ใบความรู้ เรื่อง หลกั การออกแบบจัดสวน 1.หลกั ทัว่ ไปในการออกแบบ ในการออกแบบโดยทั่วไปนั้น ผู้ออกแบบจะตองวิเคราะห์ข้อมูลและวางแนวคิดหลัก (Concept) ในการออกแบบไวก่อนวาจะใหรูปแบบและเนื้อหาโดยสวนรวมของงานเป็นไปในแบบใด สนองตอบวัตถุประสงค ได้มากน้อยเพียงใดคําวา “รูปแบบ” นั้นเป็นสภาพโดยรวมของงานออกแบบที่สามารถมองเห็นได้ อันประกอบด้วย “องคประกอบศิลป์ในการออกแบบ” ที่จัดรวมกันไว ด้วยวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ส่วน “เน้ือหา” เป็นเร่ืองราวหรือสาระในการออกแบบ ซึ่งเป็นผลมาจากรูปแบบหลักการต่าง ๆ ท่ีกำหนดขึ้นเพ่ือ เป็นแนวทางการออกแบบนั้น จะช่วยใหผู้สนใจงานด้านนี้สามารถวินิจฉัยคุณคาทางความงามท่ีมองเห็นจาก ผลงานได้ดีข้นึ หลกั ทั่วไปในการออกแบบมีดังตอไปนี้ 1.1 เอกภาพ (Unity) เป็นการนําสวนประกอบท่ีแตกต่างกันมารวมกันเพื่อใหเกิดความเป็น อนั หนง่ึ อนั เดียวกัน ไม่เกิดการแขงขนั กนั ขององคประกอบ 1.2 ความสมดุล (Balance) เป็นความรูสึกท่ีเกิดจากการมอง ซ่ึงการจากการรับรูและวัดจาก ความรูสกึ โดยอาศัยความชาํ นาญจากประสบการณทส่ี ัง่ สมเกี่ยวกับน้ำหนัก สี จำนวน 1.3 จังหวะ (Rhythm) เป็นการจัดวางองคประกอบใหมีระยะที่เหมาะสม มีความต่อเนื่อง สัมพนั ธ์เพ่อื ช่วยเหนี่ยวนาํ สายตาของผู้ดู 1.4 สัดสวน (Proportion) เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวของกับขนาด พนื้ ท่ี และปริมาณของสวนต่าง ๆ ใน ภาพรวมในสัดสวนทีส่ วยงาม 1.5 ความกลมกลืน (Harmony) หมายถึง ความพอเหมาะพอดีขององคประกอบมีความ เกย่ี วเน่ืองกับความเป็นเอกภาพ 1.6 ความแตกต่าง (Contrast) เป็นสภาพที่ตัดกันหรือตรงกันข้ามกันของสวนประกอบโดย อาศัยความชํานาญในการนํามารวมกันในจังหวะและปริมาณที่เหมาะสมเพือ่ ใหงานออกมามีเอกภาพ เป็นการแก ความซำ้ ซาก เบ่ือหนายจากการใชความกลมกลืนท่ีมากเกินไป 1.7 จุดเดน (Dominant point) แสดงความเป็นเอกลักษณของการออกแบบ ถือเป็นจุดรวม ภาพ (Focalization) เพราะจุดเดนจะตองเป็นจุดรวมสายตาเป็นจุดท่ีเห็นไดง้ า่ ยและชดั เจน
2. หลกั การออกแบบจดั สวน เป็นการนําหลักการออกแบบมาใชในการนําองคประกอบศิลป์ในการออกแบบจัดสวนมาจัดวาง ใหถูกตองตามหลกั การออกแบบ ซึ่งมีหลักการสำคัญดังตอไปน้ี 2.1 เอกภาพ (Unity) เป็นการวางแผนและเลือกสรรวัสดุ ในการจัดสวนเชน พืชพรรณ กอนหิน ทางเดนิ พ้นื ผิว หรือวัสดุของตวั อาคารท่ีมี ลักษณะแตกต่างกัน นํามารวมกันไดอย่าง สวยงามกลมกลืน นอกจากนี้ยัง ตอง คำนึงถึงความน่ าสนใจในความเป็ น เอกภาพโดยรวมด้วย การออกแบบเพ่ือให เกิดเอกภาพ ตองเขาใจวาสิ่งใด บริเวณใด ค ว รจ ะ ล ด ค ว าม เด น ค ว าม ส ำคั ญ เปิดโอกาสให้ สวนอื่นที่ตองการได้มีความหมายนาสนใจยิ่งข้ึน เพราะถานาํ แตส่ วนต่าง ๆ มาแขงขันกันยอมเป็น การทำลายความเป็นเอกภาพลงทันที 2.2 ความสมดุล (Balance ความสมดุล หมายถึง ความรูสึกเทากันทั้ง 2 ด้าน (เป็นอย่างน้อย) โดยมีแกนสมมุติ หรือแกนมิติ ท่ีมี สวนสัดรับกนั หรือมนี ้ำหนักท่ีวดั ด้วยความรูสึกเทากนั ก็สดุ แลวแต่ในการออกแบบจัดสวน แบ่งลักษณะสมดลุ ได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1) ความสมดุลท่ีเทากัน เป็นความสมดุลที่จัดได้ง่ายและรับรูได้งา่ ยทสี่ ุด โดยจะกำหนดให รูปแบบทางซ้าย ขวาหรือทางด้านหนา ดานหลัง เทากัน เหมือนกัน จึงทำใหความสมดุลแบบน้ีมีลักษณะเป็น แบบแผน มีความเป็นระเบียบ ซ่ึงจะมีการกำหนดแกนสมมุติข้ึน และจัดใหองคประกอบมีระยะหางจากแกน กำหนดเท่า ๆ กัน มีจำนวนน้ำหนักสีเทากัน หรือจะใชวัสดุพืชพรรณชนิดเดียวกัน แกนนั้นจะใชอะไรเป็น ตัวกำหนดกไ็ ด้ เช่น อาคาร อนสุ าวรีย นำ้ พุ ฯลฯ การใชความสมดุลแบบเทากนั น้เี หมาะกบั สวนแบบประดิษฐ์
2) ความสมดุลแบบไม่เท่ากัน เป็นความสมดุลที่ผู้ออกแบบ ตองใชความรูความสามารถสร้างสรรคข้ึนจากความรูสึกอันเกิดจากความชํานาญมา ตรวจสอบ ความสมดุลแบบนี้จึงนาดูมากกวาแบบแรก เหมาะกับสวนแบบธรรมชาติ ความสมดุลแบบไมเ่ ทากันนเ้ี กดิ ข้ึนไดห้ ลายลักษณะ เชน (1) ความสมดุลที่เกิดจากน้ำหนักอาจจะเกิดจาก ผลรวมของขนาด ผวิ สัมผัสมาจดั วางใหเกิดความรสู ึกทีส่ มดุลกัน (2) ความสมดุลที่เกิดจากสิ่งนาสนใจเป็นการ กำหนดใหส่ิงนาสนใจ เชน รูปปน น้ำพุ หรือประติมากรรม มาเป็นตัวถวงดุลกับ รปู ทรง สี ขนาด จำนวน ฯลฯ เพราะถือวาส่ิงทีน่ าสนใจนน้ั มีน้ำหนกั และความเดนอ ยใู นตวั มนั เองมากพอทจ่ี ะถวงใหเกดิ ความรูสึกถึงความสมดลุ ได้ (3) ความสมดุลท่ีเกิดจากสภาพตัดกันเป็นการ ออกแบบใหเกิดความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของสี รูปทรง ขนาด หรือสภาพความ ต่างของพื้นท่ีความแตกต่างเหลานี้จะช่วยถวงดุลซ่ึงกันและกันจนเกิดความสมดุล กันได 2.3 จังหวะ (Rhythm) ในงานออกแบบจัดสวน จำเป็นตองนําจังหวะเขามาเก่ียวของด้วย ทุกครั้งที่มีการจัดวางวัสดุหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ถาจัดวางอย่างไม่มีจังหวะจะ ทำใหเกิดความสับสนกระจัดกระจายขององคประกอบ ทั้งน้ีเพราะจังหวะ เป็นตัวเหน่ียวนําสายตาไปน่ันเองความรูสึกที่เก่ียวกับจังหวะ รับรู้ได้ด้วยสายตา จากความชํานาญ และยังกำหนดด้วย“ระยะ” ก็ได้ เช่นกัน ในการออกแบบ จัดสวน มีวิธีการจดั ใหเกิดจังหวะไดห้ ลายแบบ เชน 1) การจัดใหเกิดจังหวะซ้ำ ๆ กัน เป็นการจัดใหรูปทรง สี ขนาดซ้ำ ๆ กัน มีทิศทางไปด้วยกันไดแก การปลูกพันธุไม้เป็นแถวเป็นแนวรั้ว สวน 2) การจัดใหเกิดจังหวะต่อเนื่อง เป็นการสร้างความซ้ำของ รูปลักษณะที่เหมือนกันด้วยการกำหนดใหมีระยะอัตราสม่ำเสมอกัน โดยจัด จังห วะให มี การซ้ ำกัน ใน รูป ลัก ษ ณ ใด รูป ลักษ ณ ห นึ่ งต่ อเน่ื องกัน ได้ ซ่ึงจะเว้นระยะไวเทา ๆ กนั ตามจุดท่ีกำหนด 3) การจัดใหเกิดจังหวะลดหลั่น เป็นการจัดใหเกิดความแตก ต่างกัน ทั้งในเร่ืองของขนาดความสูงต่ำของวัตถุที่มีรูปร่างเดียวกัน ไม่วาจะสูง ไปหาต่ำ ใหญ่ไปหาเล็ก หรือจะผสมผสานกัน ก็เกิดเป็นจังหวะลดหล่ันกันได นับเป็นจังหวะที่ทำใหเกดิ ความรูสึกเรง่ เร้า สร้างภาพรวม ใหเกิดระยะใกลไกลได้ 4) การจัดใหเกิดจังหวะกระจาย เป็นจังหวะที่ใหความรูสกึ วามี จุด ๆ หน่ึงเป็นที่หมายแน่นอนหรือเป็นการซ้ำท่ีมีจุดเริ่มที่จุดศูนย์กลาง และ
กระจายออกไปด้านละเทา ๆ กนั มักเป็นการออกแบบของสวนแบบประดิษฐ์ เชน การปลูกพันธุไมร้ อบ ๆ วงเวียน รอบฐาน รปู ปน ฐานอนสุ าวรีย์ 2.4 สดั สวน (Proportion) ในการจัดสวนสัดสวนเป็นความสัมพันธ์ของสวนต่างๆ เชน ความ กว้าง ยาว สูง เตี้ย ตื้น ลึกในตัวของวัตถุเอง และมีความสัมพันธ์สวยงาม เม่ือเทียบเคียงกับวัตถุอ่ืน ในแงความรูสึกของมนุษย์ สัดสวนเป็นสภาพท่ี เหมาะสม เชน ออกแบบพ้ืนที่จัดสวนใหมีทั้งไม้ใหญ่ ไม้พุม ไม้คลุมดิน ลดหล่ันกันลงมา เม่ือมองดูหรือเขาไปใชสอย ทำใหเรารูสึกถึงความ เหมาะสม สบายทั้งทางดา้ นการใชประโยชนและความรูสกึ 2.5 ความกลมกลืน (Harmony) ความกลมกลืนในการจัดสวน หมายถึง ความพอเหมาะพอดีขององคประกอบการจัดสวน มีความ เกยี่ วเนื่องกับความเป็นเอกภาพ เกิดจากการนาํ สง่ิ แตกตา่ งหลากหลายมารวมกันอย่างพอเหมาะพอดี แบงออกเป็น ประการ คอื 1) ความกลมกลืนด้านเนื้อหาเรื่องราวและแนวคิดของ สวนเป็นการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์เป็นรูปธรรมท่ีผู้ออกแบบ ต องการนําเสนอ เชน ในการจัดสวนแบบธรรมชาติ ผู้ออกแบบจะต้ังแนวคิด ไววา ตองการสร้างเร่อื งราวป่าเขา ธารน้ำ น้ำตกอย่างไรหรือถา เป็นสวน หิน สวนญ่ีปุนท่ีเต็มไปด้วยความคิดฝน ปรัชญา จะใชกอนหินหรือพืช พรรณชนดิ ใดทเ่ี กย่ี วของกับเนื้อหาน้นั ๆ 2) ความกลมกลืนในสวนขององคประกอบศิลป์ เป็น ความกลมกลืนที่เกิดจากการใชเสน รูปร่าง รูปทรง สี ผิวสัมผัส เป็นตน ความกลมกลืนลักษณะนี้จะไม่ใชเกิดจาก ความเหมือนหรือความเทากัน แต่เป็นในลักษณะทค่ี ล้ายคลงึ กัน 2.6 ความแตกต่าง (Contrast) เป็นสภาพท่ีตัดกันหรือตรงกันข้ามของสวนประกอบท่ีใชในการ จดั สวน โดยอาศยั ความชาํ นาญในการนํามารวมกันในจังหวะและปริมาณท่ี เหมาะสมเพ่ือใหงานมีเอกภาพ นักจัดสวนบางท่านมีแนวความคิดวาการ จัดสวนท่ีมีคุณคาควรมีความกลมกลืน80 สวน และมีความแตกต่าง 20 สวน ใน 100 สวนโดยมีจดุ มงุ่ หมายในการ สร้างความแตกตา่ งคอื 1) สร้างความเป็นเอกภาพในเน้ือหาท้ังหมดโดยสวนรวม ใหสมบูรณยงิ่ ข้ึนเชน ในปาควรจะมีทัง้ ตนไม้ใหญ่และตนไมเ้ ล็ก ควรมีทั้ง พืน้ ทรี่ าบและพ้ืนทสี่ งู ต่ำเป็นตน
2) ความแตกต่างจะใหความรูสกึ และรับรูถงึ พลงั เคลือ่ นไหวใหกับภาพรวมของสวน 3) ช่วยยสรางจดุ เดนหรือจุดสนใจใหเกิดกับสวน โดยการเนนความสำคญั ท่ีจุดเดน สวนประกอบ อ่นื จะเป็นสวนรองเพ่อื ใหเกิดความแตกตา่ งข้นึ 2.7 จุดเดน (Dominant Point) การออกแบบท่ีตองการความสวยงาม จะขาดสงิ่ ที่เป็นจุดสนใจหรือ จุดเดนในงานนั้นไม่ได้ จุดเดนถือวาเป็นองคประกอบสำคัญในการจัดสวน อ อ ก แ บ บ จ ะ ต อ ง ก ำ ห น ด จุ ด ว า จ ะ ให ต ร ง ส ว น ใด เป็ น จุ ด ที่ เด น ส ะ ดุ ด ตากว่าสวนประกอบอน่ื ๆ ในพื้นท่ีนั้น ๆ การเนนผู้ออกแบบอาจจะเนนด้วย สี เสน หรอื ด้วยรูปทรงและขนาด
นอกจากนี้ ผู้ออกแบบตองกำหนดพื้นที่ที่จะสรางจุดเดน โดยคำนึงถึงลักษณะสัญจรของผูคนและ ตำแหน่งมุมมอง คำนึงถึงความพอเหมาะพอดี การสร้างสัดสวนใหแต่ละสวนสัมพันธ์กันเป็นส่ิงสำคัญ ไม่ควรจัดให มีจุดเด่นซ้ำๆ กันในพ้ืนท่ีใกลเคียงกันจะทำใหเกิดการแข่งขัน ความเด่นจะลดลง และท่ีสำคัญการเน้นตองพิจารณา ถึงพืน้ ท่ีกบั ปริมาณและขนาดของจุดเด่น
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: