Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีสี

ทฤษฎีสี

Published by Nurdin Yamae, 2021-03-05 08:27:11

Description: จัดทำโดย นาย มูฮำหมัดนูรดิน ยาแม เลขที่ 11 สาขา คอมพิวเตอร์กราฟิก

Search

Read the Text Version

ท ฤ ษ ฎี สี COLOR THEORY มูฮําหมัดนูรดิน ยาแม

ความหมายของสี สี(COLOUR) หมายถงึ ลกั ษณะกระทบตอ่ สายตาใหเ้ หน็ เปนสีมีผลถึงจิตวทิ ยา คือมีอาํ นาจให้เกิดความเข้ม ของแสงทีอารมณแ์ ละความรู้สึกได้ การทีได้เหน็ สีจากสายตาสายตาจะส่งความรสู้ ึกไปยังสมองทําให้เกิด ความร้สู ึก ต่างๆตามอทิ ธิพลของสีเชน่ สดชนื รอ้ น ตนื เต้น เศรา้ สีมีความหมายอย่างมากเพราะศิลปน ตอ้ งการใชส้ ีเปนสือสรา้ งความประทบั ใจในผลงาน ของศิลปะและสะทอ้ นความประทบั ใจนันใหบ้ ังเกิดแกผ่ ้ดู ู มนษุ ย์เกยี วขอ้ งกับสีต่างๆ อยตู่ ลอดเวลาเพราะทกุ สิง ทีอยรู่ อบตวั นนั ล้วนแต่มสี ีสันแตกต่างกันมากมาย สี เปนสิงทีควรศึกษาเพือประโยชน์กับตนเองและผสู้ ร้างงาน จิตรกรรมเพราะ เรอื งราวองสีนันมีหลักวชิ าเปน วทิ ยาศาสตร์จึงควรทาํ ความเข้าใจวทิ ยาศาสตรข์ องสีจะบรรลุผล สําเร็จในงานมากขนึ ถ้าไมเ่ ข้าใจเรืองสีดพี อ สมควร ถ้าได้ศึกษาเรอื งสีดีพอแล้ว งานศิลปะก็จะประสบความสมบูรณ์ เปนอยา่ งยงิ

ประวตั ิ มนษุ ย์เริมมกี ารใชส้ ีตังแต่สมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์มีทังการเขยี นสีลงบนผนงั ถาํ ผนงั หิน บนพืนผิว ความ เปนมา เครืองปนดนิ เผา และทีอืนๆภาพเขยี นสีบนผนงั ถํา(ROCK PAINTING) เริม ทําตงั แตส่ มัยก่อน ของสี ประวัติศาสตรใ์ นทวีปยโุ รป โดยคนกอ่ นสมัยประวัติศาสตร์ในสมัยหนิ เก่าตอนปลาย ภาพเขยี นสีทีมชี ือ เสียงในยคุ นพี บทปี ระเทศฝรงั เศส และประเทศสเปน ในประเทศ ไทย กรมศิลปากรได้สํารวจพบภาพ เขียนสีสมัยก่อนประวตั ิศาสตร์บนผนงั ถํา และ เพิงหนิ ในทีตา่ งๆ จะมีอายรุ ะหว่าง 1500-4000 ปเปน สมัยหนิ ใหม่และยคุ โลหะได้คน้ พบตงั แต่ปพ.ศ. 2465 ครังแรกพบบนผนงั ถาํ ในอา่ วพังงา ตอ่ มากค็ น้ พบอีกซึงมอี ยทู่ ัวไป เชน่ จงั หวดั กาญจนบรุ อี ทุ ัยธานี เปนตน้ สีทีเขยี นบนผนังถําส่วนใหญเ่ ปนสีแดง นอกนนั จะมีสีส้ม สีเลอื ดหมูสีเหลอื ง สีนําตาล และสีดําสีบนเครืองปนดนิ เผา ไดค้ น้ พบการเขยี นลาย ครงั แรกทีบา้ นเชยี งจังหวดั อุดรธานีเมือปพ.ศ.2510 สีทีเขยี นเปนสีแดงเปนรูปลายกา้ นขดจติ กรรมฝา ผนังตามวัดตา่ งๆสมัยสุโขทัยและอยธุ ยามีหลักฐานวา่ ใช้สีในการเขยี นภาพหลายสีแตก่ อ็ ยู่ในวงจาํ กัด เพียง 4 สีคอื สีดํา สีขาว สีดินแดง และสีเหลืองในสมัยโบราณนนั ช่างเขียนจะเอาวตั ถตุ า่ งๆใน ธรรมชาตมิ าใช้เปนสีสําหรบั เขียนภาพ เช่น ดนิ หรอื หินขาวใชท้ าํ สีขาว สีดํากเ็ อามาจากเขม่า ไฟ หรือจากตัวหมกึ จีน เปนชาตแิ รกทีพยายาม ค้นควา้ เรืองสีธรรมชาติได้มากกว่าชาตอิ ืนๆ คอื ใช้ หนิ นํามาบดเปนสีต่างๆ สีเหลอื งนาํ มาจากยางไม้รง หรอื รงทอง สีครามก็นํามาจากตน้ ไมส้ ่วนใหญ่แล้ว การคน้ ควา้ เรอื งสีก็เพือทีจะนาํ มาใช้ย้อมผา้ ตา่ งๆ ไม่ นิยมเขยี นภาพเพราะจีนมีคตใิ นการเขยี นภาพเพียงสี เดียว คือ สีดาํ โดยใช้หมึกจนี เขยี น

คําจาํ กัดความของสี 1. แสงทีมคี วามถีของ 2. แมส่ ีทีเปนวัตถุ 3. สีทีเกดิ จากการผสม คลนื ในขนาดทีตา (PIGMENTARY PRIMARY) ของแม่ส มนษุ ยส์ ามารถรบั สัมผัสได้ ประกอบด้วย แดง เหลอื ง นาํ เงนิ

ประเภทของสี 1. สีธรรมชาตเิ ปนสีทเี กดิ ขนึ เองธรรมชาติเชน่ 2. สีทีมนุษย์สร้างขึน หรือได้สังเคราะหข์ นึ สีของแสงอาทติ ย์สีของทอ้ งฟายามเชา้ เย็น สี เชน่ สีวิทยาศาสตรม์ นุษยไ์ ด้ทดลองจากแสง ของร้งุ กนิ นาํ เหตกุ ารณ์ทีเกดิ ขึนเองธรรมชาติ ตา่ งๆ เช่น ไฟฟา นาํ มาผสมโดยการทอแสง ตลอดจนสีของ ดอกไม้ตน้ ไมพ้ ืนดิน ท้องฟา ประสานกัน นาํ มาใช้ประโยชน์ในด้านการ นําทะเล ละคร การจดั ฉากเวทโี ทรทัศน์ การตกแต่ง สถานที

แมส่ ี สีต่างๆนนั มอี ยมู่ ากมายแหล่งกําเนดิ ของสีและวธิ ีการผสมของสีตลอดจนรสู้ ึกทีมีตอ่ สีของมนษุ ยแ์ ตล่ ะ กลุม่ ยอ่ มไมเ่ ห มอื นกนั สีตา่ งๆทปี รากฎนันยอ่ มเกดิ ขึนจากแม่สีในลักษณะทีแตกตา่ งกันตามชนิดและ ประเภทของสีนัน

แมส่ วี ตั ถธุ าตุ เปนสีทีไดม้ าจากธรรมชาติและจากการสังเคราะห์โดยกระบวน ทางเคมีม3ี สีคือ สีแดง สีเหลือง และสีนาํ เงนิ แม่สี วัตถธุ าตุเปนแมส่ ีทนี ํามาใช้ งานกันอยา่ งกว้างขวาง ในวงการศิลปะ วงการอตุ สาหกรรม ฯลฯ แมส่ ีวตั ถธุ าตุ เมอื นาํ มา ผสมกันตามหลักเกณฑ์จะทําใหเ้ กิด วงจรสีซงึ เปนวงสี ธรรมชาตเิ กดิ จากการผสมกนั ของแม่สีวัตถุธาตุ เปนสีหลักทีใช้ งานกันทวั ไป ใน วงจรสีจะแสดงสิงตา่ ง ๆ

ระบบสี RGB ระบบสีRGB เปนระบบสีของแสง ซงึ เกิดจากการหักเหของแสงผา่ นแทง่ แก้วปริซมึ จะเกดิ แถบสีทเี รียกว่า สีรุ้ง ( Spectrum ) ซงึ แยกสีตามทีสายตามองเห็นได้7 สีคือ แดง แสด เหลอื ง เขียว นาํ เงนิ คราม มว่ ง ซึงเปนพลงั งานอยู่ ในรปู ของรงั สีทีมชี ่วงคลนื ทีสายตา สามารถมองเห็นได้แสงสีม่วงมคี วามถีคลืนสูงทสี ุด คลืนแสงทมี ีความถสี ูงกว่าแสง สีม่วง เรียกว่า อลุ ตราไวโอเลต ( Ultra Violet ) และคลืนแสงสีแดง มีความถีคลนื ตําทสี ุด คลืนแสง ทตี าํ กวา่ แสงสี แดงเรียกวา่ อนิ ฟราเรด ( InfraRed) คลนื แสงทมี คี วามถีสูงกวา่ สีม่วง และตาํ กวา่ สีแดงนนั สายตาของมนษุ ยไ์ ม่ สามารถรบั ไดแ้ ละเมอื ศึกษาดแู ลว้ แสงสีทังหมดเกิดจาก แสงสี 3 สีคอื สีแดง ( Red ) สีนําเงนิ ( Blue)และสีเขียว ( Green )ทังสามสีถอื เปนแม่สี ของแสง เมือนํามาฉายรวมกนั จะทําใหเ้ กิดสีใหม่อีก 3 สีคอื สีแดงมาเจนตา้ สีฟาไซแอน และสีเหลอื ง และถ้าฉายแสงสีทังหมดรวมกันจะไดแ้ สงสีขาว จากคณุ สมบตั ิของแสงนเี รา ได้นาํ มาใชป้ ระโยชน์ทวั ไป ในการฉายภาพยนตร์ การบันทกึ ภาพวดิ ีโอ ภาพโทรทัศน์ การสรา้ งภาพเพือการนําเสนอทางจอคอมพิวเตอร์และการจดั แสงสีในการแสดง เปนต้น การผสมสีวัตถธุ าต

วงจรสี ขนั ที 1 ขนั ที 2 ขนั ที 3

วรรณะของสี 1.วรรณะสีร้อน (WARM TONE) ประกอบด้วยสีเหลือง สี 2.วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบด้วย สีเหลอื ง สี ส้มเหลอื ง สีส้ม สีส้มแดง สีม่วงแดงและสีม่วง สีใน เขยี วเหลือง สีเขยี ว สีเขยี วนาํ เงนิ สีนาํ เงิน สีม่วงนาํ เงนิ และสีม่วง ส่วนสีอืนๆ ถา้ หนกั ไปทางสีนําเงินและสีเขยี วก็ วรรณะรอ้ นนีจะไม่ใชส่ ีสดๆ ดงั ทีเหน็ ในวงจรสีเสมอไป เปนสีวรรณะเยน็ ดงั เช่น สีเทา สีดาํ สีเขยี วแก่ เปนต้น จะ เพราะสีในธรรมชาตยิ ่อมมีสีแตกต่างไปกวา่ สีในวงจรสี สังเกตไดว้ ่าสีเหลืองและสีม่วงอยู่ทงั วรรณะร้อนและ ธรรมชาตอิ ีกมาก ถ้าหากวา่ สีใด คอ่ นขา้ งไปทางสีแดงหรือ วรรณะเยน็ ถา้ อยูใ่ นกลุ่มสีวรรณะร้อนกใ็ ห้ความรสู ึกร้อน สีส้ม เชน่ สีนาํ ตาลหรอื สีเทาอมทอง กถ็ อื ว่าเปนสีวรรณะ และถา้ อยู่ในกลุ่มสีวรรณะเย็นกใ็ หค้ วามรสู้ ึกเยน็ ไปด้วย สี เหลืองและสีม่วงจึงเปนสีไดท้ ังวรรณะร้อนและวรรณะเยน็ ร้อน สีเพิมนาํ หนักขึนด้วยการใช้สีดําผสม ( shade)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook