วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - มถิ ุนายน 2552 การศกึ ษาเพลงนกขมน้ิ Nathatai Pongpitak A Study of Melody “Nok Kameen” ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ ์ บทคดั ยอ่ การศกึ ษาเพลงนกขมนิ้ เปน็ การวจิ ยั โดยใชห้ ลกั วชิ ามานษุ ยดรุ ยิ างควทิ ยา โดยมจี ดุ มงุ่ หมายในการศกึ ษาไวด้ งั น ี้ 1. เพอื่ ศกึ ษารวบรวมองคค์ วามรเู้ พลงนกขมน้ิ ในบรบิ ทตา่ งๆ 2. เพอ่ื ศกึ ษาและวเิ คราะหท์ างซอดว้ งเพลงเดย่ี วนกขมน้ิ สามชนั้ 3. เพอื่ ศกึ ษาและบนั ทกึ โนต้ เพลงนกขมน้ิ ผลการศกึ ษาพบวา่ 1. เพลงนกขม้ินเดิมเป็นเพลงสองชั้นของเก่าในสมัยอยุธยา เป็นเพลงสามท่อนปรากฏอยู่ในเพลงเรื่องนกขมิ้น ก่อนท่ีครูเพ็งจะนำมาขยายเป็นเพลงสามช้ันและเพ่ิมให้มีการว่าดอก และครูมนตรี ตราโมทเป็นผู้รวบรวมเพลงให้เป็นเถา และประพันธ์บทร้องสองช้ันและชั้นเดียวข้ึนมาในปี 2476 เพลงนกขม้ินเป็นเพลงท่ีสามารถรับใช้สังคมท้ังบรรเลงสำหรับ พธิ กี รรม บรรเลงสำหรบั การแสดง และบรรเลงสำหรบั ขบั กลอ่ ม 2. เพลงนกขม้ิน 3 ชั้นเป็นเพลงสามท่อน ท่อนที่ 1 มี 3 จังหวะหน้าทับส่วนท่อนที่ 2 และท่อนท่ี 3 มีสอง จังหวะหน้าทับ เพลงนกขม้ินมีการใช้กลุ่มเสียงในบันไดเสียงโด (ด1, ด2, ด3) และบันไดเสียงซอล (ซ1, ซ2, ซ3, ซ6) โดยมคี วามสมั พนั ธข์ องเสยี งลกู ตกและการแปรทำนองในเพลงเดยี่ วนกขมนิ้ สามชนั้ โดยสรปุ ดงั น้ ี 1. บนั ไดเสยี ง ด1 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทย่ี วโอดและเทย่ี วเกบ็ ได้ 12 ทำนอง 2. บนั ไดเสยี ง ด2 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทย่ี วโอดและเทยี่ วเกบ็ ได้ 11 ทำนอง 3. บนั ไดเสยี ง ด3 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทย่ี วโอดและเทยี่ วเกบ็ ได้ 10 ทำนอง 4. บนั ไดเสยี ง ซ1 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทย่ี วโอดและเทยี่ วเกบ็ ได้ 4 ทำนอง 5. บนั ไดเสยี ง ซ2 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทย่ี วโอดและเทย่ี วเกบ็ ได้ 10 ทำนอง 6. บนั ไดเสยี ง ซ3 มกี ารแปรทำนองทงั้ เทยี่ วโอดและเทย่ี วเกบ็ ได้ 5 ทำนอง 7. บนั ไดเสยี ง ซ6 มกี ารแปรทำนองทง้ั เทยี่ วโอดและเทยี่ วเกบ็ ได้ 10 ทำนอง 3. รวบรวมบันทึกโน้ตเพลงนกขม้ินทุกบริบท ตามวิวัฒนาการโดยเร่ิมจากเพลงนกขม้ินสองชั้น เพลงนกขมิ้นสาม ชนั้ เพลงนกขมนิ้ มอญ เพลงนกขมนิ้ ตบั มโหรี เพลงเดย่ี วนกขมน้ิ เพลงนกขมน้ิ เถา เพอ่ื เปน็ ฐานขอ้ มลู ตอ่ ไป Abstract The purposes of this study are to (1) collect the knowledge body of Thai classical music “Nok Kameen,” (2) to investigate and analyze various context of the knowledge body of Thai classical music “Nok Kameen, and (3) to record the note of Thai classical music” Nok Kameen. The results reveal as follows: 1. Thai classical music “Nok Kameen” has its origin since the Ayudhaya Era with two-level and later appeared with three-lavel music called “Song of Nok Kameen,” and finally extended into three- level and words by teacher “Peng.” Teacher Montri Tramote collected music as Tao and composed words with two levels and one levels in 1933. Thai classical music “Nok Kameen” is a song played in ritual
116 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ceremony, performance, and entertainment. 2. Thai classical music “Nog Kameen” with three-level is a classical music which its level 1 contains 3 front rhythms overlaying level 2 and 2 front rhythms overlaying level 3. It uses key signature of Do (Do1, Do2, and Do3) and Sol (S1, S2, and S3). The relationship between sound of fallen minor and melody translation in “Nok Kameen” with three-level can be summarized as follows: 2.1 Key signature-Do1 gains melody translation both Odd and Keb with 12 melodies. 2.2 Key signature-Do2 gains melody translation both Odd and Keb with 11 melodies. 2.3 Key signature-Do3 gains melody translation both Odd and Keb with 10 melodies. 2.4 Key signature-S1 gains melody translation both Odd and Keb with 4 melodies. 2.5 Key signature-S2 gains melody translation both Odd and Keb with 10 melodies. 2.6 Key signature-S2 gains melody translation both Odd and Keb with 5 melodies. 2.7 Key signature-S1 gains melody translation both Odd and Keb with 10 melodies. 3. The researcher collects context of Thai classical music “Nok Kameen” as developed as “Nok Kameen with 2 parts”, “Nok Kameen with 3 parts”, “Nok Kameen Mon”, “Tab Mahoree”, “Solo Nok Kameen,” and “Tao Nok Kameen” as further information. บทนำ 2. เพ่ือศึกษาและวิเคราะห์ทางซอด้วงเพลงเดี่ยว เพลงไทยเปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ของดนตรไี ทยซงึ่ นกขมน้ิ สามชน้ั ตกทอดมาตงั้ แตโ่ บราณจนกระทง่ั ทกุ วนั นี้ ศลิ ปนิ และคตี กวี 3. เพอ่ื ศกึ ษาและบนั ทกึ โนต้ เพลงนกขมน้ิ มีความคิดหลากหลายในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงไทยทั้ง วธิ กี ารดำเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้ ทางด้านโครงสร้างบทร้องและทำนองดนตรี จนเมื่อผ่าน ในการศกึ ษาเรอ่ื งเพลงนกขมน้ิ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาตาม กระบวนการทางสังคมดนตรีจึงเกิดแบบแผนให้ถือปฏิบัติ ข้ันตอนกระบวนการทางมานุษยดุริยางควิทยา โดยนำ กนั ตอ่ มา เพลงไทยสามารถแบง่ ไดส้ องประเภทคอื ประเภท เสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ มีแนวทางในการศึกษา เพลงขับร้องและเพลงบรรเลง โดยถูกนำไปใช้ในโอกาส ดงั นี ้ ตา่ งๆ ซงึ่ สรปุ ได้ 3 ลกั ษณะคอื ประกอบพธิ ี ประกอบการ ขนั้ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แสดง และขบั กลอ่ ม ผู้วิจัยได้ทำการรวมข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพลงนกขม้ินเป็นเพลงที่มีโอกาสรับใช้สังคมหลาก และรวบรวมข้อมูลภาคสนามโดยเข้าร่วมสังเกต จดบันทึก หลายรปู แบบ ตง้ั แตเ่ รอื่ งพธิ กี รรม เรอื่ งการแสดงและยงั อยู่ บันทึกเสียง บันทึกภาพน่ิง บันทึกภาพเคล่ือนไหว จาก ในส่วนของการขับกล่อมด้วย บทบาทของเพลงนกขม้ินจึง การแสดง การสมั ภาษณ์ บคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ปรากฏในทุกโอกาส ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีทำวิจัยเกี่ยวกับเพลง ขนั้ ศกึ ษาขอ้ มลู นกขมิ้น เร่ิมจากวิวัฒนาการของเพลงนกขมิ้นท่ีมีมาต้ังแต่ เรียบเรียงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูล อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั บทบาทของเพลงนกขมน้ิ ตอ่ วถิ ชี วี ติ และ จากการสังเกต จดบันทึก การบันทึกเสียง การบันทึกภาพ ตอ่ สงั คมไทย และศกึ ษาโครงสรา้ งของเพลงนกขมนิ้ ทงั้ หมด นิ่ง การบันทึกภาพเคล่ือนไหว จากการแสดงและการ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่างานวิจัยเร่ืองการศึกษาเพลงนก สมั ภาษณ์ นำเสนอขอ้ มลู ดา้ นเพลงนกขมนิ้ รปู แบบการใช้ ขมิ้น จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีมีความสนใจศึกษาดนตรีไทย เพลงประกอบแสดง บันทึกโน้ตเพลงเป็นแบบโน้ตไทยและ และเป็นการสนับสนุนวิชาการของดุริยางค์ไทยในระดับ สากลเพอ่ื ประโยชนใ์ นการใชเ้ ปน็ แหลง่ ขอ้ มลู อา้ งองิ ได ้ อดุ มศกึ ษาดว้ ยหลกั การเชงิ กระบวนการวจิ ยั ไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน ขนั้ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ทั้งยังช่วยสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยท่ีมีประโยชน์ต่อวงการ ผวู้ จิ ยั วเิ คราะหข์ อ้ มลู เกย่ี วกบั เพลงนกขมน้ิ ดงั น ี้ ดนตรไี ทยตอ่ ไป จดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้ 1. เพ่ือศึกษารวบรวมองค์ความรู้เพลงนกขมิ้นใน บรบิ ทตา่ งๆ
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 117 - องคค์ วามรู้ - ประวตั เิ พลงนกขมนิ้ ววิ ฒั นาการ ท่อน มีปรากฏตั้งแต่สมัยอยุธยา ไม่ทราบนามผู้แต่งแต่ ของเพลงนก -ววิ ฒั นาการเพลงนกขมน้ิ คงจะเป็นเพลงเกร็ดมาก่อนท่ีครูดนตรีจะนำเพลงน้ีเข้ามา ขมน้ิ -บทบาทเพลงนกขมน้ิ บรรจอุ ยใู่ นเพลงเรอ่ื งนกขมน้ิ - วเิ คราะหโ์ ครงสรา้ ง เพลงเรื่องนกขมิ้น หรือเรียกอีกช่ือว่า เรื่อง - วเิ คราะหท์ าง - วรรคเพลง ลกู ตก และบนั ไดเสยี ง แม่หม้ายคร่ำครวญ เป็นเพลงรวมอยู่ในเร่ืองเพลงช้า ซอดว้ งในเพลง - ความสมั พนั ธข์ องการลงเสยี งลกู ตก ทำนองเก่าสมัยอยุธยาประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้ เดย่ี วนกขมนิ้ เพลงเร็วและออกเพลงลา ผู้วิจัยได้รับความอนุเคราะห์จาก สามชนั้ และการแปลทำนอง ผอู้ ำนวยการสำนกั การสงั คตี ไดร้ บั ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ เอกสารจาก - การเคลอ่ื นทขี่ องทำนอง ครูบุญตา เขียนทองกุล ได้มีโอกาสเห็นสมุดบันทึกท่ีเป็น - บนั ทกึ โนต้ เพลงนกขมน้ิ สองชน้ั เพลงเรอื่ งนก ลายมือเขียน แสดงให้เห็นถึงรายช่ือผู้บอกมือตามเคร่ือง เพลงนกขมนิ้ ขมน้ิ เพลงนกขมนิ้ มอญ เพลงนก ดนตรตี า่ งๆ ในเพลงเรอื่ งนกขมน้ิ ในครงั้ นน้ั มคี รดู นตรไี ทย ขมนิ้ ในตบั มโหรี เพลงนกขมน้ิ เถา หลายๆ ทา่ น เชน่ ครพู มุ่ บาปยุ ะวาทย์ ครสู รอ้ ยสำเนยี ง สนธิ์ (เพ่ิม วัฒนวาทิน) และครูสอน วงฆ้อง ครูเทียบ ผลการวจิ ยั คงลายทอง ครูสงัด ยมคุปต์ พระประณีตวรศัพท์ ขุน เพลงนกขม้ินเดิมเป็นอัตราจังหวะสองช้ันอยู่ใน สำเนยี งชนั้ เชงิ เปน็ ตน้ เพลงเรอ่ื งชอื่ เพลงเรอ่ื งนกขมนิ้ หรอื เรอ่ื งแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ นอกจากน้ียังได้มีโอกาสบันทึกเพลงเรื่องนกขมิ้น เป็นเพลงรวมอยู่ในเรื่องเพลงช้าทำนองเก่าสมัยอยุธยา โดยครจู ริ สั อาจณรงคแ์ ละครไู ชยยะ ทางมศี รผี เู้ ชย่ี วชาญดา้ น ประกอบด้วยเพลงช้าคือเพลงนกขมิ้น (นกขมิ้นตัวผู้และ ดนตรไี ทยของสำนกั การสงั คตี กรมศลิ ปากรเปน็ ผถู้ า่ ยทอดให้ นกขมนิ้ ตวั เมยี ) เพลงสองไมม้ อี ยดู่ ว้ ยกนั 2 เพลงคอื เพลง กบั นายอาทติ ย์ ผอ่ นรอ้ นโดยปรากฏรายชอื่ เพลงดงั นี ้ ฝรั่งคู่ เพลงกระต่านเต้น ท่อนที่ 1 เพลงเร็วคือกระต่าย เพลงชา้ มที งั้ หมด 2 เพลงคอื เต้นท่อนท่ี 2 ท่อนที่ 3 ต่อด้วยตอนปลายกระต่ายเต้น เพลงนกขมน้ิ ตวั ผู้ 3 ทอ่ น จบด้วยเพลงลา นกขม้ินตัวเมียจัดเป็นเพลงหน้าพาทย์ เพลงนกขมนิ้ ตวั เมยี 4 ทอ่ น ป ร ะ ก อ บ ก า ร แ ส ด ง เ รี ย ก เ ป็ น ค ำ ห น้ า พ า ท ย์ แ ผ ล ง ว่ า เพลงสองไมม้ ที งั้ หมด 2 เพลงคอื “แม่หม้ายคร่ำครวญ” โดยเฉพาะประกอบการแสดงหนัง เพลงแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 2 ทอ่ น ใหญ่ ตอนบทบาทนางสุวรรณกันยุมาก่อนเวลาจะขึ้นเฝ้า เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 1 ทศกณั ฐ์ เพลงนกขมน้ิ ยงั มที ำนองหนง่ึ ซงึ่ มอี ตั ราจงั หวะชน้ั เพลงเรว็ คอื เดียว ซึ่งเป็นชั้นเดียวของทำนองนกขม้ินตัวผู้ เพลงอัตรา เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2-3 จังหวะนี้แทรกอยู่ในเพลงเร็วของมอญซึ่งมีนักดนตรีไทยนำ ปลายกระตา่ ยเตน้ มาบรรเลงกนั ทว่ั ไป ตอ่ มาครเู พง็ ไดน้ ำเพลงนกขมน้ิ สองชน้ั เพลงลา ทำนองเก่าสมัยอยุธยาน้ี มาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะ ต่อมาผู้วิจัยได้รับเอกสารโน้ตเพลงเรื่องนกขมิ้น สามช้ัน สำหรับบรรเลงร้องส่งเป็นเพลง สามท่อนเฉพาะ จากครูณรงค์ เขียนทองกุล ซึ่งปรากฏช่ือครูพุ่ม บาปุยะ ในท่อนท่ี 3 ครูเพ็งได้แต่ง “ว่าดอก” เพ่ือเปิดโอกาสให้ วาทย์ และครสู รอ้ ยสำเนยี งสนธิ์ (เพม่ิ วฒั นวาทนิ ) เปน็ ผู้ อวดความสามารถในการขับร้อง และบรรเลงเด่ียวของ บอกมอื และสงิ่ ทน่ี า่ สนใจคอื รายชอื่ เพลงนน้ั ตรงกบั รายชอ่ื เคร่ืองดนตรีเพลงอัตราจังหวะสามช้ันน้ีได้รวมเข้าชุด และ เพลงเรื่องนกขม้ินท่ีปรากฏเป็นลายมือเขียนในสมุดบันทึก เป็นเพลงสุดท้ายในตับต้นเพลงฉ่ิง ในปีพ.ศ. 2476 ครู ของสำนกั การสงั คตี โดยปรากฏรายชอื่ เพลงดงั น้ ี มนตรี ตราโมท ได้ทำทำนองอัตราจังหวะสามช้ันของครู เพลงชา้ มที ง้ั หมด 2 เพลงคอื เพง็ ทมี่ กี าร “วา่ ดอก” มาแตง่ ตดั เปน็ อตั ราจงั หวะสองชนั้ เพลงนกขมนิ้ 3 ทอ่ น และช้ันเดียวบรรเลงติดต่อกันเป็นเพลงเถา โดยคงให้มี เพลงแม่หม้ายคร่ำครวญ หรือเพลงนกขม้ินตัว ทำนองและการวา่ ดอกตามแบบของครเู พง็ เมยี 4 ทอ่ น เพลงสองไมม้ ที ง้ั หมด 2 เพลงคอื ววิ ฒั นาการของเพลงนกขมนิ้ เพลงฝรง่ั คู่ 2 ทอ่ น เพลงนกขม้ินสองช้ัน มีอยู่ด้วยกัน 2 เพลง คือ เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 1 เพลงนกขมิ้นตัวผู้ มี 3 ท่อนและนกขม้ินตัวเมีย มี 4
118 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ เพลงเรว็ คอื เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในส่วนของการเรียกชื่อเพลง เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2-3 ซงึ่ จะแสดงใหเ้ หน็ ดงั ตารางท่ี 1 ปลายกระตา่ ยเตน้ ยงั มโี นต้ เพลงเรอื่ งนกขมน้ิ ทค่ี รพู นิ จิ ฉายสวุ รรณ ได้ เพลงลา บันทึกไว้ ครูพินิจเล่าให้ฟังว่าครูได้รับการถ่ายทอดเพลงนี้มา เม่ือวันท่ี 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 ผู้วิจัยได้นำ จากครพู มุ่ บาปยุ ะวาทย์ โดยตรง ปรากฏรายชอ่ื เพลงดงั นี้ เพลงเรอื่ งนกขมนิ้ (โนต้ สากล) ของครณู รงค์ เขยี นทองกลุ เพลงชา้ มที งั้ หมด 4 เพลงคอื ฉบบั นน้ั มาบนั ทกึ เสยี งฆอ้ งวงใหญเ่ ปน็ ทำนองหลกั เพอื่ ให้ เพลงนกขมน้ิ 3 ทอ่ น ผู้เช่ียวชาญจากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้ฟังเพลง เพลงแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 5 ทอ่ น เรื่องนกขม้ินนี้ โดยมีครูจิรัส อาจณรงค์ ศิลปินแห่งชาติ เพลงสรุ นิ ทราหู 3 ทอ่ น สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ครูไชยยะ ทางมีศร ี เพลงจนั ทราหู 3 ทอ่ น ครบู ญุ ตา เขยี นทองกลุ นายพรศกั ดิ์ คำสอ้ ม และนางสาว เพลงสองไมม้ ที ง้ั หมด 2 เพลงคอื ณัฐหทัย พงศ์พิทักษ์ ผู้บันทึกข้อมูลในครั้งนี้ เม่ือ กระตา่ ยชมจนั ทร์ ทอ่ น 1-2 ผู้เช่ียวชาญร่วมกันฟังเพลงจากการบันทึกเสียงเพลงเรื่อง เพลงเรว็ คอื นกขมิ้นแล้ว จึงมีความเห็นพร้องกันว่าเพลงเรื่องนกขมิ้น กระตา่ ยชมจนั ทร์ ทอ่ น 3-5 ประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้เพลงเร็ว ออกเพลงลา กนิ นรรำ 2 ทอ่ น เพลงลา ตารางที่ 1 วเิ คราะหเ์ พลงเรื่องนกขมน้ิ วเิ คราะห์ เพลง สรปุ 1. เพลงชา้ เพลงที่ 1 คอื เพลงนกขมนิ้ ตวั ผ้ ู เพลงเหมอื นกนั ชอื่ เหมอื นกนั เพลงท่ี 2 คอื เพลงแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญหรอื เพลงนกขมน้ิ ตวั เมยี เพลงเหมอื นกนั ชอ่ื เพลงนกขมน้ิ ตวั เมยี 2. เพลง เพลงฝรงั่ ค่ ู เพลงเหมอื นกนั ชอื่ เพลงแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ สองไม้ เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น1 เพลงเหมอื นกนั ชอื่ เหมอื นกนั 3. เพลงเรว็ เพลงกระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2-3 เพลงเหมอื นกนั ชอื่ เหมอื นกนั ปลายกระตา่ ยเตน้ เพลงเหมอื นกนั ชอ่ื เหมอื นกนั 4. เพลงลา เพลงลา เพลงเหมอื นกนั ชอื่ เหมอื นกนั ตารางท่ี 2 แสดงใหเ้ หน็ วิวัฒนาการเพลงเรื่องนกขมิน้ รายชอ่ื เพลงชา้ เพลงสองไม้ เพลงเรว็ เพลงลา เพลงลา ครพู มุ่ 1. นกขมนิ้ ตวั ผู้ 3ทอ่ น 1. ฝรงั่ คู่ มี 2 ทอ่ น 1. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2 บาปยุ ะวาทย์ 2. แมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 1 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 3 ออกปลาย เพลงลา หรอื นกขมนิ้ ตวั เมยี 4 ทอ่ น กระตา่ ยเตน้ ครพู นิ จิ 1. นกขมนิ้ ตวั ผู้ 3 ทอ่ น 1. กระตา่ ยชมจนั ทร์ 1. กระตา่ ยชมจนั ทร์ เพลงลา ฉายสวุ รรณ 2. แมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 4 ทอ่ น ทอ่ น 1-2 ทอ่ น 3-5 3. สรุ นิ ทราหู 3 ทอ่ น 2. กนิ นรรำ 2 ทอ่ น ออกปลาย เพลงลา 4. จนั ทราหู กระตา่ ยเตน้ กนิ นรรำ 2 ทอ่ น ครจู ริ สั 1. นกขมน้ิ ตวั ผู้ 3ทอ่ น 1. แมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 1. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2 อาจณรงค ์ 2. นกขมน้ิ ตวั เมยี 4 ทอ่ น มี 2 ทอ่ น 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 3 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 1 ออกปลายกระตา่ ยเตน้ ครไู ชยยะ 1.นกขมนิ้ ตวั ผู้ 3ทอ่ น 1. แมห่ มา้ ยครำ่ ครวญ 1. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 2 ทางมศี ร ี 2.นกขมน้ิ ตวั เมยี 4 ทอ่ น มี 2 ทอ่ น 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 3 2. กระตา่ ยเตน้ ทอ่ น 1 ออกปลายกระตา่ ยเตน้
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 119 เพลงนกขมิ้นมอญ เพลงมอญและดนตรีมอญ ใครจำได้ หอสมุดสืบสวนกันอยู่ช้านานจึงได้ เร่ิมเข้ามามีบทบาทในสมัยอยุธยา เพลงนกขมิ้นมอญเป็น ความว่านางชิน อาของเจ้าจอมมารดากรม ชื่อที่ได้ลำดับข้ึนภายหลัง แต่เดิมเพลงนกขมิ้นก็มีอยู่แล้ว หมื่นกวีพจน์สุปรีชา อายุได้ 80 เศษจำบท สองสำเนียงมีท้ังเพลงนกขมิ้นเฉยๆ และเพลงนกขมิ้นใน มโหรเี รอ่ื งพระรถเสนได้ตลอดไดใ้ ห้ไปขอจดมา เพลงมอญ แต่ท่ีพบในการแสดงครั้งน้ีคือนำมาใช้ประกอบ พิมพ์ในสมุดเล่มนี้แต่งเพลงท่ีร้องนอกจาก การขับร้องก็ต้ังชื่อใหม่ว่าเพลงนกขม้ินมอญ เพลงนกขม้ิน เพลงต้นเพลงฉ่ิง แล้วจะร้องเพลงใดอีกบ้าง มอญที่ใช้ประกอบการแสดงน่าจะต่างกันด้วยความยาว นางชิน หาทราบไม่ได้ถามครูมโหรีก็ไม่มีผู้ใด เหตทุ ตี่ า่ งกนั เพราะวา่ เราจะเหน็ วา่ ทอ่ นแรกมสี ามจงั หวะจงึ เคยเห็นบทเรื่องพระรถเสนน้ี นอกจาก2 คำท่ี ต้องเติม (อาจจะเติมไว้แล้วหรือไม่ก็ไม่ทราบได้) แต่ก็มี เป็นตำราต้นเพลงฉิ่ง อธิบายกันว่าเพลงตับ เพ่ิมมาอีกหนึ่งจังหวะเท่ากับคำร้องเพื่อจะได้ใช้คำร้องใน ตน้ เพลงฉงิ่ นนั้ มี 4 เพลงดว้ ยกนั คอื 1) ตน้ การแสดงซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ กลอนแปด เพลงนกขมนิ้ มอญ มี เพลงฉิ่ง 2) จระเข้หางยาว 3) ตวงพระธาตุ ลกั ษณะการบรรเลงตา่ งกนั ถา้ มสี รอ้ ยใชบ้ รรเลงในเพลงชดุ 4) เพลงนกขม้ินเหลืองอ่อนได้ความเพียงเท่า ยำ่ เทยี่ ง เพลงนกขมน้ิ มอญจะบรรเลงตอ่ จากเพลงทะแย มี นี้ จึงไม่สามารถจะลงเพลงร้องได้เหมือนกับ 3 ท่อน มีสร้อยท้าย ถ้าใช้ประกอบการแสดงก็จะไม่มี เรื่องอ่ืนที่พิมพ์ต่อไปข้างหน้าจาก “อธิบาย สรอ้ ย จะใชเ้ พยี งทอ่ นเดยี ว โดยนำทอ่ น 1 กบั ทอ่ น 2 ใน ตำนานมโหรี” ของสมเด็จกรมพระยาดำรงรา ยำ่ เทย่ี งมารวมกนั แลว้ ตดั ใหล้ งกบั คำรอ้ ง ชานภุ าพ เพลงนกขมิ้นสามชั้น ครูเพ็งซ่ึงเป็นญาติเรียงพ่ี ววิ ฒั นาการเพลงนกขมนิ้ สามชนั้ เรยี งนอ้ งของพระประดิษฐไ์ พเราะ (มี ดรุ ิยางกรู ) จึงไดน้ ำ เพลงนกขมิ้นตัวผู้ในเพลงเรื่องแม่หม้ายคร่ำครวญซ่ึงเป็น เพลงนกขมนิ้ สองชน้ั ในตบั ตน้ เพลงฉง่ิ อัตราจังหวะสองชั้น มาแต่งข้ึนเป็นอัตราจังหวะสามชั้น บทมโหรเี รอื่ งรถเสน สมยั อยธุ ยา พร้อมกับแต่งทางร้อง และสอดแทรกการร้องดอก และป่ี เปา่ วา่ ดอกตามเสยี งรอ้ งในทอ่ น 3 ขน้ึ เพลงนกขมน้ิ สองชนั้ ในตบั ตน้ เพลงฉงิ่ เพลงนกขม้ินในตับมโหรี ต้นเพลงฉิ่งสองชั้นมีมา บทมโหรเี รอื่ งกากี สมยั อยธุ ยา ต้ังแต่สมัยอยุธยาจัดเป็นเพลงตับมโหรีทำนองเพลงไพเราะ ประกอบด้วยเพลงต้นเพลงฉิ่ง สามเส้า (จระเข้หางยาว) เพลงนกขมน้ิ สามชน้ั โดยครเู พง็ ตวงพระธาตุ นกขม้ิน และธรณีกรรแสงเพลงตับชุดน้ีคุณ ขยายจากนกขมนิ้ ตวั ผใู้ นเพลงเรอื่ งนกขมน้ิ หญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณได้ร่วมกันกับนางเจริญ พาทย โกศลบันทึกแผ่นเสียงเม่ือ พ.ศ. 2471 โดยใช้วงมโหรีวง เพลงนกขมน้ิ สามชนั้ ในตบั ตน้ เพลงฉงิ่ บางขนุ พรหม เพลงตบั ตน้ เพลงฉง่ิ สามชนั้ เรยี กอกี ชอื่ วา่ ตบั โดย พระประดษิ ฐไ์ พเราะ ใชค้ ำรอ้ งจากเรอ่ื งกากคี ำกลอน กากมี ี 4 เพลงดว้ ยกนั คอื ตน้ เพลงฉงิ่ จระเขห้ างยาว ตวง พระธาตุ เพลงนกขม้ินเหลืองอ่อน แต่งโดยพระประดิษฐ์ ของ เจา้ พระยาพระคลงั (หน) ไพเราะ (มี ดุริยางค์กูร) โดยใช้คำร้องจากเร่ืองกากีคำ เพลงเดี่ยวนกขม้ิน ในช่วงท่ีเพลงสามช้ันได้รับ กลอนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นักดนตรีไทยสำนัก ความนยิ ม กม็ คี รดู นตรไี ทยหลายทา่ นนำเพลงนกขมน้ิ สาม พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) มีบท ชั้นมาทำเป็นเพลงเด่ียว เพราะถือเป็นเพลงท่ีนิยมบรรเลง มโหรีเร่ืองรถเสนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังน้ีบทมโหรีเร่ือง ในหมู่เคร่ืองสาย กลุ่มปี่พาทย์ก็บรรเลงบ้างแต่กลุ่มเคร่ือง รถเสนนี้ เปน็ บทแตง่ ครงั้ กรงุ เกา่ ถา่ ยมาจากกาพยห์ อ่ โคลง สายจะมีให้เห็นมากกว่า อาจจะเป็นเพราะเครื่องมือที่ เรื่องรถเสนอันเป็นบทขับไม้เป็นแน่ แต่ก่อนเคยใช้เป็น เหมาะสมมากกว่า ในภายหลังจึงปรากฏทางปี่พาทย์บ้าง ตำราหดั รอ้ งตน้ เพลงฉงิ่ ใชบ้ ทเพยี ง 2 คำคอื แต่ไม่เหมาะสมเท่ากับเครื่องเป่าและเครื่องสี แต่ก็มีจะมีให้ ฝา่ ยนาฏเมรศี รสี วสั ด ์ิ บรรทมเหนอื แทนรตั นป์ จั ถรณ ์ เห็นเหมือนกัน ในส่วนของว่าดอกจะมีหรือไม่ ก็แล้วแต่ผู้ ดาวเดอื นเลอ่ื นลบั ยคุ นั ธร จะใกลแ้ สงทนิ กรอโณทยั ฯ คิดทาง เพราะเพลงเด่ียวนกขมิ้นน้ันเป็นเพลงเด่ียวท่ีสั้น เมอ่ื มกี ารเตมิ วา่ ดอกเขา้ ไปกจ็ ะไดค้ วามยาวขน้ึ มา ใช้บทร้องกันเพียงเท่านี้ บทต่อนั้นจึงเลยสูญ ไปเสียคราวหน่ึง หนังสือก็ไม่มีหาผู้จำก็ไม่มี
120 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ เพลงเด่ียวนกขมิ้นในปัจจุบันจะนิยมบรรเลงมาก วรรณเขจร ถา่ ยทอดใหค้ รเู บญ็ จรงค์ ในกลุ่มเครื่องสายและเคร่ืองเป่าแต่ในวงป่ีพาทย์ไม่ค่อยมี ธนโกเศศ ทางครูหลวงไพเราะ บรรเลงใหเ้ หน็ บอ่ ยนกั ทางทป่ี รากฏมดี งั นี้ เสยี งซอถ่ายทอดใหค้ รจู ีรพล เพชร ระนาดเอก มี 3 ท่อนไม่มีการว่าดอก เช่น สม เปน็ ตน้ ท า ง ค รู ห ล ว ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ์ ไ พ เ ร า ะ จะเข ้ มี 3 ท่อน มีเที่ยวหวานและเที่ยว ถ่ายทอดให้ครูไชยยะ ทางมีศรี เก็บ มีการว่าดอก เช่น ทางครู ทางดรุ ยิ ประณตี ถา่ ยทอดใหค้ รสู บื นภิ า อภยั วงศ์ ถา่ ยทอดใหค้ รสู ทิ ธิ ศกั ด์ิ ดรุ ยิ ประณตี เปน็ ตน้ ศกั ด์ิ จรรยาวฒุ ิ เปน็ ตน้ ระนาดทมุ้ มี 3 ทอ่ น โดยทอ่ นท่ี 3 มกี ารวา่ ดอก เช่น ทางครูพุ่ม บาปุยะ เพลงนกขม้ินเถา เมื่อ พ.ศ. 2476 นายมนตรี วาทย์ ถา่ ยทอดใหก้ บั ครพู รงิ้ กาญ ตราโมท ได้แต่งบทร้องเพลงนกขม้ินอัตรา 2 ช้ันและชั้น จนผลนิ และครพู รง้ิ ถา่ ยทอดใหก้ บั เดียวข้ึน และนำบทร้องและว่าดอกตามแนวอัตรา 3 ชั้น ครูเผชิญ กองโชคครูไพฑูรย์ เฉย ของครเู พง็ เพอ่ื ใชร้ อ้ งรวมกนั ใหค้ รบเปน็ เพลงเถา สว่ นทาง เจริญและครูกิตติพงษ์ มีป้อม ดนตรีอัตรา 2 ช้ัน ใช้ทำนองเพลงเก่า และทางดนตรีช้ัน (หลง) ถ่ายทอดให้กับ ครูดุษฎี มี เดียวนำมาจากทำนองในวงป่ีพาทย์มอญ (เพลงย่ำเท่ียง) ปอ้ ม เปน็ ตน้ เพลงนกขมิ้นเถาเป็นเพลงท่ีบรรเลงและขับร้อง ติดต่อกัน ฆอ้ งวงใหญ ่ มี 3 ท่อน ไม่มีการว่าดอก เช่น (ไม่มีร้องก็ได้) โดยเริ่มต้นจากอัตราจังหวะสามช้ัน ตาม ทางครสู อน วงฆอ้ ง โดยครทู รงยศ ด้วยสองชั้นและชั้นเดียว เพลงเถามีกำเนิดมาจากเพลง แก้วดี (หลานครูสอน) ครูหลวง เร่ือง คือแทนที่จะบรรเลงเพลงช้า สองไม้ เพลงเร็วติดต่อ บำรุง จิตเจริญ ถ่ายทอดให้กับครู กันหลายๆ เพลง ก็นำเอาเพลงเดียวกันมาแต่งในรูปแบบ สงบศกึ ธรรมวหิ าร เปน็ ตน้ สามช้ัน สองชั้น และชั้นเดียว หรือนำเอาเพลงสองชั้นมา ฆอ้ งวงเลก็ มี 3 ทอ่ น มกี ารวา่ ดอก เชน่ ทาง ขยายและย่อเพื่อให้บรรเลงติดต่อกันได้ ต้ังแต่ต้นจนจบ ครูเพชร จรรย์นาฏย์ ถ่ายทอดให้ สมบูรณ์ในตัวเอง อาจจะจบ โรย (ค่อยๆ ช้า) หรือจบ ครูไพรัตน์ จรรย์นาฏย ์ ทางครู แบบออกลกู หมด (เรว็ มากแลว้ หยดุ ทนั ท)ี กไ็ ดแ้ ตถ่ า้ มกี าร ฉลาก โพธส์ิ ามตน้ เปน็ ตน้ บรรเลงต่อท้ายด้วยเพลงหางเครื่องท่ีเข้าชุดกัน มักจบด้วย ป ี่ มี 3 ทอ่ น มกี ารวา่ ดอก เชน่ ทาง ลกู หมดเสมอ ครูเทียบ คงลายทองถ่ายทอดให้ ววิ ฒั นาการเพลงนกขมนิ้ เถา กับครูป๊ีบ คงลายทอง ทางครูจำ เพลงนกขมนิ้ ทางรอ้ งนกขมนิ้ สามชน้ั เนยี ร ศรไี ทยพนั ธ์ุ เปน็ ตน้ สามชน้ั ของครเู พง็ ของครเู พง็ ขลยุ่ มี 3 ทอ่ น มกี ารวา่ ดอก เชน่ ทาง ครูเทียบ คงลายทองถ่ายทอดให้ กบั ครปู บ๊ี คงลายทอง ทางครหู มน่ื เพลงนกขมนิ้ ตวั ผ ู้ ทางรอ้ งนกขมน้ิ สองชนั้ ตันตริการเจนจิตถ่ายทอดให้กับครู สองชนั้ ของเกา่ ครมู นตรี สวุ ทิ ย์ แกว้ กระมล เปน็ ตน้ เพลงนกขมนิ้ มอญ ทางรอ้ งนกขมนิ้ ชน้ั เดยี ว ซอดว้ ง มี 3 ท่อน มีเที่ยวหวานและเที่ยว ชน้ั เดยี ว ครมู นตร ี เก็บ มีการว่าดอก เช่น ทางครู บทบาทของเพลงนกขมน้ิ ปลั่ง วรรณเขจรถ่ายทอดให้ครู วงจรวิถีชีวิตของคนไทยท่ีเริ่มต้ังแต่เกิดจนกระท่ัง เบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ ทางครูหลวง ตาย ได้แก่ การโกนจุก อุปสมบท สมรส งานศพ ย่อม ไพเราะเสียงซอถ่ายทอดให้ ครูจีร ทำให้ดนตรีไทยยังคงถ่ายทอดสืบต่อกัน เพลงนกขม้ินเป็น พล เพชรสม เปน็ ตน้ เพลงพิเศษอย่างย่ิงเพราะมีโอกาสในการรับใช้สังคมหลาก ซออ ู้ มี 3 ท่อน มีเที่ยวหวานและเท่ียว หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลก็ได้หรือเป็นงาน เก็บ มีการว่าดอก เช่น ทางครูไปล่
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 121 อวมงคลก็ได้ บทบาทของนกขม้ินที่รับใช้สังคมนั้นเรายังก็ เนื่องในงานอวมงคล เช่น เพลงนกขมิ้นมอญใช้สำหรับ คงแบ่งเป็น 3 ส่วน คือพิธีกรรม การแสดงและขับกล่อม การแสดงรำสามถาด เพลงนกขมนิ้ ชน้ั เดยี วในเพลงเถาหรอื แต่ด้วยการเปล่ียนแปลงของสังคมและด้วยเวลาทำให้เพลง เพลงนกขมนิ้ มอญใชส้ ำหรบั รำโยคถี วายไฟ เปน็ ตน้ นกขม้ินได้คลายบทบาทลง เป็นเพราะเกิดเพลงใหม่ๆ เข้า ตวั อยา่ งเพลงนกขมนิ้ สำหรบั การแสดง ดงั น้ ี มาทมี่ คี วามเหมาะสมหรอื อะไรกแ็ ลว้ แต่ หรอื โอกาสในการ เพลงเร่ืองนกขม้ิน ในโบราณก็ใช้บรรเลงประกอบ บรรเลงนั้นเร่ิมน้อยลงทำให้เพลงนกขมิ้นค่อยๆ ลดหน้าที่ การแสดงหนังใหญ่ชุดหนุมานอาสา ปัจจุบันหาชมยากที ในการรับใช้สังคมน้อยลง ความจริงแล้วเพลงนกขม้ินยังมี เดียว การแสดงหนังใหญ่ชุดหนุมานอาสา ตอนท่ีทศกัณฐ์ อยเู่ พยี งแตไ่ มม่ กี ารนำมาใชเ้ ทา่ นนั้ ยกนางสุวรรณกันยุมาชายาอินทรชิตให้เป็นภริยาหนุมาน เพลงนกขม้ินสำหรับพิธีกรรม ทั้งนี้เพลงที่ใช้ นั้น เวลาที่นางกันยุมาเข้าเฝ้า ซึ่งจะต้องใช้หน้าพาทย์ บรรเลงประกอบพิธีกรรมของไทยนั้นไม่ว่าจะเป็นแบบพระ เพลงช้าผู้พากย์เจรจาจะบอกหน้าพาทย์ว่า “แม่หม้าย ราชพธิ หี รอื พธิ ปี ระชาชนทวั่ ไปตา่ งใชเ้ พลงแบบเดยี วกนั โดย คร่ำครวญ” ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงแม่หม้ายคร่ำครวญ ซ่ึงมี ส่วนใหญ่จะใช้วงปี่พาทย์และเลือกบรรเลงเพลงประเภท นกขม้ินตัวผู้และนกขมิ้นตัวเมียจะเลือกเพลงช้าอื่นๆ เช่น เพลงเรื่องซ่ึงหมายถึงการนำเอาเพลงเกร็ดหลายๆ เพลงที่ เรอ่ื งสรอ้ ยสน เรอื่ งเตา่ กนิ ผกั บงุ้ มาบรรเลงไมไ่ ด ้ นำมารวมกันเป็นชุดส่วนใหญ่จะใช้เพลง 2 ชั้นแต่เน้นไปท่ี เพลงนกขม้ินสองช้ัน ได้ปรากฏในบทโขนเรื่อง การบรรเลง และมักจะใช้ในเรื่องของการบรรเลงประกอบ สดี าลยุ ไฟและปราบบรรลยั กลั ป์ จดั เฉพาะ 6 ฉาก ในสว่ น พิธีกรรมซ่ึงแบ่งตามพิธีกรรมที่จะนำไปบรรเลง เช่น เพลง ของฉากท่ี 4 ตำหนกั นางกาลอคั คี ในนครลงกา เร่ืองทำขวัญซ่ึงเป็นเพลงเรื่องที่สำคัญมากเพลงหนึ่งใช้ทั้ง รอ้ งเพลงนกขมน้ิ การทำขวัญนาค ส่วนเพลงเรื่องที่มักนำมาบรรเลงประกอบ เมอื่ นน้ั งานบุญท่ัวๆ ไป ช่วงก่อนพระมาถึงก็มักจะบรรเลงเพลง นางกาลอคั คเี สนห่ า เร่ือง เพลงเรื่องท่ีนิยมเลือกมาบรรเลง เช่น เพลงเร่ือง เนาในมนเทยี รสอ่ งโสภา (บรรลยั กลั ปอ์ อก) พระรามเดินดง เพลงเรื่องนกขมิ้น เป็นต้น เพลงเรื่องนั้น แลเหน็ องคอ์ สรุ าโอรส ไม่มีการขับร้องใช้บรรเลงเพียงอย่างเดียว การเรียกชื่อเพลง ไปกมุ กรลกู ยาเขา้ มานงั่ เร่ืองนั้นเรียกเหมือนกับการเรียกช่ือตับเพลงคือเรียกตามช่ือ บนสวุ รรณบลั ลงั กอ์ ลงกต เพลงในอนั ดบั แรก เชน่ เพลงเรอื่ งนกขมน้ิ เพลงเรอ่ื งจนี แส สวมกอดบรรลยั กลั ปร์ นั ทด หรืออาจจะเรียกตามพิธีกรรมท่ีใช้บรรเลงก็ได้ในส่วนของ พลางกำสรดโศกาอาลยั เพลงเรอ่ื งนถ้ี อื เปน็ เพลงชนดิ พเิ ศษสว่ นมากเปน็ อตั รา 2 ชน้ั เพลงฝรั่งคู่ ยังได้ปรากฏบทร้องในฉากท่ี 2 ละคร แต่ในกรณีที่เป็นวงเคร่ืองสายไทย ก็มักเลือกเพลง เร่ืองมโนราห์ ที่ตำหนักนางมโนราห์ นครปัญจาลย์ มีการ ตับมโหรีหรือเพลงเถามาบรรเลงเป็นเหตุผลเดียวกับเพลง รอ้ งเพลงฝรง่ั คู่ บรรเลงเพลงแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญดงั น้ี เร่ือง เป็นการสะดวกเม่ือต้องบรรเลงเป็นเวลานาน ยกเว้น แตใ่ นจติ ครนุ่ คดิ ถงึ ไกรลาศ ในวิถชี ีวิตของสงั คมเมอื งยคุ ใหม่ทีม่ วี ถิ ชี ีวิตแบบสำเร็จรปู มาก แรมนริ าศขนุ่ ขอ้ งใหห้ มองหมาง ยิ่งข้ึน กิจกรรมของชีวิตทุกๆ กิจกรรม ถือเอาง่ายๆ สั้นๆ โอช้ นกชนนกี บั พนี่ าง และฉาบฉวย เช่น งานบวช งานศพ ท่ีจัดเป็นพิธีเพื่อให้ ตอ้ งเรศิ รา้ งโศกคะนงึ ถงึ ลกู รกั เสรจ็ สน้ิ ไป โดยไมไ่ ดค้ ำนงึ ความศกั ดส์ิ ทิ ธข์ิ องเพลงไทย อนจิ จาเวรสรา้ งแตป่ างกอ่ น เพลงนกขมิ้นในการแสดง เพลงนกขมิ้นเป็นอีก มาตามรอนคกุ เขน็ เหน็ ประจกั ษ์ เพลงหนึ่งที่สามารถบรรเลงได้ทั้งงานมงคลและงาน ตอ้ งจากเมอื งจากญาตอิ นาถนกั อวมงคล เพลงนกขม้ินท่ีบรรเลงสำหรับงานมงคลนั้น เช่น นางกนั แสงซบพกั ตรล์ งโศกี เพลงเร่ืองนกขม้ิน (แม่หม้ายคร่ำครวญ) ที่บรรเลงสำหรับ ในส่วนนี้ของเดิมไม่มีการรับหรือการบรรเลงใดๆ หนังใหญ่ เพลงนกขม้ินสองชั้นและเพลงสองไม้ในเพลง ทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันอาจารย์ไชยยะ ทางมีศรีได้เพิ่มทาง เรื่องนกขม้ินใช้สำหรับละครเร่ืองมโนราห์ และละคร บรรเลงโดยใช้เพลงฝร่ังคู่ (สองไม้) ในเพลงเร่ืองนกขม้ิน ดึกดำบรรพ์เรื่องคาวี เพลงนกขม้ินมอญใช้สำหรับละคร (ของเดิม) เข้าไป ต่อมาอาจารย์ป๊ีบ คงลายทองเป่าขลุ่ย พันทางเร่ืองผู้ชนะสิบทิศ เพลงนกขมิ้นมอญใช้สำหรับการ เพลงนกขม้ินสองชั้น (ตัวผู้) ท่อนท่ี1ในฉากที่1ละครเร่ือง รำ 12 ทา่ ของมอญ และในสว่ นของเพลงนกขมนิ้ ทบี่ รรเลง
122 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ มโนราหท์ สี่ ระนำ้ นางมโนราห์ (กนิ รรี อ่ น) ร้องเพลงมอญชะเออะ เพลงมอญมอบเรือ เพลงแม่หม้ายคร่ำครวญ ปรากฏในการแสดง รอ้ งเพลงมา่ นเรงิ เปน็ ตน้ ละครดึกดำบรรพ์ เร่ืองคาวี ตอนที่ 3 หึงฉากในตำหนักที่ เนอื้ รอ้ งเพลงนกขมน้ิ มอญ 6 ในหนังสือชุมนุมบทละครและบทขับร้อง พระนิพนธ์ เสยี งโคน อนั แยบยล กลศกึ ทนี่ กึ คาด สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ยงั มอิ าจ ทลู ได้ ในกลเลห่ ์ พมิ พเ์ มอ่ื พ.ศ. 2514 หนา้ ท่ี 78 ดงั ตวั อยา่ ง แตใ่ ชว่ า่ ประมาท คาดคะเน รอ้ งลำแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญรบั ปพี่ าทย ์ คดิ เบยี่ งบา่ ย ถา่ ยเท ไวท้ กุ ทาง จนั ท ์ โอพ้ ระรม่ โพธทิ์ องของนอ้ งเอย๋ จะมใิ ห้ ระคายเคอื ง เบอ้ื งบาทา พระคณุ เคยทกุ เชา้ คำ่ ขอประทาน ทหารกลา้ พายาตรยา่ ง เสดจ็ สวรรคาลยั ใจระกำ สกั หมน่ื หนงึ่ ทรงไปทำ กลอำพลาง มหิ นำซำ้ เจบ็ ใจใหไ้ ดอ้ าย ลวงลา้ ง รปิ ู หมไู่ พร ี รอ้ งลำแมห่ มา้ ยครำ่ ครวญรบั ปพี่ าทย์ เพลงนกขมิ้นมอญรำมอญ 12 ท่า รำมอญเป็น จนั ท ์ ตวั เราเฉาโฉดจะโทษใคร นาฏศิลป์ท่ีใช้ทั้งในงานมงคล งานสมโภชต่างๆ ตลอดจน เจบ็ อกชำ้ ใจไมร่ หู้ าย งานศพ โดยเฉพาะศพพระ ชาวบา้ นจะนยิ ม รำถวายหนา้ เพราะเสยี รอู้ เี ฒา่ เจา้ อบุ าย ศพ ถือว่าได้บุญ คำว่า รำมอญ ที่เรียกกันในภาษาไทย ถงึ มว้ ยมอดไมเ่ สยี ดายชวี าลยั น้ัน ภาษามอญเรียกว่า “ปัวฮะเป้ิน” ซึ่งแปลตามศัพท์ ก็ ปี่พาทย์ทำเพลงโอด อาจารย์ไชยยะ ทางมีศรีได้ คือการแสดงหรืองาน (รำ) ตะโพน เพราะผู้รำจะอาศัย ทางบรรเลงโอดเพลงแม่หม้ายคร่ำครวญ (สองไม้) ใน จังหวะของตะโพนมอญเป็นหลัก ท่ารำเป็นลักษณะการรำ เพลงเรอื่ งนกขมน้ิ จงึ เปน็ บทบาททสี่ ำคญั อกี ประการหนง่ึ ของชนชาตมิ อญโดยเฉพาะ ดง่ั เดมิ นนั้ มที า่ รำอยู่ 10 ทา่ เพลงนกขมิ้นมอญในละครพันทาง ปรากฏใน หรือ 10 เพลง แต่ในปัจจุบันนี้ รำมอญบางแห่งมีการรำ ละครพันทางเป็นละครแบบผสมผู้ให้กำเนิดละครพันทาง มากกว่า 10 ท่า โดยประดิษฐ์ท่ารำอื่นๆ เพ่ิมเติมเข้าไป คือ เจ้าพระยามหินทร์ศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ท่าน ดว้ ย จนบางคนเรยี กวา่ รำ12 ภาษา เพราะเขา้ ใจผดิ วา่ การ เปน็ เจา้ ของคณะละครมาตง้ั แตส่ มยั รชั กาลท่ี 4 แตเ่ พง่ิ มา รำมี 12 ท่า การรำมอญของตำบลเกาะเกร็ด นิยมรำ12 เป็นหลักฐานมั่นคงในรัชกาลท่ี 5 ซ่ึงแต่เดิมก็แสดงละคร ท่า (เพลง) โดยการแทรกเพลงไทยเข้าไปด้วย 2 เพลง นอก ละครใน ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 5 ท่านไปยุโรปจึง คือเพลงที่ 8 กับเพลงสุดท้าย เพลงที่ 8 เป็นเพลงไทย นำแบบละครยุโรปมาปรับปรุงละครนอกของท่านให้มี สำเนยี งมอญที่ เรยี กวา่ เพลงมอญกระ (มอญคละ) สว่ น แนวทางที่แปลกออกไปละครของท่านได้รับความนิยม เพลงสดุ ทา้ ยเปน็ เพลงนกขมนิ้ มากในปลายรัชกาลท่ี 5 และสิ่งที่ท่านได้สร้างให้เกิดใน เพลงนกขมิ้นมอญ เป็นเพลงเร็วบรรเลงเป็นเพลง วงการละครของไทย สุดท้ายของการรำโยคีถวายไฟ เป็นการรำหน้าไฟในงาน บทละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบ ศพ โดยในส่วนของเพลงเร็วใช้เพลงนกขม้ินมอญ เช่น ตอนกำแพงหงสาวดี จัดแสดงในงานเผยแพร่ให้ประชาชน เดยี วกบั เพลงทใ่ี ชใ้ นยำ่ เทย่ี ง ชม ณ โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี เพลงนกขมน้ิ มอญ (โปน้ ตะโกน) ประกอบการรำ เมอ่ื วนั เสารท์ ่ี 6, 13, 20 ธนั วาคม 2551 เวลา 14.00 น. สามถาดเป็นการรำหน้าศพของชาวมอญ โดยเช่ือว่า ดวง อาจารย์เสรี หวังในธรรมถอดความเป็นกลอนบทละคร วิญญาณของผู้ตายน้ันยังวนเวียนอยู่บริเวณใกล้ๆ ลูก กญั ญา โรหติ าจล, สมชาย ทบั พร บรรจทุ างเพลง ปรากฏ หลาน หรืออาจต้องการส่ังเสียลูกหลาน ตลอดจนสถานท่ี เพลงนกขมนิ้ มอญในฉากทอ้ งพระโรงกรงุ หงสาวดี พระเจา้ ทจี่ ะทำการเผาศพนนั้ มผี เี จา้ ทเ่ี จา้ ทางประจำอยู่ จงึ จดั การ สการะวุฒพีประทับพระราชอาสน์ อุปราชสอพินยา เสียง รำ 3 ถาดเพ่ือบอกกล่าว และขอขมาผีเจ้าท่ีก่อนจะนำศพ โคนสุคญี สอปันยาย ไขลู และทหารมอญ 10 คน ข้ึนเผา การจัดงานศพที่มีการรำ 3 ถาด เช่น นี้ จะจัด หมอบเฝา้ อยกู่ บั ท่ ี ประมาณ 2-3 วัน โดยเร่ิมต้ังแต่วันแรกของงานศพ เวลา เพลงพญาลำพอง เพลงชอ่ พมุ เรยี ง รอ้ งเพลงนก ประมาณ 16.00 น. งานศพที่มีการรำ เช่น น้ี มีเง่ือนไข ขมน้ิ มอญ อยู่ 3 ลักษณะคือ 1) ศพพระ และมีการชักยอดปราสาท 2) ศพแหง้ คอื ตอ้ งเกบ็ ไวข้ า้ มปหี รอื หลายปใี หศ้ พแหง้ เสยี
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 123 ก่อน 3) ศพท่ีบรรจุโลงมอญ (อะลาบ๊อก) การรำมีองค์ กล่อมส่วนใหญ่ในโบราณเพลงตับมโหรีจะบรรเลงให้เจ้า ประกอบคอื นายฟังเพ่ือเป็นการพักผ่อนหรือเป็นการกล่อมให้นอนซึ่ง เพลงนกขม้ินในการขับกล่อม ในสมัยโบราณ บทบาทดังกล่าวนั้นค่อยๆ ลดลง แต่ในปัจจุบันนี้การ เพลงตับมโหรี มีหน้าที่บรรเลงขับกล่อมให้เจ้านายฟังเพ่ือ บรรเลงในส่วนของการขับกล่อมก็หมายถึงการบรรเลงเพ่ือ เป็นการพักผ่อนหรือเป็นการกล่อมให้นอนหลับ ซึ่ง การฟงั ไมม่ กี ารแสดงเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งสว่ นใหญจ่ ะเปน็ วงทมี่ ี บทบาทดังกล่าวน้ันค่อยๆ ลดลงแต่ในปัจจุบันน้ีการ เสยี งเบา บรรเลงในส่วนของการขับกล่อมน้ันหมายถึงการบรรเลง เพลงเดี่ยวนกขมิ้น เป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะสาม เพื่อการฟัง ไม่มีการแสดงเข้ามาเก่ียวข้องส่วนใหญ่จะใช้วง ช้ันใช้หน้าทับปรบไก่ มี 3 ท่อน ท่อนที่ 1 มีความยาว บรรเลงทม่ี เี สยี งเบา ไมด่ งั จนเกนิ ไป เชน่ วงเครอื่ งสายไทย เท่ากบั 3 จังหวะหน้าทบั ทอ่ นท่ี 2 มีความยาวเทา่ กบั 2 หรือวงมโหรี เป็นต้น มักจะพบในงานแต่งงาน งานบวช จังหวะหน้าทับ ท่อนที่ 3 มีความยาวเท่ากัน 2 จังหวะ หรอื งานมงคลทว่ั ๆ ไปสว่ นเพลงทนี่ ยิ มนำมาบรรเลง ไดแ้ ก ่ หน้าทับ มีการว่าดอกตามเสียงร้องในท่อนท่ี3 ทำให้ เพลงเกรด็ เพลงตบั มโหรหี รอื เพลงเถา ไพเราะยิ่งข้ึน เพลงเด่ียวนกขม้ินสามชั้นอาจารย์เบ็ญจรงค์ สรปุ / ขอ้ เสนอแนะ ธนโกเศศ เป็นลูกศิษย์ของครูปล่ังโดยต่อเพลงจากครูปล่ัง สรุปได้ว่าเพลงนกขม้ินมีการเปล่ียนแปลงตาม วรรณเขจรเพียงท่านเดียวเพลงเดี่ยวนกขมิ้นถือเป็นเพลง ลำดับข้ัน จากเพลงช้าเรื่องนกขม้ินถ้าความเป็นนกขม้ิน เดย่ี วเพลงแรกทอี่ าจารยเ์ บญ็ จรงค์ ไดร้ บั จากครปู ลง่ั วรรณ ของเดิมจะรวมถึงการพัฒนาการของเพลงท่ีมีการว่าดอก เขจร การศึกษาและวิเคราะห์เพลงนกขม้ิน 3 ช้ันพบว่า และท่ีเรียกกันว่านกขมิ้นตัวผู้และนกขม้ินตัวเมียน้ันยังไม่มี เพลงนกขม้ิน 3 ชั้นมีการใช้กลุ่มเสียงในบันไดเสียงโด ใครสามารถตอบได้ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักดนตรี (ด1, ด2, ด3) และบนั ไดเสยี งซอล (ซ1,ซ2,ซ3,ซ6) ไทยว่า ทั้งสองเพลงน้ีบรรจุอยู่ในเพลงเรื่องเร่ืองหน่ึงท่ีชื่อ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ คือการท่ีผู้วิจัยเลือกที่จะ ว่าเพลงเรื่องนกขม้ินหรือแม่หม้ายคร่ำครวญ และเพลงนก ศึกษาบทเพลงนกขม้ินน้ันเป็นเพราะว่าเพลงนกขมิ้นเป็น ขมน้ิ ตวั ผกู้ ถ็ อื วา่ เปน็ ทมี่ าของเพลงนกขมน้ิ อนื่ ๆ เชน่ เพลง เพลงที่มีหลายบริบทและเป็นเพลงที่ทุกๆ คนรู้จัก แต่ไม่ นกขม้ิน (เพลงสุดท้าย) ในเพลงตับมโหรี เพลงนกขม้ิน อาจปฏิเสธได้ว่าในความรู้จักนั้นยังไม่ลึกซ้ึงเพียงพอและ เถา เพลงเดี่ยวนกขม้ิน และเพลงนกขม้ินมอญ บทบาท เมอ่ื ผวู้ จิ ยั ไดล้ งมอื คน้ ควา้ และทำงานวจิ ยั ในครง้ั จงึ ทำใหเ้ กดิ ของเพลงนกขม้ินต่อการรับใช้สังคมแบ่งออกเป็น 3 ค ว า ม รู้ สึ ก อ ย่ า ง ห น่ึ ง คื อ น่ า จ ะ มี ก า ร ท ำ วิ จั ย เ กี่ ย ว กั บ ประเภท 1) เพลงนกขมน้ิ สำหรบั พธิ กี รรม ทงั้ นเ้ี พลงทใ่ี ช้ บทเพลงอีกหลายๆ บทเพลงท้ังในเรื่องประวัติ บทบาท บรรเลงประกอบพิธีกรรมของไทยน้ันไม่ว่าจะเป็นแบบพระ และโน้ตเพลงเพ่ือเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ก่อนท่ีเพลงเหล่า ราชพิธีหรือพิธีประชาชนทั่วไปต่างใช้เพลงแบบเดียวกัน นนั้ จะเรมิ่ สญู หายไปตามเวลา โดยสว่ นใหญจ่ ะใชว้ งปพี่ าทยแ์ ละเลอื กบรรเลงเพลงประเภท เพลงเรื่อง เพ่ือความสะดวกในการเลือกเพลงมาบรรเลง ติดต่อกันเม่ือต้องบรรเลงเป็นเวลานาน 2) เพลงนกขม้ิน ในการแสดง เพลงนกขมิ้นเป็นอีกเพลงหนึ่งที่สามารถ บรรเลงได้ท้ังงานมงคลและงานอวมงคลเพลงนกขม้ินที่ บรรเลงสำหรับงานมงคลน้ัน เช่น เพลงเร่ืองนกขมิ้น (แม่หม้ายคร่ำครวญ) ท่ีบรรเลงสำหรับหนังใหญ่ เพลงนก ขม้ินสองช้ันและเพลงสองไม้ในเพลงเรื่องนกขม้ินใช้สำหรับ ละครเรื่องมโนราห์ และละครดึกดำบรรพ์เร่ืองคาวี เพลง นกขมิ้นมอญใช้สำหรับละครพันทางเร่ืองผู้ชนะสิบทิศ เพลงนกขมิ้นมอญใช้สำหรับการรำ 12 ท่า ของมอญและ ในส่วนของเพลงนกขม้ินท่ีบรรเลงเนื่องในงานอวมงคล เชน่ เพลงนกขมน้ิ มอญใชส้ ำหรบั การแสดงรำสามถาดเพลง นกขมิ้นช้ันเดียวในเพลงเถาหรือเพลงนกขมิ้นมอญใช้ สำหรับรำโยคีถวายไฟ เป็นต้น 3) เพลงนกขม้ินในการขับ
124 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ The word of Nok Kamin’s song in 3rd ratio Ayutdhaya period. It combined 4 songs; there are Jal nok kamin reung aong “Pleang Char” “Pleang Song Mai” “Pleang Raew” kam long raew jal ja none thi rang nai and finally “Pleang La”. On that occasion, the None nai kor none dai researcher would like to be a good turn from the sum tum pum mai thi kaey none director of the office of the Music and Drama for Lom pat ma aorn aorn some documentaries from Kru Boonta jal kor rone pai tam lom aey kreanthongkun. The documentaries are the Dok aey dok kajoin manuscript that show the lists of the names of the Nok Kamin reung aong teller who taught in each Thai instrument in Nok kam raew ja none thi nai aey Kamin’s song. There are a lot of Thai classical “War Dok” of Nok Kamin’s song is in 3rd teachers such as Kru Phum Baphuyawart, Kru ratio is called “Dok aey dok kajoin Nok Kamin Soisamneangson (Pherm Wattanawathin), Kru reung aong kam raew ja none thi nai aey”. It is Sorn Wongkhong, Kru Theb Khonglaithong, Kru similar for Thai classical music and Thai listener. Sakngad Yamakub, Phrapranedworasab, In the part of the rhythm of the music, we can Khunsamneangchancheng. Moreover, there is a call it which is “Nok kamin towa phu” and “Nok chance to note the Pleang Rung Nok Kamin while kamin towa mea”. This song has an important Kru Jirat Ajnarong and Kru Chaiya Tangmeesri, the thing. The first of all, it was multiplied into 3rd experts in Thai Classical music of the office of the ratio and it was added “War Dok”. Moreover, the Music and Drama from the Fine Arts Department, Nok kamin in 3rd ratio was made for the solo to who taught to Mr. Adhit Phonrhon. These are the show musician’s high skill. Someone doubts how lists of the names of Pleang Rung Nok kamin: to come between “Nok kamin towa phu” and Pleang Char combines 2 songs are Pleang “Nok kamin towa mea”. And the next period, the Nok kamin Towa Phus’ 3 pieces and Pleang Nok song is played for the final of Tab Ton Pleng Kamin Towa Meas’ 4 pieces. Ching, a basic song for the stringed instruments Pleang Song Mai combines are Pleang and singing. The last but none the least, it is Mae mai Krum Kruns’ 2 pieces and Pleang Kra Naphad’s song. So this song is interesting to Tai Ten’s first piece. investigate. Pleang Raew are Pleang Kra Tai Tens’ second-third piece and final Kra Tai Ten. Developments of Nok Kamin’s song Pleang La. Nok Kamin’s song in 2nd ratio Subsequently, the researcher receives the It combines 2 songs; the fist of all is Nok documentaries of Pleang Rung Nok Kamin from Kamin towa phu (male bird). There are 3 pieces Kru Narong Keangthongkul which appeared the of the song. The second is Nok Kamin towa mea names of Kru Phum Baphuyawart and Kru (female bird). There are 4 pieces of the song. Soisamneangson (Pherm Wattanawathin) who This song has founded in Ayutdhaya period. were the teller. Especially, the lists of the songs However, we can not know who was invented. were similar with the lists of the songs’ Nok Pleang Rung Nok Kamin (sets of Nok Kamin that appeared in the manuscripts of the Kamin’s song) office of the Music and Drama. So, there are the Pleang Rung Nok Kamin or Pleag Rung lists of the names of Pleang Rung Nok kamin: Mae Mai Krum Krun is the composed song in Pleang Char composes 2 songs are Pleang “Rung Char”. This song was an ancient style in Nok Kamins’ 3 pieces, Pleang Mae Mai krum Krun or Pleang Nok Kamin Towa Mea 4 pieces.
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 125 Pleang Son Mai composes 2 songs are Pleang Song Mai combines 2 songs are Pleang FarangKu’s 2 pieces, Pleang Ka Tai Tens’ Kra Tai Chom Chan first-second piece. fist piece. Pleang Raew is Kra Tai Chom Chan third Pleang Raew is Pleang Ka Tai Ten’s - fifth piece and Kinnonerams’ 2 pieces. second-third piece and final Kra Tai Ten. Pleang La Pleang La When the Morn’s song and Morn classical On 23 March 2009, the researcher brought song were standing on Ayutdhaya period, Pleang Pleng Nok Kamin (โน้ตสากล) of Kru Narong Nok Kamin Morn was finally named. At first, Keanthongkul to record the main rhythm with Pleang Nok Kamin had 2 intonations; these were khong (Thai instrument). There are expert from Pleang Nok Kamin and Nok Kamin in Nok the office of the Music and Drama such as Kru Kamin Morn. But the song for the show was for Jirus Agnarong, the national artist in Thai the singing. In the new name was Nok Kamin classical music, Kru Chaiya Thangmeesri, Kru Morn. Moreover, this song for the show may be Boonta Keanthongkul, Mr. Pornsak Kumsorm and different in the length. In the first part of the Ms. Natahruthai Phongpithak who are the recorder song have 3 rhythms so we will add for the one in this time. When the experts have listened rhythm (It might be already added or cannot together from the record the Nok Kamin’s song know before). so they conclude that the Nok Kamin’s song However there is the adding the rhythm composes 3 songs such as Pleang Char, Pleang equal with the singing for using the verse in the Song Mai and Pleang La. However, it is different performance. In the majority is the Kron Pad. from the name of the song. Pleang Nok Kamin Morn has the specific playing. These are also a music score of Nok There is Soi for using in Pleang Chud Yam Kamin’s song which Kru Pinit Chaisuwan noted. Theng.Pleang Nok Kamin Morn will play after He told the researcher that he was directly got Pleang Thayae that has 3 pieces and Soi is added this song from Kru Phum Baphuyawart. So, there in the final of the song. If we use for the are the lists of the names of the song: performance, there will not have Soi. We use Pleang Char composes 4 songs are Pleang only one piece by bringing first piece and second Nok Kamins’ 3 pieces, Pleang Mae Mai krum piece in Yam Theng to combine and cut into the Kruns’ 5 piece, Pleang Surindharahus’ 3 piece and singing Pleang Chandharahus’ 3 piece. Table1: the analyzing of the Pleang Nok Kamin’s song Analyze The name of the song Conclusion 1. Pleang Char 1. Pleang Nok Kamin Towa Phu The same song and name 2. Pleang Mae Mai Krum Krun or Nok The same song, Nok Kamin Towa Kamin Towa Mea Mea 2. Pleang Song Mai - Pleang Farang Ku The same song, Mae Mai Krum Krun - Pleang Kra Tai Ten’s first piece The same song and name 3. Pleang Reaw - Pleang Kra Tai Tens’ second-third piece. The same song and name Final Kra Tai Ten The same song and name 4. Pleang La Pleang La The same song and name
126 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ Table 2: the development of Pleang Reung Nok Kamin Name of the Pleang Char Pleang Song Mai Pleang Reaw Pleang La translator 1. Kru Phum 1. Nok Kamin Towa Phus’ 3 pieces 1. FarangKus’ 2 pieces. Pleang La Baphuyawart 2. Mae Mai Krum Krun or Nok 2. Kra Tai Ten’s first Kamin Towa Meas’ 4 pieces piece. 2. Kru Pinit 1. Nok Kamin Towa Phus’ 3 1. Kra Tai Chom 1. Kra Tai Chom Pleang La Chaisuwan pieces Chans’ first-second Chans’ third-fifth pieces pieces 2. Mae Mai Krum Kruns’ 4 pieces. 2. Kinnonerams’ 2 pieces final the last 3. Surindharahus’3 pieces Kra Tai Ten 4. Chandharahu 3. Kru Jirus 1. Nok Kamin Towa Phus’ 3 1. Mae Mai Krum 1. Kra Tai Ten’s Pleang La Agnarong pieces Kruns’ 2 pieces second piece 2. Kra Tai Ten’s third 2. Nok Kamin Towa Meas’ 4 2. Kra Tai Ten’s first piece final the last pieces piece Kra Tai Ten 4. Kru Chaiya 1. Nok Kamin Towa Phus’ 3 1. Mae Mai Krum 1. Kra Tai Ten’s Pleang La Tangmeesri pieces Kruns’ 2 pieces second piece 2. Nok Kamin Towa Meas’ 4 2. Kra Tai Ten’s first 2. Kra Tai Ten’s third pieces piece piece final the last Kra Tai Ten Pleang Nok Ka min in 3rd ratio Pleang Ching, Jorrakhe Hang yal, Twan Phra Tad, Kru Pheng, who was Phra Pradid Phairau Pleang Nok Kamin Reung aong composing by (Mee Duriyangkul)’s relative, brought the song Phra Pradid Phairau (Mee Duriyangkul) by using Nok Kamin Towa Phu from Pleang Rung Mae the Ka Kie’s verse of Jal Phraya Pra Krang Mai Krum Krun which was the song in 2nd ratio (Hon). Thai musician of Samnak Phraya to compose into 3rd ratio. Moreover, he composed Prasanduriyasab (Prak Pasansab) had Rot Ta the ways for singing and inserted Rong Dok also Sen’s Bod Mahori in Ayutdhaya period. Rot Ta played the Phi for Wa Dok w\\to follow the Sen’s Bod Mohori was from Krung Kal. It singing in 3rd pieces. translated from Rot Ta Sen’s Karb Hor Krong Pleang Nok Ka Min in Tab Mahori Thon that was Bod Kab Mai. In the former, we used Pleang Ching Sorn Chan* had had in Ayutdhaya for the singing basic. There were 2 parts: period. We classified in Tab Mahoree. This nice Fai Nad Maree Sri Sawad rhythm’s song compose 5 songs; there were Thon Ban Thom Neua Than Rat Pat Ja Thorn Pleang Ching, Sam Sal (Jorakae Hangyao), Twan Dao Daun Raun Rab Yu Kun Thon Phra Tad, Nok Kamin and Tor Ra nee Kun Sang. Ja Kai Sang Thin Nakorn Ano Thai In 1928 (2471), Lady Pitoon Kittiwan and Miss **We used for this only. The other verse Jarean Partthayakoson recorded this song by using was disappeared for once. There was not someone Bangkhumphom’s Mahori ensemble. The other who recorded. Hor Samut (National Library) tried name of the song Tab Ton Pleang Ching is Tab to search for a long time. After that, they knew that Ka Kie. This combines 4 songs that are Thon
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 127 Miss Sin, who was Jal Jom Man Da Krommamhun Ranat Eak Kaweephotsupreecha’s aunt, 80 years, could There are 3 pieces and these are not Wa remember Rot Ta Sen’s Bod Mahori. So they were Dok. For example as Kru Rung Pradid Phai Reau allowed from her to print. However, Miss Sin could who tough to Kru Chaiya Thangmeesri, as not recall the other song that used to sing because Duriyapraneed tough to Kru Surbsak Duriyapraneed. she did not ask the detail from Kru Mahori Ranat Thump Nok Kamin Sam Chan’s development There are 3 pieces. Especially 3rd piece, these is Wa Dok as the ways of the song of Kru Pleang Nok Kamin Sorn Chan in Tab Thon Phum Baphuyawart tough to Kru Pring Pleang Ching, Rot Ta Sen’s Bod Mahori in Karnjanaparin and Kru Pring tough to Kru Paearn Kongchok, Kru Phaitoon Charejjarern and Kru Ayutdhaya period Kittipong Meepom (Rong) as him tough to Kru Pleang Nok Kamin Sorn Chan in Tab Thon Dudsadee Meepom for example. Khong Wong Yai Pleang Ching, Ka Kie’s Bod Mahori in There are 3 pieces and these are not Wa Ayutdhaya period Dok. As the ways of the song of Kru Sorn Wongkhong by Kru Songyot Kaewdee (Kru Pleang Nok Kamin Sam Chan by Kru Peng, Sorn’s nephew), Kru Rung Bamrung Jitjareun modify from Pleang Nok Kamin Towa Phu in tough to Kru Sagnobsuk Dhammawihan. Khong Wong Lek Pleang Rung Nok Kamin There are 3 pieces and these are Wa Dok. As Kru Petch Jannad tough to Kru Phairat jannad, Pleang Nok Kamin Sorn Chan in Tab Thon Kru Charak Phosamthon. Pleang Ching by Phra Pradidpairau, using the Pi verse form Ka Kie Kum korn of Jal Phraya There are 3 pieces and these are Wa Dok. As Kru Theb Khonglaithong tough to Kru Pib Prakrung (Hon) Khonglaithong, Kru Jamnean Srithaiphan. Pleang Dew Nok Kamin (Solo) Krui As popular Pleang Sam Chan’s time, there There are 3 pieces and these are Wa Dok. were several Thai classical music teachers who As Kru Theb Khonglaithong tough to Kru Pib brought Pleang Nok Kamin to do the solo Khonglaithong, Kru Mhern Tantikarnjanejit tough because it was favor to play in Khruang Sai to Kru Suwit Kaewkramon. orchestra. We could see in Piphat but it’s less Sor Duang than Khruang Sai. It caused the instrument is suit There are 3 pieces. It combines Teaw more. Subsequently, it appeared Tang Piphat but Wan and Teaw Keb. Moreover, there are Wa it was not suit as stringed instruments and wind Dok. As Kru Plung Wannakajorn tough to Kru instruments. In the part of Wa Dok may be have Benjarong Thanakosed, Kru Rung Phaireau tough or not was up to someone to compose because to Jieraphon Petchsom. Pleang Nok Kamin is short song when we added Sor Ou Wa Dok into the song may be long. There are 3 pieces. It combines Teaw In the present, Pleang Nok Kamin will Wan and Teaw Keb. Moreover, there is Wa Dok. popularly play in stringed instruments and wind As Kru Plung Wannakajorn tough to Kru instruments but not in Piphat. This ways for the plays in Piphat appear as:
128 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ Benjarong Thanakosed, Kru Rung Phaireau Seng The role of Pleang Nok Kamin Sor tough to Jieraphon Petchsom. The way of Thai life that begin from Jakhe birth to died such as cutting off the topknot of a There are 3 pieces. It combines Teaw child, being ordained, being married, cremation, it Wan and Teaw Keb. Moreover, there is Wa Dok. makes the Thai classical music which could As Kru Nipha Aphaiwong tough to Kru Sittisak continuously translate. Pleang Nok Kamin is Janhawut. special song for the occasion in variety style that Pleang Nok Kamin Tawl use in an auspicious occasion or an inauspicious In 1933 (2476), Mr. Montree Tramot occasion. We can divide the role of Pleang Nok composed the verse of Pleang Nok Kamin Song Kamin in 3 parts such as rite, performance, and Chan and Chan Dew and brought the verse also lulling to sleep by singing. However, the changing Wa Dok by the ways Sam Chan’s ratio of Kru in the society and the time decline the important Peng for singing, collecting in Pleang Tawl. In role of the song because of the birth of the new Song Chan’s ratio used the old rhythm and Chan song or the less of the occasion for playing of Dew brought Piphat Morn’s rhythm (Pleang Yam the song. Thieng). Pleang Nok Kamin Tawl is for playing Pleang Nok Kamin for the rite and singing (can except for singing). It begins at By the way, the song is for the playing in Sam Chan, Sorn Chan and Chan Dew. Pleang rite of Thai not only Royal rite but also general Tawl was origin from Pleang Rung. Instead of rite. Majority, we use Piphat and choose the playing only Pleang Char, Sorn Mai, Pleang Pleang Reung (it means that it concludes a lot Reaw, continue several songs. After that, they Pleang Kred). Pleang Sorn Chan is always brought the same song to compose in Sam Chan’s playing and using for the play for the rite style, Sorn Chan’s style, and Chan Dew. In the example; Pleang Reung Thum Kwan (important case of Pleang Sorn Chan was modified and to song for bring back spirits’ candidate for the do a precise to continuously play. For begin to Buddhist priesthood). For the festival for merit, final in the song may be Raowj (just slow) or we always use Pleang Reung for example; Pleang finishing such Ork Luke Mod’s style (very fast Reung Phra Rama Dearn Dong and Pleang Reung and instantly stop). Moreover, there is the playing Nok Kamin. Generally, Pleang Reung has not for with Pleang Hang Krung that is convenient and singing, we only use for playing. For the calling the last always playing with Luke Mod. Pleang Reung, we generally call as Pleang Tab, it means that we will call for the first example, Pleang Nok Kamin Tawl’s development Pleang Nok Kamin, Pleang Reung Chin Sae or we can call by the rite to make music. This Pleang Nok Kamin Tang Rong Nok Kamin Pleang Reung is the special song also as Sorn Sam chan of Sam Chan of Chan song. However, in the case of the Khruang Kru Peng Kru Peng Sai orchestra, we always choose Pleang Tab Mahori or Pleang Tawl to play as the reason of Pleang Nok Kamin Tang Rong Nok Kamin Pleang Reung. It means that we can play it for a Sorn Chan in Sorn Chan of long except the modern life in the society. We ancient song Kru Montree need to be comfortable that cause to choose to play in short. So we do not take into Pleang Nok Kamin Tang Rong Nok Kamin consideration. Morn Chan Dew Chan Dew of Kru Montree
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 129 Pleang Nok Kamin for performance Pai Kum Korn Look Ya Kawl Ma Nung This song is one of the songs that can Bon Suwan Ban Lank Alongkot play in the auspicious occasion and the in Suam Kod Banlaikan Run Thod auspicious occasion. The song for the auspicious Plang KamSod Soka Alai occasion is such as Pleang Reung Nok Kamin In the same way, Pleang Farang Ku (Mae Mai krum Krun) that plays for Nung Yai appeared in second scene of Manorha’s story in (grand shadow play), Pleang Nok Kamin Sorn Manorha’s resident, at Panyajal’s city. In this part Chan and Pleang Sorn Mai Nai Pleang Reung have the singing Pleang Farang Ku and Pleang Nok Kamin for using for Manorha’s story and Mae Mai Krum Krun as: Kawee’s Deuk Dam Ban. Moreover, this song is Tae Nai Jit Krun Kid Thun Krairad for La Korn Phan Tang “Phu Chana Sib Tid, Ram Nirat Krun Kong Hai Mgnorgn Pleang Nok Kamin Morn for Ram Morn Sib Sorn Mgnargn Tha. In the part of Pleang Nok Kamin that plays Aho Chanok Chonnanee Kub Phee Nang in the inauspicious occasion is as Nok Kamin Thong Reud Rang Sok Kanung Thun Look Rak Morn for Ram Sarm Thard, Pleang Nok Kamin Anitja Wane Sang Tae Pang Korn Chan Deaw Nai Pleang Tawl or Nok Kamin Ma Tam Ron Kuk Khen Hen Prajak Morn for Ram Yo Kee Thawai Fai. Thong Jak Meaun Jak Yad Anad Nurk Nang Kan Sang Sob Pak Long Sokee For the example of Nok kamin for the In the older part is not the receiving or performance: the playing but Ajan Chaiya Thangmeesri add the Pleang Nok Kamin in the ancient period ways of the playing by using Pleang Farang Ku was played for Nung Yai in the part of Hanuman (Sornmai) Nai Pleang Nok Kamin (former song) Asa. In the present time, it’s different for this in the present. The next period, Ajan Pib performance. When Thotsakun give Nang Suwan Konglaithong plays the Flute (Krui) of Pleang Kun Yu Ma, who is Indhorachit’s wife, for being Nok Kamin Sorn Chan (Towa Phu) for the first Hanuman’s wife. We use Pleang Na Phat “Pleang pieces in the first scene of Manorha at the puddle Char”; the conductor will call Na Phat “Mae Mai (Kinnaree Ron) Krum Krun”. Pi Phat orchestra will play Pleang Pleang Mae Mai Krum Krun appeared in Mae Mai Krum Krun which has Nok Kamin The Lakorn Deuk Dam Ban “Kawee” in the third Towa Phu and Nok Kamin Towa Mea. We can part, Hung Chark. In Tamnak Thee Hok, in not play the other song such as Rueng Soison, Chumnum Bod Lakorn and Bod Kab Rong of Rueng Taw Kin Pak Bung for this performance. Higher royal princes Krom Phraya Naritsala Pleang Nok kamin Sorn Chan appeared in Nuwat Thi Wong, published in 1971 (2514) at Khon’s dialog in Sida Lui Fai and Prab Ban Rai page 78 as: Kun. We use in 6 parts, in the fourth part in Rong Ram Mae Mai Krum Krun Rab Pi Nang Kan Akkee’s resident, at Longka. Phat Rong Pleang Nok Kamin Chan Aho Phra Rom Pho Thong Khorn Nong Meau Nunt Aey Nang Kan AkKie Saneaha Phra Khun Kaey Thuk Chal Kum Nawl Nai Mon Tein Song Sopha (Ban Sadejg Sawankalai Jai Ra Kum Raikal Aok) Minurm Sam Jeb Jai Hai Dai Alai Lae Hent Aong Asura Osot
130 วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ Rong Ram Mae Mai Krum Krun Rab Ja Mi Hai Ra Kai Keung Beung Bata Pi Phat Kor Pratan Thahan Kra Pa Yard Yang Chan Towa Ral Chal Chod Ja Thod Krai Sak Meuan Nung Song Pai Tham Kon Aum Jeb Ok Jeb Jai Mai Ru Hai Prang Phrao Sea Ru E Thawl Jal Ubai Lung Lang Ri Pu Mue Pai Ree Thun Muai Mod Mai Sea Dai Chiewalai Pleang Nok Kamin Morn Ram Morn Sib Pi Phat do the Pleang Aod that Ajan Sorn Tha. Ram Morn is the dancing in the in the Chaiya Thangmeesri who play Pleang Aod, Pleang auspicious occasion also the cremation especially Mae Mai Krum Krun (Sorn Mai) in Nok Kamin’s the monk’s cremation. The word “Ram Morn” song so we can call this song is one of the that calls in Thai but in Morn call “Puahapern” important song. that it means the performance or Kangj Ram Pleang Nok Kamin Morn in Lakorn Phan Taphon. The reasons why we call that because Thang appeared in Lakorn Phan Thang, Jal the performers must listen the rhythm form Phraya Mahinsakthamrong (Peng Penkul) who Taphon Morn (Morn’s drum). For the dancing- was heading of party of drama and installed this looking was specially Morn’s nationality. In the Lakorn in the forth Rama’s period. This former, there were 10 dancing-looking or 10 performance was celebrated in the fifth Rama’s songs. But in the present time, Ram Morn in period. When he came back from Europe, he tried certain place, there are more that 10. Creating the to develop his performance to be different from other dancing looking to add in the older the other drama. It made his drama to be well performance. Others persons call Ram Sib Sorn known in the final of the fifth Rama’s period. Phasa because of the miss-understanding. Ram Ya Korb’s stage plays as Phu Chana Sib Morn at Khor Kred likely show for 12 songs by Thid in Kampang Hong Sawadee performed for inserting 2 Thai classical musics which are the show at the national theater, on Saturday 6-13- eighth (Pleang Morn Kra) and the last story 20, December, 2008 at Suphanburi, Ajan Saree (Pleang Nok Kamin) Wangnaidham translated from into the poem’s Pleang Nok Kamin Morn is the Pleang drama. Kanya Rohitajon and Somchai Tabporn Reaw that is the last song for Yo Kee Thawai composed the songs. From the evident, we could Fai’s performance. This show is for the cremation. find Pleang Nok Kamin in Hong Sawadee’s In the part of Pleang Reaw, we use Pleang Nok throne hall when Phra Jal Saka Ra Wut Phee sit Kamin Morn as the song for Yam Theng on the royal seat, Aubprarad Sor Pinya, Seng Pleang Nok Kamin Morn (Ponetakon) Korn Su Kayee, Sor Panya, Kailu, and 10 Morns’ concludes in Ram Sam Tad. It likes to be the soldier at here. performance for the cremation of Morn. By the Pleang Phraya Lam Phrong Pleang Chor belief, the merit of the dead will be around in the Phum Reng Rong Pleang Nok Kamin Morn area of their sons or daughters for telling Rong Pleang Morn Cha Aeu Pleang Mob something to them also the angel who stay at Reau Rong Pleang Marn Reng etc. here. So it is necessary that they do the Content of the Nok Kamin Morn’s song performance “Ram Sam Tad” to be allowed to Seng Kon Aun Yab Yorn Konlasuk Thi Nuk Kad tell and ask for a pardon from the angel before Yang Mi Arge Tool Dai Nai Kon Lay bring the corpse to the crematorium. The time for Tae Chai Wa Pramart Kad Ka Ne the show, they will do for 2-3 days by beginning Kid Bieng Bai Tai Te Whai Tuk Tang for the first cremation at 04.00 am. There are 3
วารสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 131 conditions for this cremation as; 1) Monk’s in the cremation such as Thong Yib, Thong Yod, cremation, 2) the longed corpse, 3) the corpse in Foi Thong, Kawneaj, Sangkaya, and Thaufoo. The Morn’s casket (Alabox). There are 3 elements of especially thing that is the coconut, the banana, the performance as: and the necklace or lei of flowers. The ways to 1. Performers may be female or male. In perform will be dividing into 3 parts. The the majority is the ole and respected woman in performers will begin the show for the first part the community. to the third Tard when they finish the Wai Kru 2. Musicians is such as the performer Pleang Nok Kamin for lulling to sleep (may be female or male). In the present time, Pi by singing Phat is concluded for the dancing. There are 3 Pi In the ancient period, Pleang Tab Mahori Phat orchestras in Pra Pa Dang such as has a function for playing to lull to sleep by Wichensilpa, Chalorsilpa and the last Wangphaya. singing for the royals. That role is former The musical instruments must especially in this declined. We only used the Khruang Sai orchestra neighborhood. or the Mahori ensemble. The song for the plays 3. Attendances are majority as a death’s are Pleang Kred, Pleang Tab Mahori or Pleang kinsman. They can talk to his sprerit when the Tawl. sprit gets inside the other. We will use the deserts บรรณานกุ รม กรมศลิ ปากร. (2540). สารานกุ รมศพั ทด์ นตรไี ทย ภาคคตี -ดรุ ยิ างค.์ กรงุ เทพ : มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั . กาญจนา อินทรสุนานนท์. (2532). การวิเคราะห์รูปแบบพื้นบ้าน. ในวารสารมนุษยศาสตร์ปริทรรศ์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2 ประจำภาคเรยี นท่ี 2. จริ สั อาจณรงค.์ (2551, 4 มถิ นุ ายน). สมั ภาษณโ์ ดย ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ์ ทสี่ ำนกั การสงั คตี กรมศลิ ปากร กรงุ เทพฯ. ไชยยะ ทางมศี ร.ี (2551,10 มถิ นุ ายน). สมั ภาษณโ์ ดย ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ์ ทส่ี ำนกั การสงั คตี กรมศลิ ปากร กรงุ เทพฯ. ____________. (2551, 24 ธนั วาคม). สมั ภาษณโ์ ดย ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ์ ทส่ี ำนกั การสงั คตี กรมศลิ ปากร กรงุ เทพฯ. ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์. (2534). การวิเคราะห์วิธีการประพันธ์เพลงไทยในลักษณะการแต่งขยายและแต่งตัดทำนอง เพลงจากเพลงอัตราสองชั้น. งานวิจัยได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. เอกสาร โรเนยี ว. นฐั พงศ์ โสวตั ร. (2552, 2 กมุ ภาพนั ธ)์ . สมั ภาษณโ์ ดย ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ์ ทสี่ ถาบนั บณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ กรงุ เทพ. ปญั ญา รงุ่ เรอื ง. (2533). ดนตรปี ระกอบเสยี ง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . ____________. (2546). ประวตั กิ ารดนตรไี ทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . ประสทิ ธ์ิ ถาวร. (2530). เครอื่ งดนตรไี ทยในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั . ศลิ ปกรรม พนิ จิ ฉายสวุ รรณ. (2552, 16 เมษายน). สมั ภาษณโ์ ดย ณฐั หทยั พงศพ์ ทิ กั ษ์ ทบ่ี า้ นขวาง จงั หวดั อยธุ ยา มนตรี ตราโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์. (2523). ฟังและเข้าใจเพลงไทย. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนทรงสุภาพ (แพทย์ทรง บุญยะรัตเวช) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2523 กรงุ เทพฯ: ไทยเขษม มานพ วิสุทธิแพทย์. (2533). ดนตรีไทยวิเคราะห์. หนังสือท่ีระลึกงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 22 กรุงเทพฯ: ชวน พมิ พ.์ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง). (2525). ศรทองประชุมผลงานเพลง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิหลวงประดิษฐ ไพเราะ (ศร ศลิ ปะบรรเลง). ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2536). สารานกุ รมศพั ทด์ นตรไี ทย ภาคประวตั แิ ละบทรอ้ ง. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พส์ หธรรมกิ จำกดั . สงดั ภเู ขาทอง. (2532). ดนตรไี ทยและทางเขา้ สดู่ นตรไี ทย. กรงุ เทพฯ: เรอื นแกว้ . ____________. (2535). ประชมุ บทความทางวชิ าการ. กรงุ เทพฯ: เรอื นแกว้ .
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: