Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนวิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ

เอกสารประกอบการสอนวิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ

Published by Wanvimon Pumpho, 2019-08-24 05:14:23

Description: เอกสารประกอบการสอนวิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ

Search

Read the Text Version

ขอบเขตและสมมติฐาน ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และวิธีการ ดาเนินการวิจัย สาหรับลาดับความก่อนหลังของส่วยย่อย ๆ ข้ึนอยู่กับรูปแบบของสถาบันหรือแหล่งทุนที่ กาหนดไว้ หลักและแนวทางในการเขียนโครงร่างการวิจัยทั่ว ๆ ไป ท่ีประกอบด้วยหัวข้อสาคัญ ได้แก่ ช่ือเร่ือง ความเป็นมาและคามสาคัญของปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย สมมติฐานการวจิ ัย ขอบเขตของการวจิ ัย นิยาม ศัพท์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การทบทวนวรรณกรรม วิธีการดาเนินการวิจัย ระยะเวลาและแผนการ ดาเนนิ งานวจิ ยั งบประมาณ สถานที่ และเอกสารอา้ งอิง ซง่ึ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี 1) ช่ือเร่ือง (Research topic) การเขียนช่ือเรื่องควรมีท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การต้ังชื่อต้อง กระชับ ชดั เจน อา่ นแล้วเข้าใจงา่ ยและสอ่ื ถึงแบบแผนและสาระของการวจิ ยั 2) ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา (Research background and significance) เปน็ เนื้อหา ท่ีผู้วิจัยช้ีแจงให้เห็นว่าเรื่องที่จะทาวิจัย มีความเป็นมาอย่างไรและมีความสาคัญหรือจาเป็นเพียงใดที่ควร ทาการศึกษา กล่าวอีกนัยหน่ึงคือ เป็นความพยายามของผู้วิจัยท่ีจะเขียนเพ่ือให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกวา่ เร่ืองที่ ศึกษาเป็นเรื่องที่สาคัญ น่าสนใจ และต้องการอ่านหรือติดตาม การเขียนมักเริ่มจากอธิบายโดยย่อถึงความ เปน็ มานับต้งั แต่อดีตจนถงึ ปัจจบุ นั ของเรื่อง (ปัญหาท่ศี ึกษา) ดังกลา่ ว หรอื อาจนาคาสาคญั (Key word) หรอื สาระสาคัญในช่ือเรื่องมาเขียนบรรยายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายและความสาคัญของคาสาคัญแต่ละคา จากน้ันจึงเขียนบรรยายระบุปัญหาที่เชื่อมโยงกับคาสาคัญที่กล่าวถึงโดยยกตัวอยา่ งสภาพปัญหาบางส่วน ซ่ึง ปัญหาน้ีควรสอดคล้องหรือเป็นส่วนหน่ึงของกรอบแนวคิดท่ีศึกษา ในการบรรยายสภาพของปัญหาควรมีการ อา้ งองิ ข้อมลู มาสนับสนนุ ในย่อหนา้ สดุ ท้ายของหวั ขอ้ น้คี วรสรปุ วา่ การศึกษาเรื่องนี้ (ช่ือเรื่อง) จะเปน็ ประโยชน์ ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาตหิ รือหนว่ ยงานท่เี กยี่ วข้องท้ังในทางวชิ าการ และทางการปฏบิ ตั ิอย่างไร อนึ่งถ้อยคาหรือข้อความต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสาคัญและความจาเป็นในการศึกษาเรื่อง ดังกล่าว ซ่ึงสามารถนามาใช้ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของปัญหาการวจิ ัย เช่น สร้างองค์ความรู้ใหม่ ขยายความรู้ ด้านวิชาการ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ นาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง เพ่ิมมูลค่า เพ่ิมรายได้ ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนคี้ วรยกตวั อย่างใหเ้ หน็ ชัดเจนดว้ ย ไมใ่ ช่กลา่ วเฉพาะหลกั การเท่านั้น เทคนิคที่ใชใ้ นการเขยี นใหเ้ กิดความเข้าใจงา่ ย คือ ควรตัง้ คาถามเรียงเป็นข้อ ๆ ตามลาดบั ความสาคัญ จากภาพกวา้ ง มายัจดุ ทต่ี ้องการศึกษาแล้วตอบคาถามเหล่าน้ันอย่างชัดเจน รอ้ ยเรยี งเนื้อหาให้สัมพนั ธ์ หากมี เนอ้ื หามากควรแบ่งเปน็ หลายย่อหน้า แตล่ ะย่อหน้าควรมีใจความสาคัญเพียงใจความเดยี ว เพื่อใหอ้ า่ นง่ายและ นา่ สนใจ 3) วัตถุประสงค์งานวิจัย (Research objective) การเขียนวัตถุประสงค์งานวิจัยหากมีหลาย วัตถุประสงค์ให้แยกออกเป็นข้อ ๆ เรียงลาดับตามความสาคัญและความเชื่อมโยงกันกัน วัตถุประสงค์ควร เชอื่ มโยงกับความสาคญั ของปัญหาและขอบเขตการวิจยั 4) สมมติฐานการวิจัย (Hypothesis) การเขียนสมมติฐานต้องมีลักษณะชัดเจนสอดคล้องกับปัญหา และวัตถุประสงค์การวิจัย ถ้ามีสมมติฐานหลายประเด็นก็ควรเขียนเป็นข้อ ๆ เรียงตามลาดับความสาคัญของ ตวั แปร 5) ขอบเขตการวิจัย (Scope of research) ในช่ือเร่ืองบางครั้งอาจมีขอบเขตกว้างใหญ่มาก ซ่ึงไม่ สามารถศึกษาครอบคลุมเนื้อหาได้หมด และเพ่ือป้องกันการท้วงติงในส่วนเน้ือหาผู้วิจัยควรกาหนดเนื้อหาไว้ วิธีวจิ ยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 51

เฉพาะในส่วนท่ีต้องการศึกษา นอกจากน้ีอาจกาหนดขอบเขตที่เก่ียวกับคุณลักษณะขอตัวแปรท่ีศึกษา ทั้งนี้ เพือ่ ให้มีความชัดเจนในการศึกษา และควรใหเ้ หตผุ ลประกอบด้วย 6) นิยามศพั ท์เฉพาะ (Term definition) หรือนยิ มเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร ในเรื่องท่จี ะวิจัยมักมีคาคพั ท์บางคา หรือวลี บางวลีที่มีความหมายเฉพาะ หรือมีความหมายหลายนัย ดังน้ันเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหวา่ ง ผู้อ่านหรือผู้ใช้ผลการวิจัยกับผู้ทาวิจัย และป้องกันการเกิดการสับสนจากความเข้าใจผิด ผู้วิจัยจะต้องระบุ ความหมายของคาคัพทห์ รือวลีเหลา่ นนั้ ให้ชดั เจน 7) ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั (Expected result and application) เป็นการเขียนใหผ้ อู้ ่านเข้าใจว่า ผลที่ได้จากกการวจิ ัยนี้ คาดว่าจะกอ่ ให้เกิดประโยชนอ์ ย่างไร ผลการวิจัยโดยรวมสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้งาน ดา้ นใด หนว่ ยงานใดได้บ้าง การระบุประโยชน์ได้ชัดเจนช่วยใหผ้ ู้วิจยั มโี อกาสได้รับการพิจารณาให้ทุนอุดหนุน การวิจัยได้ง่ายข้ึน หลักในการเขียนควรเขียนเป็นข้อ ๆ โดยเร่ิมจากข้อท่ีเป็นประโยชนโ์ ดยตรงก่อน ส่วนข้อที่ เป็นประโยชน์ทางอ้อมเขียนต่อท้าย ประการสาคัญคือต้องเขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย และ ความสาคญั ของปญั หาท่กี ล่าวไว้ขา้ งตน้ 8) ทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรมจะเสนอแนวคิด ทฤษฎีทรี่ องรบั ปัญหาการวิจัย รวมถงึ ผลงานการวิจยั ที่เกี่ยวข้อง ดังนนั้ ควรเขยี นใหม้ เี นื้อหาแยกเปน็ แต่ละประเด็นและมีการสรุปอย่างชัดเจน ก็จะ เปน็ ประโยชน์ต่อผวู้ ิจัยและสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้เปน็ อยา่ งดี 9) วิธีการดาเนินการวิจัย (Research Methodology) เป็นส่วนสาคัญมากของโครงร่างงการวิจัย เป็นส่วนท่ีอธิบายลักษณะท่ัวไปของการวิจัย เสนอขั้นตอนและรายละเอียดวิธีการทางานแต่ละข้นั ตอนในการ ทาวิจัยตั้งแต่เรม่ิ ตน้ จนเสร็จส้ินสมบูรณ์ งานวิจัยแต่ละประเภทจะมีขั้นตอนและวิธีการ แตกต่างกันไป ผู้เขียน ต้องเขยี นขน้ั ตอนและวธิ ีการใหถ้ กู ตอ้ งตามหลักของระเบียบวิธกี ารวิจยั แตล่ ะประเภท การเขียนวิธีการดาเนินวิจัยเชิงสารวจ แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อ ได้แก่ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั การเกบ็ รวบรวมข้อมูล และการวิเคราะหข์ อ้ มูล ซ่ึงมีหลกั การเขยี นดังตอ่ ไปน้ี 9.1) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง หัวข้อน้ีควรแยกเป็น 2 ประเด็น คือประชากรหนึ่งประเด็น และ กลมุ่ ตวั อย่างอีกหน่ึงประเด็น โดยระบใุ ห้แนช่ ดั ว่าประชากรเปน็ ใคร มีคณุ สมบัตทิ เ่ี ฉพาะสาหรับการวจิ ัยอย่างไร อยู่ทีไ่ หน มจี านวนเทา่ ไร ส่วนกล่มุ ตวั อยา่ งน้ันเขียนให้ชดั เจนถงึ การกาหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ ง และวธิ ีการ สุ่มตัวอยา่ ง 9.2) เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย หัวข้อนี้ประกอบด้วยสาระสาคัญ 3 ประเดน็ คอื ประเภทและลักษณะ ของเครื่องมือ วิธีการสร้างหรือการได้มาของเครื่องมือ และวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การเขียน ควรแยกเขยี นเป็นแตล่ ะประเดน็ เรียงลาดบั กนั ระบรุ ายละเอียดและวธิ กี ารใหช้ ัดเจน 9.3) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนหนึ่งท่ีทาให้เชื่อมั่นได้ว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ มีความ น่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด ดังน้ันจึงต้องเขียนระบุเทคนิคและวิธีการที่ใช้ เช่น การแจกแบบสอบถามหรือใน การสมั ภาษณโ์ ดยละเอียด เป็นต้น รวมถงึ บอกวิธีการควบคมุ และตรวจสอบคุณภาพของการเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วย 9.4) การวิเคราะหข์ ้อมลู เป็นการเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดกระทาข้อมลู (Data processing) ที่รวบรวมมาได้ โดยเขียนเป็นข้อ ๆ เรียงลาดับตามการวิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตอนในแบบสอบถาม และ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั รวมถึงการทดสอบสมมาติฐานการวิจยั (ถา้ ม)ี เช่น ถ้าเปน็ การวจิ ัยเชิงสารวจจะเริ่ม วธิ วี จิ ยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 52

จากการระบกุ ารวิเคราะหข์ ้อมูลพ้ืนฐานหรือข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามกอ่ น แล้วจงึ ตามด้วยการ วิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัยแต่ละข้อ และการทดสอบสมมติฐาน รายละเอียดที่ต้องระบุ ได้แก่ เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล วธิ ีการทางสถิติ และเกณฑต์ า่ ง ๆ ที่นามาใชใ้ นการแปลความหมายของผล การวเิ คราะห์ 10.) ระยะเวลาและแผนการดาเนินงานวจิ ยั (Research Plan) เปน็ การวางแผนการดาเนนิ กิจกรรมใน ข้ันตอนต่าง ๆ ของการวจิ ัยโดยระบุระยะเวลาท่ีใช้ในการวจิ ัยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเสร็จสิ้นการวิจัย พร้อมทั้งทา แผนผังกากับงาน (Gantt Chart) แสดงกิจกรรมหลักและระยะเวลาท่ีใช้ในแต่ละกิจกรรมให้เห็นอย่างชัดเจน ดังตวั อยา่ ง ตาราง แผนการดาเนินงาน กิจกรรม ปี 2561 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 1. เขียนโครงการ 2. ทบทวนวรรณกรรม 3. สร้างเคร่ืองมือวจิ ยั 4. ตรวจสอบคุณภาพและปรบั ปรงุ เคร่ืองมอื 5. เกบ็ รวบรวมข้อมูล 6. วิเคราะห์ข้อมูล 7. เขียนรายงานการวิจยั 8. จัดพมิ พ์รายงานและเผยแพร่ ผลการวจิ ัย 11.) งบประมาณ (Budget) ระบงุ บประมาณทีผ่ ู้วิจัยประมาณคา่ ใช้จา่ ยต่าง ๆ ทต่ี อ้ งใชต้ ลอดโครงการ โดยจาแนกรายจ่ายตามหมวดเงิน ดังน้ี หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าใช้สอย หมวดค่าวัสดุ และหมวดค่า ครภุ ณั ฑ์ 12.) สถานท่ีทาการวิจยั ระบุสถานท่ที จ่ี ะทาการวิจัยหรอื สถานที่ท่ีเก็บรวบรวมข้อมูล 13.) เอกสารอ้างอิง เป็นการระบุถึงแหล่งข้อมูลทั้งหมดของวรรณกรรมที่นามาใช้ประกอบการเขยี น โครงร่างงานวิจยั ในการเขยี นให้ใช้แบบแผนและหลกั เกณฑ์ตามลักษณะของเอกสาร เชน่ หนงั สือ บทความใน วารสาร สื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์ ฯลฯ ซง่ึ แต่ละประเภทจะมรี ปู แบบกาหนดเปน็ มาตรฐาน และเมอ่ื เลือกใชร้ ปู แบบใด แบบหนึ่งแลว้ ควรใหเ้ ปน็ แบบเดียวกนั ทงั้ ฉบับ สรปุ การเขยี นวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับประเด็นปัญหาการวิจัย เป็นขนั้ ตอนหนงึ่ ท่ผี ูว้ ิจยั ควรมีทกั ษะเพราะ การทบทวนวรรณกรรมมีความสาคัญมากต่อการทาวิจัย และเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโครงร่างการวิจัย ใน กระบวนการวิจัยนั้นการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องทาได้ต้ังแต่ก่อนดาเนินการวิจัยและในระหว่างการ ดาเนินงานเนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงความก้าวหน้าของความรู้ต่าง ๆ แนวคิด ทฤษฎี รวมถึงเทคนิค วิธีการวิจัยและผลการวิจัยที่ผู้อ่ืนทาไว้ มีผลทาให้ไม่ทาวิจัยซ้าซ้อนและทาให้เกิดการขยายองค์ความรู้ใหม่ใน วิธีวจิ ยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 53

ประเดน็ ปัญหาทจ่ี ะศกึ ษา ซ่ึงทาไดโ้ ดยวิเคราะห์ช่ือเรอื่ งและวตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพอื่ กาหนดหวั ข้อยอ่ ยต่าง ๆ ท่ีสาคัญ และผู้วิจัยต้องมีองค์ความรู้ท้ังแนวคิด ทฤษฎี หลักการ เทคนิควิธีการวิจัย ฯลฯ ดังกล่าว เพ่ือให้ สามารถดาเนินการวิจัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชา การจดบันทึกวรรณกรรมที่สืบค้นควรแยกเปน็ เรอื่ ง ๆ ตามหวั ข้อท่กี าหนดไว้แลว้ และระบุแหล่งทม่ี าของวรรณกรรมใหค้ รบถ้วนเพือ่ ใชส้ าหรบั การอ้างอิง การ เขียนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องควรกาหนดเค้าโครงก่อนเรียบเรียงเนื้อหา ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนนา ส่วนเนอ้ื หา และสว่ นสรุป สาหรับการเขียนโครงร่างการวิจัยซึ่งเป็นแผนการดาเนินงานวิจัยนั้นยึดหลักรูปแบบท่ีสถาบันหรือ หน่วยงานกาหนดไว้ โดยทั่ว ๆ ไปจะประกอบดว้ ยหวั ขอ้ สาคญั ๆ เรยี งลาดับกัน ดงั นี้ ช่ือเรอื่ ง ความเป็นมาและ ความสาคัญของปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย สมมติฐานการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ ทบทวนวรรณกรรม วิธีดาเนินการวิจัย ระยะเวลาและแผนการดาเนินงานวิจัย สถานที่ งบประมาณ และเอกสารอ้างอิง วธิ ีวิจยั ทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 54

บทที่ 8 การเขียนอภปิ รายและรายงานการวิจยั (Discussion and Report Writing) งานวิจัยท่ีทาสาเร็จแล้วต้องเผยแพร่ต่อแวดวงวิชาการหรืองานที่เก่ียวข้อง หรือผู้สนใจเพ่ือให้เกิด ประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อไป การเขียนรายงานการวิจัยจึงเป็นกระบวนการวิจัยข้ันสุดท้ายที่มีความสาคัญ ส่วนของเนื้อหาท่ีสาคัญและใช้เวลาในการเขียนมากที่สุด คือ การอภิปรายผลเน่ืองจากต้องรวบรวมความคิด เชงิ เปน็ เหตุเป็นผล เชือ่ มโยงผลงานวิจยั ทีไ่ ดก้ บั ความสาคัญของประเด็นปัญหาการวจิ ัย การเขยี นอภิปรายผล การอภปิ รายผลการวจิ ัยเป็นขั้นตอนที่สาคญั เพราะเปน็ การประเมินผลการวิจัยเพ่อื เป็นการให้เหตุผล ยนื ยันว่า ผลการวจิ ัยที่ได้น่าเช่อื ถอื ถูกต้อง เป็นจริง โดยชใ้ี ห้เหน็ ว่า ผลการวจิ ัยสอดคล้องหรือไมส่ อดคล้องกับ สมมติฐานการวิจัย ตรงตามข้อเท็จจริงท่ีพบ โดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎีและผลการวิจัยคนอ่ืน ผลการวิจัยน้ัน เป็นไปตามแนวความคิด ทฤษฎีอะไรบ้าง รวมท้ังมีความขัดแย้งหรือไม่ถ้ามีความขัดแย้งจะต้องอธบิ ายเหตุผล และหาขอ้มูลสนับสนนุ ชี้แจงความเป็นไปได้ของผลการวิจัยนนั้ การเขยี นสว่ นน้ีเป็นการเปิดโอกาสให้ผ้วู ิจัยได้ แสดงทักษะเชิงวิพากษ์ มาอธิบายงานวิจัยใหผ้ ู้อ่านได้เข้าใจ ดังนั้น การเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและน่าอา่ น จงึ เปน็ สิง่ จาเปน็ ยิ่งสาหรับการอภปิ รายผล การอภิปรายผลการวิจยั เป็นสว่ นสาคัญมากสว่ นหน่ึงในรายงานการวิจยั ผวู้ ิจยั ตอ้ งอาศัยความสามารถ ในการวิเคราะห์ผลจากการวิจัย แล้วตีความหรือขยายความให้เช่ือมโยงไปสู่การนาเสนอความสาคัญของการ วจิ ยั ที่ไดก้ ล่าวไว้ในหัวขอ้ ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา การตีความในการวิจัย หมายถึง การอธิบายความหมายและการสรุปอ้างอิงของผลท่ีได้จากการ วิเคราะหเ์ ชื่อมโยงไปยังทฤษฎีหรือผลวิจัยที่เก่ียวข้อง ส่วนการขยายความเปน็ การเพิ่มรายละเอียดของผลการ วิเคราะหจ์ ากหลักฐานทีเ่ ปน็ ขอ้ มลู เชิงประจักษร์ วมถึงหลกั ฐานทอ่ี า้ งองิ จากทฤษฎีหรือผลงานวิจยั ท่ีคนอนื่ ทาไว้ เพ่อื ให้เกดิ ความกระจ่างชัด และเชอ่ื มโยงระหวา่ งความรู้ใหม่กับความรู้เดมิ การเขยี นอภปิ รายผลเปน็ สว่ นท่ีใช้ เวลามากกว่าส่วนอืน่ ๆ ส่วนประกอบการอภปิ รายผล การเขียนอภปิ รายผลการวิจยั โดยปกติจะประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 4 ประการดังนี้ 1. ศกึ ษาอะไร ในข้ันตอนน้ีคือผู้วิจยั บอกให้ผู้อ่านทราบว่างานวจิ ัยเกีย่ วกบั อะไร หรือหมายถงึ วัตถุประสงค์และสมมตุ ฐิ านการวิจยั น่ันเอง จากวตั ถุประสงค์การวจิ ัย................................................ จากสมมุติฐานขอ้ ท.่ี ................................................ 2. ผลท่ีไดร้ ับเปน็ อย่างไร ในขัน้ ตอนนีผ้ ู้วจิ ัยจะรายงานผลการวิจัยทด่ี าเนินการมาวา่ เราพบเจออะไรบ้าง ผลการวจิ ยั พบว่า .............................................................. วิธวี จิ ยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 55

3. เป็นเพราะอะไร ข้ันตอนน้ีผู้วิจัยให้เหตุผลว่าผลการวิจัยที่ค้นพบ เกิดขึ้นได้อย่างไร ทาไมถึงเป็นเช่นน้ี ซ่ึงเป็นการแสดงถึงความรู้ความเขุาใจ และผลจากการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมของผู้วิจัยว่ามีมากน้อย เพยี งใด ทัง้ น้ีอาจเป็นเพราะวุา .............................................................................. 4. สอดคล้องกับใคร เป็นการยืนยันผลการวิจัยของเราที่ได้สอดคล้องหรือขัดแย้งกับ ผลการวิจัยของท่านอื่น อย่างไร สอดคลอ้ งกับ ....ชอื่ (ปีพ.ศ.) ทีก่ ล่าววา่ ................................................................................ ดังท่.ี ......ชอ่ื (พ.ศ.)......ที่ว่า ........................................................................ รูปแบบการอภปิ รายผล จากผลการวิจัยมีประเด็นทน่ี า่ สนใจนามาอภิปรายผล ดงั นี้ แบบที่1 ใหน้ าการอธบิ ายเหตผุ ล หลังสรุปผลการวิจัย 1. กรณสี อดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ตี ้งั ไว้ ..(ผลการวจิ ัย)...............สอดคล้องกับสมมติฐานทต่ี ั้งไว้ ทั้งน้ีเพราะ/อาจเป็นเพราะ ...(อธิบายเหตุผลท่ี น่าเช่ือถือ ลักษณะที่เกิดผลดังกล่าว มีการอ้างอิงทฤษฎีกล่าวถึงความสาคัญของผลการวิจัยและความจาเปน็ สาหรับการวิจัยเพิ่มเติม)... สอดคล้องกับผลงานวิจยัของ .....(ยกงานวิจัยท่ีสอดคล้องกับผลการวิจัยเท่าน้ัน มาเขยี นจากบทท่ี2 หวั ขอ้ งานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง).. 2. กรณไี มส่ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ตงั้ ไว้ ..(ผลการวิจัย)...............ไม่สอดคล้องกับ สมมติฐานท่ีต้ังไว้ ทั้งน้ีเพราะ/อาจเป็นเพราะ ...(อธิบาย เหตุผลที่น่าเช่ือถือลกัษณะที่เกดิ ผลดังกล่าว มีการอ้างองิ ทฤษฎีกล่าวถึงความสาคัญของผลการวิจัยและความ จาเป็นสาหรับการวิจัยเพิ่มเติม)... สอดคล้องกับผลงานวจิ ัยของ .....(ยกงานวิจัยที่สอดคล้องกับผลการวิจัยมา เขยี นจากบทที่ 2 หวั ขอ้ งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง).. แบบท่ี 2 ใหน้ าการอธบิ ายความสอดคลอ้ งกับผลการวิจยั หลังสรปุ ผลการวิจยั 1. กรณสี อดคล้องกับสมมติฐานท่ีตัง้ ไว้ ..(ผลการวิจัย)...............สอดคลอง้ กบั สมมติฐานทตี่ ัง้ ไว..้ สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ .....(ยกงานวิจัย ท่ีสอดคลอ้งกับผลการวิจัยหรือศึกษาเท่าน้ัน มาเขียนจากบทท่ี 2 หัวข้องานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง)..ท้ังน้ีเพราะ/อาจ เป็นเพราะ...(อธิบายเหตุผลที่น่าเช่ือถือลักษณะท่ีเกิดผลดังกล่าว มีการอ้างอิงทฤษฎีกล่าวถึงความสาคัญของ ผลการวิจัยและความจาเป็นสาหรับการวิจยั เพมิ่ เตมิ )... 2. กรณไี ม่สอดคลอ้ งกับสมมติฐานที่ตงั้ ไว้ ..(ผลการวิจัย)...............ไม่สอดคล้องกับ สมมติฐานที่ตั้งไว.้. สอดคล้องกับผลงานวิจัยของ .....(ยก งานวิจัยท่ีสอดคล้องกับผลการวิจัยหรือศึกษาเท่าน้ัน มาเขียนจากบทที่ 2 หัวข้องานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง)..ท้ังน้ี วิธวี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 56

เพราะ/อาจเป็นเพราะ ...(อธิบายเหตุผลท่ีน่าเช่ือถือลักษณะที่เกิดผลดังกล่าว มีการอ้างอิงทฤษฎีกล่าวถึง ความสาคญั ของผลการวิจยั และความจาเป็นสาหรบั การวิจัยเพิม่ เติม)... ขอ้ เสนอแนะการเขียนอภิปรายผลการวจิ ยั ในการเขียนอภิปรายผลการวิจัยมีขอ้ แนะนาดงั นี้ 1) มุ่งเฉพาะประเด็นสาคัญของผลการวิจัยเท่าน้นั โดยเฉพาะเน้นตรงที่เป็นความสาคัญของปัญหาที่ นามาสกู่ ารทาวจิ ยั 2) ควรตงั้ คาถามขน้ึ มาเป็นแนวทางในการหาคาอธบิ ายในผลท่เี ป็นจรงิ เชน่ ทาไมผลการวิจยั จึงเป็นเช่นน้ัน ทาไมจึงไม่เป็นดงั ท่คี าดไว้ 3) ในกรณีที่ผลการวิจัยช้ีว่าจะเป็นปัญหาหรือไม่พึงประสงค์ควรแสดงความคิดเห็นเชิงเสนอแนะไว้ ด้วย 4) ส่งิ ทค่ี ้นพบทน่ี อกเหนือจากวัตถุประสงค์การวิจยั ท่ีกาหนดแตเ่ ป็นประโยชน์ควรนามาอภปิ รายด้วย ซง่ึ จะนาไปสู่การเสนอเปน็ ข้อเสนอแนะได้ 5) ควรแยกเขียนอภิปรายผลทีละประเด็น เมื่อนาเรื่องใดมาก็อภิปรายเรื่องนั้นไปจนหมดแล้วจึง กลา่ วถึงประเด็นใหม่ต่อไป 6) การนาหลักฐานทางวรรณกรรม ซึ่งเป็นหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกย่ี วข้อง มาใช้ ประกอบการอนมุ านนั้นจะต้องปรากฏอยู่ในการทบทวนวรรณกรรมทั้งหมด 7) สรปุ ความทง้ั หมดและกล่าวสรปุ โดยมหี ลกั ฐานสนบั สนุนเพยี งพอ การเขยี นรายงานการวิจยั รายงานการวิจัยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย เพ่ือเผยแพร่ให้นักวิชาการ และผู้สนใจ ทราบและนาผลการศกึ ษาไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์โดยตรงหรือนาไปใชใ้ นการศกึ ษาค้นควา้ ในเรอ่ื งทานองเดียวกัน ต่อไปโดยไม่ต้องเสียเวลาในการศึกษาข้อมูลใหม่ในประเด็นทีร่ ายงานไว้ ซ่งึ จะเป็นผลให้เกิดความก้าวหน้าทาง วชิ าการ ทัง้ ยงั ชว่ ยป้องกันมิให้เกิดปัญหาในเร่อื งเดยี วกันซา้ ซ้อนอกี ดว้ ย 1. ลกั ษณะของรายงานการวจิ ยั ท่ีดี รายงานการวิจยั ทดี่ ีควรมีลกั ษณะดังนี้ 1) มีความละเอียดอ่อนในด้านการใช้ภาษาและรปู แบบมีการจัดเรียงลาดับเนอ้ื หา มีการเวน้ วรรคตอนให้จูงใจอา่ น 2) มีความกะทัดรัด (Conciseness) เป็นการใช้ถ้อยคาสานวนสั้น ๆ มีความรัดกุม ทาให้ เข้าใจถกู ตอ้ งและแจม่ แจ้ง 3) มีความชัดเจน (Clarity) ภาษาหรือถ้อยคาไม่คลุมเครือหรือกากวมจนต้องตีความ โดยเฉพาะแนวคิดที่เป็นนามธรรมต้องอธิบายใหก้ ระจ่างที่สดุ และง่ายท่ีสดุ 4) มีความซ่ือสัตย์ (Honesty) เป็นการเขียนเนื้อหาอย่างไม่ปิดบังความล้มเหลวของการวจิ ัย มีความพรอ้ มที่จะเปดิ เผยข้อมลู ดบิ การเขียนต้องแยกความคิดเห็นออกจากขอ้ เทจ็ จริงออยา่ งชดั เจนโดยการใช้ เชิงอรรถหรอื การอ้างคาพูด วิธวี จิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 57

5) มีความสมบูรณ์ (Completeness) เน้ือหาของรายงานจะต้องมีรายละเอียดท่ีจาเป็น ครบถ้วน 6) มีความแม่นตรง (Accuracy) หมายถึง มีความถูกต้องแน่นอน และปราศจากความ คลาดเคล่ือน การบรรยายจะต้องให้ตรงกับข้อมูลไม่ผิดเพี้ยน ไม่ตีความหนักเกินกว่าควร และพยายาม หลกี เล่ียงการสรปุ ทีก่ ว้างเกนิ ไป 2. รูปแบบของรายงานการวจิ ยั การจัดทารายงานการวิจัย เป็นการเรียบเรียงส่ิงที่มีอยู่แล้วในโครงร่างการวิจัย เพียง แต่ เพิ่มเติมรายละเอียดท่ีสาคัญเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติในระหว่างการดาเนินการวิจัย สรุปอภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะในบทสุดท้ายของรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหาจะเรียงลาดับของหัวข้อต่าง ๆ ตามรูปแบบของ การวจิ ัยแต่ละประเภท รปู แบบของรายงานการวิจัยท่ใี ชก้ ันทว่ั ๆ ไป ประกอบด้วยสว่ นสาคญั 3 ส่วน คอื ส่วน นา สว่ นเน้ือหา และสว่ นอา้ งองิ ส่วนที่ 1 สว่ นนา ประกอบด้วยสว่ นย่อย ๆ ตามลาดบั ดังนี้ 1) ปกนอก (Cover) 2) กระดาษเปล่า (Fly page) 3) ปกใน (Title page) 4) บทคัดย่อ (Abstract) 5) คานา (Preface) 6) กติ ติกรรมประกาศ (Acknowledge) 7) สารบญั (Table of content) 8) สารบญั ตาราง (List of tables) 9) สารบัญภาพ (List of figures) ส่วนท่ี 2 ส่วนเน้ือหา ประกอบด้วยส่วนสาคัญ ๆ 3 ส่วน ได้แก่ บทนา บทเนื้อหา และบทสรุป เน่ืองจากเนื้อหาส่วนนมี้ ีมาก ในรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์หรอื วทิ ยานิพนธ์จึงแบ่งออกเป็น 5 บท โดยแยก เขยี นเป็นบท ๆ ดงั นี้ บทที่ 1 บทนา (Introduction) ประกอบด้วยหวั ขอ้ เรยี งลาดบั ดังนี้ 1) ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 2) วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 3) สมมติฐานการวิจัย 4) ขอบเขตการวจิ ยั 5) ขอ้ จากัดของการวิจยั 6) นิยามศพั ท์เฉพาะ 7) ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ วธิ วี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 58

บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม (Literature review) เน้ือหาของบททบทวนวรรณกรรมประกอบด้วย สาระสาคญั ๆ ท่ีเกยี่ วข้องกบั ประเด็นปญั หาการวิจัย และสรุปกรอบแนวคิดการวจิ ยั ไว้ท้ายบท บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั (Methodology) โดยท่วั ไปส่วนน้ีประกอบด้วยหวั ขอ้ ย่อยดังน้ี 1) ประเภทของการวิจยั 2) ประชาการและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 3) เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัย 4) วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 5) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และสถติ ทิ ี่ใช้วิเคราะห์ บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล (Finding and results) ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ เปน็ ข้อมูลจากการวเิ คราะหแ์ ละสาวนของการแปลความหมายคา่ สถติ ิ บทท่ี 5 สรุป อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ (Summary, discussion and recommendation) ส่วนที่ 3 สว่ นอา้ งองิ (Reference) ประกอบดว้ ยส่วนต่าง ๆ ดังน้ี 1) บรรณานุกรม (Bibliography) 2) ภาคผนวก (Appendix) 3) ประวตั ิย่อของผู้วจิ ัย (Autobiography) อนึ่ง สาหรับรูปแบบของรายงานการวิจัยเชิงทดลองนัน้ ในส่วนของเนือ้ หาบทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย จะประกอบด้วยหัวขอ้ ย่อยดงั นี้ คอื 1) รปู แบบของการวิจยั 2) วสั ดุ อุปกรณแ์ ละเครือ่ งมอื 3) วธิ ีการทดลอง 4) การวเิ คราะห์ข้อมลู 5) ระยะเวลาในการทดลอง 6) สถานทีท่ ี่ทาการทดลอง 3. แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย การเขียนเน้ือหาในแต่ละหัวข้อควรเขียนให้ถูกต้องครบถ้วน และถูกหลักวิชาการ ซึ่งจะได้ กลา่ วถงึ แนวทางการเขยี นรายละเอียดในแตล่ ะหวั ข้อทีส่ าคญั ๆ เรยี งลาดับดังต่อไปนี้ 1) บทคัดย่อ เป็นการสรุปย่อเน้ือหาของงานวิจัยทั้งหมดอย่างสั้น ๆ โดยมีหัวข้อสาคัญ ครบถ้วน ได้แก่ ช่ือเรอื่ ง วัตถุประสงค์การวจิ ยั ขอบเขตการวจิ ัย วิธีการดาเนินการวจิ ยั โดยยอ่ สรปุ ผลการวิจัย และขอ้ เสนอแนะท่ีเปน็ ประเดน็ สาคัญ เนอ้ื หาควรมคี วามยาวประมาณหน้าถงึ หน่งึ หนา้ คร่ึง วิธวี จิ ยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 59

2) คานา เป็นการกล่าวถึงสาเหตุหรือความสนใจของผู้วิจัยต่อเรื่องท่ีทาการวิจัย และ รายละเอียดบางประเด็นท่ีต้องการให้ผู้อ่านทราบ ในส่วนนี้อาจนากิตติกรรมประกาศมาเขียนรวมไวด้ ้วยก็ได้ ในตอนทา้ ยของข้อความลงชอ่ื ผูว้ จิ ยั ไว้บรรทัดล่างสุดของคานา 3) กิตตกิ รรมประกาศ เป็นการเขียนขอบคุณผู้ท่ีมีส่วนชว่ ยเหลอื และสนบั สนนุ ในการทาวิจัย ในดา้ นต่าง ๆ รวมทงั้ แหลง่ ให้ทนุ ด้วย ซึง่ จะช่วยให้ผูอ้ า่ นเกิดความม่นั ใจในคุณภาพของงานวิจัย 4) สารบัญ (เร่ือง) เป็นส่วนที่แสดงลาดับของส่วนต่าง ๆ และหัวข้อย่อยท่ีสาคัญ ๆ ของ รายงานท้ังหมด พร้อมกับระบเุ ลขหนา้ กากบั 5) สารบัญตาราง เป็นส่วนทแี่ สดงรายช่อื เรอื่ งของตาราง (Title of table) ทีน่ าเสนอทัง้ หมด ในรายงาน เรยี งลาดบั จากบทแรกถึงบทสุดทา้ ยโดยมเี ลขทีต่ ารางกากับท่ีหัวตารางพร้อมกบั ระบเุ ลขหน้ากากับ 6) สารบัญภาพ เป็นสว่ นที่แสดงรายการของภาพหรอื แผนภูมิหรอื กราฟตา่ ง ๆ ทม่ี ีในรายงาน ทง้ั หมด มรี ูปแบบการเขียนเช่นเดียวกับสารบญั ตาราง 7) ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ส่วนนี้กล่าวถึงที่มาของปัญหา เหตุผลท่ีทาให้ ศึกษาเรือ่ งน้ี มีการอา้ งอิงข้อมลู ทฤษฎี และผลงานวจิ ยั ของผ้อู ่ืนสนับสนุน 8) วตั ถุประสงค์การวิจยั ควรเขยี นเป็นขอ้ ๆ 9) สมมติฐานการวิจัย เปน็ การระบสุ ่งิ ทีผ่ ้วู ิจยั ตอ้ งการทดสอบในการศึกษาคร้ังน้ี 10) ขอบเขตการวจิ ัย เปน็ การระบขุ อบเขตในดา้ นตา่ ง ๆ ที่ทาการศึกษา 11) ข้อจากัดการวิจัย ในงานวิจัยบางกรณีมีจุดอ่อนของการวิจัย ซ่ึงเกิดขึ้นโดยที่ผู้วิจัยไม่รู้ ล่วงหน้า หรือรู้ล่วงหน้าแต่แกไ้ ขไม่ได้ก็ควรระบุไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการพิจารณานางานวจิ ัยไปใช้ ประโยชนต์ อ่ ไป 12) นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ เป็นการให้ความหมายศพั ท์เฉพาะท่ีสาคญั ทใี่ ช้ในการวิจัย 13) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการระบุว่าผลงานวิจัยท่ีเกิดขึ้นจะนาไปใช้ประโยชน์ได้ อยา่ งไร ใครบา้ ง หรอื หน่วยงานใดบ้างที่เกีย่ วขอ้ ง สามารถนาไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนไ์ ด้ 14) การทบทวนวรรณกรรม 15) วิธดี าเนินการวิจัย เป็นการอธบิ ายรายละเอียดของขน้ั ตอนในการทาวจิ ัยต้ังแตเ่ ริ่มต้นจน เสรจ็ สมบรู ณ์ ซงึ่ เรยี งลาดับตามหัวขอ้ ย่อยซึ่งกาหนดไว้ในระเบียบวิธีวิจัยของแตล่ ะประเภท โดยปกติแลว้ จะนา เนอ้ื หาที่เขียนไวใ้ นโครงร่างการวจิ ัยมาเพ่ิมเติมส่วนที่ต้องรายงาน 16) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นส่วนสาคัญมากท่ีสุดของการรายงานผลการวิจัย ต้องเขียน อย่างละเอียดรอบครอบและระมัดระวังตามผลการวิเคราะห์ที่ได้ ในงานวิจัยเชิงปริมาณการนาเสนอผลการ วิเคราะห์ขอ้ มลู มี 2 ส่วน คอื ส่วนทเ่ี ปน็ คา่ สถติ ิตา่ ง ๆ และส่วนบรรยายผลการวเิ คราะห์ โดยทั่วไปการนาเสนอค่าสถิติต่าง ๆ จะใช้ตาราง กราฟหรือแผนภูมิเพ่อื ให้อ่านงา่ ย รูปแบบ ของตารางที่นาเสนอจะแตกต่างกันไปตามผลการวเิ คราะห์ทางสถิติ แตท่ ี่เหมือนกันคอื ต้องมีชอื่ เรื่องหรือ “หัว ตาราง” อย่บู นตาราง และมี “ตารางท.่ี ..” กากับไวด้ ว้ ย สาหรับการบรรยายผลวิเคราะห์ ซ่ึงอยู่ใต้ตารางน้ันเป็นการแปลความหมายค่าสถิติที่เป็น ประเด็นสาคัญ ตรงตามวัตถุประสงค์การวิจัย ในบางกรณีการแปลความหมายค่าสถิติเพียงอย่างเดียวอาจไม่ ชัดเจน กต็ อ้ งอาศยั การตคี วามเพ่มิ ดว้ ย วิธีวจิ ยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 60

17) สรปุ เน้อื หาของสรุปมี 2 สว่ นคอื สรปุ ส่วนนาและสรุปผลการวจิ ยั ในเนื้อหาสรปุ ส่วนนา ประกอบด้วย วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั สมมติฐาน วธิ ีการดาเนินการวจิ ัย โดยสรุปยอ่ สาระสาคญั ของหัวข้อตา่ ง ๆ สว่ นสรุปผลการวิจยั นาเนื้อหาในส่วนของผลการวิเคราะหข์ ้อมลู มาเขยี นเป็นขอ้ ๆ ตามลาดบั ผลการวเิ คราะห์ และครอบคลุมวตั ถุประสงค์และสมมติฐานการวจิ ยั 18) อภิปรายผล เป็นการนาประเด็นท่ีสาคัญของผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่เขียนไว้ ในสรุป ผลการวิจัยมาวิจารณ์หรือเสนอความคิดเห็นในเชิงเหตุผล เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์การวิจัยพร้อมท้ัง เปรียบเทียบผลท่ีได้กับทฤษฎีหรือผลงานวิจัยอ่ืนว่า มีความสอดคล้องหรือแตกต่างกันอย่างไร เพ่ือนาไปสู่ ข้อเสนอแนะตอ่ ไป 19) ข้อเสนอแนะ เป็นข้อเสนอแนะของผู้วิจัยเอง ประกอบด้วยเน้ือหา 2 ประเด็น คือ ข้อเสนอแนะการนาผลการวจิ ยั ไปใชแ้ ละขอ้ เสนอแนะเพ่ือการวิจยั ครง้ั ต่อไป ซึ่งมีแนวทางเขียนดังนี้ ประเด็นที่ 1 ข้อเสนอแนะการนาผลการวิจัยไปใช้หรือจะเขียนว่าข้อเสนอแนะท่ีได้จาก ผลการวจิ ยั ก็ได้ เปน็ การเขยี นใหผ้ ู้อ่านหรอื ผ้เู กี่ยวขอ้ งทราบวา่ มวี ธิ กี ารนาผลการวจิ ัยทไี่ ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ในด้าน ใดบ้าง ซ่ึงควรระบผุ ู้เกย่ี วขอ้ งหรอื หนว่ ยงานทจี่ ะได้รบั ประโยชน์โดยตรงให้ชัดเจน ความคิดสว่ นนไ้ี ดม้ าจากการ อภิปรายถึงสง่ิ ที่คน้ พบจากงานวิจัยน่ันเอง ประเด็นท่ี 2 ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยครั้งต่อไป เป็นการเขียนเสนอแนะเก่ียวกับแนว ทางการแก้ไขปัญหาด้านระเบียบวิธีวิจัยท่ีเกิดขึ้นในการศึกษาคร้ังนี้ ในกรณีที่ทาการศึกษาคร้ังต่อไป รวมถึง เสนอว่าควรทาการศึกษาประเด็นปัญหาอะไร หรือทาการวิจัยในลักษณะเพ่ือขยายองค์ความรู้ในประเด็น ปญั หาท่ศี กึ ษา ใหม้ คี วามสมบูรณย์ ่ิงข้ึน หรือเปน็ ประโยชนม์ ากย่งิ ข้ึน 20) บรรณานุกรม เป็นรายช่ือเอกสารต่าง ๆ โสตทัศนวัสดุ หรือสารสนเทศ อิเล็กทรอนิกส์ ทงั้ ทน่ี าไปใช้ในการเขียนอ้างอิงไว้ในรายงานและท่ไี มไ่ ด้ใช้ แต่มีเน้ือหาท่ีเกี่ยวขอ้ งสนับสนนุ งานวิจยั การเขียน บรรณานุกรมให้เขียนตามมาตรฐานของการเขียนบรรณานุกรมซึง่ แต่ละสถาบันอาจไม่เหมือนกัน เมื่อเลือกใช้ แบบใดแล้วกใ็ ห้ใชแ้ บบเดียวกนั ท้ังหมด การเขียนบรรณานกุ รมของเอกสารแต่ละประเภทมรี ูปแบบตา่ งกนั 21) ภาคผนวก เป็นรายละเอียดที่เก่ียวข้องกับเน้ือหาแต่ไม่จาเป็นตอ้ งใส่ไว้ในเน้อื หา เพราะ จะทาให้มีเน้อื หาเยิ่นเย้อหรอื ขอ้ ความไมต่ อ่ เนอื่ ง มกั เปน็ รายละเอียดปลกี ย่อยที่ผู้จัยเหน็ ว่าจะเปน็ ประโยชน์ใน การศึกษารายงานเล่มน้ัน จึงนามารวมไว้ท้ายเล่มเพื่อการอ้างอิงในรายละเอียด เช่น แบบสอบถาม รายชื่อ ผเู้ ช่ียวชาญหรอื ผทู้ รงคณุ วฒุ ิตรวจคณุ ภาพเครือ่ งมอื ตารางผลการวเิ คราะหเ์ พิม่ เติม สูตรหาค่าสถติ ิตา่ ง ๆ ทีใ่ ช้ ในการวิจัย เป็นต้น ควรแยกเป็นประเภทภาคผนวก เช่น ภาคผนวก ก เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย เป็นต้น ในกรณีท่ีเป็นตารางต่าง ๆ จะต้องมีหมายเลขของตารางโดยมีหมายเลขต่อจากตารางสุดท้ายที่อยู่ในส่วนของ เน้ือหาเพื่อสะดวกในการค้นหา 22) ประวัติผู้เขียน เป็นการเสนอประวัติย่อ ๆ เก่ียวกับผู้เขียนประกอบด้วย ช่ือ - นามสกุล โดยมีคานาหน้าช่ือ เช่น นาย นาง นางสาว ยศฐานันดรศักด์ิ ราชทินนาม และสมณศักด์ิ เป็นต้น พร้อมท้ังวนั เดือน ปีเกิด ประวัติการศึกษา วุฒิการศึกษา สถานศึกษา ปีการศึกษาที่สาเร็จ และประวตั ิการทางาน ซึ่งระบุ ตาแหน่งหน้าทีก่ ารงาน และสถานทีท่ างาน วิธวี ิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 61

สรปุ การเขียนรายงานการวิจัยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ งานวิจัยให้นักวิชาการ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องและผู้สนใจได้ทราบและนาผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งช่วยป้องกันการศึกษาในประเด็นเดียวกันซ้าซ้อน หัวข้อสาคัญในรายงานท่ีผู้วิจัยต้องอาศัยความรู้ ความสามารถในการตีความและขยายความมาใช้ในการเขียน คอื หัวขอ้ การอภิปรายผลการวิจยั ผู้วจิ ัยควรทา ความเข้าใจวิธีการตีความสัมพันธ์ของตัวแปรในลักษณะต่าง ๆ การต้ังคาถามในเชิงหาเหตุผลในประเด็นท่ี สาคัญจะช่วยให้การอภิปรายตรงประเด็นและง่ายขึ้น ประเด็นสาคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ควรเลือกผลการวิจัย เฉพาะประเด็นท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย และแยกเขียนทีละประเด็นนอกจากน้ีควรแสดงความ คดิ เห็นเชิงเสนอแนะไวใ้ นกรณที ่ผี ลการวจิ ยั บ่งชว้ี า่ จะเปน็ ปัญหาหรอื ไม่พงึ ประสงค์ สาหรับการเขียนรายงานการวิจัยฉบบั สมบูรณ์มีการจัดทาอยา่ งมีระเบยี บแบบแผน ผู้เขียนควรศึกษา รูปแบบรายงานการวจิ ัยที่แต่ละสถาบัน หน่วยงาน หรือแหล่งทุนกาหนดไว้ ซึ่งโดยท่ัวไปประกอบด้วยส่วนนา ส่วนเนอื้ หา และสว่ นอา้ งอิง แต่ละส่วนประกอบด้วยหัวข้อยอ่ ย ๆ ทมี่ คี วามเกี่ยวข้องเช่อื มโยงกันตามระเบียบ วิธวี ิจยั แตล่ ะประเภท การเขียนควรใช้ภาษารดั กุม ข้อความกะทดั รดั ชดั เจน ไมก่ ากวม มคี วามถกู ตอ้ ง สมบรู ณ์ และตรงตามความเป็นจริง การเขียนบรรณานุกรมเป็นไปตามแบบมาตรฐานท่ีกาหนด รายงานวิจัยที่มีการ เรียบเรียงอยา่ งดี นอกจากจะนา่ เชอ่ื ถือแลว้ ยังชว่ ยใหน้ าไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสมและสะดวกข้ึน วิธวี จิ ยั ทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 62

การเขียนโครงรา่ งการวจิ ัย (Research Proposal) 1. ช่ือโครงการ (Proposal Title): ตอ้ งชดั เจน กระชบั น่าสนใจ และสามารถดาเนินการวจิ ยั ไดจ้ รงิ (ภาษาไทย) ................................. (ภาษาองั กฤษ) ............................... 2. ความสาคัญและทม่ี าของปญั หา (Rationale): เป็นการบรรยายถึงปัญหาของเรือ่ งท่ที าวิจยั มคี วามเป็นมา และมคี วามสาคญั อย่างไร มักเรมิ่ เขียนจากสภาพปญั หาอยา่ งกว้างๆ เข้าสู่ประเด็นปัญหาท่ีผวู้ ิจัยต้องการศึกษา 3. ทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง (Review Literature): เป็นการเขียนถึงส่ิงที่ได้จากการค้นคว้า เอกสาร ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั งานวิจยั ของเราทงั้ ด้านปญั หาการวจิ ัยหรือวธิ กี ารวจิ ยั 4. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย (Objectives): ระบุประเด็นหรือจดุ มุ่งหมายท่ีตอ้ งการศกึ ษา ซ่งึ ต้องสอดคล้อง กบั คาถามการวจิ ยั และสมมติฐาน ตัวอย่างที่ 1 วัตถปุ ระสงค์ (หลัก) เพื่อศึกษาปจั จยั เส่ียงการเกิดภาวะพิษต่อตับในผู้ป่วยโรคตับแขง็ ท่ีได้รับ ยาตา้ นวัณโรค วัตถุประสงค์ (รอง) เพ่ือศึกษาปัจจัยทานายการฟืน้ ตัวรวมท้ังผลลัพธใ์ นผู้ป่วยทเ่ี กิดภาวะพษิ ต่อตับจากยาตา้ นวณั โรคในผูป้ ว่ ยตับแขง็ ตัวอย่างที่ 2 วัตถุประสงค์ (หลัก) เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมผี ลต่อการตัดสินใจของแพทย์ผู้รักษาในการส่งตรวจ คัดกรองมะเร็งตบั ในผู้ป่วยกลุ่มเสย่ี งในประเทศไทย วัตถุประสงค์ (รอง) เพื่อศึกษาวิธีการท่ีจะช่วยเพ่ิมอัตราการส่งตรวจคัดกรองกรองมะเรง็ ตับในผู้ปว่ ย กลุ่มเสยี่ งในประเทศไทยอย่างถูกตอ้ งตาม Guidelines 5. คาถามของการวิจัย: ควรเป็นคาถามท่ีผู้วจิ ัยต้องการคาตอบมากท่ีสุดจากการวิจัยน้ี และสอดคล้องกับช่อื เรอื่ งทจี่ ะวิจยั และวัตถุประสงค์ของการ ตวั อย่างที่ 1 คาถาม (หลัก) ปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะพิษต่อตับในผู้ป่วยโรคตับแข็งที่ได้รับยาต้านวัณโรค เปน็ อยา่ งไร คาถาม (รอง) ปัจจัยทานายการฟ้ืนตัวรวมทั้งผลลัพธ์ในผู้ป่วยท่ีเกิดภาวะพิษต่อตับจากยา ต้านวัณโรคในผู้ปว่ ยตบั แข็งเป็นอยา่ งไร ตวั อย่างท่ี 2 คาถาม (หลัก) ปัจจัยใดบ้างท่ีมีผลต่อการตัดสินใจของแพทย์ผู้รักษาในการส่งตรวจคัดกรอง มะเร็งตบั ในผู้ป่วยกลมุ่ เส่ยี งในประเทศไทย คาถาม (รอง) วิธีการใดบ้างที่จะช่วยเพิ่มอัตราการการส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับในผู้ป่วย กล่มุ เสีย่ งในประเทศไทยอยา่ งถูกต้องตาม Guidelines วธิ วี จิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 63

6. สมมติฐาน (Hypothesis): เป็นกาหนดทิศทางหรือแนวทางความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปรอิสระกบั ตัวแปร ตามในการวจิ ัย เพื่อคาดคะเนผลทจี่ ะได้จากการวิจัย ตวั อย่างท่ี 1 โรคประจาตัว ความรุนแรงของภาวะตบั แข็ง สูตรยาต้านวัณโรคเปน็ ปัจจัยเส่ียงต่อการเกิดภาวะ พิษต่อตับและผลลัพธก์ ารฟื้นตัวในผู้ป่วยโรคตบั แข็งทีไ่ ด้รับยาต้านวัณโรค ตัวอยา่ งที่ 2 ความรู้ ทัศนคตขิ องแพทยเ์ กี่ยวกบั การส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับ (HCC) ในผูป้ ว่ ยกลมุ่ เส่ยี งส่งผล ต่ออัตราการส่งตรวจอยา่ งเหมาะสมอย่างมีนัยสาคัญ 7. ระเบียบวิธีการวิจัย (Research Methodology): ระบุถึงประชากร/ประชากรตัวอย่าง และจานวน ประชากรที่จะใช้ในการวิจัย รวมถึงกาหนดลักษณะ Inclusion criteria และ Exclusion criteria ของ ประชากรทีต่ อ้ งการจะศกึ ษาให้ชัดเจน และกาหนดสูตรในการคานวณ จานวนขนาดตัวอย่างท่ตี อ้ งศึกษา 8. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection): ระบุถึงข้อมูลที่ต้องการ และข้ันตอนหรือวิธีการเก็บรวบรวม ข้อมูลอะไรบ้าง เชน่ จะใช้วิธีการส่งแบบสอบถามทางไปรษณยี ์ หรอื จะใชข้ อ้ มลู จากเวชระเบียน เปน็ ตน้ 9. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติท่ีใช้วิเคราะห์ (Data Analysis and Statistics) : ระบุถึงวิธีการและ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประมวลผลข้อมูล และจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติอะไร เพ่ือที่จะสามารถตอบ คาถามการวิจัยท้งั หมดทีต่ อ้ งการได้ วิธีวิจยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 64