Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 3 การทำซ้ำ การผันแปร การลดหลั่น เอกภาพ

หน่วยที่ 3 การทำซ้ำ การผันแปร การลดหลั่น เอกภาพ

Published by Wanwisa Jaranan, 2021-12-02 06:51:10

Description: หน่วยที่ 3 การทำซ้ำ การผันแปร การลดหลั่น เอกภาพ

Search

Read the Text Version

หลกั การจัดองคป์ ระกอบศลิ ปใ์ นการออกแบบ

องค์ประกอบศิลป์ เป็นคำที่มำจำกภำษำละตนิ “Composition Comp” หมายถึงการรวมเขา้ ด้วยกัน Post หมายถงึ การจดั วาง ดังนนั้ Composition เกิดจากการเอาส่วนประกอบของศิลปะมา รวมเข้าด้วยกนั

หลกั การจดั องคป์ ระกอบ 1. การซ้า (repetition) 2. จงั หวะ(rhythm) 3. การลดหล่ัน(gradation) 4. ทศิ ทาง(direction) 5. ความกลมกลนื (harmony) 6. การตัดกัน หรอื ความขดั แยง้ (contrast) 7. การประสาน หรอื ความกลมกลืน(transition)

1.การซา้ (repetition) การซ้า (repetition) เกดิ จากองคป์ ระกอบท่ีมีลกั ษณะเหมอื นกนั ตงั้ แต่ 2 หน่วยขน้ึ ไป วางอย่ใู นทว่ี า่ ง โดยมี ทค่ี ่ันอยรู่ ะหว่างหน่วยองคป์ ระกอบท่ีจะ น้ามาวางซ้าเหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ จดุ เส้น น้าหนัก รปู รา่ ง รูปทรง สี ลกั ษณะผิว

รปู แบบของการซา้ 1.1 การซ้าแบบเหมือนกนั เป็นการซ้าขององคป์ ระกอบที่มขี นาด น้าหนัก หรือลกั ษณะเดยี วกนั เรียงตอ่ เนื่องกันไป 1.2 การซา้ แบบลดหล่ัน เป็นการซา้ ขององคป์ ระกอบท่ีมีขนาด น้าหนัก หรือลกั ษณะแตกตา่ งกนั เรียงจาก มากไปนอ้ ย หรอื น้อยไปมาก 1.3 การซ้าเปน็ จงั หวะ เป็นการซ้าของชดุ องคป์ ระกอบทม่ี ลี กั ษณะเหมอื นกนั เรยี งตอ่ เนื่องกันไป ซึ่ง ภายใน ชดุ องคป์ ระกอบ 1 ชดุ นี้ จะประกอบด้วยหน่วยย่อยทมี่ ขี นาด น้าหนกั หรือลกั ษณะแตกตา่ ง กัน 1.4 การซา้ แบบไมเ่ ป็นจงั หวะ เป็นการซ้าของชุดองค์ประกอบลักษณะหนง่ึ ๆ อยา่ งอสิ ระ

2. จังหวะ(rhythm) จงั หวะ (rhythm)เกดิ จากการซ้ากนั อย่างตอ่ เนือ่ ง และมเี อกภาพขององคป์ ระกอบ พ้ืนฐาน ทมี่ ลี กั ษณะ เหมอื นกันตั้งแต่ 2 หนว่ ยข้ึนไปบนที่วา่ ง รูปแบบของจงั หวะ 1. จงั หวะซ้า เป็นจังหวะขององคป์ ระกอบทมี่ ีลกั ษณะ เหมือนกนั เรียงตอ่ เนอ่ื งกันไป 2. จงั หวะสลับ เปน็ จงั หวะขององคป์ ระกอบท่ีมีลักษณะ สลับกนั ไปมาอย่างเป็นระเบยี บ 3. จงั หวะแปร เปน็ จงั หวะขององค์ประกอบทม่ี กี าร เปล่ียนแปลงของลกั ษณะไปทีละเล็กละนอ้ ย

3. การลดหลัน่ (gradation) การลดหล่นั (gradation)คือ การจดั ลา้ ดบั ขององคป์ ระกอบต่างๆ เช่น เสน้ รูปร่าง รปู ทรง สี ลกั ษณะผวิ ฯลฯ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงไปตามลา้ ดับ เชน่ ระดบั สอี ่อนไปสีแก่ ลักษณะผวิ เรยี บไปสขู่ รุขระ รูปทรงเลก็ ไปหารูปใหญ่

4. ทศิ ทาง(direction) ทิศทาง (direction)หมายถึง ความรู้สกึ เคล่อื นไหวทเ่ี กิดจากการ พิจารณาองคป์ ระกอบในงานศลิ ปะ ซึ่งองคป์ ระกอบต่างๆ ไมว่ า่ จะเป็น เส้น รูปร่าง รูปทรง ฯลฯ สามารถชกั นา้ สายตาใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ เคลอื่ นไหว

5.ความกลมกลนื (harmony) ความกลมกลืน (harmony)หมายถึง การน้าองคป์ ระกอบพน้ื ฐานท่ีมีความ คล้ายกนั หรือเหมอื นกันมาจดั วาง อยา่ งสัมพนั ธก์ ัน เกดิ การประสานกนั อย่าง เหมาะสม และลงตวั ในผลงานดแู ล้วไม่ขัดตา

ลกั ษณะของความกลมกลนื 1. ความกลมกลืนขององค์ประกอบพนื้ ฐานทค่ี ล้ายกัน 2. ความกลมกลืนตามธรรมชาติหรือประโยชนใ์ ช้สอย 2.1 ความกลมกลืนตามธรรมชาติ เช่น การออกแบบตกแต่งสวน 2.2 ความกลมกลนื ด้านประโยชนใ์ ช้สอย เช่น บ้านเมอื งที่อยู่ใน เขตร้อนควรปลูกบา้ นให้มี ใตถ้ นุ สงู หลังคาโปรง่ ทรงสงู

6.การตดั กนั หรอื ความขัดแย้ง(contrast) การตัดกนั (contrast) หรือการขัดแย้งกัน หมายถึง การจัดองคป์ ระกอบพ้ืนฐาน ที่มคี ณุ สมบัตติ ่างกันมา ไวด้ ว้ ยกนั ความแตกต่างกนั นนั้ มีหลายระดบั ตง้ั แต่ เลก็ นอ้ ยจนถงึ แตกต่างกับอยา่ งสนิ้ เชิง จนท้าใหง้ านเกดิ ความขดั แย้งไมเ่ ป็น ระเบยี บ การตัดกนั ถ้าหากใช้ด้วยความเหมาะสม จะท้าให้เกดิ ความเด่นปรากฏ ชดั เจนขน้ึ ในผลงาน กลายเป็นจดุ รวมของความสนใจ (focal point) นอกจากนี้ ยังชว่ ยลดความน่าเบื่อจากความกลมกลืนท่มี มี ากเกนิ ไป

7.การประสาน หรือความกลมกลืน(transition) การประสาน (transition)คือ การทา้ ใหอ้ งคป์ ระกอบต่างๆ เกิดความเชื่อมโยง และมคี วาม กลมกลนื กนั เปน็ หลักการพนื้ ฐานในการท้างานศิลปะที่ช่วยลดปญั หาความขัดแยง้ ลง

ความสมดุล (Balance) ความสมดุล (balance) หมายถึง ความเท่ากันในน้าหนักของสงิ่ ต่างๆ ระหว่าง 2 ส่วนความ สมดลุ ในทางศลิ ปะ หมายถึง ความเทา่ กนั ตามความรูส้ ึก (sensible equilibrium) โดยการ แบง่ ภาพ หรอื ผลงานออกเปน็ 2 สว่ น โดยใชเ้ ส้นแบ่งคร่ึงกลางของผลงาน เรียกวา่ เส้นแกน (axis) แล้วเปรยี บเทียบนา้ หนักขององค์ประกอบพนื้ ฐานอืน่ ๆ ท่ีอยู่ 2 ด้าน ของเส้นแกนว่า สมดุลหรอื ไม่ เปน็ ความสมดลุ ตามความรู้สกึ ทางการเหน็ (visual weight)

ประเภทของความสมดุล 1. ความสมดลุ แบบสองขา้ งเทา่ กัน (symmetrical balance) หรอื ความสมดลุ แบบ สมมาตร จดั วาง โดยมีรูปร่าง รูปทรง หรือน้าหนกั เท่ากันเหมือนการส่องกระจก ความ สมดุลแบบนใี้ ห้ความรู้สกึ สงา่ งาม ม่ันคง แขง็ แรง เปน็ ทางการ หยดุ นงิ่ (static) 2. ความสมดลุ แบบสองข้างไม่เทา่ กนั (asymmetrical balance) หรอื ความสมดุลแบบ อสมมาตร ความสมดุลแบบนี้จะพบเห็นไดท้ ว่ั ไปในธรรมชาติ ใหค้ วามรสู้ ึกเคลอ่ื นไหว (dynamic) อสิ ระ มีพลังในทางศิลปะ

เอกภาพ เอกภาพ (unity) หมายถึง 1. ความเป็นอันหนึง่ อนั เดยี วกัน หรอื ความเป็นระเบยี บของภาพ 2. ความกลมกลนื ขององคป์ ระกอบพืน้ ฐาน 3. ความสมดลุ ของภาพ 4. การรวมกันของรปู ทรงในภาพเปน็ จุดเดน่

วธิ กี ารรวมกลุ่มของรปู ทรงเพอ่ื ให้เกิดเอกภาพ การรวมกลุม่ เป็นการทา้ ใหร้ ูปทรงตา่ งๆ เกดิ ความใกล้ชิดกัน มี 2 วธิ ี 1. การสัมผัส (touching)หมายถึง การนา้ รปู ทรงต่อรปู ทรงมาจดั ให้สมั ผัสกันเพียงจุดใดจุดหนึ่ง หรอื ดา้ นใดดา้ น หนง่ึ ของเสน้ รอบนอก 2. การซ้อน (overlapping)หมายถงึ การน้ารปู ทรงต่างๆ ตั้งแต่ 2 รูปทรง มาซ้อนทับ เกีย่ วเกาะ กนั เหล่ือมล้ากัน เมื่อดูแล้วจะเกดิ ความรสู้ ึกเป็นหน่วยเดียวกนั ไดด้ ีกวา่ การสมั ผสั

การแก้ปญั หาเรื่องเอกภาพในการเขยี นภาพ บางครง้ั ในการปฏิบัติจรงิ อาจประสบปัญหาในเรื่องเอกภาพ โดยเฉพาะงานจิตรกรรม หรืองานภาพพิมพ์ จะมอี งค์ประกอบทกี่ ระจดั กระจายทา้ ให้ขาดดลุ ยภาพ ความ กลมกลืน และเอกภาพได้ ในบางครงั้ อาจจะมีการเปลี่ยนมมุ ภาพ หรอื จัดกลุ่มองคป์ ระกอบ เหล่านน้ั เสยี ใหม่

กฎเกณฑ์หลกั ของเอกภาพ 1. กฎเกณฑข์ องการขดั แย้ง (Opposition) ในธรรมชาตินนั้ แบ่งออกเปน็ 2 ฝ่าย หรอื 2 ขั้ว เป็นคกู่ นั เสมอ เชน่ เวลากลางวนั กับกลางคืน แรงดงึ ดดู กับแรงผลักดัน ชายกับหญิง ขาวกบั ด้า เปน็ ต้น 2. กฎของการประสาน (Transition) คอื การทา้ ให้เกดิ ความกลมกลนื เปน็ การสรา้ งเอกภาพ จากการ รวมตวั กันของสิ่งต่างๆ ท่ีเหมอื นกนั เข้าด้วยกนั ซ่ึงมีอยู่ 2 วธิ ี คอื 2.1 การเป็นตัวกลาง (Transition) 2.2 การซ้า (Repetition)

กฎเกณฑ์รองของเอกภาพ 1. ความเป็นเดน่ (Dominance) คอื การเพ่ิมหรือลดความสา้ คัญ หรอื ความนา่ สนใจในหน่วยใดหนว่ ยหน่ึง ของคูท่ ขี่ ัดแยง้ กัน ซึง่ หากต้องการเนน้ สงิ่ ใดเป็นส้าคญั กเ็ พ่ิมส่งิ น้นั มากข้ึน และลดความส้าคญั ของสิ่งตรงกนั ขา้ ม ให้น้อยลง 2. การเปล่ยี นแปร (Variation) คอื การเพ่ิมความขัดแยง้ ลงในหนว่ ยทซี่ ้ากันเพื่อป้องกันความจืดชืดหรือนา่ เบอื่ ซึง่ ทา้ ไดด้ ว้ ยวิธกี ารเปล่ยี นแปรของรูปรา่ งลกั ษณะ การเปล่ยี นแปรของขนาด การเปลย่ี นแปรของทิศทาง และ การเปล่ียนแปรของจงั หวะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook