Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทดสอบ

Description: ทดสอบ

Search

Read the Text Version

เวยี งเจ็ดลิน: เมอื งโบราณสณั ฐานกลม อิศรา กันแตง อาจารย ประจาํ คณะศิลปกรรมและสถาปต ยกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลานนา บทคดั ยอ บทความวิชาการน้ี เปนการศึกษาเวียงโบราณเชิงดอยสุเทพที่เปนองคประกอบสําคัญทาง ผังเมืองของเมืองเชียงใหม โดยมีวัตถุประสงคเพื่อทําการศึกษาองคความรูเร่ืองเวียงเจ็ดลินในมิติ ทางผังเมืองเพื่อนําไปสูการอนุรักษและพัฒนา ผลการศึกษาพบวา เวียงเจ็ดลินมีลักษณะพิเศษทาง ผังเมือง คือ รูปทรงกลมแบบเรขาคณิตท่ีมีจุดศูนยกลางเปนตานํ้า นับเปนภูมิปญญาท่ีแตกตางจาก การสรางเมืองโบราณทั่วไปในลานนาและในประเทศไทย ทําเลที่ตั้งเปนชัยภูมิที่ดีตอการรบ ใกลปา ที่เปนแหลงทรัพยากรและมีแหลงนํ้าอุดมสมบูรณ มีสภาพแวดลอมทางธรรมชาติที่สวยงาม จึงเปน เวียงบรวิ ารรว มสมัยกับเมอื งเชยี งใหมท ่มี ปี ระโยชนใ ชสอยเพอื่ พักผอ นตากอากาศ และชวยรบยามมี ศึกสงคราม สว นขอ จํากัดตอการอนรุ ักษและพัฒนา คือ ขาดองคค วามรเู รื่องเวียงเจ็ดลนิ ไมป รากฏ หลกั ฐานทางสถาปตยกรรม และไมส ามารถมองเห็นภาพรวมของรปู ทรงผังเมอื งทเี่ ปนลักษณะพเิ ศษ ไดด ว ยจากทศั นยี ภาพ ปจ จบุ นั มกี ารใชป ระโยชนท ดี่ นิ ของวดั และสว นราชการหลายหนว ยงาน ดงั นน้ั หากรบี ไมด าํ เนนิ การอนรุ กั ษ และพฒั นาอยา งเปน รปู ธรรมกจ็ ะเสยี่ งตอ การสญู เสยี มรดกทางวฒั นธรรม ทมี่ คี ณุ คา ตอ เมอื งเชียงใหมและคณุ คา ดานผังเมืองไปอยางนา เสยี ดาย คาํ สําคัญ: เวียงเจ็ดลิน / ผังเมอื งรูปทรงกลมแบบเรขาคณติ

88 หนาจว่ั : วา ดว ยสถาปต ยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร Wiang Chet Lin: Geometric Circular Town Isara Guntang Lecturer, The Faculty of Art and Architecture Rajamangala University of Technology Lanna Abstract This article presents the study of an ancient town at the foot of Doi Suthep Mountain as an important component of the Chiang Mai City Plan with the objective of gaining the knowledge about the old town of Wiang Chet Lin in relation to the city plan for conservation and development. The findings are that Wiang Chet Lin has a unique plan of a geometric circular shape with a water spring at the center. This is quite a different way of thinking or wisdom found in relation to other ancient cities in Lanna as well as those of other areas in Thailand. It reflects a proper strategic location in case a battle occurred as it was near the forests which ensured good natural resources and abundant water. In addition, it appeared to have very beautiful natural surroundings. As such, it became a subordinate ancient town contemporary to Chiang Mai City perfect for recreation and battle strategy. However, there seemed to be some limitations in terms of conservation and development due to the lack of knowledge and architectural evidence of the town to give a clear overview of its unusual plan through visual perception. Moreover, the land was exploited by some temples and government agencies. Therefore, it is urgent to take action for concrete conservation and development to avoid the risk of losing a valuable cultural heritage of Chiang Mai and eventually losing some useful knowledge on city planning. Key words: Wiang Chet Lin / Geometric circular city plan

ฉบับที่ 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 89 1. บทนํา คาํ วา “ลนิ ” เปน ภาษาไตยวน หมายความวา “รางนา้ํ หรอื ทอ นาํ้ ” เวยี งเจด็ ลนิ จงึ หมายความ วา “เวยี งทมี่ รี างนา้ํ 7 ราง” (สงวน โชตสิ ขุ รตั น, 2514: 107) เวยี งเจด็ ลนิ เปน เวยี งโบราณสณั ฐานกลม ตั้งอยเู ชิงดอยสุเทพเมอื งเชยี งใหมเปน เวียงโบราณท่ีตาํ นานพน้ื เมอื งกลา ววา มมี ากอ นเมืองหริภญุ ไชย และรว มสมัยกับเมอื งเชียงใหมตามหลักฐานทางประวัตศิ าสตร รองรอยทางผังเมอื งของคนู ํ้า คนั ดนิ ลาํ ธาร ทเี่ ปน โครงสรา งเวยี งอยใู นสภาพทสี่ มบรู ณจ นกระทงั่ เมอ่ื ประมาณ 60 ปท ผ่ี า นมาไดถ กู ทาํ ลาย ไปดวยความไมรูและไมใหความสําคัญของสวนราชการที่เขามาใชประโยชนท่ีดินเวียงราง ซึ่งเปนท่ี ราชพัสดุอยูในการดูแลของกรมธนารักษ กระทรวงการคลัง ระยะแรกการรับรูเร่ืองเวียงเจ็ดลินอยู เฉพาะในวงวิชาการ โดยใชภาพถายทางอากาศเปน สว นสาํ คญั ของขอ มลู ทใ่ี ชใ นการศึกษา ตอมาเม่อื การเขา ถงึ เทคโนโลยสี ารสนเทศทําไดส ะดวกข้นึ ผคู นท่วั ไปจงึ เริม่ สังเกตเหน็ รอ งรอยของเวยี งเจ็ดลิน จาก Web site: Point Asia.com หรอื Google Earth จึงเกิดคาํ ถามถงึ ความเปน มาและความสําคญั ของเวียงเจด็ ลนิ และมคี วามตองการที่จะอนุรกั ษเวียงโบราณแหงน้ีไว บทความวชิ าการน้ี มวี ตั ถปุ ระสงคเ พอ่ื ศกึ ษาเวยี งเจด็ ลนิ ในมติ ทิ างผงั เมอื ง โดยใชข อ มลู จาก ตํานาน ประวัตศิ าสตร โบราณคดี รวมกบั การศกึ ษาทางผังเมอื ง เพอ่ื ไดองคค วามรูเรอ่ื งเวียงเจด็ ลิน เพอ่ื นําไปสกู ารอนุรักษและพฒั นาเวยี งเจด็ ลนิ วิธีการศึกษา มดี งั น้ี 1) ทบทวนวรรณกรรมชาตพิ นั ธุ และการต้ังถ่ินฐานของลัวะในเมืองเชียงใหม ตํานาน ประวัติศาสตร โบราณคดี ผังเมืองโบราณใน ลานนา ความสัมพันธของเวียงเจ็ดลินกับเมืองเชียงใหม เพื่อทําความเขาใจบริบทและความสําคัญ ของเวียงเจ็ดลิน 2) ศึกษาภาพถาย ภาพถายทางอากาศและแผนท่ี เพ่ือทําความเขาใจลักษณะทาง กายภาพและผังเมือง 3) สัมภาษณ สํารวจ ถายภาพเวียงเจ็ดลิน เพ่ือทําความเขาใจโครงสรางและ องคป ระกอบทางผังเมอื ง 4) วิเคราะหข อ มูลลักษณะทางผงั เมืองของเวียงเจด็ ลิน 5) สรุปและเสนอ แนะแนวทางการอนรุ ักษและพัฒนา 2. ลวั ะ: ชาตพิ ันธุตามตาํ นานของเวยี งเจด็ ลิน พทุ ธศตวรรษที่ 19 กอ นทพี่ ญามงั รายจะตเี มอื งหรภิ ญุ ไชยและสรา งเมอื งเชยี งใหมข นึ้ สภาพ ชุมชนประกอบดวยชนพื้นเมืองหลายกลุม ที่มีบทบาทมากท่ีสุด ไดแก ลัวะ (Lua) ตั้งถิ่นฐานรวม กันอยูเปนหมูบานมีลักษณะสังคมแบบชนเผา (Tribe) ยังไมไดสรางเมืองหรือรัฐข้ึน ตํานานลานนา สวนใหญท บ่ี นั ทกึ โดยคนไตยวน หรือคนเมือง เชน ตํานานพ้ืนเมอื งเชียงใหม ตาํ นานเมืองเชียงแสน ตํานานพน้ื เมอื งพะเยา ตํานานพระธาตุดอยตงุ กลาวถงึ “ชาวปา ” หรือเรยี กตามภาษาบาลีสนั สกฤต วา “มลิ ักขุ” เรยี กตามภาษาไตยวนวา “ลัวะ, ละวา หรอื ลเวือะ” เปน เจา ของพ้ืนทีก่ อ นท่ชี าวไตยวน จะอพยพมาอยู (ชลธิรา สัตยาวัฒนา, 2530: 22) ในเขตเชียงใหม–ลําพูน ศูนยกลางของลัวะอยูที่ เชงิ ดอยสุเทพ เพราะมีหอผีปแู สะ ยา แสะ ซงึ่ เปนผบี รรพบรุ ุษของชาวลวั ะอยูท่ีเชิงดอยและเช่อื กนั วา ฤๅษีวาสุเทพเปน ลูกหลานของปูแ สะยา แสะเชนเดียวกบั ขนุ หลวงวิรงั คะ ผูนําลวั ะยุคสุดทา ย (สรสั วดี อองสกลุ , 2539: 52)

90 หนาจ่ัว: วา ดวยสถาปต ยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวชิ าการ ประจาํ คณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ลวั ะ เรียกหัวหนา กลุมวา “ขนุ หรือ สะมาง” นับถอื ผี เชน ผีฟา ผีปา ผีภูเขา ผขี นุ นาํ้ ผีบา น ผเี มอื ง ผอี ารกั ษ ผเี สอ้ื บา น ผเี สอ้ื ไร ผีเฝา ประตหู มบู า น แมต อ มาเม่อื นับถอื ศาสนาพุทธแลว กย็ ังคง นับถือผี (ศรเี ลา เกษพรหม, 2541: 1-5) ลัวะเชื่อวาผมี ที งั้ ดแี ละเลว การติดตอกับผีจะติดตอโดยผาน การเซน ไหวดวยอาหาร โดยมผี ูทําพิธกี รรม คือ “ลาํ ” และ “ขนุ ” ของทใ่ี ชเซนผี ไดแก ไก หมู ววั ควาย และหมา นอกจากน้ี ลัวะยังมีความเช่ือวาบรรพบุรุษของตนเปนผูสราง “เสาอินทขิล” หรือ เสาหลกั เมอื ง และสรางวดั เจดยี หลวงในเมืองเชียงใหม (https://sopa2006.wordpress.com เขา ถงึ เมอ่ื 18 เม.ย.58 ) ลัวะมีเศรษฐกิจแบบพอยังชพี ปลกู ขา วไรไ วกินตลอดป ปลกู พชื สวนครัวแซมใน ไรข าว เก็บของปา ลา สตั ว และทาํ เคร่ืองมอื เหลก็ ปจจุบนั ลัวะตั้งชมุ ชนอยบู นดอยหรอื เชิงดอย ในปา เบญจพรรณทม่ี ตี น ไผข น้ึ แซมกบั ไมเ ตง็ ไมร งั ไมพ ลวง และใชใ บพลวงหรอื ใบตองตงึ มงุ หลงั คา (ศรเี ลา เกษพรหม, 2541: 1-5) ลัวะสรางบานเรยี งรายอยูตามแนวสนั เขา บานยกพ้นื สูงหลงั คาจะมไี มก าแล เปน สลักไขวกนั สองอนั เปนหนาจ่ัว หลังคามุงดว ยหญาคาหรือตองตงึ รอบๆหมบู านเปนพ้นื ท่สี าํ หรับ เพาะปลกู แมจ ะตงั้ ถนิ่ ฐานบนทส่ี งู หา งไกลจากชมุ ชนเมอื งแตช าวลวั ะกม็ คี วามสมั พนั ธก บั เมอื งมาตงั้ แต อดีต ดวยการเปนไพรสว ยทสี่ ง ของปา เชน เอ้อื งแซะ หรอื เครอื่ งใชท ที่ าํ ดวยเหล็กใหกบั เจานาย และ มีการคาขายแลกเปลย่ี นสนิ คา กบั คนพน้ื ราบมาโดยตลอด ลวั ะในจ.เชยี งใหมป จ จบุ นั กระจายตวั อยตู ามภเู ขา อยทู ด่ี อยสเุ ทพ ทอี่ .แมร มิ หางดง สนั ปา ตอง จอมทอง และฮอด (ศรเี ลา เกษพรหม, 2541: 1) บรเิ วณท่อี ยูอาศยั หนาแนน คือ ท่บี า นบอหลวง อ.ฮอด และท่บี านเมืองกะ อ.แมรมิ เปน หมบู านลวั ะทเ่ี ช่อื กนั วาสืบเชื้อสายมาจากขนุ หลวงวริ งั คะ ท่ี ในหมูบานมีศาลขุนหลวงวิรังคะและทหาร ชาวบา นจะเซนสรวงปละคร้งั และเช่ือวาดวงวญิ ญาณของ ขุนหลวงวริ ังคะสถิตอยู 3 แหง ไดแก ดอยคว่าํ หลอง บา นเมอื งกะ และดอยคาํ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม พธิ ีสกั การะขุนหลวงวริ ังคะ บานลวั ะ ปน ลาสัตว ภาชนะ เครอื่ งมือเหล็ก เคร่ืองมอื เครือ่ งใชแ ละอาหาร ภาพ 1: “ลัวะ” ท่ีบานบอหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม ที่มา: จากการสํารวจ

ฉบับท่ี 29 (มกราคม-ธันวาคม 2558) 91 นอกจากนี้ ทดี่ อยคาํ ยงั เปน ทสี่ ถติ ดวงวญิ ญาณของปแู สะ ยา แสะ บรรพบรุ ษุ ของลวั ะ ซงึ่ มกี ารเลยี้ งดว ย ควายทุกปห รือ 3 ป (http://www.hilltribe.org เขาถงึ เม่ือ 18 เม.ย. 58) อยางไรก็ตาม ในปจจบุ นั เวยี งเจด็ ลนิ ไดต ดั ความสมั พนั ธก บั ชาวลวั ะไปโดยสน้ิ เชงิ และมคี วามหมายในฐานะเวยี งรา งทก่ี ลายเปน พนื้ ทเ่ี พอื่ การพฒั นาใชป ระโยชนข องสว นราชการและสถาบนั การศกึ ษา รวมทง้ั พนื้ ทอี่ นรุ กั ษท างศลิ ป วฒั นธรรมของเมืองเชยี งใหม 3. เวียงเจด็ ลนิ : ความสําคญั เชิงประวตั ศิ าสตร ประวตั ศิ าสตรเวยี งเจ็ดลนิ แบงออกเปน 2 ชวง คอื ชวงแรก เปนชว งเวลาในตาํ นานที่เช่อื วา ลวั ะปกครองและสรา งเวยี งเจด็ ลนิ และชว งทส่ี อง เปน ชว งเวลาทางประวตั ศิ าสตรท ม่ี หี ลกั ฐานรองรบั วา พญาสามฝง แกน ราชวงศม ังราย เปน ผสู รางเวียงเจด็ ลิน จุดแบง ของชว งเวลาใชจ ารึกพระสวุ รรณ มหาวิหาร เมอื งพะเยาทจี่ ารึกขึน้ เมือ่ พ.ศ.1954 สมัยพญาสามฝง แกนอา งอิง เพราะถือเปนเอกสาร ชน้ั ตน ทม่ี คี วามนา เชอ่ื ถอื และตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม ทว่ี า เวยี งเจด็ ลนิ สรา งขน้ึ ในสมยั พญาสามฝง แกน ในขณะทเี่ รอื่ งราวของเวยี งเจด็ ลนิ ทเี่ ชอื่ วา สรา งขนึ้ กอ นสมยั พญาสามฝง แกน มเี พยี งตาํ นานไมป รากฏ หลกั ฐานประเภทที่เปนเอกสารช้ันตน (โบราณนรุ กั ษ, 2552: 136 - 139) ประวัตศิ าสตรเวียงเจ็ดลินชว งแรก ตาํ นานสวุ รรณคาํ แดง ตํานานเชยี งใหมป างเดมิ กลาวถงึ ชุมชนเมืองขนาดเลก็ บริเวณที่ราบ ลุมแมนํ้าปง กอนสรางเมืองหริภุญไชยราวพุทธศตวรรษท่ี 14 ชุมชนกอตั้งขึ้นที่แองเชียงดาวเพราะ เจา สวุ รรณคาํ แดง (สวุ ัณณคําแดง) อพยพไพรพ ลจากทางเหนือตดิ ตาม “ทรายคํา” ทพี่ ระอนิ ทรใหว ิ สกุ รรมเทวบตุ รจาํ แลงมาถงึ ตนี ดอยอา งสรงไดพ บและอยกู นิ กบั นางอนิ เหลาซงึ่ อาศยั อยใู นถาํ้ ดอยอา ง สรง แสดงถงึ การพบกันของกลมุ ชนที่มีอารยธรรมสูงกวากับชนพนื้ เมือง เจา สวุ รรณคาํ แดงสรา งเมอื งขน้ึ โดยมฤี าษเี ปน ผกู าํ หนดสถานทใี่ ห “หอื้ ไดช วนกนั สรา งเวยี ง ห้ือดีท่ีภูมิฐานท่ีน้ัน ก็จักเปนมหานคระเมืองใหญอันน่ึง...เขาก็ใสช่ือวาเมืองลานนา...เจาทาวคําแดง ราชบตุ รกร็ อ งหามายงั ลัวะผู 1 ช่ือวามทุ ทลวง...ยกหอื้ เปน ขุนหลวงมทุ ทลาง หือ้ มนั สัง่ สอนยังลัวะ ทังหลายใหอ ยใู นสัจจะ ศลี 5 ศีล 8...ที่น้นั ลวั ะทังหลายกถ็ ือสจั จะ และศลี ...บานเมืองทงั มวลอยู สคุ ติคมนะ ฟาดี ฝนดี เขาหนาปลาถกู ...เยียะนาป 1 กินกุม 7 ป ...ลูกหลาน (เจา สวุ รรณคําแดง) กนิ เมืองลานนาสืบแทนบร ูกีเ่ ชน ทา ว” เมอื งลา นนาลม สลายไปเพราะถกู นํ้าทว มหลาก สมยั พระยาคราว ผคู นกลวั ภัยน้ําทว มพากันหนีขน้ึ ไปอยเู ชงิ เขา “สืบกระกูลกนั มาเถงิ พระยาคราว เอาปลาฝาเผอื กมา กนิ เถิงเมอ่ื กลางคนื เวียงลา นนานน้ั ก็ลวดยบุ หลมลงเปน มหาสระหนองอนั ใหญ... ต้ังแตน้ันมาคนทัง หลายกก็ ลวั นา้ํ ทว ม...พากนั ยกยา ยไปสซู อกหว ยราวเขาขา งตนี ดอยและตนี มอ น” ตอ มาภายหลงั ชมุ ชน ขยายและกลัวภยั ขาศกึ จึงรวมตวั กันสรางเมืองใหม ชอ่ื เมือง “นารัฏฐะ” พระยามินนราชสบื เช้ือสาย พระยาคราวเปน ผคู รองเมอื งอยดู ว ยความสงบสขุ มาหลายชว่ั คน ถงึ สมยั พระยามนุ นิ ทพชิ ชะตดั สนิ คดี ลกู ตีแมไ มย ุตธิ รรมทาํ ใหฝนตก 7 วนั 7 คนื เวียงกล็ มเปนหนองอกี “ลนุ น้ันมาเมนิ มาก...เขาก็พากัน หนี ไปอยูบ านนอกขอกปา ท่จี ่ิมใกลข างดอย อยตู ามซอกหวยรมิ ดอย เหตวุ า จักอยูทต่ี ํ่าท่เี พยี ง เขา กก็ ลัวนํา้ ทว มและกลวั ยุบเหมือนกอนนน้ั ”

92 หนาจัว่ : วา ดวยสถาปตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอ ม วารสารวิชาการ ประจําคณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ตอมาชุมชนขยายจําเปนตองสรางเมืองใหม จึงไปขอใหฤาษีท่ีดอยผาลาดช้ีสถานที่สราง เวียง ไดแก เวียงเจ็ดลิน “พระรสีตนมีเมตตา...ก็ช้ีเวียงเจ็ดลินที่น้ันห้ือเขาแล ลางท่ีก็เปนแภะอยู (ปาโปรง) ลางท่ีก็เปนดงอยูเขาก็ชวนกันเผ้ียวแลวก็ ชวนกันแปงร้ังแปงเวียงอยูทิสะหันวันออกตีน เขาอุสปุ พ พตา...เจา รสกี ็ใสชอื่ วา เวียงเชฏฐปรุ ีและเจา ตนเสวยเมอื งนัน้ ชอ่ื วา พระยาสะเกตเปน เคา หนภายขระกูลลัวะมีพระยาวีวอเปนประธาน เขาก็พากันสรางแปงก็แลวทั่วบัวรมวลแลว เขาก็พา กนั อยูเปนที่สคุ ตคิ มนะ...อยสู ืบกนั มาเมินนานได 15เชน ทา ว” จนถงึ สมยั พระยาแมนตาทอก เกิดศึก กับ “ผขี อกฟา ตายนื ” ทท่ี ําใหผคู นลม ตายจํานวนมากและเวียงรา งไป “พระยาแมนตาทอกกไ็ ลขับผี ไปและไปถูกปนพิษผีตายยืนก็ลวกตายเสียที่น้ันแล เสนาอามาตยทังหลาย ก็เอาสรีระคราบพระยา ข้ึนใสช า งถอยคนื มา ผีก็ลวดตดิ ตามตวยรบเขามาตราบตอเทา เถิงเวียงเชฏฐ... ผีขอกฟาตายนื ก็ ลวด พากันมาแวดเวียงคุมเวยี งเชฏฐปรุ ี คอื วาเวยี งเจ็ดรินนีแ้ ล...ผกี ็มาคมุ เวยี งนานได 3 ป แลคนทังหลาย ก็อยากนํ้า ก้ันเขามากนักเวียงก็ลวดแตก ผีทังหลายก็เขาไปเซาะหากินคนทังหลาย อันเปนลูก นอ งพระยาแมนตาทอกนนั้ ” (สมหมาย เปรมจิตตแ ละคณะปรวิ รรต, 2537: 3-12) ชาวเวยี งเจด็ ลิน แกปญหาเหตุรายของเมืองดวยการรักษาสัจจะและรักษาศีลใหเครงครัดข้ึนตามคําแนะนําของฤาษี โดยเฉพาะลวั ะ 9 ตระกลู ทที่ าํ หนา ทเี่ ฝา บอ เงนิ บอ คาํ บอ แกว ทพ่ี ระอนิ ทรใ หเ ปน การตอบแทนทร่ี กั ษา ศลี นา จะหมายถงึ ลวั ะทม่ี ฐี านะมงั่ คง่ั ขนึ้ จากการตดิ ตอ ซอ้ื ขายของปา กบั รฐั ทวารวดบี รเิ วณทร่ี าบลมุ แมน้ําภาคกลางของประเทศไทย ตอมาชุมชนขยายจึงสรางเวียงสวนดอกไมห ลวงและเวียงนพบรุ ี ที่ บรเิ วณเมอื งเชยี งใหมใ นปจ จบุ นั เพอ่ื ใกลแ มน าํ้ ปง ซง่ึ เปน เสน ทางตดิ ตอ คา ขาย มคี วามมง่ั คง่ั ถงึ ขนั้ กลวั บา นเมอื งอ่นื จะมาแยง ชิง “บอเงนิ บอคํา บอแกว ” จงึ ทาํ พิธบี ูชาเสาอินทขิลและเลีย้ งกุมภัณฑ 2 ตน ทแี่ บกเสาอนิ ทขลิ ลงมาใหเ พอ่ื ความเปน ศริ มิ งคลแกบ า นเมอื ง (สมหมาย เปรมจติ ตแ ละคณะปรวิ รรต, 2537: 14-16) หรอื เพอ่ื ความสามัคคีของชุมชนท่ีมจี ดุ รวมความเช่ือรวมกัน ประมาณพ.ศ. 1310-1311 ฤาษวี าสเุ ทพสรา งเมอื งหรภิ ญุ ไชยแลว ทลู เชญิ พระนางจามเทวจี าก เมอื งละโว มาครองเมอื ง ขนุ หลวงวลิ งั คะ ผนู าํ ลวั ะเชงิ ดอยสเุ ทพไมพ อใจทถี่ กู ชนตา งถน่ิ ทม่ี อี ารยธรรม สงู กวา แทรกแซง จงึ ยกทพั มาทาํ สงครามแตพ า ยแพ ลวั ะสว นหนงึ่ หนกี ระจดั กระจายไปอยตู ามปา เขา บางสว นยอมอยูใตอาํ นาจหรภิ ญุ ไชยและถูกจัดใหอ ยูในเมอื งหรภิ ญุ ไชย อกี สว นหนง่ึ พระนางจามเทวี แตง ตงั้ ขนุ ลวั ะใหป กครองกนั เอง แตต อ งสง สว ยเปน ประจาํ สนั นษิ ฐานวา ชมุ ชนลวั ะคงรวมตวั กนั อยทู ่ี เชงิ ดอยสเุ ทพสบื มา (สรสั วดี อองสกลุ , 2529: 12) ประมาณพ.ศ. 1835 เมอื งหรภิ ุญไชยถกู พญามงั รายยึดครอง ทรงประทบั อยรู ะยะหน่งึ แลว มอบใหอ ายฟาปกครองตอ พระองคท รงยายมาสรา งเวยี ง กุมกามแตมีปญหานํ้าทวมหลากเสมอ จึงเสด็จออกหาทําเลที่ต้ังเมืองใหมหลายแหงจนกระท่ังพบ “ปาลอมคา” ท่มี ลี ักษณะพเิ ศษเชิงดอยสเุ ทพประกอบกับ ชัยมงคลทดี่ ี 7 ประการ ทงั้ นมิ ติ ความเชอื่ ทเี่ ปน มงคลและปจ จยั ทางดา นผงั เมือง จึงสรา งเมืองใหมช อื่ “นพบุรีศรนี ครพงิ คเชยี งใหม” ในป พ.ศ. 1839 สนั นิษฐานวา ขณะนน้ั เวียงเจด็ ลนิ ยงั คงอยแู ละเปน พันธมติ รกบั พญามังราย เพราะตํานานพนื้ เมอื งหลายฉบบั กลา วถงึ ขนุ ลวั ะ และลวั ะเชงิ ดอยสเุ ทพในลกั ษณะทพ่ี ญามงั รายใหก ารยกยอ งในฐานะ

ฉบับท่ี 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 93 ผรู ทู ีอ่ าศยั อยบู รเิ วณนม้ี ากอ น “เหลา คาสวนขวัญแหง น้ีเปนท่อี ยขู องทาวพระยามากอ น” (ประชากิจ กรจกั ร, 2507: 290) “บา นเมอื งอนั นปี้ ฐมเมอื่ กอ นแรกตงั้ หวั ที กห็ ากพระยาลวั ะลกุ แตด อยอสุ ปุ พ พตา ลงมาสรางแล เราควรแตงบรรณาการห้ือศรีกอนไชย...ไปถามขาวแกพระยาลัวะ แลวถามดูจารีต ฮดี ฮอยแตต น ...พระยาลวั ะกห็ อื้ ศรขี นุ จกุ เอาหลาบเจย้ี ลวั ะ(หนงั สอื )...มาอา นหอ้ื ฟง ...หอื้ ไดป ชู าเสาหนิ อินทขิลและกุมภัณฑ ...และเทพยดาเชนเมอื ง” (สมหมาย เปรมจิตตและคณะ ปริวรรต, 2537: 29) เมอื งเชยี งใหมส รา งขนึ้ ในบรเิ วณทใี่ กลม ากและมคี วามเจรญิ กวา ชาวเวยี งเจด็ ลนิ คงจะอพยพมาอยใู น เมอื งเชยี งใหมแ ลวปลอยใหเวียงรางไป ประวัติศาสตรเ วยี งเจ็ดลินชวงท่ีสอง สมยั พญาสามฝง แกน (พ.ศ. 1945 -1984) มีการสถาปนาเวยี งเจ็ดลินข้นึ เปน ท่ีพักผอนและ มีเหตุการณท่ีพระยาไสยลือไทยจากสุโขทัยยกทัพมาตีเมืองเชียงใหมเพ่ือชวยเหลือทาวยี่กุมกามผูพ่ี ของพญาสามฝงแกนไดครองราชสมบัติแทน แตไมสําเร็จและถอยทัพกลับไป “คร้ันอยูมาไดเจ็ดวัน พระยาไสยลอื ไทยกถ็ อยทพั ไปตง้ั อยดู อยเจด็ ลนิ แลว กเ็ ลกิ ทพั กลบั ...เจา สามฝง แกน พระเจา นครพงิ ค เชยี งใหม เอานมิ ติ ทพี่ ระยาไสยลอื ไทยไปตงั้ อยเู ชงิ ดอยเจด็ ลนิ แลว ขน้ึ ไปสรงนา้ํ ณ ดอยผาลาดหลวง มี ใจครนั่ ครา มชาวเชยี งใหมเ ลกิ ทพั กลบั ไปโดยปกตนิ น้ั จงึ ใหส ถาปนาทด่ี อยเจด็ ลนิ นน้ั เปน เวยี ง” (ประชา กิจกรจักร, 2507: 314-315) ตาํ นานสบิ หา ราชวงศ กลา วถงึ คณุ ภาพนา้ํ เวยี งเจด็ ลนิ โดยพระยาไสยลอื ไทยวา “กไู ดก นิ นาํ้ 7 รนิ ยนิ ลําแกใจนกั น้าํ ทใ่ี ดจักเปนดั่งน้าํ 7 รนิ ” (สมหมาย เปรมจติ ต, 2540: 63) และมเี หตุการณท่ี ทา วลกหรอื พญาตโิ ลกราช สมคบกบั ขนุ สามเดก็ ยอ ยบงั คบั ใหพ ระราชบดิ าสละราชสมบตั ิ “ขณะนน้ั เจา สามฝงแกนพระเจานครเชียงใหมไปประทบั สาํ ราญอยู ณ เวยี งเจ็ดลนิ เจา ทาวลกกบั ขนุ เดก็ สามยอ ย เตรยี มการทงั้ ปวงพรอ มแลว เวลาเทยี่ งคนื กแ็ ตง คนลอบไปจดุ ไฟเผาเวยี งเจด็ ลนิ ไหมข นึ้ เจา พระยาสามฝง แกนก็ทรงมาท่ีน่ังแลนเขาเมืองเชียงใหม เจาทาวลกก็ใหกุมเอาตัว...ผูบิดาไวบังคับใหเวนราชสมบัติ ใหแกตน” (ประชากิจกรจักร, 2507: 321) ตั้งแตน้ันมาเวียงเจ็ดลินคงถูกใชเปนเวียงที่ประทับพัก ผอนเลนนํ้าตก ลาสัตว ในยามศึกสงครามทําหนาท่ีเปนเวียงบริวารชวยรบ รักษาพื้นที่เชิงเขาดาน ทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของเมืองเชียงใหม ซึ่งเปน จดุ ยทุ ธศาสตรท ่ีสาํ คญั เพราะอยูใกลปาท่เี ปน แหลง อาหารอนั อุดมสมบูรณ มนี ํา้ ใชเ พยี งพอ ตั้งทพั ไดนานไมม ีปญ หานํ้าหลากทวม อยูบ นเชิงเขามองเห็น ขาศกึ ไดกวา งและไกล สมัยพระนางจิรประภา (พ.ศ. 2088-2089) เปนชวงที่เมืองเชียงใหมประสบปญหาดาน การปกครอง พระเจาไชยราชา (พ.ศ. 2077-2089) แหง กรุงศรีอยุธยายกทพั มาลอมเมือง พระนาง จิรประภายอมสงเครื่องราชบรรณาการ อยุธยาจึงยกทัพกลับไป “สมเด็จพระบรมไตรจักร เจากรุง พระนครศรีอยธุ ยา...พยหุ โยธาทัพหลวงขึน้ มาถึงเมืองนครเชียงใหม ... เจามหาจริ ประภาเทวี ใหแ ตง ขนุ ผูฉ ลาดคุมเครือ่ งราชบรรณาการไปถวายตอ นรบั โดยทางพระราชไมตรี ...ถงึ วันแรมเจด็ คํา่ เดอื น สบิ เสด็จไปสรงนาํ้ ยังเวียงเจ็ดลนิ ประทบั แรมทนี่ น้ั ...ครนั้ ถงึ วนั อาทติ ย เดอื นสิบ แรมสบิ สองคาํ่ เวลา ใกลรุงเสดจ็ คลาทพั หลวงจากเมืองนครเชยี งใหม ” (ประชากิจกรจกั ร, 2507: 382)

94 หนาจว่ั : วาดว ยสถาปตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอ ม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร พ.ศ. 2101 - 2317 เมืองเชียงใหมและอาณาจักรลานนาตกเปนเมืองข้ึนของพมา พ.ศ. 2325 พญากาวิละแหง ราชวงศเ จาเจ็ดตนกูเอกราชแลวใชเวลาถึง 14 ป ในการรวบรวมไพรพ ล ฟน ฟู บรู ณะเมอื งเชยี งใหมท ถ่ี กู ปลอ ยทงิ้ ใหร า งไปประมาณ 20 ป (พ.ศ. 2319-2339) ไดส าํ เรจ็ (สรสั วดี ออ ง สกุล, 2529: 53) มีการกลาวถงึ เวยี งเจ็ดลนิ อกี ครัง้ ในสมยั พระยาพุทธวงศ (พ.ศ. 2369-2389) แสดง วา เวยี งเจด็ ลนิ ไดร บั การฟน ฟบู รู ณะดว ยเชน กนั “ไดเ สดจ็ ออกไปยา ยเคราะหอ ยหู ว ยแกว เวยี งเจด็ ลนิ ” (อุดม รงุ เรอื งศรีและคณะ ปรวิ รรต, 2538: 168) พ.ศ. 2459–2468 มีการใชพืน้ ทีเ่ วียงเจด็ ลิน (รา ง) เปนที่ต้งั โรงเรียนมหาดเลก็ หลวงแบบ โรงเรยี นวชริ าวธุ วทิ ยาลยั ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจา อยหู วั ทรงนาํ แบบอยา งมาจากประเทศ อังกฤษ ทรงโปรดเกลา ใหพ ระวรวงศเธอพระองคเ จา บวรเดชฯ เปนผดู าํ เนินการจัดตัง้ พระองคและ พระราชชายาเจาดารารัศมีทรงอุปถัมภดวยพระราชทรัพยสวนพระองค แตตองเลิกไปเม่ือพระบาท สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจา อยหู วั เสดจ็ สวรรคตเนอื่ งจากขาดผอู ปุ ถมั ภ (บญุ เสรมิ สาตราภยั , 2522: 138) พ.ศ. 2477 – 2478 มีการสราง “ถนนศรวี ิชัย” ใหรถยนตวงิ่ ขน้ึ ดอยสุเทพโดยการนําของ ครบู าศรวี ชิ ยั ระยะทาง 12 กโิ ลเมตร ทาํ พธิ กี รยุ ทางเมอ่ื วนั ที่ 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2477 เวลา 10.00 น. โดยเจา แกวนวรัฐ เจา ผคู รองนครเชยี งใหมอ งคสดุ ทา ยเปนผูล งจอบแรก ใชเวลาสราง 5 เดือน 22 วนั ทาํ พธิ เี ปดวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 (บุญเสริม สาตราภัยและสังคตี จนั ทนโพธ์ิ, 2524: 40) จดุ เรมิ่ ตน ของถนนศรีวชิ ัยทบั ซอนอยบู นแนวคูนํ้า คันดนิ ของเวียงเจด็ ลินดานทิศตะวันตกเฉยี งใต โรงเรยี นมหาดเลก็ หลวง ครูบาศรีวชิ ัยผูนําศรทั ธาสรา งถนนข้นึ ดอยสเุ ทพ โดยมเี จาแกว นวรัฐ ทาํ พิธี “ลงจอบแรก” โรงเรียนมหาดเลก็ หลวง วทิ ยาลยั เทคนคิ ภาคพายพั ในระยะแรก ยงั ปรากฏแนวคนั ดนิ ของเวยี งเจด็ ลนิ ภาพ 2: การใชป ระโยชนพื้นทเ่ี วยี งเจ็ดลนิ (รา ง) ทมี่ า: บุญเสริม สาตราภยั และสังคีต จันทนโพธิ,์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลานนา

ฉบับท่ี 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 95 4. เวยี งเจ็ดลนิ : ความสําคญั เชิงโบราณคดี หลกั ฐานทางโบราณคดที ข่ี ดุ พบในเวยี งเจด็ ลนิ เปน อกี แหลง ขอ มลู หนง่ึ ทจี่ ะชว ยสบื คน ความ เปน มาของเวยี งเจด็ ลนิ มกี ารกลา วถงึ โบราณวตั ถทุ พ่ี บบรเิ วณวดั หมบู นุ วา “มผี ขู ดุ พบพระพทุ ธรปู ตา งๆ เปน จาํ นวนมากและพระพทุ ธรปู เหลา นนั้ ไดก ลายเปน สนิ คา จาํ หนา ยไปในตลาดมดื นอกจากนี้ ยงั มสี ระ นา้ํ กอ ดว ยศลิ าแลงอยา งแขง็ แรง ซง่ึ ยงั ปรากฏอยใู นบรเิ วณปศสุ ตั วเ ลย้ี งโคนมของเยอรมนั ” (สงวน โชติ สขุ รตั น, 2514: 107-109) การขดุ คน ทางโบราณคดเี วยี งเจด็ ลนิ โดยกรมศลิ ปากร ทาํ การขดุ คน ครง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. 2541 ขดุ คน 4 หลมุ พน้ื ท่ี 24 ตารางเมตร บรเิ วณทศิ ใตข องเวยี งเจด็ ลนิ (พนื้ ทสี่ วนรกุ ขชาต)ิ พบโบราณวตั ถพุ วกเศษภาชนะดนิ เผาเน้ือดนิ (Earthenware) และเนอื้ แกรง (Stoneware) ทงั้ แบบ เคลอื บและ ไมเ คลอื บ พบในชน้ั ดนิ ท่ี 2 ความลกึ 40-100 เซนตเิ มตรจากพน้ื ผวิ ดนิ เศษภาชนะดนิ เผา เนอ้ื แกรง พบวา มาจากแหลง เตา ไดแก เตาสนั กาํ แพง และ เตาพ้ืนบาน เบ้ยี ดนิ เผา ตะคนั และพบ ภาชนะดินเผาแบบหริภุญไชยเปน ภาชนะทรงคนโท (นํ้าตน) ปะปนอยูด ว ย การขุดคนทางโบราณคดี เวยี งเจด็ ลนิ ครงั้ ท่ี 2 ในปพ .ศ. 2551-2552 ตามรายงานการขดุ คน ทางโบราณคดเี วยี งเจด็ ลนิ ฯ ภายใต โครงการอนรุ กั ษแ ละพฒั นาเมอื งประวตั ศิ าสตรเ ชยี งใหม จงั หวดั เชยี งใหม ทห่ี า งหนุ สว นจาํ กดั โบราณ นุรกั ษ เสนอตอ สาํ นักศลิ ปากรที่ 8 เชียงใหม กรมศิลปากร ทาํ การขุดคน 5 หลุมขดุ คน โบราณวตั ถุ ท่ีขุดคนในเวยี งเจด็ ลนิ พบหลักฐานเครือ่ งมอื เครอ่ื งใชของมนษุ ยก อนประวัตศิ าสตร และพบภาชนะ ดนิ เผาทเ่ี ปน โบราณวตั ถปุ ระเภทเดน (diagnostic artifact) แบบหรภิ ญุ ไชยทรี่ ว มสมยั กบั ลา นนา เมอ่ื พทุ ธศตวรรษที่ 20 และโบราณวตั ถรุ ว มสมยั ปจจุบนั (โบราณนรุ กั ษ, 2552: 29 - 30) การขดุ คนทางโบราณคดี หลุมขุดคน ที่ 1 และ 1/1 หลุมที่ 1 บริเวณใกลต านา้ํ ศูนยกลาง เวียงเจด็ ลนิ ขุดลกึ ลงไป 30 ซม. พบน้ําใตดิน ขดุ ตอไปท่ีระดบั 45 ซม.กห็ ยุดเพราะมนี ้ํามากเกินไป ตองขยับออกไปขุดคน ทีห่ ลุม 1/1 แทน โดยใชเ คร่ืองชว ยสบู นาํ้ ออก พบโบราณวตั ถุสมัยลานนาและ รว มสมยั ปจจบุ นั เชน ตะคนั ดินเผา สากหนิ หลมุ ขุดคนท่ี 2 ดา นทิศตะวันตกของเวยี งเจด็ ลนิ พบเศษ ภาชนะเนอื้ ดนิ และเนอื้ แกรง หลายชนิ้ เชน เศษภาชนะจากเตาสนั กาํ แพง แมพ น้ื ทจี่ ะมคี วามลาดเอยี ง แตกค็ งมกี ารอยอู าศัยรว มสมยั ปจจุบันและสมัยลา นนา หลมุ ขุดคนท่ี 3 ดานทิศเหนอื ของเวียงเจด็ ลนิ บนเนินขนาดเลก็ ริมรอ งนํ้าใกลต น มะมว งปา พบโบราณวัตถสุ มัยกอนประวตั ิศาสตร เชน เคร่ืองมือ แกนหนิ โบราณวตั ถสุ มยั ลา นนาและรว มสมยั ปจ จบุ นั โบราณวตั ถสุ มยั ลา นนา พบในชนั้ ดนิ ตอนบนของ หลมุ ไดแ ก เศษภาชนะเนอื้ ดนิ และเนอื้ แกรง ซงึ่ ตดั ขาดแยกจากชนั้ ดนิ สมยั กอ นประวตั ศิ าสตร หลมุ ขดุ คน ที่ 4 ดา นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใตข องเวยี งเจด็ ลนิ บรเิ วณสวนรกุ ขชาติ พบโบราณวตั ถมุ ากกวา หลมุ ขดุ คน ท่ี 1-3 แสดงวา เปน พนื้ ทท่ี มี่ กี ารใชท าํ กจิ กรรมมาก ประเภทโบราณวตั ถหุ ลากหลายและเปน ชน้ิ สว น หลมุ ขดุ คน ท่ี 4/1 บนไหลก าํ แพงเมอื ง พบหลกั ฐานรว มสมยั ปจ จบุ นั รว มสมยั ลา นนาเปน เศษภาชนะท่ี มสี ภาพเกอื บสมบรู ณ เชน เศษภาชนะเตาเวยี งกาหลง เตาสนั กาํ แพง และเศษภาชนะดนิ เผาหรภิ ญุ ไชย หลุมขุดคนท่ี 5 ดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียงเจ็ดลิน ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ลานนา พบกระเบือ้ งดนิ ขอสมัยลานนาจํานวนมาก พบวัตถุทใ่ี ชในชีวติ ประจาํ วนั เชน เศษภาชนะดนิ เผาเนื้อดนิ เนื้อแกรง ตะคนั ดินเผา แทน หินบดยา และเบีย้ ดนิ เผา แสดงวา เปน พน้ื ท่ีๆมีการอยูอาศยั ของคนในกลุมวัฒนธรรมลานนา และมีอาคารที่มุงหลังคาดวยกระเบ้ืองดินขออยูในบริเวณใกลเคียง (โบราณนรุ กั ษ, 2552: 88-135) จากหลกั ฐานทางโบราณคดี พบทาํ ใหแ นวความคดิ ทางประวตั ศิ าสตร ทวี่ า เวยี งเจด็ ลนิ นา จะสรา งขนึ้ ในสมยั พญาสามฝง แกนมนี า้ํ หนกั มากกวา เวยี งเจด็ ลนิ ทส่ี รา งขน้ึ ในชว ง สมยั ตํานาน เพราะปจจบุ ันยงั ไมพบโบราณวัตถทุ ี่เปนหลกั ฐานยืนยนั

96 หนา จวั่ : วาดวยสถาปต ยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวชิ าการ ประจําคณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ตาํ แหนงท่ีทําการขดุ คน หลมุ ขุดคนที่ 5 ภาพ 3: การขดุ คน ทางโบราณคดเี วยี งเจ็ดลิน ครัง้ ท่ี 2 ในปพ.ศ. 2551-2552 ทีม่ า: จากการสาํ รวจ ภาพ 4: โบราณวัตถทุ ี่พบจากการขดุ คน ทางโบราณคดเี วียงเจด็ ลิน ครัง้ ที่ 2 พ.ศ. 2551-2552 ที่มา: หา งหนุ สวนจํากัด โบราณนรุ กั ษ

ฉบับท่ี 29 (มกราคม-ธันวาคม 2558) 97 5. เวยี งเจด็ ลิน: ความสําคญั เชงิ ผงั เมือง พัฒนาการตั้งถ่ินฐานของชุมชนในบริเวณท่ีราบลุมแมนํ้าปงนั้น มีหลักฐานโบราณคดี มนุษยกอนประวัติศาสตรท่ีเริ่มคลี่คลายจากสังคมไลลาสัตวและเก็บหาพืชเปนอาหาร (Hunting and Gathering Society) เขาสูสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) ระดับหมูบาน พบขวาน หินขดั อายปุ ระมาณ 3,000–1,000 ปกอ นคริสตกาล ทวั่ ไปในภาคเหนือ บริเวณทีร่ าบลุมแมน ํา้ และ พบวา มีการปลูกขา วแลว ประมาณ 300 ปก อนคริสตกาล–ค.ศ. 100 พบหลักฐานทางโบราณคดีท่ี แสดงถงึ วถิ ชี วี ติ แบบเกษตรกรรม อาศยั อยบู รเิ วณทรี่ าบลมุ แมน า้ํ แตย งั คงใชถ าํ้ เปน ทฝ่ี ง ศพ มกี ารตดิ ตอ แลกเปลี่ยนสิง่ ของหายากกับคนตา งถนิ่ ทมี่ ีอารยธรรมสูงกวา เชน ที่เพงิ ผาชา ง วนอุทยานออบหลวง อ.ฮอด จ.เชยี งใหม ที่บานวงั ไฮ อ.เมือง จ.ลําพูน ทบ่ี า นยางทองใต อ.ดอยสะเกด็ จ.เชียงใหม (พิริยะ ไกรฤกษ, 2533: 84-122) ทบี่ า นสนั ปา คา อ.สนั กาํ แพง จ.เชยี งใหม ทวี่ ดั ประตลู ้ี อ.เมอื ง จ.ลาํ พนู แลว จงึ พฒั นาความเจรญิ สกู ารเปนเมือง โดยสรา งเมืองหรภิ ญุ ไชยขึน้ เมอ่ื ประมาณ พ.ศ.1200 เปน เมอื งที่ รับอารยธรรมจากเมืองละโว (ลพบุร)ี สว นเมืองเชียงใหมทส่ี รางข้นึ ในปพ.ศ. 1839 โดยพญามังราย ปฐมกษตั ริยแ หงลา นนานัน้ ไดรับอิทธิพลในการเลือกทําเลที่ตั้งและการวางผังเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยมจากเมืองสุโขทัยผานพอขุน รามคําแหง ความเปนเมืองเชียงใหมไมไดมีเฉพาะเมืองช้ันในรูปทรงสี่เหล่ียมและเมืองช้ันนอกท่ีใช ลํานํ้าแมขาและลําคูไหวเปนคูนํ้าเทาน้ัน แตยังประกอบไปดวยพื้นที่เกษตรกรรมและหมูบานขนาด เล็กโดยรอบ ชุมชนดานทิศเหนือของเมือง ยานการคาดานหนาเมืองทางทิศตะวันออกถึงแมน้ําปง (ยา นทา แพ) และขา มฝง แมน าํ้ ปง มาจนถงึ สถานรี ถไฟในสมยั หลงั (ยา นสนั ปา ขอ ย) พน้ื ทด่ี า นทศิ ตะวนั ตกของเมอื งซงึ่ เปน ทตี่ ง้ั ของวดั สวนดอก ศนู ยก ลางพทุ ธศาสนาในระยะแรกของเมอื งเชยี งใหมท ร่ี บั มา จากเมอื งสุโขทยั รวมท้ังกลมุ วัดปา ในเขตอรัญวาสีของเมือง และกลุมเวียงบรวิ าร ไดแ ก เวยี งกมุ กาม เวียงบวั เวยี งสวนดอก และเวียงเจ็ดลิน เวียงเจ็ดลินท่ีปรากฏรองรอยของคันดิน คูนํ้ามาจนถึงปจจุบันนาจะสรางข้ึนในสมัยพญา สามฝงแกน (พ.ศ. 1945-1984) ลักษณะพิเศษทางผังเมืองของเวียงเจ็ดลิน คือ การมีรูปทรงกลม แบบเรขาคณติ โดยกาํ หนดจดุ ศนู ยก ลางเวยี งทต่ี านา้ํ เมอื่ วดั ระยะเวยี งเจด็ ลนิ จากภาพถา ยทางอากาศ พบวา มีเสนผา ศูนยกลางประมาณ 900 เมตร พืน้ ท่ปี ระมาณ 398 ไร หรือ 0.64 ตารางกโิ ลเมตร ขดุ คนู าํ้ ลอ มรอบเวยี งเปน วงกลม คนั ดนิ ดา นในสงู กวา ดา นนอก พน้ื ทม่ี คี วามลาดเทจากดอยสเุ ทพดา น ทศิ ตะวันตกสดู านทิศตะวนั ออก อิงปา ท่เี ปนแหลง อาหาร องิ น้ําทีน่ า จะมี 7 ลนิ ตามชือ่ เรยี ก จากการ ศึกษาภาพถายทางอากาศเวียงเจ็ดลิน พ.ศ. 2510 จากการสัมภาษณและสํารวจพบแหลงน้ําท่ีหลอ เลีย้ งเวยี ง 7 สาย ดงั นี้ 1) ตาน้ําผดุ กลางเวียงเจ็ดลิน เปน ลกั ษณะพเิ ศษตามธรรมชาตทิ ี่คนโบราณถอื เปนมงคล จึงกาํ หนดตาํ แหนง ใหเ ปนศนู ยก ลางเวียง 2) หวยแกว สง นํ้าเขาคดู า นทิศตะวนั ตกเฉยี งใต และหลอเล้ียงพื้นท่ีเกษตรกรรมดานทิศใต 3) สาขาของน้ําหวยแกวไหลผานสวนรุกขชาติขามถนน หวยแกว ผานดานหนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนาลงสูคูนํ้าดานทิศตะวันออกเฉียงใต (จําเหลาะ สมจติ ต และองอาจ รัชเวทย, สมั ภาษณ 2541) 4) ลาํ ธารท่ไี หลผานวัดศรโี สดา สง นํ้าเขา คู ดา นทศิ ตะวนั ตกรวมกบั ลาํ ธารสายที่ 5) เปน ลาํ ธารขนาดใหญไ หลผา นเวยี งเจด็ ลนิ ทางตอนเหนอื โดยมี

98 หนาจั่ว: วาดวยสถาปตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปตกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร ทา ยนา้ํ อยทู างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ลาํ ธารสง นา้ํ เขา สคู นู าํ้ ดา นทศิ เหนอื (จาํ เหลาะ สมจติ ต, สมั ภาษณ 2541) 6) ลาํ ธารสาขาสง นาํ้ เขาคนู ํา้ ดานทศิ เหนอื 7) หวยชางเค่ียน สงนํ้าเขาคูดานทิศตะวันออก เฉียงเหนือท่ีตําแหนงใกลเคียงกับทายนํ้าสายที่ 4, 5 และหลอเลี้ยงพ้ืนที่เกษตรกรรมของเมืองดาน ทศิ เหนือและทิศตะวนั ออก เวียงเจ็ดลนิ กบั เมืองเชียงใหม “7 ลิน” สายนํ้าทหี่ ลอเลยี้ งเวยี ง ภาพถายทางอากาศเวยี งเจ็ดลนิ พ.ศ. 2548 คนั ดิน คูน้าํ ตานํ้าศนู ยก ลางเวยี ง ภาพ 5: ผงั เวียงเจ็ดลินและองคประกอบที่สาํ คญั ท่มี า: ทวิ า ศุภจรรยา, นวลศริ ิ วงศทางสวสั ด,ิ์ www.maps.google.co.th , และจากการสาํ รวจ

ฉบับท่ี 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 99 โครงสรา งเวยี ง ไดแก คูนาํ้ คันดิน ที่ขุดดว ยแรงงานมนษุ ยเ พือ่ ปอ งกันเวยี งยามมีสงคราม การขดุ ใชว ธิ พี นู ดนิ ออกทง้ั 2 ดา น คนั ดนิ ชนั้ ในสงู กวา คนั ดนิ ชนั้ นอกเพอื่ ความปลอดภยั ประโยชนข อง คนั ดนิ ชนั้ นอกเพอ่ื กนั นา้ํ ในคเู มอื งลน ทว มพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดา นลา งของเมอื งเชยี งใหม รกั ษาระดบั นา้ํ ในคูดวยฝายน้ําลน (เข่อื นขนาดเล็ก) เปนระยะตามความลาดเทของพ้นื ท่ี เม่ือศกึ ษาวเิ คราะหเปรยี บ เทียบลักษณะทางกายภาพของผังเวียงเจ็ดลิน กับผังเมือง1 อ่ืนๆในพื้นท่ีภาคเหนือของประเทศไทย พบวา เมอื งสว นใหญมีรปู แบบใน 2 ลักษณะ รปู แบบที่ 1 คือ ผงั เมอื งทม่ี รี ูปทรงอิสระ (Free Form) เชน เมืองหริภุญไชย เมืองลําปาง เมืองแพร ซ่ึงเปนเมืองท่ีรวมสมัยกันและมีผังเมืองมีรูปทรงคลาย “หอยสังข” เมืองนาน มผี งั เมืองรูปทรงอสิ ระ เมอื งพะเยาทมี่ ผี ังเมืองเปน รปู ทรงคลายผล “นาํ้ เตา” รปู แบบท่ี 2 คอื ผงั เมอื งทม่ี รี ปู ทรงแบบเรขาคณติ (Geometric Form) เชน เมอื งสโุ ขทยั ทรี่ บั อารยธรรม จากขอมในการสรา งเมอื งรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา (Square/rectangular) และสง ผา นภมู ปิ ญ ญาในการเลอื ก ทําเลท่ีตงั้ และการวางผงั ใหเมอื งเชยี งใหม เมื่อศกึ ษาวเิ คราะหเปรยี บเทยี บผงั เวียงเจด็ ลิน กบั ผงั เวยี งโบราณอื่นๆ รอบเมอื งเชยี งใหม เชน เวยี งทา กาน เวียงพรา ว และเวียงสวนดอกท่เี ปนเวยี งศาสนาในเมืองเชยี งใหมแลว พบวา ไมมีผัง เวยี งใดทม่ี ลี กั ษณะสณั ฐานกลมแบบเวยี งเจด็ ลนิ จงึ ทาํ ใหเ วยี งเจด็ ลนิ มคี ณุ คา ทางผงั เมอื งดว ยลกั ษณะ เฉพาะทีพ่ เิ ศษกวา เมอื งหรอื เวยี งโบราณทวั่ ไป และพบวา เวยี งเจ็ดลินนา จะเปนเวยี งทีถ่ กู สรางขึ้นเพอื่ การประทับพักผอน เลนนํ้าตก เขาปาลาสัตว ของชนชั้นสูงของเมืองเชียงใหม รวมท้ังเปนสถานที่ ตอ นรบั แขกบานแขกเมือง เวียงเจ็ดลินจงึ มิใชเปนเมอื งท่มี คี วามสมบูรณใ นตวั เอง แตเปนหนง่ึ ในกลุม เวยี งบรวิ ารของเมอื งเชียงใหม เวยี งเจด็ ลินไมนาจะเปนเมอื งทม่ี กี ารอยูอ าศยั ทป่ี ระกอบไปดวยวัง วดั ตลาด บา น แตเ ปนเวียงบริวารที่เปน องคประกอบทางผังเมอื งของเมอื งเชียงใหม จากแนวคดิ นี้เชอ่ื ม โยงใหเ หน็ ภาพเมอื งเชยี งใหมโ ดยรวมวา อยอู าศยั จรงิ ในเขตเมอื งชน้ั ในและชนั้ นอก มกี ลมุ เวยี งบรวิ าร ทีท่ าํ หนา ท่เี ฉพาะรวมดว ย ไดแ ก เวียงกมุ กาม เพ่ือการอยูอาศยั แตมีปญหาน้าํ ทวม เวยี งสวนดอกเพื่อ การศาสนา เวยี งบวั เพอ่ื การพกั ผอ นใกลห นองบวั หรอื หนองนาํ้ ขนาดใหญด า นทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของเมอื ง และเวียงเจด็ ลินเพอ่ื การพกั ผอ นตากอากาศเชงิ ดอยสเุ ทพ จากการศึกษาพบวา สถานภาพของเวียงเจ็ดลินในปจจุบันมีขอจํากัดในการอนุรักษและ พฒั นา คอื ขาดองคค วามรเู ชงิ คณุ คา ดา นตา งๆของเวยี งเจด็ ลนิ ไมป รากฏหลกั ฐานทางสถาปต ยกรรม ไมสามารถมองเห็นภาพรวมของรูปทรงผังเมืองที่เปนลักษณะพิเศษไดจากทัศนียภาพ ปจจุบันมีการ ใชป ระโยชนท ด่ี นิ ของมลู นธิ วิ ดั พระธาตดุ อยสเุ ทพ เพอ่ื การฟน ฟวู ดั รา งใหม พี ระสงฆจ าํ พรรษา ในนาม ของวดั หมบู นุ และสว นราชการหลายหนว ยงาน ซงึ่ มแี นวความคดิ ทจี่ ะรว มกนั อนรุ กั ษแ ละพฒั นาเวยี ง เจ็ดลิน ในนามของ “สภากาแฟเวียงเจ็ดลิน” ท่ีเกิดจากการรวมตัวของสวนราชการท่ีใชพื้นที่เวียง เจ็ดลิน เชน สวนจัดการตนนํ้าฯ อุทยานแหงชาติดอยสุเทพ-ปุย ศูนยราชการกรมปศุสัตว จังหวัด เชยี งใหม สวนสตั วเ ชยี งใหม สถานตี าํ รวจภธู รภพู งิ คร าชนเิ วศน ศนู ยศ ลิ ปาชพี ฯ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี ราชมงคลลานนา ฯลฯ และสวนราชการทอี่ ยใู กลเคียง ตงั้ แตป  พ.ศ. 2553 ดวยการประชาสมั พนั ธ และจัดกิจกรรมที่เก่ียวกับเวียงเจ็ดลิน การฟนฟูบูรณะวัดหมูบุนของมูลนิธิวัดพระธาตุดอยสุเทพ การปรับภูมิทัศนคูน้ําเวียงเจ็ดลินของสวนการจัดการตนนํ้าฯ การรื้อถอนอาคารและปรับภูมิทัศน

100 หนา จว่ั : วาดว ยสถาปตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปตกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลัยศิลปากร คนั ดนิ คนู า้ํ เวยี งเจด็ ลนิ ในมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา นนา รวมทง้ั รว มกนั เสนอโครงการฟน ฟู และอนรุ กั ษเ วยี งเจด็ ลนิ อยา งบรู ณาการและยง่ั ยนื ตอ การประชมุ คณะรฐั มนตรอี ยา งเปน ทางการนอก สถานท่ี จ.เชยี งใหม เมอ่ื วนั ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555 คณะรฐั มนตรไี ดม มี ตเิ หน็ ชอบแผนงานโครงการ ตามทส่ี าํ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง ชาตเิ สนอวา “เหน็ ควรใหก ารสนบั สนนุ โดยเหน็ ชอบในหลกั การและใหจ ดั สง กระทรวงวฒั นธรรมเพอื่ พจิ ารณาความพรอ มและจดั ลาํ ดบั ความ สาํ คัญในการบรรจไุ วในแผนงบประมาณ ป 2556” แตเ มอ่ื นําเสนอกระทรวงวัฒนธรรมแลว ไมไ ดร ับ การพจิ ารณาเหน็ ชอบใหด าํ เนนิ การ การอนรุ กั ษเ วยี งเจด็ ลนิ จงึ ดาํ เนนิ ไปอยา งไมเ หน็ ผลทเี่ ปน รปู ธรรม มากนัก ในขณะท่คี วามตอ งการใชประโยชนท่ีดินเพือ่ พัฒนาของแตละหนว ยงานกเ็ พม่ิ มากขึน้ เมืองหรภิ ญุ ไชย (ลาํ พูน) เมอื งแพร เมอื งนา น เมอื งพะเยา เมอื งเกาสโุ ขทัย เมืองเชียงใหม ภาพ 6: ผังเมอื งโบราณในพ้นื ที่ภาคเหนือของประเทศไทย ทมี่ า: http://www.flashearth.com, http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi, ศรศี ักร วัลลโิ ภดม เวยี งทา กาน เวยี งพราว เวียงสวนดอก ภาพ 7: ผังเวียงโบราณในพ้นื ที่จงั หวดั เชยี งใหม ท่ีมา: http://www.flashearth.com, https://th.wikipedia.org/wiki/เวียงสวนดอก

ฉบบั ท่ี 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 101 การใชป ระโยชนท ี่ดินของสว นราชการในพื้นทีเ่ วยี งเจ็ดลิน “ยนื ยนั ตวั ตนในเวียง ขจี่ กั รยานชมเวยี งเจด็ ลนิ ระดมความคดิ เหน็ เร่ือง ใหค วามรกู บั นักศกึ ษา เจด็ ลิน” วัดหมูบุน ปรับภูมทิ ศั นคนั ดนิ คูนาํ้ ปรับภมู ิทัศนค ูนํ้า เสนอโครงการฟนฟูและ อนรุ ักษฯ ภาพ 8: กจิ กรรมการอนรุ ักษและพัฒนาเวยี งเจด็ ลนิ ท่มี า: จากการสาํ รวจ ตอมาเวียงเจ็ดลินไดรับการประกาศใหเปนท่ีดินประเภทอนุรักษเพ่ือสงเสริมเอกลักษณ ศิลปวฒั นธรรมไทย ตามกฎกระทรวงผงั เมอื งรวมเมืองเชยี งใหม พ.ศ. 2555 ตามความในราชกจิ จา- นุเบกษา เลม 130 ตอนที่ 43 ก วนั ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ซง่ึ มรี ะยะเวลาในการใชบ งั คบั 5 ป กาํ หนดเปน ทด่ี นิ หมายเลข 9 สีนาํ้ ตาลออน เปน ท่ดี นิ ประเภทอนุรกั ษเ พื่อสงเสรมิ เอกลกั ษณศ ิลป วัฒนธรรมไทย รว มกับพืน้ ทเี่ วยี งเกาทสี่ ําคญั ของเมอื งเชยี งใหม 5 แหง ไดแก หมายเลข 9.1 เวยี งเจด็ ลนิ 9.2 สเ่ี หลย่ี มคเู มอื ง 9.3 กาํ แพงเมอื งชนั้ นอก 9.4 เวยี งสวนดอก 9.5 เขตโบราณสถานเวยี งกมุ กาม (ฉบบั เดิมท่ดี ินประเภทอนรุ กั ษฯ มีเฉพาะสีเ่ หล่ยี มคูเมืองและเวียงกุมกาม) ท่ีดินประเภทอนุรกั ษเ พอ่ื สงเสริมเอกลักษณศิลปวัฒนธรรมไทย (เฉพาะท่ีดินซึ่งเปนของรัฐ) กําหนดใหใชประโยชนที่ดินเพ่ือ การสง เสริมเอกลักษณศลิ ปวัฒนธรรมและสถาปตยกรรมทอ งถน่ิ การรักษาคณุ ภาพสิง่ แวดลอ ม การ สาธารณปู โภคและสาธารณูปการหรือสาธารณประโยชนเทา นัน้ (ที่ดนิ ประเภทอนรุ กั ษฯ ซ่ึงเอกชน เปน เจา ของ มขี อ กําหนดมากกวาทด่ี ินซง่ึ เปน ของรฐั ดูเพิม่ เติมไดจ ากกฎกระทรวง) การใชป ระโยชน ที่ดนิ ประเภทน้ี ใหเปน ไปดงั ตอไปน้ี 1) อาคารมีความสูงไมเ กิน 12 เมตร แตไมห มายความรวมถงึ โครงสรา งสาํ หรบั ใชใ นการสง กระแสไฟฟา รบั สง สญั ญาณวทิ ยุ สญั ญาณโทรทศั น หรอื สญั ญาณสอื่ สาร ทกุ ชนดิ การวดั ความสงู ของอาคารใหว ดั จากระดบั พนื้ ดนิ ทก่ี อ สรา งถงึ พน้ื ดาดฟา สาํ หรบั อาคารทรงจว่ั

102 หนา จ่ัว: วา ดวยสถาปตยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปตกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลัยศิลปากร หรอื ปน หยาใหว ดั จากระดบั พน้ื ดนิ ทก่ี อ สรา งถงึ ยอดผนงั ของชน้ั สงู สดุ 2) ใหม พี น้ื ทปี่ ลกู ตน ไมโ ดยรอบ อาคารรวมกนั ไมน อ ยกวา รอ ยละสามสบิ ของแปลงทดี่ นิ ทยี่ น่ื ขออนญุ าต 3) ในอาคารใหม ลี กั ษณะของ หลังคาท่ีมีรปู ทรงตามแบบสถาปตยกรรมพ้ืนเมืองลานนา ท้งั น้ี ไมมผี ลใชบ งั คับกับอาคารทีม่ อี ยูเดิม ทด่ี นิ อนรุ ักษเ พ่อื สง เสริมเอกลกั ษณ หมายเลข 9.1 เวยี งเจ็ดลนิ ศิลปวฒั นธรรมไทย ภาพ 9: ทด่ี ินประเภทอนรุ ักษเพื่อสง เสริมเอกลกั ษณศิลปวัฒนธรรมไทย ท่มี า: กฎกระทรวงผังเมอื งรวมเมืองเชียงใหม พ.ศ. 2556 6. สรปุ และเสนอแนะ เวยี งเจด็ ลนิ ในมติ ทิ างผงั เมอื ง พบวา ตามทตี่ าํ นานพน้ื เมอื งกลา ววา เวยี งเจด็ ลนิ เปน เวยี งของ ชาวลวั ะนนั้ นา จะเปน เพยี งการใชพ นื้ ทเ่ี ชงิ ดอยสเุ ทพในการตง้ั ถน่ิ ฐานแบบสงั คมเผา มากกวา การสรา ง เวียงทรงกลม สว นรองรอยของเวยี งเจ็ดลนิ ในปจ จุบนั นาจะสรา งขน้ึ ในสมัยลา นนาที่ปรากฏหลกั ฐาน ทางประวตั ศิ าสตรต ัง้ แตสมยั พญาสามฝงแกน (พ.ศ. 1945-1984) เปน ตน มา เวียงเจด็ ลิน เปนเวียง ในกลมุ เวียงบรวิ ารของเมอื งเชยี งใหม (รว มกับเวยี งบัว เวียงสวนดอก และเวยี งกมุ กาม) ทมี่ ปี ระโยชน ใชส อยเพอ่ื การพกั ผอ นตากอากาศเชงิ ดอยสเุ ทพไมใ ชเ มอื งทม่ี คี วามสมบรู ณใ นตวั เอง ความโดดเดน ของ เวยี งเจด็ ลนิ อยทู ภี่ มู ปิ ญ ญาในการเลอื กทาํ เลทต่ี ง้ั ทอ่ี งิ ปา องิ นา้ํ อนั อดุ มสมบรู ณ โดยมคี วามพเิ ศษอยทู ี่ ตานาํ้ ผุดกลางเวยี งท่ถี อื วาเปน น้ําศักดิส์ ทิ ธิ์ รปู ทรงสัณฐานกลมที่แตกตา งจากเวียงและเมอื งทว่ั ไปใน เมอื งเชยี งใหมแ ละลา นนา รวมทงั้ ความเพยี รพยายามในการขดุ คนู า้ํ คนั ดนิ ทงี่ ดงามลงตวั ดว ยแรงงาน มนษุ ย ขอเสนอแนะเพ่ือการอนุรักษและพัฒนาเวียงเจ็ดลิน มีดังตอไปน้ี ดวยหลักฐานที่จะแสดง ถึงความเปนเวียงเจ็ดลินอยูท่ีคันดินและคูนํ้าและมีความเส่ียงท่ีจะถูกทําลายไปจากการใชประโยชน ท่ีดิน จึงควรมีการขุดคนแนวเขตโบราณสถานโดยกรมศิลปากร แลววางแผนและดําเนินการพัฒนา อยา งมสี ว นรวมกับสว นราชการและสถานศกึ ษาท่ีใชพ น้ื ทีเ่ วยี งเจด็ ลนิ ควรมกี ารศกึ ษาและขดุ คนทาง โบราณคดีในพ้ืนที่เวียงเจ็ดลินเพิ่มขึ้นเพื่อตอยอดองคความรู เพราะโบราณวัตถุจะเปนหลักฐานที่ใช อางอิงเร่ืองเวียงเจ็ดลินไดดี ควรมีการศึกษาเวียงเจ็ดลินในมิติทางวิชาการดานอ่ืนๆและเผยแพรองค ความรูเร่ืองเวียงเจ็ดลนิ ตอ สาธารณะ

ฉบบั ท่ี 29 (มกราคม-ธนั วาคม 2558) 103 ในอดตี เมอ่ื บา นเมอื งตอ งการพฒั นา ทด่ี นิ เวยี งเจด็ ลนิ รา งกถ็ กู ปรบั ใชพ นื้ ท่ี แตส าํ หรบั ปจ จบุ นั เมอ่ื โลกเปด กวา งความมเี อกลกั ษณเ ฉพาะตวั ของเวยี งเจด็ ลนิ จงึ เปน คณุ คา ทคี่ วรรกั ษาไว อนาคตของ เวยี งเจด็ ลนิ อยใู นสาํ นกึ และความรบั ผดิ ชอบของสว นราชการทเี่ กย่ี วขอ ง สว นราชการทใี่ ชป ระโยชนท ดี่ นิ และท่ีสาํ คญั ทส่ี ุดคือ สํานึกในใจของทกุ คนตอ โบราณสถานเวียงเจ็ดลนิ เทคโนโลยีสมัยใหมส ามารถ “เนรมติ ” คนู ํ้า คันดนิ ทรงกลมเชน น้ี หรอื ใหญกวา นีไ้ ดอ กี นบั รอยนับพัน แตจะเปนเพียงกายภาพที่ ปราศจากจิตวญิ ญาณ ปญ ญา ความคิดทสี่ ะสมมาจากอดีต หากรบี ไมดาํ เนนิ การอนรุ ักษแ ละพฒั นา อยา งเปน รปู ธรรมกจ็ ะเสย่ี งตอ การสญู เสยี มรดกทางวฒั นธรรมทม่ี คี ณุ คา ตอ เมอื งเชยี งใหมแ ละคณุ คา ดานผงั เมืองไปอยา งนาเสยี ดาย เชงิ อรรถ 1 พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 นิยามความหมายของคาํ วา เมอื ง หมายถงึ แดน เชน เมืองมนุษย, ประเทศ เชน เมืองไทย, จงั หวัด เชน เมืองเชียงใหม, อาํ เภอ เชน เมืองไชยา, เขตซ่งึ เปนทช่ี มุ นุมและเปนทีต่ ้งั ศาลากลางจงั หวดั ซ่งึ ถาเปน เมืองใหญ หมายถงึ เขตภายในกาํ แพงเมอื ง สวนคาํ วา เวียง หมายถงึ เมืองทม่ี กี ําแพงลอ ม (http://rirs3.royin.go.th/word37/word-37-a0.asp เขาถงึ เม่ือ 19 มิ.ย. 2558) สมั ภาษณ - จําเหลาะ สมจติ ต, สมั ภาษณ, ธนั วาคม 2541. - ธวัช ณ เชยี งใหม, สัมภาษณ, ธันวาคม 2541. - องอาจ รัชเวทย, สัมภาษณ, ธนั วาคม 2541. บรรณานกุ รม - (2558) “ชนเผาลวั ะในประเทศไทย ชนเผา ลัวะ Lua” [ออนไลน]. เขา ถงึ ไดจ าก https://sopa2006. wordpress.com. - เกรยี งไกร เกดิ ศริ ิ และอสิ รชยั บรู ณะอรรจน. “สถาปต ยกรรมหอพระเจา นาํ้ ตกผาลาด วดั ผลาดสกทาคามี เชิงดอยสเุ ทพ จังหวัดเชียงใหม” ใน วารสารหนา จั่ว ฉบับสถาปตยกรรม การออกแบบ และ สภาพแวดลอม. ฉบับท่ี 26 ประจําปก ารศึกษา 2554. หนา 301-320. - ชลธิรา สตั ยาวฒั นา. (2530). ลวั ะเมืองนาน. กรุงเทพฯ: บริษทั อมั รนิ ทรพรนิ้ ติ้ง กรุพ จาํ กดั , 2530. - “ตํานานเรอ่ื งเลา เกย่ี วกับชนเผาลวั ะ” [ออนไลน] . เขา ถึงไดจากhttp://www.hilltribe.org, 2558. - นวลศิริ วงศทางสวัสดิ.์ (2528). ชมุ ชนโบราณในเขตลา นนา. อัดสําเนา เชียงใหม: ภาควิชาภูมิศาสตร คณะสังคมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม. - บญุ เสริม สาตราภยั . (2522) ลานนาไทยในอดตี . เชียงใหม: โรงพมิ พชางเผือกการพมิ พ. - บญุ เสรมิ สาตราภัย และสงั คีต จนั ทนโพธ์.ิ (2524) อดตี ลานนา. กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พเ รืองศิลป. - โบราณนุรักษ หางหุนสวนจํากัด, (2552). รายงานการขุดคนทางโบราณคดีเวียงเจ็ดลิน ฯ ภายใต โครงการอนรุ กั ษแ ละพฒั นาเมอื งประวัติศาสตรเชยี งใหม จังหวดั เชยี งใหม. - ประชากิจกรจักร, พระยา. (2507) พงศาวดารโยนก. พระนคร: โรงพมิ พรงุ เรอื งรัตน.

104 หนาจว่ั : วาดวยสถาปต ยกรรม การออกแบบ และสภาพแวดลอ ม วารสารวิชาการ ประจาํ คณะสถาปต กรรมศาสตร มหาวิทยาลัยศลิ ปากร - พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. เขาถึงไดจาก http://rirs3.royin.go.th/word37/ word-37-a0.asp, 2558. - พิรยิ ะ ไกรฤกษ. (2533). ประวตั ิศาสตรและโบราณคดีในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: บริษัท อมั รินทร พรนิ้ ต้งิ กรพุ จํากัด. - ราชกิจจานุเบกษา. (2556) กฎกระทรวงผงั เมอื งรวมเมืองเชยี งใหม พ.ศ. 2555 เลม 130, ตอนท่ี 43 ก, วันที่ 21 พฤษภาคม 2556. - ศรศี ักร วลั ลิโภดม. (2540). นครหลวงไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. - ศรเี ลา เกษพรหม. (2541). ลัวะเยียะไร ไทใสน า. เชียงใหม: โรงพมิ พมิ่งเมือง. - สงวน โชตสิ ุขรัตน. (2514). นําเทย่ี วเชียงใหม- ลาํ พูน. กรุงเทพฯ: รุงเรอื งการพมิ พ, อางถึงใน โบราณนุ รกั ษ หา งหนุ สว นจาํ กดั , (2552). รายงานการขดุ คน ทางโบราณคดเี วยี งเจด็ ลนิ ฯ ภายใตโ ครงการ อนุรกั ษแ ละพฒั นาเมืองประวตั ศิ าสตรเชียงใหม จังหวดั เชียงใหม. - สรัสวดี ออ งสกลุ . (2539). ประวัติศาสตรลา นนา. กรงุ เทพฯ: บริษัท อมรนิ ทรพ ริ้นต้งิ แอนดพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน). - สมหมาย เปรมจิตต. (2540). ตาํ นานสบิ หาราชวงศ ฉบับสอบชําระ. เชียงใหม: สถาบนั วิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชยี งใหม. 2540. - สมหมาย เปรมจิตต และคณะปริวรรต. (2537). ตํานานเชยี งใหมปางเดิม. เชียงใหม: สถาบนั วจิ ัย สังคม มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม. - อดุ ม รงุ เรอื งศรี และคณะปรวิ รรต. (2538). ตาํ นานพน้ื เมอื งเชยี งใหม ฉบบั เชยี งใหม 700 ป. เชยี งใหม: ศูนยว ฒั นธรรมจังหวดั เชียงใหม สถาบันราชภัฎเชยี งใหม.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook