115 แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวชิ าทักษะการพัฒนาอาชีพ ครงั้ ท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาห์ท่ี 14 วนั ท่ี 10 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทักษะการพัฒนาอาชพี รหสั วชิ า อช21002 จานวน 4 หน่วยกติ 3. มาตรฐานที่ 3.4 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในการพัฒนาอาชีพให้มคี วามมั่นคง 4. หน่วยการเรียนรู้/เร่ือง ความจาเป็นในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิตกระบวนการตลาดที่ใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยเี พอ่ื พัฒนาอาชพี 5. สาระสาคัญ การประกอบอาชพี จาเปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาทงั้ ดา้ นกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดอยา่ งต่อเนื่อง เพอ่ื ให้สินคา้ อยู่ในตลาดไดน้ าน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยุกต์ใช้กับภูมิปญั ญาใหเ้ หมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดแล้ว ผปู้ ระกอบธรุ กิจ จาเปน็ ต้องมีความสามารถดา้ นอื่นๆ ประกอบด้วย ได้แก่ การหาแหลง่ ทเี่ อื้อต่อการพฒั นาอาชพี ความเขา้ ใจในปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพยี งและการพฒั นาตนเองอยา่ งสม่าเสมอ จงึ จะทาให้อาชีพมคี วามเข้มแข็ง ก่อนที่จะฝึกทักษะเพอื่ พฒั นาอาชพี จะต้องทราบวา่ จะฝกึ ทักษะอะไรบา้ ง แล้ววางแผนการฝกึ วา่ จะ ฝึก อย่างไร ทไ่ี หน เมื่อไร ระหวา่ งการฝึกควรมีการจดบนั ทึกเพื่อสรปุ เป็นองคค์ วามรู้ 6. เนอื้ หา 1. ความจาเป็นในการฝึกทักษะ เพ่ือพัฒนาอาชีพ 2. ความจาเปน็ ในการพฒั นาการผลิต 3. ความจาเปน็ ในการพฒั นากระบวนการตลาด 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู ่คี าดหวงั 1.อธบิ ายความจาเปน็ ในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิต กระบวนการตลาดท่ีใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยี 8.การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความจาเปน็ ในการฝึกทักษะ เพื่อพฒั นาอาชพี ความจาเป็นในการพฒั นาการผลิต ความจาเป็นในการพฒั นา กระบวนการตลาด คุณธรรม - มคี วามขยนั - มคี วามสามคั คใี นการทางานรว่ มกนั - มีความซ่ือสตั ย์
116 พอประมาณ - การมีสติ และคดิ พิจารณาความเหมาะสม / ความจาเป็นในการประกอบอาชพี มีเหตผุ ล - มีทักษะในการในการพฒั นาอาชพี สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้ - สามารถผลติ สนิ คา้ และการตลาดที่มคี ุณภาพ มภี มู ิคุ้มกัน - ลดการลดทนุ ที่เกดิ ความเส่ยี ง - ลดความเส่ียงในการขาดทุน วตั ถุ - มสี ินค้าทม่ี คี ุณภาพ - มอี าชพี ที่ม่นั คง สงั คม - มีการทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่มแลกเปล่ยี นความคิดและวิเคราะหร์ ว่ มกัน สิง่ แวดล้อม - มีอาชีพทใี่ ชท้ รัพยากรท่ีมีความคุมค่า วัฒนธรรม - ส่งเสริมการประกอบอาชีพใหเ้ หมาะสมกับชมุ ชนท่ตี นอาศัย 9. กระบวนการจัดการเรียนร้แู ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ 1. ครูพูดคุยเก่ียวกบั สภาพปัญหาในการประกอบอาชีพ ว่ามปี ัญหาอะไรบ้าง และสามารถนาทักษะและ กระบวนการผลติ คือ ทนุ แรงงาน สถานที่ การจดั การเข้ามาบรหิ ารจดั การโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี พรอ้ มกับ กระบวนการตลาดทีจ่ ะแนะนาผลติ ภัณฑ์เขา้ สู่ตลาดไดอ้ ย่างไร ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ 1. ครูนาสินคา้ ชนิดเดียวกัน แตค่ นละยี่หอ้ มาใหผ้ ้เู รียนเปรียบเทยี บสนิ คา้ ท้ังสองชนดิ ในชั้นเรยี นในเรอื่ ง 1.1 ราคา 1.2 ผลติ ภัณฑ์ 1.3 ชอ่ งทางการจดั จาหน่าย 1.4 การสง่ เสรมิ การขาย 2.ครูใหผ้ เู้ รียน แบง่ เปน็ 3 กลุ่มๆละ เท่าๆ กัน โดยกาหนดประเด็นการศึกษาค้นคว้า 1 ความจาเปน็ ในการพฒั นาการผลิต 2 ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด 3 ความจาเปน็ ในการฝกึ ทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพ 3. ผเู้ รียนศึกษาเน้ือหาเพิ่มเติมจากใบความรู้และส่ืออินเตอร์เน็ต
117 ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ 1. ให้นักศึกษาวเิ คราะหอ์ าชีพทส่ี นใจ ใหค้ รอบคลมุ เนื้อหาความจาเปน็ ทัง้ สามหัวข้อ พร้อมนาเสนอหน้าชัน้ เรยี น ขัน้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 1. ให้ผเู้ รียนประเมนิ ผลเนื้อหาและการนาเสนอของเพื่อนด้วยการยกมอื ใหค้ ะแนน 2. ครแู ละผู้เรียนสรปุ เนอื้ หาพรอ้ มแลกเปลยี่ นเรียนรรู้ ว่ มกนั 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าทักษะการพฒั นาอาชีพ (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สื่ออนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1วธิ กี ารวัดและประเมินผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - ใบงาน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ูส้ อน (นายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชือ่ ………………………………………………………ผู้อนมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
118 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหนองผือ ครง้ั ท่ี 14 วนั /เดือน/ปีวันที่ 10 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนายพงศกร อดุ มอรยิ ทรัพย์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชา ทกั ษะการพฒั นาอาชีพ รหัสวิชา อช21002 จานวนผ้เู รียนท้งั หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผูบ้ ันทึก) (นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
119 ใบความรู้ เร่ืองท่ี 1 ความจาเปน็ ในการฝึกทักษะกระบวนการผลติ กระบวนการตลาด ทใ่ี ช้นวัตกรรมเทคโนโลยเี พอ่ื พัฒนาอาชีพ 1.1 ความจาเป็นในการฝึกทกั ษะเพอื่ พัฒนาอาชีพ การพัฒนาทักษะอาชีพดา้ นต่าง ๆ ให้ทนั ต่อการเปล่ยี นแปลงของตลาด ไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถใน กระบวนการผลติ และกระบวนการการตลาด การพฒั นาอาชพี มคี วามสาคัญและจาเป็น ดงั นี้ 1. ด้านเศรษฐกิจ จากการแข่งขันทางธรุ กิจทีม่ ีการแขง่ ขันทางการตลาดสูง จงึ เกดิ การรวมกลุ่มการค้าตา่ ง ๆ เชน่ เขตการคา้ เสรีอาเซยี น เขตเศรษฐกิจยโุ รป ดงั นัน้ การพัฒนาอาชีพจงึ เปน็ มีการพัฒนาสนิ คา้ ใหส้ ามารถเขา้ สู่ตลาด การแข่งขัน และเปน็ ทย่ี อมรับของตา่ งประเทศ 2. ด้านสงั คม ประเทศท่ีมีเศรษฐกจิ ดีจะสง่ ผลให้สภาพของสงั คมดขี นึ้ เชน่ ปราศจากโจรผู้รา้ ย 3. ด้านการศกึ ษา ครอบครวั ท่ีมเี ศรษฐกจิ ดจี ะสามารถสง่ บตุ รหลานเขา้ รบั การศึกษาไดต้ ามความต้องการ และในอนาคตเยาวชนเหลา่ นี้ก็จะเป็นประชากรท่ีมคี ุณภาพ มคี วามสามารถในการประกอบอาชีพ ส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคมให้มีความเจรญิ ก้าวหน้าตอ่ ไป 1.2 ความจาเป็นในการพฒั นากระบวนการผลิต จากสภาพสังคมที่มีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา สง่ ผลใหค้ วามตอ้ งการสนิ ค้าของผบู้ รโิ ภคมคี วามแตกต่าง กนั ท้งั ทางดา้ นปรมิ าณและด้านคุณภาพ ดังนนั้ การพัฒนาอาชพี จึงมคี วามจาเป็นเพ่ือรองรับการเปลยี่ นแปลงน้ัน เทคนิคและวธิ กี ารในการพัฒนากระบวนการผลิต และกระบวนการตลาด โดยการนาภูมิปญั ญา นวัตกรรม/เทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการพฒั นาการประกอบอาชีพ กระบวนการผลิต เป็นการบริหารจัดการดา้ นทนุ แรงงาน ทดี่ ินหรือสถานท่ใี หเ้ กิดผลผลติ หรอื สนิ คา้ ทีม่ ีการ พฒั นาอย่างต่อเน่ือง เพื่อให้ตรงกบั ความต้องการของตลาด องค์ประกอบของกระบวนการผลติ นาเสนอได้ตามแผนภมู ิ ดงั นี้ 1. ทุน หมายถึง ปัจจยั ท่ีเป็นเงนิ ทนุ วัสดุ อปุ กรณ์ วตั ถุดบิ เครอ่ื งมือ เครื่องจักร ซ่งึ ต้องศึกษาว่ามี ทนุ ใดเข้า มาเก่ยี วข้องและถา้ จะปรับปรุงแกไ้ ขต้องพิจารณาว่าต้องใช้ทนุ ประเภทใดมากน้อยเพยี งใด ลดจานวนที่ใชไ้ ปบา้ งได้ หรือไม่ หรือใชส้ ง่ิ ทดแทนทีม่ ีราคาถูกแทนสงิ่ ที่มรี าคาแพงได้หรือไม่ หรือเน้นใช้ทนุ ที่มอี ยู่ในทอ้ งถิน่ เพราะถ้าใชท้ ุน จากท่ีอน่ื จะมีคา่ ใช้จา่ ยสูงขึ้น เชน่ คา่ ขนสง่ คา่ แรงงาน ถา้ เป็นเงนิ ท่ตี ้องใชใ้ นการลงทนุ ที่ตอ้ งไปกู้ยมื เสียดอกเบย้ี ใน อตั ราท่ีสูงจะทาอย่างไรถึงจะลดดอกเบ้ียให้ตา่ ลง ซ่ึงจะมผี ลต่อการลดต้นทนุ 2. แรงงาน หมายถงึ แรงงานคน สัตว์ เครื่องจกั รตา่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นการผลิต ผ้เู รยี นจะตอ้ งศึกษา วิเคราะห์ การ ใช้แรงงานว่าใชแ้ รงงานค้มุ ค่ากบั เงินทุนและเวลาหรอื ไม่ ใช้แรงงานเหมาะสมกับงานหรือขนาดของพน้ื ทหี่ รือไม่ เชน่ พนื้ ทีน่ ้อยก็ควรใชแ้ รงงานคนไม่ควรใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ แรงงานท่ใี ช้มีคณุ ภาพหรอื ไม่ มกี ารให้ขวญั กาลงั ใจแก่ แรงงานท่ใี ช้หรือไม่ 3. สถานท่ี หมายถึง ที่ดนิ ทากิน หรือสถานที่ตา่ ง ๆ เช่น ห้างสรรพสินคา้ รา้ นคา้ ซ่ึงเป็นสถานที่ประกอบการ ถ้าเป็นท่ีดินทากินอาชีพเกษตรกอ็ าจจะพิจารณาว่าได้ใชท้ ่ีดินคุ้มคา่ กับการลงทุนหรอื ไม่ ใช้ทัง้ หมด หรือใช้อย่าง
120 เหมาะสมกับการปลูกพืชหรือเลย้ี งสัตว์หรือไม่ มีการทานบุ ารุงท่ีดนิ ทากินบา้ งหรือไม่ เช่น บารงุ ดินโดยปลูกพืชตระกลู ถ่วั แล้วไถกลบเพือ่ บารุงดนิ สาหรบั อาชีพบรกิ าร เช่น ขายอาหาร เปดิ รา้ นเสรมิ สวย ซ่อมรองเทา้ นวดแผนโบราณ ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ทาเลท่ีตั้ง เช่น อยู่ในยา่ นชุมชน การเดินทางสะดวกสบาย มีท่ีจอดรถใหล้ กู ค้า ส่งิ ตา่ งๆ เหล่านต้ี ้องนามาพิจารณาเพื่อพฒั นาให้ดี ขนึ้ 4. การจัดการ เปน็ การนาทนุ แรงงาน และที่ดนิ หรอื สถานทไ่ี ปบริหารจดั การให้เกิดผลผลติ อยา่ งคุ้มคา่ และ ได้ประโยชน์สูงสุด ดังนน้ั การจัดการจงึ เปน็ สง่ิ สาคญั และจาเปน็ ตอ่ การประกอบธรุ กจิ ถ้ามกี ระบวนการจดั การทผ่ี า่ น การคดิ วิเคราะห์ วางแผนอย่างเป็นข้ันตอน รอบคอบบนฐานข้อมูลท่ีเป็นจริง และตามสถานการณ์ในขณะนน้ั กน็ บั วา่ ไดเ้ ปรียบกว่าบุคคลอืน่ ๆ ท่ไี ม่ได้ให้ความสาคัญ แตท่ าดว้ ยความเคยชิน ทาให้ขาดการพัฒนาอยา่ งต่อเน่ือง จึงทาให้ ธุรกจิ มแี ต่คงที่หรือถอยหลัง เพ่อื ให้อาชพี ดาเนินต่อไปได้ มีรายได้ใหค้ รอบครัวมีกนิ มีใช้ในครัวเรือน ควรต้องคานงึ ถึง การออมเงนิ เพื่อเปน็ หลักประกนั ของครอบครัวต่อการดารงชีวติ ของลูกหลานและการศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพ จาเปน็ ตอ้ งมีการจัดการในการนานวตั กรรมหรอื เทคโนโลยมี าใช้ในการผลติ เพ่ือใหผ้ ลผลติ มีคุณภาพและมปี รมิ าณ เพียงพอต่อความต้องการของตลาด 1.3 ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด เป็นการบริหารจัดการด้านการตลาด เร่ิมต้งั แต่การศกึ ษาความ ตอ้ งการของลกู ค้า การกาหนดเปาู หมาย การทาแผนการตลาด การส่งเสริมการขาย การกาหนดราคาขาย การขาย การส่งมอบสนิ ค้าให้กบั ลูกคา้ ผ้ผู ลิตกต็ อ้ งศึกษาวิเคราะหจ์ ดุ อ่อน จุดแขง็ ของกระบวนการตลาดทุกขัน้ ตอนเพ่อื นา ข้อมูลมาใชพ้ ฒั นาอาชพี การตลาดเป็นเรอ่ื งยากของผู้ประกอบอาชีพใหม่ รวมถึงผทู้ ี่ประกอบอาชีพอยู่แล้ว การศึกษาข้อมูลและการทา ความเขา้ ใจในวธิ ีการตลาดจะสามารถนามาปรับใชเ้ พื่อการพฒั นากระบวนการตลาด สามารถแสดงกระบวนการได้ ตามแผนภมู ิ ดงั นี้ 1. ผลิตภัณฑ์ / สนิ ค้า หมายถึง ผลผลติ /ผลติ ภัณฑ/์ การบรกิ าร เชน่ ผลผลิตการเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป ตา่ ง ๆ หรอื เป็นสินคา้ ประเภทบริการ เชน่ ขายอาหาร เสริมสวย นวดแผนโบราณ ซึ่งผปู้ ระกอบการต้องพิจารณา ความต้องการของลูกค้าอยตู่ ลอดเวลาว่า ความต้องการนัน้ ลดลงหรือเพ่ิมขนึ้ ถา้ ลดลงจะต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ ลกั ษณะของผลผลติ /ผลิตภณั ฑ์ เชน่ รปู ลกั ษณ์ ความสวยงาม ความต่นื ตาต่นื ใจ ประโยชนข์ องการใช้สอย โดยยดึ ความตอ้ งการของกลมุ่ ลกู คา้ เปน็ สาคัญ สาหรับอาชพี บริการตอ้ งให้ความสาคญั กบั การบริการดว้ ย เช่น มารยาทการ บริการ ความรบั ผดิ ชอบ การมีมนุษยสมั พนั ธ์ 2. ราคา หมายถึง การต้ังราคาขายสินคา้ ซง่ึ ขึน้ อยู่กบั ตน้ ทุนการผลิต เช่น คา่ วัสดุอุปกรณ์ คา่ ดอกเบยี้ คา่ เช่า สถานที่ ค่าแรงงาน คา่ ประชาสมั พนั ธ์ คา่ ขนสง่ ค่านา้ มนั ถ้าส่งไปขายต่างประเทศจะมีราคาแพงกวา่ ขายในประเทศ ไทย แต่อยา่ งไรก็ตามผขู้ ายควรเนน้ การตั้งราคาใหเ้ หมาะสมกับคณุ ภาพของสนิ ค้าและควรให้ใกลเ้ คียงกับคู่แข่งขัน ถา้ สินค้าใดคแู่ ข่งน้อย ผขู้ ายก็ควรต้ังราคาให้ยตุ ิธรรมกบั ผู้บริโภค ไมค่ วรเอาเปรยี บลูกค้าเกินไป ดงั นั้น ผู้ประกอบการควรศกึ ษา วิเคราะหว์ า่ ราคาของปัจจยั การผลติ ผันแปรอย่างไรลดลงหรือเพ่ิมขนึ้ หรอื จัดหาวัสดทุ ่มี รี าคาถูกทดแทนวัสดุทร่ี าคาแพงได้ เพอ่ื ให้ตน้ ทุนลดลงได้ หรือสามารถปรบั ลดอัตราดอกเบ้ยี ค่าเช่า สถานที่ ค่าขนสง่ หรือลดการประชาสมั พนั ธ์ก็จะทาให้ตน้ ทุนการผลติ ลดลง ซึ่งจะมีผลต่อการกาหนดราคาขาย
121 ผลิตภัณฑ์ ถ้ากาหนดราคาขายตา่ กว่าคูแ่ ข่ง แตป่ ริมาณการขายมากจะดีกวา่ ขายราคาแพง ซึง่ ผลกาไรโดยรวมสงู กว่าก็ น่าจะยดึ หลักการนี้ 3. ช่องทางการจดั จาหนา่ ย เปน็ การกระจายสนิ ค้าให้ไปถงึ ผู้บริโภคอย่างปลอดภยั ซึ่งมีหลายวธิ ี เชน่ การ ขายผ่านคนกลาง การขายปลีก ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องพจิ ารณาความรู้ ความสามารถและศกึ ษาศักยภาพของตนเอง ในการเลือกช่องทางการจัดจาหนา่ ยสินคา้ ซึง่ ไมจ่ าเป็นตอ้ งมชี อ่ งทางจาหนา่ ยสนิ คา้ เพยี งวิธีเดียว อาจใชห้ ลาย ๆ วธิ ี เพือ่ ให้เหมาะสม เชน่ แตเ่ ดมิ ขายผลไมผ้ ่านคนกลางเพยี งอยา่ งเดียว ตอ่ มาเพม่ิ วิธีการขายปลีก ทาใหม้ ชี ่องทางการจัด จาหน่ายทั้งขายผ่านคนกลางและขายปลีก 4. การสง่ เสริมการขาย เปน็ การใชเ้ ทคนิคหรอื วธิ ีการใหล้ ูกค้ารู้จกั และต้องการซื้อสนิ คา้ โดยวิธตี า่ ง ๆ เช่น การจัดใหม้ ีการชงิ รางวัล การมีส่วนลด ซอ้ื 1 แถม 1 การส่งเสริมการขายอาจจะประชาสัมพันธ์โดยวธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ แจก แผน่ ปลวิ ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทศั น์ นอกจากจะสง่ เสรมิ การขายด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ แล้ว การบริการหลังการขายก็เปน็ เรื่องสาคัญเพราะการท่ลี กู ค้า สั่งซือ้ สนิ คา้ ครัง้ หนงึ่ นัน้ ไมไ่ ด้หมายความวา่ ผู้ขายจะขายได้คร้ังเดยี ว แต่หากมีการบริการหลงั การขายทีด่ ี ลูกค้าก็ สามารถกลบั มาซอ้ื ใหม่ หรอื อาจบอกต่อคนอนื่ ๆ ใหม้ าใชบ้ รกิ ารก็ได้ ดงั น้ัน ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งศกึ ษา วเิ คราะห์ การส่งเสรมิ การขายทดี่ าเนินการอยวู่ า่ มขี ้อดขี ้อเสยี อย่างไร ควรมีการปรับปรุงวิธกี ารหรือไมอ่ ย่างไร 1.4 การพัฒนาอาชีพตอ่ ยอดและประยุกตใ์ ช้ภูมิปัญญา ในปัจจุบันการพฒั นาอาชีพต่อยอดเปน็ เรือ่ งสาคัญสาหรับผู้ผลิต เพราะการทมี่ ผี ูผ้ ลิตจานวนมาก ท่ีผลติ สนิ ค้า ซ้าๆ กนั จะทาใหเ้ กิดตัวเลอื กในการบรโิ ภคผลิตภัณฑ์ ซงึ่ เป็นการดสี าหรบั ผู้บรโิ ภค แต่ไม่ดสี าหรับผู้ผลติ เพราะจะทาให้ เกิดสว่ นแบง่ ตลาดมากขึน้ ดงั น้ันผผู้ ลติ ตอ้ งมคี วามคิดริเรมิ่ สร้างสรรคใ์ นการพัฒนาต่อยอดจากผลิตภณั ฑเ์ ดิมให้มีความ แตกตา่ งและน่าสนใจสาหรับผู้บรโิ ภค ภมู ิปัญญา หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ ความชาญฉลาด ทกั ษะและเทคนิคอันเกดิ จากพื้นความร้ทู ี่ผ่าน กระบวนการสบื ทอด เลือกสรร ปรบั ปรงุ พฒั นา การสร้างงาน ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาเปน็ เวลานานอย่าง เหมาะสม สอดคลอ้ งกบั ยุคสมัย การพฒั นาอาชพี โดยการประยกุ ตใ์ ช้ภูมปิ ัญญา เปน็ การนาภูมิปัญญามาเชื่อมโยงให้สอดคลอ้ งกับอาชีพเดมิ จงึ จาเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแขง็ ของอาชพี ถึงแมเ้ ร่อื งใดจะเปน็ จุดแขง็ อย่แู ลว้ กต็ ้องวเิ คราะห์ว่าควรจะ พัฒนาอะไรได้อีก ส่วนจดุ อ่อนยิ่งตอ้ งวเิ คราะห์อยา่ งรอบคอบ ถี่ถ้วนเพอื่ ให้ดขี นึ้ กวา่ เดิม เช่น ปจั จบุ ันนยิ มใชข้ อง โบราณ กอ็ าจจะนามาประยุกต์ใช้ในการพฒั นาอาชีพ เชน่ มีอาชพี ขายกาแฟอยูแ่ ลว้ ก็อาจจะนาวธิ ีชงกาแฟแบบ โบราณมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เป็นจดุ ขายและเป็นการอนรุ ักษข์ องดีดัง้ เดิม 1.5 ทักษะการใชน้ วตั กรรม/เทคโนโลยีเพอื่ การพฒั นาอาชีพ นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏบิ ตั ิ หรอื สิ่งประดิษฐใ์ หมท่ ่ยี งั ไม่เคยใช้มาก่อนหรอื เป็นการพฒั นา ดัดแปลง มาจากของเดิมทม่ี ีอยู่แล้ว เทคโนโลยี หมายถงึ การใชค้ วามรู้ เคร่อื งมือ ความคดิ หลักการ เทคนคิ ระเบียบวิธีการ ตลอดจน กระบวนการ ท่ีมนษุ ย์พัฒนาข้ึนเพือ่ ช่วยในการทางานหรือแกป้ ญั หาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครอ่ื งจักร วัสดุ หรอื แมก้ ระท่งั สงิ่ ท่ีไม่สามารถจับต้องได้
122 การที่จะยอมรับหรือปฏเิ สธนวตั กรรม/เทคโนโลยี อาจจะต้องพิจารณาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม/ เทคโนโลยี สว่ นใหญก่ ็จะดอู งคป์ ระกอบ 4 ดา้ น คอื 1. ความสามารถในการทางาน 2. ประหยดั ค่าใช้จ่าย 3. ทางานไดร้ วดเร็ว 4. ไม่ทาลายส่ิงแวดล้อม ความสามารถในการทางาน ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของนวัตกรรม/เทคโนโลยี ได้มากน้อยเพยี งใด แต่ จาเปน็ ตอ้ งมีเกณฑ์ช้วี ดั เพ่ือการยอมรบั วา่ เท่าใดจึงจะยอมรับได้ อาจจะเปรียบเทียบกับความสามารถเดมิ ท่ีเคยใชม้ า แต่อย่างไรก็ตามการนานวตั กรรม เทคโนโลยีมาใชต้ ้องดขี ้ึนกว่าเดิม อาจกาหนดเปน็ รอ้ ยละกไ็ ด้ เช่น การใชเ้ ครอื่ งนวดข้าวเครื่องใหมส่ ามารถนวดข้าวไดม้ ากกวา่ เดิมร้อยละ 20 ซ่งึ ยอมรับได้ ประหยัดค่าใชจ้ ่าย เปน็ การมุ่งประเมินเทียบเคยี งระหว่างนวตั กรรม/เทคโนโลยีของใหม่ท่ีจะนาเข้ามาใช้แทน เทคโนโลยเี ก่า โดยพิจารณาเปรยี บเทียบราคานวัตกรรม/เทคโนโลยีใหมท่ ี่ตอ้ งจ่ายเป็นเงิน และการลดรายจ่ายจากเดิม การทางานไดร้ วดเร็ว เปน็ การประเมินเทยี บเคยี งความรวดเร็วในการทางานใชเ้ วลาสั้นระหวา่ งนวตั กรรม/ เทคโนโลยเี กา่ กบั ใหม่ ไมท่ าลายสง่ิ แวดลอ้ ม ผปู้ ระกอบการต้องคานึงอย่เู สมอว่านวัตกรรม/เทคโนโลยจี ะนามาใช้ตอ้ งเปน็ มติ รกับ ส่ิงแวดล้อม และไม่ทาใหผ้ ูท้ ่ีอย่อู าศยั ใกลเ้ คยี งเดอื ดร้อน
123 ใบงาน เกณฑก์ ารประเมินประสิทธิภาพนวัตกรรม/เทคโนโลยี ให้ผเู้ รียนกาหนดเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพนวตั กรรม/เทคโนโลยใี นการพัฒนาอาชพี ตามองคป์ ระกอบ การประเมินที่กาหนด แบบบนั ทึก อาชีพ ............................................................................................. องค์ประกอบการประเมิน ลักษณะบ่งช้ี เกณฑ์การยอมรับ ความสาเรจ็ ความสามารถในการทางาน การประหยดั ค่าใช้จ่าย ทางานไดร้ วดเร็ว ไมท่ าลายสิง่ แวดล้อม
124 แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชาทกั ษะการพฒั นาอาชีพ ครั้งท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาห์ที่ 15 วนั ที่ 17 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการพฒั นาอาชีพ รหสั วชิ า อช21002 จานวน4หน่วยกติ 3. มาตรฐานท่ี 3.4 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการพฒั นาอาชพี ให้มีความมั่นคง 4. หนว่ ยการเรยี นรู/้ เรอื่ งความหมาย ความสาคญั ของการจัดการอาชพี 5. สาระสาคญั การประกอบอาชพี จาเป็นตอ้ งมีการพฒั นาทั้งด้านกระบวนการผลิต และกระบวนการตลาดอย่างต่อเนอ่ื ง เพ่ือใหส้ นิ ค้าอยู่ในตลาดไดน้ าน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยุกตใ์ ช้กับภมู ิปญั ญาให้เหมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดแล้ว ผูป้ ระกอบธรุ กจิ จาเปน็ ต้องมีความสามารถดา้ นอื่นๆ ประกอบดว้ ย ไดแ้ ก่ การหาแหลง่ ท่ีเอื้อต่อการพฒั นาอาชพี ความเขา้ ใจในปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาตนเองอย่างสมา่ เสมอ จึงจะทาให้อาชีพมคี วามเขม้ แขง็ ก่อนทีจ่ ะฝึกทกั ษะเพื่อพฒั นาอาชพี จะต้องทราบว่า จะฝกึ ทักษะอะไรบ้าง แลว้ วางแผนการฝกึ ว่าจะ ฝกึ อย่างไร ท่ไี หน เม่ือไร ระหว่างการฝกึ ควรมีการจดบันทึกเพ่ือสรปุ เป็นองค์ความรู้ 6. เน้อื หา อธิบายความหมายความสาคัญของการจดั การอาชีพ 7. จุดประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู ี่คาดหวัง อธิบายความหมาย ความสาคัญของการจัดการอาชีพ และระบบการจดั การ เพ่ือการพฒั นาอาชีพ โดย ประยกุ ตใ์ ช้ภมู ิปญั ญา 8. การบูรณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ อธบิ ายความหมายความสาคัญของการจัดการอาชีพ คณุ ธรรม - มีความขยนั - มคี วามสามัคคีในการทางานรว่ มกัน - มีความตง้ั ใจและมงุ่ มนั่ พอประมาณ - ความถนัดในการประกอบอาชพี - ตน้ ทนุ - เวลา
125 มเี หตุผล - เกดิ อาชพี ทเี่ หมาะสมกับตนเอง - บริหารอาชีพได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ มีภมู ิคมุ้ กนั - มีอาชีพทีส่ รา้ งรายได้ ลดความเส่ยี งในการขาดทนุ วตั ถุ - อาชพี ทีเ่ หมาะสมและม่ันคง - มที รพั ยากรในการผลติ สินค้าที่เหมาะสม สังคม - มกี ารทางานรว่ มกนั เปน็ กลุ่มแลกเปลีย่ นความคดิ และวเิ คราะหร์ ่วมกัน สง่ิ แวดล้อม - ใช้ทรัพยากรทเ่ี ป็นธรรมชาติในการผลิตสินค้าเพ่ือมลพิษ วัฒนธรรม - มีอาชีพท่ีใช้ภูมปิ ญั ญาในท้องถิน่ และทรพั ยากรในท้องถน่ิ 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ 1. ครูและผู้เรียนพูดคยุ เร่ืองภมู ปิ ัญญาในท้องถ่นิ และยกตวั อยา่ งผลิตภัณฑข์ องภมู ปิ ัญญาในท้องถนิ่ ที่ ผเู้ รยี นรูจ้ กั 2. ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันพูดคุยเกย่ี วกบั สินค้าของภมู ปิ ัญญาชุมชน ผลติ ภัณฑ์ที่เกดิ จากภูมปิ ญั ญาของคน ในชุมชน ขนั้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ 1. ครูให้ผเู้ รียนศึกษาค้นคว้าความหมายความสาคญั ของการจัดอาชีพและระบบการจัดการเพื่อพัฒนา อาชีพโดยประยุกต์ใชภ้ ูมปิ ญั ญา จากอินเตอรเ์ น็ต หนงั สือแบบเรยี น และสื่อภายใน กศน.ตาบล ขั้นท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ 1. ให้นกั ศึกษาวิเคราะห์อาชีพทสี่ นใจ ให้ครอบคลุมเนื้อหา พรอ้ มนาเสนอหนา้ ช้นั เรยี น ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
126 1. ใหผ้ เู้ รยี นประเมินผลเนอ้ื หาและการนาเสนอของเพ่ือนดว้ ยการยกมอื ใหค้ ะแนน 2. ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เน้อื หาพรอ้ มแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกนั 9. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรียนรายวชิ าทักษะการพัฒนาอาชพี (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่อื อนิ เตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1วธิ กี ารวดั และประเมินผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - ใบงาน กจิ กรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................................ ......... .......................................................................................................................... ............................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ูส้ อน (นายพงศกร อดุ มอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ....................................................................................................................................................................................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
127 บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลหนองผือ ครัง้ ที่ 15 วนั /เดือน/ปวี นั ที่ 17 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อนนายพงศกร อดุ มอริยทรพั ย์ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชพี รายวิชา ทกั ษะการพัฒนาอาชีพ รหัสวิชา อช21002 จานวนผเู้ รยี นทงั้ หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................. .................................. 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผ้บู นั ทึก) (นายพงศกร อดุ มอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผูบ้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร)
128 ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน ใบความรู้ เรื่องท่ี 2 ความหมายความสาคัญของการจดั การอาชีพ การจดั การอาชพี หมายถงึ กระบวนการจดั กจิ กรรมงานอาชีพ นบั ตั้งแต่การวางแผนการจัดการองคก์ าร การ ตดั สินใจ การสั่งการ การควบคุม การตดิ ตามผล เพื่อให้ไดผ้ ลผลิตหรอื บรกิ ารที่เปน็ ที่ตอ้ งการของลูกค้า และได้รับการ ยอมรับจากสงั คม ความสาคญั ของการจัดการอาชพี จากคาจากดั ความของการจัดการอาชีพ ทาให้ทราบถงึ ความสาคัญของการ จัดการอาชีพ เพราะทาใหผ้ ้บู รหิ ารสามารถพฒั นากจิ การให้มงุ่ ไปสคู่ วามมีประสิทธภิ าพและสมารถดาเนนิ การใหบ้ รรลุ วัตถุประสงค์ของกิจการได้ กล่าวคอื กจิ การสามารถผลติ สินค้าหรือบรกิ ารท่ีมีคณุ ภาพ ทันเวลาตามความต้องการของ ลกู ค้า และกจิ การไดร้ ับผลตอบแทนคือกาไรสูงสุด สามารถขยายกิจการได้ หรือเพิ่มพนู ในการดาเนินการได้ จากการศึกษาวจิ ยั พบวา่ การจดั การอาชีพให้ประสบความสาเรจ็ ประกอบด้วย 1. การจดั การอย่างมีคณุ ภาพ หมายถึง ผู้บริหารมคี วามรู้ประสบการณ์ สามารถทางานให้บรรลุผลสาเร็จอย่าง มปี ระสิทธภิ าพ 2. ผลิตภัณฑ์ท่มี คี ุณภาพ หมายถงึ การผลติ สินค้าท่ีมคี ุณภาพ อาจกระทาได้โดยการใชเ้ ทคนคิ ตา่ งๆ เร่ิมตงั้ แต่ การใช้วัตถดุ ิบ กระบวนการผลิต การตรวจคุณภาพสนิ ค้าก่อนส่งมอบให้ลกู คา้ 3. ผลิตภณั ฑท์ ที่ นั สมยั ด้วยนวัตกรรมใหม่ 4. การลงทนุ ระยะยาวอยา่ งมีคุณค่า 5. สถานภาพการเงนิ ม่นั คง 6. มคี วามสามารถในการดึงดูดใจลกู คา้ ใหส้ นใจผลิตภณั ฑ/์ สินคา้ 7. คานงึ ถงึ ความรับผิดชอบต่อสงั คมและสิ่งแวดล้อม 8. การใช้ทรัพย์สนิ อย่างคุ้มค่า เร่ืองที่ 3 แหล่งเรียนรู้และสถานท่ีฝึกอาชีพ จากการทผ่ี เู้ รยี นไดศ้ ึกษาเก่ยี วกับการพัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตลาด การประยกุ ต์ใช้ภูมปิ ญั ญา และนวัตกรรม/เทคโนโลยีแล้ว ทาให้รู้วา่ ต้องพัฒนาอาชีพด้านใดบ้าง ในการพฒั นาความรู้ เพื่อการพัฒนาอาชีพ จาเปน็ ทีผ่ ู้ประกอบการอาชีพต้องศึกษาขอ้ มูลจากแหล่งเรยี นรู้เฉพาะ เชน่ ตอ้ งการเงนิ ทุนเพือ่ นาไปซ้ือเครื่องจกั รกต็ ้อง ศึกษาจากแหล่งเงินทนุ หรอื ขาดแรงงานก็ตอ้ งจัดเตรยี มหาแรงงานในช่วงท่ตี ้องการ เปน็ การเตรยี มความพร้อมเพ่อื รองรับการพัฒนาอาชีพ ผู้ทมี่ คี วามสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ จาเปน็ จะต้องรจู้ กั เลอื กใช้ ได้แก่ 1. แหลง่ เรยี นร้แู ละสถานที่ฝึกอาชพี แหล่งเรยี นรู้และสถานทฝ่ี ึกอาชีพ หมายถงึ แหล่งท่ีมขี ้อมูล ขา่ วสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศ และ เทคโนโลยี สาหรับผูเ้ รียนใช้ในการแสวงหาความรู้และหรือฝึกทกั ษะในการประกออาชีพ ซงึ่ มีอยตู่ ามธรรมชาติ และ มนุษย์สร้างขึน้ แหล่งในที่น้ีอาจจะเป็นเอกสาร สถานท่ี ตัวบุคคล ผู้รู้ แหลง่ เรียนรู้ธรรมชาติ เชน่ ทะเล ปุา ภเู ขา แหลง่ เรียนรู้ที่มนษุ ย์สร้างข้ึน เชน่ ห้องสมุด พิพธิ ภัณฑ์ อินเทอร์เนต็ เวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ
129 แหล่งเรยี นรู้และสถานทีฝ่ ึกอาชีพมคี วามสาคัญตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรบั ผู้เรยี น โดย เฉพาะผู้เรยี น ทีอ่ ย่นู อกระบบโรงเรียนท่ตี ้องศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องอาศยั แหลง่ เรียนรตู้ า่ ง ๆ ใกลต้ ัว เช่น ห้องสมุดอาเภอ ศูนย์การเรียนชุมชน ภมู ิปญั ญา แหล่งธรรมชาตติ า่ ง ๆ ผูเ้ รยี นสามารถศึกษาหาความรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง แหลง่ เหล่านีเ้ ปน็ ขมุ ทรัพย์ทางปญั ญาทสี่ ามารถคน้ หาความรู้ไดไ้ ม่รจู้ บ ปัจจุบนั สถานท่ีฝึกอาชีพมีหลากหลายทง้ั ภาครัฐและเอกชนที่จดั ให้กบั ประชาชนทว่ั ไป เช่น สานักงาน กศน. กระทรวงแรงงาน สานกั งานคณะกรรมการอาชีวศกึ ษา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงเรียนของเอกชนต่าง ๆ ที่เปดิ สอนหลกั สตู รวชิ พี ระยะส้นั 2. แหลง่ เงินทุน แหลง่ เงนิ ทุน หมายถึง แหล่งทสี่ ามารถให้กู้ยมื เงินเพื่อการประกอบอาชีพได้ ซ่ึงมีท้ังแหลง่ เงนิ ทุนของภาครัฐ และเอกชน เชน่ ธนาคารพาณิชยต์ ่าง ๆ สหกรณ์ กองทนุ ก้ยู มื ต่าง ๆ การทจี่ ะกู้ยมื ไดต้ ้องมีโครงการรองรบั เพ่ือให้ แหล่งเงนิ ทุนพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งใช้เงนิ คนื 3. แหล่งวสั ดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งจักร แหลง่ วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร หมายถึง แหล่งขายหรือแหล่งท่จี ะไดม้ าของวสั ดุ อปุ กรณ์ เครื่องจกั ร ที่ เก่ียวข้องกบั การประกอบอาชีพ เชน่ ประกอบอาชีพการเกษตรจะต้องมีวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรท่ีเกีย่ วข้อง เชน่ พนั ธ์ุ พชื ปุ๋ย รถแทรกเตอร.์ 4. แหล่งแรงงาน แหล่งแรงงาน หมายถงึ แหล่งที่จะไดแ้ รงงานมาใช้ ไดแ้ ก่ แรงงานจาก คน สัตว์ และเคร่ืองจักรท่ีใช้ - แรงงานคน หมายถึง แรงงานเจ้าของกับแรงงานนอกทจี่ า้ งมาทางาน - แรงงานสัตว์ หมายถึง แรงงานสัตว์ที่ใชใ้ นการประกอบอาชีพ เชน่ แรงงานจากวัว ควาย ชา้ ง มา้ ท่ีนามาใช้ ในการประกอบอาชีพ - เครอื่ งจักร บางอาชพี มีการใชเ้ คร่ืองจกั รในการประกอบอาชพี เชน่ อาชพี ทานาอาจจะต้องใชร้ ถไถ อาชพี ทาเหลก็ ดัดประตู หน้าตา่ ง อาจจะใชเ้ คร่ืองเช่อื ม ต้องพจิ ารณาว่า อาชีพของตนเองใช้เคร่ืองจักรอะไรบ้าง ที่มีอยู่ ลา้ สมัยหรือไม่อยา่ งไร ขนาดหรอื จานวนพอเพียงกบั การผลิตหรอื ไม่ 5. ตลาด คอื แหลง่ ที่มที ้งั ผซู้ ื้อและผขู้ ายสนิ คา้ ต่าง ๆ จากผผู้ ลติ ไปสู่ผู้บรโิ ภคหรือผใู้ ช้บริการนั้นๆ ได้รบั ความพอใจ ร่วม ถึงการพฒั นาอาชีพมวี ตั ถุประสงคใ์ นการขยายตลาดขายสนิ ค้าให้มากข้ึน โดยพิจารณาตลาดเดมิ ว่า สามารถรบั สนิ ค้าที่ พัฒนาขนึ้ ใหม่ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้จะต้องหาตลาดใหม่รองรับ
130 ใบงาน อาชีพ ....................................................................................................................... ชอื่ ผูร้ ู้ ........................................................................................................................ การวางแผนการประกอบอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ระบบการจดั การอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คณุ ธรรมในการประกอบอาชีพ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การนาความรทู้ ไ่ี ด้รบั จากภมู ปิ ญั ญา นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนนิ ชวี ิตไดอ้ ย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
131 แผนการจัดการเรยี นร้รู ายวชิ าทักษะการเรียนรู้ ครง้ั ที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหนองผือ 1. สปั ดาห์ท่ี 16 วนั ท่ี 24 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวน 1 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เรอื่ งการจดั การความรู้ 5. สาระสาคัญ การจดั การความรเู้ ปน็ เคร่ืองมือของการพัฒนาคุณภาพของงาน หรอื สรา้ งวตั กรรมในการทางาน การจัดการ ความรจู้ งึ เป็นการจดั การกบั ความรูแ้ ละประสบการณ์ทมี่ อี ยู่ในตวั คน และความร้เู ด่นชัด นามาแบง่ ปนั ให้เกิด ประโยชนต์ อ่ ตนเองและองคก์ รด้วยการผสมผสานความสามารถของคนเข้าดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม มเี ปูาหมายเพื่อการ พัฒนางาน พฒั นาคนและพฒั นาองค์กรให้เปน็ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ 6. เน้อื หา ความหมาย ความสาคัญ หลักการกระบวนการจัดการความรู้ การรวมกล่มุ เพ่ือต่อยอดความรู้ การ พฒั นาขอบขา่ ยความรขู้ องกลุ่มและการจดั ทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. วเิ คราะหผ์ ลทเ่ี กิดขน้ึ ของขอบเขตความรู้ ตดั สินคณุ ค่า กาหนดแนวทางพัฒนา 1.1 อธบิ ายความหมาย ความสาคญั หลักการ กระบวนการจัดการความรู้ การรวมกลมุ่ เพ่ือตอ่ ยอดความรู้ การพัฒนาขอบข่ายความรู้ของกลุม่ และจัดทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ - บอกความหมายของการจัดการความรู้ได้ - บอกความสาคัญของการจัดการความรู้ในระดบั ชมุ ชนได้ - อธิบายหลกั การจัดการความร้ไู ด้ - อธิบายวธิ ีการหาความรู้ด้วยวิธกี ารจัดความรู้ โดยการรวมกลมุ่ ได้ - อธบิ ายวธิ กี ารหาความรู้เพิ่มเติม (ต่อยอด) ด้วยการจัดการความร้ไู ด้ - บอกวธิ กี ารจดั ทาสารสนเทศเพ่ือการเผยแพร่ความรู้โดยการใชส้ ่อื ทหี่ ลากหลายได้ 8.การบูรณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ อธิบายความหมาย ความสาคัญ และการจัดการความรู้ คุณธรรม - มีความขยัน - มีความสามัคคใี นการทางานรว่ มกนั - มคี วามตัง้ ใจและมุ่งมน่ั .
132 พอประมาณ - ความถนัดในการศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนรู้ - ต้นทนุ - เวลา มีเหตผุ ล - มีความรเู้ พื่อพัฒนาตนเอง - บรหิ ารเวลาในการศึกษาหาความรไู้ ด้อย่างมีประสิทธภิ าพ มีภมู ิคุ้มกัน - นาความรทู้ ี่ได้มาพัฒนาทกั ษะด้านต่างๆได้เหมาะสมกับตนเอง วัตถุ - มีทรัพยากรในการศึกษาหาความรู้ท่ีหลากหลาย สงั คม - มีการทางานร่วมกันเปน็ กลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดและวเิ คราะห์รว่ มกนั สงิ่ แวดล้อม - ใชท้ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มคี วามรูท้ ีไ่ ดจ้ ากภูมิปญั ญาในท้องถิ่นและทรพั ยากรในท้องถิ่น 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครทู ักทาย/สวสั ดีผู้เรียน ชแี่ จงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ 2. ครูตงั้ คาถามใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั ตอบว่า ผูเ้ รียนคิดว่า ความรคู้ อื อะไร? และการจดั การหมายถึง อะไร? โดยครูเขียนทุกคาตอบของผเู้ รยี นไวบ้ นกระดาน 3. ครนู าสือ่ ตัวอย่างการจดั การความร้ขู องการรวมกลมุ่ ทปี่ ระสบผลสาเรจ็ จากหนงั สือพิมพ์ มาแสดง ให้ผูเ้ รยี นดู และแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ กนั 4. ให้ผ้เู รียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน ข้นั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู(้ N : New ways of learning) 1. ครทู กั ทาย/สวสั ดีผู้เรยี น ชแ่ี จงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้
133 2. ครตู ้ังคาถามให้ผู้เรยี นช่วยกันตอบวา่ ผเู้ รียนคิดวา่ ความรู้คืออะไร? และการจดั การหมายถึงอะไร? โดยครู เขยี นทุกคาตอบของผู้เรยี นไว้บนกระดาน 3. ครนู าสอ่ื ตวั อย่างการจดั การความรขู้ องการรวมกล่มุ ที่ประสบผลสาเรจ็ จากหนังสอื พิมพ์ มาแสดงใหผ้ เู้ รยี น ดู และแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นกัน 4. ใหผ้ ู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ข้ันท่ี 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครใู หผ้ เู้ รยี นระดมความคดิ ถอดบทเรยี นใหส้ อดคล้องกบั หลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผ้เู รยี นร่วมกนั แลกเปลยี่ นเรียนรูแ้ ละสรปุ ความรเู้ บ้ืองตน้ ท่ีไดจ้ ากแบบสอบถาม เพอื่ นามา วเิ คราะหส์ รปุ ผล และจดั ทารายนาเสนอ ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้(E : Evaluation) 1. ใหน้ ักศกึ ษาออกมาหน้าชัน้ เรยี น เพอ่ื นาเสนอการถอดบทเรยี นให้สอดคล้องกบั หลักเศรษฐกิจพอเพียง จากน้ันครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรียน 10. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรยี นรายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร2100๑) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผู้อนื่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานร่วมกับผ้อู ื่น ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกับผอู้ น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และ ควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน
134 กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ูส้ อน (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ............................................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................... .............................................................. ลงชื่อ………………………………………………………ผู้อนมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
135 บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหนองผือ คร้ังที่ 16 วนั /เดือน/ปวี นั ท่ี 24 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนายพงศกร อดุ มอรยิ ทรัพย์ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหสั วชิ า ทร21001 จานวนผ้เู รยี นท้งั หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ........................................................................................................................................................ ........... ....................................................................................................................... ............................................ 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ..................................... ลงช่อื .........................................................(ผู้บันทกึ ) (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผ้บู ริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชือ่ .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
136 ใบความรู้ท่ี 1 ความหมายของการจัดการความรู้ การจัดการ (Management) หมายถึงกระบวนการในการเข้าถึงความรู้และการถา่ ยทอดความรทู้ ่ีต้องดาเนินการ รว่ มกนั กบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านซง่ึ อาจเริ่มตน้ จากการบ่งช้ีความรู้ทตี่ ้องการใชก้ ารสร้างและแสวงหาความรูก้ ารประมวลเพื่อ กลน่ั กรองความรกู้ ารจัดการความรใู้ ห้เป็นระบบการสรา้ งช่องทางเพื่อการส่ือสารกับผเู้ กี่ยวขอ้ งการแลกเปลยี่ นความรู้ การจัดการสมยั ใหมใ่ ชก้ ระบวนการทางปัญญาเปน็ สิง่ สาคัญในการคิดตัดสนิ ใจและส่งผลให้เกดิ การกระทาการจดั การ จงึ เน้นไปท่ีการปฏิบตั ิ ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรทู้ ่ีควบคกู่ ับการปฏิบัติซ่งึ ในการปฏบิ ัตจิ าเปน็ ต้องใชค้ วามรทู้ ่ีหลากหลาย สาขาวชิ ามาเช่อื มโยงบรู ณาการเพอื่ การคิดและตดั สินใจและลงมือปฏิบัตจิ ดุ กาเนดิ ของความรู้คอื สมองของคนเป็น ความรู้ทฝ่ี ังลึกอยู่ในสมองช้ีแจงออกมาเปน็ ถ้อยคาหรือตวั อักษรไดย้ ากความร้นู ั้นเม่ือนาไปใชจ้ ะไม่หมดไปแตจ่ ะย่ิงเกิด ความรู้เพม่ิ พูนมากข้ึนอยู่ในสมองของผปู้ ฏิบตั ิ ในยุคแรกๆมองว่าความรหู้ รือทุนทางปญั ญามาจากการจัดระบบและการตีความสารสนเทศซงึ่ สารสนเทศกม็ าจากการ ประมวลขอ้ มูลข้ันของการเรียนร้เู ปรยี บดงั พรี ะมดิ ตามรปู แบบน้ี ความรู้แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคอื 1. ความรู้เด่นชัด(Explicit Knowledge) เปน็ ความร้ทู ีเ่ ปน็ เอกสารตาราคู่มือปฏิบตั งิ านส่ือต่างๆกฎเกณฑ์กติกา ข้อตกลงตารางการทางานบันทึกจากการทางานความรเู้ ดน่ ชัดจึงมชี ื่อเรียกอีกอย่างหนงึ่ ว่า “ความรใู้ นกระดาษ” 2. ความรู้ซ่อนเร้น /ความรู้ฝังลกึ (Tacit Knowledge) เปน็ ความรู้ท่ีแฝงอยใู่ นตวั คนพฒั นาเปน็ ภูมิปัญญาฝงั อยใู่ น ความคดิ ความเช่ือค่านยิ มที่คนไดม้ าจากประสบการณส์ ่ังสมมานานหรอื เปน็ พรสวรรค์อันเป็นความสามารถพิเศษ เฉพาะตวั ท่ีมมี าแต่กาเนิดหรือเรยี กอีกอย่างหนึ่งว่า “ความรู้ในคน” แลกเปล่ียนความรกู้ นั ได้ยากไม่สามารถ แลกเปล่ยี นมาเปน็ ความรทู้ เี่ ปิดเผยไดท้ ้งั หมดตอ้ งเกิดจากการเรยี นร้รู ว่ มกันผ่านการเป็นชุมชนเช่นการสังเกตการ แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ระหว่างการทางาน
137 หากเปรียบความรู้เหมอื นภูเขานา้ แข็งจะมีลกั ษณะดงั น้ี สว่ นของน้าแข็งทลี่ อยพ้นนา้ เปรียบเหมอื นความรทู้ ่ีเดน่ ชัดคอื ความรทู้ ีอ่ ยู่ในเอกสารตาราซดี วี ดี โี อหรอื ส่ืออน่ื ๆท่ีจบั ต้องได้ความรู้นี้มเี พยี ง 20 เปอรเ์ ซ็นต์ ส่วนของน้าแข็งทจี่ มอยใู่ ตน้ า้ เปรียบเหมอื นความรู้ทย่ี ังฝงั ลึกอย่ใู นสมองคนมคี วามร้จู ากส่งิ ที่ตนเองได้ปฏบิ ัตไิ ม่ สามารถถ่ายทอดออกมาเปน็ ตัวหนงั สือให้คนอนื่ ไดร้ บั รู้ได้ความรูท้ ีฝ่ ังลกึ ในตวั คนนี้มปี ระมาณ 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ ความรู้ 2 ยุค ความรู้ยคุ ท่ี 1 เน้นความร้ใู นกระดาษเน้นความรู้ของคนส่วนน้อยความรู้ท่ีสรา้ งขึ้นโดยนักวชิ าการทมี่ ีความชานาญ เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเรามักเรียกคนเหลา่ นน้ั วา่ “ผู้มีปัญญา” ซึง่ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไมม่ ีความรู้ไมม่ ปี ัญญาไมส่ นใจที่จะ ใชค้ วามรขู้ องคนเหล่านน้ั โลกทัศน์ในยคุ ท่ี 1 เปน็ โลกทศั นท์ ่ีคับแคบ ความรยู้ ุคที่ 2 เปน็ ความรู้ในคนหรอื อยู่ในความสัมพนั ธร์ ะหว่างคนเปน็ การค้นพบ “ภมู ปิ ญั ญา” ทอี่ ยูใ่ นตวั คนทุกคนมี ความร้เู พราะทุกคนทางานทุกคนมสี มั พันธ์กับผอู้ น่ื จงึ ย่อมมีความรทู้ ฝ่ี ังลกึ ในตัวคนท่ีเกิดจากการทางานและการมี ความสมั พนั ธ์กนั นน้ั เรยี กวา่ “ความรอู้ นั เกดิ จากประสบการณ์” ซ่งึ ความรู้ยุคท่ี 2 น้มี คี ุณประโยชน์ 2 ประการคือ ประการแรกทาใหเ้ ราเคารพซ่ึงกันและกันวา่ ตา่ งกม็ ีความรปู้ ระการที่ 2 ทาให้หน่วยงานหรือองคก์ รท่ีมคี วามเช่ือเช่นนี้ สามารถใช้ศักยภาพแฝงของทุกคนในองค์กรมาสรา้ งผลงานสรา้ งนวตั กรรมให้กับองค์กรทาใหอ้ งคก์ รมีการพัฒนามาก ข้ึน
138 ใบความรู้ที่ 2 กระบวนการในการจดั การความรู้ การจัดการความรู้น้นั มีหลายรูปแบบหรอื ที่เรยี กกนั วา่ “โมเดล” มหี ลากหลายโมเดลหวั ใจของการจัดการความรคู้ ือ การจัดการความรูท้ ี่อยูใ่ นตวั คนในฐานะผ้ปู ฏบิ ัติและเป็นผูม้ ีความรู้การจดั การความรู้ท่ีทาให้คนเคารพในศักดศ์ิ รีของ คนอน่ื การจัดการความรู้นอกจากการจัดการความร้ใู นตนเองเพ่ือให้เกดิ การพัฒนางานและพฒั นาตนเองแลว้ ยังมอง รวมถึงการจดั การความรู้ในกลุ่มหรอื องคก์ รด้วยรูปแบบการจดั การความรจู้ ึงอยู่บนพื้นฐานของความเชอ่ื ท่ีวา่ ทกุ คนมี ความรู้ปฏบิ ัตใิ นระดบั ความชานาญที่ตา่ งกนั เคารพความรู้ทีอ่ ยใู่ นตัวคน ดร.ประพนธผ์ าสกุ ยึดได้คิดค้นรปู แบบการ จดั การความรู้ไว้ 2 แบบคือรูปแบบปลาทหู รือทเ่ี รยี กว่า“โมเดลปลาทู” และรปู แบบปลาตะเพยี นหรือทีเ่ รียกว่า “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงให้เหน็ ถงึ รปู แบบการจดั การความรใู้ นภาพรวมของการจัดการทีค่ รอบคลุมท้ังความรู้ที่ชดั แจ้งและความรู้ที่ฝังลกึ ดังนี้ โมเดลปลาทู เพอ่ื ใหก้ ารจัดการความรหู้ รือ KM เปน็ เร่อื งที่เข้าใจงา่ ยจงึ กาหนดให้การจัดการความรเู้ ปรียบเหมอื นกบั ปลาทตู ัวหนง่ึ มีสงิ่ ที่ต้องดาเนินการจัดการความรู้อยู่ 3 สว่ นโดยกาหนดว่าสว่ นหวั คอื การกาหนดเปาู หมายของการ จัดการความรู้ทช่ี ัดเจนส่วนตวั ปลาคือการแลกเปลย่ี นความรู้ซ่งึ กนั และกันและสว่ นหางปลาคือความรู้ท่ไี ด้รบั จากการ แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ รปู แบบการจัดการความรตู้ าม “โมเดลปลาทู” ส่วนท่ี 1 “หัวปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรอื KV คือเปาู หมายของการจัดการความรู้ผู้ใช้ต้องรูว้ า่ จะ จัดการความรเู้ พ่อื บรรลเุ ปูาหมายอะไรเกี่ยวข้องหรอื สอดคลอ้ งกับวิสยั ทัศน์พนั ธกจิ และยุทธศาสตรข์ ององค์กรอยา่ งไร เชน่ จดั การความรู้เพือ่ เพม่ิ ประสิทธิภาพของงานจัดการความรู้เพื่อพฒั นาทักษะชีวิตด้านยาเสพตดิ จัดการความรู้เพือ่ พัฒนาทักษะชีวิตด้านส่ิงแวดล้อมจดั การความรเู้ พื่อพฒั นาทักษะชีวิตดา้ นชีวติ และทรัพย์สนิ จัดการความรูเ้ พือ่ ฟ้นื ฟู ขนบธรรมเนียมประเพณีดง้ั เดิมของคนในชมุ ชนเปน็ ตน้ สว่ นที่ 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรอื KS เปน็ การแลกเปลย่ี นเรยี นรูห้ รือการแบง่ ปนั ความรู้ที่ ฝังลึกในตัวคนผู้ปฏบิ ัตเิ ป็นการแลกเปลี่ยนวธิ กี ารทางานที่ประสบผลสาเร็จไม่เน้นทีป่ ญั หาเครอ่ื งมือในการแลกเปลยี่ น เรียนรมู้ ีหลากหลายแบบอาทิการเลา่ เร่ืองการสนทนาเชิงลึกการชื่นชมหรือการสนทนาในเชงิ บวกเพื่อนช่วยเพื่อนการ ทบทวนการปฏบิ ตั ิงานการถอดบทเรียนการถอดองค์ความรู้ ส่วนที่3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เป็นขุมความรู้ท่ีได้จากการแลกเปลยี่ นเรียนรู้มี เคร่ืองมอื ในการจัดเก็บความรู้ที่มีชวี ติ ไมห่ ยดุ นงิ่ คอื นอกจากจดั เกบ็ ความรแู้ ลว้ ยงั ง่ายในการนาความรู้ออกมาใช้จริงง่าย ในการนาความรู้ออกมาต่อยอดและงา่ ยในการปรับข้อมูลไม่ให้ล้าสมัยสว่ นน้ีจงึ ไมใ่ ช่ส่วนที่มีหนา้ ทเี่ ก็บข้อมลู ไว้เฉยๆ ไมใ่ ชห่ ้องสมุดสาหรบั เกบ็ สะสมขอ้ มลู ทน่ี าไปใช้จริงไดย้ ากดังนน้ั เทคโนโลยกี ารสื่อสารและสารสนเทศจึงเป็นเคร่ืองมือ จดั เกบ็ ความรู้อันทรงพลังย่งิ ในกระบวนการจัดการความรู้ ตวั อยา่ งการจัดการความรเู้ รื่อง“พฒั นากลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ในรูปแบบปลาทู
139 โมเดลปลาตะเพยี น จากโมเดล“ปลาท”ู ตัวเดียวมาสูโ่ มเดล“ปลาตะเพียน” ท่ีเป็นฝูงโดยเปรียบแมป่ ลา “ปลาตัวใหญ่” ไดก้ ับวสิ ัยทศั น์ พนั ธกิจขององค์กรใหญใ่ นขณะทปี่ ลาตัวเล็กหลายๆตัวเปรียบไดก้ บั เปูาหมายของการจัดการความรทู้ ี่ต้องไปตอบสนอง เปูาหมายใหญ่ขององคก์ รจึงเปน็ ปลาทั้งฝงู เหมือน“โมบายปลาตะเพียน” ของเล่นเด็กไทยสมยั โบราณทผ่ี ู้ใหญ่สาน เอาไวแ้ ขวนเหนอื เปลเด็กเปน็ ฝูงปลาทีห่ นั หน้าไปในทศิ ทางเดียวกันและมีความเพยี รพยายามท่ีจะวา่ ยไปในกระแสน้าท่ี เปลีย่ นแปลงอย่ตู ลอดเวลาปลาใหญ่อาจเปรยี บเหมอื นการพัฒนาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งใน ชุมชนซงึ่ การพัฒนาอาชพี ดังกลา่ วต้องมีการแกป้ ญั หาและพัฒนาร่วมกนั ไปทั้งระบบเกิดกลุ่มต่างๆข้ึนในชุมชนเพ่ือการ เรียนร้รู ว่ มกนั ทัง้ การทาบัญชีครัวเรอื นการทาเกษตรอินทรีย์การทาปยุ๋ หมักการเลี้ยงปลาการเล้ียงกบการแปรรูป ผลิตภณั ฑเ์ พื่อใชใ้ นครอบครัวหรอื จาหน่ายเพื่อเพมิ่ รายไดเ้ ปน็ ต้นเหล่าน้ีถอื เป็นปลาตัวเล็กหากการแกป้ ัญหาท่ีปลาตัว เลก็ ประสบผลสาเรจ็ จะส่งผลให้ปลาตัวใหญ่หรือเปาู หมายในระดบั ชุมชนประสบผลสาเร็จดว้ ยเช่นกนั นนั่ คือปลาวา่ ยไป ขา้ งหน้าอย่างพร้อมเพรียงกนั ท่สี าคัญปลาแต่ละตวั ไม่จาเป็นต้องมีรปู ร่างและขนาดเหมือนกันเพราะการจัดการความรู้ ของแตล่ ะเร่ืองมีสภาพของความยากงา่ ยในการแกป้ ัญหาท่ีแตกตา่ งกนั รูปแบบของการจัดการความรู้ของแต่ละหนว่ ย ยอ่ ยจงึ สามารถสรา้ งสรรค์ปรับใหเ้ ขา้ กบั แต่ละทีไ่ ด้อย่างเหมาะสมปลาบางตัวอาจมีท้องใหญเ่ พราะอาจมีสว่ นของการ
140 แลกเปลีย่ นเรียนรูม้ ากบางตัวอาจเป็นปลาที่หางใหญเ่ ด่นในเร่อื งของการจัดระบบคลงั ความรเู้ พื่อใชใ้ นการปฏบิ ตั ิมาก แต่ทุกตวั ต้องมีหัวและตาท่ีมองเห็นเปาู หมายทจ่ี ะไปอย่างชัดเจน การจัดการความรู้ได้ให้ความสาคัญกับการเรยี นรทู้ ่เี กิดจากการปฏิบตั ิจริงเป็นการเรยี นรู้ในทุกขัน้ ตอนของการทางาน เชน่ ก่อนเรม่ิ งานจะต้องมีการศึกษาทาความเข้าใจในสง่ิ ที่กาลงั จะทาจะเป็นการเรียนรดู้ ้วยตนเองหรอื อาศยั ความ ชว่ ยเหลอื จากเพ่ือนรว่ มงานมีการศกึ ษาวิธกี ารและเทคนิคต่างๆทีใ่ ช้ได้ผลพร้อมทั้งค้นหาเหตผุ ลดว้ ยว่าเป็นเพราะอะไร และจะสามารถนาส่ิงที่ไดเ้ รยี นรนู้ ้ันมาใชง้ านท่ีกาลังจะทานี้ได้อย่างไรในระหวา่ งท่ีทางานอย่เู ชน่ กนั จะต้องมีการ ทบทวนการทางานอยู่ตลอดเวลาเรียกได้วา่ เปน็ การเรยี นรู้ทไ่ี ด้จากการทบทวนกิจกรรมยอ่ ยในทุกๆขั้นตอนหมน่ั ตรวจสอบอยู่เสมอวา่ จดุ มุ่งหมายของงานที่ทาอยู่นี้คอื อะไรกาลงั เดนิ ไปถูกทางหรือไม่เพราะเหตใุ ดปัญหาคืออะไร จะตอ้ งทาอะไรให้แตกตา่ งไปจากเดิมหรือไม่และนอกจากนั้นเมอื่ เสรจ็ สน้ิ การทางานหรือเมอื่ จบโครงการกจ็ ะต้องมีการ ทบทวนสง่ิ ต่างๆท่ีไดม้ าแลว้ ว่ามอี ะไรบา้ งทท่ี าได้ดมี ีอะไรบา้ งที่ตอ้ งปรับปรงุ แกไ้ ขหรือรบั ไว้เปน็ บทเรียนซ่ึงการเรียนรู้ ตามรปู แบบปลาทูน้ีถือเป็นหัวใจสาคัญของกระบวนการเรียนรูท้ ี่เป็นวงจรอยสู่ ่วนกลางของรูปแบบการจดั การความรู้ น่นั เอง
141 ใบงานท่ี 1 เร่ืองการจัดการความรู้ กิจกรรมที่ 1 ให้อธบิ ายความหมายของ “การจดั การความรู้” มาพอสังเขป .......................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ............................................. ................................................................................................................................................. ......................... ......................................................................................................... ................................................................. กจิ กรรมที่ 2 ให้อธิบายความสาคญั ของ “การจดั การความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .................................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ .............................................. กจิ กรรมที่ 3 ใหอ้ ธบิ ายหลกั การของ “การจดั การความรู้” มาพอสงั เขป ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ช่ือ............................................................นามสกลุ ............................................ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้
142 แผนการจดั การเรียนร้รู ายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ ครั้งท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลหนองผือ 1. สปั ดาห์ที่ 17 วันที่ 31 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวน 2 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. หน่วยการเรยี นร้/ู เรือ่ ง คิดเป็น 5. สาระสาคัญ ทบทวนทาความเขา้ ใจกับความเชื่อพืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ้ หญ่ และเช่อื มโยงไปสูก่ ารเรียนร้เู ร่ืองการคิดเปน็ กระบวนการแกป้ ญั หาของคนคดิ เป็นและปรชั ญาคดิ เปน็ ศึกษาวเิ คราะห์ลักษณะของข้อมลู ท้ังดา้ นวชิ าการ ตนเอง และสงั คม สิ่งแวดล้อม รวมท้ังเทคนิคการเก็บข้อมลู เพื่อนาไปใช้ในการเลอื กเกบ็ ข้อมลู ดังกลา่ วมาใช้ประกอบการ ตัดสนิ ใจอย่างคนคิดเป็น 6. เน้อื หา 1. ความเชื่อพน้ื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่/ การศกึ ษานอกระบบ ท่ีเชื่อมโยงมาสปู่ รัชญา คิดเป็น 2. ความหมาย ความสาคัญของการคิดเปน็ - ศัพทเ์ ฉพาะ - การเชอ่ื มโยงของความเช่ือพื้นฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ /กศน.สปู่ รชั ญาคิดเป็น 7. จุดประสงค์การเรยี นรู/้ ผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวัง มีความรู้ ความเข้าใจ และวจิ ารณ์หรือแสดงความคดิ เหน็ และความรสู้ กึ ต่อการแสดงประเภทต่างๆ ได้ 1. อธิบายหรือทบทวนปรชั ญาคดิ เป็น และการใช้ระบบข้อมลู ทางวิชาการ ตนเอง และสังคมส่ิงแวดลอ้ ม มาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ เพอ่ื ประกอบกระบวนการคดิ การตดั สนิ ใจในการแก้ปญั หา 1.1 วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ ระหว่างความเช่ือพน้ื ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ/่ การศึกษานอกระบบกบั ปรชั ญาคิด เป็น 1.2 อธิบายความสาคัญของการคิดเป็น ท่ีมตี ่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน 2. อธิบายและปฏิบัติการใชเ้ ทคนิค วิธกี ารฝกึ ทักษะการคิดเปน็ ท่ีซับซ้อนและนาคณุ ธรรม จริยธรรม ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งมา ส่งเสรมิ กระบวนการคิดเปน็ ให้มากขนึ้ 2.1 อธบิ ายวิธีการรวบรวม ปัญหาของตนเอง ครอบครวั และชุมชน 2.2 อธบิ ายการวิเคราะหป์ ญั หา ของตนเอง ครอบครวั และชุมชนดว้ ย กระบวนการคดิ เป็น 2.3 บอกวิธแี ละกระบวนการรวบรวมขอ้ มลู ด้านตนเอง ดา้ นวชิ าการ และดา้ นสังคมสงิ่ แวดล้อม เพื่อนามาใช้ ในกระบวนการคิดเป็น 2.4 วิเคราะหข์ ้อมลู วิชาการ ข้อมูลตนเอง และขอ้ มูล สงั คมสิ่งแวดล้อม เพ่ือตดั สินใจเลือกแนวทางการแก้ไข ปญั หาตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน 2.5 เลือกแนวทางในการแก้ไขปัญหาดว้ ยกระบวนการคิดเป็นได้อยา่ งมคี ุณธรรม จริยธรรม
143 2.6 วางแผนแก้ไขปัญหาของชุมชนตามเหตกุ ารณ์ทกี าหนดให้ โดยใชก้ ระบวนการคิดเปน็ 3. อภปิ ราย ถกแถลงถงึ ปัญหาและอุปสรรคในการใชก้ ระบวนการคิดเปน็ ประกอบการแกป้ ัญหา 3.1 อภิปรายและระบปุ ญั หาท่ีเป็นอปุ สรรคต่อการพัฒนากระบวนการคิดเป็น 3.2 บอกแนวทางการแก้ปัญหาทเ่ี ปน็ อุปสรรคตอ่ การพฒั นากระบวนการคดิ เป็น 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความรูเ้ รื่อง ความหมาย ความสาคัญของการคดิ เปน็ ความเชือ่ พน้ื ฐานในการศึกษาผ้ใู หญ่ คณุ ธรรม - มีความขยนั - มคี วามสามัคคใี นการทางานรว่ มกนั - มคี วามต้งั ใจและมุ่งม่นั พอประมาณ - ความถนัดในการศึกษาหาความร้จู ากแหล่งเรียนรู้ - ตน้ ทุน - เวลา มเี หตุผล - มคี วามรูเ้ พ่ือพฒั นาตนเอง - บริหารเวลาในการศกึ ษาหาความรู้ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ มีภมู คิ ุ้มกัน - นาความรทู้ ่ไี ด้มาพฒั นาทกั ษะด้านต่างๆไดเ้ หมาะสมกับตนเอง วตั ถุ - มีทรัพยากรในการศกึ ษาหาความรู้ท่ีหลากหลาย สังคม - มกี ารทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่มแลกเปล่ียนความคิดและวิเคราะหร์ ่วมกัน สิ่งแวดล้อม - ใชท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วัฒนธรรม - มีความรู้ที่ได้จากภมู ิปัญญาในท้องถิ่นและทรัพยากรในท้องถิน่ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้(O : Orientation) 1. ครทู กั ทาย/สวสั ดผี เู้ รยี น ชี่แจงบอกวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 2. ให้ผ้เู รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น
144 ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้(N : New ways of learning) 1. ครทู ักทาย/สวัสดีผ้เู รียน ชี่แจงบอกวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 2. สมุ่ ตัวอย่างผู้เรยี น 2-3 คนให้เล่าถึงกระบวนการคดิ เปน็ ทผี่ ้เู รยี นพอเข้าใจใหเ้ พื่อนๆฟังวา่ มี กระบวนการและขัน้ ตอนอย่างไร และตอบข้อคาถามของครแู ละเพื่อนๆได้ 3. ครูให้ผเู้ รยี นทกุ คนออกแบบในเร่ืองของกระบวนการคิดเปน็ ว่ามขี ้นั ตอนและกระบวนการอยา่ งไร ตามความเข้าใจของผ้เู รยี น ขนั้ ที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูใหผ้ ูเ้ รยี นระดมความคิด ถอดบทเรียนให้สอดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง 2. ใหแ้ ตล่ ะคนนาเสนอผลการออกแบบขั้นตอนและกระบวนการคดิ เปน็ หนา้ ชน้ั เรียน 3. ครสู รปุ หลงั จากทุกคนนาเสนอหนา้ ช้ันเรยี นเรยี บรอ้ ยแล้ว 4. ครูใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมในส่วนทีผ่ เู้ รียนขาดหาย ครูเชื่อมโยงจากส่งิ ที่ผเู้ รยี นนาเสนอกับเนอื้ หาใน เรอ่ื งของกระบวนการคดิ เปน็ 5. แจกใบงานให้ทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ และทดสอบหลังเรียน ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้(E : Evaluation) 1. ให้นักศึกษาออกมาหน้าชน้ั เรียน เพอื่ นาเสนอการถอดบทเรยี นใหส้ อดคล้องกบั หลักเศรษฐกิจ พอเพยี ง จากนัน้ ครูใหค้ ะแนน 2. ครูและผ้เู รียนรว่ มกันสรุปหลังจากทุกกลมุ่ นาเสนอผลงานหน้าช้ันเรยี น 3. ครเู ชือ่ มโยงกจิ กรรมท่ผี เู้ รียนไดป้ ฏบิ ัตกิ ับเน้ือหาในเรื่องการคดิ เป็น 4. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. ส่ือ/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวชิ าทักษะการเรียนรู้ (ทร2100๑) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สื่ออนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วิธีการวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกับผอู้ ่นื ของนักศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล
145 - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืนของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควร ปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ู้สอน (นายพงศกร อดุ มอริยทรพั ย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… .................................................................................................................................................... ..................................... .............................................................................................. .................................................. ...................................... ลงช่ือ………………………………………………………ผ้อู นมุ ตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
146 ใบความรู้ “การศึกษาคือกระบวนการที่ทาใหค้ นและสังคมเจริญงอกงาม ย่ิงเรียนยงิ่ ขยัน ย่ิงเรียนยิ่งอดทน ย่งิ เรียนยิง่ ซือ่ สัตย์ ย่งิ เรยี นยงิ่ มีความกตัญญู ยิ่งเรียนยิง่ รักปุูย่าตายาย ดแู ลปยุู า่ ตายาย ไปไหนก็ดแู ลซง่ึ กันและกัน บา้ นเมืองก็จะ มีแต่ความสุข” เน้ือหาในส่วนน้ไี ดร้ วบรวมสาระ แนวคดิ บทความของท่าน ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ ทีเ่ ป็นผ้ใู ห้นยิ าม คาวา่ คดิ เป็น\"กระบวนการคดิ เพ่ือตัดสินใจ\" โดยใช้ขอ้ มูล 3 ดา้ น คือ ขอ้ มลู สว่ นตัว ขอ้ มลู ทาง สงั คมหรอื สิง่ แวดล้อม และ ข้อมูลทางวชิ าการ ปรัชญา \"คิดเป็น\" มีรายละเอยี ดและสาระทน่ี ่าศึกษา แนวคิด\"คดิ เปน็ \" ของ ดร. โกวทิ วรพพิ ัฒน์ ดร.โกวทิ วรพิพัฒนแ์ ละคณะ ไดป้ ระยุกต์แนวความคิดในเร่ือง“คิดเปน็ ” และนามาเปน็ เปูาหมายสาคัญใน การใหบ้ ริการการศึกษาผใู้ หญ่ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2513 เปน็ ตน้ มหี ลักการทเ่ี ปน็ หัวใจสาคัญดังน้ี การวเิ คราะห์ปัญหาและ แสวงหาคาตอบหรือทางเลือกเพื่อแกป้ ญั หา คิดอย่างรอบคอบโดยอาศยั ข้อมลู ตนเอง ข้อมลู สงั คม สิ่งแวดล้อมและ ขอ้ มูลทางวชิ าการประกอบการตัดสนิ ใจ แกป้ ญั หาหรือหาทางเลอื กเพื่อนาไปปฏิบตั ิ รู้จกั คดิ เพ่ือแกป้ ัญหา ด้วยการ กระทาการอยา่ งเหมาะสมและพอดี จากหลักการดังทกี่ ลา่ วมา พอจะสรปู ความหมายของคาวา่ คิดเป็น ดังน้ี \"คิดเปน็ \" หมายถึง กระบวนการที่คนเรานามาใชใ้ นการตดั สินใจ โดยต้องแสวงหาขอ้ มูลของตนเอง ขอ้ มูลของ สภาพแวดล้อมในชุมชนและสังคม และข้อมูลทางหลกั วชิ าการ แล้วนามาวเิ คราะห์หาทางเลอื กในการตดั สินใจที่ เหมาะสม มีความพอดีระหวา่ งตนเองและสังคม เม่อื ครั้งดร.โกวทิ วรพิพัฒน์ ปฏิบตั ิงานในตาแหนง่ หวั หนา้ กองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามญั ศึกษา (ระหว่างปี พ.ศ.2511-2518) ท่านได้ริเร่ิมโครงการการศึกษาผ้ใู หญแ่ บบเบด็ เสร็จ (Functional Literacy) แบบไทย มุ่งให้ผู้เขา้ รบั การศึกษาระดบั ชาวบา้ นไดร้ จู้ ักคิดแก้ไขปัญหา ใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพสถานะของตน และของกลุ่มทเ่ี รียกวา่ \"คดิ เปน็ \" โดยมหี ลักการว่า เรียนแล้วสามารถนาข้อมลู ทางวิชาการ ข้อมลู ข้อจากดั ส่วนตวั ของแต่ละบุคคล และข้อมูลเก่ียวกบั สังคม มาประมวลแลว้ คดิ หาคาตอบให้กบั ปญั หาของแต่ละคนหรอื สงั คม ซ่งึ จะไดค้ าตอบที่หลากหลายและตรงกับ สภาพของแตล่ ะบุคคลหรือสงั คม ไม่ใชว่ า่ หนังสือบอกไว้อย่างไรแลว้ ตอ้ งทาตามเหมือนกันหมด คดิ เองไม่เปน็ แตถ่ ้าคิด เป็นแลว้ คาถามหรือปญั หาเดียวกันอาจได้คาตอบไมเ่ หมือนกนั ก็เปน็ ได้ ผลสาเรจ็ ของโครงการ \"คิดเป็น\" ทาให้ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ไดร้ ับเชญิ จากองค์การยเู นสโกให้ไปเสนอผลงานดังกล่าว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏวา่ ไดร้ บั ความสนใจจากประเทศต่างๆ อย่างมาก จนองค์การยเู นสโกนาเรอ่ื งน้ี ไป เผยแพร่ท่ัวโลก ทาให้ ดร.โกวิทได้รับฉายาจากต่างประเทศวา่ \"นายคิดเป็น\" (Mr.Khit Pen)
147 ใบงาน คาสง่ั ให้ท่านคดั เลือกขา่ วเก่ียวกบั สภาพสงั คมปัจจบุ นั ท่ีทา่ นสนใจมา 1 ข่าว และดาเนินการ วเิ คราะห์ว่าข่าวนด้ี ี หรือไม่ เหมาะสม อย่างไร พร้อมให้เหตุผลในการวเิ คราะห์ข่าววา่ ได้นาขอ้ มูลดา้ นตนเอง ด้าน สงั คมส่งิ แวดลอ้ ม และดา้ นวชิ าการ มาใช้ประกอบในการวิเคราะห์ เขียนตามแบบกาหนด 1. เขียนหวั ขอ้ ข่าว………………………………………….. 2. รายละเอียดของขา่ ว (ตดั ขา่ วมาตดิ ไว)้ 3. สงั เคราะห์ข่าวได้ดังนี้ …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ช่ือ..............................................นามสกลุ ............................................ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้
148 บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหนองผือ ครั้งที่ 17 วนั /เดือน/ปวี ันที่ 31 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผ้สู อน นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรียนรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วชิ า ทร21001 จานวนผู้เรยี นทัง้ หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................................................... .... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... .......................................................................................................................................................... ......... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน .......................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................... .......................................................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผ้บู นั ทกึ ) (นายพงศกร อดุ มอริยทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ...................................... ........................................................................................................................................................ ........... ลงชือ่ .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
149 แผนการจดั การเรยี นรูร้ ายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ ครั้งท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลหนองผือ 1. สัปดาห์ท่ี 18 วันที่ 7 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร2101 จานวน 1 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติท่ดี ตี ่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. หนว่ ยการเรียนรู/้ เรอื่ ง คิดเปน็ 5. สาระสาคัญ ทบทวนทาความเขา้ ใจกบั ความเชือ่ พื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ และเชือ่ มโยงไปสกู่ ารเรยี นรเู้ ร่อื งการคิดเปน็ กระบวนการแกป้ ญั หาของคนคิดเปน็ และปรชั ญาคดิ เปน็ ศึกษาวเิ คราะห์ลกั ษณะของข้อมูลทง้ั ดา้ นวิชาการ ตนเอง และสงั คม สิง่ แวดล้อม รวมทั้งเทคนคิ การเก็บข้อมูล เพื่อนาไปใช้ในการเลอื กเกบ็ ข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการ ตดั สนิ ใจอยา่ งคนคิดเปน็ 6. เน้อื หา การรวบรวมและวเิ คราะห์สภาพปญั หา ของตนเอง ครอบครัว ชุมชน และคิดวิเคราะห์ โดยใช้ ข้อมูลดา้ นตนเอง ด้านวิชาการ และ ดา้ นสงั คมสิง่ แวดลอ้ ม 7. จุดประสงค์การเรียนรู/้ ผลการเรยี นรูท้ ค่ี าดหวงั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และวจิ ารณ์หรอื แสดงความคดิ เห็นและความรู้สึกต่อการแสดงประเภทตา่ งๆ ได้ 1. อธิบายหรอื ทบทวนปรัชญาคิดเป็น และการใชร้ ะบบข้อมูลทางวิชาการ ตนเอง และสังคมสงิ่ แวดล้อม มาวิเคราะห์ สงั เคราะห์ เพื่อประกอบกระบวนการคดิ การตดั สินใจในการแกป้ ญั หา 1.1 วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ ระหว่างความเช่อื พืน้ ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ/่ การศึกษานอกระบบกบั ปรชั ญาคดิ เป็น 1.2 อธบิ ายความสาคัญของการคดิ เปน็ ทมี่ ีต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน 2. อธิบายและปฏบิ ัตกิ ารใชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารฝึกทักษะการคิดเปน็ ท่ซี ับซ้อนและนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ท่ีเกี่ยวข้องมา ส่งเสริมกระบวนการคดิ เป็นใหม้ ากขน้ึ 2.1 อธิบายวธิ กี ารรวบรวม ปัญหาของตนเอง ครอบครัวและชมุ ชน 2.2 อธบิ ายการวิเคราะหป์ ญั หา ของตนเอง ครอบครวั และชุมชนดว้ ย กระบวนการคิดเป็น 2.3 บอกวิธแี ละกระบวนการรวบรวมข้อมลู ดา้ นตนเอง ด้านวิชาการ และดา้ นสังคมสง่ิ แวดลอ้ ม เพ่ือนามาใช้ ในกระบวนการคิดเป็น 2.4 วิเคราะห์ข้อมูลวชิ าการ ข้อมูลตนเอง และขอ้ มลู สงั คมสง่ิ แวดล้อม เพื่อตดั สนิ ใจเลือกแนวทางการแก้ไข ปัญหาตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน 2.5 เลอื กแนวทางในการแก้ไขปญั หาด้วยกระบวนการคดิ เปน็ ได้อยา่ งมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม 2.6 วางแผนแกไ้ ขปัญหาของชุมชนตามเหตุการณ์ทกี าหนดให้ โดยใช้กระบวนการคิดเป็น
150 3. อภปิ ราย ถกแถลงถึงปญั หาและอปุ สรรคในการใชก้ ระบวนการคิดเปน็ ประกอบการแกป้ ัญหา 3.1 อภิปรายและระบปุ ญั หาที่เปน็ อปุ สรรคต่อการพฒั นากระบวนการคิดเป็น 3.2 บอกแนวทางการแก้ปัญหาท่เี ปน็ อปุ สรรคตอ่ การพัฒนากระบวนการคดิ เป็น 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความรู้เรือ่ งการคดิ เปน็ วเิ คราะห์สภาพปัญหา ของตนเอง ครอบครวั ชุมชน คุณธรรม - มีความขยนั - มคี วามสามัคคีในการทางานรว่ มกัน - มคี วามตัง้ ใจและมงุ่ มัน่ พอประมาณ - ความถนัดในการศึกษาหาความร้จู ากแหล่งเรียนรู้ - ต้นทุน - เวลา มเี หตผุ ล - มคี วามรู้เพื่อพัฒนาตนเอง - บริหารเวลาในการศึกษาหาความร้ไู ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ มีภมู ิคมุ้ กัน - นาความร้ทู ไ่ี ด้มาพัฒนาทักษะดา้ นต่างๆได้เหมาะสมกบั ตนเอง วัตถุ - มีทรัพยากรในการศกึ ษาหาความรู้ทีห่ ลากหลาย สงั คม - มีการทางานรว่ มกนั เปน็ กลุ่มแลกเปลีย่ นความคิดและวิเคราะหร์ ว่ มกนั สง่ิ แวดล้อม - ใช้ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มีความร้ทู ไี่ ด้จากภมู ปิ ัญญาในท้องถิน่ และทรัพยากรในท้องถนิ่ 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้
151 ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครูทกั ทาย/สวสั ดผี ูเ้ รยี น ชีแ่ จงบอกวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 2. ให้ผ้เู รียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนร(ู้ N : New ways of learning) 1. ครูทกั ทาย/สวสั ดีผู้เรียน ชแี่ จงบอกวัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2. สุม่ ตวั อยา่ งผเู้ รยี น 2-3 คนให้เลา่ ถงึ กระบวนการคดิ เป็นทผี่ เู้ รยี นพอเข้าใจให้เพื่อนๆฟังวา่ มี กระบวนการและขัน้ ตอนอย่างไร และตอบข้อคาถามของครูและเพ่ือนๆได้ 3. ครูให้ผ้เู รียนทกุ คนออกแบบในเรื่องของกระบวนการคดิ เป็นวา่ มีขั้นตอนและกระบวนการอยา่ งไร ตามความเข้าใจของผู้เรียน ข้ันที่ 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครูให้ผู้เรยี นระดมความคิด ถอดบทเรียนให้สอดคลอ้ งกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง 2. ให้แตล่ ะคนนาเสนอผลการออกแบบขั้นตอนและกระบวนการคิดเป็นหน้าชั้นเรยี น 3. ครสู รุปหลังจากทกุ คนนาเสนอหนา้ ช้ันเรยี นเรียบร้อยแล้ว 4. ครใู หค้ วามรู้เพิ่มเตมิ ในส่วนท่ีผเู้ รยี นขาดหาย ครูเชื่อมโยงจากสิ่งท่ีผู้เรยี นนาเสนอกบั เนือ้ หาในเรอ่ื งของกระบวนการคิดเป็น 5. แจกใบงานให้ทดสอบความรู้ ความเข้าใจ และทดสอบหลงั เรยี น ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนร(ู้ E : Evaluation) 1. ให้นกั ศกึ ษาออกมาหน้าชั้นเรยี น เพ่ือนาเสนอการถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกบั หลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง จากนัน้ ครใู ห้คะแนน 2. ครูและผ้เู รียนรว่ มกันสรปุ หลังจากทุกกลมุ่ นาเสนอผลงานหน้าช้นั เรยี น 3. ครูเช่ือมโยงกิจกรรมท่ผี ูเ้ รียนได้ปฏบิ ัติกับเนื้อหาในเรื่องการคิดเป็น 4. แบบทดสอบหลงั เรยี น 10. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนรายวชิ าทักษะการเรยี นรู้ (ทร2100๑) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่อื อนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน
152 11.2 เคร่อื งมือวัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผูอ้ น่ื ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควร ปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................ ............................................................................................ .................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครูผ้สู อน (นายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ........................................................................................................................ ................................................................. ............................................................................................................................. .......................................................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นุมตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
153 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหนองผือ ครัง้ ที่ 18 วนั /เดอื น/ปีวนั ท่ี 7 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อน นายพงศกร อุดมอริยทรัพย์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรียนรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร2100๑ จานวนผู้เรียนท้งั หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................................................ ....... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ........................................................................................... ........................................................................ ลงช่ือ.........................................................(ผู้บันทกึ ) (นายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ...................................................................................................................................................... ............. ลงชือ่ .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
154 ใบความรู้ “การเรยี นรู้ด้วยตนเอง” การเรียนรู้เป็นเร่อื งของทุกคนศักดิ์ศรีของผูเ้ รียนจะมีได้เมื่อมโี อกาสในการเลอื กเรยี นในเรื่องทห่ี ลากหลาย และมคี วามหมายแกต่ นเองการเรียนรมู้ อี งค์ประกอบ 2 ด้านคอื องค์ประกอบภายนอกไดแ้ ก่สภาพแวดล้อมโรงเรยี น สถานศึกษาสง่ิ อานวยความสะดวกและครอู งคป์ ระกอบภายในไดแ้ ก่การคดิ เปน็ พ่ึงตนเองได้มีอิสรภาพใฝรุ ู้ใฝุ สรา้ งสรรค์มีความคิดเชิงเหตุผลมีจิตสานกึ ในการเรยี นร้มู ีเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้การเรยี นรู้ทเี่ กิดข้ึนมไิ ด้เกดิ ขึ้น จากการฟังคาบรรยายหรอื ทาตามทค่ี รูผู้สอนบอกแต่อาจเกิดข้นึ ได้ในสถานการณต์ ่างๆต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้โดยบงั เอญิ การเรยี นรู้แบบน้เี กดิ ขน้ึ โดยบงั เอิญมิได้เกิดจากความตงั้ ใจ 2. การเรยี นรูด้ ้วยตนเองเป็นการเรยี นรดู้ ว้ ยความต้งั ใจของผ้เู รียนซึง่ มีความปรารถนาจะร้ใู นเรื่องน้ันผูเ้ รียน จึงคิดหาวธิ กี ารเรียนด้วยวธิ กี ารต่างๆหลังจากนนั้ จะมกี ารประเมินผลการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองจะเปน็ รูปแบบการเรียนรู้ที่ ทวีความสาคัญในโลกยุคโลกาภวิ ัตน์บุคคลซงึ่ สามารถปรบั ตนเองให้ตามทนั ความก้าวหนา้ ของโลกโดยใชส้ อื่ อุปกรณย์ คุ ใหม่ไดจ้ ะทาให้เป็นคนที่มคี ุณคา่ และประสบความสาเร็จได้อย่างดี 3. การเรียนรู้โดยกลุ่มการเรียนรู้แบบนเ้ี กิดจากการท่ผี เู้ รยี นรวมกล่มุ กันแลว้ เชญิ ผู้ทรงคุณวฒุ มิ าบรรยาย ใหก้ ับสมาชกิ ทาใหส้ มาชิกมีความรูเ้ ร่ืองท่ีวทิ ยากรพูด 4. การเรยี นรูจ้ ากสถาบนั การศึกษาเปน็ การเรยี นแบบเป็นทางการมหี ลักสตู รการประเมินผลมรี ะเบียบการ เข้าศกึ ษาทชี่ ดั เจนผ้เู รียนต้องปฏิบตั ติ ามกฎระเบยี บทีก่ าหนดเมือ่ ปฏิบัติครบถว้ นตามเกณฑ์ท่ีกาหนดก็จะไดร้ บั ปริญญา หรือประกาศนยี บตั รจากสถานการณก์ ารเรียนรดู้ ังกล่าวจะเห็นไดว้ า่ การเรยี นรู้อาจเกิดได้หลายวิธีและการเรยี นรู้นัน้ ไม่ จาเปน็ ต้องเกดิ ขึ้นในสถาบนั การศกึ ษาเสมอไปการเรียนรอู้ าจเกดิ ข้ึนไดจ้ ากการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองหรือจากการเรียนโดย กลมุ่ ก็ไดแ้ ละการที่บุคคลมีความตระหนักเรยี นรอู้ ยภู่ ายในจิตสานึกของบุคคลน้นั การเรียนรู้ดว้ ยตนเองจึงเปน็ ตัวอย่าง ของการเรียนรูใ้ นลกั ษณะท่ีเป็นการเรยี นร้ทู ีท่ าให้เกิดการเรียนร้ตู ลอดชวี ติ ซง่ึ มีความสาคัญสอดคล้องกบั การ เปล่ียนแปลงของโลกปจั จุบันและสนบั สนุนสภาพ “สงั คมแหง่ การเรียนรู้” ได้เป็นอยา่ งดี การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองคอื อะไร เมื่อกล่าวถึงการเรียนด้วยตนเองแล้วบคุ คลโดยทัว่ ไปมักจะเข้าใจวา่ เป็นการเรยี นทผ่ี เู้ รียนทาการศึกษา คน้ ควา้ ด้วยตนเองตามลาพังโดยไมต่ ้องพ่ึงพาผู้สอนแตแ่ ท้ท่ีจริงแลว้ การเรยี นดว้ ยตนเองท่ีตอ้ งการให้เกดิ ขนึ้ ในตวั ผ้เู รยี นน้นั เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผเู้ รยี นริเร่ิมการเรียนรูด้ ้วยตนเองตามความสนใจความตอ้ งการและความถนัดมี เปา้ หมายร้จู กั แสวงหาแหล่งทรพั ยากรของการเรยี นร้เู ลือกวธิ กี ารเรยี นร้จู นถงึ การประเมนิ ความกา้ วหนา้ ของการ เรียนรขู้ องตนเองโดยจะดาเนินการด้วยตนเองหรือร่วมมือชว่ ยเหลือกับผู้อื่นหรือไมก่ ไ็ ดซ้ ึ่งผู้เรียนจะต้องมีความ รบั ผดิ ชอบและเปน็ ผคู้ วบคุมการเรียนของตนเอง ท้ังนี้การเรยี นด้วยตนเองนนั้ มีแนวคดิ พ้ืนฐานมาจากแนวคดิ ทฤษฎีกล่มุ มนษุ ยนยิ มทม่ี ีความเช่ือในเรื่องความ เปน็ อสิ ระและความเปน็ ตวั ของตัวเองของมนุษย์วา่ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพรอ้ มกบั ความดมี ีความเป็นอิสระเป็นตวั ของ ตัวเองสามารถหาทางเลือกของตนเองมีศกั ยภาพและสามารถพฒั นาศักยภาพของตนเองได้อยา่ งไมม่ ีขีดจากัดรวมท้งั มี ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและผู้อ่ืนซ่งึ การเรยี นดว้ ยตนเองกอ่ ให้เกิดผลในทางบวกต่อการเรียนโดยจะส่งผลใหผ้ เู้ รียนมี ความเช่ือม่นั ในตนเองมีแรงจูงใจในการเรียนมากขน้ึ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู ข้ึนและมีการใช้วิธกี ารเรียนที่
155 หลากหลายการเรียนด้วยตนเองจงึ เปน็ มาตรฐานการศึกษาทคี่ วรสง่ เสริมให้เกดิ ข้นึ ในตัวผู้เรยี นทุกคนเพราะเม่อื ใดก็ ตามท่ผี ้เู รียนมใี จรักที่จะศกึ ษาคน้ คว้าจากความตอ้ งการของตนเองผูเ้ รียนก็จะมีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยไม่ต้องมใี ครบอกหรือบังคับเปน็ แรงกระตุ้นให้เกดิ ความอยากรู้อยากเหน็ ตอ่ ไปไม่มที ส่ี ้ินสดุ ซ่ึงจะนาไปสู่การเป็นผู้ เรียนรตู้ ลอดชวี ติ ตามเปูาหมายของการศึกษาต่อไป การเรยี นดว้ ยตนเองมีอยู่ 2 ลกั ษณะคือลักษณะทเ่ี ป็นการจดั การ เรียนร้ทู ี่มีจดุ เนน้ ใหผ้ ู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลางในการเรียนโดยเป็นผู้รบั ผิดชอบและควบคุมการเรียนของตนเองโดยการ วางแผนปฏิบตั กิ ารเรียนรแู้ ละประเมินการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองซง่ึ ไม่จาเป็นจะต้องเรียนดว้ ยตนเองเพียงคนเดียวตามลาพัง และผูเ้ รียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้และทักษะท่ีได้จากสถานการณ์หนึ่งไปยังอีกสถานการณ์หนึง่ ไดใ้ นอกี ลกั ษณะ หนึง่ เปน็ ลกั ษณะทางบคุ ลิกภาพทม่ี ีอยูใ่ นตัวผทู้ เ่ี รยี นดว้ ยตนเองทุกคนซงึ่ มอี ยู่ในระดบั ทไ่ี ม่เท่ากันในแตล่ ะสถานการณ์ การเรียนโดยเป็นลักษณะที่สามารถพัฒนาใหส้ ูงขนึ้ ได้และจะพัฒนาได้สงู สุดเม่ือมีการจดั สภาพการจัดการเรยี นรู้ที่เอื้อ กัน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมีความสาคัญอยา่ งไร การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรยี นรู้หนงึ่ ทีส่ อดคล้องกบั การ เปล่ยี นแปลงของสภาพปจั จุบันและเปน็ แนวคดิ ทส่ี นบั สนนุ การเรยี นรตู้ ลอดชีวิตของสมาชกิ ในสังคมสู่การเป็นสังคม แหง่ การเรยี นรโู้ ดยการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองเปน็ การเรยี นรูท้ ีท่ าให้บคุ คลมีการรเิ รม่ิ การเรียนรู้ด้วยตนเองมเี ปูาหมายในการ เรยี นรู้ท่ีแน่นอนมีความรบั ผดิ ชอบในชีวิตของตนเองไม่พง่ึ คนอื่นมีแรงจูงใจทาให้ผูเ้ รยี นเป็นบุคคลท่ีใฝุรู้ใฝเุ รยี นที่มีการ เรียนรตู้ ลอดชวี ติ เรยี นรูว้ ธิ เี รยี นสามารถเรียนรู้เร่อื งราวตา่ งๆไดม้ ากกวา่ การเรยี นท่ีมีครูปูอนความรใู้ หเ้ พยี งอย่างเดียว การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองไดน้ ับวา่ เปน็ คณุ ลกั ษณะท่ดี ที ีส่ ดุ ซ่งึ มีอย่ใู นตัวบคุ คลทุกคนผเู้ รยี นควรจะมีคุณลกั ษณะของการ เรียนรดู้ ้วยตนเองการเรยี นร้ดู ้วยตนเองจดั เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวติ ยอมรับในศกั ยภาพของผู้เรยี นว่าผู้เรียน ทุกคนมีความสามารถท่ีจะเรียนรสู้ ิ่งตา่ งๆไดด้ ว้ ยตนเองเพือ่ ท่ีตนเองสามารถที่ดารงชีวติ อยู่ในสังคมที่มกี ารเปลี่ยนแปลง อยตู่ ลอดเวลาไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ดงั น้ันการเรียนรู้ด้วยตนเองมคี วามสาคัญดังน้ี 1. บุคคลทเ่ี รียนรู้ด้วยการรเิ ร่ิมของตนเองจะเรยี นไดม้ ากกว่าดีกว่ามคี วามตั้งใจมีจดุ มุ่งหมายและมแี รงจูงใจสงู กว่าสามารถนาประโยชน์จากการเรียนรไู้ ปใช้ได้ดกี วา่ และยาวนานกว่าคนทีเ่ รียนโดยเป็นเพียงผู้รับหรือรอการถา่ ยทอด จากครู 2. การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองสอดคลอ้ งกับพฒั นาการทางจิตวิทยาและกระบวนการทางธรรมชาตทิ าให้บคุ คลมี ทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลกั ษณะหนึง่ ไปสอู่ กี ลักษณะหน่ึงคือเม่ือตอนเดก็ ๆเป็นธรรมชาตทิ ่ีจะต้องพงึ่ พิงผู้อื่น ต้องการผ้ปู กครองปกปูองเล้ียงดแู ละตดั สินใจแทนให้เมื่อเติบโตมพี ัฒนาการขน้ึ เรื่อยๆพัฒนาตนเองไปสู่ความเปน็ อิสระไม่ต้องพ่ึงพงิ ผปู้ กครองครูและผอู้ ่นื การพัฒนาเปน็ ไปในสภาพที่เพ่ิมความเปน็ ตัวของตวั เอง 3. การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองทาให้ผเู้ รียนมีความรบั ผิดชอบซ่งึ เป็นลักษณะทีส่ อดคล้องกับพฒั นาการใหมๆ่ ทาง การศกึ ษาเชน่ หลกั สตู รห้องเรียนแบบเปดิ ศนู ยบ์ ริการวิชาการการศึกษาอยา่ งอสิ ระมหาวิทยาลัยเปดิ ลว้ นเนน้ ใหผ้ ู้เรียน รบั ผิดชอบการเรยี นร้เู อง 4. การเรียนรู้ดว้ ยตนเองทาให้มนุษย์อยูร่ อดการมีความเปล่ยี นแปลงใหม่ๆเกิดขึน้ เสมอทาให้มคี วามจาเป็นท่ี จะต้องศึกษาเรยี นรู้การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจงึ เป็นกระบวนการตอ่ เนอ่ื งตลอดชีวติ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองมลี กั ษณะอย่างไรการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองสามารถจาแนกออกเป็น 2 ลกั ษณะสาคญั ดงั นี้
156 1. ลกั ษณะท่เี ปน็ บุคลิกคุณลักษณะสว่ นบุคคลของผูเ้ รยี นในการเรียนดว้ ยตนเองจัดเป็นองค์ประกอบภายในท่ี จะทาให้ผู้เรยี นมีแรงจูงใจอยากเรยี นต่อไปโดยผ้เู รียนทีม่ ีคุณลักษณะในการเรียนดว้ ยตนเองจะมีความรบั ผิดชอบต่อ ความคดิ และการกระทาเกี่ยวกบั การเรียนรวมท้ังรบั ผิดชอบในการบริหารจัดการตนเองซึ่งมีโอกาสเกิดข้ึนไดส้ งู สุดเม่ือ มีการจดั สภาพการเรียนรู้ที่สง่ เสริมกนั 2. ลกั ษณะที่เปน็ การจดั การเรียนรใู้ ห้ผูเ้ รียนได้เรียนด้วยตนเองประกอบด้วยขน้ั ตอนการวางแผนการเรียนการ ปฏบิ ตั ิตามแผนและการประเมินผลการเรียนจดั เปน็ องค์ประกอบภายนอกทีส่ ง่ ผลตอ่ การเรียนด้วยตนเองของผู้เรียนซ่งึ การจดั การเรยี นรแู้ บบน้ีผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากการเรียนมากที่สดุ Knowles (1975) เสนอใหใ้ ช้สญั ญาการเรียน (Learning contracts) เปน็ การมอบหมายภาระงานให้แก่ผู้เรยี นว่าจะตอ้ งทาอะไรบา้ งเพื่อให้ไดร้ ับความรตู้ าม เปูาประสงค์และผูเ้ รยี นจะปฏิบัตติ ามเง่ือนไขนนั้ องค์ประกอบของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมีอะไรบ้างองคป์ ระกอบของการเรยี นรดู้ ้วยตนเองมดี ังน้ี 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเองจะเรม่ิ จากให้ผเู้ รยี นแตล่ ะคนบอกความต้องการ และความสนใจของตนในการเรยี นกบั เพ่ือนอีกคนทาหนา้ ที่เป็นท่ีปรึกษาแนะนาและเพ่อื นอีกคน ทาหนา้ ท่ีจดบนั ทึกและให้กระทาเชน่ นห้ี มนุ เวยี นทงั้ 3 คนแสดงบทบาทครบท้งั 3 ดา้ นคอื ผเู้ สนอ ความต้องการผูใ้ ห้คาปรกึ ษาและผ้คู อยจดบันทกึ การสังเกตการณ์เพื่อประโยชน์ในการเรียน ร่วมกนั และช่วยเหลอื ซึง่ กนั และกนั ในทุกๆด้าน 2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี นโดยเร่มิ จากบทบาทของผเู้ รยี นเป็นสาคญั ผู้เรยี น ควรศกึ ษาจุดมงุ่ หมายของวชิ าแล้วเขียนจดุ มงุ่ หมายในการเรียนของตนใหช้ ดั เจนเน้นพฤติกรรมท่ี คาดหวังวดั ได้มีความแตกตา่ งของจุดมงุ่ หมายในแตล่ ะระดับ 3. การวางแผนการเรียนใหผ้ ูเ้ รียนกาหนดแนวทางการเรยี นตามวัตถุประสงคท์ ่ีระบไุ ว้ จดั เน้ือหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของตนระบุการจัดการเรียนรใู้ ห้ เหมาะสมกับตนเองมากที่สดุ 4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการทั้งที่เปน็ วัสดแุ ละบุคคล 4.1 แหล่งวิทยาการท่เี ป็นประโยชน์ในการศกึ ษาค้นคว้าเชน่ หอ้ งสมุดพิพิธภณั ฑ์เป็นต้น 4.2 ทกั ษะตา่ งๆท่ีมีสว่ นช่วยในการแสวงแหลง่ วทิ ยาการได้อย่างสะดวกรวดเรว็ เช่น ทักษะการตั้งคาถาม ทักษะการอา่ นเปน็ ต้น 5. การประเมนิ ผลควรประเมินผลการเรียนดว้ ยตนเองตามทก่ี าหนดจดุ มุ่งหมายของการ เรียนไว้และใหส้ อดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคเ์ กี่ยวกบั ความรคู้ วามเข้าใจทักษะทัศนคติค่านิยมมี ขัน้ ตอนในการประเมนิ คือ 5.1 กาหนดเปาู หมายวตั ถุประสงคใ์ ห้ชัดเจน 5.2 ดาเนินการให้บรรลวุ ตั ถุประสงคซ์ ่งึ เป็นส่ิงสาคญั 5.3 รวบรวมหลักฐานจากผลการประเมนิ เพื่อตดั สนิ ใจซ่ึงต้องต้ังอยู่บนพน้ื ฐานของข้อมลู ทส่ี มบูรณ์เช่อื ถอื ได้ 5.4 เปรยี บเทยี บข้อมลู ก่อนเรียนกบั หลังเรยี นเพ่ือดวู ่าผู้เรยี นมีความกา้ วหนา้ เพยี งใด 5.5 ใช้แหล่งข้อมลู จากครูและผเู้ รียนเป็นหลักในการประเมิน
157 ใบงาน เรื่อง การเรยี นรดู้ ้วยตนเองนัน้ สาคัญไฉน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชื่อ…………………………………………….………นามสกุล………………………………………………ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต้น
158 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าเศรษฐกจิ พอเพียง ครัง้ ที่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหนองผือ 1. สปั ดาห์ที่ 19 วนั ท่ี 14 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา เศรษฐกิจพอเพียง รหัสวชิ า ทช 21001 จานวน1หน่วยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.2 รู้ เข้าใจ ยอมรับ เห็นคุณค่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกต์ใช้ในการ ประกอบอาชีพและมีภูมิค้มุ กนั ในการดาเนินชีวิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชนอย่างมีความสุข 4. หนว่ ยการเรยี นรู้/เรอ่ื งความพอเพยี ง 5. สาระสาคัญ เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นหลกั คิด หลักปฏิบตั ิในการดาเนนิ ชวี ติ ตามแนวทางสายกลางของกลุ่ม บุคคลทุกระดบั ตง้ั แตร่ ะดับครอบครวั ชุมชน และระดับประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจให้ กา้ วทันต่อความเปลยี่ นแปลงในยุค โลกาภวิ ฒั น์ดว้ ยความพอเพยี ง คอื มีความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล มีระบบภูมิคมุ้ กนั ในตัวทดี ตี อ่ การมผี ลกระทบ ตา่ งๆ อนั เกดิ จากการเปล่ยี นแปลงทงั ภายนอกและ ภายในประเทศ โดยจะตอ้ งมคี วามรอบรู้ ความรอบคอบ และ ความระมัดระวัง ควบคู่ไปกบั การมคี วามรู้ ทีเหมาะสม มคี วามสานึกในคุณธรรม เพ่ือให้สมดุลและพรอ้ มรองรับการ เปลีย่ นแปลงอย่างรวดเรว็ และ กว้างขวางทง้ั ทางด้านวัตถุ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็น อยา่ งดี 6. เนือ้ หา 1. ความเป็นมาความหมาย หลกั การแนวคดิ ของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. การแสวงหาความรู้ 2.1 ความหมาย ความสาคัญของการแสวงหาความรู้ 2.2 แหล่งความรู้และวิธกี ารแสวงหาความรู้ 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) อธิบายแนวคดิ หลักการ ความหมาย ความสาคัญของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งได้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การ การเช่อื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ความเปน็ มาความหมาย หลักการแนวคดิ ของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง การแสวงหา ความรู้ คุณธรรม - มีความขยัน - มคี วามสามคั คใี นการทางานรว่ มกัน - มีความอดทน
159 พอประมาณ - การใช้ชิวติ อย่างเหมาะสม มีเหตผุ ล - มแี นวคดิ และตัดสนิ ใจในการใช้ชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถกู ต้ มีภมู คิ ุ้มกัน - สามารถใชช้ ีวิตในสงั คมปัจจุบนั ทม่ี ีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาได้ วัตถุ - ดาเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมีแบบแผน สังคม - เป็นตวั อย่างการดารงชีวติ ให้กับผอู้ น่ื สิ่งแวดล้อม - อนรุ ักษ์ส่งิ แวดล้อมด้วยการใชท้ รัพยากรในชมุ ชนห่างไกลการใช้สารเคมี วฒั นธรรม - อนรุ ักษว์ ีถชี ีวติ และประเพณีในท้องถนิ่ 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้(O : Orientation) 1. ครูอธบิ ายรายละเอยี ดสาระสาคญั และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังในรายวชิ า ทช21001 เศรษฐกิจพอเพียง พร้อมท้ังแจกเอกสารใบความรู้ท่ี 1 ใหผ้ เู้ รียนทาความเข้าใจเก่ยี วกับเนื้อหาสาระของ รายวชิ านี้ โดยใชเ้ วลา 15 นาที 2. ครตู ั้งคาถามชวนคดิ ใหก้ ับผู้เรียน ได้แลกเปลย่ี นเรยี นรดู้ ้วยคาถาม “เศรษฐกิจพอเพยี งมีประโยชน์ ตอ่ การดารงชีวิตอย่างไร?” โดยผู้เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ และคดิ คาตอบ จากนั้นครูเชื่อมโยงเขา้ สู่ เน้อื หาความเปน็ มาของหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสาคญั และจาเป็นต่อการดาเนินชวี ิต โดย กล่าวถึงว่า เศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นปรัชญาทีพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงมีพระราชดาริช้ีแนะแนว ทางการดาเนนิ ชีวิต เพ่อื แก้ไขให้รอดพน้ วิกฤตทางดา้ นเศรษฐกจิ และสามารถดารงชวี ติ อยูไ่ ดอ้ ย่างม่ันคงและ ยั่งยนื หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงตัง้ อยูบ่ นพื้นฐานของทางสายกลางและความไมป่ ระมาท โดยคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล การสร้างภมู ิคมุ้ กันในตวั ที่ดี ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และ คณุ ธรรมประกอบการวางแผนการตดั สนิ ใจและการกระทา สามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ได้ 3. ครูแบ่งกล่มุ ผเู้ รยี นกลุ่มละ 3 คน ให้ศกึ ษาคน้ ควา้ “ความหมายและความเป็นมาหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” จากหนังสอื แบบเรียนวชิ า ทช21001 เศรษฐกจิ พอเพยี ง ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ และ ตอบคาถามจากใบงานที่ 1 เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร
160 ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครใู ห้ผเู้ รยี นดวู ีดีทัศน์เกีย่ วกับเศรษฐ์กิจพอเพยี ง เร่ือง พอเพยี ง..ตามรอยพ่อ สารคดีโทรทัศน์ ขับเคลือ่ นเศรษฐกิจพอเพยี ง ผลิตโดยโครงการสนับสนนุ การขับเคลอ่ื นเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาและ เยาวชน สานกั งานทรัพยส์ นิ ส่วนพระมหากษัตริย์ เปน็ เวลา 20 นาที 2. ครชู กั ชวนผู้เรยี นพูดคยุ ถึงเรอื่ งราวจากการชมวดี ีทศั น์ โดยยกตวั อยา่ งบางช่วงบ้างตอนของวีดี ทัศน์มากลา่ วถงึ อาทเิ ช่น “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชวี ติ รากฐานความมนั่ คงของแผน่ ดนิ เปรยี บเสมอื นเสาเข็มที่ถูกตอกรองรบั บ้านเรือนตัวอาคารไว้น่ันเอง สิง่ ก่อสร้างจะมน่ั คงได้กอ็ ยทู่ ่ีเสาเข็ม แต่ คนส่วนมากมองไมเ่ หน็ เสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้าไป..”(พระราชดารัสจากพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยู่หวั : 4 ธันวาคม 2542) 3. ครูใหผ้ ู้เรยี นสรุปความรู้ทไ่ี ด้รับจากการชมวดี ีทัศน์เก่ียวกับเศรษฐกจิ พอเพียงเรื่อง พอเพยี ง..ตาม รอยพ่อ โดยเขียนเปน็ เรยี งความลงบนกระดาษทค่ี รูแจกให้ ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครูให้ผู้เรยี นทาใบงานเรื่อง เพือ่ นบ้าน...พอเพียง โดยให้ผ้เู รยี นยกตวั อยา่ งเพื่อนบ้านหรือบคุ คลทผี่ เู้ รียน รจู้ ัก ที่นาหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นชีวิตประจาวนั จากนน้ั ตอบคาถามตามหัวขอ้ ทค่ี รูกาหนดให้ ดงั น้ี 1.1 ช่ือ..............นามสกลุ .............ที่อย.ู่ ........................(ของเพ่อื นบ้าน....พอเพยี ง) 1.2 วธิ ีปฏิบตั ติ นในการดาเนินชวี ติ แบบพอเพยี งของเพื่อนบ้าน....พอเพยี งเป็นอย่างไร 1.3 ผ้เู รียนคิดวา่ การดาเนินชีวิตตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งของเพื่อนบ้าน...พอเพยี ง สามารถนามาปรบั ใช้กบั ตนเองไดอ้ ย่างไรบ้าง 2. ครูจบั ฉลากหากลมุ่ ผ้โู ชคดีออกมาเล่าถึงเพ่ือนหรือบุคคลที่ตนเองกลา่ วถงึ 3. ครพู รอ้ มผเู้ รียนสรปุ เน้ือหารว่ มกนั พรอ้ มให้ทุกคนนาผลงานไปติดไวท้ ่บี อร์ดหนา้ ห้องเรียน ขัน้ ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้(E : Evaluation) 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสงั เกตการมสี ว่ นร่วม 10. สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สอื แบบเรียน วิชา ทช21001 เศรษฐกิจพอเพียง ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ 2. ใบความรู้ 3. ใบงาน 4.วดี ีทศั น์ เรือ่ ง พอเพยี ง...ตามรอยพ่อ 11.การวัดและประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกับผอู้ น่ื ของผเู้ รียนรายบุคคล - ใบงาน
161 11.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่น ของผูเ้ รียนรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกับผ้อู ืน่ ของผเู้ รยี นรายบคุ คล ระดับดี พอใช้ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................................ ลงชื่อ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นายพงศกร อุดมอริยทรัพย)์ ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่อื ………………………………………………………ผู้อนุมตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
162 บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ คร้ังท่ี 19 วันท่ี 14 เดอื น กันยายน พ.ศ. 2565 ครูผูส้ อน นายพงศกร อุดมอริยทรพั ย์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการดาเนินชวี ิต รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพียง รหสั วิชา ทช21001 จานวนผู้เรียนท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวา่ กอ่ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ............................................................................................................................ ....................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผูบ้ ันทกึ ) (นายพงศกร อดุ มอรยิ ทรัพย์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ........................................................................................................................... ........................................ ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
163 ใบความรู้ที่ 1 โครงสร้างรายวชิ า ทช 21001 เศรษฐกจิ พอเพยี ง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สาระสาคญั เศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรชั ญาทพี่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดารัสช้ีแนะแนวทางการดาเนิน ชีวิต แก่พสกนิกรมาโดยตลอดต้ังแต่ก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดาเนินชีวิตและ ปฏบิ ตั ติ นของประชาชนทกุ ระดับ ตามวิถีไทยแบบเรยี บงา่ ย เดนิ ทางสายกลางนาไปใช้จัดการทรัพยากรที่มีอยู่ท้ังของ ตนเอง ครอบครัว ประยุกต์ใช้ประกอบอย่างเหมาะสม มีข้อมูลในการวางแผน การดาเนินงาน บนพื้นฐานของ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความภูมิคุ้มกันท่ีดี เง่ือนไขของความรู้ และเงื่อนไขของคุณธรรม อาศัย เครือขา่ ยชมุ ชนท่ีประสบความสาเร็จในการดาเนินชวี ติ แบบพอเพียง เพื่อเป็นแบบอย่างในการดาเนินการสร้างอาชีพที่ จะต้องอาศัย พลังงานทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้พร้อมรองรับการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเรว็ ทง้ั ดา้ นวัตถุ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากภายนอกได้เปน็ อย่างดี ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. อธิบายแนวคิด หลักการ ความหมาย ความสาคญั ของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงได้ 2. บอกแนวทางในการนาปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการประกอบอาชีพ 3. เห็นคุณค่าและปฏิบัติตามหลักเศรษฐกจิ พอเพียง 4. แนะนาสง่ เสรมิ สมาชกิ ในครอบครวั และชมุ ชนให้เหน็ คณุ ค่าและนาไปปฏิบตั ใิ นการดาเนินชวี ติ
164 ชื่อ-สกลุ ................................................................. รหสั นกั ศึกษา........................................................ ใบงานที่ 1 เรือ่ ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง คืออะไร จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. เศรษฐกิจพอเพยี งมีความเป็ นมาอยา่ งไร ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ใหอ้ ธิบายความหมายของ “ความพอเพียง” ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ใหย้ กตวั อยา่ งหลกั การปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมา 5 ขอ้ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................
Search