100 1.3 การคลีร่ ูปเรขาคณิตสามมติ ิ ภาพที่ไดจ ะเปน ภาพของรูปเรขาคณติ สองมิติ เชน การคลรี่ ูปปริซึม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก การคลรี่ ปู พีระมดิ ฐานสีเ่ หล่ียม 1.4 การตดั ขวางรปู เรขาคณิตสามมิติ เม่ือนาํ รูปเรขาคณิตสองมิตมิ าตดั ขวางรูปเรขาคณิตสามมติ ิในแนวตาง ๆ กนั ภาพทเ่ี กิดขึน้ จะ มลี กั ษณะตาง ๆ กัน เชน กรวยกลม เมอ่ื ตัดดว ยระนาบในแนวขนานกบั ฐานกรวย จะไดภ าพสองมติ เิ ปนรปู วงกลม กรวยกลม เมอ่ื ตัดดว ยระนาบในแนวตง้ั ฉากกบั ฐานกรวย จะไดภาพเปนรูปพาลาโบลา กรวยกลม เมื่อตัดดวยระนาบที่ไมขนานกับฐานและไมตั้งฉากกับฐาน จะไดภาพเปนวงรี
101 1.5 มมุ มองของรปู เรขาคณิตสามมิติ รูปเรขาคณิตที่พบเห็นในชีวิตประจําวันมีรูปรางและสิ่งที่มองเห็นจากการเปลี่ยนมุมมองแตละ ดานแตกตางกนั เชน รูปเรขาคณิต 1.6 รูปเรขาคณิตสามมติ ิท่เี กิดจากการหมุนรูปเรขาคณติ สองมิติ 1) รปู สามเหล่ียมหนาจ่ัว ABC มแี กน EF เปนแกนสมมาตร ถา นาํ รูปสามเหลีย่ มหนาจวั่ ABC หมุนรอบแกนสมมาตร EF จะเหน็ เปน รูปเรขาคณิตสามมิติ “กรวยกลม” 2) แผน กระดาษแข็งรูปวงกลม เปนรูปเรขาคณิตสองมิติ ถาใชเ สนผานศูนยกลาง yy′ เปนแกนหมุนรูปเรขาคณิตสามมิติที่เกิดจากการหมุนจะเหน็ เปน ลักษณะ “ทรงกลม”
102 3) กระดาษรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา เปน รูปเรขาคณิตท่ีมีแกนสมมาตรสองแกน จะเหน็ เปน ทรงกระบอก จะเหน็ เปน ทรงกระบอก 1.7 การเขยี นภาพของรูปเรขาคณติ สามมติ ิ การเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติอยางงายอาจใชขั้นตอนดังในตัวอยางตอไปน้ี 1. การเขียนภาพของทรงกระบอก ขน้ั ท่ี 1 เขยี นวงรแี ทนหนา ตดั ทเ่ี ปนวงกลม และเขยี นสว นของเสน ตรงสองเสน แสดงสว นสงู ของ ทรงกระบอก ดังรูป ขนั้ ท่ี 2 เขยี นวงรีทีม่ ีขนาดเทา กับวงรที ใ่ี ชใ นขั้นที่ 1 แทนวงกลมซึ่งเปนฐานของทรงกระบอกและเขียน เสน ประแทนเสนทกึ ตรงสวนทีถ่ ูกบัง
103 2. การเขียนภาพของปริซึม ขน้ั ที่ 1 เขียนทรงกระบอกตามวิธีการขางตน ขั้นท่ี 2 กําหนดจุดบนวงรีดานบนเพื่อใชเปนจุดยอดของรูปสี่เหลี่ยมที่เปนฐานของปริซึมตามตองการ แลว ลากสว นของเสน ตรงเช่ือมตอ จุดเหลา น้ัน ขน้ั ท่ี 3 เขียนสวนสงู ของปริซมึ จากจุดยอดของรปู เหลี่ยมทไี่ ดใ นข้ันท่ี 2 มาตั้งฉากกับวงรีดานลาง ขั้นท่ี 4 เขียนสว นของเสนตรงเชื่อมจุดบนวงรที ่ไี ดในข้ันที่ 3 และลบรอยสวนโคง ของวงรี จะไดรูป หลายเหล่ยี มทเ่ี ปน ฐานของปรซิ ึม แลวเขยี นเสนประแทนดานที่ถูกบงั 3. การเขียนภาพของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ขนั้ ที่ 1 เขียนรูปส่ีเหลีย่ มมุมฉาก 1 รปู ขน้ั ท่ี 2 เขยี นรปู ส่ีเหล่ยี มมุมฉากขนาดเทากนั กับรปู ในข้ันที่ 1 อีก 1 รปู ใหอยใู นลักษณะท่ีขนานกนั และเหลอ่ื มกันประมาณ 30 องศา ดงั รปู
104 ขน้ั ท่ี 3 ลากสว นของเสนตรงเชื่อมตอจุดใหไดทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ข้นั ท่ี 4 เขยี นเสนประแทนดา นท่ถี กู บัง สาํ หรับการเขยี นภาพของกรวย ทรงกลม และพีระมดิ ก็สามารถเขียนไดโ ดยใชวธิ กี ารเดยี วกนั กับขางตนซ่งึ มีขน้ั ตอนดงั นี้ 4. การเขียนภาพของกรวย 5. การเขียนภาพของทรงกลม 6. การเขยี นภาพของพรี ะมดิ ฐานหกเหลีย่ ม นอกจากจะใชวิธีการดังกลาวขางตนในการเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติแลว อาจใช กระดาษทีม่ จี ดุ เหมอื นกระดานตะปู (Geoboard) หรือกระดาษจดุ ไอโซเมตรกิ (Isometric dot paper) ชว ยในการเขียนภาพน้ัน ๆ กระดาษทม่ี จี ดุ เหมอื นกระดานตะปู กระดาษจดุ ไอโซเมตรกิ
105 การเขยี นภาพของรปู เรขาคณิตสองมติ บิ นกระดาษท่มี จี ดุ เหมือนกระดานตะปู ดงั ตวั อยา ง นอกจากนี้ยังนิยมเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติบนกระดาษจุดไอโซเมตริก ภาพของรูป เรขาคณิตสามมิติท่ีเขียนอยูในลกั ษณะน้ีเรยี กวา ภาพแบบไอโซเมตริก การเขียนภาพแบบไอโซเมตริกบนกระดาษจุดไอโซเมตริกจะเขียนสวนของเสนตรงที่เปนดาน กวาง ดานยาว ตามแนวของจุดซึ่งเอียงทํามุมขนาด 30 องศา กบั แนวนอนและเขยี นสวนของเสน ตรงท่ี เปนสวนสูง ตามแนวของจดุ ในแนวต้ัง ดงั ตวั อยา ง
106 1. กําหนดมุมสี่เหลยี่ มมุมฉากดงั รปู แบบฝกหดั ที่ 1 ก. ส่ีเหลยี่ ม ABCD เปนรูปสเ่ี หลย่ี มชนิดใด ข. BDˆE มีขนาดกี่องศา ค. สเี่ หลยี่ ม BDEG เกิดจากการใชระนาบตัดทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากตามแนวใด ง. สามเหลี่ยม BDE เกีย่ วขอ งกับ สเ่ี หลี่ยม BDEG อยางไร 2. จงเขียนรูปคลี่ของทรงสามมิติตอไปนี้
107 3. จงเขียนรูปทรงสามมิติจากมุมมองภาพดานบน ภาพดานหนา ภาพดานขางที่กําหนดให
108 เรื่องท่ี 2 การแปลงทางเรขาคณิต เปนคาํ ศพั ททีใ่ ชเรียกการดาํ เนนิ การใด ๆ ทางเรขาคณิต ทั้งในสองมิติและสามมิติ เชน การเลอ่ื น ขนาน การหมุน การสะทอน 2.1 การเลอ่ื นขนาน ( Translation ) การเลื่อนขนานตองมีรูปตนแบบ ทิศทางและระยะทางที่ตองการเลื่อนรูป การเลื่อนขนานเปนการ แปลงที่จับคูจุดแตละจุดของรูปตนแบบกับจุดแตละจุดของรูปที่ไดจากการเลื่อนรูปตนแบบไปในทิศทาง ใดทิศทางหนึ่งดวยระยะทางทกี่ ําหนด จดุ แตล ะจุดบนรูปทไ่ี ดจากการเลอื่ นขนานจะหางจากจดุ ที่สมนยั กนั บนรูปตนแบบเปนระยะทางเทากนั การเล่ือนในลักษณะนเี้ รยี กอีกอยางหน่ึงวา “สไลด (slide)” ดังตัวอยางในภาพที่ 1 และภาพท่ี 2 ภาพท่ี 1 ภาพท่ี 2
109 2.2 การหมนุ (Rotation) การหมุนจะตองมีรูปตนแบบ จุดหมุนและขนาดของมุมที่ตองการในรูปนั้น การหมุนเปนการ แปลงทจี่ บั คูจุดแตล ะจดุ ของรูปตนแบบกับจุดแตละจดุ ของรปู ทไ่ี ดจ ากการหมนุ โดยท่ีจดุ แตล ะจดุ บนรปู ตน แบบเคล่อื นท่ีรอบจดุ หมุนดว ยขนาดของมมุ ทก่ี าํ หนด จุดหมนุ จะเปน จุดทีอ่ ยูนอกรูปหรอื บนรูปก็ได การหมุนจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาหรือตามเข็มนาฬิกาก็ได โดยท่ัวไปเมื่อไมระบไุ วการหมนุ รูปจะเปนการ หมุนทวนเข็มนาฬิกา บางครั้งถาการหมุนตามเข็มนาฬิกา อาจใชส ญั ลักษณ -x๐ หรอื ถาการหมุนทวนเข็มนาฬิกา อาจใชสญั ลักษณ x๐ C B จากรปู เปนการหมุนรูปสามเหลี่ยม ABC ใน ลกั ษณะทวนเขม็ นาฬกิ า โดยมจี ดุ O เปนจุดหมนุ B ซ่ึงจุดหมนุ เปนจดุ ที่อยูนอกรูปสามเหลี่ยม ABC รปู A′B′C′ เปนรูปที่ไดจากการหมุน 90๐ และ / จะไดว า ขนาดของมุม AOA′ เทากับ 90๐ BOB′ เทากบั 90๐ COC′ เทากับ 90๐ A C A/ O 2.3 การสะทอ น ( Reflection ) การสะทอนตองมีรูปตนแบบที่ตองการสะทอนและเสนสะทอน (Reflection line หรือ Mior line) การสะทอนรูปขามเสนสะทอนเสมือนกับการพลิกรูปขามเสนสะทอนหรือการดูเงาสะทอน บนกระจกเงาทีว่ างบนเสนสะทอน การสะทอนเปนการแปลงทีม่ ีการจับคูก ันระหวางจุด แตละจุดบนรูป ตนแบบกบั จดุ แตละจดุ บนรปู สะทอ น โดยท่ี 1. รูปที่เกิดจากการสะทอนมีขนาดและรูปรางเชนเดิม หรอื กลา ววารปู ทเ่ี กดิ จากการสะทอ น เทากันทกุ ประการกบั รูปเดมิ 2. เสน สะทอนจะแบงคร่ึงและตั้งฉากกบั สว นของเสนตรงที่เชื่อมระหวา งจุดแตละจดุ บนรปู ตน แบบกับจุดแตล ะจุดบนรูปสะทอนที่สมนยั กัน นน่ั คือระยะระหวา งจุดตนแบบและเสน สะทอ นเทา กบั ระยะระหวางจุดสะทอนและเสนสะทอน
110 ตัวอยา ง จากรูป รูปสามเหลี่ยม A′B′C′เปนรูปสะทอนของรูปสามเหลีย่ ม ABC ขามเสนสะทอน m รูปสามเหลี่ยม ABC เทากันทุกประการกับรูปสามเหลี่ยม A′B′C′ สวนของเสนตรง AA′ตั้งฉากกับเสน สะทอ น m ที่จดุ P และระยะจากจุด A ถึงเสน m เทากับระยะจากเสน m ถึงจดุ A′ ( AP = PA′ )
111 แบบฝกหัดที่ 2 1. ใหเขียนภาพที่เกิดจากการเลื่อนขนานจากรูปตนแบบและทิศทางที่กําหนดให ก. ข. A C B D C A B 2. ใหเ ขยี นภาพการเลอ่ื นขนานโดยกาํ หนดภาพตนแบบ ทิศทางและระยะทางของการเลื่อน ขนานเอง ก. ข.
112 แบบฝกหดั (ตอ) ขอ 3 ภาพ พกิ ัดของตาํ แหนง ทก่ี ําหนดให C′( , ) Y A(- C(- X B(- 0 A/(2,- B/(1,- C Y A′( , ) D B′( , ) C′( , ) C A D/(- B X 0 A/(- C/(0,- B/(-
113 แบบฝกหดั ที่ 3 คาํ ช้แี จง จงพิจารณารูปท่กี าํ หนดใหแ ลว - เขียนรูปสะทอ น - เขียนเสน สะทอ น - บอกจุดพิกัดของจุดยอดของมุมของรูปสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นจากการสะทอน - บอกจุดพิกัดบางจดุ บนเสนสะทอ นท่ไี ด
114 แบบฝกหัดท่ี 4 1. Y B C ใหเติมรปู สามเหล่ียม A′B′C′ ที่ เกิดจากการหมุนสามเหลี่ยม ABC 0 X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬกิ า 90๐ และใชจดุ (0 , 0) เปน จดุ หมุน 2. Y Y ใหเตมิ รูปส่เี หลย่ี ม O′X′Y′Z ท่เี กิด X จากการหมนุ สี่เหล่ียม OXYZ Z X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬิกา 270๐ และใชจดุ (0 , 0) เปน จุดหมนุ
115 3. Y B ใหเติมสวนของเสน ตรง A′B′ ท่ี เกดิ จากการหมุนสว นของเสนตรง AB เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมุนตาม X เข็มนาฬิกา 90๐ และใชจ ดุ (-2, -2) 0 เปนจุดหมนุ (-2,-2) 4. Y 0 B ใหเตมิ รูปสามเหลี่ยม A′B′C′ ท่ี C เกิดจากการหมุนสามเหลี่ยม ABC (-4 , -2) X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬกิ า 90๐ และใชจดุ (-4 , -2) เปน จดุ หมนุ
116 เรื่องที่ 3 การออกแบบเพ่ือการสรางสรรคงานศิลปะโดยใชการแปลงทางคณติ ศาสตรแ ละ ทางเรขาคณิต ในชวี ติ ประจําวัน การออกแบบวัสดุ ครุภณั ฑตา ง ๆ เชน ลายพิมพผา จะเกีย่ วขอ งกบั รูปแบบทาง เรขาคณิต ตวั อยา งเชน 1. การใชรูปสเ่ี หลีย่ ม 2. การใชร ูปส่ีเหล่ียมกบั สามเหลย่ี ม 3. การใชส เ่ี หล่ียมกับวงกลม
117 4. การใชร ูปสเี่ หล่ยี ม สามเหลี่ยม และหกเหลี่ยม ตัวอยา ง กิจกรรมที่รวมคณิตศาสตรกับศิลปะไดอยางสวยงาม โดยใชการแปลงทางเรขคณิต เชน การ หมนุ การสะทอ น หรือการเลอ่ื นขนาน
118 4. การออกแบบโดยใชก ารแปลงทางเรขาคณิต การออกแบบผลิตภัณฑและบรรจุภัณฑของสินคามีความจําเปนตองใหมีรูปแบบที่สวยงาม มี ความพอเหมาะกบั ผลติ ภัณฑ เพ่อื ความประหยดั และการใชประโยชนใหเกิดสูงสุดดังตัวอยา งตอไปนี้ ตัวอยา งที่ 1 ลูกบอลขนาดเสนผานศูนยกลาง 14 เซนติเมตร จะบรรจใุ นกลอ งทรงสเ่ี หลยี่ มไดพ อดี เมื่อ ใชก ลอ งมีความจุเทาใดและใชวัสดทุ ํากลอ งทม่ี ีพน้ื ผิวเทาใด วธิ ที าํ ลูกบอลมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 14 เซนตเิ มตร กลองทรงสเี่ หลีย่ มตอ งมีขนาด เปน กลอ งลูกบาศก ยาวดา นละ 14 เซนตเิ มตร ปริมาตรของกลองลูกบาศก = (ความยาวดา น)3 = 14x14x14 ลูกบาศกเซนตเิ มตร = 2,744 ลูกบาศกเซนตเิ มตร พ้นื ท่ผี ิวกลอ งทรงลูกบาศก = 6 x พ้ืนท่ีผวิ ของกลอ งหนงึ่ ดา น = 6 x (14 x 14) = 1,176 ตารางเซนติเมตร ตัวอยา งที่ 2 กระดาษรปู สีเ่ หลยี่ มผนื ผา กวา ง 10 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ถา ตัดมมุ ท้งั ส่อี อก เปนรปู สีเ่ หล่ยี มจตั ุรสั ยาวดานละ 2 เซนติเมตร จากนั้นพบั ตามรอยตดั ใหเ ปน รูปทรงสเ่ี หลีย่ ม จงหาวารปู ทรงนจี้ ะ มีความจุเทาไร วธิ ีทาํ
119 ฐานของกลองพับไดกวาง 10 – 2 – 2 = 6 เซนตเิ มตร ฐานของกลองมีความยาว 14 – 2 – 2 = 10 เซนตเิ มตร มีความสูงของกลอง 2 เซนตเิ มตร ความจุของกลอง = ความยาวดา นกวาง x ความยาวดานยาว x สว นสูง = 6 x10 x 2 = 120 ลูกบาศกเซนติเมตร
120 บทที่ 7 สถติ เิ บอื้ งตน สาระสําคัญ 1. ขอมลู สถิติ หมายถึง ตัวเลขหรือขอความทแี่ ทนขอเท็จจริงของลักษณะทีเ่ ราสนใจ 2. ระเบียบวิธีการทางสถิติ จะประกอบไปดวย การเก็บรวบรวมขอมูล การนําเสนอขอมูล การ วิเคราะหและการตีความของขอมูล 3. การเก็บรวบรวมขอมูล หมายถึง กระบวนการกระทําเพื่อจะใหไดขอมูลที่ตองการศึกษาภายใต ขอบเขตที่กําหนด 4. การนําเสนอขอมูลที่เก็บรวบรวมมา จะมี 2 แบบ คือ การนําเสนออยางเปนแบบแผนและการ นําเสนออยางไมเปน แบบแผน 5. การวัดแนวโนมเขาสูส วนกลาง เปนการหาคากลางดวยวิธีตาง ๆ กัน เพือ่ ใชเปนตัวแทนของ ขอมูลทั้งชุด คากลางที่นิยมใชม ี 3 วธิ ี คา เฉล่ียเลขคณิต คา มธั ยฐานและคา ฐานนิยม ผลการเรียนรทู ีค่ าดหวัง 1. อธิบายขัน้ ตอนการวิเคราะหขอมูลเบือ้ งตน และสามารถนําผลการวิเคราะหขอมูลเบื้องตนไปใช ในการตดั สนิ ใจได 2. เลือกใชคากลางที่เหมาะสมกับขอมูลที่กําหนดและวัตถุประสงคที่ตองการได 3. นําเสนอขอมูลในรูปแบบตางๆรวมทั้งการอานและตีความหมายจากการนําเสนอขอมูลได ขอบขา ยเนือ้ หา เรือ่ งที่ 1 การวิเคราะหขอมูลเบื้องตน เรอ่ื งท่ี 2 การหาคากลางของขอมูลโดยใชคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐานและฐานนิยม เรอื่ งที่ 3 การนําเสนอขอมูล
121 เรอ่ื งที่ 1 การวเิ คราะหข อ มลู เบ้อื งตน ความหมาย คําวา “สถิต”ิ เปน เร่อื งทมี่ คี วามสําคัญและจําเปนอยางยงิ่ ตอ การตัดสนิ ใจหรือวางแผน ซึง่ แตเดิม เขาใจวา สถิติ หมายถึง ขอมูลหรือขาวสารที่เปนประโยชนตอการบริหารงานของภาครัฐ เชน การ จัดเก็บภาษี การสํารวจผลผลิต ขอมูลที่เกี่ยวของกับประชากร จึงมีรากศัพทมาจากคําวา “State” แต ปจ จบุ ันสถิติ มีความหมายอยู 2 ประการ คือ 1. ตัวเลขทีแ่ ทนขอเท็จจริงทีม่ ีการแปรเปลีย่ นไปตามปริมาณสิง่ ของทีว่ ัดเปนคาออกมา เชน สถิติเกี่ยวกับจํานวนนักเรียนในโรงเรียน จํานวนนักเรียนทีม่ าและขาดการเรียนในรอบเดือน ปริมาณ นาํ้ ฝนในรอบป จาํ นวนอุบตั เิ หตกุ ารเดินทางในชว งปใ หมแ ละสงกรานต เปน ตน 2. สถิติในความหมายของวิชาหรือศาสตรทีต่ รงกับภาษาอังกฤษวา “Statistics” หมายถึง กระบวนการจัดกระทําของขอมูลตัง้ แตการเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล การนําเสนอขอมูล และการตีความหรือแปลความหมายขอมูล เปนตน การศึกษาวิชาสถิติจะชวยใหผูเ รียนมีความรูค วามเขาใจในระเบียบวิธีสถิติทีเ่ ปนประโยชนใน ชีวิตประจําวัน ตั้งแตการวางแผน การเลือกใช และการปฏิบัติในการดําเนินงานตาง ๆ รวมทั้งการ แกปญหาในเรื่องตาง ๆ ทั้งในวงการศึกษาวิทยาศาสตร การเกษตร การแพทย การทหาร ธุรกิจตาง ๆ เปนตน กิจการตาง ๆ ตองอาศัยขอมูลสถิติและระเบียบสถิติตาง ๆ มาชวยจัดการ ทัง้ นีเ้ นือ่ งจากการ ตัดสินใจหรือการวางแผน และการแกปญหาอยางมีหลักเกณฑจะทําใหโอกาสทีจ่ ะตัดสินใจเกิดความ ผดิ พลาดนอยทส่ี ดุ ได นอกจากนี้หลักวิชาทางสถิติยังสามารถนําไปประยุกตใชกับการจัดเก็บรวบรวมขอมูล เพื่อความ จําเปนทีต่ องนําไปใชงานในดานตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งทําใหทราบขอมูล และทําความเขาใจกับ ขาวสารและรายงานขอมูลทางวิชาการตาง ๆ ทีน่ ําเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ กราฟ ซึง่ ผูอ านหากมีความรูความเขาใจในเรือ่ งของสถิติเบื้องตนแลว จะทําใหผูอ านสามารถรูแ ละเขาใจใน ขอมูลและขาวสารไดเปนอยางดี 1.1 ชนิดของขอ มูล อาจแบงไดเ ปน ดังน้ี 1. ขอ มลู เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative data) เปนขอมูลท่ีแสดงถึง คุณสมบตั ิ สภาพ สถานะ หรือความคดิ เหน็ เชน ความสวย ระดับการศึกษา เพศ อาชีพ เปนตน 2. ขอมูลเชิงปริมาณ (Qualitative data ) เปนขอมูลที่เปนตัวเลข เชน ขอมูลทีเ่ กิดจากการ ชัง่ ตวง หรือ คาของขอมูลที่นําปริมาณมาเปรียบเทียบกันได เชน ความยาว น้าํ หนัก สวนสูง สถิติของ คนงานแยกตามเงนิ เดอื น เปน ตน
122 นอกจากนี้ยังมีขอมูลซึ่งสามารถแยกตามกาลเวลาและสภาพภมู ิศาสตรอกี ดว ย แหลงที่มาของขอมูล โดยปกตขิ อ มลู ท่ไี ดมาจะมาจากแหลง ตาง ๆ อยู 2 ประเภท คอื - ขอมูลปฐมภมู ิ ( Primary data ) หมายถึง ขอมลู ท่รี วบรวมมาจากผใู หห รอื แหลงที่ เปน ขอมูลโดยตรง เชน การสํารวจนบั จํานวนพนกั งานในบรษิ ทั แหง หน่งึ - ขอ มูลทตุ ยิ ภูมิ ( Secondary data ) หมายถึง ขอมูลที่รวบรวมหรือเก็บมาจาก แหลงขอมูลที่มกี ารรวบรวมไวแ ลว เชน การคัดลอกจาํ นวนสนิ คาสงออกทีก่ ารทาเรือไดร วบรวมไว 1.2 การเกบ็ รวบรวมขอมลู การเก็บรวบรวมขอมูลในทางสถิติจะมีวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลได 3 วธิ ี ตาม ลักษณะของการปฏิบัติ กลาวคอื 1) วิธีการเก็บขอมูลจากการสํารวจ การเก็บรวบรวมขอมูลวิธีนี้เปนที่ใชกันอยาง แพรหลาย โดยสามารถทําไดตัง้ แตการสํามะโน การสอบถาม / สัมภาษณจากแหลงขอมูลโดยตรง รวมทั้งการเก็บรวบรวมขอมลู ท่เี กิดเหตจุ ริง ๆ เชน การเขาไปสํารวจผูมีงานทําในตําบล หมูบาน การ แจงนับนักทอ งเทย่ี วทเ่ี ขามาในจังหวดั หรืออาํ เภอ การสอบถามขอมูลคนไขที่นอนอยูในโรงพยาบาล เปน ตน วิธกี ารสํารวจนีส้ ามารถกระทาํ ไดห ลายกรณี เชน 1.1 การสอบถาม วธิ ีทนี่ ยิ ม คอื การสง แบบสาํ รวจหรอื แบบขอคาํ ถามที่ เหมาะสม เขาใจงายใหผ ูอ านตอบ ผูตอบมอี สิ ระในการตอบ แลวกรอกขอมูลสงคืน วิธีการสอบถามอาจ ใชส ือ่ ทางไปรษณีย ทางโทรศพั ท เปน ตน วิธีน้ปี ระหยัดคาใชจาย 1.2 การสมั ภาษณ เปน วธิ ีการรวบรวมขอมูลทไี่ ดค าํ ตอบทนั ที ครบถวน เชอ่ื ถอื ไดด ี แตอาจเสียเวลาและคาใชจายคอนขางสูง การสัมภาษณทําไดทั้งเปนรายบุคคลและเปนกลุม 2) วิธีการเก็บขอมูลจากการสังเกต เปนวิธีการรวบรวมขอมูลโดยการบันทึกสิ่งที่ พบเห็นจริงในขณะนัน้ ขอมูลจะเชื่อถือไดมากนอยอยูท ีผ่ ูร วบรวมขอมูล สามารถกระทําไดเปนชวง ๆ และเวลาท่ีตอ เน่อื งกันได วธิ นี ใ้ี ชควบคูไปกับวิธอี ื่นๆ ไดด ว ย 3) วิธีการเก็บขอมูลจากการทดลอง เปนการเก็บรวบรวมขอมูลที่มีการทดลอง หรือปฏิบัติอยูจ ริงในขณะนัน้ ขอดีทีท่ ําใหเราทราบขอมูล ขัน้ ตอน เหตุการณทีต่ อเนื่องทีถ่ ูกตองเชือ่ ถือได บางครัง้ ตองใชเวลาเก็บขอมูลทีน่ านมาก ทั้งนี้ตองอาศัยความชํานาญของผูท ดลอง หรือผูถ ูกทดลองดวย จึงจะทาํ ใหไดขอ มลู ทีม่ ีความคลาดเคล่อื นนอ ยทสี่ ุด อนึ่ง การเก็บรวบรวมขอมูล ถาเราเลือกมาจากจํานวนหรือรายการของขอมูลที่ ตองการเก็บมาทั้งหมดทุกหนวยจะเรียกวา “ประชากร” ( Population ) แตถาเราเลือกมาเปนบางหนวย และเปน ตัวแทนของประชากรน้นั ๆ เราจะเรยี กวา กลมุ ตวั อยา งหรือ “ ตวั อยาง” ( Sample )
123 1.3 การวิเคราะหข อ มูล การวิเคราะหขอมูล เปนการแยกขอมูลสถิติทีไ่ ดมาเปนตัวเลขหรือขอความจากการรวบรวม ขอมูลใหเปนระเบียบพรอมทีจ่ ะนําไปใชประโยชนตามความตองการ ทัง้ นีร้ วมถึงการคํานวณหรือหา คาสถติ ใิ นรูปแบบตา ง ๆ ดวย มวี กี ารดาํ เนนิ งานดงั น้ี 1.3.1 การแจกแจงความถี่ ( Frequency distribution ) เปนวิธีการจัดขอมูลของสถิติที่มีอยู หรือ เก็บรวบรวมมาจัดเปนกลุมเปนพวก เพือ่ ความสะดวกในการทีน่ ํามาวิเคราะห เชน การวิเคราะหคาเฉลีย่ คาความแปรปรวนของขอมูล เปนตน การแจกแจงความถีจ่ ะกระทําก็ตอเมือ่ มีความประสงคจะวิเคราะห ขอมูลทีม่ ีจํานวนมาก ๆ หรือขอมูลที่ซ้าํ ๆ กัน เพือ่ ชวยในการประหยัดเวลา และใหการสรุปผลของ ขอมูลมีความรัดกุมสะดวกตอการนําไปใชและอางอิง รวมทัง้ การนําไปใชประโยชนในดานอืน่ ๆ ตอไป ดว ย สวนคําวา “ตัวแปร” ( Variable ) ในทางสถิติ หมายถึง ลักษณะบางสิ่งบางอยางที่เราสนใจจะ ศึกษาโดยลักษณะเหลานัน้ สามารถเปลี่ยนคาได ไมวาสิ่งนั้นจะเปนขอมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เชน อายุของนักศึกษาการศึกษาทางไกลทีว่ ัดออกมาเปนตัวเลขทีแ่ ตกตางกัน หากเปนเพศมีทัง้ เพศชายและ หญิง เปนตน การแจกแจงความถี่แบงออกเปน 4 แบบคือ 1. การแจกแจงความถี่ทั่วไป 2. การแจกแจงความถี่สะสม 3. การแจกแจงความถี่สัมพัทธ 4. การแจกแจงความถี่สะสมสัมพัทธ 1. การแจกแจงความถท่ี ั่วไป จัดแบบเปนตารางได 2 ลกั ษณะ 1) ตารางการแจกแจงความถีแ่ บบไมจัดเปนกลุม เปนการนําขอมูลมาเรียงลําดับจากนอยไปหา มาก หรือมากไปหานอย แลวดูวาขอมูลในแตละตัวมีตัวซ้าํ อยูกี่จํานวน วิธีนีข้ อมูลแตละหนวย / ชั้นจะ เทากันโดยตลอด และเหมาะกับการแจกแจงขอมูลที่ไมมากนัก ตวั อยางที่ 1 คะแนนการสอบวิชาคณิตศาสตรของนักศึกษา 25 คน คะแนนเตม็ 15 คะแนน มดี งั น้ี 12 9 10 14 6 13 11 7 9 10 7 5 8 6 11 4 10 2 12 8 10 15 9 4 7
124 เมื่อนําขอมูลมานบั ซ้ํา โดยทําเปนตารางมรี อยขดี เปนความถี่ ไดด ังน้ี คะแนน รอยขดี ความถี่ 1 - 0 2 / 1 3 - 0 4 // 2 5 / 1 6 // 2 7 /// 3 8 // 2 9 /// 3 10 //// 4 11 // 2 12 // 2 13 / 1 14 / 1 15 / 1 รวม 25 หรืออาจนําเสนอเปนตารางเฉพาะคะแนนและความถี่ไดอกี ดงั นี้ รวม คะแนน ( x ) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 25 ความถี่ ( f ) 0 1 0 2 1 2 3 2 3 4 2 2 1 1 1 2) การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุม การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุมน้ีเรียกวาจัดเปนอันตร ภาคชน้ั เปนการนําขอมูลมาจัดลําดับจากมากไปหานอย หรือนอยไปหามากเชนกัน โดยขอมูลแตละ ชั้นจะมีชวงชั้นที่เทากัน การแจกแจงแบบนี้เหมาะสําหรับจัดกระทํากับขอมูลที่มีจํานวนมาก ตัวอยางที่ 2 อายุของประชากรในหมูบานหนึ่งจํานวน 45 คน เปน ดงั น้ี 41 53 61 42 15 39 65 40 64 22 71 62 50 81 43 60 16 63 31 52 47 48 90 73 83 78 56 50 80 45 37 51 49 55 78 60 90 31 44 22 54 36 22 66 46
125 เมื่อนําขอมูลมาทําเปนตารางแจกแจงความถี่แบบจัดเปนกลุม ไดดังนี้ 1. การแจกแจงความถี่ที่เปนอันตรภาคชนั้ มีคําเรียกความหมายของคําตาง ๆ ดังตอ ไปนี้ 1.1 อันตรภาคชั้น ( Class interval ) หมายถึง ขอมูลที่แบงออกเปนชวง ๆ เชน อันตรภาค ชน้ั 11-20 , 21 -30 ,61–70 ,81-90 เปนตน 1.2. ขนาดของอันตรภาคชั้น หมายถึง ความกวาง 1 ชวงของขอมูลในแตละชัน้ จาก 11-20 หรอื 61-70 จะมีคาเทากับ 10 1.3 จํานวนของอันตรภาคชัน้ หมายถึง จํานวนชวงชั้นทั้งหมดที่ไดแจกแจงไวในทีน่ ี้ มี 10 ช้ัน 1.4 ความถี่ ( Frequency ) หมายถึง รอยขีดทีซ่ ้าํ กัน หรือจํานวนขอมูลทีซ่ ้าํ กันในอันตรภาค ช้ันนัน้ ๆ เชน อนั ตรภาคชัน้ 41-50 มีความถี่เทากับ 11 หรือมีผูท ี่มอี ายใุ นชว ง 41-50 มอี ยู 11 คน 1.4 การแจกแจงความถสี่ ะสม ความถี่สะสม ( Commulative frequency ) หมายถึง ความถสี่ ะสมของอันตรภาคใด ท่เี กดิ จากผลรวมของความถี่ของอันตรภาคนั้น ๆ กับความถี่ของอันตรภาคชั้นที่มีชวงคะแนนต่ํากวาทั้งหมด ( หรือสูงกวาทั้งหมด ) ตวั อยางที่ 3 ขอมูลสวนสูง (เซนติเมตร) ของพนักงานคนงานโรงงานแหงหนึ่ง จํานวน 40 คนมดี งั น้ี 142 145 160 174 146 154 152 157 185 158 164 148 154 166 154 175 144 138 174 168 152 160 141 148 152 145 148 154 178 156 166 164 130 158 162 159 180 136 135 172
126 เม่อื นํามาแจกแจงความถไ่ี ดด ังน้ี หมายเหตุ ความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นสุดทายจะเทากับผลรวมของความถี่ทั้งหมด ความหมายของคําที่เรยี กเพ่มิ เตมิ ท่คี วรรูส กึ ไดแ ก ขีดจํากดั ชัน้ และจุดกึง่ กลางชน้ั ดัง ความหมายและตัวอยางทจี่ ะกลาวถงึ ตอ ไป 1.5 การแจกแจงความถีส่ ัมพัทธ ความถ่สี ัมพัทธ ( Relative frequency ) หมายถงึ อตั ราสว นระหวา งความถี่ของอันตรภาค ช้ันนั้นกบั ผลรวมของความถ่ีท้ังหมด ซึง่ สามารถแสดงในรูปจดุ ทศนิยม หรือรอยละก็ได ตวั อยางที่ 4 การแจกแจงความถี่สัมพัทธของสวนสูงนักศกึ ษา หมายเหตุ ผลรวมของความถี่สัมพัทธตองเทากับ 1 และคารอยละความถี่สัมพัทธตองเทากับ 100 ดว ย
127 1.6 การแจกแจงความถ่ีสะสมสัมพทั ธ ความถ่สี ะสมสมั พัทธ ( Relative commulative frequency ) ของอันตรภาคใด คือ อัตราสวนระหวางความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นนั้นกับผลรวมของความถี่ทั้งหมด ตวั อยางที่ 5 การแจกแจงความถี่สะสมสัมพัทธของสวนสูงนักศึกษา 1.7 ขีดจํากัดชั้น ( Class limit ) หมายถึง ตวั เลขทีป่ รากฏอยใู นอนั ตรภาคชัน้ แบงเปน ขดี จาํ กดั บน และขดี จํากัดลา ง ( ดูตารางในตัวอยา งท่ี 5 ประกอบ) 1.1 ขีดจํากัดบนหรือขอบบน ( Upper boundary ) คือ คากึง่ กลางระหวางคะแนนทีม่ าก ทีส่ ุดในอันตรภาคชัน้ นัน้ กับคะแนนนอยทีส่ ุดของอันตรภาคชัน้ ทีต่ ิดกันในชวงคะแนนที่สูงกวา เชน อนั ตรภาคชนั้ 140 -149 ขอบบน = 149 +150 = 149.5 2 นน่ั คือ ขดี จาํ กดั บนของอันตรภาคขั้น 140 – 149 คอื 149.5 1.2 ขีดจํากัดลางหรือขอบลาง ( Lower boundary ) คือ คากึ่งกลางระหวางคะแนนที่ นอยที่สุดในอันตรภาคชัน้ นัน้ กับคะแนนที่มากทีส่ ุดของอันตรภาคชั้นทีอ่ ยูติดกันในชวงคะแนนทีต่ ่าํ กวา เชน ตวั อยา งอนั ตรภาคช้นั 140 – 149 ขอบลาง = 140 + 139 = 139.5 2 น่นั คอื ขดี จาํ กัดลา งของอันตรภาคขน้ั 140 – 149 คอื 139.5
128 ตวั อยางท่ี 6 การแจกแจงความถี่ของสวนสูงนักศึกษา ความสูง (ซม.) ความถี่ ความถี่สะสม ขดี จํากัดลาง ขดี จํากัดบน จุดกึ่งกลางชน้ั 180 – 189 2 40 179.5 189.5 184.5 38 169.5 149.5 174.5 170 – 179 5 33 159.5 169.5 * 164.5 159.5 ** 154.5 160 – 169 8 25 149.5 149.5 * 144.5 139.5 134.5 150 – 159 12 13 139.5 140 – 149 9 4 129.5 130 – 139 4 รวม 40 1.8 จดุ ก่งึ กลางชนั้ ( Mid point ) เปนคาหรือคะแนนทีอ่ ยูระหวา งกลางของอันตรภาคช้ันน้ัน ๆ เชน อันตรภาคชัน้ 150 -159 จดุ กึ่งกลางของอนั ตรภาคชัน้ ดังกลาว 150 +159 = 154.5 เปน ตน 2 นอกจากนี้ยังสามารถแสดงการแจกแจงความถี่ของขอมูลโดยใชฮสิ โทแกรม (Histogram ) รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ (Frequency polygon ) เสนโคงของความถี่ (Frequency curve )
129 แบบฝกหัดที่ 1 1. จงเขียนขอมูลสถิติที่เกี่ยวของกับบุคคลในครอบครัว เชน เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ 2. จงยกตัวอยางขอมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมาอยางละ 5 ชนดิ 3. จงพจิ ารณาวาขอมลู ตอไปนีเ้ ปนขอมูลเชงิ คณุ ภาพ หรือขอ มูลเชิงปริมาณ - พนักงานในรงงานแหงหนึ่งถูกสอบถามถึงสุขภาพรางกายในขณะปฏิบัติงาน คุณภาพ ปริมาณ เพราะวา ................................................................................................................ - นกั ศึกษาจํานวนหน่ึงทีถ่ กู สอบถามถึงคาใชจายในการไปพบกลุมที่หองสมุด คุณภาพ ปริมาณ เพราะวา ................................................................................................................ 4. ขอ มูลปฐมภูมิตางจากขอ มลู ทุตยิ ภมู ิอยางไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา ง 5. ขอ มูลตอไปน้ีควรใชว ธิ ใี ดในการรวบรวม (ตอบไดหลายคําตอบ) 5.1 การใชเวลาวางของนักศึกษา 5.2 รายไดของคนงานในสถานประกอบการ 5.3 นาํ้ หนักของเด็กอายุ 3-6 ป ในหมูบา น 5.4 ผลของการใชสื่อการเรียนการสอน 2 ชนิดทแ่ี ตกตา ง 5.5 การระบาดของโรคที่เปนอันตรายตอมนุษย 6. จงบอกขอดีขอเสียของการเก็บรวบรวมขอมูลโดยวิธีการสัมภาษณ 7. ขอมูลการสํารวจอายุ ( ป ) ของคนงานจาํ นวน 50 คนในโรงงานอตุ สาหกรรมแหง หนง่ึ เปน ดงั น้ี 27 35 21 49 24 29 22 37 32 49 33 28 30 24 26 45 38 22 40 46 20 31 18 27 25 42 21 30 25 27 26 50 31 19 53 22 28 36 24 23 21 29 37 32 38 31 36 28 27 41 กําหนดความกวางของอันตรภาคชั้นเปน 8 1. จงสรางตารางแจกแจงความถี่ 2. จงหาขีดจํากดั ชั้นท่แี ทจ รงิ และจดุ กง่ึ กลางชัน้ 3. จงหาความถ่ีสะสม ความถ่ีสมั พัทธ และความถส่ี ะสมสัมพทั ธ 4. จงหาพิสัยของขอมูลชุดนี้ 5. จงหาจํานวนคนงานทมี่ ีอายุตาํ่ กวา 45 ป
130 เรอื่ งท่ี 2 การหาคากลางของขอมูล โดยใชค า เฉล่ียเลขคณิต มธั ยฐาน และฐานนยิ ม การหาคากลางของขอมูลที่เปนตัวแทนของขอมูลทัง้ หมดเพื่อความสะดวกในการสรุปเรื่องราว เกีย่ วกับขอมูลนั้นๆ จะชวยทําใหเกิดการวิเคราะหขอมูลถูกตองดีขึน้ การหาคากลางของขอมูลมีวิธีหา หลายวิธี แตละวิธีมีขอดีและขอเสีย และมีความเหมาะสมในการนําไปใชไมเหมือนกัน ขึ้นอยูก ับ ลักษณะขอมูลและวัตถุประสงคของผูใชขอ มลู น้นั ๆ คากลางของขอมูลทส่ี ําคัญ มี 3 ชนดิ คือ 1. คาเฉล่ียเลขคณติ (Arithmetic mean) 2. มัธยฐาน (Median) 3. ฐานนยิ ม (Mode) การหาคากลางของขอมลู ทําไดท้งั ขอมูลท่ไี มไดแจกแจงความถี่และขอมูลที่แจกแจงความถี่ 2.1. คาเฉลย่ี เลขคณิต (Arithmetic mean) คาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลไดจากการหารผลบวกของขอมูลทั้งหมดดวยจํานวนขอมูล แทนดว ย สัญลกั ษณ x การหาคาเฉล่ียเลขคณติ ของขอมลู ที่ไมแ จกแจงความถี่ ให x1 , x2 , x3 , …, xn เปน ขอมูล N คา หรอื x = ∑ x n ตวั อยาง จากการสอบถามอายุของนกั เรยี นกลุมหนึง่ เปน ดงั นี้ 14 , 16 , 14 , 17 , 16 , 14 , 18 , 17 1) จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของอายุนักเรียนกลุมนี้ 2) เมอ่ื 3 ปท่ีแลว คาเฉลย่ี เลขคณติ ของอายนุ ักเรียนกลมุ นเ้ี ปนเทา ใด 1) วธิ ีทํา คา เฉลย่ี เลขคณิตของนักเรียนกลุมน้ี คอื 15.75 ป
131 2) วิธีทาํ เมอ่ื 3 ปท แ่ี ลว 11 13 11 14 13 11 15 14 อายปุ จจบุ ัน 14 16 14 17 16 14 18 17 เมอ่ื 3 ปท แ่ี ลว คาเฉลีย่ เลขคณติ ของอายุของนกั เรยี นกลมุ น้ี คือ 12.75 ป การหาคา เฉล่ยี เลขคณติ ของขอ มลู ที่แจกแจงความถ่ี ถา f1 , f2 , f3 , … , fk เปนความถี่ของคาจากการสังเกต x1 , x2 , x3 ,…. , xk ตวั อยาง จากตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบของนักเรียน 40 คน ดงั น้ี จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิต คะแนน จาํ นวนนกั เรยี น (f) x fx 11 – 20 7 15.5 108.5 21 – 30 6 25.5 153 8 35.5 284 31 – 40 15 45.5 682.5 41 – 50 51 - 60 4 55.5 222 ∑ f = N = 40 ∑ fx = 1450
132 วิธีทาํ x = ∑ fx ∑x = 1450 40 = 36.25 คา เฉล่ียเลขคณติ = 36.25 สมบตั ิทีส่ าํ คญั ของคาเฉลี่ยเลขคณิต 1. = 2. = 0 ∑3.N มคี านอ ยทสี่ ุด เม่อื M = x หรอื N N −M )2 ( x i −M ) 2 ∑( x i −x ) 2 ≤ ∑( x i i=1 i=1 i=1 เม่ือ M เปน จาํ นวนจรงิ ใดๆ 4. x min 〈 x 〈 x min 5. ถา yi = axi + b , I = 1, 2, 3, ……., N เมอื่ a , b เปนคาคงตัวใดๆแลว y =ax +b คาเฉล่ยี เลขคณติ รวม (Combined Mean) ถา เปน คา เฉล่ยี เลขคณิตของขอ มลู ชดุ ที่ 1 , 2 , … , k ตามลําดับ ถา N1 , N2 , … , Nk เปนจํานวนคาจากการสังเกตในขอมูลชุดที่ 1 , 2 ,… , k ตามลําดับ =
133 ตัวอยาง ในการสอบวิชาสถิติของนักเรียนโรงเรียนปราณีวิทยา ปรากฏวานักเรียนชั้น ม.6/1 จํานวน 40 คน ไดคาเฉลีย่ เลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 70 คะแนน นักเรียนชั้น ม.6/2 จํานวน 35 คน ได คาเฉลีย่ เลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 68 คะแนน นักเรียนชัน้ ม.6/3 จํานวน 38 คน ไดคาเฉลีย่ เลข คณิตของคะแนนสอบเทากับ 72 คะแนน จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของนักเรียนทัง้ 3 หอง รวมกนั วิธีทํา x รวม = ∑ N x ∑N = ( 40 )( 70 ) + ( 35 ) + ( 68 ) + ( 38 )( 72 ) 40 + 35 + +38 = 70.05 2.2. มธั ยฐาน (Median) มัธยฐาน คือ คาทีม่ ตี ําแหนงอยูกงึ่ กลางของขอมลู ทง้ั หมด เมอื่ ไดเรียงขอ มูลตามลาํ ดบั ไมว า จาก นอยไปมาก หรือจากมากไปนอย แทนดว ยสญั ลกั ษณ Md การหามธั ยฐานของขอ มูลท่ีไมไดแจกแจงความถี่ หลักการคิด 1) เรยี งขอมูลท่ีมีอยูท้งั หมดจากนอยไปมาก หรือมากไปนอยกไ็ ด 2) ตาํ แหนง มธั ยฐาน คือ ตาํ แหนงก่งึ กลางขอ มลู ทั้งหมด ดงั นน้ั ตาํ แหนง ของมธั ยฐาน = N +1 2 เมอ่ื N คือ จํานวนขอมูลท้ังหมด 3) มัธยฐาน คอื คาท่มี ีตาํ แหนง อยกู ง่ึ กลางของขอ มูลทัง้ หมด ตัวอยาง กาํ หนดใหคาจากการสังเกตในขอมลู ชุดหนึง่ มีดังนี้ 5, 9, 16, 15, 2, 6, 1, 4, 3, 4, 12, 20, 14, 10, 9, 8, 6, 4, 5, 13 จงหามัธยฐาน วิธีทํา เรยี งลาํ ดับขอมูล 1 , 2 , 3 , 4 , 4 , 4 , 5 , 5 , 6 , 6 , 8 , 9 , 9 , 10 , 12 , 13 , 14 , 15 , 16 , 20 ตําแหนงมัธยฐาน = N +1 2 = 20 + 1 2 = 10.5 คา มัธยฐานอยูร ะหวา งตําแหนงที่ 10 และ 11
134 คาของขอมูลตําแหนงที่ 10 คอื 6 และตาํ แหนง ท่ี 11 คอื 8 ดงั นน้ั คา มธั ยฐาน = 6 + 8 = 7 2 การหามธั ยฐานของขอ มูลทีจ่ ดั เปน อันตรภาคช้ัน ขน้ั ตอนในการหามัธยฐานมีดังนี้ (1) สรางตารางความถี่สะสม (2) หาตาํ แหนง ของมธั ยฐาน คอื N เมอ่ื N เปนจํานวนของขอมูลทั้งหมด 2 (3) ถา N เทากับความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นใด อันตรภาคชั้นนั้นเปนชั้น มัธยฐาน และ 2 มีมัธยฐานเทากับขอบบน ของอันตรภาคช้ันน้ัน ถา N ไมเทาความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นใดเลย 2 อันตรภาคชั้นแรกที่มีความถี่สะสมมากกวา N เปนชั้นของมัธยฐาน และหามัธยฐานไดจากการเทียบ 2 บญั ญัตไิ ตรยางค หรือใชส ตู รดังนี้ จากขอมูลทั้งหมด N จาํ นวน ตาํ แหนงของมธั ยฐานอยทู ่ี N 2 N −∑ f l 2 Md = Lo +i fm เม่ือ Lo คอื ขดี จํากดั ลางของอันตรภาคชั้นทมี่ ีมธั ยฐานอยู ∑ f l คือ ความถีส่ ะสมกอนถึงชน้ั ทีม่ มี ธั ยฐานอยขู องคะแนนต่ํากวา ท่ีอยูชน้ั ติดกัน fm คอื ความถี่ของช้นั ท่มี ีมัธยฐานอยู i คือ ความกวางของอันตรภาคชั้นที่มีมัธยฐานอยู N คือ จาํ นวนขอมูลทง้ั หมด
135 2.3 ฐานนยิ ม (Mode) การหาฐานนยิ มของขอมูลท่ีไมแ จกแจงความถ่ี ใชสัญลักษณ Mo คือคาของขอมูลทีม่ ีความถีส่ ูงสุด หรือคาทีม่ ีจํานวนซ้ํา ๆ กันมากทีส่ ุดแทน ดวยสญั ลักษณ Mo หลกั การคดิ - ใหดูวาขอมูลใดในขอมูลทีม่ ีอยูท ัง้ หมด มีการซ้าํ กันมากที่สุด (ความถี่สูงสุด) ขอมูลนั้นเปน ฐานนิยมของขอมูลชุดนั้น หมายเหตุ - ฐานนยิ มอาจจะไมมี หรอื มีมากกวา 1 คา ก็ได
136 สง่ิ ท่ีตอ งรู 1. ถาขอมูลแตละคาที่แตกตางกัน มีความถี่เทากันหมด เชน ขอมูลที่ประกอบดวย 2 , 7 , 9 , 11 , 13 จะพบวา แตละคา ของขอ มลู ท่แี ตกตางกนั จะมีความถเี่ ทากับ 1 เหมือนกันหมด ในท่ีน้แี สดงวา ไมนิยมคาของขอมูลตัวใดตัวหนึ่งเปนพิเศษ ดังนนั้ เราถือวา ขอ มูลในลักษณะดังกลาวนี้ ไมมฐี านนยิ ม 2. ถาขอมูลแตล ะคา ที่แตกตางกัน มคี วามถ่สี งู สุดเทากัน 2 คา เชน ขอมลู ที่ประกอบดว ย 2, 4, 4, 7, 7, 9, 8, 5 จะพบวา 4 และ 7 เปน ขอมลู ทม่ี คี วามถส่ี งู สดุ เทา กับ 2 เทากัน ในลักษณะ เชน นี้ เราถือวา ขอมลู ดงั กลาวมีฐานนยิ ม 2 คา คอื 4 และ 7 3. จากขอ 1, 2, และตัวอยาง แสดงวา ฐานนิยมของขอมูล อาจจะมีหรือไมมกี ็ไดถ า มอี าจจะ มีมากกวา 1 คาก็ได การหาฐานนิยมของขอ มลู ที่มีการแจกแจงความถี่ กรณีขอ มลู ทม่ี ีการแจกแจงความถ่แี ลว การหาฐานนิยมจากขอมูลที่แจกแจงความถี่แลว อาจนําคาของจุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน้ ของขอมูล ที่มีความถี่มากที่สุดมาหาจุดกึ่งกลางชั้นที่หาคาได จะเปนฐานนิยมทันที แตคาที่ไดจะเปนคาโดยประมาณ เทา นนั้ หากใหไ ดขอ มูลที่เปนจรงิ มากทีส่ ดุ ตอ งใชว ธิ กี ารคํานวณจากสตู ร Mo = Lo + d1 i + d2 d1 เม่อื Mo = ฐานนยิ ม Lo = ขดี จาํ กัดลางจริงของคะแนนที่มีฐานนิยมอยู d1 = ผลตางของความถี่ระหวางอัตรภาคชัน้ ที่มีความถี่สูงสุดกับความถี่ของชั้นทีม่ ีคะแนนต่าํ กวาที่ อยูติดกนั d2 = ผลตางของความถีร่ ะหวางอัตรภาคชัน้ ทีม่ ีความถีส่ ูงสุดกับความถี่ของชั้นทีม่ ีคะแนนสูงกวาที่ อยูต ดิ กนั i = ความกวางของอันตรภาคชั้นที่มีฐานนิยมอยู
137 ตวั อยาง จากตารางคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตรของนักศึกษา 120 คน จงหาคาฐานนิยม จากสตู ร Mo = Lo + d1 i + d2 d1 Lo = 69.5 , d1 = 45 – 22 = 23 , d2 = 45 – 30 = 15 และ i = 79.5 – 69.5 = 10 จะได Mo = 69.5 + 10 23 = 75.55 23 + 15 ฐานนิยมของคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร มีคาเปน 75.55 ความสัมพันธร ะหวา งคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนยิ ม นักสถิติพยายามหาความสัมพันธระหวา งคากลางทั้งสาม ฐานนยิ ม = ตัวกลางเลขคณิต – 3 (ตัวกลางเลขคณิต – มัธยฐาน ) หรอื Mo = (x − 3 x − Md ) ถาแสดงดวยเสนโคงความสัมพันธระหวางการแจกแจงความถี่คากลาง และการกระจายของ ขอ มลู ไดด ังน้ี ขอมูลมีการแจกแจงเปนโคงปกติ ขอ มลู มีการแจกแจงเบข วา ขอ มลู มีการแจกแจงเบซาย
138 แบบฝก หัดที่ 2 1. จงหาคา เฉล่ียเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมของน้ําหนักเดก็ 20 คน ซง่ึ มีนาํ้ หนักเปน กิโลกรัมดงั นี้ 32 60 54 48 60 52 46 35 60 38 44 48 49 54 47 48 44 48 60 32 2. รายไดพ เิ ศษตอเดือนของพนกั งานในโรงงานแหง หนง่ึ เปน ดงั น้ี รายได (บาท) ความถี่ (f) 140 – 144 1 145 – 149 2 150 – 154 34 155 – 159 25 160 – 164 10 165 - 169 5 170 – 174 3 จงหาคาเฉลยี่ เลขคณติ มธั ยฐาน ฐานนิยม
139 เรอื่ งท่ี 3 การนําเสนอขอมลู สถติ ิ การนําเสนอขอมูลสถิติสามารถกระทําได 2 ลกั ษณะใหญ ๆ ดงั น้ี 3.1. การนําเสนออยางไมเปนแบบแผน ( Informal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลที่ไม จาํ เปนตองมกี ฎเกณฑอ ะไรมากนัก มกี ารนําเสนอในลักษณะนี้อยู 2 วิธี คือ การนําเสนอในรูปขอความ หรือบทความและการนําเสนอในรูปขอความกึ่งตาราง ดังตัวอยาง ตัวอยาง การนําเสนอในรูปขอความ / บทความ จากการสํารวจการใชโทรศัพทผานดาวเทียมไทยคมทั่วประเทศในป 2546 พบวา มีอยูต ามหองสมุด ประชาชนจํานวน 960 แหง มีอยูตามบานผูเ รียนจํานวน 540 แหง และมีอยูท ีศ่ ูนยการเรียนชุมชนอีก 1,500 แหง รวมทั้งสิ้นมีโทรศัพทผานดาวเทียมท้ังหมด 3,020 แหง ตวั อยาง การนําเสนอในรูปขอความกึ่งตาราง จากการสํารวจสํามะโนประชากรที่วางงานตลอดทั่วประเทศในป 2543 ปรากฏวามีผูวางงานดังนี้ ภาคกลาง 65,364 คน ภาคเหนือ 32,413 คน ภาคใต 23,537 คน ภาคตะวนั ออก 12,547 คน ภาคตะวนั ตก 9,064 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 132,541 คน รวมทั้งส้ิน 275,466 คน 3.2. การนําเสนออยางเปนแบบแผน ( Formal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลที่มี กฎเกณฑและตองปฏิบัติตามมาตรฐานทีก่ ําหนดไวเปนแบบแผน การนําเสนอวิธีการนีเ้ ปนลักษณะ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟตา ง ๆ 3.2.1 การนําเสนอโดยใชตาราง เปนการนําขอมูลมาจัดเรียงใหอยูใ นรูปของแถวหรือหลัก ตามลักษณะที่สัมพันธกัน อยูใน ตําแหนงทีเ่ กีย่ วของกัน ทําใหสะดวกในการเปรียบเทียบ รวบรัดตอการนําเสนอ องคประกอบทัว่ ไป ของตารางจะมีดังนี้
140 องคประกอบตารางสถิติ ตารางสถิติโดยทั่วไปประกอบดวย 1. หมายเลขตาราง (table number) ชื่อเรอื่ ง (title) หมายเหตุคํานาํ (prefatory note) หวั ขว้ั หวั สดมภ (Stub head) (Column head) ตัวขั้ว ตวั เรื่อง (stub entries) (body) หมายเหตุลาง (footnote) หมายเหตุแหลงที่มา ( source note) 1. หมายเลขตาราง เปน ตวั เลขทแ่ี สดงลาํ ดบั ทข่ี องตาราง ใชในกรณีท่ีมีตารางมากกวาหน่ึงตารางท่ีตอง นาํ เสนอ 2. ชอื่ เร่ือง เปนขอความท่ีอยตู อจากหมายเลขตาราง ชอื่ เรอ่ื งท่ใี ช แสดงวา เปนเรื่องเกี่ยวกบั อะไร ทไ่ี หน เม่อื ไร 3. หมายเหตุคํานํา เปนขอความทีอ่ ยูใตชือ่ เรือ่ ง เปนสวนทีช่ วยใหรายละเอียดในตารางมีความชัดเจน ยงิ่ ข้ึน 4. ตนขั้ว ประกอบดวย หวั ข้ัว และตนขั้ว ซง่ึ หัวขั้วจะอธิบายเก่ียวกับ ตัวขั้ว สวนตัวข้ัว จะแสดงขอมูล ทอ่ี ยใู นแนวนอน 5. หัวเร่ือง ประกอบดว ย หัวสดมภ และตัวเรื่อง ซึ่งหัวสดมภใชอธิบายขอมูลแตละสดมภ ตามแนวต้ัง ตวั เรอ่ื ง ประกอบดวย ขอ มลู ทเ่ี ปนตัวเลขโดยสว นใหญ 6. หมายเหตแุ หลงที่มา บอกใหท ราบวา ขอมลู ในตารางมาจากท่ใี ด ชว ยใหผูอา นไดคน ควา เพมิ่ เตมิ ตัวอยาง ตารางแสดงจํานวนประชากรของประเทศไทยปตาง ๆ จําแนกตามเพศ ( สํานักงานสถิติ แหงชาติ ) พ.ศ. จาํ นวนประชากร ชาย หญงิ รวม 2480 7,313,584 1,150,521 14,464,105 2490 8,722,155 8,720,534 17,442,689 2503 13,154,149 13,103,767 26,257,916 2513 17,123,862 17,273,512 34,397,374 2523 22,008,063 22,170,074 44,278,137
141 3.2.2 แผนภูมิรูปภาพ ( Pictogram) เปนแผนภูมิทีใ่ ชรูปภาพแทนตัวเลขของขอมูล เชนรูปภาพ คน 1 คน แทนจาํ นวนคน 100 คน ถามีคน 550 คน จะมีรูปภาพคน 5 รูป และภาพคนทีไ่ มสมบูรณอีกครึง่ รูปการนําเสนอขอมูลในรูปภาพทําใหดึงดูดความสนใจมากขึ้น ตัวอยาง ตอ ไปน้ีเปนตวั อยา งแผนภมู ิรปู ภาพ ซ่งึ แสดงปรมิ าณทไี่ ทยสงสินคา ออกไปขายยังประเทศบรูไน ระหวางป 2526-2531 = 100 ลานบาท 2526 250 2527 234 2528 360 2529 360 2530 450 2531 550 ทมี่ า : กรมศลุ กากร จากขอมูลขางตน แสดงวาในป 2526 ไทยสงสินคาไปขายยังประเทศบรูไน 250 ลานบาท ในป 2531 สงสินคาไปขาย 550 ลานบาท เปน ตน 3.2.3 แผนภูมิรูปวงกลม คือ แผนภูมิที่แสดงใหเห็นถึงรายละเอียดสวนยอย ๆ ของขอมูลทีน่ ํามา เสนอ การนําเสนอขอมูลในลักษณะนีจ้ ะเสนอในรูปของวงกลมโดยคํานวณสวนยอย ๆ ของขอมูลที่จะ แสดงทัง้ หมด หลังจากนั้นแบงพื้นที่ของรูปวงกลมทั้งหมดออกเปน 100 สวน หลังจากนั้นก็หาพืน้ ทีข่ อง แตล ะสว นยอย ๆ ทีจ่ ะแสดง
142 ตัวอยา ง แผนภูมิรูปวงกลมแสดงการเปรียบเทียบงบประมาณดานตาง ๆ ที่ใชในสถานศึกษา ( ยกเวน เงินเดือน – คาจาง ) 3.2.4 แผนภมู ิแทง (Bar chart) การนําเสนอขอมูลโดยใชแผนภูมิแทง เปนการนําเสนอขอมูล โดยใชร ูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา รูปสีเ่ หลีย่ มผืนผาอาจเรียงในแนวตั้ง หรือแนวนอนก็ได ซึง่ สีเ่ หลี่ยมผืนผาแตละ รูปจะมีความกวางเทาๆกันทุกรูป สวนความยาวของสี่เหลี่ยมผืนผาขึ้นอยูกับขนาดของขอมูล นิยมเรียกรูป สี่เหล่ยี มผนื ผาในแตละรปู วา “แทง” (bar) ระยะหางระหวางแทงใหพองาม และเพือ่ ใหจําแนกลักษณะที่ แตกตางกันของขอมูลในแตละแทงใหชัดเจน และสวยงามจึงไดมีการแรเงา หรือระบายสี และเขียนตัวเลข กาํ กบั ไวบ นตอนปลายของแตล ะแทง ดว ยกไ็ ด 3.2.4. 1 แผนภมู ิแทง เชิงเด่ยี ว (Simple bar chart) ตัวอยาง การเสนอขอ มลู โดยใชแ ผนภมู แิ ทง เชงิ เด่ียว แผนภูมิแสดงจาํ นวนท่ีอยูอาศัยเปดตัวใหมใ นเขตกทม. และปริมณฑล จาํ นวนท่อี ยอู าศัย
143 3.2.4.2แผนภูมิแทงเชิงซอน (Multiple bar chart) ขอมูลสถิติทีจ่ ะนําเสนอดวย แผนภูมิแทงตองเปนขอมูลประเภทเดียวกันและหนวยของตัวเลขเปนหนวยเดียวกันและควรใช เปรียบเทียบขอมูล 2 ชุดหรือมากกวา 2 ชดุ กไ็ ด ซงึ่ อาจเปน แผนภมู ใิ นแนวตั้งหรือแนวนอน ก็ไดสิ่งที่ สําคญั ตองมีกุญแจ (Key) อธิบายวาแทงใดหมายถึงขอมูลชุดใดไวที่ดว ย ดตู ัวอยา งจากรปู ที่ 3 แผนภมู ิแทง แสดงสินทรัพย หนี้สินและทุนของสหกรณออมทรัพยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 3.2.5 การนําเสนอขอมูลโดยใชกราฟเสน การนําเสนอขอมูลทม่ี ลี กั ษณะเปน กราฟเสนนน้ั ลักษณะของกราฟอาจจะเปนเสนตรงหรือไมก็ได จุดสําคัญของการนําเสนอโดยใชกราฟเสนก็เพื่อจะใหผูอานมองเห็นแนวโนมการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ ขอมูล เชนขอมูลทีเ่ กีย่ วกับเวลา ถาเรานําเสนอโดยใชกราฟเสน เราก็สามารถจะมองเห็นลักษณะของ ขอมูลในชวงเวลาตาง ๆ วามีการเปลีย่ นแปลงในลักษณะที่เพิม่ ขึน้ หรือลดลงมากนอยเพียงใด นอกจากนี้ กราฟเสนยังทําใหเรามองเห็นความสัมพันธระหวางขอมูล(ถามีขอมูลหลาย ๆ ชุด) และสามารถนําไปใช ในการคาดคะเน หรือพยากรณขอมูลนน้ั ไดอ กี ดว ย โดยทั่วไป การนําเสนอขอมูลโดยใชกราฟเสนก็จะมีลักษณะเชนเดียวกับตาราง กลาวคือ เราตอง บอก หมายเลขภาพ ชื่อภาพ แหลงที่มาของขอมูล และทีส่ ําคัญตองบอกใหทราบวาแกนนอนและแกนตั้ง ใชแ ทนขอ มลู อะไรและมหี นว ยเปนอยางไร
( ลานบาท) 144 3.2.5.1 กราฟเชิงเดี่ยว คือ กราฟทีแ่ สดงลักษณะของขอมูลเพียงชุดเดียว เชน ขอมูล เกีย่ วกับปริมาณสินคาที่นําเขาจากประเทศสิงคโปร ขอมูลเกีย่ วกับปริมาณน้าํ ฝนประจําเดือนตาง ๆ ป พ.ศ. 2543 เปน ตน ตัวอยาง ตารางแสดงปริมาณสินคาทนี่ ําเขาจากประเทศสิงคโปร ป ปริมาณสินคานําเขา (ลานบาท) 2526 14,623 2527 19,373 2528 18,746 2529 15,845 2530 26,030 2531 34,034 ทม่ี า : กรมศุลกากร จงเสนอขอ มูลดังกลาวโดยใชก ราฟเชิงเดย่ี ว วิธที ํา จากขอมูลดังกลาวเราสามารถนํามาเขียนเปนกราฟเสนไดดังนี้ ปริมาณสินคาที่นําเขาจากประเทศสิงคโปร ปพ.ศ. 2526 – 2531 40000 35000 30000 25000 20000 15000 10000 5000 0 2526 2527 2528 2529 2530 2531 ปพ.ศ.
145 3.2.5.2 กราฟเชิงซอน กราฟเชิงซอนเปนการนําเสนอขอมูลในลักษณะเดียวกับแผนภูมิแทง เชิงซอน กลาวคือเปนการนําเสนอเพือ่ เปรียบเทียบใหเห็นถึงความแตกตางระหวางขอมูลตั้งแต 2 ชุดขึ้น ไป เชนการเปรียบเทียบระหวา ง จํานวนอุบตั ิเหตุทางอากาศ กับจํานวนอุบัติเหตุทางเรือ จํานวนคนเกิดกับ จาํ นวนคนตาย เปน ตน ตัวอยางที่ 24 ตารางแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปงขาวสาลีทีป่ ระเทศไทยสัง่ เขามาตัง้ แตป 2517 – 2523 ป ราคาขาวสาล(ี บาท/ตัน) ราคาแปงขาวสาล(ี บาท/ตนั ) 2517 4,501 5,811 518 4,796 6,695 2519 3,806 6,521 2520 2,892 5,142 2521 3,112 5,010 2522 3,957 5,538 2523 2,288 5,605 ท่ีมา : วารสารเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด ฉบับเดือนมิถุนายน 2515 ปท ่ี 14 เลม ท่ี 6 วธิ ีทาํ จากขอมลู ดงั กลาวสามารถนํามาเขียนกราฟเสนไดดังนี้ กราฟแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปง ขา วสาลีท่ีประเทศไทยส่ังเขา มาตัง้ แตป 2517 – 2523 8000 ขา วสาลี 7000 แปง สาลี 6000 5000 4000 3000 2000 1000 0 2517 2519 2521 2523
146 แบบฝกหดั ท่ี 3 1. กาํ หนดใหว า จาํ นวนคนไข (คนไขใน) ของโรงพยาบาลอําเภอแหงหนึ่งในป 2545 และ 2546 ซงึ่ ไดมากจากการสํารวจของโรงพยาบาลเปนดังนี้ พ.ศ. 2545 มีเพศชาย 4,571 คน หญิง 3,820 คน ป 2546 มีเพศชาย 5,830 หญิง 4,259 คน จงนําเสนอขอมูล ก. ในรูปบทความ ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ข. ในรูปบทความ / ขอความกึ่งตาราง ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………. 2. จากขอมูลที่นําเสนอในรูปตาราง รอยละของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนตนของสถาบันการศึกษา แหง หนง่ึ ไดผลการเรยี นใน 4 วชิ าหลักในป 2546 มีดังน้ี หมวดวิชา รอ ยละของระดบั ผลการเรียน 4 3 2 10 คณิตศาสตร 4.49 9.51 22.88 43.58 16.28 ภาษาไทย 5.82 12.14 26.55 41.18 13.10 4.82 11.23 23.50 39.81 19.91 วิทยาศาสตร 9.04 16.60 29.10 34.75 9.09 สังคมศึกษา รวม 84.55 13.67 จากตารางจงตอบคําถามตอไปนี้ 1. หมวดวชิ าใดท่นี ักศึกษาไดร ะดบั ผลการเรียน 4 มากท่ีสุดและไดร ะดบั 0 นอยที่สุดและคิดเปน รอ ยละเทา ไร 2. นกั ศกึ ษาสว นใหญไ ดร ะดับผลการเรยี นใด 3. ระดบั ผลการเรียนที่นกั ศกึ ษาจํานวนมากทสี่ ุดไดรบั 4. ระดบั ผลการเรยี นทนี่ กั ศกึ ษาจํานวนนอยทสี่ ุดไดร ับ 5. กลาวโดยสรุปถึงผลการเรียนของสถาบันแหงนี้เปนอยางไร
147 6. ตารางแสดงปริมาณผลิตยางพาราของประเภทตาง ๆ ในป พ.ศ. 2544 และป พ.ศ. 2545 ดงั น้ี ประเทศ ปรมิ าณการผลติ ( ลา นตนั ) ป 2544 ป 2545 มาเลเซยี อนิ โดนีเซยี 2.5 3.0 3.0 4.0 ไทย 2.0 3.5 เวยี ดนาม 1.5 2.0 1.0 1.5 ลาว จงเขียน 1. แผนภูมแิ ทง แสดงการผลิตยางพาราของประเทศตาง ๆในป 2544 2. แผนภูมิแทงและการเปรียบเทียบการผลิตยางพาราของประเทศตาง ๆในป 2544 และในป 2545 3. แผนภมู วิ งกลมแสดงการเปรียบเทียบการผลิตยางพาราของประเทศตา ง ๆ ในป 2544 4. จงเขียนกราฟแสดงการเปรียบเทียบปริมาณสัตวน้ําจืดและสตั วน ้ําเค็มท่ีจบั ไดต้ังแต พ.ศ. 2540 ถงึ พ.ศ. 2546 พ.ศ. ปรมิ าณทีจ่ บั ได ( พนั ตนั ) สตั วน ํา้ จดื สัตวน้ําเค็ม 2540 1,550 130 2541 1,529 141 2542 1,395 159 2543 2,068 161 2544 1,538 122 2545 1,352 147 2546 1,958 145
148 3.3 สถิตกิ บั การตดั สนิ ใจ ในชีวิตประจําวันของแตละบุคคล จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตในแตละเรือ่ ง แตละ เหตุการณอ ยูตลอดเวลา การเลือกหรือการตัดสินใจทีจ่ ะเลือกวิธีการตางๆ ยอมตองอาศัยความเชือ่ ความรู และประสบการณ สามัญสํานึก ขาวสาร ขอมูลตางๆ มาประกอบการเลือกหรือการตัดสินใจดังกลาว เพือ่ ใหสามารถดํารงชีวติ อยา งถกู ตอ ง และมีโอกาสผิดพลาดนอ ยท่สี ดุ ตัวอยางเชน การตดั สินใจทีเ่ กดิ จากการเลือกในสง่ิ ตาง ๆ ที่เกิดข้นึ จะเห็นไดวา การเลือกตัดสินใจจะทําเรือ่ งใดๆ จําเปนตองมีขอมูลในการตัดสินใจในการเลือกทํา สิง่ นัน้ ๆ ใหดีทีส่ ุด ขอมูลที่มีอยูหรือหามาได หรือขอมูลทีว่ ิเคราะหเบือ้ งตนแลว ยังเรียกวา “ สารสนเทศ หรอื ขาวสาร” (Information) จะชว ยใหก ารตดั สินใจดียิง่ ขึ้น หลักในการเลือกขอมลู มาใชประกอบการตัดสนิ ใจ จะตอ ง - เชอ่ื ถอื ได - ครบถวน - ทันสมัย ถาขอมูลที่มีอยูไมสามารถนํามาประกอบการตัดสินใจได อาจทําใหเปนสารสนเทศเสียกอน ซึ่ง ผูใ ชจะตองเลือกวิธีวิเคราะหขอมูลที่เหมาะสมกับคําตอบทีต่ องการไดรับเสียกอน นัน่ คือ วิธีวิเคราะห ขอมูลและเปน ตวั กําหนดขอ มูลท่ีจาํ เปน ตอ งใช
149 ตัวอยาง ขอมูลและสารสนเทศ ทุกวันนี้สถิติถูกนํามาใชประโยชนหลายๆดาน หลายสาขา และมีสวนเกีย่ วของกับชีวิตประจําวัน ของมนุษยมากขึ้น ทุกวงการ ทัง้ สวนที่เปนขอความ ตาราง รูปภาพ ปายประกาศ และเอกสารทางวิชาการ ตางๆ เปนตน โดยเฉพาะหนวยงานทีท่ ํางานดานนโยบายและการวางแผน จะตองใชสถิติทั้งขอมูล และ สารสนเทศเพื่อจัดทํา นโยบาย วางแผนงาน เพือ่ ใชเปนเครือ่ งมือสนับสนุนในการตัดสินใจตางๆ ของ หนว ยงานทง้ั ภาครัฐและเอกชน ในสวนของภาครัฐบาลตองอาศัยสถิติในการวัดภาพรวมทางดานเศรษฐกิจ เชน การหาผลิตภัณฑ มวลรวมของประเทศ การบริโภค การออม การลงทุน ตลอดจนการวัดการเปลี่ยนแปลงคาของเงินเปนตน นอกจากนีย้ ังอาศัยวิธีการทางสถิติชวยอธิบายเกี่ยวกับทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร การทดสอบสมมติฐาน ตางๆโดยพยายามพยากรณและคาดคะเนแนวโนมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ในดานธุรกิจการคาตัวเลขสถิติมีประโยชนเปนเครื่องมือชวยรักษาและปรับปรุงคุณภาพการผลิต ใชเปนเครือ่ งมือในการคัดเลือกและยกฐานะของคนงาน หรือใชเปนเครื่องมือในการควบคุมเพือ่ ใหใช วัตถุดิบอยางประหยัด มีการคาดคะเนความตองการของลูกคาในอนาคต ซึ่งการตัดสินใจเกี่ยวกับการคา การขายตองอาศัยสถติ ิท้งั ส้ิน สําหรับในดานสังคมและการศึกษา ในวงการสาธารณสุขตองใชขอมูลสถิติเพือ่ การดูแลรักษา สุขภาพ การประมวลผล และคาดการณแนวโนมการระวังสุขภาพ ตองอาศัยขอมูลทางสถิติประกอบการ ตัดสินใจ สวนในดานการศึกษาสถิติจะชวยในการวางนโยบายและแผนการจัดการศึกษาทัง้ ในระดับชาติ และระดับทองถิ่น นอกจากนีส้ ถิติยังชวยติดตาม วัดผลและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนและการ บรหิ ารจดั การอกี ดว ย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253