ์ อกแบบท่าทางของนักแสดง กากบั บทบาทของตวั ละครแต่ละคนบนั ทกึ เป็นขอ้ มลู กาหนดฉาก แสง และแสดงเป็นภาพการแสดงรวม ซง่ึ สามารถตรวจสอบแกไ้ ขรายละเอยี ดทกุ สว่ น และนาไปสบู่ ทบาท การแสดงจรงิ บนเวที งานสารวจอวกาศ ในการสารวจอวกาศจากนอกโลก คอมพวิ เตอรใ์ นยานสารวจจะบนั ทกึ ภาพต่าง ๆ เชน่ ดาวองั คาร ดวงจนั ทร์ ดาววนี สั กาแลก็ ซ่ตี ่าง ๆ เป็นขอ้ มูลทางดจิ ทิ ลั แลว้ ส่งกลบั มายงั ฐานบนโลกซง่ึ จะเปลย่ี นขอ้ มูล ดจิ ทิ ลั มาเป็นภาพกราฟิก ผเู้ ชย่ี วชาญทางกราฟิกจะวเิ คราะหภ์ าพโดยใชเ้ ทคนิคเพม่ิ คุณภาพของภาพ ซ่งึ จะทาการปรบั ภาพตามเงอ่ื นไขของตวั บ่งชพ้ี น้ื ผวิ เทคนิคการเพม่ิ คุณภาพของภาพสามารถเตมิ ขอ้ มูลท่ผี ดิ พลาดโดยการตรวจสอบจุดภาพขา้ งเคยี ง ส่วนท่ผี ดิ พลาดแล้ว คาดการว่าข้อมูลภาพท่หี ายไปหรอื ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร ความเข้มแสงบนภาพ ได้รบั การปรบั ให้ดีข้นึ โดยใช้ข้อมูลท่ีมาจากข้อกาหนดของอุณหภูมิความหนาแน่นของอากาศและชนั้ บรรยากาศตา่ ง ๆ เทคนคิ การเพม่ิ คุณภาพของภาพสามารถปรบั ภาพสเี ทาเป็นภาพสไี ด้ งานพยากรณ์อากาศ ภาพแผนท่อี ากาศและคาพยากรณ์อากาศท่ีปรากฏในข่าวทางทีวใี นแต่ละวนั เป็นงานท่เี กิดจาก รวบรวมข้อมูลความกดอากาศ อุณหภูมิ ความช้ืนสัมพัทธ์ ความเร็วลม และทิศทางลมของกรม อตุ นุ ยิ มวทิ ยาจากหลายพน้ื ท่ี โดยใชข้ อ้ มลู จากการมองเหน็ ภาพสารวจ ผ่านดาวเทยี ม สญั ญาณจากเรดาร์ เคร่อื งวดั ภาพพน้ื ดนิ เคร่อื งมอื วดั จากบลั ลูนอากาศแลว้ ป้อนเขา้ สู่ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ท่แี หล่งเกบ็ ขอ้ มลู นนั้ งานกฬี า ในสนามกฬี าหลายแห่งจะมกี ระดานอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ค่ี วบคุมดว้ ยระบบคอมพวิ เตอรส์ าหรบั ใหข้ อ้ มลู และสรา้ งความสนุกสนานใหก้ บั ผชู้ มโดยแสดงภาพกราฟิก เชน่ สถติ แิ ละคะแนนการแขง่ ขนั ยอ้ นภาพการ แขง่ ขนั แสดงภาพเคล่อื นไหว แสดงความยนิ ดแี ละเป็นกาลงั ใจ

48 ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเพอ่ื เพม่ิ ขดี ความสามารถของนักกฬี า ผคู้ วบคุมการฝึกสอนกฬี าสามารถใช้ โปรแกรมทางกราฟิก เช่นการนาภาพการเคล่ือนไหวร่างกายของนักกีฬาขณะวิ่งเก็บบันทึกไว้ใน คอมพวิ เตอร์ โดยใชเ้ คร่อื งกราดตรวจพเิ ศษหรอื ดิจไิ ทเซอร์ แล้วสรา้ งโครงร่างกายขณะเคล่อื นไหวเป็น ภาพกราฟิก รปู แบบทส่ี รา้ งขน้ึ น้ีสามารถนาไปใชใ้ นการเปรยี บเทยี บกลั ป์ผลการวงิ่ ของนกั กฬี าคนอ่นื ทา ใหส้ ามารถพฒั นารปู แบบการวง่ิ และวธิ กี ารเพมิ่ ขดี ความสามารถของนกั กฬี าได้ ประเภทของงานออกแบบกราฟิกและสอ่ื 1. งานกราฟิกบนสอ่ื โฆษณาสง่ิ พมิ พ์ 1.1 แผน่ ป้ายโฆษณา( Poster ) เป็นสอ่ื ทม่ี คี วามสาคญั มากในวงการประชาสมั พนั ธเ์ พราะแผ่น ป้ายโฆษณาสามารถเผยแพร่ไดส้ ะดวกและกว้างขวาง เขา้ ถงึ กลุ่มเป้าหมายได้ทุกพน้ื ท่สี ามารถสอ่ื สารกบั ผู้บรโิ ภคได้ทุกเพศทุกวยั ทุกระดับการศกึ ษา มคี วามยดื หยุ่นในการออกแบบสามารถออกแบบกราฟิกได้ อยา่ งอสิ ระเพอ่ื โน้มน้าวความรุสกึ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 1.2 แผ่นพบั ( Floders ) หมายถงึ สอ่ื โฆษณาทเ่ี ป็นสงิ่ พมิ พป์ ระเภทไดเรก็ เมล ( Direct Mail ) ทผ่ี ผู้ ลติ สง่ ตรงถงึ ผบู้ รโิ ภค มที งั้ วธิ กี ารสง่ ทางไปรษณียแ์ ละแจกตามสถานทต่ี ่าง ๆ ลกั ษณะเดน่ ของแผ่นพบั คือ มีขนาดเล็ก หยิบง่ายให้ข้อมูลรายละเอียดได้มากพอสมควร ผู้อ่านสามารถเลือกเวลาใดอ่านก็ ผู้ออกแบบมีเทคนิคการออกแบบตามอิสระหลากหลาย ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ากว่าส่ิงพิมพ์ชนิดอ่ืน นอกจากน้ยี งั เป็นสอ่ื ทถ่ี งึ เป้าหมายไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ 1.3 แผน่ ปลวิ (Leaflets) หมายถงึ สงิ่ พมิ พเ์ ฉพาะกจิ ทม่ี เี น้อื หาสาระเรอ่ื งใดเพยี งเรอ่ื งเดยี ว ไดแ้ ก่ คาแถลง ประกาศ ชแ้ี จง แจง้ ความ โดยขอ้ ความเหล่านนั้ มกั จะเป็นการใหข้ อ้ มลู เพอ่ื แจกจ่ายไปยงั กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ อาจมีวัตถุประสงค์เพ่ือการโฆษณา หรือเพ่ือการเผยแพร่ประชาสมั พันธ์ก็ได้ ความหมายของใบปลวิ อกี ลกั ษณะหน่งึ คอื แผน่ กระดาษ ขอ้ ความทแ่ี จกจ่ายในลกั ษณะทป่ี กปิด ไม่เปิดเผย เหมอื ใบปลวิ โฆษณาสนิ คา้ และบรกิ ารหรอื ประกาศเร่อื งใดเร่อื งหน่ึงซ่งึ เป็นการจดั ทาโดยหน่วยงานราชการ หรอื หน่วยงานใด 1.4 บตั รเชญิ ( Cards ) เป็นสอ่ื โฆษณาอกี ประเภทหน่งึ ทม่ี บี ทบาทในการโฆษณาประชาสมั พนั ธ์ การออกแบบกราฟิกด้านบตั รเชญิ มอี ย่างกว้างขวาง นักออกแบบพยายามสรา้ งสรรคร์ ูปแบบใหม่ท่ีจะท้า ทายใหผ้ ไู้ ดร้ บั เชญิ เกดิ ความรสู้ กึ อยากรอู้ ยากเหน็ อยากสมั ผสั บตั รเชญิ เรยี กไดว้ ่าเป็นสอ่ื เฉพาะกจิ ใชใ้ น โอกาสต่าง ๆ ท่สี าคญั เช่น เชญิ เปิดรา้ น เปิดกจิ การ เปิดนิทรรศการ การแสดงหรอื ใชโ้ ชวส์ นิ คา้ การ เสนอผลติ ภณั ฑ์รุ่นใหม่ ดงั นัน้ การออกแบบบตั รเชญิ จงึ มกั จะต้องมคี วามประณีต สวยงาม มคี ุณค่าสูงใน ดา้ นศลิ ปะ เน่อื งจากตอ้ งการดงึ ดดู ชกั จงู ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ คลอ้ ยตาม

49 2. งานหราฟิกบรรจภุ ณั ฑ์ บรรจุภณั ฑท์ ม่ี หี น้าทห่ี ลกั คอื เป็นตวั ภาชนะสาหรบั บรรจุสนิ คา้ มหี ลายรปู แบบแตกต่างกนั ไปตามลกั ษณะ ของสนิ คา้ เช่น หบี ห่อ กล่อง ขวด ลงั กระป๋ อง บรรจุภณั ฑจ์ ะมขี นาดต่าง ๆ ตามขนาดทบ่ี รรจุสนิ คา้ การออกแบบบรรจภุ ณั ฑแ์ บง่ เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 3 กลุ่ม คอื 2.1 บรรจุภณั ฑ์สาหรบั ค้าปลกี มกั ออกแบบสวยงามสะดวกในการใช้สอย น่าใช้บางชนิดจะเน้นความ สวยงามเป็นพเิ ศษ จะมรี ายละเอยี ดของสนิ คา้ บรรจุอย่ภู ายใน 2.2 บรรจุภณั ฑ์เพ่อื การค้าส่ง เป็นบรรจุภณั ฑท์ อ่ี อกแบบสาหรบั บรรจุสนิ คา้ จานวนมาก ๆ การกาหนด รายละเอยี ดจะแตกต่างออก 2.3 บรรจุภณั ฑเ์ พ่อื การขนส่ง จะเน้นในเร่อื งความสะดวก ความปลอดภยั และความประหยดั ในการขนสง่ การออกแบบฉลากของบรรจุภณั ฑ์จะต้องอยู่ภายใต้เง่อื นไขและขอ้ กาหนดหลายอย่าง นักออกแบบมกั จะ ต้องสรา้ งภาพลกั ษณ์ของตวั สนิ ค้าใหเ้ กดิ ความน่าเช่อื ถอื สวยงาม ส่วนการออกแบบหบี ห่อบรรจุภณั ฑก์ ม็ ี จดุ ประสงคอ์ ยา่ งเดยี วกนั กบั ฉลากสนิ คา้ แตม่ จี ุดเดน่ เพอ่ื ความสะดวกในการขนสง่ รปู ท่ี บรรจุภณั ฑก์ ารคา้ 3. งานกราฟิกบนเครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณ์ สอ่ื ทเ่ี ป็นภาพเครอ่ื งหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ เป็นสอ่ื ทม่ี บี ทบาทอย่างมากในชวี ติ ประจาวนั ถา้ เรามองไปรอบ ๆ ตวั จะเหน็ สอ่ื ทเ่ี ป็นภาพเคร่อื งหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ปรากฏอย่ทู วั่ ไป การออกแบบสญั ลกั ษณ์ นักออกแบบจะต้องใชค้ วามรคู้ วามสามารถอย่างยง่ิ ในการวเิ คราะหเ์ น้ือหาสาระท่ี ต้องการส่อื ความหมาย ทงั้ ยงั ต้องใช้ความสามารถในการเขยี นภาพหรอื ผลิตภาพสญั ลกั ษณ์ให้ประณีต คมชดั เพอ่ื สอ่ื ความหมายไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งชดั เจน

50 ในการออกแบบสญั ลกั ษณ์ นกั ออกแบบอาจมแี รงบนั ดาลใจทส่ี าคญั มาจาก 2 แหล่งคอื - จากธรรมชาตสิ ง่ิ แวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ ภาพดอกไมใ้ บไม้ ดวงอาทติ ย์ ภูเขา ทะเล ฯนฯ - จากรูปแบบท่มี นุษย์สร้างข้นึ ได้แก่ อาคารบ้านเรอื น เคร่อื งใช้ สง่ิ ของต่าง ๆ การออกแบบ สญั ลกั ษณ์ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย นกั ออกแบบควรคานงึ ถงึ หลกั สาคญั 3 ประการ 8nv - ความหมายของสญั ลักษณ์ จะต้องเก่ียวโยงกับสุนทรีภาพคือความงดงามของรูปแบบของ สญั ลกั ษณ์นนั้ ๆ - ตอ้ งเหมาะสมกบั กาลเวลาทุกยคุ ทุกสมยั ควรหลกั เลย่ี งสงิ่ ทเ่ี ป็นความนิยมชวั่ คราว - ตอ้ งนาไปใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลายประการ สามารถลอกเลยี นดว้ ยวธิ ยี ่อ ขยายไดง้ า่ ย สอ่ื ทเ่ี ป็นภาพ เคร่อื งหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ทม่ี อี ย่ทู วั่ ไป อาจแยกประเภทได้ ดงั น้ี 3.1 ภาพเคร่อื งหมายจราจร เป็นกตกิ าสากลซง่ึ เขา้ ใจร่วมกนั ทวั่ ไป การออกแบบจะเน้นความชดั เจนของการ สอ่ื ความหมาย เขา้ ใจงา่ ย สสี นั สะดดุ ตา 3.2 เคร่อื งหมายสถาบนั สมาคมและกลุ่มต่าง ๆ ซง่ึ กาหนดรปู แบบเพอ่ื แทนหรอื เป็นสญั ลกั ษณ์ของหน่วยงาน นนั้ ๆ 3.3 เคร่อื งหมายบรษิ ทั สนิ คา้ หรอื ผลติ ภณั ฑ์ เพ่อื การสรา้ งเช่อื มนั่ กระตุ้นความน่าสนใจในบรษิ ทั การคา้ หรอื ผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ 3.4 ภาพเคร่อื งหมายสถานท่ี เป็นเคร่อื งหมายท่แี สดงสญั ลกั ษณ์สถานทต่ี ่าง ๆ ท่แี สดงให้เขา้ ใจร่วมกนั ได้ โดยไมต่ อ้ งใชต้ วั หนงั สอื ขอ้ ความ ซง่ึ บางครงั้ อาจสอ่ื ไดย้ ากกว่าการใชส้ ญั ลกั ษณ์ 3.5 ภาพเครอ่ื งหมายกจิ กรรมตา่ ง ๆ เช่น การกฬี า การก่อสรา้ ง การประชมุ ฯลฯ 3.6 เครอ่ื งหมายทใ่ี ชใ้ นการออกแบบเขยี นแบ เป็นเคร่อื งหมายภาพทใ่ี ชส้ อ่ื ความหมายรว่ มกนั ระหว่างผอู้ อก แบ เขยี นแบแปลน และผอู้ า่ นแบบหรอื บคุ คลทวั่ ไปทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ในการออกแบบภาพเครอ่ื งหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ ควรยดึ หลกั กวา้ ง ๆ เพอ่ื เป็นแนวคดิ ดงั น้ี - แนวคดิ เกย่ี วกบั ความงาม - แนวคดิ เกย่ี วกบั ความหมาย - แนวคดิ ในการสรา้ งความเดน่ และน่าสนใจ - ความเหมาะสมในการออกแบบและการใชง้ าน 4. งานกราฟิกบนสง่ิ พมิ พท์ วั่ ไป สง่ิ พมิ พ์ทวั่ ไปท่ตี ้องอาศยั งานกราฟิกช่วยในการออกแบบมหี ลายประเภท เช่น วารสาร หนังสอื พมิ พ์ นิตยสาร หนงั สอื สาหรบั เดก็ ซง่ึ ควรพจิ ารณาองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. การออกแบปกหนงั สอื ผอู้ อกแบจะต้องจดั วางองคป์ ระกอบต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสมสวยงาม คานึงถงึ ลกั ษณะของหนงั สอื ลกั ษณะของผบู้ รโิ ภค อาจมหี ลกั ทต่ี อ้ งพจิ ารณาถงึ คอื ประเภทหนงั สอื บุคลกิ ของ หนงั สอื แนวทางสรา้ งสรรคร์ ปู แบบ วธิ กี ารผลติ วสั ดทุ ใ่ี ชท้ าปก

51 2. การออกแบบจดั หน้า การออกแบบจดั หน้าของสง่ิ พมิ พแ์ ต่ละประเภทจะแตกต่างกนั ออกไป แต่จะ สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของเน้อื หาและรปู เล่ม 3. การออกแบรูปเล่ม หนังสอื แต่ละประเภทจะมรี ูปเล่มแตกต่างกนั แต่ต้องคานึงถึงความสวยงาม สะดวกในการหยบิ อา่ น พกพา การเกบ็ รกั ษา ขนาด และความหนาพอดี คอมพวิ เตอรก์ บั การออกแบบ การใชค้ อมพวิ เตอรช์ ่วยในการออกแบบ ( Computeraided Design ) โดยนายเอกชยั ลลี ารศั มี มี ช่อื ย่อว่า แคด ( CAD ) เป็นการประยุกต์ของคอมพวิ เตอร์ท่ีมปี ระโยชน์และมคี วามสาคญั ต่อการพฒั นา เทคโนโลยแี ละอุตสาหกรรมเป้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เม่อื ฃนามาผนวกกบั การใชค้ อมพวิ เตอรช์ ่วย ในการผลติ ( Computer Aided Manufacturing ) ซ่งึ มชี ่อย่อว่าแคม ( CAM ) เช่อื ว่าในอนาคตการผนวกกนั เช้าน้ีจะนาไปสู่การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมครัง้ ใหม่อีกครัง้ หน่ึง ภายหลังจากท่ีเคร่ืองจกั รไอน้าและ เคร่ืองจกั รกลไฟฟ้าได้ทาให้เกิดการปฏิวตั ิทางอุตสาหกรรมมาแล้วในอดีต ในอุตสาหกรรมยุคใหม่น้ี คอมพวิ เตอรจ์ ะมตี ลอดทุกขนั้ ตอนในการผลติ นับตงั้ แต่การออกแบจนถงึ กระบวนการผลติ ขนั้ ตอนสุดท้าย ทงั้ น้โี ดยอย่ภู ายใตร้ ะบบการสงั่ งานและควบคุมของมนุษย์ คอมพวิ เตอรก์ ราฟิกกบั เทคนคิ พเิ ศษในภาพยนตร์ คอมพวิ เตอรก์ ราฟิกนอกจากการใช้เป็นเคร่อื งมอื ในกาตกแต่ง ตดั ต่อภาพยนตรแ์ ละควบคุมการ เคล่อื นกลอ้ ง ( Motion control ) ดว้ ยวธิ นี าคอมพวิ เตอรไ์ ปใชค้ วบค่อู ปุ กรณ์วดั ตาแหน่งเพลาและการหมุน ของมอเตอรท์ ต่ี ดิ ตงั้ บนแท่นกลอ้ ง ทาใหส้ ามารถควบคมุ การ เคล่อื นไหวกลอ้ งภาพยนตรใ์ หเ้ ป็นไปอย่างต่อเน่ืองและแลดูเป็นธรรมชาติ ภาพทบ่ี นั ทกึ การเคล่อื นไหวท่ี เกิดจากหุ่นจาลองในทิศทางต่าง ๆ จึงแลดูสมจรงิ กว่าภาพยนตร์ท่ผี ่านมามาก คอมพวิ เตอร์กราฟิกถูก นามาใช้สร้างภาพ เทคนิคในภาพยนตร์ครงั้ แรกเม่อื บรษิ ัทวอลท์ดสิ นีย์ได้เสนอภาพยนตร์เรอื ง ตรอน ( Tron ) ซ่ึงเป็นเร่อื งเป็นราวการผจญภยั ของเด็กหนุ่มสาว 2 คนท่ถี ูกส่งเข้าไปภายในระบบคอมพวิ เตอร์ ถงึ แมว้ ่าภาพยนตรเ์ ร่อื งน้ีจะไม่ไดป้ ระสบความสาเรจ็ เท่ากบั สตารว์ อร์ แต่เทคนิคพเิ ศษในภาพยนตรเ์ รอ่ื งต รอนกเ็ ป็นจุดเปล่ยี นแปลงทส่ี าคญั ของการนาคอมพวิ เตอรก์ ราฟิกมาใชส้ ร้างเทคนิคพเิ ศษทท่ี ดแทนวธิ กี าร แบบเก่าในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ บรษิ ทั พาราเมาสพ์ กิ เจอรร์ ่วมกบั บรษิ ทั ลูกสั ฟิล์มไดน้ าเสนอภาพยนตร์ เร่ืองสตาแทรค 2 (Star Trek II) ในภาพยนตร์เร่ืองน้ีมีฉากหน่ึงท่ีนาคอมพิวเตอร์กราฟิกมาสร้าง ภาพเคล่อื นไหวยาว 20 วนิ าที คอื ภาพแสดงโครงการเจเนชสิ ทม่ี วี ตั ถุประสงคส์ ร้างโลกใหม่ของมนุษย์ จุดเด่นของภาพคอมพวิ เตอรก์ ราฟิก คอื เทคนิคทแ่ี สดงภาพการระเบดิ เป็นอนุภาคฝ่นุ และกาแพงไฟทผ่ี วิ ดาวเคราะหแ์ ละขยายตวั ไปอยา่ งรวดเรว็ จนทวั่ ดวงดาว

52 พฒั นาการของเทคนคิ พเิ ศษไดก้ า้ วไปอกี ขน้ึ หน่งึ เมอ่ื บรษิ ทั ไอแอลเอม็ ( Industrial Light & Magic :ILM ) ได้ สรา้ งความฉงนให้กบั ผูช้ มภาพยนตรใ์ นเวลานัน้ ดว้ ยภาพยนตร์ในเวลานัน้ ด้วยภาพยนตรเ์ ร่อื ง Abyss ซ่งึ แสดงให้เห็นถงึ เทคนิคพเิ ศษคอมพวิ เตอร์กราฟิกท่กี ้าวหน้ามากท่สี ุด ต่อมาบรษิ ัทไอแอลเอ็ม ได้สร้าง เทคนคิ พเิ ศษสาหรบั ภาพยนตรเ์ ร่อื ง The Terminator 2 : Judgement Day ความสาเรจ็ ของใชเ้ ทคนิคพเิ ศษ ในภาพยนตรท์ าใหค้ อมพวิ เตอรก์ ราฟิกกลายเป็นเคร่อื งมอื สาคญั สาหรบั การสรา้ งสรรคภ์ าพจากจนิ ตนาการ ของผปู้ ระพนั ธใ์ หป้ รากฏออกมาในภาพยนตรท์ ใ่ี หค้ วามสมจรงิ ได้ อาจกลา่ วไดว้ ่าการพฒั นาระบบฮารด์ แวร์ และซอฟต์แวร์ท่ีใช้สรา้ งเทคนิคพเิ ศษส่งผลใหเ้ กดิ ทางเลอื กใหม่แก่ผู้ผลติ ภาพยนตร์ คอื เน้ือหาของบท ภาพยนตรไ์ ม่ถูกจากดั การนาคอมพวิ เตอรก์ ราฟิกมาใชท้ าใหเ้ น้ือหาบทภาพยนตรไ์ ม่ถูกจากดั ดว้ ยเทคนิค และกระบวนการสรา้ งภาพยนตรอ์ กี ต่อไป ศลิ ปินมคี วามอสิ ระในการสรา้ งภาพยนตรโ์ ดยไม่จากดั ตัวเองให้ อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ในธรรมชาติ เช่นตาแหน่ง ความเร็ว น้าหนักของวตั ถุและกล้องในภาพยนตร์ เคร่อื งมอื ช้นิ ใหม่สาหรบั เทคนิคพเิ ศษ คอมพวิ เตอร์กราฟิกกลายเป็นเคร่อื งมอื ช้นิ หน่ึงสาหรบั การสร้าง เทคนิคพเิ ศษ เช่น ภาพการระเบดิ เปลวไฟ การลบบางส่วนของภาพออก รวมทัง้ การนาไปใชส้ รา้ งตวั ละครประกอบในฉากจานวนมาก ๆ การใหค้ วามสมจรงิ คุณภาพของภาพทป่ี รากฏในฉากภาพยนตร์ ผชู้ ม จ ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถ แ ย ก ไ ด้ว่ า ภ า พ ท่ีป ร า ก ฏ เ ป็ น เ ห ตุ ก า ร ณ์ จ ริง ห รือ เ กิด จ า ก เ ท ค นิ ค พิเ ศ ษ ท่ีส ร้า ง ข้ึน ด้ ว ย คอมพวิ เตอรก์ ราฟิก รวมทงั้ การพฒั นาระบบทเ่ี สมอื นจรงิ ซ่งึ สามารถสรา้ งส่ิงแวดลอ้ มสามมติ ขิ น้ึ มารอบตวั ผชู้ มไดอ้ ย่างน่าต่นื ตาการลดต้นทุนการผลติ ผผู้ ลติ ภาพยนตรส์ ามารถนัน้ ตอนการถ่ายทาลงใหอ้ ยู่ภายใน ฉากเดยี วกนั ได้ โดยเฉพาะในเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั หลาย ๆ เหตุการณ์ เชน่ ฉากการตอ่ สเู้ ดยี วกนั ได้ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั หลาย ๆ เหตกุ ารณ์ เช่น ฉากการตอ่ สขู้ องยานรบในอวกาศท่ี สบั สนวุน่ วายหรอื ภาพฝงู ไดโนเสารจ์ านวนหลายสบิ ตวั ทก่ี าลงั วง่ิ ไลล่ า่ กนั การปรบั ปรุงคณุ ภาพการผลติ การ ผลติ ภาพยนตรใ์ นระยะหลงั ได้พฒั นาทงั้ ระบบบนั ทกึ ภาพและเสยี งท่แี ต่เดมิ กระทาในระบบอนาลอ็ กได้ถูก เปลย่ี นมาใช้ระบบดจิ ติ อลทใ่ี หภ้ าพและเสยี งคมชดั การใชค้ อมพวิ เตอรก์ ราฟิกควบคมุ การเคล่อื นไหวกลอ้ ง บนั ทกึ รวมทงั้ กระบวนการหลงั ถ่ายทา เชน่ การตดั ต่อ และการบนั ทกึ เสยี ง เป็นตน้ คอมพวิ เตอรก์ ราฟิกเป็นรปู แบบของการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะทป่ี ราศจากขอ้ จากดั ซง่ึ สามารถขยายพรมแดน การแสดงออกของจนิ ตนาการ ทาให้ศลิ ปินสามารถสร้างสรรค์ภาพทไ่ี มมเ่ี คยมผี ูใ้ ดเคยเหน็ มาก่อน เช่น ภาพวสั ดทุ ม่ี ขี นาดเลก็ หรอื อย่หู ่างไกลจากความเป็นจรงิ ดว้ ยระยะทางและกาลเวลาใหป้ รากฏออกมาไดอ้ ย่าง สมจรงิ

53 แบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยท่ี 4 คาสงั่ จงทาเครอ่ื งหมาย √ หน้าขอ้ ทค่ี ดิ ว่าถกู และทาเคร่อื งหมาย X หน้าขอ้ ทค่ี ดิ ว่าผดิ ……………….. 1. มเิ ชล นอล ไดผ้ ลติ ศลิ ปะคอมพวิ เตอรข์ น้ึ และไดเ้ ขา้ รว่ มการแสดงศลิ ปะคอมพวิ เตอร์ …………………2. คอมพิวเตอร์กราฟิก คือการสร้าง การจดั การ การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้าง ภาพกราฟิก …………………3. งานกราฟิกทด่ี จี ะตอ้ งทาใหเ้ หน็ ถงึ การนาภาพมาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั โอกาสและหน้าท่ี …………………4. ปจั จุบันการตรวจรกั ษาโรคของแพทย์ใช้ภาพนามธรรมท่ีคอมพิวเตอร์สร้างข้นึ เพ่อื ซ่อมแซมอวยั วะทผ่ี ดิ ปกตหิ รอื ชารุด …………………5. ฟิล์มองภาพยนตร์หรอื วดี ีทศั น์สามารถบนั ทึกภาพการแสดงได้ แต่ไม่สามารถเก็บ รายละเอยี ดทา่ ทางของตวั ละครได้ ………………….6. แผ่นปลวิ คอื สงิ่ พมิ พเ์ ฉพาะกจิ ทเ่ี น้อื หาสาระเร่อื งใดเร่อื งหน่งึ ………………….7. งานกราฟิกบรรจุภณั ฑ์ ประกอบดว้ ย บรรจุภณั ฑค์ า้ ปลกี และบรรจุภณั ฑเ์ พอ่ื การขนสง่ …………………..8. บรรจภุ ณั ฑเ์ พอ่ื การขนสง่ จะเน้นในเรอ่ื งการออกแบบสาหรบั บรรจสุ นิ คา้ จานวนมากๆ ……………….....9. งานกราฟิกบนสง่ิ พมิ พ์ทวั่ ไป ประกอบด้วย การออกแบบหนังสอื การออกแบบจดั หน้า การออกแบบรปู เลม่ ………………….10. คอมพวิ เตอรก์ ราฟิก นอกจากจะใชเ้ ป็นเคร่อื งมอื ในการตดั ต่อภาพยนตรแ์ ละควบคุม การเคลอ่ื นทข่ี องกลอ้ งดว้ ยวธิ ที างคอมพวิ เตอรแ์ ลว้ ยงั ชว่ ยในการควบคุมการเคลอ่ื นไหวกลอ้ งถ่ายภาพยนตร์ ใหเ้ ป็นไปอยา่ งตอ่ เน่อื งและดเู ป็นธรรมชาตมิ ากทส่ี ดุ

54 หน่วยท่ี 5 การจดั ภาพ สาระสาคญั การจดั ภาพ คือ การนาเอาธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมรอบ ๆ ตวั มาประกอบกับหลักการทาง จติ วทิ ยาในเร่อื งของการรบั รแู้ ละหลกั การทางศลิ ปะมาผสมผสานกนั ซง่ึ ในความเป็นจรงิ มไิ ดม้ สี ว่ นใดในงาน ศลิ ปะท่จี ดั วางผดิ แปลกหรอื ต่างไปจากธรรมชาตคิ วามเป็นจรงิ อย่างใดเลยเพยี งแต่มีการจดั วางใหม่ใหด้ ูดี สวยงามกวา่ ธรรมชาติ เร่อื งทจ่ี ะศกึ ษา 1. ความหมายของการจดั ภาพ 2. องคป์ ระกอบศลิ ป์ในการจดั ภาพ 3. การจดั ภาพองงานทศั นศลิ ป์ 4. เทคนคิ การจดั องคป์ ระกอบภาพ 5. องคป์ ระกอบการออกแบบ 6. ผลงานทศั นศลิ ป์ของศลิ ปินไทยและตา่ งประเทศ สมรรถนะประจาหน่วย 1. จดั พ้นื ท่ี จุดสนใจของภาพและการเน้น จดั วางตาแหน่งภาพ และจดั วางภาพชนิดต่างๆ ตาม หลกั การขององคป์ ระกอบศลิ ป์ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. อธบิ ายความหมายองการจดั ภาพได้ 2. แยกแยะองคป์ ระกอบศลิ ป์ในการจดั ภาพได้ 3. วเิ คราะหก์ ารจดั ภาพของงานทศั นศลิ ป์ได้ 4. เขา้ ใจเทคนคิ การจดั องคป์ ระกอบภาพได้ 5. แยกแยะองคป์ ระกอบการออกแบบได้

55 ความหมายของการจดั ภาพ ความหมายของการจดั ภาพ คอื การนาเอาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมรอบ ๆ ตวั มาประกอบกบั หลกั การทางจติ วทิ ยาในเร่อื งของการรบั รู้และหลกั การทางศลิ ปะมาผสมผสานกนั ซ่งึ ในความเป็นจรงิ มไิ ด้มี สว่ นใดในงานศลิ ปะท่จี ดั วางผดิ แปลกหรอื ต่างไปจากธรรมชาตเิ ลยเพยี งแต่มกี ารจดั วางใหม่ให้ดูดสี วยงาม กวา่ ธรรมชาติ การจัดภาพ คือ การนาทัศนธาตุท่ีได้ศึกษาเรียนรู้ไปแล้วมาจัดให้เกิดภาพ การจัดเป็น สว่ นประกอบมลู ฐานสาคญั ในการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะทกุ แขนง การจดั ภาพหรอื องคป์ ระกอบ ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า Composition หมายถงึ การนาเอาเอาทศั น ธาตุต่าง ๆ รวมเขา้ ดว้ ยกนั กาหนดการจดั วางตาแหน่งทเ่ี หมาะสมหรอื ตามความตอ้ งการ ซง่ึ สงิ่ ต่าง ๆ ท่ี กล่าวมาน้ีมนุษยไ์ ดท้ าข้นึ เพ่อื สนองความต้องการทางด้านจติ ใจ คุณค่าของงานศลิ ปะแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คอื การจดั ภาพใหม้ คี ุณค่าในดา้ นความงาม ( Aesthetic Value ) และการจดั ภาพใหม้ คี ุณคา่ ในดา้ นเรอ่ื งราว ( Content Value ) ความงามคอื อะไร ศาสตราจารยศ์ ลิ ป์ พรี ะศรี กลา่ วไวใ้ นหนงั สอื สงเคราะหห์ ว่า ความงาม คอื ความเป็นระเบยี บและมกี ารประสานกลมกลนื ความงาม คอื การกาหนดความรสู้ กึ จากการรบั รแู้ ละเป็นการสอ่ื ความหมาย ความงาม คอื สภาพทเ่ี ป็นไปตามแนวคดิ ทด่ี ที ส่ี ุด ความงาม คอื ลกั ษณะทเ่ี ป็นไปตามธรรมชาติ หรอื คลอ้ ยตามธรรมชาติ ความงาม คอื ความดี จากขอ้ ความดงั กล่าวในเร่อื งความงามนัน้ พอสรุปได้ว่า ความงาม คอื ภาพหรอื ภาวะทม่ี คี วาม เหมาะสมกบั กาลเทศะ ตรงตามความตอ้ งการและรสนิยมองคนสว่ นใหญใ่ นสงั คมซ่งึ ตอ้ งประกอบไปดว้ ยสง่ิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นพน้ื ฐานเบอ้ื งตน้ องคป์ ระกอบศลิ ป์ในการจดั ภาพ องคป์ ระกอบศลิ ป์ในการจดั ภาพแบ่งออกเป็นลกั ษณะใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ี 1. การจดั ภาพลกั ษณะตงั้ ( Dominance ) คอื กาจดั แสดงองค์ประกอบภาพส่วนใหญ่เป็นแนวตงั้ และให้ ความรสู้ กึ แขง็ แรง 2. การจดั ภาพลกั ษณะผ่าน ( Transition ) คือการแก้ไขภาพจากการจดั ภาพลักษณะตัง้ ให้ลกั ษณะท่ีดู นุ่มนวลขน้ึ 3. การจดั ภาพลักษณะนาสายตาหรือเบ่ียงเบนสายตา ( Convergence ) จะทาให้เกิดการเมอื งเห็นใน ระยะใกล้ – ไกล 4. การจดั ภาพลกั ษณะการซ้า ( Repetition ) จะทาใหเ้ กดิ ความเป็นระเบยี บ

56 5. การจดั ภาพในลกั ษณะทรงสามเหลย่ี ม ( Triangular ) 6. การจดั ภาพในลกั ษณะวงกลม ( Circular) 7. การจดั ภาพลกั ษณะกระจายเป็นรศั มี ( Radiation ) ในการจดั ภาพเราจะแสดงถงึ เอกลกั ษณ์ ลกั ษณะแบบอย่างของกลุ่มชนเฉพาะว่าเป็นองกลุ่มน้อยหรอื กลุ่ม ใหญ่ เพอ่ื ใหช้ ดั เจนยงิ่ ขน้ึ มผิ รู้ ไู้ ดจ้ ดั แยกประเภทของการจดั ภาพออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. การจดั ภาพแบบสากล คอื การแสดงเร่อื งราวต่าง ๆ รอบ ๆ ตวั ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั มนุษย์ทวั่ ไป เร่อื งราวของวทิ ยาศาสตร์และธรรมชาตทิ าใหผ้ พู้ บเหน็ เกดิ ความซาบซ้งึ ไดง้ ่ายมไิ ดก้ าหนดว่าเป็นเร่อื งราว ของชาตใิ ด การใชว้ สั ดุทเ่ี ป็นอสิ ระไม่อย่ใู นกฎเกณฑ์ รวมทงั้ วธิ กี ารก็เป็นการกระทาความนึกคดิ ของผู้วาด ภาพเอง 2. การจดั ภาพแบบประจาชาติ คอื การแสดงเร่อื งท่ยี งั อยู่ในกรอบประเพณีกฎเกณฑ์ท่ีกระทา ต่อเน่ืองกนั มา ฃแสดงถงึ ชวี ติ ความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถน่ิ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี มคี วาม ประณีตในตวั หรอื ยงั ดาเนินการตามขนั้ ตอนของกฎเกณฑเ์ ดมิ อย่ถู งึ แม้จะใช้วธิ ใี หม่กต็ าม แต่เม่อื ดูแล้วยงั แสดงเอกลกั ษณ์ของตวั เองอยู่ การจดั ภาพของงานทศั นศลิ ป์ การจัดภาพของงานทัศนศิลป์ ( Visual Art Composition) เป็นการนาเอาส่วนประกอบของความงาม ทศั นศลิ ป์มาจดั เขา้ ดว้ ยกนั โดยตดั ทอนหรอื เพมิ่ เตมิ ให้เหมาะสมกลมกลนื เกดิ เน้ือหา เร่อื งราว และความ งาม แสดงถงึ เอกลกั ษณ์เฉพาะวา่ เป็นกลมุ่ ใด แบง่ ไดเ้ ป็น 2 แบบ คอื ● การจดั ภาพแบบประจาชาติ ( National Composition) ● การจดั ภาพแบบสากล (International Composition) เทคนิคการจดั องคป์ ระกอบภาพ กฎสามสว่ น ( Rule Of Third) ทฤษฎีกฎสามส่วน ( Rule of Third) เป็นวธิ กี ารง่าย ๆ ท่จี ะทาใหภ้ าพออกมาดูดี โดยหลกี เล่ยี ง การว่างตาแหน่งของวตั ถุหลกั ทเ่ี ราจะถ่ายไม่ใหอ้ ย่ตู รงจุดก่งึ กลางภาพ ซ่งึ จะทาให้ภาพนัน้ แขง็ ท่อื ไม่ชวน มอง ดงั นนั้ ตาแหน่งทเ่ี หมาะสมต่อการวางวตั ถุ ควรอยใู่ นตาแหน่งทเ่ี กดิ จากจุดตดั ของเสน้ สเ่ี สน้ ตามทฤษฎี กฎสามสว่ น ซง่ึ การจดั วางตาแหน่งหลกั ของภาพถ่ายเป็นองคป์ ระกอบหน่ึงทส่ี ามารถทาใหเ้ กดิ ผลทางดา้ น แนวความคดิ และความรสู้ กึ ได้ การวางตาแหน่งทเ่ี หมาะสมของจดุ สนใจในภาพเป็นอกี สงิ่ หน่งึ ทส่ี าคญั วธิ กี ารกค็ อื ใหท้ ่านสรา้ งเสน้ สมมติ 4 เสน้ เพอ่ื แบง่ ช่องมองภาพทงั้ แนวตงั้ 2 เสน้ และแนวนอน 2 เสน้ เหมอื นกบั ตตี ารางเล่น O-X จุดทเ่ี สน้ ทงั้ 4 ตดั กนั คอื ตาแหน่งทเ่ี หมาะสมต่อการวางวตั ถุหลกั ไวใ้ น บรเิ วณดงั กล่าว ใหเ้ ลอื กจดุ ทท่ี า่ นคดิ ว่าเหมาะสมทส่ี ุดจุดใดจดุ หน่งึ ทงั้ น้ขี น้ึ อยกู่ บั ภาพทเ่ี รากาลงั จะถ่ายว่า

57 มี ฉากหน้าฉากหลงั เป็นอย่างไร รวมทงั้ เร่อื งราวในภาพ ( มกี ล้องหลายตวั ทม่ี ฟี งั ก์ชนั ในการสร้างเสน้ สมมติดงั กล่าวข้นึ มาใน view finder หรอื LCD เพ่อื ช่วยผู้ถ่ายในการอ้างอิงจุดตดั กฎสามส่วนเช่น Fuji S9500,S9600 เป็นตน้ ) กฎสามสว่ นกล่าวไวว้ า่ ไม่ว่าภาพจะอย่แู นวตงั้ หรอื แนวนอนกต็ าม หากเราแบ่งภาพนนั้ ออกเป็นสามสว่ น ทงั้ ตามแนวตงั้ และแนวนอน แลว้ ลากเสน้ แบ่งภาพทงั้ สามเสน้ จะเกดิ จุดตดั กนั ทงั้ หมด 4 จดั ซง่ึ จดั ตดั ของ เสน้ ทงั้ สน่ี ้ี เป็นตาแหน่งทเ่ี หมาะสมสาหรบั การจดั วางวตั ถุทต่ี อ้ งการเน้นใหเ้ ป็นจุดเด่นหลกั สว่ นรายละเอยี ด ๆ นนั้ เป็นสว่ นสาคญั ทร่ี องลงมา นอกจากน้ีเรายงั สามารถใชแ้ นวเส้นแบ่ง 3 เสน้ น้ี เป็นแนวในการจดั สดั ส่วนภาพกไ็ ดอ้ ย่างการจดั วางเส้น ขอบฟ้าใหอ้ ยใู่ นแนวเสน้ แบ่ง โดยใหส้ ว่ นพน้ื ดนิ และทอ้ งฟ้าอยใู่ นอตั ราสว่ น 3:1 หรอื 1:3 แตไ่ ม่ควรแบ่ง 1:1 จากตวั อย่างจะเหน็ ไดว้ ่า อตั ราสว่ นระหว่างพน้ื ดนิ กบั ทอ้ งฟ้าเป็น 1:3 นอกจากน้ีตาแหน่งจุดสนใจยงั อยู่ท่ี บริเวณจัดตัดทาให้ภาพดูสมบูรณ์และน่าสนใจยิ่งข้ึน และเรายังสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการจัด องคป์ ระกอบภาพอ่นื ๆ โดยใชห้ ลกั การเดยี วกนั ความสมดุลของภาพ การจดั องคป์ ระกอบภาพดว้ ยการจดั ความสมดุลใหก้ บั วตั ถุหรอื สง่ิ ต่าง ๆ ในภาพโดยอาศยั การรบั รู้ ถงึ น้าหนกั และตาแหน่งของวตั ถตุ ่าง ๆ ทอ่ี ยภู่ ายในภาพนนั้ ๆ โดยอาศยั หลกั การ คานดดี คานงดั โดยมี ตาแหน่งกง่ึ กลางภาพเป็นจุดศนู ยก์ ลางของตวั คานน้าหนกั การรบั รถู้ งึ น้าหนกั มาก 1) วตั ถุมขี นาดใหญ่ 2) วตั ถุมสี เี ขม้ 3) ตาแหน่งของวตั ถุอย่หู า่ งจากจุดกง่ึ กลางภาพ การรบั รถู้ งึ น้าหนกั น้อย 1) วตั ถมุ ขี นาดเลก็ ( หรอื เป็นทว่ี า่ งในภาพ ) 2) วตั ถุมสี อี ่อน 3) อย่ใู กลก้ บั จดุ ศูนยก์ ลางของภาพ ดงั นัน้ ในการจดั องคป์ ระกอบของภาพนัน้ นอกจากจะต้องคานึงถงึ กฎสามส่วนแล้วควรจะนึกภาพตาช่าง เสมอื นไวใ้ นใจเสมอ โดยพยายามวางวตั ถุต่าง ๆ เพอ่ื ใหม้ กี ารถว่ งดุลไม่จาเป็นตอ้ งเอาวตั ถุใหญ่ ๆ 2 อนั มา วางไว้ทงั้ 2 ด้านของคานเพ่อื ใหน้ ้าหนักหรอื สมดุลของภาพเท่ากนั แต่เป็นเร่อื งของความเหมาะเจาะพอดี ของ (ขนาดวตั ถุ สสี นั โทนความเขม้ ออ่ นของวตั ถ)ุ กไ็ ด้

58 องคป์ ระกอบการออกแบบ ( Elements) 1.องคป์ ระกอบในความคดิ (Conceptual Elements) องคป์ ระกอบในความนึกคดิ ไม่สามารถมองเหน็ ได้ ไม่มตี วั ตน แต่ดเู หมอื นจะคงอย่โู ดยทวั่ ไป เช่น เรารสู้ กึ ว่ามจี ุดอย่ตู รงมุมของรูปร่าง มเี สน้ อย่บู รเิ วณรูปร่างของวตั ถุมรี ะนาบหุม้ ห่อปรมิ าตร และปรมิ าตร ครอบคลุมพน้ื ทว่ี ่าง แต่ว่าความจรงิ แลว้ องคป์ ระกอบเหล่านนั้ ไม่ไดอ้ ยู่ทบ่ี รเิ วณดงั กล่าวอย่างแท้จรงิ เรา เรยี กลกั ษณะขององคป์ ระกอบทงั้ หมดน้วี า่ “องคป์ ระกอบในความนกึ คดิ “ 2.องคป์ ระกอบทม่ี องเหน็ ได้ (Visual Elements) องค์ประกอบท่มี องเหน็ ได้ ( Visual Elements ) จะเป็นตวั แทนขององค์ประกอบในความนึกคดิ ( Conceptual Elements ) โดยเม่อื เราเขยี นจุด เสน้ ระนาบ หรอื ปรมิ าตรลงบนกระดาษ เราจะไม่เพยี งแต่ มองเห็นความกว่างยาวเท่านัน้ แต่จะเห็นถึงสีและพ้ืนผิว ซ่ึงข้ึนอยู่กับวัสดุท่ีเราใช้และวิธีใช้ เม่ือ องคป์ ระกอบในความนึกคดิ เปลย่ี นเป็นมองเหน็ ไดจ้ ะแสดงให้เหน็ ถงึ รูปร่าง ขนาด สี ผวิ สมั ผสั ซ่งึ เป็น สว่ นหน่งึ ของการออกแบบ 3.องคป์ ระกอบทส่ี มั พนั ธ์ (Relational Elements) องคป์ ระกอบตงั้ แต่หน่ึงองคป์ ระกอบขน้ึ ไป จาเป็นจะตอ้ งควบคุมการจดั วางโดยคานึงความสมั พนั ธ์ ขององค์ประกอบในการสรา้ งความสมั พนั ธ์ระหว่างองคป์ ระกอบน้ีทศิ ทางและตาแหน่งการจดั วางสามารถ รบั รไู้ ด้ บางประเภทตอ้ งอาศยั ความรสู้ กึ จากการวเิ คราะหโ์ ดยเฉพาะเร่อื งของทว่ี ่างและแรงดงึ ดดู 4.องคป์ ระกอบทน่ี ามาใชป้ ระโยชน์ (Practical Elements) 4.1 งานทเ่ี หมอื นจรงิ (Representation) เม่อื รปู ร่างในงานศลิ ปะไดถ้ ่ายทอดมาจากธรรมชาตหิ รอื โลกทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ เราจะเรยี กงานนนั้ ว่างานทเ่ี หมอื นจรงิ (Representation) ซง่ึ อาจจะดเู หมอื นจรงิ จนใกล้ จะเป็นงานนามธรร โดยใหท้ ่านจนิ ตนาการดูว่าคานอนั หน่ึงวางพาดอยู่กลางภาพ โดยมจี ุดหมุนอยู่ก่งึ กลางของตวั คาน วางวตั ถุลงบนตวั คานทงั้ 2 ดา้ น หลกั การคอื การพยายามจดั องคป์ ระกอบ (วตั ถุ) ลงในภาพโดยให้มี ความรสู้ กึ ถงึ ความสมดลุ ของคานทงั้ 2 ฝงั่ การรบั รนู้ ้าหนกั ของวตั ถุจากคนดู ขณะดภู าพ วตั ถุขนาดใหญ่จะมนี ้าหนกั ในภาพมากกว่าวตั ถุทม่ี ขี นาดเลก็ แต่ถา้ วตั ถุทม่ี ขี นาดเลก็ กว่าหากว่าง ในจุดทอ่ี ย่หู ่างออกไปจากจุดก่งึ กลางของคานในตาแหน่งทเ่ี หมาะสมกด็ ูมพี ลงั และน้าหนักไดม้ ากยง่ิ ข้นึ กว่า ปกตเิ พอ่ื นาถว่ งดุลกบั วตั ถุทท่ี ่มี ขี นาดใหญก่ วา่ อยดู่ า้ นหน่งึ ของคานได้ 4.2 ความหมาย (Meaning) ความหมายของงานศลิ ปะแต่ละชนั้ จะแสดงออกเพอ่ื สอ่ื สารสามารถ แนวความคดิ ในการออกแบบ 4.3 ประโยชน์ใชส้ อย (Function) ประโยชน์ใชส้ อยในการออกแบบจะแสดงออกเม่อื งานออกแบบ นนั้ สนองความตอ้ งการทางดา้ นการใชส้ อยของมนุษย์ รปู แบบของทศั นศลิ ป์สากล

59 ทศั นศลิ ป์สากลเกดิ จากการจดั ภาพแบบสากลท่ไี ด้ผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั ผ่านการทดลอง ปรบั ปรุง ดดั แปลง เลอื กสรรจนววิ ฒั นาการรูปแบบเป็นทน่ี ิยมทวั่ ทุกชาตโิ ดยแบ่งรูปแบบออกตามลกั ษณะ ของงานทส่ี รา้ งสรรคไ์ ด้ 3 รปู แบบ คอื ● รูปแบบรปู ธรรม (Realistic) ศลิ ปะแบบเหมอื นจรงิ เป็นศลิ ปะทไ่ี ม่ซบั ซอ้ นมเี น้ือหาสาระทป่ี รากฏ เดน่ ชดั แต่ผสู้ รา้ งและผชู้ มตอ้ งมคี วามรเู้ รอ่ื งนนั้ ดว้ ย เช่น ภาพคน ภาพสตั ว์ ● รูปแบบก่ึงนามธรรม ( Semi Abstract) เป็นการถ่ายทอดท่ีผิดเบนไปจากรูปธรรมหรือแบบ เหมอื นจรงิ ด้วยการตดั ทอดรูปทรงจากของจรงิ ใหเ้ รยี บง่ายแต่ยงั มเี ค้าโครงเดิมอยู่สามารถดูรูว้ ่าเป็นภาพ อะไร ● รูปแบบนามธรรม ( Abstract Art) เป็นศลิ ปะประเภททไ่ี ม่มคี วามจรงิ เหลอื อยู่ เพราะถูกตดั ทอด ใหเ้ หลอื แค่เสน้ สี น้าหนัก ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความงาม ตามอารมณ์ความรสู้ กึ เป็นสง่ิ ทเ่ี หนือความเป็นจรงิ ต้องใช้ จนิ ตนาการในการรบั รรู้ บั ชม คณุ ค่าของงานทศั นศลิ ป์ ทศั นศลิ ป์เป็นศลิ ปะท่รี บั รู้ไดด้ ้วยสายตาการรบั รูท้ างการมองเหน็ ในแขนงจติ รกรรมประตมิ ากรรม และสถาปตั ยกรรม ทาใหเ้ กดิ แรงกระตุ้นและตอบสนองทางดา้ นจติ ใจพรอ้ มกนั นัน้ จติ ใจของมนุษยก์ เ็ ป็นตวั แปรค่าและกาหนดความงาม ความประณีต เร่อื งราวและประโยชน์ต่อสงั คมมนุษย์ การรบั รคู้ ุณค่าของสงิ่ เหล่าน้ี รบั รไู้ ดด้ ว้ ยอารมณ์ ความรสู้ กึ ของแต่ละบุคคล ความงามและเร่อื งราวจะเกดิ มคี ุณค่ากเ็ พราะการ รบั รู้ทางการมองเหน็ เกดิ ความรู้สกึ ประทบั ใจ มคี วามอมิ่ เอบิ ในในคุณค่านัน้ ๆ สาหรบั งานทศั นศลิ ป์ไม่ว่า รปู แบบใดยอ่ มมคี ุณค่าในตวั ของผลงานเอง ผลงานทศั นศลิ ป์สามารถแบ่งการรบั รคู้ ณุ คา่ ได้ 14 คณุ คา่ คอื 1. คุณคา่ ทางความงาม (Aesthetic Value) เป็นการรวบรวมในเร่อื งของความประณีต ความละเอยี ด มรี ะเบยี บ น่าทง่ึ มโหฬาร ประหลาด แปลกหู แปลกตาและเป็นสง่ิ ทม่ี คี ุณคา่ ทางความงาม โดยเกณฑข์ องความงามทอ่ี ย่ใู นงานทศั นศลิ ป์ ซ่งึ สามารถรบั รู้ และยอมรบั ไดโ้ ดยทวั่ ไป เป็นการประสานกนั ของสว่ นประกอบต่าง ๆ ของความงาม เช่น จดุ เสน้ รปู ร่าง รูปทรง สี แสงเงา พ้นื ผวิ ความกลมกลนื และการจดั ภาพ เป็นต้น โดยผูส้ ร้างสรรค์งานทศั นศลิ ป์จะ แสดงออกตาม ความรู้สกึ ในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสงั คม เพราะความงามของแต่ละสงั คมย่อมมคี วามแตกต่างข้นึ อยู่กบั สภาพของสงั คมและวฒั นธรรมของสงั คมนนั้ ๆ 2. คุณคา่ ทางเรอ่ื งราว ( Content Value ) เป็นการแสดงลกั ษณะบ่งบอกถึงความหมายเร่อื งราวความเก่ียวข้องและจุดประสงค์แฝงอยู่ในผลงาน สามารถบอกเน้อื หาสาระสาคญั วา่ มอี ะไร จะต่อไปอย่างไรเพราะทศั นศลิ ป์แต่ละชน้ิ นบอกเร่อื งราวตา่ ง ๆ อยู่ ในตวั เองจงึ มองเหน็ และเขา้ ใจไดง้ า่ ยกวา่ คุณคา่ ทางดา้ นความงาม

60 3. คุณคา่ เร่อื งราวเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตร์ เป็นเร่อื งราวท่นี าเสนอเหตุการณ์สาคญั ของคนแต่ละเช้อื ชาตทิ ่นี ่าสนใจ ซ่งึ ส่วนใหญ่จะเป็นเร่อื งของอดตี อาจเป็นเร่อื งของการต่อสูเ้ พ่อื อสิ รภาพ การเรยี กรอ้ งสทิ ธติ ่าง ๆ และพงศาวดารในแต่ละสมยั เร่อื งราวท่ี นามาถ่ายทอดสามารถปลกุ เรา้ อารมณ์ ความรสู้ กึ ใหเ้ กดิ การกระตนุ้ เตอื นและคลอ้ ยตามถงึ ความรกั ชาติ รกั ถน่ิ ตน เสยี สละในดา้ นต่าง ๆ เชน่ อนุสาวรยี แ์ ละจติ รกรรมฝาผนงั เป็นตน้ 4. คุณค่าเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ความเชอ่ื ในสงิ่ เรน้ ลบั ศรทั ธา มนุษยไ์ มว่ ่าชาตใิ ดยอ่ มมคี วามกลวั ดว้ ยกนั ทงั้ สน้ิ เม่อื มนุษยเ์ กดิ ความกลวั มนุษยจ์ ะหาสงิ่ ทม่ี าคลค่ี ลายดบั ความกลวั ใหเ้ บาบางลง เช่น ความเช่อื ในสง่ิ เร้นลบั เทพเจา้ พระเจ้า นรกสวรรค์ ภูตผี ปีศาจ ไสย ศาสตร์ ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ หรอื วญิ ญาณ ก่อเกดิ เทวรูป รูปปนั้ และอาคารประกอบพธิ กี รรมต่าง ๆ เป็นตน้ 5. คณุ ค่าเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี มนุษยท์ ุกชนย่อมมศี าสนาวฒั นธรรมและประเพณีของตนเอง และด้วยความรกั ความศรทั ธาทาใหเ้ กดิ พลงั และแรงบนั ดาลใจอนั มหาศาลทจ่ี ะถ่ายทอดความเช่อื ความศรทั ธาใหผ้ อู้ ่นื ไดร้ บั รเู้ ร่อื งราวทเ่ี กย่ี วกบั ศาสนา และวฒั นธรรม จงึ ถูกสะท้อนผ่านจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรคอ์ อกมาทางรูปแบบงานทศั นศลิ ป์ใน หลากหลายประเภทตลอดทุกยุคทุกสมยั เปรยี บเสมอื นภาพจาลองเหตุการณ์ เช่น ภาพจติ รกรรมไทย ชาดก พทุ ธประวตั ิ เป็นตน้ 6. คุณคา่ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั การเมอื ง การปกครอง เช่น การสรา้ งประตมิ ากรรมอนุสาวรยี บ์ ุคคลสาคญั ๆ เพอ่ื เป็นอนุสรณ์แสดงว่าบคุ คลผนู้ นั้ เป็นผมู้ คี วามสามารถในการเมอื งการปกครอง 7. คณุ คา่ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ชวี ติ ประจาวนั ของคนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ ต่าง ๆ เป็นการถ่ายทอดเก่ยี วกบั การเผชญิ ในสงิ่ ท่มี นุษยไ์ ด้กระทาอยู่ในแต่ละวนั เพราะการดารงชีวติ อยู่ ของมนุษยใ์ นสงั คมต้องการความสุขโดยอาศยั ปจั จยั สาคญั ท่ีทาให้เกดิ ความสุขในแต่ละวนั ได้แก่ จติ ใจ อารมณ์และทางดา้ นสงั คม ดงั นนั้ เรอ่ื งราวทน่ี าเสนอเพอ่ื ใหเ้ กดิ คณุ คา่ เชน่ เร่อื งราวของทอ่ี ย่อู าศยั อาคาร ยารกั ษาโรค การพกั ผ่อนหย่องใจ ความปลอดภยั ความกา้ วหน้าทางการศกึ ษา และอาชพี เป็นตน้ 8. คุณคา่ เร่อื งราวเกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม คุณค่าของเร่อื งราวลกั ษณะน้ีเป็นการนาเสนอในเร่อื งของความงามของธรรมชาตสิ งิ่ แวดลอ้ ม และการพง่ึ พา อาศยั กนั ระหวา่ งมนุษยก์ บั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม พรอ้ มทงั้ เสนอแงค่ ดิ ว่าทาไมมนุษยจ์ งึ ทาลายธรรมชาติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม และทาไมเราตอ้ งรณรงคต์ ่อต้านการทาลายธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม สมควรทจ่ี ะอนุรกั ษ์ให้ อย่คู ู่มนุษยส์ บื ไป รูปแบบเร่อื งราวได้แก่ การปลูกป่า มลพษิ จากโรงงาน น้าเน่าเสยี ความงามและการ ทาลายธรรมชาตกิ บั สง่ิ แวดลอ้ ม เป็นตน้ 9. คุณค่าเร่อื งราวเกย่ี วกบั วรรณคดี นทิ านพน้ื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษติ

61 เป็นการถ่ายทอดเร่อื งราวจากหนงั สอื นิทานพน้ื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษติ ตานาน พงศาวดาร ท่ี สามารถบรรยายเน้ือหาเร่อื งราวใหผ้ ูด้ ูไดร้ ู้อย่างชดั เจน โดยแสดงเป็นภาพเล่าเร่อื ง เช่น ภาพจติ รกรรม ไทย สงั ขท์ อง และรามเกยี รติ์ เป็นตน้ 10. คุณคา่ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ความเจรญิ กา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เป็นการนาเสนอเร่อื งของความเจรญิ ก้าวหน้าในดา้ นวทิ ยาการต่าง ๆ ทน่ี าพาใหป้ ระเทศนนั้ ๆ เจรญิ รงุ่ เรอื ง คุณคู่ของเร่อื งราวประเภทน้ีสามารถโน้มน้าวให้ผู้ชมเห็นความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยที ่ี ทนั สมยั เช่น เร่อื งราวเกย่ี วกบั อตุ สาหกรรม ยานอวกาศ วงการแพทย์ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ และการ สอ่ื สาร เป็นตน้ 11. คณุ คา่ ของงานทศั นศลิ ป์ต่อชวี ติ และสงั คม “ ชวี ติ สลาย อาณาจกั รพนิ าศ ผลประโยชน์ของบุคคลลายหายส้นิ ไป แต่ศลิ ปะเท่านัน้ ท่ยี งั คงเหลือเป็น พยานแหง่ ความเป็นอจั ฉรยิ ะของมนุษยอ์ ยตู่ ลอดกาล” ขอ้ ความขา้ งต้นน้ีเป็นความเห็นอนั เฉียบคมของท่าน ศาสตราจารย์ศลิ ปะ พรี ะศรผี ู้ก่อตงั้ มหาวิทยาลัย ศลิ ปากร แสดงใหเ้ หน็ ว่างานศลิ ปะเป็นสมบตั อิ นั ล้าค่าของมนุษยท์ แ่ี สดงความเป็นอจั ฉรยิ ะบ่งบอกถงึ ความ เจรญิ ทางดา้ นจติ ใจและสตปิ ญั ญาอนั สงู กว่า ซง่ึ มคี ุณคตู่ อ่ ชวี ติ และสงั คม 12. คณุ คา่ ในการยกระดบั จติ ใจ คุณคา่ ของศลิ ปะอยทู่ ป่ี ระโยชน์ ช่วยจดั ความโฉดความฉ้อฉลยกระดบั วญิ ญาณความเป็นคนเหน็ แกต่ น บท กวขี องเนาวรตั น์ พงษ์ไพบูลย์ กวซี ไี รตข์ องไทย ไดใ้ หค้ วามสาคญั ของงานศลิ ปะในการยกระดบั วญิ ญาณ ความเป็นคนก็คอื การยกระดบั จิตใจของคนเราให้สูงข้นึ ด้วยการได้ช่ืนชมความงามและความประณีต ละเอยี ดอ่อนของงานศลิ ปะ ตวั อย่างเช่น เม่อื เรานาพรมอนั สวยงามสะอาดมาปูเตม็ หอ้ ง กค็ งไม่มใี ครกลา้ นารองเทา้ ทเ่ี ป้ือนโคลนมาเหยยี บย่าทาลายความงามของพรมไปจนหมดส้นิ สงิ่ ทม่ี คี ุณค่ามาช่วยยกระดบั จติ ใจของคนเราใหม้ งั่ คงในความดกี ค็ อื ความงามของศลิ ปะนนั่ เอง ดงั นนั้ เมอ่ื ใดทม่ี นุษยไ์ ดช้ ่นื ชมความงามของศลิ ปะเมอ่ื นนั้ มนุษยก์ จ็ ะมจี ติ ใจทแ่ี ช่มช่นื และละเอยี ดออ่ นตามไป ดว้ ย เวน้ แต่บุคคลผนู้ นั้ จะมสี ตวิ ปิ ลาศ นอกจากน้ีงานศลิ ปะบางชน้ิ ยงั ใหค้ วามงามและความรสู้ กึ ถงึ ความดี งาม และคุณงาม จรยิ ธรรมอย่างลกึ ซ้งึ เป็นการจรรโลงจติ ใจใหผ้ ู้ดูเคร่งเครยี ดและเศรา้ หมองของศลิ ปินผู้ สรา้ งสรรคแ์ ละผูช้ ่นื ชมไดเ้ ป็นอย่างดี ดงั นัน้ จงึ มกี ารส่งเสรมิ ให้เดก็ สรา้ งงานศลิ ปะเพ่อื ผ่อนคลายความ เครง่ เครยี ดและพฒั นาสุขภาพจติ ซง่ึ เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของพฒั นาการต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ 13. คุณคา่ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม งานจติ รกรรม เป็นศลิ ปะทส่ี ่อื ความงามและความรสู้ กึ ไปส่ผู ดู้ หู รอื ผชู้ ่นื ชมไดโ้ ดยง่าย คุณค่าเบอ้ื งต้น เป็น คุณค่าทางดา้ นจติ ใจในการชมความงาม ความละเอยี ดอ่อนของเสน้ สี แสงเงา และองคป์ ระกอบของศลิ ป์ ต่าง ๆ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ และให้คติธรรม แนวคิดในการดารงชวี ติ และยงั รกั ษาขนบธรรมเนียม ประเพณวี ฒั นธรรม ศาสนา และประวตั ศิ าสตรจ์ ากจติ รกรรมฝาผนงั ตา่ ง ๆ 14. คณุ ค่าของผชู้ น่ื ชมและสงั คมสว่ นรวม

62 บทบาทของประชาชนทวั่ ไปในการใชป้ ระโยชน์และคณุ ค่าของสถาปตั ยกรรมนบั ตงั้ แต่บา้ นเรอื น ทอ่ี ย่อู าศยั โดยเรม่ิ ต้นจากการดูแลรกั ษาความสะอาด ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยภายในบ้าน การใชห้ ลกั ทางศลิ ปะ และรสนิยมส่วนตวั ตกแต่งบ้านเรอื นใหน้ ่าอยู่โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การประดบั ตกแต่งดว้ ยต้นไม้และพ้นื ท่สี ี เขยี วภายในบา้ น สาหรบั งานทางศลิ ปะทม่ี คี ุณค่าทางวจิ ติ รศลิ ป์ ดงั นนั้ เราจงึ ควรร่วมมอื กนั อนุรกั ษ์ศลิ ปะ ทงั้ จติ รกรรมประตมิ ากรรมและสถาปตั ยกรรมอนั เก่าแกไ่ วส้ บื ตอ่ ไป ผลงานทศั นศลิ ป์ของศลิ ปินไทยและตา่ งประเทศ ศลิ ปินดา้ นจติ รกรรม 1.อาจารยถ์ วลั ย์ ดชั นี ผลงานของถวลั ย์ ดชั นี เป็นทย่ี อมรบั และยกย่องทงั้ ในและตา่ งประเทศ การสร้างสรรคผ์ ลงานเกดิ จากการนาแนวปรชั ญาพุทธศลิ ป์มาเป็นแรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะไทยรว่ มสมยั ทท่ี รงพลงั ลมุ่ ลกึ และแกร่งกรา้ ว มเี น้ือหาสาระและท่วงทที ม่ี ชี วี ติ วญิ ญาณของความเป็นไทย รวมถงึ ผสมผสานระหว่างแนว ปรชั ญาตะวนั ออกและตะวนั ตกเขา้ ไวใ้ นผลงาน 2.รองศาสตราจารยป์ รญิ ญา ตนั ตสิ ขุ ปรญิ ญา ตนั ตสิ ุข สรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะดว้ ยการนาเสนอและเขา้ ร่วมแสดงในนิทรรศการศลิ ปะ สาคญั ๆ ทงั้ ในประเทศและต่างประเทศอย่างสม่าเสมอตลอดมา ทงั้ การจดั นิทรรศการเดย่ี วและนิทรรศการ กลุ่ม ผลงานปรญิ ญาแสดงถงึ การเรม่ิ ต้นดว้ ยความคิดและรูปแบบทเ่ี ก่ยี วโยงกบั รูปธรรม และเปลย่ี นแปร ห่างออกไปดว้ ยจนิ ตนาการและศลิ ปินโดยมกี ารประสานสมั พนั ธ์ของสเี ป็นวธิ สี าคญั จนกลายเป็นงานแบบ นามธรรมไปในทส่ี ดุ ศลิ ปินดา้ นจติ รกรรมและสอ่ื ผสม 1.อาจารยธ์ งชยั รกั ประทุม ธงชยั รกั ประทุม เป็นศลิ ปินทม่ี คี วามเชย่ี วชาญดา้ นศลิ ปะทงั้ ไทยและสากลดว้ ยเพราะเคยไดร้ บั ทุน ไปศกึ ษาต่อด้านศลิ ปะร่วมสมยั ท่ปี ระเทศอติ าลี ธงชยั ได้สร้างผลงานด้วยความมุ่งมนั่ และแน่วแน่อยู่บน เสน้ ทางเดนิ ของการสรา้ งศลิ ปะร่วมสมยั มาตอ่ เน่ืองตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จุบนั ผลงานมลี กั ษณะเฉพาะตวั และ โดดเดน่ มเี น้อื หาสาระและแนวคดิ ทก่ี า้ วลกึ ไปสวู่ ถิ ชี วี ติ ในเชงิ วฒั นธรรมของสงั คมยคุ ใหม่ เกรด็ ความรู้ ศลิ ปะแบบสอ่ื ผสม ( Mixed Media ) เป็นวจิ ติ รศลิ ป์ ในการนาส่อื มากกว่าสองสอ่ื ขน้ึ ไปมาสรา้ งเป็น ผลงานต่าง ๆ โดยนิยมใชส้ อ่ื ทแ่ี ตกต่างกนั มานาจดุ เดน่ ใชร้ ่วมกนั ไดแ้ กง่ านจติ รกรรม ประตมิ ากรรม ภาพ

63 พมิ พ์ และงานวาดเสน้ ศลิ ปะส่อื ผสมอาจมลี กั ษณะเป็น 2 มติ ิ หรอื 3 มติ กิ ไ็ ด้ ศลิ ปะส่อื ผสมนอกจากจะ เป็นศลิ ปะสมยั ใหม่แลว้ ยงั เป็นงานสะทอ้ นใหเ้ หน็ สงั คมในรูปแบบต่าง ๆ ดว้ ย เพราะปจั จุบนั การสรา้ งสรรค์ ผลงานทศั นศลิ ป์ไม่ได้อยู่แค่บนกระดาษหรอื ผ้าใบ แต่เป็นการพฒั นาการสรา้ งผลงานผสมกนั ทงั้ การวาด เขยี น การระบายสกี าพมิ พ์ เป็นต้น ผสมผสานกบั เทคโนโลยใี หม่ ๆ เช่น วดิ โี อ คอมพวิ เตอร์ ซ่งึ เป็ นส่อื ใหม่ ๆ ทม่ี กี ารพฒั นาตลอดเวลาและมคี วามทนั สมยั ในปจั จบุ นั 2.ศาสตราจารยก์ มล ทศั นาญชลี กมล ทศั นาญชลี เป็นศลิ ปินทไ่ี ดร้ บั การยกย่องทงั้ ในและต่างประเทศ ผลงานของกมลมเี อกลกั ษณ์ ตามแนวทางสากลท่มี พี ้นื ฐานจากศลิ ปะแบบประเพณี วถิ ชี วี ติ ไทย มกี ารใชส้ ่อื ผสมในการสรา้ งสรรค์งาน จติ รกรรมทงั้ รปู แบบ 2 มติ ิ 3 มติ ิ อาศยั เทคนิควสั ดสุ มยั ใหม่สะทอ้ นการเช่อื มโยงเร่อื งราววฒั นธรรมระหวา่ ง ตะวนั ตกและตะวนั ออก ทาใหผ้ ลงานมคี วามรว่ มสมยั 3.ศาสตราจารยเ์ ดชา วราชุน ผลงานในช่วงแรก ๆ ของเดชา วราชุน เป็นผลงานภาพพมิ พโ์ ดยใชป้ ระสบการณ์จากการรวบรวม ขอ้ มูลของรูปทรงท่สี นใจทงั้ จากรูปทรงเรขาคณิต และเรมิ่ ทางานส่อื วสั ดุปะปิดด้วยการใช้มวลธาตุทาง ทศั นศลิ ป์เป็นมูลเหตุสาคญั ในการสร้างผลงาน เดชาพฒั นาภาพผลงานอย่างต่อเน่ืองตามลาดบั จนได้รบั เกยี รตเิ ป็นศลิ ปินชนั้ เยย่ี มประเภทภาพพมิ พใ์ นปี 2525 เดชาเปลย่ี นแปลงการสรา้ งผลงานใหจ้ รงิ จงั ขน้ึ เม่อื ปี 2539 เพ่อื ตอ้ งการสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ชวี ติ ของสงั คมปจั จุบนั ทด่ี ารงอย่ใู นสงิ่ แวดลอ้ มของความเจรญิ ก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี ศลิ ปินดา้ นประตมิ ากรรม 1.ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยเ์ ขยี น ยม้ิ ศริ ิ เขยี น ยม้ิ ศริ ิ เป็นบรมครดู า้ นการสรา้ งสรรคง์ านประตมิ ากรรมดา้ นวชิ ากรศลิ ปะคนสาคญั ของไทย เป็นศลิ ปินผบู้ กุ เบกิ ในการนาเอาคุณค่าลกั ษณะแนวไทยมาเป็นรปู แบบในการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน โดยจะเหน็ ไดถ้ งึ พฒั นาการจากประตมิ ากรรมแนวไทยประเพณีคลค่ี ลายมาสูป่ ระตมิ ากรมแบบร่วมสมยั ทแ่ี ฝงความเป็น ไทยอยู่ เน้อื หาของการแสดงออกเป็นอริ ยิ าบถต่าง ๆ ทอ่ี อ่ นซอ้ ยละเมยี ดละไมใหค้ วามรสู้ กึ ถงึ ความงามของ เสน้ ทเ่ี คล่อื นไหวประสานสมั พนั ธก์ นั อยา่ งสมบูรณ์ จนไดร้ บั เกยี รตเิ ป็นศลิ ปินชนั้ เยย่ี มเมอ่ื ปี 2496 2.ศาสตราจารยช์ ะลดู นม่ิ เสมอ ชะลูด นิ่มเสมอ ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะหลายดา้ น ผลงานยุคแรก ๆ เป็นผลงานดา้ นจติ รกรรม ท่ีแสดงวิถีชีวิตของชนบทท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์ ความเอ้ืออาทรท่ีมีในสงั คม ระยะต่อมาชะลูดได้ สรา้ งสรรคผ์ ลงานด้านประตมิ ากรรมซ่งึ มรี ูปแบบหลายหลาย เช่นการนาวสั ดุทอ้ งถน่ิ มาประกอบในผลงาน เพอ่ื แสดงความผกู พนั ทม่ี ตี ่อชนบท ผลงานทม่ี ชี ่อื เสยี งส่วนมากจะเป็นประตมิ ากรรมตดิ ตงั้ ภายนอกอาคาร เช่น ผลงาน โลกุตระ ทห่ี น้าอาคารศนู ยห์ ารประชุมแหง่ ชาตสิ ริ กิ ติ ิ์

64 3.อาจารยน์ นทวิ รรธน์ จนั ทนะผะลนิ นนทวิ รรธน์ จนั ทนะผะลนิ เป็นศลิ ปินทส่ี รา้ งสรรคง์ านศลิ ปะมาอย่างตอ่ เน่อื งตลอดระยะเวลา 37 ปี และเป็นประติมากรท่ีมชี ่อื เสียงมากท่สี ุดคนหน่ึงในประเทศไทย ผลงานท่โี ดดเด่นเป็นรูปทรง 3 มติ ิ มี ความสาคญั ของเส้นและปรมิ าตรอนั กลมกลนื งดงาม โดยนาเสนอผ่านความรู้สกึ อารมณ์ และความ ปรารถนา เพอ่ื ใหส้ งั คมไดต้ ระหนกั ถงึ ความเป็นจรงิ ของธรรมชาติ ต่อมาในภายหลงั ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานท่มี ี เน้ือหาแฝงปรชั ญาทางพระพุทธศาสนาผลงานของนนทวิ รรธน์ไดร้ บั รางวลั จากการแสดงศลิ ปกรรมแห่งชาติ หลายครงั้ รวมทงั้ ใหส้ รา้ งประตมิ ากรรมกบั สง่ิ แวดลอ้ มทงั้ ในและต่างประเทศ นอกจากน้ียงั เป็นผู้เผยแพร่ ความรแู้ ละสรา้ งคุณประโยชน์ทางดา้ นศลิ ปะแกส่ งั คมและวงการศกึ ษาศลิ ปะของไทยมาโดยตลอด ศลิ ปินดา้ นการพมิ พ์ 1.ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ ประหยดั พงษ์คา ประหยดั พงษ์คา เป็นศิลปินท่ีสร้างสรรค์ผลงานท่ีมีแนวทางเฉพาะ คือ การถ่ายทอดชีวิตสัตว์ใ น บรรยากาศแบบไทย ๆ โดยเด่นในเร่อื งการทางานดา้ นภาพพมิ พ์ โดยเฉพาะแมพ่ มิ พแ์ กะไมซ้ ง่ึ ไดร้ บั การยก ย่องว่ามคี วามเชย่ี วชาญอย่างสงู ผลงานประหยดั สะทอ้ นถงึ ความเรยี บงา่ ยของวถิ ชี นบท โดยนาเสนอผ่าน เรอ่ื งราวและลกั ษณะของสตั วต์ ่าง ๆ 2.อาจารยเ์ ฉลมิ ศกั ดิ ์ รตั นจนั ทร์ เฉลมิ ศกั ดิ ์ รตั นจนั ทร์ เป็นอาจารยผ์ สู้ อนศลิ ปะ และเป็นศลิ ปินดา้ นภาพพมิ พ์ทม่ี คี วามมุ่งมนั่ พากเพยี รใน การสรา้ งสรรคผ์ ลงานตามความถนัดเฉพาะตวั ไม่ว่าจะเป็นภาพพมิ พด์ ว้ ยเทคนิค Silk ScreenLithograph Intaglio ซง่ึ ผลงานของเฉลมิ ศกั ดไิ ์ มไ่ ดย้ ดึ ตดิ กบั เทคนิคใดโดยเฉพาะ ปจั จุบนั เฉลมิ ศกั ดดิ ์ ารงตาแหน่งคณบดี (คณะศลิ ปะวจิ ติ ร) สถาบนั ทติ พฒั นศลิ ป์กระทรวงวฒั นธรรม ศลิ ปินดา้ นสถาปตั ยกรรม 1. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ ทรงเป็นศลิ ปินดา้ นสถาปตั ยกรรมพระองคท์ รง ใช้เวลาส่วนใหญ่กบั งานศลิ ปะและวทิ ยาการ งานด้านสถาปตั ยกรรมเป็นงานพระองค์ทรงพถิ พี าถนั อย่าง มาก งานสถาปตั ยกรรมท่โี ปรดทามากคอื แบบพระเมรุผลงานท่เี ป็นท่รี ู้จกั ของพระองค์คอื การออกแบบ ก่อสรา้ งพระอโุ บสถวดั เบญจมบพติ รฯ และการออกแบบก่อสรา้ งอาคารโรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพติ ร 2. อาจารยป์ ระเวศ ลมิ ปรงั ษี ประเวศ ลมิ ปรงั ษี เป็นสถาปนกิ ทม่ี คี วามเป็นเลศิ ในการออกแบบผกู ลายไทยไดง้ ดงาม ผลงานของประเวศ เป็นทย่ี อมรบั อย่างกวา้ งขวางทงั้ ในและต่างประเทศ ผลงานสาคญั เชน่ การออกแบบอโุ บสถ วดั พุธประทปี

65 กรุงลอนดอน บูรณะพระธาตุพนม จงั หวดั นครพนม ออกแบบฐานพระประธานพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ผลงานทศั นศลิ ป์ของศลิ ปินตา่ งประเทศทม่ี ชี อ่ื เสยี ง ศลิ ปินตา่ งประเทศทม่ี ชี อ่ื เสยี ง : ศลิ ปินชาย 1.แอนดี วารฮ์ อล (Andy Warhol) ค.ศ. 1928 – ค.ศ. 1987 แอนดี วาร์ฮอล เป็นราชาแห่ง Pop Art มชี ่อื เดมิ ว่า Andrew Warhola ในปี 1949 เขาได้เปลยี นช่อื ตวั เอง ใหม่เป็น WARHOL ผลของเขาในข่วงแรกทป่ี ระสบความสาเรจ็ มากคอื ภาพ Women is Shoes ในปี 1960 ว่ารฮ์ อลไดเ้ รม่ิ วาดรูปท่เี ป็นงานแบบประชานิยม ( Pop Art ) ช้นิ แรกโดยมรี ากฐานมาจากหนังสอื การ์ตูน หลายเร่อื ง เช่น Dick Tracy. Popeye .Supeman จากนนั้ ไดป้ รบั ปรงุ งานของตนเองเร่อื ยมา จนกระทงั่ ในปี 1962 วาร์ฮอลได้วาดภาพ Campbell is Soup อนั โด่งดงั และเป็นทร่ี ูจ้ กั มากยงิ่ ข้นึ ในฐานะของศลิ ปินแบบ Pop Art งานทค่ี ่อนขา้ งทาให้เขามชี ่อื เสยี งมากกค็ อื งานในแบบ Silk Screen ท่ที าเป็นรูปต่าง ๆ มากมาย และภาพเหมอื นของบุคคลสาคญั ตา่ ง ๆ ในแบบ Pop Art วารฮ์ อลเป็นศลิ ปิน Pop Artทจ่ี บั เอาอะไร ๆ ตา่ งในสงั คมชว่ งนนั้ มาใสใ่ นงานของเขาโดยผ่านเทคนิคการใชส้ ี และ Style ท่เี ป็นแบบเฉพาะของเขาเอง และเขายงั จบั เอาสง่ิ ท่ผี ู้คนส่วนใหญ่เหน็ ว่าเป็นสง่ิ ธรรมดา เช่น กระป๋ อง Campbell is Soupมาทาใหม้ คี ุณค่าทางศลิ ปะถอื ไดว้ ่าเป็นการทางานท่เี ข้าสู่ความจรงิ ในรูปแบบ ใหม่ ๆ มากยง่ิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี รยี กว่า New Realism และวธิ กี ารเช่นน้ีกเ็ ป็นทช่ี ่นื ชอบของผคู้ นต้งี แตย่ ุคนนั้ จนถงึ ปจั จุบนั 2.เดวดิ ฮอคนี (David Hockney ) ค.ศ. 1937 ถงึ ปจั จุบนั เดวดิ ฮอคน่ี เป็นเจา้ พอ่ Pop Art ชาวองั กฤษทม่ี ชี อ่ื เสยี งมาก จนเป็นแรงบนั ดาลในแก่วงการแฟชนั่ ในเร่อื ง สสี นั และลวดลายต่าง ๆ สไตล์การแตง่ กายของเขาเป็นทย่ี อมรบั ของเหล่าดไี ซน์เนอร์ ผลงานของฮอคนีสว่ น ใหญ่เป็นภาพของฝงู เพ่อื น คนสนิท ภาพความสมั พนั ธแ์ ละชวี ติ ปิ ระจาวนั ผลงานของเขาไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจา กปิกัสโซ ผลงานจะเป็นแบบ Cubism เหล่ียม ๆ แบบ ๆ ในอิริยาบถแบบภาพถ่าย และกลายเป็น Photocubism ในเวลาตอ่ มาซง่ึ ฮอคนีใหค้ วามใสใ่ จในวธิ กี ารสรา้ งงานศลิ ปะของเขาตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบนั 3.ชารล์ ซาตชิ ( Charles Saatchi ) ค.ศ. 1943 ถงึ ปจั จบุ นั ชารล์ ซาตชิ เป็นทร่ี จู้ กั กนั ทวั่ โลก เขาเป็นนักสะสมศลิ ปะ และเป็นเจา้ ของ Saatchi Gallery ซ่งึ เป็นแกล เลอรที แ่ี สดงผลงานศลิ ปะทเ่ี ขาได้รวบรวมมาหลายปี ผลงานของเขาไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะสมยั ใหม่และ แบบประชานยิ ม เขาไดร้ บั ความบนั ดาลใจจากศลิ ปินหลายท่านในการสรา้ งสรรค์ ซง่ึ เขาเป็นคนทใ่ี หค้ วาม สนใจรายละเอยี ดในผลงานของเขามาก 4.เจฟฟ์ คนู ส์ ( Jeff Koons ) ค.ศ. 1955 ถงึ ปจั จุบนั

66 เจฟฟ์ คูนส์ เป็นศลิ ปินชาวอเมรกิ นั ผูม้ ชี ่อื เสยี งโด่งดงั มากในแวดวงศลิ ปะนานาประเทศ ผลงานของคูนส์ ในช่วงแรก ๆ เป็นรปู แบบ Conceptual Sculpture ผลงานทส่ี รา้ งชอ่ื ใหเ้ ขามชี อ่ื ชุดว่า Equilibrium หรอื ดุลย ภาพเม่อื ปี 1985 ในทศวรรษท่ี 1980 เขาสร้างสรรค์ผลงานท่ีมชี ่ือเสียงมากคือ Michael Jackson and Bubbles ซ่ึงถือเป็นงานเซรามกิ ท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก ในปี 2008 เขาได้รบั เกียรติให้แสดงผลงานเด่ียว ณ พระราชวงั แวรช์ ายส์ ประเทศฝรงั่ เศส ปจั จบุ นั เขาอาศยั และทางานสว่ นใหญใ่ นนวิ ยอรก์ สหรฐั อเมรกิ า 5.โยชโิ รโมะ นาระ (Yoshitomo Nara) ค.ศ. 1959 ถงึ ปจั จบุ นั โยชโิ ตโมะ นาระ เป็นศลิ ปิน Pop ร่วมสมยั ชาวญป่ี ุน่ ทโ่ี ด่งดงั มาก นาระไดแ้ สดงผลงานเดย่ี วทงั่ โลกมาแลว้ กว่า 40 ครงั้ และเคยแสดงผลงานร่วมกบั ศลิ ปินไทยหลายครงั้ เช่น ประตมิ ากรรม Phuket Dog และบรจิ าค ใหก้ บั เมอื งภเู กต็ ปจั จุบนั ผลงานของนาระเป็นภาพวาดการต์ ูนเดก็ ผหู้ ญงิ หน้าตาน่ารกั แต่แฝงไวซ้ ่งึ ความลกึ ลบั และความน่า กลวั ไวภ้ ายใน โดยไดร้ บั แรงบนั ดาลใจจากข่าวทโ่ี ด่งดงั ของญ่ีปุ่นทเ่ี ดก็ ผหู้ ญงิ คนหน่ึงฆ่าเพ่อื นร่วมชนั้ ของ เธอเน่ืองจากว่าถูกลอ้ เลยี น เร่อื งผมหน้าม้า โดยเธอบอกว่าเธอกล้าทาเพราะได้รบั แรงบนั ดาลใจจากส่อื ผลงานของนาระต้องการบ่งบอกว่าภายในสงิ่ ท่ดี นู ่ารกั บอบบางนัน้ บางทกี แ็ ฝงไปดว้ ยความน่ ากลวั หาก เยาวชนทเ่ี ปรยี บเสมอื นผา้ ขาวไม่ไดร้ บั คาแนะนาจากผูป้ กครองในเร่อื งการบรโิ ดงั ของญป่ี ุ่นทเ่ี ดก็ ผูห้ ญงิ คน หน่งึ ฆา่ เพอ่ื นร่วมชนั้ ของเธอเน่อื งจากวา่ ถกู ลอ้ เลยี น เร่อื งผมหน้ามา้ โดยเธอบอกว่าเธอกลา้ ทาเพราะไดร้ บั แรงบนั ดาลใจจากส่อื ผลงานของนาระต้องการบ่งบอกว่าภายในสงิ่ ทด่ี ูน่ารกั บอบบางนัน้ บางทกี แ็ ฝงไป ดว้ ยความน่ากลวั หากเยาวชนท่เี ปรยี บเสมอื นผา้ ขาวไม่ไดร้ บั คาแนะนาจากผูป้ กครองในเร่อื งการบรโิ ภค อยา่ งถกู ตอ้ ง ปจั จุบนั นาระอาศยั อย่ทู ช่ี านเมอื ง กรุงโตเกยี ว ศลิ ปินต่างประเทศทม่ี ชี ่อื เสยี ง : ศลิ ปินหญงิ 1.จอรเ์ จยี โอคฟี (Georgia O Keeffe ) ค.ศ. 1887-1986 จอรเ์ จยี โอคฟี เป็นศลิ ปินทม่ี คี วามสาคญั มากในวงการศลิ ปะในอเมรกิ าตงั้ แตช่ ่วงทศวรรษ 1920 โอคฟี เป็น ท่รี ู้จกั กนั มากจากการผสมผสานนามธรรมและการนาเสนอเสมอื นจรงิ ในภาพวาดดอกไม้ หนิ เปลอื กหอย กระดูกสตั ว์ และทวิ ทศั น์ ภาพวาดของโอคฟี นาเสนอรูปทรงโคง้ ทเ่ี ตม็ เป่ียมไปดว้ ยการไล่โทนสตี ่าง ๆ อย่าง หลกั แหลม และโอคฟี ยงั นยิ มแปรเปลย่ี นสงิ่ วาดใหเ้ ป็นรูปนานธรรมทเ่ี ป่ียมพลงั อกี ดว้ ย 2.ฟรดี า คาหโ์ ล ( Frida Kahlo ) ค.ศ. 1907- ค.ศ.1954 ฟรดี า คาหโ์ ล เป็นจติ รกรชาวเมก็ ซกิ นั แนวผสมแบบเหมอื นจรงิ สญั ลกั ษณ์นิยมและเหนือจรงิ ภาพเขยี นของฟรดี าส่วนใหญ่เป็นรูปเหมอื นของ Self Porait สะท้อนชีวติ อนั ช่นื ชมอย่างตรงไปตรงมา ผลงานของเธอส่อื ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณ์เก่ยี วกบั บาดแผลทางกายและทางใจของตวั เอง แมว้ ่างานของ ฟรดี าถูกจดั ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบเหนอื จรงิ และไดแ้ สดงออกกบั พวกลทั ธเิ หนอื จรงิ ของยุโรป แตฟ่ รดี าไมน่ บั ตวั เอง เป็นพวกลทั ธเิ หนือจรงิ ผลงานส่วนใหญ่เก่ยี วกบั สตรสี ่งผลให้ฟรดี ากลายเป็นแม่แบบของนักสตรนี ิยมใน

67 ทศวรรษสุดทา้ ยของครสิ ต์ศตวรรษ ท่ี 20 ฟรดี าถงึ แก่กรรมเม่อื ค.ศ. 1954 ปจั จุบนั พพิ ธิ ภณั ฑศ์ ลิ ปะต่าง ๆ เกบ็ งานของเธอไวม้ ากมาย 3.กกี ี สมธิ ( Kiki Smith ) ค.ศ. 1954 ถงึ ปจั จุบนั กีกี สมิธ เป็นศิลปินอเมริกันท่ีจัดเป็นศิลปิน Feminist การเคล่ือนไหวทางศิลปะของเธอเร่ิมต้นใน ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 โดยใชร้ ่างกายของเธอเป็นศลิ ปะยอ้ มสที ส่ี ่อื ถงึ ความสาคญั ทางการเมอื ง การรอบทา รา้ ย การรบั รองอารมณ์ของผูห้ ญงิ และปญั หาทางสงั คมทซ่ี ่อนเง่อื น งานของเธอทเ่ี ป็นทร่ี จู้ กั กนั ดที ส่ี ุด คอื ประตมิ ากรรมดา้ นการสรา้ งวตั ถุ และภาพวาดตามอวยั วะ รปู แบบการเคลอ่ื นท่ี และระบบประสาทของมนุษย์ 4.ชริ นิ เนสแซต ( Shirin neshat ) ค.ศ. 1957 ถงึ ปจั จุบนั ชริ นิ เนสแซต เป็นศลิ ปินชาวอหิ ร่านทใ่ี ชช้ วี ติ ในนิวยอรก์ เธอเป็นทร่ี จู้ กั ในการทางานภาพยนตรว์ ดิ โี อและ ถ่ายภาพ หลงั จากเรยี นจบเธอเรมิ่ การทางานกบั องค์กรท่ไี ม่แสวงหาผลกาไรทเ่ี รยี กว่าหน้ารา้ นศลิ ปะและ สถาปตั ยกรรม และสถานทแ่ี ห่งน้ีกลายเป็นสถานทท่ี ไ่ี ด้รบั ประสบการณ์ทม่ี คี ่า และมผี ลใหเ้ ธอมแี นวคดิ ท่ี จะเป็นสว่ นหน่งึ ในงานศลิ ปะ ผลงานสว่ นใหญ่ของเธอหมายถงึ สงั คม วฒั นธรรม ศาสนา ของสงั คมมุสลมิ และความซบั ซอ้ นบางอย่าง เช่น ชายและหญงิ แมว้ ่าวตั ถปุ ระสงคข์ องผลงานเกย่ี วขอ้ งกลั ป์ศาสนาอสิ ลามแตก่ ไ็ ม่ไดข้ ดั แยง้ อย่างชดั เจน ผลงานของเธอรบั รูไ้ ดท้ างสตปิ ญั ญาถงึ เร่อื งราวของศาสนาทซ่ี บั ซ้อน รวมถงึ การปรบั ตวั ของสตรมี ุสลิมทวั่ โลกในปี 1996 เธอไดร้ บั รางวลั International Award จาก XLVIII ทาใหเ้ ธอเป็นทร่ี จู้ กั ในสากลมากยงิ่ ขน้ึ 5.มารโิ กะ โมริ (Mariko Mori) ค.ศ. 1967 ถงึ ปจั จุบนั มารโิ กะ โมริ เป็นศลิ ปินทท่ี าผลงานโดยการนาวดิ โี อและถ่ายภาพมาประยุกตเ์ ขา้ กบั ผลงาน ผลงานของเธอ เป็นการผสมผสานตานานตะวนั ออกกบั วฒั นธรรมตะวนั ตกซ่งึ ถอื เป็นเร่อื งปกติ ผลงานของเธอมกั จะเป็น Layering ภาพถ่ายและภาพดจิ ทิ ลั เช่น ภาพเธอแสดงเป็นเจ้าแม่นิพพาน ซ่งึ เป็นบทบาทแรกของเธอผ่าน ทางเทคโนโลยีและรูปภาพ ละท้ิงวิวทิวทศั น์ สงั คมเมือง และชีวิตจริง ผลงานของเธอสร้างข้ึนโดยใช้ เทคโนโลยใี หม่ลา่ สดุ และคมชดั ทส่ี ุดในการผลติ ผลงานในยุคปจั จุบนั ความสมั พนั ธข์ องทศั นศลิ ป์กบั สงั คม ศลิ ปะ จาแนกตามลกั ษณะการรบั สมั ผสั ของมนุษยไ์ ดเ้ ป็น 3 สาขา คอื 1.ทศั นศลิ ป์ (Visual Art) ศลิ ปะทร่ี บั สมั ผสั ดว้ ยการเหน็ ไดแ้ ก่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม 2.โสตศลิ ป์ (Aural Art) ศลิ ปะทส่ี มั ผสั ดว้ ยการฟงั ไดแ้ ก่ ดนตรแี ละวรรณกรรม (ผา่ นการอา่ นหรอื รอ้ ง) 3.โสตทศั นศิลป์ (Audio Visual Art) ศิลปะท่ีรบั สมั ผสั ด้วยการฟงั และการเห็นพร้อมกนั ได้แก่ การแสดง ภาพยนตร์

68 ศลิ ปะทงั้ 3 สาขามคี วามเกย่ี วขอ้ งและดาเนินควบค่ไู ปกบั สงั คม เชน่ ลวดลายของเสอ้ื ผา้ (ทศั นศลิ ป์) การฟงั เพลง (โสตศลิ ป์) การดูละครโทรทศั น์ (โสตทศั นศลิ ป์) จะเหน็ ได้ว่ากจิ กรรมในชวี ติ ประจาวนั จะมศี ลิ ปะเขา้ มาร่วมดว้ ยเสมอ ผลงานทศั นศลิ ป์ อทิ ธผิ ลของสงั คมและผลตอบรบั ผลงานทศั นศลิ ป์ทถ่ี ูกสร้างสรรค์ข้นึ มาไม่ว่าจากศลิ ปินคนใด เม่อื ผลงานนัน้ ถูกส่งไปถงึ สายตาของคนใน สังคมแล้ว สิ่งท่ีสะท้อนกลับมาศิลปินคือผลตอบรับของสังคมท่ีมีต่อผลงานว่าจะช่ืนชอบและเข้าใจ วตั ถุประสงคข์ องศลิ ปินมากน้อยเพียงใด ผลงานบางช้นิ อาจเป็นทช่ี ่นื ชมและถูกยกย่องกระทงั่ กลายเป็น ผลงานศลิ ปะทางประวตั ศิ าสตรใ์ หค้ นรุ่นหลงั ไดเ้ รยี นรู้ ในทางกลบั กนั ผลงานบางช้นิ อาจไม่เป็นทย่ี อมรบั และ ถกู ตอ่ ตา้ นจากสงั คม เช่น ผลงานทถ่ี ่ายทอดความรสู้ กึ ทางดา้ นลบของศาสนาหรอื การเมอื ง เป็นตน้ จะเหน็ ไดว้ ่าผลงานทศั นศลิ ป์มคี วามสมั พนั ธแ์ ละมอี ทิ ธพิ ลต่อสงั คมอย่างมากยกตวั อยา่ ง เชน่ - ผลงานเป็นทศั นศลิ ป์เป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของสงั คมในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง เหน็ ได้ จากผลงานศลิ ปะในยุคต่าง ๆ ทม่ี กี ารถ่ายทอดเร่อื งราว ความเช่อื ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในช่วงเวลานั้น เช่น สะทอ้ น ความรุนแรงของสงคราว ปญั หาสงั คม เหตุการณ์ทางการเมอื ง วถิ ีชีวิตผู้คน ซ่ึงศิลปินได้ถ่ายทอด ความรสู้ กึ ทม่ี ตี ่อเหตุการณ์ในช่วงเวลานนั้ ผ่านทางผลงานศลิ ปะของตน - ผลงานทศั นศลิ ป์ส่วนหน่ึงซง่ึ นอกเหนือจากการสะทอ้ นภาพใหเ้ หน็ ความเป็นไปในสงั คมหรอื สงิ่ ท่ี ศลิ ปินพลเหน็ แลว้ ยงั มสี ่วนช่วยสรา้ งความจรรโลงใจใหก้ บั ผคู้ นในสงั คมช่วยใหม้ จี ติ ใจทล่ี ะเอยี ดอ่อน เช่น ผลงานศลิ ปะทถ่ี า่ ยทอดความงามของธรรมชาติ ประเพณี - ผลงานทศั นศลิ ป์เป็นเคร่อื งมอื ทช่ี ่วยชกั จูงความคดิ ความเช่อื ของคนในสงั คมใหเ้ หน็ คลอ้ ยตาม ความคดิ ของศลิ ปิน เช่น ผลงานศลิ ปะทถ่ี ่ายทอดถงึ ผลกระทบท่เี กดิ ข้นึ จากการทาลายส่ิงแวดลอ้ มการ รณรงคใ์ นเร่อื งตา่ ง WEB GUIDE

69 แบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยท่ี 5 คาสงั่ จงทาเครอ่ื งหมาย P หน้าขอ้ ทค่ี ดิ วา่ ถกู และทาเครอ่ื งหมาย O หน้าขอ้ ทค่ี ดิ วา่ ผดิ ...............1.การจดั ภาพมอี งคป์ ระกอบหลกั ๆ 7 ประการ ...............2.ประเภทของการจดั ภาพ ประกอบดว้ ย การจดั ภาพแบบสากล และการจดั ภาพแบบประจาชาติ ……………3.การจดั ภาพแบบประจาชาติ คอื การแสดงเร่อื งทย่ี งั อยใู่ นกรอบประเพณีกฏเกณฑ์ ..............4.การจดั ภาพลกั ษณะผ่าน คอื การแกไ้ ขภาพใหม้ เี อกลกั ษณ์เฉพาะภาพนนั้ ๆ ..............5.รปู แบบรปู ธรรม รปู แบบกง่ึ นามธรรม รปู แบบนามธรรม อยใู่ นรปู แบบของทศั นศลิ ป์สากล ……………6.คุณค่าทางเร่อื งราวเป็นการรวมในเร่อื งของความประณตี ความละเอยี ดมรี ะเบยี บ ……………7.ศลิ ปะแบบสอ่ื ผสม เป็นประตมิ ากรรมศลิ ป์ใชใ้ นการนาเสนอสอ่ื มากกวา่ สองสอ่ื ขน้ึ ไป …………...8.ศลิ ปะจาแนกตามลกั ษณะการรบั สมั ผสั ของมนุษยไ์ ดเ้ ป็น 2 ภาษา ……………9.โสตทศั นศิลป์ คอื ศิลปะท่ีรบั สมั ผสั ด้วยการฟงั และการเห็นพร้อมกัน ได้แก่ การแสดง ภาพยนตร์ …….…...10.ผลงานทศั นศลิ ป์เป็นเครอ่ื งมอื ทช่ี ว่ ยชกั จงู ความคดิ ความเชอ่ื ของคนในสงั คม บรรณานุกรม

70 กาจร สุนพงษศร.ี ศลิ ปะสมยั ใหม่ กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช2520. จติ ร บวั บศุ ย.์ สกลพระพุทธรปู ในประเทศไทย กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พอ์ าพลวทิ ยา 2503. จุลทรรศน์ พยามรานนท.์ “ลกั ษณะจติ รกรรมไทย “เอกสารการสอนชดุ วชิ าไทยศกึ ษา พมิ พค์ รงั้ ท่ี 12 นนทบุร:ี มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2531. ประยรู ธนาพร. ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ป์ เอกสารประกอบคาบรรยาย, 2525. ประยรู ลเ้ี หมอื ดภยั . ศลิ ปะนยิ ม กรงุ เทพฯ : โอ เอส พรน้ิ ตง้ิ เฮาส์, 2543. สุภทั รดศิ ดศิ กลุ , ประตมิ ากรรมขอม กรุงเทพ ฯ : กรงุ สยามการพมิ พ์ , 2515. อภยั นาคคง. ความรเู้ บอ้ื งตน้ วชิ าประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ป์ ร.ร.เพาะชา่ ง กรงุ เทพฯ , 2510. อารี สุทธพิ นั ธ์ . ศลิ ปะนยิ ม กรุงเทพฯ : วฒั นาพานชิ , 2516. http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-4/the_visual_aesthetics/01.html http://www.dek_d.com/board/view.php?id=1048341 http://www.prc.ac.th/newart/webart/webart/composition.html http://www.kr.ac.th/ebook2/dendoung/03.html

1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook