1 บทความวจิ ยั การพฒั นาศักยภาพและการบริหารจดั การของวัดแบบครบวงจรเพ่อื รองรับ การท่องเที่ยวเชงิ ศาสนาและวิปสั สนากรรมฐานสำหรบั ผู้สูงอายทุ ่ีอย่เู พียงลำพัง ในเขตทอ่ งเที่ยวเมืองรองภาคเหนอื ตอนบน THE COMPLETE ENHANCEMENTB CAPABILITY AND OPERATION MANAGEMENT OF TEMPLE FOR SUPPORTING RELIGIOUS TOURISM AND MEDITATION RETREAT FOR SENIORS LIVING ALONE IN THE SECONDARY CITIES IN THE UPPER NORTHERN THAILAND พระมหาวรี ศกั ด์ิ สรุ เมธี Phramaha Weerasak Suramedhi พระครูสุนทรมหาเจติยานรุ ักษ์ Phrakhrusuntorn Mahachetiyanuruk ณรงศกั ด์ิ ลุนสำโรง Narongsak Lunsamrong สรวศิ พรมลี Sorawit Phromlee มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตล้านนา Mahamakut Buddhist University Lanna Campus, Thailand E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ บทความวจิ ยั นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) ศึกษาศักยภาพแหลง่ ท่องเทีย่ วเชงิ ศาสนาและวปิ ัสสนากรรมฐาน และ 2) ศึกษาการพัฒนาศักยภาพและการบริหารจัดการของวัดแบบครบวงจรรองรับการทอ่ งเทีย่ วเชิงศาสนา และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักท่องเที่ยวทั่วไปและนักท่องเที่ยว ผูส้ งู อายุ ส่วนกลมุ่ เป้าหมายที่ใหข้ ้อมลู สำคัญเปน็ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ เครื่องมอื ท่ีใชเ้ ป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ เชงิ ลึก และการสนทนากลมุ่ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ ปรมิ าณดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์ เชงิ เนื้อหา ผลการวิจัยพบวา่ 1) ศักยภาพแหลง่ ท่องเที่ยวเชงิ ศาสนาและวิปัสสนากรรมฐานโดยภาพรวม อยใู่ น ระดับมาก เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านสิ่งดึงดูดใจ ทางการท่องเที่ยว รองลงมาคือ ด้านการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่ง ท่องเที่ยว ด้านการบริการผู้สูงอายุ ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว ด้านเส้นทางคมนาคมเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว และดา้ นที่พักในแหลง่ ท่องเทยี่ ว ตามลำดบั 2) แนวทางการพัฒนาศกั ยภาพและการบรหิ ารจัดการ พบว่า ควร เน้นพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีคุณค่าและความสำคัญในแง่ของความเลื่อมใสศรัทธา ความเป็นเอกลักษณ์ เก่าแก่และทรงคุณค่าทางจิตใจ ทำแผนผังแสดงแหล่งท่องเที่ยวและแผนที่แสดงเส้นทางท่องเที่ยวแสวงบุญ
2 จัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ กำหนด แผนการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการใหส้ อดคล้องกบั บรบิ ทของวัด พัฒนาบคุ ลากรวัดให้มีทักษะการบริการ และการสื่อสารที่ดี รวมทั้งขับเคลื่อนและเสริมสร้างคุณค่าของการท่องเท่ียวเชิงศาสนาและวปิ ัสสนากรรมฐาน สำหรับผ้สู งู อายุอยา่ งยั่งยนื คำสำคญั : การพัฒนาศกั ยภาพ, การบริหารจัดการ, การทอ่ งเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน Abstract The objectives of this research were to 1) to investigate the potential for religious tourism and meditation retreats and 2) to investigate the potential development and operation management of comprehensive temples to support religious tourism and meditation retreats. It is a hybrid research approach. The study's samples were tourists and community members, and the target group was experts who provided the crucial information. Questionnaires, depth interviews, and discussion forums are among the study tools. Content analysis was used to investigate the qualitative data, whereas a computerized tool was used to analyze the quantitative data. The results of the study were found that; 1) The overall potential of religious and meditation tourism was at a high level. Tourism attraction, tourism attraction management, facilities in tourist attractions, elderly services, tourism activities, transit routes to tourist attractions, and accommodation in tourist attractions are all considered in decreasing order of mean. 2) According to the guidelines for the potential development of the comprehensive temple, it was found that the development of tourism attractions should be prioritized to have value and importance in terms of faith, uniqueness, and spiritual significance. A tourist map, as well as a map of the Master's pilgrimage path, should be included. To drive and enhance the value of Sustainable Religious Tourism and Meditation for the Elderly, establish a visitor center and provide basic facilities suitable for the elderly, formulate action plan and operation plan under the temple context, and develop temple personnel to have excellent service and communication skill. Keywords: Potential development, Management, Religious tourism and meditation retreats บทนำ ปจั จุบนั ประเทศไทยกำลงั ยา่ งเขา้ สู่สงั คมผ้สู ูงอายุ (Ageing Society) อย่างมนี ยั สำคญั และรวดเรว็ โดย ในชว่ ง 50 ปีทผ่ี า่ นมา มปี ระชากรสงู อายุ (60 ปขี ้นึ ไป) เพมิ่ ข้ึนจากร้อยละ 5 เป็นรอ้ ยละ 13 (จาก 1.2 ล้านคน เป็น 8.4 ล้านคน) และคาดว่าอีก 30 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2583) จะเพิ่มเป็น 31% (20.5 ล้านคน) ซึ่งสะท้อนถึง การเพมิ่ ขึน้ ของประชากรท่ีอยู่ในวัยพ่ึงพิงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สงั คม และสขุ ภาพ (สถาบนั วิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ
3 ไทย, 2560) โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และพะเยา จะมีอัตราผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.3 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 11.1 ในปี 2553 และคาดวา่ ประชากรผู้สงู อายจุ ะเพิม่ เป็นร้อยละ 21.1 ในปี 2563 (สำนักพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมภาคเหนือ, 2558) อีกทั้ง กลุ่มผู้สูงอายุหรือกลุ่มประชาคมเกษียณ (retirement community) ที่อยู่เพียงลำพังจะเพิ่ม จำนวนข้นึ พรอ้ มกับมปี ัญหาเก่ียวกับสุขภาพจิตทีเ่ กดิ จากความเครยี ดและความซึมเศร้าจากสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานสถานการณผ์ ู้สูงอายุไทย พบว่า สภาพปัจจบุ ันสงั คมไทยมผี ู้สูงอายุจำนวนมากท่ีจัดอยู่ ในภาวะเปราะบาง มีปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียวหรือตามลำพังกับผู้สูงอายุ ด้วยกัน มีแนวโนม้ เพ่มิ สงู ข้ึนอยา่ งต่อเนื่องในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือเป็นภาคท่ีมีสัดส่วน ผ้สู งู อายุเพ่ิมขึน้ อยา่ งรวดเรว็ (สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาผสู้ ูงอายไุ ทย, 2560) ทั้งนี้ จากการสำรวจของกรมสุขภาพจิตในช่วงปี พ.ศ. 2556-2561 พบว่า เขตประชากรที่มีปัญหา สุขภาพจิตค่อนข้างสูง คือ เขตประชากรภาคเหนือโดยเฉพาะเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงข้ึน อยา่ งมากจาก 1,889.34 ต่อประชากรแสนคนในปี พ.ศ. 2556 เป็น 3,323.95 ตอ่ ประชากรแสนคนในปี 2561 (กรมสุขภาพจิต, 2561) นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่มีรายงานการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในประเทศ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่งของการฆ่าตัวตายคือ โรคซึมเศร้า เนื่องจากความซึมเศร้าของผู้สูงอายุเป็น ภาวะอารมณ์ที่แสดงออกโดยมีอารมณ์เศร้า ว้าเหว่ สิ้นหวัง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ไม่มีความสุขในการดำรงชีวิต และความพึงพอใจในชีวิตลดลง (เทพฤทธิ์ วงศ์ภูมิ และคณะ, 2558) ส่งผลทำให้กลุ่มผู้สูงอายุต่างดิ้นรน แสวงหาแนวทางและวิธีการเยยี วยาทางด้านจิตใจเพื่อไม่ให้เกิดความซึมเศร้า โดยแนวทางหนึ่งท่ีผู้สงู อายุสว่ น ใหญ่ใช้คือ การเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวในวัดและศาสนสถาน เพื่อ พักผ่อนหย่อนใจกับความงดงามทางศาสนา ซึ่งนับเป็นรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุท่ี ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตามคติความเชื่อที่ถือว่า การได้มาท่องเที่ยววัด สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไหว้ พระสวดมนต์ จะนาํ ความเป็นสิริมงคลมาสชู่ ีวิตของตนเอง แต่สภาพปจั จบุ ัน เมอ่ื พจิ ารณาในแง่การบริหารจัดการของวดั เพ่ือรองรับนักท่องเท่ียวกลุ่มผู้สูงอายุใน เขตภาคเหนือตอนบนแล้ว พบว่า วัดยังขาดการพัฒนาศักยภาพและการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวภายใน วัด ทั้งในด้านพื้นที่ บุคลากร การบริการและกิจกรรมทางศาสนาให้สอดคล้องและเหมาะสมกับผู้สูงอายุ โดย ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั่วไปมากกว่าที่จะเน้นดูแลหรือรองรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ สอดคล้องกับบัญชา พงษ์พานิช (2560) ที่ได้สะท้อนว่า ปัจจุบันความต้องการการท่องเที่ยวในเชิงศาสนาของ กลุ่มผู้สูงอายุมีปริมาณมาก แต่วัดยังขาดการจัดการแหล่งท่องเท่ียวท่ีชดั เจน ไม่ค่อยมีการพัฒนาศักยภาพและ จัดระบบการท่องเที่ยวภายในวัดให้เหมาะสม วัดและหน่วยงานงานที่เกี่ยวข้องจึงควรหาแนวทางพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ ในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญให้ได้ มาตรฐานเป็นท่ีประทับใจและสรา้ งความเลื่อมใสศรทั ธาให้แก่นักท่องเทยี่ ว ดังนั้น จากความสำคัญของปัญหาวิจัยดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการศึกษาศักยภาพและการบริหาร จัดการแหล่งท่องเที่ยวของวัดสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาให้วัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มี
4 ศักยภาพ สามารถนำไปใช้ในการขับเคลื่อนและยกระดับการท่องเที่ยวของวัดแบบครบวงจรเพื่อรองรับการ ทอ่ งเทีย่ วเชงิ ศาสนาและวปิ ัสสนากรรมฐานสำหรบั ผสู้ ูงอายทุ ี่อยู่เพียงลำพังได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพื่อศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของวัดรองรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน สำหรับผู้สงู อายทุ ่อี ย่เู พียงลำพงั ในเขตท่องเท่ยี วเมืองรองภาคเหนือตอนบน 2. เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพและการบริหารจัดการของวัดแบบครบวงจรเพื่อรองรับการ ท่องเทย่ี วเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผสู้ ูงอายุท่ีอยู่เพยี งลำพังในเขตท่องเทีย่ วเมืองรองภาคเหนือ ตอนบน วิธีดำเนินการวจิ ยั รูปแบบของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เปน็ การวจิ ัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research) คือ เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ผสมผสานกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย (1) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่ม ตัวอย่างได้แก่นักท่องเที่ยวทั่วไปและนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุที่มาท่องเที่ยวในพื้นที่ จำนวน 700 คน โดยใช้การ สุ่มเจาะจง (Purposive Sampling) (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มเป้าหมายผู้ให้ ข้อมูลหลัก (Key Informants) จำนวน 30 คน ได้แก่ เจ้าอาวาส บุคลากรและเจ้าหน้าท่ีของวัด ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ด้านการท่องเที่ยวขององค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว ปราชญ์ชาวบ้าน/ผู้นำ ชมุ ชน และนักท่องเทยี่ วผู้สงู อายุ โดยการคดั เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เน่ืองจากเป็นผู้อยู่ใน พนื้ ทแ่ี ละมหี นา้ ทม่ี ีส่วนเก่ียวข้องกับการจดั การทอ่ งเท่ียวโดยตรง เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย (1) เครื่องมอื วจิ ัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) คือ แบบสอบถามเป็นขอ้ คำถามเกยี่ วกับศักยภาพของแหลง่ ท่องเที่ยวเชงิ ศาสนาและวปิ สั สนากรรมฐาน มีลักษณะ แบบให้เลือกตอบโดยใช้มาตราส่วนประเมินค่า (Numerical Rating Scale) (2) เครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) และการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) เปน็ ข้อคำถาม เกีย่ วกับแนวทางการพฒั นาศักยภาพและการบรหิ ารจัดการของวัดแบบครบวงจร เพ่ือ รองรบั การท่องเท่ยี วเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้สูงอายุที่อยเู่ พยี งลำพงั ในเขตท่องเทยี่ วเมืองรอง ภาคเหนอื ตอนบน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเปน็ ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุม่ ตัวอยา่ ง โดยมีขั้นตอน ของการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ี (1) ผู้วิจัยได้ขอจริยธรรมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หมายเลขข้อเสนอการวจิ ัย ว 114/2564 และได้ทำหนังสือขออนุญาตในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ไปยังวัดท่เี ป็น พื้นที่เป้าหมายในเขตภาคเหนือตอนบน โดยมีการอธิบายรายละเอียดโครงการวิจัย ชี้แจง วัตถุประสงค์ (2) ผู้วิจัยและคณะไปพบกลุ่มตัวอย่าง พร้อมกับสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (3) ผู้วิจัยอธิบายรายละเอียด
5 โครงการวิจัย ชี้แจงวัตถุประสงค์ เปิดโอกาส ให้ซักถามข้อสงสัย และให้เวลาในการตัดสินใจกับกลุ่มตัวอย่าง (4) ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม โดยการนัดพบประชุม และทำการเก็บข้อมูล ด้วยการ บันทึกเสียงและการจดบันทึกข้อมูล (5) ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วน ถอดเทป ก่อนนำข้อมูลมา วิเคราะห์เชงิ พรรณนา การวิเคราะห์ข้อมูล (1) การวิจัยเชิงปริมาณ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอด้วยตาราง และอธิบายเพิ่มเติม (2) การวิจัย เชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิเคราะห์เชงิ พรรณนาในเนื้อหาสาระ (Content Analysis) โดยข้อมูลจากการวิเคราะห์ เอกสารข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม นํามาวิเคราะห์เนื้อหาที่มีความสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์เนื้อหาตามประเด็น จัดประเภท/กลุ่มข้อมูลเพื่อให้ได้ชุดข้อมูลที่สามารถ เสนอเป็นข้อเทจ็ จรงิ และใช้ประกอบการวเิ คราะห์อภปิ ราย ซึ่งมีการให้เหตุผลเชิงตรรกะ นำเสนอผลการศึกษา แบบพรรณนา เพ่อื นำไปใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลตามวตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาได้ ผลการวจิ ยั 1. ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐานโดยภาพรวม พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก เมอ่ื พจิ ารณาจำแนกตามรายดา้ น โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสงู สุดไปหาต่ำสดุ ไดแ้ ก่ดา้ นสง่ิ ดึงดูดใจ ทางการท่องเที่ยว รองลงมาคือด้านการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่ง ท่องเที่ยว ด้านการบริการผู้สูงอายุ ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว ด้านเส้นทางคมนาคมเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว และดา้ นทีพ่ ักในแหล่งท่องเที่ยวตามลำดบั ดังตารางที่ 1 ดงั นี้ ตารางท่ี 1 แสดงคา่ เฉลี่ย และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานของศักยภาพแหล่งทอ่ งเท่ยี ว โดยรวมและรายดา้ น ข้อที่ ศักยภาพแหลง่ ท่องเทย่ี ว X̅ n = 700 ลำดับท่ี S.D. ความหมาย 1 ด้านสิ่งดงึ ดูดใจทางการทอ่ งเทย่ี ว 4.41 0.59 มาก 1 2 ดา้ นเสน้ ทางคมนาคมเข้าถึงแหล่งท่องเท่ียว 3.41 0.58 ปานกลาง 6 3 ดา้ นสิ่งอำนวยความสะดวกในแหลง่ ท่องเทย่ี ว 4.23 0.59 มาก 3 4 ดา้ นการบรหิ ารจัดการแหลง่ ทอ่ งเที่ยว 4.26 0.54 มาก 2 5 ดา้ นกจิ กรรมการทอ่ งเทย่ี ว 4.02 0.58 มาก 5 6 ด้านท่พี ักในแหล่งท่องเท่ียว 3.34 0.52 ปานกลาง 7 7 ดา้ นการบริการผสู้ งู อายุ 4.15 0.65 มาก 4 รวมเฉล่ยี 3.97 0.57 มาก 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน พบว่า (1) ด้านสิ่ง ดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว (Attraction) ควรจัดแหล่งข้อมูลให้สืบค้นองค์ความรู้แหล่งท่องเที่ยวของวัด และ มรดกทางภูมิปัญญาและทางวัฒนธรรมชุมชน เน้นสร้างคุณค่าและความสำคัญในแง่ของความเลื่อมใสศรัทธา
6 ความเป็นเอกลักษณ์ เก่าแก่และทรงคุณค่าทางจิตใจ (2) ด้านเส้นทางคมนาคมเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว (Accessibility) ควรร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการพัฒนาเส้นทางการคมนาคมเพื่อเดินทางไป แหลง่ ทอ่ งเท่ียว และจัดทำแผนผังแสดงแหล่งท่องเที่ยวและแผนท่ีแสดงเส้นทางท่องเทยี่ วแสวงบุญภายในวัดที่ ชัดเจน (3) ด้านส่งิ อำนวยความสะดวกในแหลง่ ท่องเท่ียว (Amenities) ควรจดั ตัง้ ศูนย์บริการนกั ท่องเท่ียวของ วดั และบริการสงิ่ อำนวยความสะดวกพ้ืนฐานที่เหมาะสมกับสภาพของวดั สำหรับนักท่องเทย่ี วกลุม่ ผสู้ งู อายุและ คนพิการ (4) ด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Ancillary services) ควรจัดทำแผนบริหารจัดการแหล่ง ท่องเที่ยวและระบบข้อมูลข่าวสาร พัฒนากลไกการประสานงาน และการวางแผนอํานวยความสะดวก โดยให้ ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาหรือจัดการท่องเที่ยว (5) ด้านที่พักและบุคลากร (Accommodations) ควรจัดสภาพแวดล้อมภายในที่พักของวัดให้เหมาะสม โดยออกแบบสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้มีความพร้อม ความเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับผูส้ ูงอายุ รวมท้ังควรจดั ฝึกอบรมความรู้เกีย่ วกับมัคคเุ ทศก์แก่พระสงฆ์หรือ บุคลากรภายในวัด (6) ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว (Activities) วัดและหน่วยงานทีเ่ กี่ยวข้องกบั การท่องเท่ยี ว ควรจัดกิจกรรมที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ดั้งเดมิ ทีม่ อี ยแู่ ลว้ และจัดครอสอบรมปฏิบตั ธิ รรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานสำหรับนักท่องเท่ยี วท่สี นใจ (7) ด้าน การบริการผู้สูงอายุ ควรพัฒนาสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ โดยจัดเตรียมสถานที่ให้ เหมาะสมกบั วยั เชน่ หอ้ งนำ้ เส้นทางเดินท่องเท่ยี ว เปน็ ต้น พัฒนามาตรฐานด้านความปลอดภัยและส่ิงอำนวย ความสะดวก พัฒนาระบบการดูแลและการให้บริการอย่างครบวงจร รวมทั้งควรพัฒนาระบบบริการด้านการ รักษาพยาบาลเบื้องต้น โดยการจัดเตรียมอุปกรณ์และยาสามัญประจำบ้านสำหรับผู้สูงอายุไว้อย่างเพียงพอ ส่วนแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว พบว่า (1) ด้านการวางแผน ควรร่วมกัน กำหนดแผนการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการ โดยสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายนำมาใช้เพื่อ ออกแบบกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกใหส้ อดคล้องกบั บรบิ ทของวัด (2) ดา้ นการจดั องค์กร ควรกำหนด งานออกแบบและจัดกลุ่มงานของวัด โดยวิเคราะห์และออกแบบงานทีต่ ้องดำเนินการ จากนนั้ กำหนดขอบเขต หน้าที่ของแต่ละงานที่จัดกลุ่มไว้ จัดโครงสร้างของบุคลากรและสรรหาบุคลากรร่วมดำเนินงาน (3) ด้าน บุคลากร ควรพฒั นาองค์ความรู้ของบุคลากรเกี่ยวกบั พระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ของแต่ละสถานที่ใหม้ ีความรู้รอบตัว รวมทั้งพัฒนาทกั ษะการบรกิ ารผู้สูงอายุและการสือ่ สารที่ดี (4) ด้านการ อำนวยการ ควรมุ่งเน้นการติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน กำหนดทิศทางของการปฏิบัติงานให้ เป็นไปตามนโยบายโดยการกระจายงานในหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้กำลังใจและ สนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรเจ้าหน้าท่ี (5) ด้านการตลาด ควรมุ่งเน้นการตลาดในการเพิ่มคุณค่าการ ท่องเที่ยว โดยการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างความพึงพอใจและนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจของ นักท่องเที่ยว ประกอบด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา ความสะดวกสบายของสถานที่ บุคลากร ทางการท่องเที่ยว กระบวนการบริการ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและการจัดชุดโปรแกรมท่องเที่ยว (6) ด้าน การพัฒนาสภาพแวดล้อม ควรเสริมสร้างคุณค่าของสภาพแวดล้อมแหล่งท่องเที่ยวภายในวัด ปรับปรุงส่ิง อำนวยความสะดวกในพื้นที่แบบครบวงจร รวมทั้งสร้างระบบนิเวศภายในวัดสำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ และ (7) ดา้ นการจัดการพน้ื ที่แหล่งท่องเท่ียวและการใชป้ ระโยชน์ ควรพฒั นาพื้นท่แี หล่งท่องเท่ียวเพื่ออำนวย
7 ความสะดวกหรือการบริการพื้นฐาน โดยการจัดระเบียบของที่ตั้งให้บริการและกิจการอื่นๆ เน้นการพัฒนา กจิ กรรมและบรกิ ารท่องเทย่ี วทส่ี อดคล้องกบั ศักยภาพและขีดความสามารถในการรองรบั นักทอ่ งเที่ยว และให้ ความสาํ คญั กับมติ ิของการพฒั นาการท่องเท่ยี วดา้ นจติ ใจและปัญญา อภปิ รายผล 1. ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน จากการศึกษาพบว่า สภาพปัจจุบันวดั ในเขตภาคเหนือตอนบนได้มีการพัฒนาสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวของวัดเพื่อรองรับการท่องเที่ยว โดยการ พัฒนาทรัพยากรและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายในวัดให้สามารถอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว และ พัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การปรุงปรุงซ่อมแซมบูรณะโบสถ์ วิหาร หรือการ ปรบั ปรงุ หอ้ งนำ้ และสถานที่จอดรถให้มีมากข้ึน เป็นต้น ทส่ี ำคัญการปรับปรุงและพฒั นาของวัด ยังได้คงคุณค่า และเอกลักษณ์ของความเป็นวัดไว้ เพื่อไม่ให้สิ่งดี ๆ สูญหายไปจากชุมชน ส่งผลทำให้วัดกลายเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะวัดเป็นสถานที่ที่มีศิลปวัฒนธรรมทาง พระพุทธศาสนาที่สวยงาม ทำให้นักท่องท่องได้รับและซึมซับสิ่งต่างๆในพระพุทธศาสนา จึงถือได้ว่าวัดเป็น สถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กับนักท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง สอดคล้องกั บ งานวิจัยของกรรณิกา คำดี (2558) พบว่า วัดเป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของศาสนา การสนทนาธรรม โดยเฉพาะเรือ่ งการปฏิบตั ธิ รรม การทำสมาธิ การเจริญสติภาวนา เปน็ แหล่งทอ่ งเทีย่ วทางพระพทุ ธศาสนาและ แหล่งท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนา ประวัติศาสตร์ และวฒั นธรรมทอ้ งถิ่นของทั้งผู้ใหญ่และเยาวชน และสอดคล้องกับงานวิจยั ของพระจำนง ผมไผ (2563) พบว่า วัดเป็นแหล่งทรัพยากรท่องเที่ยวที่ประกอบด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม และแหล่งท่องเที่ยว ทางจิตใจที่สงบ สันโดษตามหลักพระพุทธศาสนา แม้ปัจจุบันความเป็นศูนย์กลางในบางเรื่องจะลดแต่ ความสำคัญก็ยงั คงอยู่ แตบ่ ทบาทของวัดยงั คงมีคอ่ นขา้ งมาก คอื เรื่องของการพฒั นาชุมชนบนฐานวิถีพุทธ และ ความเป็นศนู ย์กลางทางดา้ นจิตใจซ่งึ ยังคงมีอยู่ไม่ได้เสื่อมคลายแต่อยา่ งใด วัดจงึ มีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนา สังคมไทยในทุกมิติ ซึ่งแนวทางการพัฒนาศักยภาพของวัดดังกล่าวสามารถนำไปเป็นแผนพัฒนาแผน ยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาวัดกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว โดยมีผู้นำ ศาสนสถาน และหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ตอบสนองการพฒั นาการทอ่ งเท่ียวของชมุ ชนอยา่ งย่ังยนื 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของวัดเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและ วิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้สูงอายุ พบว่า ประเด็นสำคัญคือการพัฒนาสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวของวัด (Attraction) โดยเตรียมความพร้อมของสภาพแวดล้อมภายในบริเวณวัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม มี บรรยากาศทเี่ งียบสงบ มคี วามสะอาด รม่ ร่ืนและงดงามตามธรรมชาติ ปรบั สภาพแวดลอ้ มตามศกั ยภาพของวัด เพอื่ รองรับนกั ท่องเทย่ี วผสู้ ูงอายใุ ห้สามารถเขา้ ถงึ และใช้ประโยชน์ได้ดว้ ยความสะดวกปลอดภัย จดั แหล่งขอ้ มูล ให้สามารถสืบค้นองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ประวัติความเป็นมาของวัด ชุมชน และมรดกทางภูมิปัญญา และทางวัฒนธรรมชุมชน สร้างคุณค่าและความสำคัญในแง่ของความเลื่อมใสศรัทธา ความเป็นเอกลักษณ์
8 เก่าแกแ่ ละทรงคุณค่าทางจิตใจ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของอมราวดี คำบญุ (2556) พบว่า การพัฒนาส่ิงดึงดูด ใจทางการท่องเที่ยวควรมีการจัดการแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการจัดอย่าง ชัดเจนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีคุณภาพเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต โดยควรแบ่งแยกแต่ละ ประเภทให้ชัดเจน ซึ่งสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวมีมากมายทั้งทางธรรมชาติ ทางประวัติศาสตร์ ทางศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อการสื่อความหมายที่เข้าใจง่ายแก่นักเที่ยว และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิรินันทน์ พงษ์ นิรันดร (2559) พบว่า การพัฒนาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยว ควรมุ่งเน้นสิ่งดึงดูดใจด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้บริการอย่างเพียงพอและการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้อย่าง รวดเร็วและสะดวก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน ท้องถิ่นจะต้องร่วมกันศึกษาด้านความสามารถในการรองรับของพื้นที่ เพื่อทำให้ทราบขีดความสามารถแหล่ง ทอ่ งเทยี่ วและสามารถรองรับนักท่องเทย่ี วได้อย่างเหมาะสม นอกจากน้ี ประเดน็ ท่ีนา่ สนใจต่อมาคือ การพัฒนาการบริการผสู้ ูงอายุ (Service) เน่อื งจากในปัจจุบัน ผู้สูงอายุจำนวนมากนิยมเดินทางไปท่องเที่ยววัด ศาสนสถาน หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อร่วมกิจกรรมทาง ศาสนาและการเข้าร่วมปฏิบัติธรรม การพัฒนาสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุจึงเป็น สง่ิ จำเป็น โดยจดั เตรียมสถานทใี่ หเ้ หมาะสมกบั วัย เช่น ห้องน้ำ เส้นทางเดินท่องเท่ียว เปน็ ตน้ พฒั นามาตรฐาน ด้านความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกในกลุ่มผู้สูงอายุ พัฒนาอบรมบุคลากรของวัดและจัดเจ้าหน้าที่ ของวัดดแู ลนักท่องเท่ยี วผู้สูงอายุและนำเท่ยี วภายในวัดเป็นกรณีพเิ ศษ พฒั นาระบบการดูแลและการให้บริการ แกน่ ักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างครบวงจร รวมทัง้ ควรพัฒนาระบบบริการด้านการรักษาพยาบาลเบื้องต้น โดยการจัดเตรียมอุปกรณ์และยาสามัญประจำบ้านสำหรับผูส้ งู อายุไว้อย่างเพยี งพอ สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ ปรญิ ญา นาคปฐมและระชานนท์ ทวผี ล (2561)พบวา่ การออกแบบการบริการทเ่ี หมาะสมสำหรบั กลุ่มผ้สู ูงอายุ ควรมุง่ เนน้ การบริการส่งเสริมและรักษาฟ้ืนฟสู ุขภาพทเี่ หมาะสำหรับกลุ่มผสู้ ูงอายทุ ่ีมีอาการเจ็บป่วยหรือมีโรค ประจำตัว และกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความต้องการและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งการบริการการท่องเที่ยวและ กิจกรรมนันทนาการ ซงึ่ ตอ้ งศึกษาและออกแบบใหเ้ หมาะสมกับสุขภาพของผูส้ งู อายใุ นแต่ละกลุม่ ส่วนแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวของวัดเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนา และวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้สูงอายุ พบว่า ควรมุ่งเน้นการพัฒนาการวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การพัฒนาบุคลากร (Staffing) การอำนวยการ (Directing) การตลาดท่องเที่ยว (Marketing) กระบวนการมีส่วนร่วม (Participation) การให้บริการ (Service) ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาการบริหารจัดการ แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว เป็นองค์ประกอบในการยกระดับและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเที่ยวเชิงศาสนาและ วิปสั สนากรรมฐาน โดยเฉพาะประเดน็ ดา้ นการพัฒนาการวางแผน (Planning) เนื่องจากการวางแผนเป็นการ คดิ ล่วงหนา้ เพอื่ กำหนดแนวทางในการจัดการส่งิ ใดสงิ่ หน่ึงหรอื หลายส่ิงรวมกนั ในลักษณะของระบบรวม โดยมี เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีการศึกษาวิเคราะห์ถึงผลดีและผลเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมของ แนวทางในการดำเนินงานแต่ละด้าน ในขณะเดียวกันก็มีการกำหนดวิธีการในการติดตาม ควบคุม และ ประเมินผลแนวปฏิบัติดังกล่าวให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับการวางแผนพัฒนาการ ท่องเที่ยวต้องมีการวางแผนในลักษณะของแผนรวมมากขึ้น กล่าวคือ ต้องมีความรับผิดชอบต่อความต้องการ
9 ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรมของชุมชนท้องถ่นิ จงึ ต้องใหช้ ุมชนท้องถิน่ เข้ามามีสว่ นร่วมในการวางแผน พัฒนาการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงต้องดำเนินการกระบวนการวางแผนและมีการดำเนินงานเป็นขั้นตอน โดย อาศัยแนวทางการศึกษาเก่ียวกบั ความต้องการของนกั ท่องเท่ียวและชุมชนท้องถ่ินควบคู่กนั ไป กล่าวคือ จะทำ อย่างไรในการพัฒนาแหล่งทอ่ งเท่ียวของวัดเพือ่ ใหท้ ้องถ่ินสามารถรองรบั นกั ท่องเที่ยวได้ ขณะเดียวกันก็ยังคง ดำรงไวซ้ ง่ึ เอกลักษณ์ทางดา้ นพระพทุ ธศาสนาและวฒั นธรรมของตนเอง ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการทอ่ งเท่ยี วอย่าง เหมาะสมในปจั จบุ ันและยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงการพัฒนาและการรักษาสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติ สอดคล้องกับงานวิจัยของโกศล จันทร์สมคอย (2562) พบว่า การวางแผนกลยุทธ์แหล่งท่องเที่ยว ท้องถิ่น ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การสร้างความตื่นตัว และการสร้าง ความรู้ในการบริหารแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นแก่ประชาชน ตามด้วยกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์อย่างมือ อาชีพ ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์การนำแผนกลยทุ ธ์สู่การปฏิบัติ และการประเมินผลแผนเชิงกลยุทธ์ให้เป็นไป ตามหลกั วชิ าการ ประเด็นต่อมาคือ การพัฒนาบุคลากร (Staffing) เนื่องจากบุคลากรทางการท่องเที่ยวนับได้ว่าเป็น องค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการท่องเที่ยว การบริการจึงต้องมีการเกี่ยวข้องโดยตรงกับ บคุ ลากรท้ังผใู้ ห้และผ้รู บั บริการ บคุ ลากรทางการทอ่ งเทย่ี วเปน็ ปัจจยั สำคญั ทีอ่ าจทำใหล้ ูกค้าไดร้ ับรู้ถึงคุณภาพ หรือเป็นผู้ทำลายคุณภาพก็ได้ ดังนั้น การพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวของวัดแบบครบวงจรด้าน การพัฒนาบุคลากร (Staffing) เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน จึงควรพัฒนา บุคลากรและเจ้าหน้าที่ของวัดให้มีองค์ความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของ แต่ละสถานที่ให้มีความรู้รอบตัว และพัฒนาความรูใ้ หท้ ันสมยั อยู่ตลอดเวลา มีการพัฒนาทักษะการส่ือสารท่ดี ี โดยสามารถสื่อสารได้หลายภาษา สามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ การดูแลนักท่องเที่ยวจะต้องให้ความเอาใจใส่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเปาะบาง สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และสามารถเข้าใจความแตกต่างของ นักท่องเที่ยวได้ มีการพัฒนาทัศนคติ มองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้ม มีใจรักในงานบริการ หวงแหนสมบัติของชุมชน ท้องถนิ่ ภาคภูมิใจและซื่อสตั ย์ในการบริหาร และควรพัฒนาดา้ นบุคลิกภาพมีมนุษยสมั พนั ธ์ทด่ี ีกบั นักท่องเที่ยว ทุกคน นอบน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ สุภาพเรียบร้อย สอดคล้องกับงานวิจัยของกฤษติญา มูลศรี (2561) พบว่า การพัฒนาบุคลากรของโรงแรมและรีสอร์ทเพื่อการบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจ ได้แก่ ด้าน บุคลิกภาพ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี การแสดงออกที่ดี การพูดจาที่สุภาพและถูกต้องตาม กาลเทศะ มีความ ซ่ือสตั ย์จริงใจ มีความอดทน ควบคุมอารมณ์ มีจิตใจพร้อมบริการ กระฉบั กระเฉง วอ่ งไวในการทำงาน รวมถึง ต้องพัฒนาบุคลากรของโรงแรมและรีสอร์ทให้มีทักษะวิชาชีพด้วย เพราะเป็นพื้นฐานในการให้บริการที่เป็น มาตรฐาน และที่สำคัญต้องเตรียมความพร้อมด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษให้กับบุคลากร เพื่อรองรับ นักทอ่ งเทย่ี วชาวตา่ งชาตทิ จ่ี ะมาใชบ้ รกิ ารเพ่มิ ข้นึ องคค์ วามรู้ใหม่ องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการวิจัย พบว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนา กรรมฐานสำหรับผู้สูงอายุนั้น ควรมีการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของวัด
10 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 6A ได้แก่ พัฒนาสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวที่เสริมสร้างคุณค่าทางจิตใจ (Attraction) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานเพื่อพัฒนาเส้นทางคมนาคมเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ สะดวกและปลอดภยั (Accessibility) ให้การสนับสนุนและบริการสิง่ อำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเท่ยี วที่ เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (Amenities) ออกแบบพัฒนาสถานที่พักและ และสถานปฏิบัติธรรมให้มีความพร้อม (Accommodations) สรา้ งระบบและกลไกการจดั การแหล่งท่องเท่ยี วให้สอดคล้องกับบริบทของวดั และชุมชน (Ancillary services) ขับเคลื่อนกิจกรรมท่องเที่ยวที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ (Activities) ทั้งนี้ การ พัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเทีย่ วของวดั ดังกล่าว จะต้องมีการดำเนินการตามระบบและกลไกการบรหิ ารจัดการ ของวัดแบบครบวงจร ประกอบด้วย การวางแผนกลยุทธ์การท่องเที่ยวของวัดและแผนงานเชิงปฏิบัติการ (Planning) การจัดองค์กรโดยกำหนดโครงสร้างและขอบเขตหน้าที่ให้ชัดเจน (Organizing) การพัฒนา บุคลากรโดยมุ่งเน้นสร้างสมรรถนะ บุคลิกภาพและทักษะการสื่อสาร (Staffing) การอำนวยการด้านการ ติดตามประเมินผลและการสร้างแรงจูงใจ (Directing) ส่งเสริมการตลาดเพิ่มคุณค่าการท่องเที่ยวเชิงศาสนา และวิปัสสนากรรมฐาน (Marketing) การขับเคลื่อนกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ (Participation) การพฒั นาคณุ ภาพการใหบ้ ริการนกั ท่องเท่ยี วผู้สูงอายุท่ีมีประสิทธิภาพ (Service) โดยองคค์ วามรู้ท่ีเกิดข้ึนจาก การวิจัยดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนา กรรมฐานในพื้นที่เขตภาคเหนือตอนบน เพื่อลดปัญหาภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพังในชุมชน ทอ้ งถน่ิ อย่างมนั่ คงและยัง่ ยนื ซ่งึ สามารถสรปุ เปน็ องคค์ วามร้ไู ดด้ ังภาพท่ี 1 ภาพที่ 1 สรปุ องคค์ วามรู้การพฒั นาการทอ่ งเท่ยี วเชงิ ศาสนาและวิปัสสนากรรมฐาน
11 สรุป / ขอ้ เสนอแนะ การวิจัยเรื่องนี้สรุปได้ว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้สูงอายุ นั้น จำเป็นตอ้ งมีองค์ประกอบทีส่ ำคัญได้แก่ ศักยภาพแหล่งทอ่ งเท่ียวของวัดประกอบดว้ ย สิ่งดึงดูดใจทางการ ท่องเที่ยว เส้นทางคมนาคมเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวก การจัดการแหล่งท่องเที่ยว ที่พักในแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยวและการบริการผู้สูงอายุ รวมทั้งการพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการแหล่ง ท่องเที่ยวของวัดแบบครบวงจรประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์กร การพัฒนาบุคลากร การอำนวยการ การกำกับดูแล การพัฒนาตลาดท่องเที่ยวและการพัฒนาสภาพแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการการ ท่องเทยี่ วของวดั เพือ่ ก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อผมู้ ีส่วนเกีย่ วข้องกบั การท่องเทีย่ วของวดั ทุกภาคสว่ นอย่างเท่าเทียม กนั โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ประชาชนหรือชมุ ชนทอ้ งถิ่นในบรเิ วณวดั ไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการท่องเท่ียวนั้น อกี ทั้ง ยังมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาและการจัดระบบการท่องเที่ยวภายในวัดหรือศาสนสถานให้เหมาะสม และมีการ บริการทีด่ ีสามารถสร้างความเลื่อมใสศรทั ธาให้แก่นักทอ่ งเที่ยวไดใ้ นฐานะเป็นแหล่งทอ่ งเทีย่ วทางศาสนา ซึ่งมี ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้ (1) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในพื้นที่ควรมีนโยบายขับเคลื่อน กระบวนการสง่ เสริมการท่องเทยี่ วเชิงศาสนาและวปิ ัสสนากรรมฐานผ่านกลไกการมีสว่ นรว่ มของภาคีเครือข่าย ทางการท่องเท่ียว และการสรา้ งชอ่ งทางการส่ือสารทด่ี ีในดำเนินงานทุกภาคส่วน กล่าวคือภาครัฐเป็นผู้กำหนด นโยบาย ประชาสังคมและภาคท้องถนิ่ เป็นผู้ปฏบิ ัติงาน โดยมีวัดเปน็ แกนกลางท้งั กระบวนการกำหนดนโยบาย และภาคปฏิบตั ิการ (2) หนว่ ยงานภาครัฐและเอกชนควรมีนโยบายสร้างสรรค์และนำเสนอเสน้ ทางท่องเท่ียวท่ี เปน็ ศนู ย์กลางแหง่ ความศรทั ธาทางศาสนา ความเชอ่ื และสิง่ ศักดิส์ ิทธิ์ นำไปสู่การสรา้ งงานสรา้ งรายได้ทางการ ท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจฐานรากสู่ชุมชนและท้องถิ่นโดยดำเนินโครงการ WAT หรือ \"ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยววิถีพุทธ\" และจัดทำเส้นทางแห่งศรัทธาเพื่อเสริมสิริมงคล ความรุ่งเรืองแห่ง ชวี ิต เชื่อมโยงชุมชนท่ีมีศักยภาพและแหลง่ ท่องเทย่ี วอื่น ๆ ท่วั ประเทศ และมขี ้อเสนอแนะแนวทางในการวิจัย ครงั้ ต่อไป ดงั น้ี (1) ควรศกึ ษานวตั กรรมทุนทางสังคมของชมุ ชนเพอื่ ส่งเสริมคุณค่าการท่องเท่ียวเชิงศาสนาและ วปิ ัสสนากรรมฐานสำหรับผู้สงู อายุ (2) ควรศกึ ษาข้อเสนอเชิงนโยบายและยทุ ธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงศาสนา และวิปัสสนากรรมฐานในเขตภาคเหนอื ตอนบน เอกสารอ้างอิง กรมสุขภาพจติ . (22 ธนั วาคม 2561). ข้อมลู จากการสำรวจของกรมสขุ ภาพจิต. หนงั สอื พมิ พ์มตชิ น., น.12. กรรณิกา คำดี. (2558). วัดและศาสนสถานในมิติของการท่องเที่ยว. วารสารบัณฑิตศึกษา มนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . 4(2): 177-178. กฤษตญิ า มลู ศรี. (2561). แนวทางการพฒั นาศกั ยภาพบุคลากรภาคธรุ กจิ โรงแรมและรีสอรท์ . วารสาร สหวิทยาการวจิ ยั . 7(1): 14-23. โกศล จันทร์สมคอย. (2562). แนวทางการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น. วารสารวิชาการ ธรรมทรรศน์. 19(2): 49-59.
12 เทพฤทธิ์ วงศภ์ ูมิ, จกั รกฤษณ์ สขุ ย่งิ และอุมาพร อุดมทรัพยากุล. (2558). ความชุกของโรคซึมเศร้า ในประชากรสงู อายุจงั หวัดเชียงใหม่. วารสารสมาคมจติ แพทยแ์ ห่งประประเทศไทย. 56(2): 103-115. บญั ชา พงษพ์ านชิ . (2560). การทอ่ งเท่ียวเชงิ ศาสนาและจติ ใจ. เรยี กใช้เม่ือ 20 มีนาคม 2563. จาก https://www.mots.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7789. ปริญญา นาคปฐม และระชานนท์ ทวีผล. (2561). การพัฒนาคณุ ภาพงานบรกิ ารทางการท่องเท่ียวสำหรับกลุ่ม นักท่องเทีย่ วผู้สูงอายุ. วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณใ์ นพระบรมราชูปถัมภ์. 12(1): 255-269. พระจำนง ผมไผ. (2563). วัดกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวบนเส้นทางลุ่มน้ำโขง. วารสารสังคมศาสตร์และ มานษุ ยวทิ ยาเชงิ พุทธ. 5(5): 158-169. ศริ ินันทน์ พงษ์นิรันดร. (2559). แนวทางในการพฒั นาศกั ยภาพการจดั การท่องเทย่ี ว อำเภอวงั นำ้ เขยี ว จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวทิ ยาลยั บณั ฑิตศกึ ษาการจดั การ มข. 9(1): 234–255. สถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2560). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2559. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ สถาบนั วิจัยและ พฒั นาผสู้ งู อายไุ ทย. สำนักพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมภาคเหนือ. (2558). รายงานสถานการณผ์ ู้สูงอายุไทย. เชียงใหม่: สำนกั พฒั นา เศรษฐกจิ และสังคมภาคเหนือ. อมราวดี คำบุญ. (2556). การประเมินความพร้อมทางการท่องเที่ยวของเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กจังหวัด อุบลราชธานี. ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต. สาขาวิชาการจดัการการท่องเที่ยว คณะวิทยาการ จัดการ: มหาวิทยาลัยขอนแกน่ .
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: