เรามารจู ักสแี ละแสงกนั เถอะ อัจฉราวรรณ รตั นา คําสาํ คัญ สี, แสง สี สีเปนสิ่งท่ีแสดงความสัมพันธระหวางการตอบสนองของคนเรากับพลังงาน สีเปนสวนท่ีเติมสีสัน ใหกับชีวิตของเราและมักเขามามีบทบาทในการเลือกใชสิ่งของตาง ๆ ไมวาจะเปน รถยนต เสื้อผา อาหาร หรือสิง่ อ่นื ๆ เปนตน สจี ะเปนสิ่งที่สรางความโดดเดนความเปนเอกลักษณ เพื่อปกปดอําพรางหรือซอนเรน หรือเพ่ือเปนเคร่ืองบงบอกขอมูลตาง ๆ การวัดสีถือไดวาเปนการวัดลาสุดและยังคงไดรับการพัฒนาให กาวหนาอยูในขณะน้ี ทางหองปฏิบัติการฟสิกสแหงชาติ (National Physical Laboratory: NPL) ประเทศ อังกฤษ เปนหองปฏิบัติการหนึ่งท่ีไดดําเนินการคนควาวิจัยเพื่อพัฒนาการวัดสีและขอกําหนดของสีอยาง ตอเนื่องมาโดยตลอด สคี อื อะไร สีคือความเขมของแสงท่ีปรากฏตอสายตา โดยผานกระบวนการรับรูดวยตา และมีปฏิกิริยา ตอบสนองดวยกระบวนการวิเคราะหแยกแยะของสมอง โดยสมองจะทําการปอนรหัสท่ีสัมพันธกับความ ยาวคล่นื ตาง ๆ ของแสง ความแตกตา งของความยาวคลนื่ จะทําใหเกิดความรูสึกท่ีตางกันของการมองเห็น สี วัตถุจะมองดูแตกตางกันเมื่ออยูภายใตแสงสีที่ตางกัน สีของวัตถุจะขึ้นอยูกับธรรมชาติของแสงที่ตก กระทบวัตถุนั้น การสะทอนแสงของวัตถุ การดูดกลืนแสงหรือการกระเจิงแสงของวัตถุ และปฏิกิริยาของตา และสมอง ขอมูลจากแสงสเปคตรัมที่ผานกระบวนการรับรูของตาและสมองจะถูกวิเคราะหออกเปน 3 สัญญาณที่จะถูกแปลงเปนสีอ่ืน ๆ ไดอีก ระบบการวิเคราะหสีน้ันจะแสดงไดดวยความสัมพันธของสี 3 พิกัดดวยกันคือ ความเขมจางของสี (Hue) ความสวางของสี (Brightness) และความมีสีสันของสี (Colourfulness) เราจะวดั สีไดอ ยางไร ในการวัดสีน้ันเราตองอาศัยเครื่องมือท่ีสามารถเลียนแบบการมองเห็นของมนุษยที่มีความซับซอน อยางมาก ซ่ึงเครื่องจะทําการประเมินปริมาณของแสงที่ปลอยออกมา แสงท่ีสะทอน หรือสองผานออกมา จากวัตถุ และแปลงกลับไปเปนคาของสีเชน Hue, Brightness และ Colourfulness โดยใชโมเดลของระบบ การมองเหน็ ของมนษุ ยท ่รี ูจักกันในนามของ ‘Standard Observer’ ซง่ึ ทาํ หนา ท่เี สมอื นเปน โมเดลทแ่ี สดงการ มองเห็นสีของมนุษยที่เปนสากล ซ่ึงถูกนํามาใชโดยองคกรไฟฟาแสงสวางสากล International Commission on illumination หรือ CIE ในป ค.ศ. 1931 ‘Standard Observer’ เปนโมเดลท่ีอยูบนพื้นฐานของการทดลองท่ีทําในชวงปลายป ค.ศ. 1920 ท่ี หองปฏิบัติการ NPL และที่มหาวิทยาลัย Imperial College ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 1
หองปฏิบัติการ NPL พัฒนาและวัดมาตรฐานของสีท่ีใชกันอยางแพรหลายทั่วโลกเพ่ือใหม่ันใจวาเคร่ืองมือ วัดสจี ากแตล ะที่นัน้ ใหผลการวดั สอดคลองกัน จากการทดลองเกี่ยวกับสี จะพบวามีสีหลักอยูเพียง 3 สี ท่ีถือไดวาเปนสีปฐมภูมิหรือแมสีของวัตถุ คือสีแดง สีเขียว และสีน้ําเงิน เราสามารถสังเกตแมสีของแสงไดจากจอโทรทัศนหรือจอคอมพิวเตอร ถา สงั เกตใหด หี รือใชแวน ขยายสอ งดหู นาจอจะเหน็ เปนจุดสีอยู 3 สีดวยกันน่ันคือ แดง เขียว และนํ้าเงิน และ เมื่อนําสีทั้งสามนี้มาผสมกัน ก็จะเกิดเปนสีตาง ๆ ข้ึน เจมส คลารก แมกเวล (James Clark Maxwell) เปน ผูที่เสนอทฤษฎีการผสมสีข้ึนมา ซ่ึงการผสมสีนี้มีได 2 แบบคือ การผสมสีแบบบวก (Additive colour mixing) และการผสมสีแบบลบ (Subtractive colour mixing) ทฤษฎีการผสมสีแบบบวกเกิดข้ึนโดยการ ฉายภาพจากฟลม positive ขาวดํา 3 แผน ท่ีไดจากการถายภาพโดยใชแผนกรองแสงสีแดง เขียว และน้ํา เงิน บังหนากลองถายภาพ การถายภาพดังกลาวทําใหฟลมแตละแผนบันทึกเฉพาะแมสีของแสงท่ีสะทอน ออกมาจากวัตถเุ ปนนํา้ หนักสี ตางๆ บนฟลม ตามความเขม แสงทีส่ ะทอั นจากวตั ถุ จากนั้นนาํ ฟล ม แตล ะแผน ไปฉายดว ยเคร่อื งฉายท่มี ีแผนกรองแสง สีแดง เขียว และนํ้าเงิน บังอยู เม่ือแสงสามสีนี้ไปรวมกันบนจอภาพ จะเกดิ เปนสตี า งๆ ขึน้ มาใหมอ กี มากมาย จากการผสมสีของแสงทง้ั สามในความเขม ตางๆ กัน - การผสมสีแบบบวกน้ีเปนการผสมกันของสีของแสง ซึ่งมีแมสีหลัก (Primary colour) คือแสงสี แดง เขียวและนํ้าเงิน ซ่ึงเราจะพบเห็นการผสมสีแบบบวกไดจากจอโทรทัศน หรือจอคอมพิวเตอร และเราจะเรียกสีที่เกิดจากการผสมกันของแมสีแบบบวกวา แมสีรอง (Secondary colour) ซ่ึง ไดแกสีน้ําเงินเขียว (Cyan) สีมวงแดง (Magenta) และสีเหลือง (Yellow) และเมื่อนําสีน้ําเงินรวม กบั สเี ขียวรวมกับสแี ดงจะไดสีขาว - การผสมสีแบบลบเปนการผสมกันของแมสี สีน้ําเงินเขียว มวงแดงและเหลือง เราจะพบเห็นการ ผสมสแี บบลบไดจากส่ิงพิมพตางๆ สีทาบาน เปนตน น่ันคือ เม่ือสีนํ้าเงินเขียวรวมกับสีมวงแดงได สีนํา้ เงิน เมอ่ื สนี า้ํ เงินเขียวรวมกบั สีเหลอื งไดสเี ขยี ว เมือ่ สีมวงแดงรวมกบั สีเหลืองไดสีแดง และเมื่อ สนี าํ้ เงนิ เขยี วรวมกับสีมวงแดงรวมกับสเี หลืองไดสดี ํา ขอสังเกตจากการผสมสีทั้งแบบบวกและแบบลบคือการผสมกันของแมสีบวกคูหนึ่ง จะใหแมสีลบ และการ ผสมของแมสีลบคูห น่งึ จะใหแ มส บี วก จากคําอธิบายของเฮลมโฮลซก็ยังระบุวาตาของคนเรามีเรตินาทําหนาที่รับแสงและเปล่ียนแสงเปน สญั ญาณไปสูระบบประสาทซง่ึ จะมีกลุมเซลลรับแสง 2 ประเภทคอื เซลลร บั แสงรปู แทงและรูปกรวย เซลลรับ แสงรูปแทงจะทํางานเมื่อแสงนอย สวนเซลลรับแสงรูปกรวยจะทํางานเม่ือมีแสงมากและเปนเซลลที่ทําให เกิดการรับรูสี เซลลรูปกรวยน้ีจะมี 3 กลุมเซลล แตละกลุมเซลลจะไวตอแสงปฐมภูมิในแตละชวงตางกันคือ กลุมเซลลท ีไ่ วตอแสงสีแดง กลมุ เซลลทไี่ วตอ แสงสีขียว และกลุมเซลลท่ีไวตอแสงสีน้ําเงิน กลุมเซลลรับแสง ท้ังสามจะถูกกระตุนในอัตราสวนท่ีตางกันข้ึนกับสีและความเขมของแสงท่ีตกกระทบ และสมองก็จะแปล 2
สัญญาณท่ีแตกตางกันน้ันเปนสีตางๆ อีกที ในการพิมพหรือการวาดระบายสีนั้น เราจะใชทฤษฏีการผสมสี แบบบวกและแบบลบเพื่อสรางสีตาง ๆ ขึ้นมา โมเดลของสีแบบระบบ 3 พิกัด (Coordinate) ท่ีไดจาก การศึกษาคนควาทดลองทางวิทยาศาสตรน้ันยังถูกนําไปใชประโยชนสําหรับระบบการพิมพอุตสาหกรรม การถายภาพ ภาพยนตร โทรทัศน จอคอมพิวเตอร แหลง กาํ เนดิ แสง แหลงกําเนิดแสงมีอยู 2 ประเภทคือแหลงกําเนิดแสงตามธรรมชาติคือดวงอาทิตยและแหลงกําเนิด แสงที่ประดิษฐคิดคนข้ึนมา เชน แสงจากเทียนไข แสงจากหลอดไฟฟา เปนตน สีของแสงท่ีเกิดจาก แสงอาทิตยน้ันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอตามตําแหนงของดวงอาทิตยบนทองฟา เชนแสงของดวง อาทิตยในเวลาเที่ยงวันจะมีความเขมแสง มากและเปนสีขาว ในขณะท่ีแสงในเวลาเย็นจะมีความเขมแสง นอยและเปน สีเหลืองหรือสม และในสภาพอากาศท่ีแตกตางกันแสงจากดวงอาทิตยก็จะแตกตางกัน ดังที่ เราสงั เกตไดจ ากแสงสวา งในทีร่ ม เวลาที่ทองฟามีเมฆกบั แสงแดดท่สี อ งตรงจากดวงอาทติ ยจะมสี ี และความ เขมแสงที่แตกตางกัน ดังนั้นในการท่ีเราจะนําแสงจากดวงอาทิตยมาใชเปนแสงในการเปรียบเทียบสี อาจจะไมเหมาะสมเน่ืองจากปญหาของความเขมและสีของแสงที่เปล่ียนแปลงไปตามสภาพอากาศหรือ ตําแหนง ดวยเหตุนี้การใชแสงจากหลอดไฟฟานาจะมีความเหมาะสมมากกวาเน่ืองจากการใหแสงจะมี ความสม่ําเสมอ อยางไรก็ดีตามการเลือกใชหลอดไฟฟาท่ีเปนหลอดมาตรฐานสําหรับการเปรียบเทียบสีก็ เปน ส่งิ สําคญั เชน เดียวกัน ดังน้ันจึงตองมีการพจิ ารณาทอ่ี ณุ หภมู ิสี (Colour temperature) ของแสงท่ีไดจาก หลอดน้ัน ๆ เปนสําคัญ ซ่งึ อุณหภมู สิ ขี องแสงใด ๆ จะหาไดจากการเปรียบเทียบสีของแสงน้ันกับสีของแสงที่ เปลงออกมาจากวัตถุดํา (Black body) เม่ือถูกทําใหรอน ถาสีของแสงใดๆ เหมือนกับสีที่เปลงออกมาจาก วัตถุดํา ณ อุณหภูมิใด จะเรียกวา สีของแสงมีอุณหภูมิสีเทาน้ัน โดยมีหนวยเปนเคลวิน (K) ยกตัวอยางเชน แสงจากหลอดไฟทังสเตนมีสีเหมือนกับแสงท่ีเปลงออกมาจากวัตถุดําท่ีมีอุณหภูมิประมาณ 2854 เคลวิน จะเรียกวาไฟทังสเตน มอี ณุ หภูมสิ ี 2854 เคลวนิ แถบสีของสเปคตรัม ในป ค.ศ. 1669 ในชวงท่ีเซอรไอแซค นิวตันอายุเพียง 27 ป เขาไดรับการแตงตั้งเปนศาสตราจารย ลคู สั เชียนแหง มหาวทิ ยาลยั แคมบรดิ จ งานชนิ้ แรกของเขาจะเกี่ยวกับเรื่องแสง ในชว ง 2 ปน นั้ เขาไดส รปุ วา แสงสีขาวไมใชสิ่งธรรมดาเลย เม่ือเขาใหแสงจากดวงอาทิตยสองผานเขาไปในปริซึมแกว ลําแสงจะหักเห และปรากฎแถบสีสเปคตรัม นิวตันไดกลาววาแสงดวงอาทิตยน้ีเกิดจากการผสมผสานจากรังสีตางชนิดกัน แตละรังสีหักเหที่มุมตางกันและแตละรังสีก็จะใหสีสเปคตรัมตางกันอีกดวย จากการท่ีเขาคนพบและการ อธิบายแถบสีเหลานั้น จึงไดกลายเปนท่ีโดงดังและรูจักในนามวาสเปคตรัมของนิวตัน สีของสเปคตรัม เหลานี้มีลําดับพลังงานที่แปรผันตรงกับความถี่และผกผันกับความยาวคล่ืน แถบสีสเปคตรัมที่ปรากฎคือสี มวง คราม น้ําเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เมื่อแสงกระทบวัตถุ พลังงานบางสวนจะดูดกลืนสีจากแสง บางสว นและสะทอ นสบี างสใี หเ ราเหน็ พนื้ ผวิ วัตถุทเี่ ราเห็นเปน สแี ดง เพราะวตั ถุดูดกลืนแสงสีอื่นไว สะทอน 3
เฉพาะแสงสีแดงออกมา วัตถุสีขาวจะสะทอนแสงสีทุกสี และวัตถุสีดําจะดูดกลืนสีทุกสีเพราะไมมีแสงใด ๆ สะทอนเขาตาเราเลย อัลตราไวโอเล็ต : อัลตราไวโอเล็ตเปนแสงท่ีไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา สวนใหญแลวจะถูกกรอง ดวยเลนสเรตินา สารบางตัวดูดซับแสงอัลตราไวโอเล็ตและสงคืนกลับออกมาเปนความยาวคล่ืนในชวงท่ีตา มองเหน็ ได หรือฟลอู อเรสเซนซ สีมวง : สีมวงเปนสีที่มีพลังงานสูงสุดที่ตาเราสามารถมองเห็น และความสามารถของการมองเห็นก็จะ เปลีย่ นไปตามอายุ สีคราม : สคี รามเปนสีธรรมชาตซิ ่งึ นํามาใชเพื่อทําใหสีมคี วามโดดเดน สนี ้าํ เงิน : การท่ีเราเห็นทอ งฟา เปนสฟี าก็เพราะปริมาณของแสงท่ีกระเจิงนั้นมีมากพอ ๆ กับพลังงานของมัน แสงจะกระเจงิ เมอื่ กระทบกบั อนุภาคของอากาศ ทําใหแสงสีฟาสะทอนใหเราเหน็ ในบรรยากาศ สีนํา้ เงินเขยี ว : ถงึ แมส นี ไี้ มไดถกู รวมอยใู นแถบสีของนิวตัน แตก เ็ ปนสปี ฐมภูมทิ ่ใี ชเปนหมกึ พมิ พ สีเขียว : ทําไมหญามีสีเขียวเปนคําถามท่ีเรามักไดยิน แมแตไอนสไตนก็เคยถามคําถามน้ันกับตัวเขาเอง เหตุผลท่ีหญามีสีเขียวก็เน่ืองมาจากพืชสวนมากจะใชแสงสีแดงและนํ้าเงินในการสรางนํ้าตาล ดังน้ันจึงมี การดดู ซับสีเหลา น้นั ไว และสะทอนแตสเี ขียวออกมา สีเหลือง : การใชสารเพ่ิมความสวางเขาไปในเนื้อกระดาษ จะทําใหกระดาษไมเปนสีเหลืองซีด เพราะสารที่ ใสเ ขา ไปเปนสารท่ีใชดดู แสงอุลตราไวโอเลตแลว ใหแสงสนี ํ้าเงินท่ีทําใหดสู ดใส สีสม : การเปล่ียนพลังงานไฟฟาใหเปนพลังงานแสง ณ ความยาวคลื่นสีสม 2 ความยาวคล่ืน ทําใหแสงไฟ บนทอ งถนนที่เปนหลอดไอโซเดียมความดันต่าํ นนั้ เกดิ แสงสวางมาก ๆ ซ่ึงเปนสีท่ีสบายตา อยางไรก็ตามมัน ไมไดหมายถงึ สตี าง ๆ ทเี่ รามองเห็นนนั้ เปน เฉดสีสม ทงั้ หมด สีแดง : สีแดงเปนสีที่มีผลตอการตอบสนองตอความความรูสึกของเรา ใหความรูสึกรอน รุนแรง กระตุน ทา ทาย เคล่อื นไหว ตน่ื เตน เราใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสําคัญ และสีน้ีเปนสีที่ ท่ัวโลกนิยมใชเพ่ือบงบอกถึงส่ิงท่ีจะกอใหเกิดอันตราย การทาผนังหองดวยสีแดงน้ันจะเปนการเพ่ิม ความเครียดใหกับสถานทท่ี าํ งาน อินฟาเรด : อินฟาเรดเปนแสงทมี่ ีพลงั งานตา่ํ และตาเราไมสามารถมองเหน็ ได แสง การมองเห็นเปนหนึ่งในประสาทการรับรูทั้ง 5 ท่ีทําใหเรารับรูและเขาใจถึงสภาพแวดลอมท่ีอยู รอบตัวเรารวมท้ังการเคล่ือนไหวตาง ๆ ความสามารถในการทํางานของเราก็ยังขึ้นอยูกับความสามารถใน การรับรูสิ่งเหลาน้ันไดมากนอยแคไหน ความคิดและความเขาใจที่ไดจากการมองเห็นของคนเรานั้นจะ สงผลในดานอารมณ ความรูสึกและการแสดงออกได แตจะมากนอยแคไหนน้ันข้ึนอยูกับระดับความเขม ของแสง ดังนั้นการพัฒนาและปรับปรุงระบบการวัดความเขมของแสงจึงเปนเรื่องสําคัญท่ีจะชวยในการวัด หาปริมาณแสงที่สองมายังสิ่งท่ีเรากําลังทําอยู อีกท้ังยังเปนการพัฒนาแหลงกําเนิดแสงที่เราสรางข้ึนเอง 4
พรอมท้ังทําการเปรียบเทียบผล ระดับความเขมของแสงจะเปนเร่ืองสําคัญในดานความปลอดภัยและการ ออกกฎขอบังคับ ไมวาจะเปนความเขมของการสองสวางสําหรับหองปฏิบัติการหรือหองเรียน ปาย สัญญาณจราจรบนทองถนน และสัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือแมกระท่ังเก่ียวของกับกิจกรรมอ่ืน ๆ ใน ชวี ิตประจําวนั ของเราอยางเชน โทรทศั น การถา ยรปู การเลน กีฬา หนวยวัดความเขมของแสงในระบบพ้ืนฐานท่ีเปนมาตรฐาน (International standard of unit : SI unit) เรยี กวา แคนเดลา (Candela) ในอดีตน้ันกําลังของการแผรังสีแสงจะถูกวัดในหนวยวัตต (Watts) อยางไรก็ตามตาเราไมสามารถ มองเห็นไดทกุ สีหรือทกุ ความยาวคลน่ื ของแสง ดังนัน้ การวัดในหนวยอื่นจงึ นา จะเหมาะสมมากกวา ของ และ หนวยทีว่ านกี้ ็คอื แคนเดลานน่ั เอง ตาของคนเราน้ันจะไวตอแสงในชวงแสงสเปคตรัมสีเขียว-เหลือง ซึ่งใกลบริเวณชวงของสีตรงกับ peak output ของแสงแดดท่ีสองมายังพ้ืนผิวโลก แตตาจะไมไวตอแสงสีแดงและน้ําเงิน ฟงกชัน V(λ) จะ อธิบายความสามารถของแสงที่เรามองเห็นไดที่ทําใหเกิดการตอบสนองดานการมองเห็น ในป คศ. 1924 หองปฏิบัติการตาง ๆ รวมทั้งหองปฏิบัติการ NPL ไดดําเนินการทดลองและคิดคนฟงกชันน้ีข้ึนมา และ นําเอาผลการทดลองที่ไดมาทําการวิเคราะหดวยการจับความสวางของสีตาง ๆ มาเขาคูกัน มาใหคํานิยาม ฟงกชันน้ี ซึ่งจะใหคาสูงสุด ณ จุด sensitivity ของตา ท่ีความยาวคล่ืน 555 นาโนเมตร หรือบริเวณแถบสี เขียวเหลอื ง ฟงกชัน V(λ) นเ้ี ปนคา เฉลี่ยที่ไดจากการทดลองการตอบสนองตาของคนมากกวา 200 คน ที่ มีอายุต้ังแต 18 ถึง 60 ป ท้ังเพศชายและหญิง การตอบสนองของตานั้นจะแตกตางกันไปและเปลี่ยนตาม อายุ นั่นหมายถึงวาในขณะนี้ยังไมมีใครที่จะเปนมาตรฐานได ซึ่งนั่นก็คือคนเราจะมองเห็นภาพท่ีอาจจะ แตกตา งกันบางเลก็ นอ ย ความเขมของการสองสวางจะมีคานอยมากถาหากวาไมไดมีการวัดจริงจากแหลงกําเนิดจริง เชน หลอดทังสเตน หนวยแคนเดลาไดถูกนํากลับมานิยามใหมอีกครั้งในป คศ. 1979 ในหนวยของวัตตเพราะ การใชวัตถุดําน้ันยากตอการทดลองและอุณหภูมิสําหรับการทดลองที่จะใหไดผลน้ันยังต่ํากวาอุณหภูมิของ แหลง กาํ เนิดแสงในปจจุบัน การสรา งนยิ ามทางมาตรรังสีของแคนเดลาท่ีหอ งปฏิบัตกิ าร NPL น้ัน ไดประสบ ความสําเรจ็ ในป คศ.1985 วิธีที่ใชวัดนั้นเปนวิธีที่อาศัยหลักการพ้ืนฐานของเครื่องวัดรังสีท่ีอุณหภูมิตํ่า เปน เครื่องมือท่ีสามารถวัดกําลัง ในหนวยวัตตท่ีใหความแมนมากกวา 0.01 % ลําแสงที่วัดนั้นไดรับการสอบ เทียบดวยเครื่องวัดแสง (Photometer) ตัวรับสัญญาณ (Detector) ผานตัวกรองที่ทําการเลียนแบบการ ตอบสนองของตา และลําแสงเลเซอรนั้นจะถูกนํามาใชวัดความเขมของการสองสวางที่ปลอยออกมาจาก หลอดทังสเตนดวยคาความแมนถึง 0.1 % หลอดประเภทอื่นนั้นก็สามารถทําการวัดโดยตรงไดโดยการใช เคร่ืองวัดแสงหรือการเปรียบเทียบกับหลอดทังสเตน วิธีการทดลองดูเหมือนจะเปนการทดลองที่งาย แต แทจรงิ แลว ยังมีรายละเอียดของการวัดแตกยอ ยลงไปอกี มากเพือ่ การวดั หาคา ความเขมของการสองสวางให มคี วามถูกตอง 5
ประวตั ขิ องการใหค าํ นยิ ามของคาํ วา แคนเดลา ค.ศ.1860 เปนการใหคํานิยามครั้งแรกของคําวาแคนเดลาซึ่งเกิดจากการใชเทียนซ่ึงทําจากไขปลาวาฬ ค.ศ.1898 หรอื ทเี่ รียกกนั วา spermaceti ค.ศ.1909 ไดม ีการพัฒนาตะเกียงกา ซทีเ่ ผาไหมสวนผสมของกาซเพนเทนและอากาศในเตา ณ ขณะนั้น ถือไดว า เปน ความกา วหนา ทางเทคโนโลยีดา นแสง ค.ศ.1940 ความพยายามก็ไดประสบความสาํ เรจ็ เปนคร้ังแรกในการตั้งหนวยวัดที่เปน สากล โดยไดมีการ ตกลงรวมกันไดโดยมีประเทศตาง ๆ เชน NPL จาก ประเทศอังกฤษ สํานักมาตรฐานแหงชาติ ค.ศ.1948 จากอเมริกาและ Laboratories Central d’Electricite’ จากประเทศฝร่ังเศสท่ีไดรวมกันกอตั้ง ค.ศ.1979 หนว ยนขี้ นึ้ มา มาตรฐานการวัดจะอาศัยหลักการของวัตถุดําซ่ึงเปนอุปกรณที่ไดรับการออกแบบเพ่ือ เลียนแบบตัวดดู ซบั และตัวปลอ ยรงั สที ่ีไดท ดลองทาํ เปน ครงั้ แรกในป ค.ศ.1930 ในวันท่ี 1 มกราคม ค.ศ.1940 น้ัน หนวยความเขมของแสงน้ันไดรับการนิยามวาเปนความ สวางของตัวปลอยรังสีวัตถุดําที่จุดเยือกแข็งของแพลตทินัม หนวยน้ีถูกต้ังชื่อเปน ‘the new candle’ และไดเผยแพรอ ยา งแพรหลาย ‘the new candle’ ไดเปล่ียนเปนแคนเดลาและใชไปทั่วโลก ขนาดของแคนเดลาไดรับการ นิยามวาคือความสวางของตัวเปลงรังสีเต็มที่ท่ีอุณหภูมิของการแข็งตัวของแพลตทินัมคือ 60 แคนเดลาตอ ตารางเซนตเิ มตร ไดใหคํานิยามของแคนเดลาใหมในหนวยของวัตตที่แสงหน่ึงความยาวคล่ืน นั่นคือความเขม ของการสองสวางในทิศท่ีกําหนดของแหลงกําเนิดที่แผรังสีของแสงท่ีมีความถ่ี 540 × 1012 เฮิรต และมีความเขม ของการแผร ังสีของแสงในทิศทางนัน้ ซง่ึ มขี นาด 1/683 วัตต/ สเตอเรเดยี น เอกสารอา งอิง 1. ‘Beginners Guides to Measurement – Colour’ http://www.npl.co.uk/publications/colour/ 2. ‘Beginners Guides to Measurement – Light’ 3. http://www.npl.co.uk/publications/light/ 4. http://www.prc.ac.th/newart/webart/colour06.html 5. http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~kchawan/colortheory/color1.html กลมุ สอบเทยี บเครอื่ งมือวดั วเิ คราะหทดสอบ, โครงการฟส กิ สและวศิ วกรรม โทร. 02-2017322 e-mail: [email protected] 2 กรกฎาคม 2550 6
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: