Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 41311-2

41311-2

Published by inuthai_monta, 2022-07-20 03:29:19

Description: 41311-2

Search

Read the Text Version

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-1 หนว่ ยท​ ่ี 2 การ​สมรสแ​ ละค​ วาม​สมั พันธ์​ระหวา่ ง​สามี​ภรยิ า อาจารย์​จร​ิ าพ​ ร สุ​ทนั ก​ ติ​ ระ มสธ มสธ มสธ มสธ มส ชอ่ื อาจารย์จิราพร สุทันกิตระ วฒุ ิ อ.บ., น.บ., LL.M. University of Sheffield ตำแหน่ง อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หน่วยที่ปรับปรงุ หน่วยที่ 2 ปรับปรุงจาก​ต้นฉบับเ​ดิม หน่วย​ที่ 2 การ​สมรสแ​ ละค​ วามส​ ัมพันธ์​ระหว่าง​สามี​ภริยา อาจารย์ประสพสุข บุญ​เดช

มส 2-2 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ แผนการ​สอน​ประจำ​หนว่ ยมสธ ชุด​วิชา กฎหมาย​แพ่ง 3: ครอบครัว​มรดก หนว่ ย​ท่ี 2 การส​ มรสแ​ ละ​ความ​สัมพันธ์ร​ ะหว่างส​ ามี​ภริยา ตอนท​ ่ี 2.1 เงื่อนไขข​ องก​ าร​สมรส 2.2 ความ​สัมพันธ์ร​ ะหว่าง​สามี​ภริยา แนวคดิ 1. ใน​กรณี​ที่​ชาย​และ​หญิง​จะ​สมรส​กัน​นั้น​กฎหมาย​กำหนด​อายุ​ขั้น​ต่ำ​ของ​ชาย​หญิง​ไว้ และ​ยัง​กำหนด ​เงื่อน​ไข​อื่นๆ เพื่อ​คุ้มครอง​คู่​สมรส​และ​ให้​เกิด​ความ​สงบ​เรียบร้อย​ใน​ครอบครัว​ไม่​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​และ​ ความ​รู้สึก​ของ​สังคม​ส่วน​รวม หาก​มี​การ​ฝ่าฝืน​ไม่​ปฏิบัติ​ตาม​เงื่อนไข​ของ​กฎหมาย​แล้ว​การ​สมรส​เช่น​ว่า น​ ั้นอ​ าจ​ถูกย​ กเลิกเ​พิก​ถอนใ​น​ภาย​หลังไ​ด้ 2. ก าร​สมรส​ที่​ถูก​ต้อง​ตาม​กฎหมาย​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน ซึ่ง​มี​ผล​ทำให้​ชาย​และ​ หญิง​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตั้งแต่​วัน​ที่​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​นั้น แต่​ใน​กรณี​ที่​มี​เหตุ​ฉุกเฉิน​ที่​ชาย​หรือ​หญิง​ ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย​หรือ​อยู่​ใน​ภาวะ​การ​รบ การ​สงคราม เมื่อ​มี​การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​ สมรส​กัน​แล้ว ต่อ​มา​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ใน​ภาย​หลัง การ​สมรส​นั้น​มี​ผล​ย้อน​หลัง​ไป​ถึง​วัน​ที่​แสดง​ เจตนา​สมรส​กัน 3. ก าร​สมรส​ใน​ประเทศไทย​จะ​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​กฎหมาย​ไทย แต่​ถ้า​คน​ไทย​จะ​ทำการ​สมรส​ใน​ต่าง​ประเทศ อาจ​ทำการ​สมรสต​ าม​แบบ​ของต​ ่าง​ประเทศ​ก็ได้ 4. เมื่อ​การ​สมรส​ถูก​ต้อง​แล้ว ชาย​และ​หญิง​ก็​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​กฎหมาย​และ​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​สัมพันธ์​ ระหว่างส​ ามี​ภริยา​ที่​จะต​ ้อง​อยู่​กิน​ด้วย​กันแ​ ละ​อุปการะเ​ลี้ยง​ดู​กันแ​ ละก​ ัน การ​สมรส​อาจ​มี​ผล​ต่อ​การ​จะใ​ช้​ คำนำ​หน้า​นาม​ของห​ ญิงแ​ ละก​ าร​ใช้ช​ ื่อ​สกุล​ของ​ชายแ​ ละห​ ญิง 5. หาก​การ​ที่​ชาย​หญิง​จะ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ต่อ​ไป​จะ​เป็น​อันตราย​แก่​กาย​หรือ​จิตใจ​หรือ​ทำลาย​ความ​ ผาสุก​อย่าง​มาก​แล้ว อาจ​มี​การ​ขอ​อนุญาต​จาก​ศาล​ให้​สั่ง​ให้​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​กัน​เป็นการ​ชั่วคราว โดย​ยัง​ไม่​ถือว่า​เป็นการ​ขาด​จาก​การ​สมรส​ก็ได้ ทั้งนี้​เพื่อ​บรรเทา​ความ​ขัดข้อง​มิ​ให้​คู่​สมรส​ต้อง​ถึง​กับ​ หย่า​ร้างเ​ลิกรา​กัน​ไป 6. ใน​ระหว่าง​ที่​ชาย​หญิง​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​นี้ หาก​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ตก​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​หรือ​วิกลจริต คู่ส​ มรส​อีกฝ​ ่ายห​ นึ่งก​ ็จ​ ะต​ ้องค​ ุ้มครองด​ ูแลใ​ห้​มี​ความป​ ลอดภัย​ตามส​ มควร​ด้วย มสธ มสธ มส

มสการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-3 มสธ มสธ วตั ถปุ ระสงค์ มสธ เมื่อ​ศึกษาห​ น่วย​ที่ 2 จบแ​ ล้ว นักศึกษาส​ ามารถ 1. อธิบาย​หลักเ​กณฑ์ วิธีก​ าร และ​เงื่อนไขใ​น​การท​ ี่​ชายห​ ญิงจ​ ะ​ทำการ​สมรสก​ ัน​ได้ 2. วินิจฉัยป​ ัญหาเ​กี่ยวก​ ับผ​ ล​ของก​ าร​สมรส​โดย​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​ที่​กฎหมายบ​ ัญญัติ​ไว้ 3. อธิบาย​ได้ว​ ่า​หาก​คน​ไทย​จะท​ ำการ​สมรสใ​น​ต่างป​ ระเทศจ​ ะต​ ้อง​ปฏิบัติอ​ ย่างไร 4. อธิบาย​และ​วินิจฉัยป​ ัญหา​ที่เ​กี่ยวก​ ับ​ความส​ ัมพันธ์​ระหว่างส​ ามี​ภริยา​ใน​ระหว่างท​ ี่​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ได้ 5. อ ธิบายห​ ลัก​เกณฑ์​ในก​ าร​ที่ส​ ามีภ​ ริยาจ​ ะ​ขอ​แยกก​ ัน​อยู่ต​ ่างห​ ากจ​ ากก​ ันเ​ป็นการ​ชั่วคราว และ​การค​ ุ้มครอง​ คู่​สมรส​ที่​ตก​เป็น​คน​ไร้ค​ วาม​สามารถ​หรือ​วิกลจริตไ​ด้ กจิ กรรมร​ ะหว่าง​เรยี น 1. ทำแ​ บบ​ประเมิน​ผล​ตนเอง​ก่อนเ​รียน​หน่วย​ที่ 2 2. ศึกษาเ​อกสาร​การ​สอน​ตอน​ที่ 2.1-2.2 3. ฟังซีดีเ​สียงป​ ระกอบ​ชุด​วิชา 4. ทำก​ ิจกรรม​ในเ​อกสาร​การ​สอน 5. ชมร​ ายการ​วิทยุโ​ทรทัศน์ 6. เข้าร​ ับบริการ​สอน​เสริม 7. ทำแ​ บบ​ประเมิน​ผล​ตนเองห​ ลัง​เรียน​หน่วยท​ ี่ 2 สือ่ ​การส​ อน 1. เอกสารก​ าร​สอน 2. แบบ​ฝึกป​ ฏิบัติ 3. ซีดีเ​สียง​ประกอบ​ชุด​วิชา 4. รายการ​วิทยุโ​ทรทัศน์ 5. การส​ อน​เสริม การ​ประเมนิ ​ผล 1. ประเมินผ​ ลจ​ าก​แบบป​ ระเมิน​ผล​ตนเองก​ ่อน​เรียน​และ​หลัง​เรียน 2. ประเมินผ​ ลจ​ ากก​ ิจกรรม​และแ​ นวต​ อบท​ ้ายเ​รื่อง 3. ประเมินผ​ ลจ​ ากก​ าร​สอบไล่​ประจำภ​ าคก​ าร​ศึกษา เมอ่ื ​อ่านแ​ ผนการส​ อนแ​ ลว้ ขอใ​หท้​ ำแ​ บบ​ประเมนิ ผ​ ล​ตนเอง​กอ่ น​เรียน หนว่ ย​ที่ 2 ใน​แบบฝ​ กึ ​ปฏบิ ัติ แลว้ จ​ งึ ศ​ ึกษา​เอกสารก​ ารส​ อนต​ ่อ​ไป มสธ มส

มส 2-4 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ตอน​ที่ 2.1มสธ เง่อื นไข​ของ​การส​ มรส โปรด​อ่านห​ ัว​เรื่อง แนวคิด และ​วัตถุประสงค์​ของ​ตอนท​ ี่ 2.1 แล้วจ​ ึง​ศึกษาร​ ายล​ ะเอียด​ต่อ​ไป หวั เ​ร่ือง 2.1.1 ความส​ ามารถ​ใน​การ​สมรส 2.1.2 ความย​ ินยอม​ในก​ าร​สมรส 2.1.3 กรณีเ​กี่ยว​กับศ​ ีลธ​ รรม​และ​สังคม 2.1.4 การส​ มรส​ของห​ ญิงห​ ม้าย 2.1.5 แบบข​ องก​ ารส​ มรส แนวคิด 1. ก าร​ที่​ชาย​หญิง​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​นั้น กฎหมาย​ได้​กำหนด​เงื่อนไข​เกี่ยว​กับ​อายุ​ขั้น​ต่ำ​ไว้​ว่า​จะต้อง มีอายุอ​ ย่างต​ ่ำ 17 ปีบ​ริบ​ ูรณ์ และต​ ้อง​ไม่​เป็นบ​ ุคคล​วิกลจริต นอกจากน​ ี้​หากย​ ังเ​ป็น​ผู้เ​ยาว์อ​ ยู่ก็จะ​ ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ด้วย ทั้งนี้​เพื่อ​เป็นการ​คุ้มครอง​ชาย​หญิง ผู้ท​ ำการ​สมรส​นั้น​เอง และ​ก่อใ​ห้​เกิดค​ วาม​สงบเ​รียบร้อย​ใน​สังคม​ส่วนร​ วม 2. ช าย​และ​หญิง​ผู้​ทำการ​สมรส​จะ​ต้อง​ตกลง​ยินยอม​พร้อมใจ​กัน​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​จึง​จะ​ทำให้​การ​สมรส​ มีผล​สมบูรณ์​ขึ้น​มา​ได้ หาก​การ​สมรส​ได้​กระทำ​ไป​โดย​การ​สำคัญ​ผิด​ตัว​คู่​สมรส โดย​ถูก​หลอกลวง หรือ​ถูกข​ ่มขู่ การส​ มรส​เช่น​ว่าน​ ั้นอ​ าจจ​ ะถ​ ูก​เพิกถ​ อน​ใน​ภายห​ ลังไ​ด้ 3. เนื่องจาก​การ​สมรส​ก่อ​ให้​เกิด​สถาบัน​ครอบครัว ซึ่ง​เป็น​หน่วย​ย่อย​ของ​สังคม​ส่วน​รวม การ​สมรส จึงต​ ้อง​คำนึงถ​ ึง​ศีลธ​ รรมอ​ ันด​ ีข​ องป​ ระชาชนด​ ้วย กฎหมายจ​ ึงห​ ้าม​ญาติพ​ ี่​น้อง​ที่ใ​กล้​ชิด​กัน​มาสมรส​ กัน และจ​ ะ​ทำการ​สมรส​ซ้อนก​ ็ไ​ม่​ได้ เพราะ​จะท​ ำให้​เกิด​ความแ​ ตกร​ ้าว​ใน​ครอบครัวเ​ดิม 4. ใน​ระยะ​เวลา​ที่​ไม่​แน่ใจ​ว่า​หญิง​หม้าย​มี​ทารก​อยู่​ใน​ครรภ์​หรือ​ไม่ กฎหมาย​ห้าม​หญิง​หม้าย​ทำการ​ สมรส​ใหม่ เพื่อ​เป็นการ​ตัด​ปัญหา​เกี่ยว​กับ​ทารก​ที่​จะ​เกิด​มา​ว่า​จะ​เป็น​บุตร​ของ​สามี​เดิม​หรือสามี​ คน​ใหม่ 5. ก าร​สมรส​ที่​สมบูรณ์​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน คน​ไทย​ที่​ไป​อยู่​ต่าง​ประเทศ อาจจ​ ะ​จด​ทะเบียน​สมรส​ตาม​กฎหมายไ​ทย​ก็ได้ โดย​ไป​จดท​ ะเบียนต​ ่อ​พนักงานท​ ูต​หรือ​กงสุลไทย 6. ใ น​กรณี​ที่​มี​เหตุ​ฉุกเฉิน​ที่​ชาย​หรือ​หญิง​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย หรือ​อยู่​ใน​ภาวะ​การ​รบ หรือ​สงคราม ทำให้​ไม่​สามารถ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ได้​นั้น กฎหมาย​ยินยอม​ให้​ทำ การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ต่อ​บุคคล​ที่​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​ได้ แต่​ทั้งนี้​จะ​ต้อง​มา​จด​ทะเบียน สมรส​ภายใน 90 วัน​ด้วย การส​ มรส​นั้น​จึงจ​ ะ​มี​ผล มสธ มสธ มส

มสการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-5 มสธ มสธ วัตถปุ ระสงค์ เมื่อศ​ ึกษาต​ อน​ที่ 2.1 จบแ​ ล้ว นักศึกษาส​ ามารถ 1. อธิบายห​ ลักเ​กณฑ์แ​ ละ​เงื่อนไขใ​นก​ าร​ที่ช​ าย​และห​ ญิง​จะท​ ำการส​ มรส​กันไ​ด้ 2. อธบิ ายแ​ ละว​ นิ จิ ฉยั ป​ ญั หาใ​นก​ ารท​ ชี​่ ายแ​ ละห​ ญงิ ท​ ำการส​ มรสก​ นั โ​ดยฝ​ า่ ฝนื เ​งือ่ นไขท​ กี​่ ฎหมายกำหนด​ ไว้ไ​ ด้ 3. อธิบายแ​ ละ​วินิจฉัยป​ ัญหา​ในก​ าร​จดท​ ะเบียนส​ มรส​ของ​ชาย​หญิงไ​ด้ มสธ มสธ มส

มส 2-6 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรอ่ื ง​ที่ 2.1.1มสธ ความ​สามารถใ​น​การส​ มรส มสธ 1. ความห​ มาย​และ​หลกั เ​กณฑ​ท์ ่ัวไปข​ องก​ ารส​ มรส การ​สมรส​นั้น อาจารย์​ประสพ​สุข​ห็​นว่า​เป็น​นิติกรรม​สัญญา​อย่าง​หนึ่ง แต่​แตก​ต่าง​จาก​สัญญา​โดย​ทั่วๆ ไป เพราะน​ อกเ​หนือ​จาก​สัญญาแ​ ล้วก​ าร​สมรส​ยังก​ ่อ​ให้​เกิดส​ ถาบันท​ างส​ ังคม (social institution) ขึ้น​มา​ด้วย ใน​สัญญา​ ธรรมดา​คู่​สัญญา​อาจ​จะ​กำหนด​เงื่อนไข ข้อ​ตกลง​หรือ​ข้อ​กำหนด​อย่าง​ใดๆ ก็ได้ เว้น​แต่​จะ​เป็นการ​ขัด​ต่อ​กฎหมาย ขัดต​ ่อ​ความส​ งบ​เรียบร้อย​หรือศ​ ีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน แต่ใ​น​การส​ มรส​นั้น​สภาวะแ​ ละ​ผลแ​ ห่งก​ ารส​ มรส​ส่วนใ​หญ่​ เป็น​ไป​ตาม​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้ คู่​สมรส​ไม่​อาจ​ตกลง​กัน​ให้​แตก​ต่าง​ไป​จาก​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้​ได้ เว้น​แต่​ใน​เรื่อง​ สัญญา​ก่อน​สมรส​ที่​เกี่ยว​กับ​ทรัพย์สิน​ตาม​มาตรา 1465 เท่านั้น นอกจาก​นี้​กฎหมาย​ยัง​ได้​กำหนด​เงื่อนไข​แห่ง​การ ​สมรส​ใน​เรื่อง​ความ​สามารถ ความ​ยินยอม​และ​แบบ​ของ​การ​สมรส​ไว้​อีก​ด้วย เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​ตาม​ที่​กฎหมาย​ กำหนด​ไว้​นี้​ใช้​บังคับ​ใน​ทุก​กรณี​ที่​การ​สมรส​ได้​กระทำ​ลง​ใน​ประเทศไทย ไม่​ว่า​ผู้​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​นั้น​จะ​เป็น​คน​ไทย​ หรือ​คน​ต่าง​ชาติ ฉะนั้น​แม้​บุคคล​สัญชาติ​ฝรั่งเศส​จะ​สมรส​กับ​บุคคล​สัญชาติ​สิงคโปร์​ใน​ประเทศไทย​ก็​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​ เงื่อนไข​ใน​บรรพ 5 เช่น​เดียว​กับ​คน​ไทย หรือ​ชาย​สัญชาติ​อินเดีย นับถือ​ศาสนา​อิสลาม คนในบังคับ​อังกฤษ สมรส​ กับ​หญิง​ไทย​ใน​ประเทศไทย​โดย​ถูก​ต้อง​ตาม​กฎหมาย​ไทย การ​สมรส​นั้น​ย่อม​สมบูรณ์ ไม่​จำเป็น​ต้อง​มี​พิธี​ตาม ​ศาสนาอ​ ิสลาม1 ประเทศไทย​เรา​ประชากร​ส่วน​ใหญ่​นับถือ​ศาสนา​พุทธ ได้​ถือ​หลัก​การ​สมรส​แบบ​ผัว​เดียว​เมีย​เดียว​มา​ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 ที่​ได้​มี​การ​ตรา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม​ออก​มา​ใช้​บังคับ​เป็นต้น​มา แต่​ใน​เรื่อง​ คำ​จำกัดค​ วามห​ รือค​ วามห​ มายของก​ ารส​ มรสน​ ั้น​กฎหมายม​ ิได้​มี​กำหนดไ​ว้ เพราะค​ งเ​ห็นว​ ่า​เป็น​ถ้อยคำธ​ รรมดาส​ ามัญ ​ที่​เข้าใจ​กัน​ได้​ง่าย​อยู่​แล้ว กฎหมาย​ของ​ต่าง​ประเทศ​ส่วน​ใหญ่​ก็​มิได้​มี​บท​วิเคราะห์​ศัพท์​คำ​นี้​ไว้ มี​แต่​กฎหมาย​โรมัน​ สมัย​พระเจ้า​จักร​พร​รดิจัส​ติเนียน​ที่​กำหนด​ว่า “การ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​แพ่ง​เป็น​สัญญา​ขึ้น​เมื่อ​ประชาชน​ชาว​โรมัน​ มา​อยู่​รวม​กัน​ตาม​กฎหมาย โดย​ชาย​มีอายุ​ถึง​ปี​รุ่น​หนุ่ม หญิง​มีอายุ​ที่​จะ​สมรส​ได้ ทั้งนี้​ไม่​คำนึง​ว่า​บุคคล​เหล่า​นั้น ​จะ​บรรลุ​นิติภาวะ​หรือ​ยัง​อยู่​ใน​อำนาจ​ปกครอง ถ้า​หาก​เด็ก​ที่​ยัง​อยู่​ใน​อำนาจ​ปกครอง​นั้น​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​ ของ​ญาติ​ฝ่าย​บิดา​แล้ว” หรือ​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​มลรัฐ​แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ให้​คำ​จำกัด​ความ​การ​สมรส​ ไว้​ใน​มาตรา 4100 ว่า “การ​สมรส​เป็น​ความ​สัมพันธ์​ทาง​ส่วน​ตัว​ที่​เกิด​จาก​สัญญา​ใน​ทาง​แพ่ง​ระหว่าง​ชาย​หนึ่ง​และ​ หญิง​หนึ่ง ซึ่ง​จำเป็น​ต้อง​มี​ความ​ยินยอม​ของ​คู่​สัญญา​ที่​มี​ความ​สามารถ​ใน​การ​ทำ​สัญญา​นั้น​ด้วย ความ​ยินยอม​ แต่​เพียง​อย่าง​เดียว​จะ​ไม่​ก่อ​ให้​เกิด​การ​สมรส​ขึ้น​ได้ แต่​จะ​ต้อง​มี​การ​ออก​ใบ​อนุญาต​และ​การ​ทำ​พิธี​ตาม​ที่​ประมวล​ กฎหมาย​นี้​ให้​อำนาจ​ไว้​ติดตาม​มา​ด้วย เว้น​แต่​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 4213” ฉะนั้น​ใน​ปัจจุบัน​นี้​ถ้า​หาก​จะ​ให้​ ความ​หมาย​ใน​ทาง​กฎหมาย​แล้ว การ​สมรส​หมาย​ถึง​การ​ท่ี​ชาย​และ​หญิง​สมัคร​ใจ​เข้า​มา​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กัน​ชั่ว​ชีวิต​ โดยจ​ ะไ​ม่​เกี่ยวขอ้ ง​ทางช​ ู้สาวก​ บั ​บคุ คลอ​ ่นื ใ​ด​อีก จาก​คำ​จำกัดค​ วาม​ดัง​กล่าวจ​ ะเ​ห็นไ​ด้ว​ ่าการส​ มรสจ​ ะต​ ้อง​ประกอบ​ด้วย​ หลัก​เกณฑ์ 4 ประการ คือ 1. คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​จะ​ต้อง​เป็น​ชาย​และ​อีก​ฝ่าย​หน่ึง​จะ​ต้อง​เป็น​หญิง (one party must be male and the other female) บุคคล​เพศ​เดียวกัน​สมรส​กัน​ไม่​ได้ บทบัญญัติ​ใน​เรื่อง​เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​กำหนด​ไว้​อย่าง​ชัด​แจ้ง​ เกี่ยว​กับ​เรื่อง​นี้ อาทิ​เช่น มาตรา 1448 บัญญัติ​ว่า “การ​สมรส​จะ​ทำได้​ต่อ​เม่ือ​ชาย​และ​หญิง​มีอายุ​ครบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์” 1 ฎ. 463/2485 มสธ มส

มสการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-7 เป็นต้น การ​ที่​กฎหมาย​ห้าม​มิ​ให้​บุคคล​เพศ​เดียวกัน​สมรส​กัน​ไม่​เป็นการ​ขัด​ต่อ​สิทธิ​ขั้น​มูลฐาน​ของ​ประชาชน​แต่​มสธ อย่าง​ใด ใน​สหรัฐอเมริกา​ศาลสูง​แห่ง​รัฐ​มิ​นิ​โซ​ต้า​ได้​เคย​วินิจฉัย​ไว้​ว่า การ​ที่​กฎหมาย​มิได้​อนุญาต​ให้​บุคคล​เพศมสธ ​เดียวกัน​สมรส​กัน​ได้ ซึ่ง​เท่ากับ​เป็นการ​ห้าม​บุคคล​เพศ​เดียวกัน​สมรส​กัน​นั้น กฎหมาย​ดัง​กล่าว​ไม่​ขัด​ต่อ​รัฐธรรมนูญ​ มสธสหรัฐ2 ปัญหา​ที่​ยุ่ง​ยาก​อาจ​เกิด​ขึ้น​ใน​กรณี​ที่​มี​การ​แปลง​เพศ​โดย​การ​ผ่าตัด ซึ่ง​ใน​เรื่อง​นี้​ศาล​อังกฤษ​มี​ความ​เห็น​ว่า เนื่องจากส​ ภาพบ​ ุคคล​เริ่ม​ตั้งแต่บ​ ุคคล​นั้นค​ ลอด สภาพ​บุคคล​ดังก​ ล่าวร​ วมท​ ั้งเ​พศข​ อง​บุคคล​นั้น​ด้วย เพศจ​ ึง​ไม่​อาจ​มี​ การ​เปลี่ยนแปลง​ภาย​หลัง​จาก​เมื่อ​คลอด​ออก​มา​แล้ว​ได้​ไม่​ว่า​ด้วย​วิธี​การ​ใดๆ ดัง​นั้น​ชาย​ที่​ผ่าตัด​แปลง​เพศ​โดย​การ​ตัด​ อวัยวะ​เพศ​ชาย​ออก​แล้ว​สอดใส่​อวัยวะ​เพศ​หญิง​เทียม​เข้าไป​นั้น​ก็​ยัง​คง​เป็น​ชาย​อยู่​นั่นเอง จึง​ไม่​สามารถ​ทำการ​สมรส​ กับ​ชาย​อื่น​ได3้ แต่​ใน​สหรัฐอเมริกา ศาลสูงแ​ ห่ง​รัฐ​นิวเจอร์ซี่​วินิจฉัย​ว่า ชาย​ที่​ผ่าตัด​แปลง​เพศ​เป็น​หญิง​และ​ได้​ทำการ​ สมรส​กับ​ชาย​อื่น​นั้น เพื่อ​ประโยชน์​แห่ง​การ​สมรส​ต้อง​ถือว่า​เป็น​หญิง และ​ชาย​อื่น​นั้น​ต้อง​ถือว่า​เป็น​สามี​ที่​ชอบ​ด้วย​ กฎหมาย ชาย​ผู้​เป็น​สามี​จึง​มีหน้า​ที่​ต้อง​ให้ค​ วาม​อุปการะ​เลี้ยง​ดู4 สำหรับป​ ระเทศไทยน​ ั้น​ถือ​ตาม​เพศ​ที่ก​ ำเนิดม​ า​ไม่ว​ ่า​ จะ​เป็นการ​ผ่าตัดจ​ าก​หญิงเ​ป็น​ชาย​หรือช​ าย​เป็น​หญิง​ก็ตาม ไม่มี​ในก​ าร​เปลี่ยนแปลงเ​พศ​ตามก​ ฎหมาย อทุ าหรณ์ ฎ. 157/2524 เพศ​ของ​บุคคล​ธรรมดา​กฎหมาย​รับรอง​และ​ถือ​เอา​เพศ​ตาม​เพศ​ที่​ถือ​กำเนิด​มา หญิง​ตาม​ พจนานุกรม​คือ​คน​ที่​ออกลูก​ได้ ผู้​ร้อง​เป็น​ชาย​รับ​การ​ผ่าตัด​เปลี่ยนแปลง​อวัยวะ​เพศ แต่​ก็​ไม่​สามารถ​มี​ลูก​ได้ ฉะนั้น​ โดย​ธรรมชาติ​และ​ตาม​ที่​กฎหมาย​รับรอง​ผู้​ร้อง​ยัง​คง​เป็น​เพศ​ชาย​อยู่ ไม่มี​กฎหมาย​ให้​ผู้​ร้องขอ​เปลี่ยนแปลง​เพศ​โดย​ ใช้ส​ ิทธิ​ทาง​ศาล ฎ. 3725/2532 โจทก์​และ​จำเลย​ต่าง​เป็น​หญิง​ด้วย​กัน แต่​โจทก์​มี​นิสัย​และ​ทำตัว​อย่าง​ผู้ชาย คน​ทั่วไป​เข้าใจ​ โจทก์​เป็น​ชาย โจทก์​มี​ความ​รัก​ใคร่​จำเลย​ฉัน​ชู้สาว จึง​พา​จำเลย​มา​อยู่​กับ​โจทก์​ใน​ฐานะ​เป็น​แม่​บ้าน​ของ​โจทก์​เป็น​เวลา​ เกือบ 20 ปี โดยโ​จทก์แ​ ละ​จำเลย​ได้​ร่วมก​ ัน​ทำม​ าห​ ากินแ​ สวงหา​ทรัพย์สิน ซึ่งไ​ม่ว​ ่า​จะเ​ป็น​ด้วยแ​ รงห​ รือ​เงิน​ของฝ​ ่ายใ​ด​ ก็ตาม ดังนี้ถ​ ือไ​ด้​ว่า​ทรัพย์​ที่ไ​ด้ม​ า​นั้นเ​ป็น​ทรัพย์​ที่ท​ ั้งโ​จทก์จ​ ำเลยต​ ่าง​มีเ​จตนาท​ ี่​จะเ​ป็นเ​จ้าของ​ร่วม​กัน โจทก์แ​ ละ​จำเลย​ จึง​มีส​ ่วน​ในท​ รัพย์สินท​ ี่พ​ ิพาทท​ ั้งหมด​คนละ​กึ่งห​ นึ่ง 2. การ​สมรส​จะ​ต้อง​เป็นการ​กระทำ​โดย​สมัคร​ใจ (Voluntary) ของ​ชาย​และ​หญิง หาก​ชาย​หญิง​ไม่​สมัคร​ใจ​ ยินยอมส​ มรสก​ ัน การ​สมรสน​ ั้น​เป็น​โมฆะ ทั้ง​นี้​พราะค​ วาม​สมัคร​ใจ​ยินยอม​ของ​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​เป็น​รากฐานแ​ ห่ง​การ​ สมรส​ที่​สำคัญ​ที่สุด แม้​การ​สมรส​ตาม​หลัก​กฎหมาย​ศาสนา​คริสต์​ก็​ยัง​ถือว่า หาก​ชาย​หญิง​มิได้​สมัคร​ใจ​ยินยอม​ที่​จะ​ สมรส​กัน​ถึง​จะ​มี​พิธีการ​สมรส​ทาง​ศาสนา​ต่อ​หน้า​พระ​และ​พยาน​อย่าง​น้อย​สอง​คน​แล้ว หรือ​ชาย​และ​หญิง​ได้​อยู่​กิน​ ด้วย​กัน​แล้ว​ก็ตาม การ​สมรส​นั้น​ก็​เป็น​โมฆะ​อยู่​นั่นเอง ฉะนั้น​ใน​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ชาย​และ​หญิง​จะ​ต้อง​แสดง​การ​ สมัคร​ใจ​ยินยอม​ให้​ปรากฏ​โดย​เปิด​เผย​และ​ใน​แบบ​คำร้อง​ขอ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​เจ้า​พนักงาน​จึง​ต้อง​มี​ช่อง​ให้​พยาน 2 คนล​ ง​ลายมือ​ชื่อร​ ับร​ ู้ใ​น​เรื่องค​ วาม​สมัครใ​จ​ยินยอม​ของ​ชาย​และห​ ญิง​ใน​การส​ มรส​นี้​ด้วย 3. การ​อยู่​กนิ ​ดว้ ยก​ ันฉ​ ัน​สามี​ภรยิ าจ​ ะ​ต้อง​เปน็ ​ระยะ​เวลา​ชั่ว​ชีวิต (Union for Life) แต่​ทั้งนี้​มิได้​หมายความ​ ว่าการ​สมรส​จะ​สิ้น​สุด​ลง​เฉพาะ​แต่​ด้วย​ความ​ตาย​เท่านั้น กฎหมาย​เปิด​โอกาส​ให้​มี​การ​หย่า​ขาด​จาก​การ​เป็น​สามี​ภริยา​ กัน​ได้ การ​ที่​ชาย​หญิง​ทำการ​สมรส​กัน​โดย​มี​ข้อ​ตกลง​ว่า​เมื่อ​ครบ​กำหนด​ระยะ​เวลา​ใด​เวลา​หนึ่ง​แล้ว​ให้การ​สมรส​ สิ้น​สุด​ลง ข้อ​ตกลง​เช่น​ว่า​นี้​ขัด​ต่อ​กฎหมาย​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​จึง​เป็น​โมฆะ​ตาม ​มาตรา 113 แต่ก​ ารส​ มรส​นั้นส​ มบูรณ์ท​ ุกป​ ระการ​โดย​ถือ​เสมือน​ว่าไ​ม่มี​ข้อ​ตกลงด​ ัง​กล่าวเ​ลย5 2 Baker v. Nelson (1971) 191 N.W. 2d 185. 3 Corbett v. Corbett (1970) 2 All E.R. 33. 4 M.V.J.T. (1976) 140 N.J. Super 77. 5 ทั้งนี้​ตาม​หลักใ​น ปพพ. ​มาตรา 150 มสธ มส

มส 2-8 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ 4. การ​สมรส​จะ​ต้อง​มี​คู่​สมรส​เพียง​คน​เดียว (Monogamous) คู่​สมรส​จะ​สมรส​ใหม่​ไม่​ได้​ตราบ​เท่า​ที่​ยัง​ไม่​มสธ ขาด​จาก​คู่​สมรส​เดิม แม้​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​จะ​เชื่อ​โดย​สุจริต​ว่า​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ได้​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​แล้ว จึง​ทำการ​ สมรสใ​หม่ หาก​ปรากฏ​ใน​ภาย​หลัง​ว่า​คู่ส​ มรสเ​ดิม​ยัง​มี​ชีวิตอ​ ยู่ การ​สมรส​ครั้ง​หลังน​ ี้​เป็น​โมฆะมสธ ตาม​กฎหมาย​โบราณ พระ​ภิกษุ​สามเณร​ใน​พระพุทธ​ศาสนา​จะ​ทำการ​สมรส​มี​ภริยา​ไม่​ได้ ปัจจุบัน​ ปพพ. บรรพ 5 ไม่ไ​ด้ก​ ล่าวถ​ ึงเ​รื่องน​ ี้ไ​ว้ แต่​ก็เ​ป็นท​ ี่เ​ข้าใจ​ว่า​พระภ​ ิกษุ สามเณร ชี เป็นบ​ ุคคล​ที่ทำการส​ มรส​ไม่​ได้ เพราะถ​ ือว่า​ เป็นการ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน ส่วน​นักบวช​ใน​ศาสนา​อื่น​จะ​ทำการ​สมรส​ได้​ หรือไ​ม่​ก็​แล้วแ​ ต่​ข้อ​ห้ามท​ าง​ศาสนาน​ ั้นๆ หากม​ ี​ข้อ​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​ก็​ถือว่า​ทำการส​ มรส​ไม่​ได้​เช่นเ​ดียวกัน เพราะ​ ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน การ​ที่​หญิง​ชาย​สมรส​กัน​แล้ว ต่อ​มา​ชาย​ไป​บวช​เป็น​พระ ​ใน​พระพุทธ​ศาสนา​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย มาตรา 38 บัญญัติ​ว่า “หญิง​ชาย​ราษฎร​อยู่​กิน​เป็น​ผัว​เมีย​กัน สามี​ ศรัทธา​สละ​ภริยา​และ​ทรัพย์​ส่ิงของ บวช​เป็น​ภิกษุ​สามเณร​แล้ว​และ​สึก​ออก​มา​คืน​อยู่​กิน​ด้วย​หญิง​อีก​ไซร้ ถ้า​หญิง​น้ัน​ ​มิ​สมัคร​เป็น​ภริยา​ชาย​น้ัน​ต่อ​ไป​ก็ตาม​ใจ​หญิง เหตุ​ว่า​บวช​แล้ว​ขาด​จาก​ผัว​เมีย​กัน” แต่​ตาม ปพพ. บรรพ 5 การ​ที่​สามี​ ไป​บวช​เป็น​พระ​ไม่​เป็น​เหตุ​ให้​ขาด​จาก​การ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน ทั้งนี้​เพราะ​การ​สมรส​จะ​สิ้น​สุด​ลง​ด้วย​เหตุ​เพียง 3 ประการ คือ ความ​ตาย การ​หย่า และก​ าร​ที่ศ​ าล​พิพากษาใ​ห้เ​พิก​ถอน​เท่านั้น อทุ าหรณ์ ฏ. 135/2498 เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ก่อน​ใช้ ปพพ. บรรพ 5 สามี​ไป​บวช​เป็น​พระ​ภิกษุ​เมื่อ​ใช้​ประมวล​กฎหมาย ​แพ่ง​และพ​ าณิชย์ บรรพ 5 แล้ว ไม่​เป็นการท​ ิ้ง​ร้าง​ถือว่า​ยัง​ไม่ข​ าดจ​ ากก​ ารเ​ป็นส​ ามีภ​ ริยา ทรัพย์สินท​ ี่ไ​ด้ม​ าระ​หว่าง​นั้น​ เป็นส​ ินส​ มรส6 2. ความ​สามารถ​ใน​การส​ มรส กฎหมาย​ได้​กำหนด​เงื่อนไขท​ ี่เ​กี่ยว​กับ​ความส​ ามารถใ​น​การส​ มรส​ไว้ 3 ประการ ใน​มาตรา 1448 มาตรา 1449 มาตรา 1454 มาตรา 1455 และ​มาตรา 1456 การ​สมรส​ที่​ฝ่าฝืน​มาตรา​ดัง​กล่าว​จะ​ส่ง​ผล​ให้การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆะ ห​ รือโ​มฆียะ​แล้วแ​ ต่​กรณี เงื่อนไขใ​น​การส​ มรส 3 ประการ ได้แก่ (1) ชายแ​ ละ​หญงิ ​ตอ้ งม​ ีอายุ 17 ปบี ร​ บ​ิ รู ณ​์แลว้ ​ทัง้ ​สองค​ น มาตรา 1448 บัญญัติ​ว่า “การ​สมรส​จะ​ทำได้​ต่อ​เม่ือ​ชาย​และ​หญิง​มีอายุ​สิบ​เจ็ดปีบ​ริ​บูรณ์​แล้ว แต่​ใน​กรณี​ท่ี​มี​ เหตอ​ุ ันส​ มควร ศาลอ​ าจอ​ นญุ าตใ​ห้ท​ ำการส​ มรส​กอ่ น​นน้ั ไ​ด้” โดย​ทาง​สรีระ​วิทยา​ชาย​หญิง​ที่​มีอายุ​ต่ำ​กว่า 17 ปี มัก​จะ​ยัง​ไม่มี​ความ​เจริญ​เติบโต​ใน​ร่างกาย​จิตใจ และ​ สมอง​อย่าง​เต็ม​ที่ (immature) ยัง​ขาด​วุฒิ​ภาวะ​ใน​การ​ครอง​เรือน การ​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​และ​การ​จัดการ​ ทรัพย์สิน มาตรา 1448 จึง​กำหนด​อายุ​ขั้น​ต่ำ (minimum age) ของ​คู่​สมรส​ไว้​ว่า​จะ​ต้อง​มีอายุ​ครบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ เพื่อ​ให้​โต​พอที่​จะ​รับ​ผิด​ชอบ​ใน​เรื่อง​การ​สมรส​ได้ หาก​ชาย​หญิง​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​ไป​ทำ การ​สมรสโ​ดยที่​อายุย​ ังไ​ม่ค​ รบ 17 ปีบ​ริบ​ ูรณ์ การส​ มรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ​ตาม​มาตรา 1503 ผู้​มี​ส่วนไ​ด้​เสีย​คือ​บิดาม​ ารดา​ และ​ตัว​ชาย​หญิง​นั้น​เอง​มี​สิทธิ​นำ​คดี​ขึ้น​สู่​ศาล​ขอ​ให้​พิพากษา​เพิก​ถอน​การ​สมรส​นั้น​ได้​ตาม​มาตรา 1504 หาก​มิได้​ เพิกถ​ อนก​ ารส​ มรสจ​ นช​ าย​หญิงม​ ีอายุ​ครบ 17 ปีบร​ ิบ​ ูรณ์ หรือ​หญิงเ​กิดม​ ี​ครรภ์ข​ ึ้นม​ า​ก่อนห​ ญิงอ​ ายุค​ รบ 17 ปีบร​ ิบ​ ูรณ์ 6 ฎ. 135/2498 ข้าง​ต้นน​ ี้​ภิกษุไ​ม่ไ​ด้​มรณภาพ​เมื่อห​ ย่า​แล้ว​ทรัพย์สิน​ของพ​ ระภ​ ิกษุ​ต้องแ​ บ่งใ​ห้แ​ ก่​คู่​สมรสเ​พราะ​การ​บวช​เป็น​ภิกษุ​ไม่​ทำให้​ การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง แต่​หาก​ภิกษุ​มรณภาพ​ใน​ระหว่าง​สมณ​เพศ ทรัพย์สิน​ของ​พระ​ภิกษุ​จะ​ตก​เป็น​ของ​ทายาท​หรือ​ของวัด​หรือ​ไม่​นั้น​ก็​แล้ว​แต่​ว่า​ ทรัพย์สินน​ ั้นภ​ ิกษุ​ได้ม​ าก​ ่อน​หรือ​ได้​มาใ​น​ระหว่างเ​ป็นส​ มณเ​พศ ตาม​ที่มาต​ รา 1623 ได้​บัญญัติไ​ว้ ซึ่งใ​น​เรื่องน​ ี้​มี ฎ. 903/2536 ตัดสินว​ ่า​ทรัพย์สินท​ ี่​ พระภ​ ิกษไุ​ดเ้​ช่าซ​ ื้อแ​ ละช​ ำระค​ ่าเ​ช่าซ​ ื้อท​ ี่ดินจ​ นค​ รบถ​ ้วนแ​ ล้วก​ ่อนม​ าบ​ วชเ​ป็นพ​ ระภ​ ิกษถุ​ ือเ​ป็นท​ รัพย์สินท​ ีไ่​ดม้​ าก​ ่อนบ​ วชเ​ป็นพ​ ระภ​ ิกษุ เมื่อท​ ี่ดินน​ ั้นม​ ิใช​่ ทรัพย์สินท​ ี่ไ​ด้ม​ า​ในร​ ะหว่าง​เวลาท​ ี่​อยู่​ในส​ มณเ​พศจ​ ึงไ​ม่ต​ ก​เป็น​สมบัติ​ของวัด​ตาม​มาตรา 1623 แต่​ตก​เป็น​ทรัพย์​มรดก​แก่​ทายาทข​ อง​พระภ​ ิกษุ มสธ มส

มสการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-9 กฎหมาย​ถือว่า​การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆียะ​นั้น​สมบูรณ์​มา​ตั้งแต่​เวลา​สมรส จะ​ขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ให้​เพิก​ถอน​ไม่​ได้​อีก​มสธ ต่อ​ไป การ​ที่​กฎหมาย​กำหนด​อายุ​ขั้น​ต่ำ​ของ​คู่​สมรส​ไว้​นี้​เป็น​หลัก​สากล ใน​ประเทศ​อังกฤษ​สมัย​โบราณ​ถือว่า​ชาย​มสธ ต้องม​ ีอายุ​อย่างต​ ่ำ 14 ปี หญิง​ต้องม​ ีอายุอ​ ย่างต​ ่ำ 12 ปี จึง​จะ​ทำการส​ มรส​กันไ​ด้ โดยถ​ ือว่า​ชาย​หญิง​ที่ม​ ีอายุ​ต่ำก​ ว่า​นี​้ มสธไม่ส​ ามารถอ​ ยู่​กินด​ ้วย​กันฉ​ ัน​สามีภ​ ริยา​ได้ ประเทศ​ออสเตรเลียช​ ายต​ ้องอ​ ายุอ​ ย่างต​ ่ำ 18 ปี หญิง 16 ปี จึงจ​ ะ​สมรส​กัน​ ได้ ใน​สหรัฐอเมริกา มลรัฐ​แคลิฟอร์เนีย กฎหมาย​กำหนด​อายุ​ขั้น​ต่ำ​ของ​ชาย​หญิง​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​ไว้ 18 ปี แต่​เปิด​ โอกาสใ​หช้​ ายห​ ญงิ ท​ อี่​ ายต​ุ ำ่ ก​ วา่ น​ สี้​ มรสก​ ันไ​ดห้​ ากบ​ ดิ าม​ ารดาย​ ินยอมแ​ ละไ​ดร​้ ับอ​ นุญาตจ​ ากศ​ าล7 ในป​ ระเทศอ​ ินโดนีเซีย​ กฎหมาย​กำหนด​ไว้ว​ ่าช​ าย​ต้องม​ ีอายุอ​ ย่างต​ ่ำ 19 ปี หญิง 16 ปี จึงจ​ ะท​ ำการส​ มรส​กันไ​ด้8 ประเทศ​มาเลเซีย​เพื่อนบ​ ้าน​ ของ​ไทยเ​รา​กำหนด​อายุช​ าย​และ​หญิงไ​ว้ 18 ปี9 อย่างไรก​ ็​ดี หลักก​ าร​ที่​ชาย​และห​ ญิง​จะท​ ำการส​ มรสก​ ัน​ได้​ต่อ​เมื่อ​ทั้งส​ อง​ฝ่าย​มีอายุค​ รบ 17 ปีบร​ ิ​บูรณ์​แล้ว​นี้ มี​ข้อ​ยกเว้น​ว่า​ศาล​อาจ​อนุญาต​ให้​ทำการ​สมรส​ก่อน​นั้น​ได้​หาก​มี​เหตุ​อัน​สมควร ซึ่ง​เป็นการ​ให้​ดุลพินิจ​แก่​ศาล​ที่​จะ​มี​ คำ​สั่งโ​ดย​คำนึงถ​ ึง​ประโยชน์​ของ​บุคคล​ที่ย​ ื่นค​ ำขอ​และค​ วามม​ ั่นคง​ของก​ ารส​ มรส ทั้งนี้​เพราะ​การ​สมรส​ของ​บุคคล​ที่​ยัง​ อ่อน​อายุ​นั้น​มี​แนว​โน้ม​ที่​จะ​เลิกรา​กัน​ได้​ง่ายๆ ตัวอย่าง​ใน​เรื่อง​เหตุ​ที่​จะ​มา​ยื่น​คำขอ​อนุญาต​จาก​ศาล​ก็ เช่น ชาย​อายุ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ หญิง​อายุ 15 ปีบ​ริ​บูรณ์​ลักลอบ​ได้​เสีย​กัน​จน​หญิง​ตั้ง​ครรภ์ เช่น​นี้​หญิง​อาจ​ร้องขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ อนุญาต​ให้​ตน​สมรส​ได้ ทั้งนี้​เพื่อ​ประโยชน์​แก่​ตน​และ​แก่​บุตร​ที่​จะ​เกิด​มา ศาล​จะ​อนุญาต​หรือ​ไม่​อนุญาต​เป็น​ดุลย- พินิจ​ของ​ศาล ใน​การ​ยื่น​คำร้อง​ต่อ​ศาล หญิง​หรือ​ชาย​ที่​อายุ​ไม่​ครบ​ต้อง​เป็น​ฝ่าย​ยื่น​คำร้อง​ขอ​เอง ชาย​หรือ​หญิง​อีก ​ฝ่าย​จะ​ยื่น​คำร้อง​ขอ​แทน​ไม่​ได้ ใน​สหรัฐอเมริกา รัฐ​แคลิฟอร์เนีย คดี Re Barbara Haven (86 Pa. DC. 141) หญิง​อายุ 14 ปี 8 เดือน ที่​มี​ความ​เจริญ​เติบโต​ทาง​ร่างกาย​อย่าง​สมบูรณ์​แล้ว​ยื่น​คำร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​อนุญาต​ทำการ​ สมรส​กับ​หนุ่ม​อายุ 22 ปี โดย​ให้​เหตุผล​เพียง​ว่า​เธอ​รัก​กับ​หนุ่ม​คน​นี้ ศาล​พิพากษา​ให้​ยก​คำร้อง​โดย​วินิจฉัย​ว่า การ ต​ กอ​ ยู่​ใน​ห้วง​ความ​รัก​มิใช่เ​หตุผล​อันส​ มควร​ที่ศ​ าล​จะ​อนุญาต​ให้​ทำการส​ มรส​ก่อน​อายุ​ครบ​กำหนดต​ ามก​ ฎหมายไ​ด้ อุทาหรณ์ ฎ. 6035/2541 เด็ก​หญิง ย. อายุ​ยังไ​ม่เ​กิน 15 ปี แม้​จะ​ได้​แต่งงานต​ ามป​ ระเพณี​กับ จ.แล้ว ก็ย​ ัง​ไม่​พ้นจ​ าก​ ภาวะ​การ​เป็นเ​ด็กห​ รือผ​ ู้เ​ยาว์​ตาม ปพพ. มาตรา 20 เพราะ​การ​แต่งงานห​ รือ​การส​ มรสข​ อง​ผู้​เสียห​ ายม​ ิได้​อยู่​ใน​เงื่อนไข​ ตาม​บทบัญญัติ​แห่ง ปพพ. มาตรา 1448 เนื่องจาก​ผู้​เสีย​หาย​มีอายุ​ไม่​ครบ​สิบ​เจ็ด​ปีบ​ริ​บูรณ์ อีก​ทั้ง​ความ​ไม่​ปรากฏ​ ว่า​ได้​รับ​อนุญาต​จาก​ศาล​ให้​ทำการ​สมรส​หรือ​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ตาม ปพพ. มาตรา 1457 การ​ที่​บิดา​มารดา​ ผู้​เสียหาย​อนุญาต​ให้​ผู้​เสีย​หาย​สมรส​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ จ. จึง​เป็น​เพียง​มอบ​การ​ดูแล​ผู้​เสีย​หาย​ซึ่ง​ยัง​เป็น​เด็ก​ หรือผู้​เยาว์​ให้ จ. ดูแล​แทน ฎ. 1285/2544 ปอ.มาตรา 277 วรรค​ห้า​บัญญัติ​ว่า “...และ​ภาย​หลัง​ศาล​อนุญาต​ให้​ชาย​และ​เด็ก​หญิง​นั้น​ สมรส​กัน​ผู้​กระทำ​ผิด​ไม่​ต้อง​รับ​โทษ ถ้า​ศาล​อนุญาต​ให้​สมรส​ใน​ระหว่าง​ที่​ผู้​กระทำ​ผิด​กำลัง​รับ​โทษ​ใน​ความ​ผิด​นั้น​อยู่ ให้​ศาล​ปล่อย​ผู้​กระทำ​ผิด​นั้น​ไป” หมายความ​ว่า ชาย​หรือ​หญิง​มีอายุ​ยัง​ไม่​ครบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ จะ​สมรส​กัน​จึง​จะ​ต้อง ขอ​อนุญาต​ต่อ​ศาล​ตาม ปพพ. มาตรา 1448 แต่​จำเลย​และ​ผู้​เสีย​หาย​ซึ่ง​มีอายุ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​ กัน​ใน​เวลา​ต่อ​มา ย่อม​เป็นการ​สมรส​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​แล้ว ไม่​ต้อง​ขอ​อนุญาต​ต่อ​ศาล จำเลย​จึง​ไม่​ต้อง​รับ​โทษ ​ตาม ปอ. มาตรา 277 วรรค​ห้า (2) ชายห​ รอื ห​ ญงิ ต​ อ้ งไ​ มเ​่ ปน็ ค​ นว​ กิ ลจรติ หรอื เ​ปน็ บ​ คุ คลซ​ งึ่ ศ​ าลส​ ง่ั ใ​หเ​้ ปน็ ค​ นไ​ รค​้ วามส​ ามารถ บคุ คลว​ กิ ลจรติ ​ ที่​ศาล​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​แล้ว​ก็​ดี หรือ​ศาล​ยัง​ไม่​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​ก็​ดี มาตรา 1449 บัญญัติ​ว่า 7 Section 410, California Civil Code. 8 Article 7, Law of the Republic of Indonesia Number 1 of the year 1974 on Marriage. 9 Section 10, the Law Reform (Marriage and Divorce) Act 1976. มสธ มส

มส 2-10 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ “การ​สมรส​จะ​กระทำ​มิได้​ถ้า​ชาย​หรือ​หญิง​เป็น​บุคคล​วิกลจริต หรือ​เป็น​บุคคล​ซ่ึง​ศาล​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ”มสธ กฎหมาย​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​เพราะ​คน​วิกลจริต​เป็น​ผู้​ที่​ไม่มี​ความ​รู้สึก​ผิด​ชอบ​ใน​การ​เป็น​คู่​ครอง​ของ​กัน​และ​กัน และ​ไม่​สามารถ​ใช้​สิทธิ​และ​ปฏิบัติ​หน้าที่​ของ​สามี​ภริยา​ได้ นอกจาก​นี้​ความ​วิกลจริต​นี้​เป็น​กรรมพันธุ์ ที่​จะ​ถ่ายทอด​มสธ ไป​ยัง​บุตร​ที่​เกิด​มา หาก​ยอม​ให้​มี​การ​สมรส​กับ​คน​วิกลจริต​แล้ว​ประชากร​ที่​จะ​เพิ่ม​ขึ้น​มา​แทนที่​จะ​เป็น​ประโยชน์​ แก่​ประเทศ​ชาติ​กลับ​กลาย​เป็น​คน​บ้า​ไป​เสีย​หมด กฎหมาย​จึง​ห้าม​มิ​ให้​คน​วิกลจริต​ทำการ​สมรส ทั้ง​ยัง​มี​แนว​ความ​ คิด​ที่​จะ​ทำหมัน (sterilize) คน​วิกลจริต​เพื่อ​มิ​ให้​มี​โอกาส​เผย​แพร่​เผ่า​พันธุ์​ที่​ไม่​สมบูรณ์​นี้​ด้วย การ​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​ที่​ กฎหมาย​กำหนด​ไว้​โดย​ทำการ​สมรส​กับ​คน​วิกลจริต การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 แม้​ใน​ขณะ​สมรส บุคคล​วิกลจริต​นั้น​จะ​มี​ความ​รู้สึก​ผิด​ชอบ​อยู่​ใน​ระหว่าง​เวลา​นั้น​ก็ตาม ทั้งนี้​เท่ากับ​ว่า​มาตรา 1495 เป็น​กรณี​ที่​ยกเว้น​ มาตรา 30 นั่นเอง ผู้​มี​ส่วนไ​ด้​เสียม​ ี​สิทธิน​ ำ​คดี​ขึ้น​สู่​ศาล​ขอ​ให้​มี​คำ​พิพากษาแ​ สดงว​ ่าการ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆะ ซึ่ง​ก็​จะ​มี​ ผล​ทำให้​การ​สมรส​นั้น​เสีย​เปล่า​มา​ตั้งแต่​แรก​เริ่ม ใน​การ​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​พิพากษา​แสดง​ว่าการ​สมรส​เป็น​โมฆะ​เพราะ ​เหตุ​วิกลจริต​นี้ คู่​สมรส​ฝ่าย​โจทก์​ที่​เป็น​ฝ่าย​กล่าว​อ้าง​ย่อม​มีหน้า​ที่​นำสืบ ทั้งนี้​เพราะ​ถือว่า​บุคคล​ทุก​คน​เป็น​คน​ปกติ สามารถ​ที่จ​ ะ​ทำการ​สมรสไ​ด้ ฉะนั้นเ​มื่อม​ ี​การก​ล่าว​ อ้างเ​หตุว​ ิกลจริต​ฝ่าย​ที่​กล่าว​อ้างจ​ ึง​ย่อม​มีหน้าท​ ี่​นำสืบ (3) ผ้​ูเยาวจ​์ ะ​ทำการ​สมรสไ​ ด​ต้ อ่ เ​มื่อ​ได​ร้ บั ​ความย​ ินยอมข​ องบ​ ดิ า​มารดา​หรอื ผ​ ู​ป้ กครอง มาตรา 1454 “ผ​ู้เยาว​์จะท​ ำการส​ มรส​ให​้นำ​ความใ​นม​ าตรา 1436 มา​ใช​้บงั คบั โ​ดยอ​ นุโลม” มาตรา 1456 “ถา้ ​ไม่ม​ผี ท​ู้ ี่ม​ อ​ี ำนาจ​ให​ค้ วามย​ นิ ยอม​ตาม​มาตรา 1454 หรือ​ม​แี ต่​ไม่​ให​ค้ วามย​ ินยอม หรอื ​ไม​่อย​ใู่ น​ สภาพ​ที่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​หรือ​โดย​พฤติการณ์​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​ได้ ผู้​เยาว์​อาจ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​เพ่ือ​อนุญาต​ ให​ท้ ำการ​สมรส” ผู้​เยาว์​หรือ​บุคคล​ที่​มีอายุ​ยัง​ไม่​ครบ 20 ปีบ​ริ​บูรณ์ ยัง​อยู่​ใต้​อำนาจ​ปกครอง​ของ​บิดา​มารดา บิดา​มารดา​ หรือ​ผู้​ปกครอง​อยู่​ใน​ฐานะ​ที่​จะ​ตัดสิน​ใจ​ใน​การ​เลือก​คู่​ครอง​ให้​แก่​บุตร​ที่​ยัง​อ่อน​อายุ​ได้​ดี​กว่า​ตัว​บุตร​เอง นอกจาก​นี้​ โดย​ส่วน​ใหญ่​บิดา​มารดา​มัก​จะ​ต้อง​ให้​ความ​ช่วย​เหลือ​ด้าน​การ​เงิน​เกี่ยว​กับ​การ​สมรส​ของ​บุตร จึง​สมควร​ที่​จะ​ต้อง​ รับ​รู้​ใน​เรื่องน​ ี้ และ​ทั้ง​ยัง​เป็นการ​ให้​เกียรติ​แก่​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครองด​ ้วย มาตรา 1454 จึง​กำหนดใ​ห้​ผู้​เยาว์จ​ ะ​ทำ การ​สมรส​ได้​ต่อเ​มื่อไ​ด้ร​ ับ​ความ​ยินยอมจ​ าก​บิดา​มารดา​หรือผ​ ู้​ปกครองก​ ่อน ใน​การ​ที่ผ​ ู้เ​ยาว์​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ให้​ทำการ​สมรส​นั้น สรุป​หลัก​เกณฑ์​ ได้ด​ ังนี้ (1) ใน​กรณี​ท่ี​ผู้​เยาว์​มี​ทั้ง​บิดา​และ​มารดา จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​และ​มารดา​ทั้ง​สอง​คน เพราะ​ บุคคล​ทั้ง​สองเ​ป็น​ผู้ใ​ช้​อำนาจป​ กครอง​บุตร​ผู้เ​ยาว์ (2) ใน​กรณี​ท่ี​ผู้​เยาว์​เหลือ​แต่​บิดา​หรือ​มารดา​เพียง​คน​เดียว อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ถึงแก่​ความ​ตาย หรือ​ถูก​ถอน​อำนาจ​ ปกครอง​หรือ​ไม่​อยู่​ใน​สภาพ​หรือ​ฐานะ​ที่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​หรือ​โดย​พฤติการณ์​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​ มารดา​หรือ​บิดา​ได้ ผู้​เยาว์​จึง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​หรือ​มารดา​ซึ่ง​เป็น​ผู้​ใช้​อำนาจ​ปกครอง​ที่​เหลือ​อยู่​นั้น​เพียง​ คนเ​ดียวไ​ ด้ (3) ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​เป็น​บุตร​บุญธรรม จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม เพราะ​บิดา​มารดา​ โดย​กำเนิด​หมด​อำนาจ​ปกครอง​ผู้​เยาว์​ไป​ตั้งแต่​ที่​ได้​มี​การ​จด​ทะเบียน​รับ​บุตร​บุญธรรม​ไป​แล้ว บุตร​บุญธรรม​มี​ฐานะ ​อย่าง​เดียว​กับ​บุตร​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1598/28 ฉะนั้น เมื่อ​บุตร​ บุญธรรม​ที่​เป็น​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส​จึง​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​ของ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​เท่านั้น ไม่​ต้อง​ขอ​ความ​ ยินยอมจ​ าก​บิดา​มารดา​แต่อ​ ย่างใ​ด (4) ใน​กรณีท​ ่ไ​ี ม่มี​บิดา​มารดา​หรือผ​ ูร้ ับ​บุตรบ​ ญุ ธรรม หรอื ม​ ี แตบ​่ คุ คล​ดัง​กล่าวถ​ ูก​ถอน​อำนาจป​ กครองไ​ ปแ​ ล้ว จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​ผู้​ปกครอง เพราะ​เมื่อ​บิดา​และ​มารดา​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​ใน​ขณะ​ที่​บุตร​ยัง​เป็น​ผู้​เยาว์ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-11 มสธ หรือ​บิดา​และ​มารดา​ประพฤติ​ชั่ว​ร้าย​ต่อ​บุตร​ผู้​เยาว์​จน​ถูก​ถอน​อำนาจ​ปกครอง จะ​ต้อง​มี​การ​ตั้ง​ผู้​ปกครอง​โดย​คำ​สั่ง​มสธ ศาล ผู้​ปกครอง​เป็น​ผู้​แทน​โดย​ชอบ​ธรรม​ของ​ผู้​เยาว์ การ​ที่​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส​จึง​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก ผ​ ู้ป​ กครอง บิดาม​ ารดา​ที่​ถูกถ​ อนอ​ ำนาจ​ปกครอง​ไปแ​ ล้ว​นั้น ไม่มี​สิทธิม​ า​ให้​ความ​ยินยอม​อีกต​ ่อ​ไป​แล้วมสธ (5) ใน​กรณี​ท่ี​มี​บิดา​มารดา​ของ​ผู้​เยาว์​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน ผู้​เยาว์​ถือว่า​เป็น​บุตร​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ ของ​มารดาแ​ ต่​เพียงผ​ ู้​เดียว จึงต​ ้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอมแ​ ต่​เฉพาะจ​ ากม​ ารดาเ​พียงค​ น​เดียว การท​ ี่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตรบ​ ุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​จะ​ให้ค​ วามย​ ินยอมใ​ห้ผ​ ู้​เยาว์ท​ ำการ​สมรส​นั้น อาจ​ทำได้ 3 วิธี ตามท​ ี่​บัญญัติไ​ว้ใ​น​มาตรา 1455 “การ​ใหค​้ วามย​ ินยอม​ให​้ทำการ​สมรส จะ​กระทำไ​ด้แ​ ตโ​่ ดย (1) ลงล​ ายมอื ช​ อื่ ​ในท​ ะเบยี น​ขณะจ​ ด​ทะเบียนส​ มรส (2) ทำ​เป็น​หนังสือ​แสดง​ความ​ยินยอม​โดย​ระบุ​ช่ือ​ผู้​จะ​สมรส​ท้ัง​สอง​ฝ่าย และ​ลง​ลายมือ​ชื่อ​ของ​ผู้​ให้​ความ​ ยินยอม (3) ถา้ ม​ ​เี หตุจ​ ำเป็น จะใ​ห้ค​ วาม​ยินยอมด​ ว้ ย​วาจาต​ ่อ​หนา้ ​พยาน​อย่าง​น้อยส​ อง​คน​กไ็ ด้ ความย​ ินยอม​น้นั ​เมอ่ื ​ให​แ้ ล้ว​ถอน​ไม​่ได้” วิธี​ที่ 1 บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ลง​ลายมือ​ชื่อ​ใน​ทะเบียน​ขณะ​จด​ทะเบียน​สมรส​เพื่อ​ ให้​เป็นห​ ลักฐ​ าน​ไว้ อันเ​ป็นว​ ิธีก​ ารป​ กติธ​ รรมดา​ที่ส​ ่วนใ​หญ่​ปฏิบัติก​ ัน วิธี​ที่ 2 บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ทำ​หนังสือ​แสดง​ความ​ยินยอม​โดย​ระบุ​ชื่อ​ผู้​จะ​สมรส ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย พร้อม​ลง​ลายมือ​ชื่อ​ผู้​จะ​สมรส​ทั้ง​สอง​ฝ่าย และ​ลง​ลายมือ​ชื่อ​ของ​ผู้​ให้​ความ​ยินยอม​ไว้​ด้วย เช่น นาย​ ไกรสร อายุ 19 ปี เป็น​บุตร​ของ​นาย​แดง​และ​นางดำ นาย​ไกรสร​จะ​สมรส​กับ​นางสาว​ศิริ​รัตน์ นาย​ไกรสร​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ ความ​ยินยอมจ​ าก​นาย​แดง​และ​นางดำ โดย​ทำ​หนังสือม​ ี​ข้อความ​ใน​ทำนองท​ ี่​ว่า “ข้าพเจ้า นาย​แดง​และ​นางดำ​ยินยอม​ ให้​นาย​ไกรสร บุตร​ผู้​เยาว์​ของ​ข้าพเจ้า​สมรส​กับ​นางสาว​ศิริ​รัตน์” แล้ว​ลงชื่อ​นาย​แดง​และ​นางดำ​ทั้ง​สอง​คน พึง​สังเกต ​ว่า ข้อความ​ใน​หนังสือ​แสดง​ความ​ยินยอม​ของ​นาย​แดง​และ​นางดำ หาก​มี​ข้อความ​ว่า “ข้าพเจ้า​นาย​แดง​และ​นางดำ​ ยินยอม​ให้​นาย​ไกรสร​บุตร​ผู้​เยาว์​ของ​ข้าพเจ้า​ทำการ​สมรส​ได้” หนังสือ​แสดง​ความ​ยินยอม​นี้​ใช้​ไม่​ได้ เพราะ​ระบุ​ชื่อ ​ผู้​ที่​จะ​สมรส​ไว้​ด้วย เหตุ​ที่​กฎหมาย​ไม่​ยอม​ให้​ใช้​หนังสือ​แสดง​ความ​ยินยอม​เช่น​ว่า​นี้​ก็​เพราะ​เกรง​ว่า​นาย​ไกรสร​อาจ​จะ ​นำ​หนังสือ​ดัง​กล่าว​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​หญิง​อื่น​ที่​ไม่ใช่​นางสาว​ศิริ​รัตน์ อัน​เป็นการ​ผิด​จาก​ความ​ยินยอม​ของ​ นาย​แดง​และ​นางดำ​ได้ ซึ่ง​ราย​ละเอียด​ใน​เรื่อง​นี้​พระ​ราช​บัญญัติ​จด​ทะเบียน​ครอบครัว พ.ศ. 2478 ได้​กำหนด​แบบ​ พิมพ์​หนังสือแ​ สดงค​ วามย​ ินยอม​สำหรับ​ให้บ​ ิดา​มารดา​หรือผ​ ู้​ปกครองล​ งล​ ายมือ​ชื่อ​ไว้​ด้วย​แล้ว วิธ​ที ่ี 3 ถ้า​มี​เหตุ​จำเป็น บิดา​มารดา ผู้รับบ​ ุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครองจ​ ะใ​ห้​ความ​ยินยอมด​ ้วยว​ าจาต​ ่อ​หน้า​ พยาน​อย่าง​น้อย​สอง​คน​ก็ได้ แต่​วิธี​ที่ 3 นี้ เป็น​ข้อ​ยกเว้น​ใช้ได้​แต่​เฉพาะ​เมื่อ​มี​เหตุ​จำเป็น เช่น เกิด​โรค​ระบาด เกิด​ สงคราม หรือ​ผู้ใ​ห้ค​ วาม​ยินยอม​ตกอ​ ยู่​ในอ​ ันตรายใ​กล้ค​ วาม​ตาย ตัวอย่าง​เช่น ก. ผู้เ​ยาว์​ขอ​อนุญาต​บิดาท​ ำการ​สมรส​ กับ ข. ปรากฏ​ว่า​ใน​ขณะ​นั้น​บิดา​ของ ก. กำลัง​ป่วย​หนัก​เข้า​รักษา​ตัว​อยู่​ใน​โรง​พยาบาล บิดา​ของ ก. อาจ​ให้​ความ​ ยินยอมอ​ นุญาตใ​ห้ ก. ทำการส​ มรสก​ ับ ข. ด้วยว​ าจาต​ ่อห​ น้าแ​ พทยแ์​ ละพ​ ยาบาลไ​ด้ ซึ่ง ก. กต็​ ้องน​ ำแ​ พทยแ์​ ละพ​ ยาบาลท​ ั้ง 2 คนน​ ี้ ไปใ​ห้​ถ้อยคำ​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ตาม​ที่บ​ ัญญัติ​ไว้​ใน​ พรบ.จดท​ ะเบียน​ครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 12 ต่อไ​ป ความ​ยินยอม​ของ​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​หรือ​ผู้​ปกครอง​ที่​ให้​ผู้​เยาว์​ทำการ​สมรส​นั้น เมื่อ​ให้​ความ​ ยินยอมโ​ดยถ​ ูกต​ ้องต​ ามแ​ บบว​ ิธกี​ ารแ​ ล้วจ​ ะถ​ อนค​ วามย​ ินยอมน​ ั้นไ​มไ่​ด้ เพราะเ​มื่อใ​หค้​ วามย​ ินยอมถ​ ูกต​ ้องต​ ามก​ ฎหมาย​ แล้ว​นาย​ทะเบียน​ย่อม​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้ หลัง​จาก​นั้น​ชาย​หญิง​ก็​เกิด​ฐานะ​ของ​การ​เป็น​คู่​สมรส​และ​อาจ​มี​บุตร​ ขึ้น​มา ซึ่ง​ถ้า​มี​การ​ถอน​ความ​ยินยอม​ใน​ภาย​หลัง​ก็​อาจ​เกิด​ผล​ร้าย​ต่อ​คู่​สมรส​และ​ต่อ​บุตร​ที่​เกิด​มา​ก็ได้ หาก​ผู้​เยาว์​ ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​ความ​สามารถ ทำการ​สมรส​โดย​มิได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​แล้ว การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1509 ความ​ว่า “การ​สมรส​ที่​มิได้​รับ​ความ​ มสธ มส

มส 2-12 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ยินยอม​ของ​บุคคล​ดัง​กล่าว​ใน​มาตรา 1454 การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ” แต่​เฉพาะ​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​มสธ ผู้​ปกครอง​ซึ่ง​เป็น​ผู้​มี​สิทธิ​ให้​ความ​ยินยอม​เท่านั้น จึง​จะ​มี​สิทธิ​ขอ​ให้​ศาล​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆียะ​นี้​ได้ ตัว​ชาย​ หรือ​หญิง​คู่​สมรส​เอง​ไม่มี​สิทธิ​ฟ้อง​ขอ​ให้​ศาล​เพิก​ถอน และ​สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เป็น​อัน​ระงับ​สิ้น​ไป​เมื่อ​ชาย​มสธ หญิง​คู่​สมรส​นั้น​มีอายุ​ครบ​ยี่สิบ​ปีบ​ริ​บูรณ์ หรือ​เมื่อ​หญิง​มี​ครรภ์​แล้ว การ​ฟ้อง​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​ ทำการ​สมรส​โดย​ไม่​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​นี้​มีอายุ​ความ​หนึ่ง​ปี​นับ​แต่​วัน​ทราบ​การ​สมรส กล่าว​คือ​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​ บุญธรรม​หรือ​ผู้​ปกครอง ต้อง​จัดการ​ฟ้อง​ร้องขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เสีย​ภายใน​ระยะ​เวลา​หนึ่ง​ปี​นับ​แต่​วัน​ทราบ​การ​ สมรส มิ​ฉะนั้น​คดี​ขาด​อายุ​ความ ทั้งนี้​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1510 “การ​สมรส​ท่ี​เป็น​โมฆียะ เพราะ​มิได้​รับ​ความ​ ยนิ ยอม​ของบ​ คุ คลด​ งั ​กล่าว​ใน​มาตรา 1454 เฉพาะ​บคุ คล​ทอ่ี​ าจใ​ห้​ความ​ยินยอมต​ ามม​ าตรา 1454 เท่านน้ั ขอใ​ห​้เพกิ ถ​ อน​ การ​สมรส​ได้” สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ตาม​มาตรา​นี้​เป็น​อัน​ระงับ​เม่ือ​คู่​สมรส​นั้น​มีอายุ​ครบ​ย่ีสิบ​ปีบ​ริ​บูรณ์ หรือ​เมื่อ​หญิง​ มค​ี รรภ์ การ​ฟ้อง​ขอเ​พิก​ถอน​การส​ มรสต​ ามม​ าตรา​นี้ ให้ม​ ีอายุค​ วาม​หนงึ่ ป​ ีน​ บั แ​ ต่ว​ นั ท​ ราบก​ าร​สมรส” ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส แต่​ผู้​เยาว์​ไม่มี​บิดา มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ที่​จะ​ให้​ ความ​ยินยอม​ให้​ตน​ทำการ​สมรส​ก็​ดี หรือ​มี แต่​บุคคล​ดัง​กล่าว​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ให้​ความ​ยินยอม​หรือ​ไม่​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​ อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​ก็​ดี หรือ​โดย​พฤติการณ์​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ ​ผู้​ปกครอง​ได้​ก็​ดี กฎหมาย​มาตรา 1456 บัญญัติ​ทาง​แก้ไข​ไว้​ดังนี้ “ถ้า​ไม่มี​ผู้​ที่​มี​อำนาจ​ให้​ความ​ยินยอม​ตาม​มาตรา 1454 หรือ​มี​แต่​ไม่​ให้​ความ​ยินยอม​หรือ​ไม่​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม หรือ​โดย​พฤติการณ์​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ ความ​ยินยอม​ได้ ผู้​เยาว์​อาจ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​เพื่อ​อนุญาต​ให้​ทำการ​สมรส” โดย​ให้​ผู้​เยาว์​ยื่น​คำร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​อนุญาต​ ทำการ​สมรส​ได้ ศาล​จะ​ทำการ​ไต่สวน​ถึง​เหตุ​แห่ง​การ​ที่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ปฏิเสธ​ไม่​ให้​ ความ​ยินยอม​ใน​การ​ที่​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส หรือ​เหตุ​แห่ง​การ​ที่​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​ บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ได้ และ​ประโยชน์​ของ​ผู้​เยาว์​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​แล้ว​จึง​วินิจฉัย​ว่า​จะ​สมควร​อนุญาต​ให้​ผู้​เยาว์​ ทำการ​สมรส​ได้​หรือ​ไม่ เช่น บิดา​มารดา​ของ​ผู้​เยาว์​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​หมด​แล้ว ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส​แต่​ไม่มี​ใคร​จะ​ เป็น​ผู้​ให้​ความ​ยินยอม หรือ​ผู้​เยาว์​เหลือ​แต่​บิดา​คน​เดียว แต่​บิดา​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ให้​ผู้​เยาว์​ทำการ​สมรส​โดย​ไร้​เหตุผล หรือ​ผู้​เยาว์​มี​ผู้​ปกครอง​แต่​ผู้​ปกครอง​ป่วย​หนัก​เข้า​ขั้น​โคม่า​ไม่​ได้สติ ไม่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​ได้ หรือ​ผู้​เยาว์​เหลือ​แต่​ มารดา​คน​เดียว มารดา​เดิน​ทาง​ไป​ต่าง​ประเทศ​ปี​เศษ​มา​แล้ว​โดย​ไม่​แจ้ง​ข่าว​คราว​มา​ให้​ทราบ​ว่า​อยู่ ณ ที่​ใด ซึ่ง​เป็น​ พฤติการณ์​ที่​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​มารดา​ได้ เหล่า​นี้ ผู้​เยาว์​จำเป็น​ต้อง​ยื่น​คำร้อง​ขอ​ต่อ​ศาล​เพื่อ​ให้​ศาล​มี​ คำ​สั่ง​อนุญาต​ให้​ทำการ​สมรส จะ​ทำการ​สมรส​ไป​โดย​ลำพัง​โดย​ไม่​ขอ​อนุญาต​ศาล​ไม่​ได้ แต่​เมื่อ​ศาล​มี​คำ​สั่ง​อนุญาต​ แล้ว​ผู้​เยาว์​ก็​สามารถ​ทำการ​สมรส​ไป​ได้​โดย​ไม่​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​อีก ฉะนั้น​ใน ​กรณี​ที่​บิดา​และ​มารดา​ของ​ผู้​เยาว์​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​แล้ว​ทั้ง​สอง​คน หาก​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​สมรส​แต่​ไม่มี​ผู้​ให้​ความ​ ยินยอม ผู้​เยาว์​ดัง​กล่าว​มี​ทาง​เลือก 2 ทาง คือ ทาง​แรก​ขอ​ให้​ศาล​ตั้ง​ผู้​ปกครอง​ก่อน​แล้ว​จึง​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​ ผู้​ปกครอง​นั้น หรือ​ทาง​ที่​สอง ขอ​อนุญาต​ศาล​เพื่อ​อนุญาต​ให้​ตน​ทำการ​สมรส​ตาม​มาตรา 1456 นี้​เลย​ทันที​ก็ได้ แล้ว​ แต่จ​ ะ​เลือก อทุ าหรณ์ ฎ. 761/2495 การจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรส​หรือไ​ม่น​ ั้น​เป็น​หน้าที่ข​ อง​ชาย​หญิง​คู่ส​ มรสเ​อง​ บิดา​มารดา​ของห​ ญิง​มี​แต่​ จะ​ให้​ความ​ยินยอม​ใน​กรณี​จำเป็น ฉะนั้น​เมื่อ​ไม่​ปรากฏ​ว่า​บิดา​มารดา​ของ​หญิง​ได้​ขัด​ขวาง​มิ​ให้​บุตร​สาว​ไป​จด​ทะเบียน​ กับ​ชาย หรือ​ไม่​ให้​ความ​ยินยอม​อนุญาต​แต่​ประการ​ใด​แล้ว ชาย​จะ​ฟ้อง​ขอ​ให้​บิดา​มารดา​หญิง​ใช้​ค่า​เสีย​หาย​แก่​ตน​ใน​ การ​ที่ต​ นไ​ม่ไ​ด้​จด​ทะเบียน​สมรส​กับห​ ญิงไ​ม่ไ​ด้ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-13 มสธ กิจกรรม 2.1.1มสธ 1. นางสาว​สุดา อายุ 18 ปี เป็น​โรค​จริต​วิกล​คุ้ม​ดี​คุ้ม​ร้าย แต่​ศาล​ยัง​มิได้​ส่ัง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ หาก​นางสาว​สุดาจ​ ะ​ทำการ​สมรสจ​ ะ​ทำได​้หรือไ​ม่ อยา่ งไร 2. นายไ​พโรจน์ อายุ 21 ปี ลักลอบ​ไดเ​้ สยี ​กบั ​นางสาว​ลลนา อายุ 16 ปี จนน​ างสาว​ลลนาต​ ้งั ค​ รรภ์ นาย​ ไพโรจนแ​์ ละน​ างสาวล​ ลนาม​ ค​ี วามป​ รารถนาอ​ ยา่ งแ​ รงก​ ลา้ ท​ จ​ี่ ะท​ ำการส​ มรสก​ นั โดยบ​ ดิ าม​ ารดาข​ องน​ างสาวล​ ลนา​ ก็​ให้​ความ​ยินยอม​ให้​ทำการ​สมรส​แล้ว แต่​บิดา​มารดา​ของ​นาย​ไพโรจน์​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ให้​ความ​ยินยอม​ให้​ทำการ​ สมรส นาย​ไพโรจน์​และน​ างสาว​ลลนาจ​ งึ ม​ าป​ รึกษา​ท่าน​เก่ยี ว​กับเ​รอ่ื งน​ ี้ จงแ​ นะนำบ​ ุคคลท​ ้งั ​สอง 3. นาย​ปาน อายุ 22 ปี มี​นิสัย​ใจคอ​ชอบ​เป็น​หญิง จึง​ให้​แพทย์​ทำการ​ผ่าตัด​เปลี่ยน​เพศ​เป็น​หญิง และ​ ต้ัง​ชื่อ​ใหม่​ว่า “ปาน​ศรี” ต่อ​มา​ได้​มี​นาย​คิง​คอง อายุ 25 ปี มา​ติดต่อ​รัก​ใคร่​ชอบพอ​กัน​จนถึง​ข้ัน​จะ​ทำการ​สมรส แตบ่​ คุ คล​ทง้ั ​สอง​เกรงว​ ่าบ​ ิดา​มารดาข​ องท​ ั้ง​สองฝ​ ่าย​จะไ​ม​่ให​ค้ วามย​ ินยอม​ให้​ทำการ​สมรส และน​ าย​ทะเบียน​จะ​ไม​่ ยอม​จด​ทะเบียนส​ มรส​ให้ จง​แนะนำ​บคุ คลท​ ั้ง​สอง 4. นายส​ อน อายุ 18 ปี บดิ าม​ ารดาถ​ งึ แกค่​ วามต​ ายไ​ปต​ งั้ แตน่​ ายส​ อนอ​ ายุ 3 ขวบ ทงิ้ ใ​หล​้ งุ เ​ปน็ ผ​ อ​ู้ ปุ การะ​ เลย้ี ง​ดู หากน​ ายส​ อน​จะท​ ำการ​สมรส​จะ​ต้อง​ไดร​้ ับ​ความ​ยินยอมจ​ าก​ใคร​หรอื ​ไม่ แนวต​ อบ​กิจกรรม 2.1.1 1. นางสาว​สุดา​แม้​จะ​อายุ​เกิน 17 ปี​แล้ว​ก็ตาม แต่​เนื่องจาก​เป็น​บุคคล​วิกลจริต จึง​ทำการ​สมรส​ไม่​ได้ ตอ้ ง​หา้ มต​ ามม​ าตรา 1449 2. นางสาวล​ ลนา อายเ​ุ พยี ง 16 ปี ไมค​่ รบ 17 ปบี ร​ บ​ิ รู ณ์ แมบ​้ ดิ าม​ ารดาจ​ ะใ​หค​้ วามย​ นิ ยอมก​ ต็ ามจะท​ ำการ​ สมรส​ไม​ไ่ ด้ ตอ้ งห​ า้ มต​ ามม​ าตรา 1448 แต่​เนื่องจาก​นางสาวล​ ลนา​ตงั้ ​ครรภแ์​ ล้ว ถือไ​ด้​ว่า​มเ​ี หตุ​อัน​สมควร จงึ อ​ าจ​ ยืน่ ​คำรอ้ ง​ตอ่ ​ศาลข​ ออ​ นญุ าต​ให​้ทำการส​ มรส​ได้ ส่วน​นาย​ไพโรจน์ อายุ 21 ปี บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว สามารถ​ทำการ​สมรส​ได้​โดย​ลำพัง โดย​ไม่​ต้อง​ได้​รับ​ ความ​ยินยอมจ​ าก​บดิ าม​ ารดา 3. นายป​ านศ​ รี และ​นายค​ ิง​คอง บรรลนุ​ ิตภิ าวะ​แล้ว สามารถ​ทำการ​สมรสไ​ด้​โดย​ลำพังโ​ดย​ไม่​ตอ้ งไ​ด้​รบั ​ ความย​ นิ ยอมจ​ าก​บดิ าม​ ารดา แต​่นาย​ปานศ​ รแี​ ม​้จะผ​ า่ ตัด​เปล่ยี นเ​พศ​เปน็ ​หญงิ แ​ ล้ว​ก็ตาม​ใน​ทางก​ ฎหมาย​ต้องถ​ ือวา่ ​ ยัง​เป็น​ชาย​อยู่ เพราะ​เพศ​ของ​บุคคล​ไม่​อาจ​เปล่ียนแปลง​ได้ การ​ท่ี​ชาย​จะ​สมรส​กับ​ชาย​จึง​ทำ​ไม่​ได้ นาย​ทะเบียน​ จะไ​ม​่ยอมรบั จ​ ด​ทะเบียนส​ มรส​ให้ 4. นายส​ อน อายุ 18 ปี ยงั ไ​มบ​่ รรลน​ุ ติ ภิ าวะ หากจ​ ะท​ ำการส​ มรสต​ อ้ งไ​ดร​้ บั ค​ วามย​ นิ ยอมจ​ ากบ​ ดิ าม​ ารดา หรือ​ผู​้ปกครอง บดิ า​มารดาข​ อง​นายส​ อน​ตายไ​ป​หมด​แล้ว เหลอื แ​ ต​่ลงุ ​ผ​อู้ ปุ การะ​เลยี้ งด​ ู ลุงม​ ิใช่​ผู้ป​ กครองข​ องน​ าย​ สอน นาย​สอน​ตอ้ ง​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​เพอื่ ข​ อ​อนุญาต​ให​้ทำการ​สมรส ตามม​ าตรา 1456 มสธ มสธ มส

มส 2-14 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรื่องท​ ่ี 2.1.2มสธ ความ​ยนิ ยอม​ใน​การ​สมรส มสธ ความ​ยินยอม​เป็น​เงื่อนไข​ประการ​สำคัญ​ประการ​หนึ่ง​ของ​การ​สมรส ใน​ส่วน​นี้​จะ​ได้​กล่าว​ถึง​การ​สมรส​ที่​ ปราศจาก​ความ​ยินยอม​ของ​คู่​สมรส และ​การ​สมรส​ที่​เกิด​จาก​การ​สำคัญ​ผิด การ​ฉ้อฉล และ​การ​ข่มขู่ ซึ่ง​กฎหมาย​ กำหนด​ผล​ต่าง​กัน การ​สมรส​ที่​ปราศจาก​ความ​ยินยอม​นั้น​เป็นการ​สมรส​ที่​ชาย​และ​หญิง​มิได้​มี​เจตนา​จะ​มา​เป็น​สามี ​ภริยา​กัน​อย่าง​แท้จริง ซึ่ง​มี​ผล​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 ส่วน​การ​สมรส​ของ​คู่​สมรส​ที่​เกิด​จาก​การ​สำคัญ​ผิด​ของ​ คู่​สมรส การ​ฉ้อฉล​หรือ​การ​ข่มขู่​นั้น​เป็นการ​สมรส​ที่​มี​ความ​ยินยอม​แต่​มี​ความ​บกพร่อง​ใน​การ​แสดง​เจตนา​บาง​ ประการ ผล​จึงเ​ป็น​โมฆียะซ​ ึ่ง​เป็นเ​หตุ​ให้ถ​ ูกเ​พิก​ถอนก​ าร​สมรส​ได้ใ​น​ภายห​ ลัง 1. การ​สมรส​ทปี่​ ราศจากค​ วาม​ยินยอมข​ องค​ สู่​ มรส มาตรา 1458 “การ​สมรส​จะ​ทำได้​ต่อ​เมื่อ​ชาย​หญิง​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน และ​ต้อง​แสดง​การ​ยินยอม​นั้น​ให้​ ปรากฏโ​ดย​เปดิ เ​ผยต​ อ่ ห​ น้า​นายท​ ะเบียน และ​ใหน้​ าย​ทะเบยี นบ​ ันทกึ ค​ วาม​ยนิ ยอม​นั้น​ไว​ด้ ว้ ย” มาตรา 1495 “การส​ มรส​ท​ฝ่ี า่ ฝนื ม​ าตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และ​มาตรา 1458 เปน็ ​โมฆะ” การ​สมรส​เป็นการ​ทำ​สัญญา​ที่​เป็น​เรื่อง​เฉพาะ​ตัว​ของ​ชาย​และ​หญิง​โดย​สมัคร​ใจ จึง​จำเป็น​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ ยินยอม​ของ​ชาย​และ​หญิง​นั้น ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ผู้​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​หรือ​ไม่ และ​จะ​ให้​ความ​ยินยอม​แทน​กัน​ไม่​ได้ หลัก​ การ​เรื่อง​ความ​ยินยอม​ของ​ชาย​หญิง​นี้​มี​อยู่​เดิม​ตั้งแต่​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 130 ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า “ชาย​หญิง​ พรหมจารี​รัก​ใคร่​กัน​พ่อ​แม่​มิ​รู้ และ​ชาย​อื่น​มา​ขอ​หญิง​นั้น​พ่อ​แม่​ยก​ให้​แก่​ชาย​ผู้​สู่ขอ ได้​แต่งงาน​มี​ขันหมาก ครั้น​ถึง​ กำหนด​ให้​ส่งตัว​หญิง แต่​หญิง​นั้น​มิ​ยินยอม ท่าน​ให้​เอา​ขันหมาก​นั้น​ตั้ง​ไหม​พ่อ​แม่​ทวีคูณ แล้ว​ให้​ใช้​ค่า​หอ​และ​สิ่งของ​ ท่านจ​ ง​เต็ม เพราะ​พ่อ​แม่​หญิงม​ ิได้ถ​ าม​ลูกสาวต​ น” ฉะนั้น​บุคคล​อื่น เช่น บิดา มารดา หรือ​ผู้​ปกครอง​จะ​ตกลงย​ ินยอม ​เป็นส​ ามี​ภริยาแ​ ทน​บุตรใ​น​การ​สมรส​ไม่ไ​ด้ การ​สมรสท​ ี่ป​ ราศจาก​ความย​ ินยอม​ของ​คู่​สมรส​เป็นโ​มฆะ​ตามม​ าตรา 1495 ทั้งนี้​เพราะ​การ​สมรส​เป็น​เรื่อง​เฉพาะ​ตัว​และ​เป็น​เสรีภาพ​ของ​ตัว​ชาย​และ​หญิง​โดย​แท้ (matrimonia debent esse libera) ทำนอง​เดียวกัน​การ​สมรส​ที่​ชาย​และ​หญิง​ที่​มิได้​มี​เจตนา​ที่​จะ​ผูกพัน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​อย่าง​แท้จริง แต่​มี​ จุด​ประสงค์​อื่น ก็​ถือ​เป็นการ​สมรส​ที่​ปราศจาก​ความ​ยินยอม​และ​เป็น​โมฆะ​เช่น​กัน ตัวอย่าง​เช่น ชาย​หญิง​ไม่มี​เจตนา​ ที่​จะ​ทำการ​สมรส​แต่​ต้องการ​เล่น​ตลก หลอก​เพื่อน​ฝูง​จึง​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน หรือ​นาง​คง​รัก​ใคร่​ชอบพอ​กับ ​นาย​สม​ข้าราชการ​ไทย​ที่​เดิน​ทาง​ไป​รับ​ราชการ​ที่​ออสเตรเลีย แต่​ไม่​อาจ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ได้ เพราะ​นาย​สม​มี​ภริยา​ อยู่แ​ ล้ว นาง​คงเ​กรง​ว่า​จะ​ต้อง​ถูก​ส่งตัวก​ ลับ​ประเทศไทย เพราะ​ได้ร​ ับ​อนุญาต​ให้อ​ ยู่ใ​น​ออสเตรเลีย​ชั่วร​ ะยะเ​วลา​จำกัด จึง​ทำการ​ตกลง​กับ​นาย​โร​เบิร์ต ชาว​ออสเตรเลีย​ให้​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ตน​เพื่อ​ให้​ตน​มี​สิทธิ​ที่​จะ​อยู่​ใน​ออสเตรเลีย​ ต่อ​ไป​อีก​ได้ โดย​นาง​คง​มิได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​นาย​โร​เบิร์ต แต่​ไป​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​นาย​สม เช่น​นี้ การ​สมรส​ระหว่าง​นาง​คง​กับ​นาย​โร​เบิร์ต​เป็น​โมฆะ เพราะ​บุคคล​ทั้ง​สอง​มิได้​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน หรือ​หญิง​ชาว​ ญวน​อพยพ​ต้องการ​เดิน​ทางออก​จาก​ประเทศไทย เพราะ​เกรง​จะ​ถูก​เจ้า​หน้าที่​ตำรวจ​จับกุม​เข้า​ค่าย​กักกัน จึง​ตกลง​ กับ​ชาย​ชาว​ฝรั่งเศส​ว่า​ให้​ทำการ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน เพื่อ​ที่​ตน​จะ​ได้​หนังสือเดินทาง​ของ​ฝรั่งเศส​แล้ว​จะ​เดิน​ทางออก​ นอก​ประเทศไทย​ไป โดย​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​ต่าง​เข้าใจ​อย่าง​ชัด​แจ้ง​ว่าการ​สมรส​ที่​ทำ​ไป​เป็นการ​สมรส​หลอก (sham marriage) เพื่อ​การ​นี้​โดย​เฉพาะ ดังนี้ การ​สมรส​ดัง​กล่าว​เป็นการส​ มรสท​ ี่​ปราศจาก​ความ​ยินยอมเ​ป็น​โมฆะ​เช่น​เดียว มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-15 มสธ กัน10 เป็นต้น การ​ที่​กฎหมาย​บัญญัติ​ว่า​ชาย​หญิง​จะ​ต้อง​แสดง​การ​ยินยอม​ใน​การ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ให้​ปรากฏ​โดย​มสธ เปิดเผย​ต่อ​หน้า​นาย​ทะเบียน​ก็​เพื่อ​ป้องกัน​ปัญหา​ใน​เรื่อง​การ​ตั้ง​ตัวแทน​ไป​ทำการ​สมรส (marriage by proxy) และ​ รวมท​ ั้ง​การข​ ่มขู่ใ​ห้​ทำการ​สมรส​ด้วย​เพราะ​ถ้า​เป็นเ​รื่อง​การข​ ่มขู่​กัน​แล้วเ​มื่อไ​ป​ถึงเ​จ้าห​ น้าที่​เพื่อ​ทำการ​จดท​ ะเบียน​สมรสมสธ ผู้​ถูกข​ ่มขู่​ก็​ย่อม​มี​โอกาสท​ ี่​จะร​ ้องบ​ อก​กล่าว​ให้พ​ ้น​จากก​ ารถ​ ูก​ข่มขู่​ได้ หากม​ ีก​ ารต​ ั้งต​ ัวแทน​ให้​ไปจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรส​และ​ นาย​ทะเบียนย​ อมรับ​จด​ทะเบียน​ให้ การ​สมรสน​ ั้น​เป็นโ​มฆะ อนึ่ง สำหรับ​เรื่อง​ที่​ชาย​หลอก​ลวง​หญิง​มา​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็น​ภริยา​โดย​รับรอง​ว่า​จะ​เลี้ยง​ดู​ให้​สุข​สบาย แต่ใ​นภ​ าย​หลัง​กลับ​ทิ้ง​ขว้าง เช่น​นี้ จะ​ถือว่าห​ ญิงม​ ิได้​ยินยอม​ไม่​ได้ การส​ มรสด​ ัง​กล่าวส​ มบูรณ์​ทุกป​ ระการ อย่างไร​ก็ด​ ี การ​ที่​ชาย​หญิง​ทำการ​สมรส​กัน โดย​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​สำคัญ​ผิด​ใน​การก​ระ​ทำ กล่าว​คือ​ไม่​เข้าใจ​ว่า​สิ่ง​ที่​ ตน​กระทำ​ลง​ไป​นั้น​เป็นการ​สมรส​แล้ว จะ​ถือว่า​ชาย​หญิง​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ไม่​ได้ เช่น​หญิง​ไทย​พา​ชาย​ชาว​ต่าง​ ประเทศ​ที่​เข้าใจ​ภาษา​ไทย​เพียง​เล็ก​น้อย ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน​โดย​ชาย​ชาว​ต่าง​ประเทศ​นั้น​ไม่​เข้าใจ​ ว่าการ​กระทำ​ดัง​กล่าว​เป็นการ​สมรส หรือ​ชาย​ให้​หญิง​เสพ​ยา​เสพ​ติด​จน​เมามาย​ไม่​ได้สติ​แล้ว​พา​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​ เหล่า​นี้ ถือ​ได้​ว่า​ไม่มี​การ​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน การ​สมรส​ดัง​กล่าว​จึง​เป็น​โมฆะ อย่างไร​ก็ตาม การ​ที่​ชาย​หญิง​ทำ​ สัญญา​ประนีประนอม​ยอม​ความ​ว่า​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ที่​อำเภอ​นั้น​ไม่​เป็นการ​ผิด​กฎหมาย​และ​ไม่​เป็น​โมฆะ เพราะ​คู่ก​ รณี​อาจ​ไป​จดท​ ะเบียน​สมรส​ได้ต​ าม​ที่ย​ อมค​ วาม​กัน11 อุทาหรณ์ ฎ. 577/2507 ชาย​หญิง​สมัคร​ใจ​รัก​ใคร่​กัน และ​ได้ยิน​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​โดย​ถูก​ต้อง​ตาม​กฎหมาย​ แล้ว ต่อ​มา​ชาย​หญิง​คู่​นี้​ผิดใจ​กัน เมื่อ​จะ​ให้การ​สมรส​ขาด​จาก​กัน​จะ​ต้อง​ขอ​หย่า​และ​ให้​คู่​สมรส​ลงชื่อ​ใน​แบบ​พิมพ์​ คำร้อง​ขอ​จด​ทะเบียน​หย่า จะ​มา​ร้องขอ​ให้​ศาล​เพิก​ถอน​ทะเบียน​สมรส​ที่​คู่​สมรส​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​ไว้​โดย​ชอบ​แล้ว​ หา​ได้​ไม่ ฎ. 3471/2526 โจทก์ จำเลย​ได้​เสีย​กัน ต่อ​มา​ได้​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​ซึ่ง​กระทำ​ต่อ​หน้า​เจ้า​พนักงาน​นาย​ ทะเบียน โจทก์​จะ​อ้าง​ภาย​หลัง​ว่า​มี​เงื่อนไข​อื่น​ที่​จำเลย​รับปาก เช่น ห้าม​เปิด​เผย​ว่า​โจทก์​เป็น​สามี ห้าม​ยุ่ง​เกี่ยว​กับ​ เงิน​เดือนแ​ ละ​งาน ซึ่งร​ ับ​ฟังไ​ม่​ได้ม​ า​เป็น​เหตุ​ให้การส​ มรส​เป็น​โมฆะ​หาไ​ด้​ไม่ ฎ. 1127/2536 เมื่อ​พฤติการณ์​แห่ง​คดี​ปรากฏ​ว่า​ช่วง​เกิด​เหตุ​จำเลย​ที่ 2 ยัง​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​นาย บ. ส่วน​จำเลย​ที่ 1 มีฐ​ านะ​เป็นเ​พียงล​ ูกจ้าง​ของบ​ ุคคล​ทั้ง​สอง การท​ ี่​จำเลย​ทั้ง​สอง​ร่วม​กันไ​ปข​ อ​จดท​ ะเบียนส​ มรส​โดยแ​ จ้ง​ ต่อเ​จ้าพ​ นักงานว​ ่าม​ เี​จตนาจ​ ะส​ มรสก​ ันแ​ ละต​ ่างไ​มเ่​คยม​ คี​ ูส่​ มรสม​ าก​ ่อนจ​ ึงผ​ ิดจ​ ากเ​จตนาท​ ี่แทจ้​ ริง และไ​มน่​ ่าเ​ชื่อว​ ่าจ​ ำเลย​ ทั้ง​สอง​ยินยอมเ​ป็น​สามีภ​ ริยา​กันอ​ ันเ​ป็น​เงื่อนไขแ​ ห่งก​ าร​สมรสต​ าม ปพพ. มาตรา 1458 โจทก์จ​ ึง​มีส​ ิทธิ​ร้องขอ​ให้ศ​ าล​ พิพากษา​ว่าการ​สมรสร​ ะหว่าง​จำเลยท​ ั้ง​สองเ​ป็น​โมฆะ​ได้ การก​ล่า​วอ้าง​ว่าการ​สมรส​เป็น​โมฆะ​เพราะ​ปราศจาก​ความ​ยินยอม​ของ​คู่​สมรส​นั้น ผู้​กล่าว​อ้าง​มีหน้า​ที่​ต้อง​ นำสืบ​ข้อ​เท็จ​จริง​ให้​เป็น​ที่​ประจักษ์​แก่​ศาล​ว่า​เป็นการ​สมรส​ที่​คู่​กรณี​ไม่มี​เจตนา​จะ​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กัน​อย่าง​แท้จริง มิฉ​ ะนั้นศ​ าล​อาจ​ไม่พ​ ิพากษาใ​ห้ต​ าม​ที่ก​ ล่าวอ​ ้าง ฎ. 5351/2545 ผู้​ร้อง​ทั้ง​สอง​ยื่น​คำร้อง​อ้าง​ว่า​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​หล​อกๆ เพื่อ​หวัง​ประโยชน์​ใน​ทาง การ​ค้า มิได้​มี​เจตนา​จะ​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​อย่าง​แท้จริง ทั้ง​ไม่​เคย​อยู่​ร่วม​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​แต่​อย่าง​ใด เหตุ​ที่​ จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​เนื่องจาก​เชื่อ​ตาม​หมอดู​ทำนาย​เท่านั้น แต่​ผู้​ร้อง​ทั้ง​สอง​มิได้​นำ​พยาน​อื่น​เข้า​สืบ​ประกอบ​ว่า​ตน​ มิได้​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กัน​จริง และ​มิได้​ส่ง​สำเนา​ทะเบียน​บ้าน​ว่า​มิได้​อยู่​บ้าน​หลัง​เดียวกัน นอกจาก​นี้​ผู้​ร้อง​ทั้ง​สอง​ ยัง​ปล่อย​เวลาใ​ห้ล​ ่วง​เลย​มาถ​ ึง 3 ปี​เศษ จึงม​ า​ยื่นค​ ำร้อง​ขอใ​ห้​ศาลพ​ ิพากษา​ว่าการส​ มรส​เป็น​โมฆะ พฤติการณ์ท​ ี่​นำสืบ​ 10 เทียบ​เคียง​คำ​พิพากษาศ​ าล​อังกฤษ H v. H. (1953) 2 All E.R. 1229. 11 ฎ. 44/2494 มสธ มส

มส 2-16 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เช่นน​ ี้แ​ สดง​ให้เ​ห็น​ว่าผ​ ู้ร​ ้องท​ ั้งส​ องย​ ินยอม​เป็นส​ ามีภ​ ริยา​กัน​ตาม ปพพ. มาตรา 1458 แล้ว ไม่มี​เหตุท​ ี่​จะ​มา​ยื่น​คำร้อง​มสธ ขอใ​ห้​ศาลพ​ ิพากษาว​ ่าการส​ มรส​ของผ​ ู้ร​ ้อง​ทั้งส​ อง​ตกเ​ป็น​โมฆะ​ได้ มสธ ฎ.1067/2545 การส​ มรส​จะ​ทำได้ต​ ่อ​เมื่อ​ชายแ​ ละห​ ญิง​ยินยอม​เป็น​สามีภ​ ริยา​กัน โดยท​ ั้ง​สอง​คนต​ กลง​จะ​เป็น​ บุคคล​ใน​ครอบครัว​เดียวกัน ต้อง​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ทั้ง​ใน​ทาง​ธรรมชาติ​และ​กฎหมาย ได้​ดูแล​ความ​ทุกข์​สุข เจ็บ​ป่วย​ซึ่ง​กัน​และ​กัน ต้อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม​ความ​สามารถ​และ​ฐานะ​ของ​ตน การ​ที่​จำเลย​จด​ทะเบียน​ สมรส​กับ ช. แต่​ไม่​ได้​พัก​อาศัย​อยู่​ด้วย​กัน เมื่อ ช. ป่วย โจทก์​เป็น​ผู้​พา ช. ไป​โรง​พยาบาล​และ​เสีย​ค่า​รักษา​พยาบาล ​ให้ และ​ยัง​ให้ ช. ไป​พัก​อาศัย​อยู่​ด้วย ส่วน​จำเลย​ยัง​คง​พัก​อาศัย​อยู่​กับ​น้อง​สาว​และ​ไม่​เคย​ออก​ค่า​รักษา​พยาบาล​ทั้ง​ ไม่​เคย​มาเ​ยี่ยมเยียน ช. เลย เห็น​ได้ช​ ัดว​ ่า​จำเลยก​ ับ ช. มิได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามีภ​ ริยา​แต่​อย่าง​ใด จำเลยเ​อง​ก็ย​ ัง​รับ ​ว่า​ไม่​อยาก​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส แต่ ช. เป็น​ผู้​พา​ไป​โดย​บอก​ว่า​ถ้า​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว​จะ​ไม่มี​ผู้​ใด​มี​สิทธิ​รับ​เงิน​ บำเหน็จ​ตกทอด ซึ่ง​ก็​ปรากฏ​ว่า​เมื่อ ช. ถึงแก่​กรรม จำเลย​เป็น​ผู้​ได้​รับ​เงิน​บำเหน็จ​ตกทอด​มา​จริง แสดง​ว่า​จำเลย ​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ ช. โดย​มิได้​มี​เจตนา​ที่​จะ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​มา​แต่​แรก หาก​แต่​เป็นการ​กระทำ​เพื่อ​ให้​มี​สิทธิ​รับ​ เงิน​บำเหน็จ​ตกทอด​เท่านั้น การ​สมรส​ของ​จำเลย​จึง​ฝ่าฝืน​ต่อ​บทบัญญัติ​แห่ง ปพพ. มาตรา 1458 ตก​เป็น​โมฆะ​ตาม ​มาตรา 1495 2. การ​ยินยอมส​ มรสโ​ดยเ​กิดจ​ าก​การ​สำคัญ​ผิด ถูกก​ ลฉ​ อ้ ฉลแ​ ละ​ถูก​ข่มขู่ การ​สมรส​ที่​ชาย​และ​หญิง​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​แล้ว​นั้น หาก​ปรากฏ​ใน​ภาย​หลัง​ว่า​ความ​ยินยอม​ของ​ชาย​ หรือ​หญิง​ดัง​กล่าว​เป็น​เพราะ​สำคัญ​ผิด​ตัว​คู่​สมรส ถูก​หลอก​ลวง​ฉ้อฉล​ให้​ทำการ​สมรส หรือ​ถูก​ข่มขู่​ให้​กลัว​ว่า​จะ​เกิด​ อันตราย​จึง​ต้อง​ทำการ​สมรส​ไป การ​สมรส​เช่น​ว่า​นี้​เป็น​โมฆียะ และ​อาจ​ถูก​ศาล​พิพากษา​ให้​เพิก​ถอน​เสีย​ได้ ซึ่ง​แยก​ พิจารณา​ได้​ดังต​ ่อไ​ป​นี้ (1) การส​ มรส​โดย​สำคัญ​ผิด​ตัว​ค่​สู มรส มาตรา 1505 “การ​สมรสท​ ​ี่ได​้กระทำ​ไปโ​ดย​คส​ู่ มรส​ฝา่ ย​หนง่ึ ส​ ำคญั ผ​ ิดต​ ัวค​ ู่​สมรส การ​สมรส​นน้ั ​เปน็ ​โมฆยี ะ สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เพราะ​สำคัญ​ผิด​ตัว​คู่​สมรส​เป็น​อัน​ระงับ​เม่ือ​เวลา​ได้​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว​เก้า​สิบ​วัน​นับ​ แตว่​ นั ส​ มรส” การ​สมรส​ที่​ได้​กระทำ​ไป​โดย​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​สำคัญ​ผิด​ตัว​คู่​สมรส ได้แก่​การ​เข้าใจ​ผิด​ใน​ตัว​บุคคล​อัน​เป็น​ ผล​ให้​มิได้​ทำการ​สมรส​กับ​บุคคล​ตาม​ที่​ตน​ประสงค์ เช่น หญิง​ฝาแฝด​พี่​น้อง ชาย​ต้องการ​สมรส​กับ​พี่​สาว แต่​ตอน ​สมรส​กัน​มี​การ​เปลี่ยน​ตัว​ให้​น้อง​สาว​มา​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย หรือ​ชาย​ไป​ขอ​ลูกสาว​เขา​แต่​เวลา​ทำการ​สมรส​ฝ่าย ​หญิง​เอา​หญิง​รับ​ใช้​มา​แต่งงาน ชาย​จำ​ตัวผู้​หญิง​ไม่​ได้​เพราะ​มี​ผ้า​คลุม​หน้า​ไว้​จึง​ยอม​แต่งงาน​ไป เช่น​นี้ เป็นการ​สำคัญ​ ผดิ ​ตวั ค​ ู่ส​ มรส การ​สมรส​นั้นเ​ป็น​โมฆียะ แต่​ถ้าช​ ายไ​ปเ​ห็นห​ ญิง​คนใช้อ​ ยู่​ใน​บ้านน​ ึก​ว่าห​ ญิงน​ ั้น​เป็น​บุตรส​ าวข​ อง​เจ้าของ​ บ้าน​จึง​สู่ขอ​หญิง​และ​ทำการ​สมรส​ด้วย อย่าง​นี้​ไม่ใช่​สำคัญ​ผิด​ตัว แต่​เป็นการ​สำคัญ​ผิด​ใน​ฐานะ​ของ​หญิง การ​สมรส ​ไม่​เป็น​โมฆียะ เหตุ​ที่​ความ​สำคัญ​ผิด​ใน​ฐานะ​ของ​บุคคล​ไม่​ทำให้​การ​สมรส​ต้อง​เสื่อม​เสีย​ไป​ก็​เพราะ​ชาย​หญิง​ที่มา​ทำ การ​สมรส​กัน​ก็​เพื่อ​จะ​ได้​ร่วม​ทุกข์​ร่วม​สุข​กัน​ไม่ใช่​เพื่อ​หา​กำไร เคย​มี​คดี​ใน​ประเทศ​นิวซีแลนด์ ชาย​อวด​อ้าง​ตนเอง ​กับ​หญิง​ว่า​ตน​เป็น​นัก​มวย​รุ่น​เฟ​เธอ​ร์​เวท​ที่​มีชื่อ​เสียง หญิง​จึง​ทำการ​สมรส​ด้วย ต่อ​มา​เมื่อ​รู้​ความ​จริง​หญิง​จึง​ยื่น​ คำร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​ให้​เพิก​ถอน​การ​สมรส ศาล​พิพากษา​ให้​ยก​คำร้อง​โดย​ให้​เหตุผล​ว่า โจทก์​สำคัญ​ผิด​ใน​ฐานะ​ของ​ จำเลยม​ ิใช่ส​ ำคัญผ​ ิดต​ ัว เพราะ​โจทก์ต​ ั้งใจท​ ี่จ​ ะ​สมรสก​ ับ​บุคคล​ที่มา​อยู่​ต่อ​หน้า ทั้งช​ ื่อ​เสียง​ของ​บุคคล​ก็​มิใช่​สาระส​ ำคัญ​ ใน​การ​สมรส​แต่​อย่าง​ใด12 อย่างไร​ก็​ดี​กรณี​จะ​เป็น​ตรง​กัน​ข้าม​หาก​เกิด​กรณี​ที่​นางสาว​ดำ​ใช้​ชื่อ​เล่น​ว่า “เด็ก​ฮาร์ด” ติดต่อ​กับ​นาย​แดง​เฉพาะ​ทาง​จดหมาย​โดย​ไม่​เคย​พบ​หน้า​กัน​เลย​จนถึง​ขั้น​นัด​หมาย​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน ใน​วัน​นัด​ 12 C.v.C. (1942) N.Z. LR 356 มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-17 มสธ นางสาว​ขาว​ปลอม​ตัวไ​ป​พบ​นายแ​ ดง และอ​ ้างว​ ่า​ตน​คือ “เด็ก​ฮาร์ด” ที่​ติดต่อก​ ับน​ าย​แดง​ทางจ​ ดหมาย นายแ​ ดง​จึง​จด​มสธ ทะเบียน​สมรสด​ ้วย เช่น​นี้​การส​ มรส​ระหว่างน​ าย​แดง​กับน​ างสาวข​ าว​เป็นโ​มฆียะ​เพราะ​สำคัญ​ผิด​ตัวค​ ู่​สมรส ทั้งนี้เ​พราะ​ นายแ​ ดงป​ ระสงค์​ที่จ​ ะส​ มรส​กับ​นางสาวด​ ำ​โดยเ​ฉพาะเ​จาะจง นางสาวข​ าวห​ รือ​บุคคลอ​ ื่น​ใดจ​ ะม​ าส​ มรส​แทน​มิได้มสธ การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆียะ​เพราะ​ได้​กระทำ​ไป​โดย​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​สำคัญ​ผิด​ตัว​คู่​สมรส​นั้น เฉพาะ​แต่​คู่​สมรส​ที่​ สำคัญ​ผิด​ตัว​เท่านั้นท​ ี่​จะ​มีส​ ิทธิข​ อ​ให้​ศาลพ​ ิพากษา​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ได้ ทั้งนี้​ตาม​ที่บ​ ัญญัติ​ไว้ใ​น​มาตรา 1505 ซึ่งเ​ป็น​ ไปต​ าม​หลัก​กฎหมาย​ที่​ว่าผ​ ู้ม​ าห​ าความย​ ุติธรรม​ต้องม​ าด​ ้วย​มืออ​ ัน​บริสุทธิ์ และ​ต้องฟ​ ้องค​ ดี​เสีย​ภายใน​กำหนด 90 วัน​ นับ​แต่​วัน​สมรส เพราะ​หลัง​จาก​กำหนด 90 วัน​ไป​แล้ว​สิทธิ​ขอ​ให้​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เป็น​อัน​ระงับ​สิ้น​ลง พึง​สังเกต​ว่า​ อายุ​ความเ​ริ่มน​ ับต​ ั้งแต่ว​ ัน​ที่ทำการ​สมรส มิใช่​เริ่มน​ ับ​เมื่อ​ทราบก​ าร​สำคัญ​ผิด​ตัว (2) การ​สมรส​โดยถ​ ูกก​ ลฉ​ อ้ ฉล มาตรา 1506 “ถ้า​คู่​สมรส​ได้​ทำการ​สมรส​โดย​ถูก​กล​ฉ้อฉล​อัน​ถึง​ขนาด ซึ่ง​ถ้า​มิได้​มี​กล​ฉ้อฉล​นั้น​จะ​ไม่​ทำการ​ สมรส การส​ มรส​น้นั เ​ปน็ ​โมฆียะ ความใ​นว​ รรคห​ นง่ึ ไ​มใ​่ ชบ​้ งั คบั ใ​นก​ รณท​ี ก​ี่ ลฉ​ อ้ ฉลน​ นั้ เ​กดิ ข​ น้ึ โ​ดยบ​ คุ คลท​ ส​่ี ามโ​ดยค​ ส​ู่ มรสอ​ กี ฝ​ า่ ยห​ นงึ่ ม​ ไิ ดร​้ เ​ู้ หน็ ​ ดว้ ย สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล​เป็น​อัน​ระงับ​เม่ือ​เวลา​ได้​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว​เก้า​สิบ​วัน​นับ​แต่​วัน​ท่ี​รู้​ หรอื ค​ วรไ​ด้ร​ ้ถู​ ึง​กลฉ​ อ้ ฉล หรอื ​เมือ่ ​เวลาไ​ด​ผ้ า่ น​ไป​แล้วห​ น่งึ ป​ ี นับ​แตว​่ ัน​สมรส” การ​สมรส​ที่​ได้​กระทำ​โดย​ถูก​กล​ฉ้อฉล​ถึง​ขนาด ซึ่ง​ถ้า​มิได้​มี​กล​ฉ้อฉล​นั้น​จะ​ไม่​ทำการ​สมรส​แล้ว การ​สมรส ​นั้น​เป็น​โมฆียะ​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1506 กล​ฉ้อฉล​ชนิด​นี้​คือ​การ​ลวง​ให้​เขา​แสดง​เจตนา​สมรส ซึ่ง​มี​น้อย​มาก​ ใน​เรื่อง​การ​สมรส​เพราะ​การ​สมรส​มิใช่​นิติกรรม​ที่​มี​วัตถุประสงค์​เป็นการ​โอน​กรรมสิทธิ์​ใน​ทรัพย์สิน แต่​เป็น​ความ ​ผูกพันร​ ะหว่าง​บุคคลต​ ่อ​บุคคล หลัก​การ​ของก​ ารส​ มรส​โดย​ถูกห​ ลอก​ลวงน​ ี้ มี​มาต​ ั้งแต่​สมัยโ​บราณแ​ ล้ว ตาม​กฎหมาย​ ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 112 และบ​ ทท​ ี่ 141 นั้น ชายห​ ลอก​ลวง​หญิงว​ ่า​ตน​ยัง​ไม่มี​ภริยาก​ ็​ดี หรือว​ ่าจ​ ะ​ช่วย​ทุกข์​ยากข​ อง​ หญิง​ก็​ดี หญิง​ยอม​เป็น​ภริยา​แล้ว ปรากฏ​ว่า​ชาย​มี​ภริยา​แล้ว​หรือ​ชาย​ไม่​ช่วย​ทุกข์​ของ​หญิง ดังนี้ ถ้า​หญิง​ยัง​ไม่​เกิด​ บุตร​ด้วยช​ าย หญิงฟ​ ้อง​หย่า​เป็น​เหตุ​สมควรใ​ห้ห​ ย่า​ได้ ตัวอย่าง​ของ​การ​สมรส​โดย​ถูก​กล​ฉ้อฉล​ก็​เช่น หญิง​ตั้ง​ครรภ์​กับ​ชาย​อื่น​อยู่​แล้ว​มา​หลอก​ลวง​ชาย​ว่า​ยัง​เป็น​ สาว​บริสุทธิ์ ชายห​ ลง​เชื่อท​ ำการ​สมรส​ด้วย​เช่นน​ ี้ การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ หรือช​ ายต​ ้องการ​ทายาทไ​ว้​สืบ​ตระกูล หญิง​ รู้ตัว​ว่า​เป็น​หมัน​แต่​มา​หลอก​ลวง​ชาย​ว่า​สามารถ​ให้​กำเนิด​บุตร​ได้ ชาย​หลง​เชื่อ​จึง​สมรส​ด้วย การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ​ เช่น​เดียวกัน นอกจาก​นี้ การ​ที่​ชาย​หลอก​ลวง​ว่า​ตน​เป็น​ลูก​เศรษฐี หญิง​หลง​เชื่อ​จึง​ยินยอม​ทำการ​สมรส​ด้วย​ก็​ดี หรือ​ หญิง​หลอก​ลวง​ว่า​ตน​เป็น​สาว​พรหมจารี​ไม่​เคย​มี​สามี​มา​ก่อน​แต่​ความ​จริง​เคย​สมรส​มา​แล้ว​ก็​ดี หรือ​หญิง​หลอก​ลวง​ ว่า​ตน​ทำ​กับข้าว​อร่อย​แต่​ความ​จริง​ทำ​กับข้าว​ไม่​เป็น​ก็​ดี เหล่า​นี้ ต้อง​แล้ว​แต่​ว่าการ​หลอก​ลวง​เช่น​นั้น​จะ​ถึง​ขนาด​ว่า ถ้า​ไม่มี​การ​ฉ้อฉล​เช่น​นั้น​จะ​ไม่มี​การ​สมรส​หรือ​ไม่ ถ้า​ถึง​ขนาด​เช่น​ว่า​นั้น​การ​สมรส​ก็เ​ป็น​โมฆียะ​เช่น​เดียวกัน เช่น ชาย​ ต้องการ​สมรส​กับ​สาว​พรหมจารี หญิง​เคย​เป็น​โสเภณี​มา​แล้ว​มา​หลอก​ลวง​ชาย​ว่า​เป็น​สาว​บริสุทธิ์ ชาย​หลง​เชื่อ​จึง​ สมรสไ​ป​ด้วย ชาย​เพิ่งจ​ ะม​ าร​ ู้ค​ วาม​จริงภ​ ายห​ ลัง เช่น​นี้ การ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆียะ แต่ถ​ ้า​หญิงม​ ิได้​หลอก​ลวงฉ​ ้อฉล ชาย​ สำคัญ​ผิด​ไป​เอง​ว่า​หญิง​ยัง​เป็น​สาว​พรหมจารี เช่น นาย​แดง​เห็น​นางสาว​ดำ​เป็น​คน​สงบเสงี่ยม​เรียบร้อย​อยู่​กับ​เหย้า ​เฝ้า​กับ​เรือน มั่นใจ​ว่า​ต้อง​เป็น​สาว​บริสุทธิ์​จึง​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย ต่อ​มา​ภาย​หลัง​จึง​ทราบ​ว่า​นางสาว​ดำ​เคย​แอบ​ไป​ ทำแท้ง​มา​แล้ว​ครั้ง​หนึ่ง เช่น​นี้ การ​สมรส​นั้น​สมบูรณ์​ไม่​เป็น​โมฆียะ​เพราะ​ความ​สำคัญ​ผิด​ใน​ความ​บริสุทธิ์​ของ​หญิง​ หรือช​ าย​เองก​ ็​ดีไ​ม่เ​ป็น​เหตุ​ที่ท​ ำให้​การ​สมรส​เป็นโ​มฆียะ เป็น​หน้าที่​ของ​ชายห​ รือ​หญิงน​ ั้นๆ ที่​จะ​ต้อง​ต่างฝ​ ่าย​ตรวจส​ อบ​ ดูแล​กันเองใ​นเ​รื่องน​ ี้ มสธ มส

มส 2-18 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ตัวอย่าง​คำ​พิพากษา​ของ​ศาล​ต่าง​ประเทศ​ที่​เกี่ยว​กับ​การ​สมรส​ที่​ถูก​กล​ฉ้อฉล​ก็​เช่น​คดี​ของ​ศาล​อุทธรณ์​แห่ง​มสธ รัฐ​นิวยอร์ก จำเลย​หลอก​ลวง​ฉ้อฉล​โจทก์​โดย​การ​ปิดบัง​ข้อ​เท็จ​จริง​ที่​ว่า​จำเลย​เคย​เป็น​ทหาร​ใน​กองทัพ​บก​เยอรมัน ​เป็น​สมาชิก​ของ​พรรค​นาซี​ใน​ระหว่าง​สงครามโลก​ครั้ง​ที่ 2 และ​มี​ความ​เชื่อ​มั่น​อย่าง​รุนแรง​ตาม​แนวคิด​ของ​ฮิต​เลอ​ร์​มสธ ที่​จะ​ต้อง​กำจัด​ชาว​ยิว​ให้​หมด​ไป​จาก​โลก นอกจาก​นี้​จำเลย​ยัง​ต้องการ​ให้​โจทก์​เลิก​คบค้า​สมาคม​กับ​เพื่อน​ชาว​ยิว​ด้วย การ​หลอก​ลวง​ฉ้อฉล​ดัง​กล่าว​ถึง​ขนาด​ที่​หาก​โจทก์​ได้​ทราบ​ข้อ​เท็จ​จริง​เช่น​ว่า​นี้​มา​ก่อน​โจทก์​จะ​ไม่​ยอม​สมรส​ด้วย การ​ สมรส​ระหว่าง​โจทก์​กับ​จำเลย​จึง​เป็นการ​สมรส​เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล13 การ​ที่​จำเลย​ปิดบัง​ฉ้อฉล​โจทก์​เกี่ยว​กับ​การ​ที่​ จำเลย​เป็น​ผู้​ติด​ยา​เสพ​ติด​ให้​โทษ​เฮโรอีน​นั้น หาก​โจทก์​ทราบ​ข้อ​เท็จ​จริง​เช่น​ว่า​นี้​โจทก์​จะ​ไม่​ยอม​สมรส​ด้วย​กับ​จำเลย การ​สมรส​ดัง​กล่าว​จึง​เป็นการ​สมรส​เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล14 คดี​ของ​ศาลสูง​แห่ง​รัฐ​นิวเจอร์ซี่ โจทก์​เป็น​หญิง​นับถือ​ ศาสนา​คริสต์น​ ิกายโ​ร​มัน​คาธอ​ ​ลิก ซึ่ง​ตาม​ความ​เชื่อท​ าง​ศาสนาข​ องโ​จทก์ โจทก์จ​ ะส​ มรส​กับพ​ ่อ​หม้ายม​ ิได้ จำเลยเ​คย​ม​ี ภริยา​มา​แล้ว​แต่ย​ ังม​ า​หลอก​ลวง​โจทก์​ว่าไ​ม่เ​คย​สมรส​มาก​ ่อน เช่น​นี้​การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​กับ​จำเลย​จึง​เป็นการ​สมรส​ เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล15 คดีศ​ าลสูงแ​ ห่งร​ ัฐ​แด​ลาแวร์ จำเลยห​ ลอกล​ วงโ​จทก์​ว่า​จำเลยต​ ั้ง​ครรภ์​กับโ​จทก์ โจทก์ห​ ลงเ​ชื่อ​จึง​ ยอมส​ มรส​กับ​จำเลย ต่อม​ า​ภายห​ ลังจ​ ึงท​ ราบ​ว่า​จำเลยม​ ิได้​ตั้ง​ครรภ์ เช่น​นี้ การ​หลอกล​ วงว​ ่า​มี​ครรภ์​มิได้​เป็นก​ ลฉ​ ้อฉล​ ที่​ถึง​ขนาด​อัน​จะ​ถือ​ได้​ว่า​เป็น​สาระ​สำคัญ​ของ​การ​สมรส โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​โจทก์​มิได้​เอาใจ​ใส่​ที่​จะ​ตรวจ​สอบ​ถึง​การ​ หลอกล​ วง​ดังก​ ล่าว​ตาม​วิสัย​ที่ว​ ิญญูชนจ​ ะ​พึงก​ ระทำ จึงไ​ม่​ถือว่า​เป็นการส​ มรส​เพราะถ​ ูกก​ ล​ฉ้อฉล16 อย่างไร​ก็​ดี หาก​กล​ฉ้อฉล​นั้น​เกิด​ขึ้น​โดย​บุคคล​ภายนอก โดย​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่รู้​เห็น​ด้วย เช่น​นี้ การ​ สมรส​ที่​ได้​กระทำ​โดย​ถูก​กล​ฉ้อฉล​นั้น​ไม่​เป็น​โมฆียะ เช่น หญิง​ยากจน​บิดา​กำลัง​ล้ม​ละลาย มี​บุคคล​ภายนอก​มา​ หลอก​ลวง​ว่า​ชาย​เป็น​คน​ร่ำรวย​จะ​ช่วย​ปลดเปลื้อง​หนี้​สิน​ให้​โดยที่​ชาย​นั้น​ไม่​ได้​รู้​เรื่อง​ถึง​การ​หลอก​ลวง​นั้น ความ​จริง​ แล้ว​ชาย​เป็น​คน​ยากจน​และ​ไม่​ช่วย​เหลือ​ตาม​ที่​รับปาก​ไว้ เช่น​นี้ การ​สมรส​นั้น​ไม่​เป็น​โมฆียะ แต่​การ​สมรส​จะ​เป็น​ โมฆียะ​ต่อเ​มื่อ​ชายน​ ั้น​ได้ร​ ู้เ​ห็นถ​ ึง​การห​ ลอก​ลวง​นั้น​ด้วย การ​ขอ​ให้​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆียะ​เพราะ​เหตุ​ถูก​กล​ฉ้อฉล​นี้ เฉพาะ​แต่​คู่​สมรส​ที่​ถูก​กล​ฉ้อฉล​เท่านั้น ​จึง​จะ​มี​สิทธิ​ขอ​ให้​ศาล​เพิก​ถอน ทั้งนี้​ดัง​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1508 และ​จะ​ต้อง​ใช้​สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เสีย​ ภายในเ​วลา 90 วันน​ ับ​แต่ว​ ัน​ที่ร​ ู้​หรือค​ วร​ได้​รู้ถ​ ึงก​ ล​ฉ้อฉล หรือภ​ ายใน 1 ปีน​ ับ​แต่​วันส​ มรส ถ้า​หากม​ ิได้​รู้​ถึง​กล​ฉ้อฉล น​ ั้น​อัน​เป็นร​ ะยะเ​วลา​ที่​ยาวท​ ี่สุด มิ​ฉะนั้นแ​ ล้วส​ ิทธิ​ดัง​กล่าวเ​ป็น​อัน​ระงับส​ ิ้น​ไป​ตามม​ าตรา 1506 วรรคส​ าม​ที่​บัญญัติว​ ่า “สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล​เป็น​อัน​ระงับ เมื่อ​เวลา​ได้​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว​เก้า​สิบ​วัน นับ​แต่​วัน​ท่ี​รู้​หรือ​ ควร​ได้​รู้​ถึง​กล​ฉ้อฉล หรือ​เมื่อ​เวลา​ได้​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว​หน่ึง​ปี​นับ​แต่​วัน​สมรส” เช่น สมรส​แล้ว​เกิน​หนึ่ง​ปี​จึง​มา​รู้​ถึง​กล​ ฉ้อฉล ดังนี้ จะม​ า​ฟ้องข​ อ​ให้​เพิกถ​ อน​การ​สมรส​ไม่​ได้​แม้จ​ ะ​ยัง​อยู่​ในเ​วลาเ​ก้าส​ ิบ​วัน​นับ​แต่ว​ ันร​ ู้ถ​ ึง​กล​ฉ้อฉล​นั้น​ก็ตาม อทุ าหรณ์ ฎ. 2185/2530 โจทก์ท​ ี่ 1 และจ​ ำเลย​ที่ 1 หมั้น​และท​ ำการส​ มรสก​ ัน​ในว​ ันน​ ั้น​เอง หลัง​จากจ​ ด​ทะเบียนส​ มรส​ แล้ว​จำเลยท​ ี่ 2 ก็ม​ อบตัว​จำเลย​ที่ 1 ให้ไ​ป​อยู่ก​ ิน​กับโ​จทก์​ที่ 1 ทันที โจทก์​ที่ 1 และ​จำเลยท​ ี่ 1 ได้​พาก​ ัน​ไปไ​หว้​พระ​ใน​ ที่​ต่างๆ จนถึง​ตอน​เย็น​ได้​รับ​ประทาน​อาหาร​ด้วย​กัน​แล้ว​จึง​ส่งตัว​เข้า​หอ​โดย​จำเลย​ที่ 1 มิได้​อิด​เอื้อน แต่​จำเลย​ที่ 1 ไม่ย​ อมใ​ห้โ​จทก์​ที่ 1 ร่วม​ประเวณี​ด้วย​เพราะ​เหน็ดเหนื่อย ไม่มี​อารมณ์​ที่​จะ​ร่วม​เพศ ทั้งจ​ ำเลย​ที่ 1 เพิ่งม​ ีอายุ​ได้​เพียง 19 ปี ไม่​เคย​สมรส​มา​ก่อน อาจ​จะ​ยัง​กลัว​ต่อ​การ​ร่วม​ประเวณี​จึง​ได้​ขอ​ผัดผ่อน​ไป​ก็ได้ โจทก์​ที่ 1 จึง​ควร​ให้​โอกาส​ จำเลย​ที่ 1 ได้​ผัดผ่อน​ตาม​ที่​ร้องขอ ไม่​ควร​วู่วาม​เอาแต่​ใจ​ตัว​จะ​ต้อง​ร่วม​ประเวณี​กับ​จำเลย​ที่ 1 ใน​คืน​นั้น​ให้​ได้ การ​ 13 Kober v. Kober (1965) 16 N.Y. 2d 191 14 Costello v. Porzelt (1971) 116 N.J. Sup. 380 15 Jordan v. Jordan (1975) 115 N.H. 545 16 Husband v. Wife (1970) 262 A. 2d 656 มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-19 มสธ ที่​จำเลย​ที่ 1 ไม่​ยอม​ให้​โจทก์​ร่วม​ประเวณี​ดัง​กล่าว​จึง​ยัง​ไม่ใช่​ความ​ผิด​ของ​จำเลย​ที่ 1 และ​จะ​ถือว่า​จำเลย​ทั้ง​สอง​ทำ​มสธ กล​ฉ้อฉล​ไม่​ได้ การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​ที่ 1 กับ​จำเลย​ที่ 1 จึง​ไม่​เป็น​โมฆียะ โจทก์​ไม่มี​สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​และ​เรียก​ แหวนห​ มั้นก​ ับเ​งิน​สินสอด​คืนจ​ ากจ​ ำเลย​ทั้งส​ อง​ได้มสธ (3) การ​สมรส​โดย​ถกู ข​ ่มขู่ มาตรา 1507 “ถ้า​คู่​สมรส​ได้​ทำการ​สมรส​โดย​ถูก​ข่มขู่​อัน​ถึง​ขนาด​ซ่ึง​ถ้า​มิได้​มี​การ​ข่มขู่​น้ัน​จะ​ไม่​ทำการ​สมรส การส​ มรส​นน้ั เ​ป็นโ​มฆยี ะ สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส​เพราะ​ถูก​ข่มขู่​เป็น​อัน​ระงับ ​เม่ือ​เวลา​ได้​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว​หน่ึง​ปี​นับ​แต่​วัน​ที่​พ้น​จาก​ การข​ ม่ ขู”่ การ​สมรส​โดย​ถูก​ข่มขู่ เป็นการ​สมรส​ที่​ได้​ความ​ยินยอม​มา​เพียง​โดย​คำ​พูด มิใช่​โดย​จิตใจ (a yielding of the lips, not of the mind) เพราะ​ความ​เกรง​กลัว​จาก​การ​ถูก​ข่มขู่​มี​อำนาจ​เหนือ​เจตนา​ที่แท้​จริง​ของ​คู่​กรณี การ ​ข่มขู่​ที่​จะ​ทำให้​การ​สมรส​เป็น​โมฆียะ​จะ​ต้อง​ถึง​ขนาด​ซึ่ง​ถ้า​มิได้​มี​การ​ข่มขู่​นั้น​จะ​ไม่​ทำการ​สมรส โดย​ความ​เกรง​กลัว ​จาก​การ​ถูก​ข่มขู่​นี้​จะ​ต้อง​ถึง​ขนาด​ที่​วิญญูชน (person of ordinary prudence) มี​มูล​ที่​จะ​ต้อง​เกรง​กลัว​ว่า​จะ​เกิด อ​ ันตราย​หรือ​ความ​เสีย​หาย จึง​จำ​ต้องท​ ำการ​สมรส​ไป ตัวอย่าง​เช่น ชายค​ ุม​สมัครพ​ รรคพ​ วก​บังคับใ​ห้​หญิง​จด​ทะเบียน​ สมรส​กับ​ตน​โดย​มี​พรรค​พวก​เล็ง​ปืน​จ้อง​อยู่ และ​ขู่​ว่า​ถ้า​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย​จะ​ยิง​เสีย​ให้​ตาย หรือ​จะ​ไป​ยิง​ บิดา​มารดา​หญิง​ให้​ตาย หรือ​บิดา​ของ​หญิง​ถือ​ปืน​สั้น​บรรจุ​กระสุน​พร้อม​ไป​หา​ชาย​พร้อม​กับ​กล่าว​ถ้อยคำ​ว่า “ไอ้​คน​ ระยำ ลูก​ชาติ​หมา​แก​ทำลาย​ลูกสาว​ฉัน ฉัน​จะ​ฆ่า​แก ถ้า​แก​ไม่​ยอม​แต่งงาน​กับ​ลูกสาว​ฉัน” ชาย​มี​ความ​เกรง​กลัว​จึง​ ต้อง​ยอม​ทำการ​สมรส (shotgun marriage) การ​สมรส​เช่น​ว่า​นี้​เป็น​โมฆียะ​เพราะ​ถูก​ข่มขู่ เป็นต้น ​อย่างไร​ก็​ดี​ ความก​ ลัว​เพราะน​ ับถือ​ยำเกรงไ​ม่​นับ​ว่า​เป็นการข​ ่มขู่ เพราะ​ฉะนั้น​หาก​มี​กรณี​ชาย​หญิง​สมรสก​ ัน​โดย​ถูก​พ่อ​แม่​ของ​ตน​ บังคับ จะ​นับ​ว่า​เป็นการ​ข่มขู่​ที่​ทำให้​การ​สมรส​เป็น​โมฆียะ​ไม่​ได้ นอกจาก​นี้​การ​ขู่​ว่า​จะ​ใช้​สิทธิ​อัน​ใด​อัน​หนึ่ง​ตาม​ปกติ​ นิยม​ก็​ไม่​ถือว่า​เป็นการ​ข่มขู่ เช่น ข้าราชการช​ าย​ลักลอบไ​ด้​เสียก​ ับห​ ญิงจ​ นห​ ญิง​ตั้งค​ รรภ์ บิดา​มารดาห​ ญิง​จึงข​ ู่​ว่า หาก​ หญิง​คลอด​บุตร​ออก​มา​แล้ว​จะ​นำ​คดี​ขึ้น​ฟ้อง​ต่อ​ศาล​เพื่อ​ให้​ศาล​พิพากษา​ว่า​เป็น​บุตร​ชาย​ก็​ดี หรือ​ขู่​ว่า​จะ​ร้อง​เรียน​ ผู้​บังคับ​บัญชา​ของ​ชาย​ก็​ดี เหล่า​นี้​เป็นการ​ขู่​ว่า​จะ​ใช้​สิทธิ​ตาม​ปกติ​นิยม​ไม่​ถือว่า​เป็นการ​ข่มขู่ การ​สมรส​จึง​ไม่​เป็น​ โมฆียะ อย่างไร​ก็​ดี การ​ข่มขู่​นั้น​จะ​ต้อง​ถึง​ขนาด​ที่​จะ​จูงใจ​ผู้​ถูก​ข่มขู่​ให้​มี​มูล​ต้อง​กลัว​ว่า​จะ​เกิด​ความ​เสีย​หาย​เป็น​ภัย​ แก่​ตัว​เอง แก่​ชื่อ​เสียง วงศ์​สกุล​แห่ง​ตน หรือ​ทรัพย์สิน​ของ​ตน​และ​เป็น​ภัย​ใกล้​จะ​ถึง​ด้วย (a threat of immedi- ate danger to “life, limb or liberty”) ฉะนั้น การท​ ี่​หญิง​ขู่​ว่า​หากช​ าย​ไม่​ยอมส​ มรส​ด้วย​หญิง​จะฆ​ ่าต​ นเอง​ให้​ตาย ชายส​ งสารจ​ ึง​สมรสด​ ้วย เช่นน​ ี้ ไม่​เป็นการ​ข่มขู่ การ​สมรสไ​ม่​เป็น​โมฆียะ อนึ่ง แม้​บุคคล​ภายนอกจ​ ะ​เป็นผ​ ู้ข​ ่มขู่​ก็​ทำให​้ การ​สมรส​ตก​เป็น​โมฆียะ​ได้​เช่น​กัน เช่น เพื่อน​ของ​หญิง​ขู่​ให้​ชาย​สมรส​กับ​หญิง มิ​ฉะนั้น​จะ​ฆ่า​ชาย​ให้​ตาย หาก​ชาย ​เกรง​กลัว​ทำการ​สมรส​ไป การ​สมรส​ก็​เป็น​โมฆียะ ซึ่ง​แตก​ต่าง​จาก​กรณี​กล​ฉ้อฉล​ที่​ถ้า​หาก​กล​ฉ้อฉล​เกิด​ขึ้น​โดย​บุคคล​ ภายนอก โดย​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่รู้​เห็น​ด้วย​แล้ว การ​สมรส​ที่​ได้​กระทำ​เพราะ​ถูก​กล​ฉ้อฉล​ดัง​กล่าว​ไม่​เป็น​โมฆียะ​ แต่​อย่าง​ใด ใน​การ​ขอ​ให้​ศาล​เพิก​ถอน​การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆียะ​เพราะ​ถูก​ข่มขู่​นั้น เฉพาะ​แต่​คู่​สมรส​ที่​ถูก​ข่มขู่​เท่านั้น ที่​จะ​ มี​สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​การ​สมรส ทั้งนี้​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1508 และ​จะ​ต้อง​ใช้​สิทธิ​ขอ​เพิก​ถอน​เสีย​ภายใน​ระยะ​ เวลา 1 ปี​นับแ​ ต่ว​ ัน​พ้นจ​ าก​การข​ ่มขู่ มิ​ฉะนั้นส​ ิทธิ​ดังก​ ล่าวเ​ป็นอ​ ัน​ระงับ​สิ้น​ไป คู่​สมรสฝ​ ่ายท​ ี่มา​ข่มขู่ไ​ม่มี​สิทธิฟ​ ้อง​ขอ​ให้​ ศาล​เพิก​ถอน​การ​สมรส นอกจาก​นี้​คู่​สมรส​หรือ​บุคคล​ภายนอก​ที่​เป็น​ผู้​ข่มขู่​ยัง​อาจ​มี​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ใน​ความ​ผิด ​ต่อ​เสรีภาพ​ตาม​ประมวล​กฎหมาย​อาญา​ด้วย ใน​ต่าง​ประเทศ เช่น ประเทศ​มาเลเซีย การ​ข่มขู่​ให้​ทำการ​สมรส​เป็น​ มสธ มส

มส 2-20 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ฐาน​หนึ่ง​โดย​เฉพาะ ต้อง​ระวาง​โทษจำ​คุก​ไม่​เกิน​สาม​ปี หรือ​ปรับ​ไม่​เกิน​สาม​พัน​เหรียญ หรือ​ทั้ง​จำ​มสธ ทั้ง​ปรับ17 มสธ อทุ าหรณ์ ฎ. 1776/2522 ชาย​มี​ปืน​ขู่​พา​หญิง​ไป​ร่วม​ประเวณี​และ​จด​ทะเบียน​สมรส หญิง​เพิก​ถอน​ได้ การ​ฟ้อง​คดี​เป็น การบ​ อกล​ ้าง​โมฆียก​ รรมไ​ปใ​น​ตัว ฎ. 6868/2542 พฤติการณ์​ที่​โจทก์​ถูก​จำเลย​ใช้​กำลัง​ข่มขู่​บังคับ​จาก​จังหวัด​สมุทรปราการ​ให้​จำ​ต้อง​มา​ที่​ จังหวัด​ฉะเชิงเทรา ต้อง​ถูก​ควบคุม​ตัว​อยู่​ตลอด​เวลา 12 วัน และ​ถูก​ล่วง​ละเมิด​ทาง​เพศ แม้​ขณะ​จด​ทะเบียน​สมรส​ ก็​ยัง​อยู่​ใน​ความ​ควบคุม​ของ​จำเลย​เช่น​นี้ โจทก์​เพียง​ลำพัง​ย่อม​ต้อง​เกรง​กลัว​การ​บังคับ​และ​คำ​ขู่​ของ​จำเลย​ที่​ว่า​จะ​ไม่​ พา​โจทก์​กลับ​บ้าน​จะ​ทำร้าย​ร่างกาย​พา​โจทก์​ไป​อยู่​ใน​ป่า​หาก​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​จำเลย วิญญูชน​ที่​ตก​อยู่​ใน ​ภาว​การณ์​เช่น​นี้​ย่อม​มี​มูล​ต้อง​เกรง​กลัว​ว่า​จะ​เกิด​อันตราย​ต่อ​ร่างกาย​และ​เสรีภาพ​ของ​ตน​หาก​ไม่​ยินยอม​ปฏิบัติ​ตน ​ตามค​ ำ​ข่มขู่เ​ช่นเ​ดียว​กับ​โจทก์ การส​ มรสร​ ะหว่างโ​จทก์ก​ ับ​จำเลย​จึง​เป็นการส​ มรสโ​ดยถ​ ูก​ข่มขู่​อัน​ถึง​ขนาด​ซึ่ง​ถ้า​มิได้​มี​ การ​ข่มขู่น​ ั้นโ​จทก์จ​ ะไ​ม่ท​ ำการ​สมรส​กับ​จำเลย การส​ มรสจ​ ึงเ​ป็น​โมฆียะ​ตาม ปพพ. มาตรา 1507 วรรคห​ นึ่ง กิจกรรม 2.1.2 1. นาย​สม​พงษ์​ลักลอบ​ได้​เสีย​กับ​นางสาว​ชู​ศรี​จน​นางสาว​ชู​ศรี​ต้ัง​ครรภ์ นางสาว​ชู​ศรี​รบเร้า​ให้​พา​ไป​ จดท​ ะเบยี นส​ มรส นายส​ มพ​ งษก​์ บ​็ า่ ยเ​บย่ี งพ​ ยายามห​ าท​ างห​ ลบห​ นา้ แตน​่ างสาวช​ ศ​ู รไ​ี มล​่ ะค​ วามพ​ ยายามไ​ดต​้ ดิ ตาม​ เฝา้ น​ ายส​ มพ​ งษอ​์ ยต​ู่ ลอดเ​วลา นายส​ มพ​ งษค​์ ดิ ห​ าท​ างใ​หน​้ างสาวช​ ศ​ู รเ​ี ลกิ ราไ​ปจ​ ากต​ น จงึ ไ​ดว​้ า่ จ​ า้ งน​ างสาวม​ ยรุ ฉตั ร​ ให้​แกล้ง​ทำตัว​เป็น​ภริยา​และ​เพื่อ​ให้​ดู​สมจริง​ได้​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​เพ่ือ​จะ​เอา​ใบ​ทะเบียน​สมรส​ไป​แสดง​ต่อ​ นางสาว​ชู​ศรี โดย​นาย​สม​พงษ​์และ​นางสาว​มยุรฉัตร​มิได้​มี​เจตนา​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​แต​่อย่าง​ใด หลัง​จาก​นางสาว​ ชู​ศรี​เลิกรา​จาก​ไป​แล้ว นาย​สม​พงษ์​ต้องการ​ท่ี​จะ​เพิก​ถอน​ทะเบียน​สมรส​ท่ี​ทำ​ไว้​กับ​นาง​สาว​ม​ยุ​ฉัตร จึง​มา​ปรึกษา​ ท่านว​ า่ จ​ ะ​มช​ี ่อง​ทาง​ทำได้​หรือ​ไม่ จงแ​ นะนำน​ ายส​ ม​พงษ์ 2. นายส​ รุ ช​ ยั พ​ นกั งานข​ บั ร​ ถยนตข​์ องผ​ อ​ู้ ำนวยก​ ารโ​รงพ​ ยาบาลเ​ปาล​ นั ขบั ร​ ถต​ ดิ ต​ ราโ​รงพ​ ยาบาลไ​ปจ​ อด​ ทหี่​ น้า​บา้ นน​ างส​ าวพ​ ​ลิ าศ​ ​ลักษณ์ ทกั ทายพ​ ูด​คยุ ​กบั ​ประชาชน​แถว​น้นั ​วา่ ​ตน​ทำงาน​อยท่​ู ​ีโ่ รงพ​ ยาบาล​เปา​ลนั พรอ้ ม​ ทั้ง​เล่า​เรื่อง​เก่ียว​กับ​งาน​ของ​โรง​พยาบาล และ​การ​รักษา​โรค​ภัย​ไข้​เจ็บ​ต่างๆ นาง​สาว​พิ​ลา​ศ​ลักษณ์​เข้าใจ​ว่า​นาย​สุร​ ชยั เ​ปน็ ผ​ อ​ู้ ำนวยก​ ารโ​รงพ​ ยาบาลเ​ปาล​ นั จ​ งึ ย​ อมจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสด​ ว้ ยก​ บั น​ ายส​ รุ ช​ ยั ตอ่ ม​ าภ​ ายห​ ลงั ท​ ราบค​ วามจ​ รงิ ​ และ​ประสงคจ์​ ะ​เลกิ ก​ าร​เป็นส​ าม​ีภรยิ า​กับ​นายส​ ุรช​ ัย เช่น​นี้ จงแ​ นะนำน​ าง​สาวพ​ ​ิลาศ​ ​ลักษณ์ 3. นางสาวก​ ตญั ญป​ู ระกาศห​ าค​ ใ​ู่ นห​ นงั สอื พมิ พไ​์ ทยส​ ยาม คอลมั น์ “ลงุ ห​ นวด” วา่ เศรษฐคี​ นใ​ดส​ ามารถ​ ปลดเปลื้อง​หนี้​สิน​ของ​บิดา​ตน​ซึ่ง​มี​หน้ี​สิน​อยู่ 50,000 บาท​ได้ ตนเอง​จะ​ยินยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย นาย​ ประกาศติ พ​ บน​ างส​ าว​ กตญั ญแ​ ละแ​ อบอ​ า้ งต​ นว​ า่ เ​ปน็ เ​ศรษฐี ทง้ั ร​ บั ว​ า่ จ​ ะช​ ว่ ยช​ ำระห​ นแ​ี้ ทนบ​ ดิ าใ​ห้ นางสาวก​ ตญั ญ​ู หลงเ​ชอ่ื จ​ งึ ย​ อมท​ ำการส​ มรสด​ ว้ ย ภายห​ ลงั ป​ รากฏว​ า่ น​ ายป​ ระกาศติ ม​ ฐ​ี านะย​ ากจน และไ​มม่ เ​ี งนิ ท​ จ​ี่ ะช​ ำระห​ นแ​ี้ ทน​ ให​้ได้ ดังนี้ นางสาวก​ ตญั ญ​ูจะ​มที​ าง​บอก​เลิกเ​พิกถ​ อนก​ าร​สมรสไ​ด้​หรอื ไ​ม่ 17 Section 37, The Law Reform (marriage and Divorce) Act 1976. มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-21 4. นาย​เดน่ ​กับ​นางสาว​ราตร​ีลักลอบ​ได้​เสยี ​กัน​มา​นาน​แลว้ แต่​นาย​เดน่ ​ยงั ​ไม่​ยอม​จด​ทะเบยี น​สมรส​ด้วย นางสาวร​ าตรจี​ งึ ​ยื่นค​ ำขาดต​ ่อ​นายเ​ดน่ ​ว่า (1) หากน​ ายเ​ด่น​ไม่ย​ อมจ​ ด​ทะเบียนส​ มรสก​ บั ต​ น​แลว้ ตน​จะ​ฆา่ ​ตวั ​ตาย​ภายใน 3 วัน​ก​็ดี หรือ (2) หากน​ ายเ​ดน่ ไ​มย​่ อมจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสก​ บั ต​ นแ​ ลว้ ตนจ​ ะใ​หน​้ ายโ​พธน​ิ อ้ งช​ ายซ​ ง่ึ ข​ ณะน​ เ​้ี ปน็ น​ กั โทษอ​ ย​ู่ ในค​ ุก อีก 2 ป​ีจะ​พน้ โ​ทษ เมอ่ื พ​ น้ โ​ทษม​ าแ​ ล้วจ​ ะ​ให​้มา​ยงิ น​ าย​เดน่ ใ​ห​้ตาย​ทันที ก็​ดี หรอื (3) หาก​นายเ​ด่นไ​มย​่ อมจ​ ด​ทะเบยี นส​ มรส​กับต​ นแ​ ลว้ ตน​จะไ​มย่​ อมห​ ลับน​ อน​กบั ​นาย​เด่น​อีก กด็​ ี นายเ​ดน่ ม​ ีค​ วามเ​กรงก​ ลวั ​ตามค​ ำข​ ู่ จงึ ท​ ำการ​สมรสก​ ับ​นางสาวร​ าตรี ดังนี้ การ​สมรสท​ ีไ​่ ด​ก้ ระทำ​เพราะค​ ำข​ ู่ (1) (2) หรือ (3) ดังก​ ลา่ วม​ ​ีผล​สมบรู ณเ​์ พยี ง​ใด หรือไ​ม่ แนว​ตอบก​ จิ กรรม 2.1.2 1. การส​ มรสร​ ะหวา่ งน​ ายส​ มพ​ งษก​์ บั น​ างสาวม​ ยรุ ฉตั รเ​ปน็ โ​มฆะเ​พราะบ​ คุ คลท​ ง้ั ส​ องม​ ไิ ดย​้ นิ ยอมส​ มรส​ กนั เปน็ การฝ​ า่ ฝนื ​มาตรา 1458 นายส​ ม​พงษจ​์ งึ ​อาจ​ขอใ​ห​ศ้ าลม​ ​คี ำ​พพิ ากษา​แสดงว​ า่ การ​สมรสด​ งั ก​ ลา่ ว​เปน็ ​โมฆะไ​ด้ 2. การส​ มรสร​ ะหวา่ งน​ ายส​ รุ ช​ ยั ก​ บั น​ างส​ าวพ​ ล​ิ าศ​ ล​ กั ษณส​์ มบรู ณ์ ไมเ​่ ปน็ โ​มฆยี ะ เพราะม​ ไิ ดส​้ ำคญั ผ​ ดิ ต​ วั ​ คส​ู่ มรสต​ ามม​ าตรา 1505 แตเ​่ ปน็ การส​ ำคญั ผ​ ดิ ใ​นฐ​ านะข​ องน​ ายส​ รุ ช​ ยั นางส​ าวพ​ ล​ิ าศ​ ล​ กั ษณจ​์ งึ ไ​มม่ ส​ี ทิ ธข​ิ อใ​หศ​้ าล​ เพิก​ถอน​การส​ มรส​ได้ 3. การ​สมรสร​ ะหวา่ ง​นางสาวก​ ตญั ญู กบั ​นาย​ประกาศิต เป็น​โมฆียะ ตามม​ าตรา 1506 เพราะ​นางสาว​ กตญั ญถ​ู กู ก​ ลฉ​ อ้ ฉลห​ ลอกล​ วงถ​ งึ ข​ นาด ซง่ึ ถ​ า้ ม​ ไิ ดม​้ ก​ี ลฉ​ อ้ ฉลน​ น้ั จ​ ะไ​มท​่ ำการส​ มรส นางสาวก​ ตญั ญจ​ู งึ ม​ ส​ี ทิ ธท​ิ จ​่ี ะ​ ขอใ​ห​้ศาล​เพิก​ถอนก​ าร​สมรสน​ ี้​ได้ 4. การส​ มรสท​ ก​่ี ระทำเ​พราะถ​ กู ข​ ม่ ขท​ู่ จ​่ี ะท​ ำใหก​้ ารส​ มรสเ​ปน็ โ​มฆยี ะน​ น้ั ต​ อ้ งเ​ปน็ ข​ ม่ ขอ​ู่ นั ถ​ งึ ข​ นาดซ​ ง่ึ ถ​ า้ ​ มไิ ด้​มี​การข​ ่มข​ู่นั้นจ​ ะ​ไมท​่ ำการส​ มรส (ตามม​ าตรา 1507) และก​ าร​ข่มขต่​ู ้องถ​ งึ ข​ นาด​ทจ​่ี ะ​จงู ใจใ​ห​้ผถู้​ กู ข​ ่มขใ​ู่ ห้​มี​มูล​ ตอ้ งก​ ลวั จ​ ะเ​กดิ ค​ วามเ​สยี ห​ ายเ​ปน็ ภ​ ยั แ​ กต​่ นเอง แกส​่ กลุ แ​ หง่ ต​ นห​ รอื แ​ กท​่ รพั ยส์ นิ ข​ องต​ น เปน็ ภ​ ยั อ​ นั ใ​กลจ​้ ะถ​ งึ และ​ อยา่ ง​นอ้ ย​รา้ ยแ​ รง​เทา่ กับ​ที่จ​ ะ​พึง​กลวั ​ต่อก​ าร​อนั ​เขา​กรรโชกเ​อา​นน้ั ต​ าม ปพพ. ​มาตรา 126 และ​การข​ ูว่​ ่าจ​ ะใ​ช้​สิทธ​ิ อนั ใ​ดอ​ นั ห​ นง่ึ ต​ ามป​ กตน​ิ ยิ มก​ ด​็ ี เพยี งแ​ ตค​่ วามก​ ลวั เ​พราะน​ บั ถอื ย​ ำเกรงก​ ด​็ ี ทา่ นห​ าจ​ ดั ว​ า่ เ​ปน็ การข​ ม่ ขไ​ู่ มต​่ าม​ปพพ. มาตรา 127 ดัง​นั้น (1) จะ​ฆา่ ต​ วั ​ตายภ​ ายใน 3 วนั สมบูรณ​เ์ พราะ​มไิ ด​ข้ ว​ู่ า่ จ​ ะ​ทำร้าย​ผ​ู้ถกู ข​ ่มขู่ (2) จะ​ฆา่ ใ​ห้​ตายอ​ กี 2 ป​ีข้าง​หนา้ สมบรู ณ​เ์ พราะ​มไิ ด​้ขวู​่ ่า​จะท​ ำร้าย​ในท​ ันที (3) จะ​ไม่​ยอม​หลับ​นอน​ด้วย สมบูรณ​์เพราะ​มิได้​ขู่​ว่า​จะ​ทำร้าย​หรือ​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เสีย​หาย​แก่​ตน​ หรือ​ทรพั ยส์ ิน​อย่างใ​ด มสธ มสธ มสธ มสธ มส

มส 2-22 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรื่องท​ ่ี 2.1.3มสธ กรณี​เกยี่ ว​กับศ​ ลี ​ธรรมแ​ ละ​สงั คม มสธ ใน​การ​ที่​ชาย​และ​หญิง​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​นั้น​นอกจาก​จะ​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​เงื่อนไข​ที่​เกี่ยว​กับ​ความ​สามารถ และ​ความ​ยินยอม​ใน​การ​สมรส​ตาม​ที่​กล่าว​มา​ใน​เรื่อง​ที่ 2.1.1 ความ​สามารถ​ใน​การ​สมรส​และ​เรื่อง​ที่ 2.1.2 ความ​ ยินยอมใ​นก​ าร​สมรส​แล้ว กฎหมาย​ยังก​ ำหนด​เงื่อนไข​ที่เ​กี่ยว​กับศ​ ีล​ธรรม​และ​สังคมอ​ ีก 3 ประการ ดังต​ ่อ​ไปน​ ี้ มาตรา 1450 “ชาย​หญิง​ซึ่ง​เป็น​ญาติ​สืบ​สา​โลหิต18 โดยตรง​ขึ้น​ไป​หรือ​ลง​มา​ก็​ดี เป็น​พี่​น้อง​ร่วม​บิดา​มารดา​ หรอื ​ร่วม​แต​บ่ ิดา​หรือ​มารดาก​ ​็ดี จะท​ ำการ​สมรส​กนั ไ​ม่​ได้ ความ​เปน็ ​ญาติ​ดังก​ ลา่ ว​มาน​ ี​้ให​ถ้ ือ​ตามส​ าโ​ลหิต โดยไ​ม่​คำนงึ ​วา่ ​ จะเ​ป็น​ญาต​โิ ดย​ชอบด​ ว้ ยก​ ฎหมายห​ รอื ไ​ม”่ มาตรา 1451 “ผรู้ บั บ​ ุตร​บญุ ธรรมแ​ ละ​บุตรบ​ ุญธรรมจ​ ะ​สมรส​กัน​ไม่ไ​ด้” มาตรา 1452 “ชาย​หรือ​หญงิ จ​ ะท​ ำการส​ มรส​ในข​ ณะท​ ่ีต​ นม​ ค​ี ​่สู มรสอ​ ยไ​ู่ ม​่ได้” 1. ญาต​ิสืบสายโ​ลหติ ​หรอื พ​ ​่ีนอ้ ง​รว่ มบ​ ิดาห​ รือม​ ารดา​จะ​สมรส​กัน​ไม่​ได้ มาตรา 1450 บัญญัติ​ว่า “ชาย​หญิง​ซ่ึง​เป็น​ญาติ​สืบ​สา​โลหิต​โดยตรง​ขึ้น​ไป​หรือ​ลง​มา​ก็​ดี เป็น​พ่ี​น้อง​ร่วม​บิดา​ มารดา​หรือ​ร่วม​แต่​บิดา​หรือ​มารดา​ก็​ดี จะ​ทำการ​สมรส​กัน​ไม่​ได้ ความ​เป็น​ญาติ​ดัง​กล่าว​มา​น้ี​ให้​ถือ​ตาม​สา​โลหิต โดย​ไม่​ คำนงึ ว​ ่าจ​ ะ​เปน็ ญ​ าติโ​ดยช​ อบด​ ้วย​กฎหมายห​ รือไ​ม่” มาตรา 1450 บัญญัติ​ห้าม​ชาย​หญิง​ซึ่ง​เป็น​ญาติ​สืบสาย​โลหิต​โดยตรง​ขึ้น​ไป หรือ​ลง​มา​ก็​ดี เป็น​พี่​น้อง​ร่วม​ บิดา​มารดา​หรือ​ร่วม​แต่​บิดา​หรือ​มารดา​ก็​ดี ทำการ​สมรส​กันเอง ความ​เป็น​ญาติ​ดัง​กล่าว​มา​นี้​ให้​ถือ​ตาม​สาย​โลหิต โดย​ไม่​คำนึง​ว่า​จะ​เป็น​ญาติ​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​หรือ​ไม่ การ​ที่​กฎหมาย​กำหนด​เงื่อนไข​นี้​ก็​ด้วย​มี​เหตุผล​ใน​ทาง​ แพทย์ท​ ี่​จะท​ ำให้​บุตรท​ ี่เ​กิด​มาจ​ ากก​ ารส​ มรสด​ ังก​ ล่าวเ​ป็นโ​รคป​ ัญญาอ่อนห​ รือม​ ี​สุขภาพ​ไม่แ​ ข็ง​แรง เพราะ​บุคคล​เหล่านี​้ มี​ยีน​ส์ (genes) ที่​เหมือน​กัน​มาก​เกิน​ไป เช่น บิดา​กับ​บุตร​สาว​มี​จีน​ส์​ที่​เหมือน​กัน​ถึง​ครึ่ง​หนี่​ง ปู่​และ​ตา​กับ​หลาน​สาว​ มี​ยีน​ส์​ที่​เหมือน​กัน​หนึ่ง​ใน​สี่​เป็นต้น นอกจาก​นี้​ยัง​มี​เหตุผล​ใน​ทาง​ศีล​ธรรม​ประกอบ​ด้วย เพราะ​การ​ที่​ญาติ​สืบสาย ​โลหิต​หรือ​พี่​น้อง​ร่วม​บิดา​มารดา​สมรส​กัน​ย่อม​จะ​กระทบ​กระเทือน​ความ​รู้สึก​ของ​สังคม​ใน​ทาง​ศีล​ธรรม เป็น​ข้อ​ห้าม​ ทาง​สังคม (social taboos) ที่​เป็น​สากล​ซึ่ง​ยอมรับ​กัน​ทั่ว​โลก ตาม​กฎหมาย​โบราณ​ถือว่า​เป็นการ​อุบาทว์​จัญไร น้ำ​ฟ้า​น้ำ​ฝน​จะ​ไม่​ตก​เป็น​ประโยชน์​แก่​คน​ทั้ง​หลาย กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​บท​ที่ 36 ถึง​กับ​บัญญัติ​ว่า “พ่อ แม่ พี่ น้อง ยาย หลาน ลุง น้า หลาน​ทำ​ชู้​กัน​ไซร้ ท่าน​ว่า​ละเมิด​ให้​ลงโทษ​ตาม​โทษานุโทษ” ใน​ต่าง​ประเทศ เช่น สหรัฐ- อเมริกา มลรัฐ​นิวยอร์ค​และ​มลรัฐ​โอ​คลา​โฮ​มา​เป็น​อาทิ ได้​มี​กฎหมาย​ห้าม​บุพการี และ​ผู้​สืบ​สันดาน พี่​น้อง​ร่วม​บิดา​ มารดา​หรือ​ร่วม​แต่​บิดา​หรือ​มารดา ลุง​กับ​หลาน​สาว และ​ป้า​กับ​หลาน​ชาย​สมรส​กัน การ​สมรส​ของ​บุคคล​ดัง​กล่าว​เป็น​ โมฆะ19 นอกจากก​ ฎหมายต​ ่างป​ ระเทศจ​ ะห​ ้ามม​ ใ​ิ หบ้​ ุคคลท​ ีเ่​ป็นญ​ าตส​ิ ืบสายโ​ลหิตต​ ่อก​ นั ส​ มรสก​ ันแ​ ลว้ ก​ ารร​ ว่ มป​ ระเวณ​ี กัน​ระหว่าง​บิดาก​ ับบ​ ุตร​สาว หลานส​ าว หรือ​น้องส​ าว​ยังเ​ป็น​ความผ​ ิด​ตาม​อาญาท​ ี่​เรียก​ว่า “incest” อีก​ด้วย กฎหมาย​ อิสลาม​เกี่ยว​กับ​ครอบครัว พระ​มหา​คัมภีร์​อัล​กุ​รอาน บท​ที่ 4 โองการ​ที่ 23 ก็ได้​มี​การ​บัญญัติ​บุคคล​ที่​ถูก​ห้าม​มิ​ให้​ ทำการ​สมรสไ​ว้​คือ ห้ามช​ าย​มิ​ให้ส​ มรสก​ ับห​ ญิงด​ ังต​ ่อไ​ป​นี้ 18 “สา​โลหิต” เป็นค​ ำท​ ี่​ใช้ใ​น​สมัยโ​บราณ ปัจจุบัน​นิยม​ใช้​ว่า “สายโ​ลหิต” 19 Section 5, New York Domestic Relation Law ; Section 2, Titla 43-2, Oklahoma Statutes. มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-23 มสธ 1. แม่ต​ ัว แม่เ​ลี้ยงห​ รือ​แม่นม แม่ยายมสธ 2. พี่ส​ าว น้องส​ าว ลูกสาว 3. ป้า น้า อา หลานมสธ 4. พี่ส​ าว​เลี้ยง หรือน​ ้องส​ าว​เลี้ยง 5. บุตรส​ ะใภ้ ลูกเ​ลี้ยง 6. พี่ส​ าว​หรือน​ ้องส​ าว​คราว​เดียวกันส​ อง​คน ฐานะ​ความ​เป็น​ญาติ​ใน​ทาง​สืบสาย​โลหิต (consanguinity) ที่​กฎหมาย​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​กัน​นี้​ก็​คือ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูก หลาน (ลูก​ของ​ลูก) เหลน (ลูก​ของ​หลาน) พี่ น้อง ซึ่ง​สำหรับ​พี่​น้อง​นี้​แม้​จะ​ร่วม​แต่​บิดา​ หรือ​มารดา​เพียง​ฝ่าย​เดียว​ก็​ห้าม​มิ​ให้​สมรส​กัน หาก​ญาติ​ทาง​สาย​โลหิต​ดัง​กล่าว​ฝ่าฝืน​ทำการ​สมรส​กัน การ​สมรส ​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆะ​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1495 และ​ศาล​เท่านั้น​จะ​พิพากษา​ว่าการ​สมรส​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆะ​ตาม​ มาตรา 1496 “คำ​พิพากษา​ของ​ศาล​เท่านั้น​ที่​จะ​แสดง​ว่าการ​สมรส​ที่​ฝ่าฝืน​มาตรา 1449 มาตรา 1450 และ​มาตรา​ 1458 เปน็ ​โมฆะ” คู่​สมรส บิดา​มารดา หรือ​ผู้​สืบ​สันดาน​ของ​คู่​สมรส​อาจ​ร้องขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ว่าการ​สมรส​เป็น​โมฆะ​ได้ ถ้า ​ไม่มี​บุคคล​ดัง​กล่าว ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​จะ​ร้องขอ​ให้​อัยการ​เป็น​ผู้​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ก็ได้ ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​คือ คู่​สมรส บิดา มารดา หรือ​ผู้​สืบ​สันดาน​ของ​คู่​สมรส​มี​สิทธิ​นำ​คดี​มา​ฟ้อง​ศาล​ขอ​ให้​มี​คำ​พิพากษา​แสดง​ว่าการ​สมรส​นั้น​เป็น​โมฆะ​ได้ สำหรับ​ฐานะ​ความ​เป็น​ญาติ​ที่​กฎหมาย​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​กัน​นี้​ให้​ถือ​ตาม​ความ​เป็น​จริง เช่น บิดา​กับ​บุตร​สาว​นอก​ กฎหมาย​แม้​จะ​ไม่ใช่​ญาติ​กัน​ตาม​กฎหมาย​แต่​ก็​เป็น​ญาติ​ตาม​ความ​เป็น​จริง จึง​ทำการ​สมรส​กัน​ไม่​ได้ บุตร​บุญธรรม​ ถือว่า​ยัง​เป็น​ญาติ​สืบสาย​โลหิต​ของ​บิดา​มารดา​โดย​กำเนิด​อยู่​เสมือน​เช่น​ก่อน​มี​การ​รับ​บุตร​บุญธรรม ฉะนั้น พี่​ชาย​ และ​น้อง​สาว​ร่วม​แต่​มารดา​เดียวกัน แม้​มารดา​จะ​ยก​พี่​ชาย​ให้​เป็น​บุตร​บุญธรรม​ของ​บุคคล​อื่น​ตั้งแต่​ยัง​แบเบาะ​อยู่​ ก็ตาม เมื่อ​โต​ขึ้น​มา​พี่​ชาย​และ​น้อง​สาว​คู่​นี้​ก็​สมรส​กัน​ไม่​ได้ อย่างไร​ก็​ดี ลุง ป้า น้า อา ลูก​ของ​ลุง ป้า น้า อา เหล่า​นี้​ ไม่ใช่ญ​ าติส​ ืบสายโ​ลหิต​โดยตรง กฎหมายจ​ ึง​มิได้ห​ ้ามไ​ม่​ให้​ทำการ​สมรสก​ ัน และ​เท่าท​ ี่​เป็นอ​ ยู่​ในเ​วลาน​ ี้​ก็​มี​กันอ​ ยู่​บ่อย​ ไปท​ ี่​อา​ทำการ​สมรส​กับ​หลาน เช่น ในน​ ิยายเ​รื่องส​ ลักจ​ ิต ที่อ​ า​เดียวแ​ ต่งงานก​ ับ​หลานจ​ อย เป็นต้น นอกจาก​นี้​การเ​ป็น ​ญาติ​โดย​การ​สมรส (affinity) หรือ​การ​เป็น​ญาติ​โดย​การ​จด​ทะเบียน​รับ​บุตร​บุญธรรม (adoption) ก็​มิใช่​ญาติ​สืบ- สาย​โลหิต​โดยตรง กฎหมาย​จึง​ไม่​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​กัน เช่น บุตร​ชาย​ที่​เกิด​จาก​ภริยา​เดิม แม้​จะ​มี​ศักดิ์​เป็น​บุตร​ ของ​ภริยา​ใหม่​ของ​บิดา​ก็ตาม แต่​หาก​บิดา​ถึงแก่​ความ​ตาย​บุตร​ชาย​จะ​สมรส​กับ​ภริยา​ใหม่​ของ​บิดา​ก็ได้ หรือ​บุตร​ บุญธรรม​ที่​เป็น​ชาย​จะ​สมรส​กับ​บุตร​สาว​ของ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​ก็ได้ หรือ​ชาย​สมรส​กับ​หญิง​หม้าย​ที่​มี​บุตร​สาว​ติด​มา​ ด้วย​เมื่อ​ได้​ขาด​จาก​การ​สมรส​กับ​หญิง​หม้าย​แล้ว​จะ​สมรส​กับ​บุตร​สาว​เช่น​ว่า​นั้น​ก็ได้ แต่​ใน​ต่าง​ประเทศ เช่น ประเทศ​ อินโดนีเซีย​กฎหมาย​ห้าม​ญาติ​โดย​การ​สมรส​ทำการ​สมรส​กัน อาทิ​ห้าม​บิดา​กับ​บุตร​สาว​ที่​ติด​มา​กับ​ภริยา​ใหม่​ทำการ​ สมรส​กัน20 เป็นต้น อทุ าหรณ์ ฎ. 272/2488 ชาย​หญิง​ที่​เป็น​พี่​น้อง​ร่วม​แต่​บิดา​หรือ​ร่วม​แต่​มารดา​เดียวกัน สมรส​กัน​ก่อน​ใช้​บรรพ 5 ย่อม​ เป็นส​ ามี​ภริยา​กันไ​ด้ 2. ผรู้ บั ​บุตรบ​ ญุ ธรรม​และ​บตุ ร​บญุ ธรรม​จะ​สมรส​กนั ​ไมไ​่ ด้ การร​ ับ​บุตร​บุญธรรมน​ ั้นม​ าตรา 1598/19 กำหนดเ​งื่อนไขไ​ว้​ว่าผ​ ู้รับ​บุตรบ​ ุญธรรมจ​ ะต​ ้อง​อายุ​ไม่​ต่ำ​กว่า 25 ปี และ​จะ​ต้อง​มีอายุ​แก่​กว่า​ผู้​ที่​จะ​เป็น​บุตร​บุญธรรม​อย่าง​น้อย 15 ปี ทั้ง​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​รับ​บุตร​บุญธรรม​ด้วย​ 20 Article 8, Law of the Republic of Indonesia Number I of the Year 1974 on Marriage มสธ มส

มส 2-24 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ จึง​จะ​สมบูรณ์ ทั้งนี้​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1598/27 แต่​มาตรา 1451 บัญญัติ​ว่า​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​และ​บุตร​มสธ บุญธรรม​จะ​สมรส​กัน​ไม่​ได้ เพราะ​กฎหมาย​ให้​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​และ​บุตร​บุญธรรม​เป็น​บิดา​มารดา​และ​บุตร​ต่อ​กัน ถ้า​มีก​ าร​สมรสก​ ัน​ย่อม​เป็นการ​กระทบก​ ระเทือน​ความ​รู้สึก​ทาง​สังคม และ​ขนบธรรมเนียมป​ ระเพณี แต่เ​นื่องจาก​ผู้รับ​มสธ บุตร​บุญธรรม​และ​บุตร​บุญธรรม​ไม่มี​ความ​สัมพันธ์​ใน​ทาง​ญาติ​สืบสาย​โลหิต​กัน​เลย​จึง​ไม่มี​เหตุผล​ใน​ทางการ​แพทย์​ ที่​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส ทั้ง​ยัง​น่า​จะ​ไม่​ถึง​ขนาด​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน ฉะนั้น​ กฎหมาย​จึง​มิได้​บัญญัติ​ให้การ​สมรส​ที่​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​ข้อ​นี้​เป็น​โมฆะ​หรือ​โมฆียะ หรือ​เสื่อม​เสีย​แต่​ประการ​ใด แต่​มี​ มาตรา 1598/32 บัญญัติ​ว่าการ​รับ​บุตร​บุญธรรมย​ ่อม​เป็น​อัน​ยกเลิก เมื่อ​มี​การ​สมรส​ฝ่าฝืน​มาตรา 1451 ด้วย​เหตุ​นี้​ จึง​น่า​จะ​ถือว่า​การ​สมรส​ระหว่าง​บุตร​บุญธรรม​และ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​เช่น​ว่า​นี้​เป็น​อัน​สมบูรณ์​ทุก​ประการ มี​ผล​เพียง​ แต่​ว่าการ​รับ​บุตร​บุญธรรม​เป็น​อัน​ยกเลิก​ไป​โดย​บทบัญญัติ​ของ​กฎหมาย ชาย​หญิง​จึง​มี​ฐานะ​เพียง​อย่าง​เดียว​คือ​เป็น​ สามี​ภริยา​กัน​เท่านั้น หลัก​การ​ที่​ว่า​บุตร​บุญธรรม​กับ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​สมรส​กัน​ไม่​ได้​นี้​เป็น​หลัก​สากล​แต่​ผล​อาจ ​แตก​ต่าง​กัน ใน​ต่าง​ประเทศ เช่น ประเทศ​ออสเตรเลีย​ก็​ถือ​หลัก​การ​นี้​และ​หาก​บุตร​บุญธรรม​ฝ่าฝืน​ทำการ​สมรส​กับ ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​การ​สมรสด​ ัง​กล่าว​เป็น​โมฆะ21 3. ชายห​ รอื ห​ ญงิ ม​ ​ีค​ู่สมรสอ​ ยแ​ู่ ลว้ ​จะท​ ำการส​ มรสซ​ ้อนอ​ กี ไ​ ม​่ได้ ใน​สมัย​โบราณ​ชาย​ไทย​อาจ​มี​ภริยา​ได้​หลาย​คน แต่​หลัง​จาก​มี​การ​ใช้​ ปพพ.บรรพ 5 ว่า​ด้วย​ครอบครัว​แล้ว กฎหมายไ​ด้​เปลี่ยน​หลักก​ าร​ไปเ​ป็น​ว่าใ​ห้​ชาย​มี​ภริยาไ​ด้​เพียงค​ นเ​ดียว (monogamous union) จึงต​ ้อง​บัญญัติเ​งื่อนไข​ ไว้ใ​น​มาตรา 1452 ว่า “ชาย​หรือ​หญิง​จะ​ทำการ​สมรส​ใน​ขณะ​ท่ี​ตน​มี​คู่​สมรส​อยู่​ไม่​ได้” ดังน​ ั้น​ชาย​หญิงจ​ ะ​ทำการส​ มรส ​ได้​ต่อ​เมื่อ​ไม่มี​ภริยา​หรือ​สามี​อยู่​ก่อน และ​เพื่อ​ให้​หลัก​การ​นี้​มี​ประสิทธิภาพ กฎหมาย​จึง​ต้อง​บัญญัติ​ไว้​ด้วย​ว่าการ​ สมรส​จะ​ต้อง​จด​ทะเบียน​จึง​จะ​สมบูรณ์ ทั้งนี้​เพื่อ​ให้​นาย​ทะเบียน​สมรส​ได้​มี​โอกาส​สอบถาม​ว่า​มี​ภริยา​หรือ​สามี​อยู่​ ก่อน​แล้วห​ รือไ​ม่ หากม​ ี​ภริยาห​ รือส​ ามีอ​ ยู่ก​ ่อน​แล้วน​ าย​ทะเบียน​ก็จ​ ะ​ไม่จ​ ด​ทะเบียน​สมรสใ​ห้​และ​บุคคล​นั้น​ถ้าม​ ี​คู่​สมรส​ อยู่​แล้ว​แต่​กลับ​ไป​แจ้ง​กับ​นาย​ทะเบียน​ว่า​ยัง​เป็น​โสด​ไม่มี​คู่​สมรส บุคคล​ที่​แจ้ง​ก็​มี​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ฐาน​แจ้ง​ความ ​เท็จ​ต่อ​เจ้า​พนักงานต​ าม ปอ. มาตรา 137 คู่​สมรส​เดิม​และ​คู่​สมรส​ใหม่​ที่​ไม่​ได้​ร่วม​กระทำ​ผิด​ด้วย​มี​อำนาจ​ฟ้อง​ขอ​ให้​ ลงโทษ​ได้​เพราะ​ถือว่า​เป็น​ผู้​เสีย​หาย22 การ​สมรส​ใน​ขณะ​ที่​ชาย​หรือ​หญิง​มี​คู่​สมรส​อยู่​แล้ว​เป็นการ​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​ที่​เป็น การ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​เพราะ​เป็นการ​ที่​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​แย่ง​ คู่​สมรส​ของ​บุคคล​อื่น ก่อ​ให้​เกิด​ความ​แตก​ร้าว​ใน​ครอบครัว​เดิม การ​สมรส​เช่น​ว่า​นี้​จึง​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า “การ​สมรส​ที่​ฝ่าฝืน​มาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และ​มาตรา 1458 เป็น​โมฆะ” ผู้​มี​ส่วน​ได้​ เสีย​มี​สิทธิ​กล่าว​อ้าง​ขึ้น​ว่าการ​สมรส​ซ้อน​นั้น​เป็น​โมฆะ​หรือ​จะ​นำ​คดี​มา​สู่​ศาล​เพื่อ​ขอ​ให้​มี​คำ​พิพากษา​แสดง​ว่าการ​ สมรส​ซ้อน​นั้น​เป็น​โมฆะ​ก็ได้ ซึ่ง​เป็น​ไป​ตาม​มาตรา 1497 ที่​บัญญัติ​ว่า “การ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆะ เพราะ​ฝ่าฝืน​มาตรา​ 1452 บุคคล​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสียคน​ใด​คน​หน่ึง​จะ​กล่าว​อ้าง​ขึ้น หรือ​จะ​ร้องขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ว่า การ​สมรส​เป็น​โมฆะ​ ก็ได้” เมื่อ​มี​การก​ล่า​วอ้าง​หรือ​เมื่อ​ศาล​มี​คำ​พิพากษา​แล้ว​การ​สมรส​ซ้อน​ครั้ง​หลัง​นี้​ย่อม​เสีย​เปล่า​มา​ตั้งแต่​แรก​เริ่ม แต่​ถ้า​ยัง​ไม่มี​การก​ล่า​วอ้าง​หรือ​คำ​พิพากษา​ดัง​กล่าว​ก็​ต้อง​ถือว่า ชาย​หญิง​ใน​การ​สมรส​ครั้ง​หลัง​นั้น​ยัง​คง​เป็น​สามี​ ภริยาก​ ัน​ตาม​กฎหมาย อุทาหรณ์ ฎ. 545/2545 ผู้​ร้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ ร. เมื่อ​วัน​ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2516 ใน​ระหว่าง​สมรส​ผู้​ร้อง​มา​ จดท​ ะเบียนส​ มรส​ซ้อนก​ ับ​จำเลย​ที่ 1 เมื่อว​ ันท​ ี่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ผู้​ร้อง​ซื้อ​และ​จดท​ ะเบียนร​ ับ​โอน​ที่ดิน​พิพาท 21 Section 51, Family Law Act 1975 22 ฎ. 2583/2522 มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-25 มสธ จาก จ. เมื่อ​วัน​ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ต่อ​มา​วัน​ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2526 ผู้​ร้อง​กับ​จำเลย​ที่ 1 จด​ทะเบียนมสธ หย่า​ขาดกัน​กรณี​ต้องบังคับ​ตาม​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง​ ปพพ. ที่​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ พ.ศ. 2519 ซึ่ง​แม้​ผู้​ร้อง​จะ​ทำการ สมรส​ใน​ขณะ​ที่​ตน​มี​คู่​สมรส​อยู่​แล้ว​อัน​จะ​ทำให้​การ​สมรส​ระหว่าง​ผู้​ร้อง​กับ​จำเลย​ที่ 1 ตก​เป็น​โมฆะ​ก็ตาม แต่​เมื่อ​ในมสธ ระหว่าง​ที่​ผู้​ร้อง​จดทะเบียน​รับ​โอน​ที่ดิน​พิพาท​มายัง​ไม่มี​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสียคน​ใด​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ให้การ​สมรส​เป็น​โมฆะ​ ตามม​ าตรา 1495 (เดิม) ต้องถ​ ือว่าก​ ารส​ มรสร​ ะหว่างผ​ ูร้​ ้องก​ ับจ​ ำเลยท​ ี่ 1 ยังม​ ผี​ ลส​ มบูรณอ์​ ยู่​ ที่ดินพ​ ิพาทจ​ ึงเ​ป็นท​ รัพย์สิน​ ที่​ผู้​ร้อง​ได้ม​ าระห​ ว่างส​ มรส​กับ ร. และ​จำเลยท​ ี่ 1 จึงเ​ป็นส​ ิน​สมรสร​ ะหว่างผ​ ู้​ร้องก​ ับจ​ ำเลยท​ ี่ 1 ด้วย โดย​ไม่​ต้อง​คำนึง​ว่า​ จำเลย​ที่ 1 มีส​ ่วน​เกี่ยวข้องร​ ู้​เห็น​หรืออ​ อก​เงิน​ช่วย​ผู้ร​ ้อง​ชำระร​ าคา​ที่ดินพ​ ิพาท​หรือไ​ม่​ แม้​ภายห​ ลัง​ผู้ร​ ้องก​ ับจ​ ำเลย​ที่ 1 จะ​จดทะเบียน​หย่า​ขาด​จาก​กัน​ก็​ต้อง​จัดการ​แบ่ง​ที่ดิน​พิพาท​แก่​ผู้​ร้อง​ตาม​สิทธิ​ที่​ผู้​ร้อง​มี​อยู่​ตาม ปพพ. มาตรา 1532 และ 1533 การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ซ้อน​นี้ แม้​ชาย​หรือ​หญิง​คู่​สมรส​จะ​กระทำ​การ​สมรส​โดย​สุจริต​ไม่​ทราบ​ว่า​มี​การ​สมรส​ เดิม​อยู่​แล้ว​ก็ตาม ก็​ไม่มี​ผล​ทำให้​การ​สมรส​สมบูรณ์​ขึ้น​มา​ได้ ยัง​คง​เป็น​โมฆะ​อยู่​นั่นเอง แต่​คู่​สมรส​ผู้​ทำการ​โดย​ สุจริต​ไม่​เสื่อม​สิทธิ​ที่​ได้​มา​เพราะ​การ​สมรส​นั้น​ก่อน​ที่​ตน​จะ​รู้​เหตุ​ที่​ทำให้​การ​สมรส​เป็น​โมฆะ ใน​ต่าง​ประเทศ​ที่​ ประชาชน​นับถือ​ศาสนา​คริสต์ เช่น ประเทศ​อังกฤษ​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ซ้อน​ใน​ระหว่าง​ที่​การ​สมรส​ครั้ง​แรก​ยัง​ไม่​ สิ้น​สุด​นี้​เป็น​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ที่​เรียก​ว่า “bigamy”23 แต่​โดย​ปกติ​มัก​ไม่​ค่อย​มี​การ​จับกุม​ฟ้อง​ร้อง​กัน​ใน​ความ​ผิด ​ฐาน​นี้ เว้น​แต่​จำเลย​จะ​ได้​หลอก​ลวง​ให้​เกิด​มี​การ​สมรส​ครั้ง​ที่​สอง​ขึ้น นอกจาก​นี้​จำเลย​ซึ่ง​ส่วน​ใหญ่​เป็น​ชาย​ยัง​อาจ​ยก​ ข้อ​ต่อสู้​ว่า​ตน​เชื่อ​โดย​สุจริต​ว่า​ภริยา​คน​แรก​ของ​ตน​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​แล้ว หรือ​ภริยา​คน​แรก​ได้​หาย​สาป​สูญ​ไป​เป็น เ​วลาอ​ ย่าง​น้อย 7 ปีต​ ิดต่อ​กัน​แล้ว​ได้​อีก​ด้วย ในส​ หรัฐอเมริกา มลรัฐ​เวอร์จิเนีย การจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรสซ​ ้อน​ถือว่า​เป็น​ โมฆะ​ในต​ ัว​เอง​โดย​ไม่ต​ ้องม​ ีค​ ำ​พิพากษาแ​ สดงว​ ่าการส​ มรส​เป็น​โมฆะ​แต่​อย่างใ​ด24 การ​สมรส​ซ้อน​อัน​เป็น​เหตุ​ให้การ​สมรส​ครั้ง​ที่​สอง​เป็น​โมฆะ​นั้น อาจ​เกิด​ขึ้น​ได้​ทั้ง​กรณี​ที่​ชาย​จด​ทะเบียน​ สมรส​ซ้อน​กับ​ภริยา​คน​ที่​สอง หรือ​หญิง​จด​ทะเบียน​สมรส​ซ้อน​กับ​สามี​คน​ที่​สอง​ก็ได้ ข้อ​สำคัญ​อยู่​ที่​จะ​ต้อง​มี​การ​ สมรส​ที่​สมบูรณ์​อยู่​แล้ว​จึง​จะ​ต้อง​ห้าม​มิ​ให้​ทำการ​สมรส​ซ้อน​เข้า​มา​อีก ฉะนั้น​หาก​ชาย​และ​หญิง​มา​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​ สามี​ภริยา​โดย​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว ชาย​หญิง​คู่​นี้​ก็​มิได้​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​กฎหมาย จึง​ไม่​ต้อง​ห้าม​ที่​ชาย​ หรือ​หญิง​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​บุคคล​อื่น​อีก อย่างไร​ก็​ดี​ใน​กรณี​ที่​ชาย​หญิง​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ก่อน​ใช้​บรรพ 5 แม้​จะ​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ก็​นับ​ว่า​เป็น​คู่​สมรส​กัน​ตาม​กฎหมาย ชาย​จึง​ย่อม​ไม่มี​สิทธิ​ที่​จะ​ทำการ​การ​สมรส​กับ​ หญิง​อื่น​ได้​อีก​เพราะ​เป็นการ​ต้อง​ห้าม​ตาม​มาตรา 1452 ถ้า​ชาย​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​หญิง​อื่น การ​สมรส​ครั้ง​ที่​สอง​นี้​ เป็น​โมฆะ ภริยา​ย่อม​ฟ้อง​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​พิพากษา​แสดง​ว่าการ​สมรส​เป็น​โมฆะ​ได้25 นอกจาก​นี้​การ​ที่​ชาย​มี​ภริยา​อยู่​ แล้ว​แต่​ได้​ขอ​หญิง​มา​เลี้ยง​ดู​เป็น​ภริยา​น้อย และ​ได้​ทำ​สัญญา​กับ​ฝ่าย​บิดา​หญิง​ว่า​จะ​ให้​ทรัพย์สิน​จำนวน​หนึ่ง​แก่​หญิง ​และ​บิดา​หญิง​นั้น สัญญาด​ ัง​กล่าว​เป็นการอ​ ุดหนุนใ​ห้​ชาย​มี​ภริยา​อีก​หนึ่ง​คน ต้อง​ห้าม​ตาม​กฎหมาย ใช้​บังคับไ​ม่​ได้26 และ​การ​ที่​ชาย​มี​ภริยา​อยู่​แล้ว แต่​ยัง​ไป​ตกลง​กับ​หญิง​อื่น​อีก​ว่า​จะ​อยู่​กิน​ป็น​สามี​ภริยา​กัน ข้อ​ตกลง​นี้​ย่อม​มี​วัตถุ- ประสงค์​เป็นการ​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน เป็น​โมฆะ​ตาม ปพพ. มาตรา 150 แม้​หญิง​นั้น​จะ​ไม่​ปฏิบัติ​ตาม ข​ ้อ​ตกลงก​ ็ไ​ม่มีน​ ิติส​ ัมพันธ์ท​ ี่​จะ​ต้องร​ ับ​ผิด​ชอบ​ต่อ​ชายแ​ ต่​อย่างใ​ด27 23 Section 57, Offences Against the Person Act 1861 24 Section 20, Virginia Code 25 ฎ. 1269/2493 26 ฎ. 95/2489 27 ฎ. 1913/2505 มสธ มส

มส 2-26 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ อทุ าหรณ์มสธ ฎ. 69-70/2516 สามี​ภริยา​อัน​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ก่อน​ใช้ ปพพ. บรรพ 5 มี​สิทธิ​ร้องขอ​ให้​นาย​ทะเบียน​ บันทึก​ฐานะ​ของ​ภริยา​น้อย​ได้​ตาม​มาตรา 24 แห่ง​พระ​ราช​บัญญัติ​จด​ทะเบียน​ครอบครัว พ.ศ. 2478 แต่​ถ้า​ภริยา​มสธ หลวงย​ ัง​คงเ​ป็นค​ ู่ส​ มรส​อยู่ สามีก​ ับภ​ ริยา​น้อยก​ ็ไ​ม่มี​สิทธิจ​ ด​ทะเบียนส​ มรสก​ ัน​ตาม ปพพ. ฎ. 2614/2518 การ​ที่​ชาย​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ภริยา​คน​ที่​หนึ่ง​แล้ว ยัง​มา​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ภริยา​คน​ที่​ สอง​อีก​โดย​แจ้ง​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ว่า​ไม่​เคย​สมรส​มา​ก่อน เช่น​นี้ การก​ระ​ทำ​ดัง​กล่าว​เป็น​ความ​ผิด​ฐาน​แจ้ง​ความ​เท็จ​ ต่อ​เจ้า​พนักงาน​ตาม ปอ. มาตรา 137 ภริยา​คน​ที่​สอง​ซึ่ง​ไม่​ทราบ​ข้อ​เท็จ​จริง​ดัง​กล่าว​จึง​เป็น​ผู้​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย เ​นื่องจากก​ ารกร​ ะท​ ำ​ผิด​ของ​ชาย มี​อำนาจ​ฟ้องค​ ดี​ต่อ​ศาล​ได้ พิพากษาใ​ห้​ลงโทษ​จำค​ ุก 1 เดือน ฎ. 963/2519 โจทก์​เป็น​บุตร​ของ​บิดา​มารดา​ซึ่ง​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน บิดา​โจทก์​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ จำเลย​อีก ต่อ​มา​อีก​หนึ่ง​ปี​เศษ​บิดา​มารดา​โจทก์​จึง​จด​ทะเบียน​หย่า​กัน ดังนี้​การ​สมรส​ระหว่าง​บิดา​โจทก์​กับ​จำเลย​ จึง​ผิดบ​ ทบัญญัติม​ าตรา 1452 ตกเ​ป็น​โมฆะ และ​โมฆกรรม​นั้นไ​ม่​อาจ​ให้​สัตยาบันแ​ ก่​กัน​ได้ต​ ามม​ าตรา 134 (ปัจจุบัน มาตรา 172) แม้​ต่อ​มา​ภาย​หลัง​บิดา​มารดาโ​จทก์​ได้​จด​ทะเบียน​หย่าก​ ัน​ก็​ไม่มี​ผลย​ ้อน​หลัง​ไป​ถึงก​ ารส​ มรส​ระหว่างบ​ ิดา โจทก์​กับจ​ ำเลย ซึ่งต​ กเ​ป็น​โมฆะเ​สีย​เปล่า​ไปก​ ่อนแ​ ล้ว ฎ. 1221/2527 พ. จด​ทะเบียน​สมรสก​ ับจ​ ำเลยท​ ี่ 1 ขณะท​ ี่ พ. มีโ​จทก์เ​ป็นภ​ ริยา​โดย​ชอบด​ ้วยก​ ฎหมายก​ ่อน​ ใช้ ปพพ. บรรพ 5 อยู่แ​ ล้ว เป็นการฝ​ ่าฝืนเ​งื่อนไข​แห่ง​การส​ มรส​และ​เป็นโ​มฆะ​ตาม ปพพ. มาตรา 1452 โจทก์​จึงค​ ง เ​ป็นภ​ ริยา​ของ พ. แต่ผ​ ู้เ​ดียว ฎ. 6077/2537 ขณะจ​ ำเลย​จด​ทะเบียน​สมรสก​ ับ น. เมื่อ​วัน​ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2522 น. จด​ทะเบียนส​ มรส กับ​โจทก์​อยู่​ก่อน​แล้ว ฉะนั้น​การ​สมรส​ระหว่าง​จำเลย​กับ น. จึง​ฝ่าฝืน ปพพ. มาตรา 1452 ตก​เป็น​โมฆะ​ตาม ปพพ. มาตรา 1496 เดิม​ซึ่งใ​ช้​บังคับ​อยู่ใ​นข​ ณะ​นั้น การต​ กเ​ป็นโ​มฆะ​ดัง​กล่าวม​ ีผ​ ล​เท่ากับว​ ่า​จำเลยแ​ ละ น. มิได้​ทำการส​ มรส​ กัน ดัง​นั้น​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​และ น. ใน​ครั้ง​หลัง​จึง​กระทำ​ใน​ขณะ​ที่​จำเลย​ไม่มี​ฐานะ​เป็น​คู่​สมรส​ ของ น. การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์ และ น. จึง​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย โจทก์​จึง​เป็น​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​ตาม ปพพ. มาตรา 133 เดิม และ​มาตรา 1497 เดิม มี​อำนาจ​ฟ้องข​ อ​ให้ศ​ าลพ​ ิพากษาว​ ่าการส​ มรส​ระหว่างจ​ ำเลยก​ ับ น. เป็นโ​มฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 1496 เดิมไ​ด้ ฎ. 1237/2544 ขณะ​ที่​จำเลย​จด​ทะเบียนส​ มรสก​ ับ ส. ในว​ ัน​ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จำเลยไ​ม่มี​คู่​สมรส​ เพราะ​จำเลย​จด​ทะเบียน​หย่า​กัน ค. ไป​ก่อน​แล้ว​จึง​ไม่​เป็นการ​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​การ​สมรส​ตาม ปพพ. มาตรา 1452 จำเลยไม่มี​คู่​สมรส​อยู่​ใน​ขณะ​ที่​จด​ทะเบียน​สมรส แม้​จำเลย​จะแจ้ง​ว่า​จำเลย​เคย​สมรส​แต่​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​ก็​มี​ ผลอ​ย่าง​เดียวกัน การ​ที่​นาย​ทะเบียนจ​ ด​ทะเบียนส​ มรสใ​ห้​จำเลยก​ ับ ส. โดย​เชื่อ​ว่า จำเลยไ​ม่​เคย​สมรสม​ า​ก่อน จึง​ไม่​ อาจ​ทำให้​ผู้​อื่น​หรือ​ประชาชน​เสีย​หาย และ​ไม่​น่า​จะ​เกิด​ความ​เสีย​หาย​แก่​ผู้​อื่น​หรือ​ประชาชน จำเลย​จึง​ไม่มี​ความ​ผิด​ ตาม ปอ. มาตรา 137 และม​ าตรา 267 ฎ. 659/2545 เมื่อก​ าร​สมรสร​ ะหว่างโ​จทก์​กับ จ. เป็นโ​มฆะ​ตาม ปพพ. มาตรา 1452 ประกอบม​ าตรา 1495 เนื่องจาก จ. มี​คู่​สมรส​อยู่​แล้ว​ใน​ขณะ​ที่​สมรส​กับ​โจทก์ จึง​มี​ผล​เท่ากับ​โจทก์​กับ จ. มิได้​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​มา​แต่​แรก ไม่​อาจ​ถือ​เอา​เงิน​ได้ที่ จ. ได้​รับ​มา​เป็น​เงิน​ได้​ของ​โจทก์​ตาม​ประมวล​รัษฎากร มาตรา 57 ตรี โจทก์​ไม่มี​หน้าที่​และ​ ความร​ ับ​ผิดช​ อบ​ในก​ าร​ยื่นร​ ายการ​และ​เสียภ​ าษี​สำหรับเ​งินไ​ด้​จำนวนด​ ัง​กล่าว ฎ. 6181/2545 ท. มีค​ ู่​สมรส​อยู่แ​ ล้ว การท​ ี่ ท. จดท​ ะเบียนส​ มรส​กับ​จำเลยอ​ ีก โดย​มิได้​หย่าข​ าด​จาก ป. เป็น การ​ฝ่าฝืน ปพพ. มาตรา 1452 ย่อม​ตก​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 แม้​โจทก์​จะ​เป็น​บุตร​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ ท. กับ จ. ภริยา​อีก​คน​หนึ่ง​ของ ท. แต่​ก็​เป็น​ทายาท​โดย​ธรรม​ของ ท. เมื่อ ท. ตาย​แล้ว​โจทก์​ย่อม​จะ​มี​สิทธิ​ได้​รับ​ทรัพย์​ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-27 มสธ มรดก​ของ ท. โจทก์​จึง​อยู่​ใน​ฐานะ​เป็น​บุคคล​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​ที่​จะ​ร้องขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ว่าการ​สมรส​ระหว่าง ท. และ​มสธ จำเลย​เป็นโ​มฆะไ​ด้ต​ าม​มาตรา 1497 โจทก์​จึงม​ ี​อำนาจฟ​ ้อง มสธ ฎ. 6365/2547 ขณะจ​ ำเลย​จด​ทะเบียน​สมรส​กับพ​ ัน​โท ส. เมื่อ​วัน​ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 พัน​โท ส. จด​ ทะเบียน​สมรส​กับ​นาง ส. อยู่​ก่อน​แล้ว ฉะนั้น การ​สมรส​ระหว่าง​จำเลย​กัน​พัน​โท ส. จึง​ฝ่าฝืน ปพพ. มาตรา 1452 ตก​เป็น​โมฆะ​ตาม ปพพ. มาตรา 1496 (เดิม) การ​ตก​เป็น​โมฆะ​ดัง​กล่าว​มี​ผล​เท่ากับ​จำเลย​และ​พัน​โท ส. มิได้​ทำการ​ สมรส​กัน จึง​ไม่​อาจ​ให้​สัตยาบัน​แก่​กัน​ได้ แม้​ต่อ​มา​ภาย​หลัง​พัน​โท ส. จะ​ได้​จด​ทะเบียน​หย่า​กับ​นาง ส. เมื่อ​วัน​ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ก็ห​ า​ทำให้ก​ าร​สมรสร​ ะหว่างจ​ ำเลยแ​ ละ​พัน​โท ส. กลับม​ ี​ผล​เป็นการส​ มรสท​ ี่​ชอบ​ขึ้นม​ าไ​ม่ ฎ. 3192/2549 ปพพ. มาตรา 1461 เป็น​บทบัญญัติ​ใน​หมวด 3 เรื่อง​ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​สามี​ภริยา ซึ่ง​เป็น​เรื่อง​ภาย​หลัง​การ​สมรส​ตาม​หมวด 2 เรื่อง เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส กล่าว​คือ เมื่อ​สมรส​กัน​แล้ว​หาก​ฝ่าย​ใด​ ปฏิบัติ​ฝ่าฝืนม​ าตรา 1461 ดังก​ ล่าวก​ ็​จะ​เป็นเ​หตุ​ฟ้องห​ ย่า​ตาม ปพพ. มาตรา 1516 (4) หรือ (6) ที่​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ อาจ​นำ​มา​ฟ้อง​ร้อง​ได้​เท่านั้น เมื่อ​ไม่​ปรากฏ​ว่า​มี​การ​ฟ้อง​หย่า​ระหว่าง​โจทก์​กับ​พล​ตำรวจ​ตรี ว. และ​ไม่มี​คำพิพากษา​ ของ​ศาล​ให้​หย่า​กัน การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​กับ​พล​ตำรวจ​ตรี ว. จึง​ยัง​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย แม้​หาก​โจทก์​กับ​ พล​ตำรวจ​ตรี ว. จะ​มิได้​อยู่​ด้วย​กัน​และ​มิได้​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ใน​ระยะ​หลัง​ก็​มิได้​มี​ผล​ต่อ​ความ​สมบูรณ์​ ของ​การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​กับ​พล​ตำรวจ​ตรี ว.โจทก์​จึง​ยัง​เป็น​ภริยา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​พล​ตำรวจ​ตรี ว. อยู่​ ตลอด​มา เมื่อ​จำเลย​มา​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​พล​ตำรวจ​ตรี ว. ขณะ​ที่​พล​ตำรวจ​ตรี ว. มี​โจทก์​เป็น​คู่​สมรส​อยู่​จึง​เป็น การ​สมรส​ที่​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​ใน​มาตรา 1452 และ​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 แม้​ต่อ​มา​พล​ตำรวจ​ตรี ว. ถึงแก่​ความต​ าย โจทก์​ก็เ​ป็น​ผู้ม​ ี​ส่วนไ​ด้เ​สีย​ที่ม​ ีอ​ ำนาจฟ​ ้องข​ อ​ให้การ​สมรส​ระหว่างจ​ ำเลย​กับต​ ำรวจต​ รี ว. เป็นโ​มฆะ​ได้ กิจกรรม 2.1.3 1. นายเ​กรกิ จ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสก​ บั น​ างล​ ำดวน อยก​ู่ นิ ด​ ว้ ยก​ นั ท​ ก​่ี รงุ เทพมหานคร ตอ่ ม​ าน​ ายเ​กรกิ ย​ า้ ยไ​ปร​ บั ​ ราชการท​ จ​ี่ งั หวดั ส​ งขลาโ​ดยน​ างล​ ำดวนไ​มไ่​ดต​้ ดิ ตามไ​ปอ​ ยด​ู่ ว้ ย นายเ​กรกิ ไ​ปร​ กั ใ​ครช​่ อบพอก​ บั น​ างท​ องด​ ท​ี จ​่ี งั หวดั ​ สงขลา โดย​นาง​ทอง​ดี​เชื่อ​โดย​สุจริต​ว่า​นาย​เกริก​ยงั ​เป็น​โสด​อยู่ และ​ต่อ​มา​บคุ คล​ทั้ง​สอง​ก็ได​้จด​ทะเบียน​สมรส​กนั เมอ่ื ​นางล​ ำดวนร​ ​ู้เรื่อง​เข้า จงึ ม​ าป​ รึกษาท​ า่ น​ว่าจ​ ะ​มี​ชอ่ งท​ าง​บอกเ​ลกิ ​เพิกถ​ อนก​ าร​สมรสร​ ะหวา่ งน​ าย​เกรกิ ​และ​นาง​ ทอง​ด​ีบ้างห​ รอื ​ไม่ จงแ​ นะนำ​นาง​ลำดวน 2. นาย ก. แอบล​ กั ลอบไ​ดเ​้ สยี ก​ บั น​ าง ข. ครน้ั เ​มอ่ื น​ าง ข. ตงั้ ค​ รรภ์ นาย ก. หลบห​ นา้ ห​ นห​ี ายไ​มม​่ าพ​ บอ​ กี ​ เลย นาง ข. มี​ความเ​สยี ใจ​จงึ อ​ พยพ​ไปอ​ ย​ู่จงั หวดั แ​ มฮ่ ่องสอนแ​ ละค​ ลอดบ​ ุตร​มา​เปน็ ช​ าย​ชอ่ื ส​ มาน ส่วน​นาย ก. ได้​ จด​ทะเบยี น​สมรสก​ ับ นาง ค. และม​ ​บี ตุ ร​สาวช​ อื่ ส​ มศรี เมือ่ เ​วลา​ผ่าน​ไป 25 ปี นายส​ มาน​และน​ างส​ มศรม​ี า​พบก​ ัน​ เกดิ ร​ กั ใ​ครช​่ อบพอก​ นั และจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสก​ นั โ​ดยส​ จุ รติ หลงั จ​ ากจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสแ​ ลว้ 1 ปี จงึ ท​ ราบค​ วามจ​ รงิ แต่​ก็​ยัง​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ต่อ​มา​อีก 2 ปี หลัง​จาก​น้ัน​นาย​สมาน​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​ใหม่​กับ​นาง​สนธยา นางส​ มศรจ​ี งึ ม​ าป​ รกึ ษาท​ า่ นว​ า่ จ​ ะม​ ท​ี างบ​ อกเ​ลกิ เ​พกิ ถ​ อนก​ ารส​ มรสร​ ะหวา่ งน​ ายส​ มานแ​ ละน​ างส​ นธยาไ​ดบ​้ า้ งห​ รอื ​ ไม่ จงแ​ นะนำน​ างส​ มศรี แนวต​ อบ​กิจกรรม 2.1.3 1. นาย​เกริก​มี​คู่​สมรส​คือ​นาง​ลำดวน​อยู่​แล้ว จึง​ทำการ​สมรส​อีก​ไม่​ได้ ต้อง​ห้าม​ตาม​มาตรา 1452 เมื่อ​ ฝา่ ฝนื ท​ ำการ​สมรสก​ บั น​ างท​ อง​ดอ​ี ีก จงึ ​เปน็ การ​สมรสใ​น​ขณะท​ ม่​ี ​ีคส่​ู มรสอ​ ยแ​ู่ ล้ว (การ​สมรสซ​ อ้ น) แมน​้ างท​ องดี​ จะ​กระทำ​โดย​สุจริต​ก็ตาม การ​สมรส​ระหว่าง​บุคคล​ท้ัง​สอง​ก็​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 นาง​ลำดวน​จึง​มี​สิทธิ​ มสธ มส

มส 2-28 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ กล่าว​อ้าง​ว่าการ​สมรส​ซ้อน​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆะ​หรือ​จะ​ขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ว่าการ​สมรส​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆะ​ได้​ตาม​มสธ มาตรา 1497 มสธ 2. นาย​สมาน​และ​นาง​สมศรี​เป็น​พี่​น้อง​ร่วม​บิดา​เดียวกัน แม้​จะ​มิได้​เป็น​ญาติ​กัน​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย แต่​ก็​เป็น​ญาติ​ตาม​สาย​โลหิต จึง​สมรส​กัน​ไม่​ได้ ต้อง​ห้าม​ตาม​มาตรา 1450 เม่ือ​ฝ่าฝืน​สมรส​กัน​แม้​จะ​ทำการ​โดย​ สุจริต การ​สมรส​นน้ั ​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1495 ต่อ​มา​เม่ือ​นาย​สมาน​สมรส​กับ​นาง​สนธยา นาย​สมาน​จงึ ​มไิ ด​้มี​ค่​ู สมรส​ท่ี​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู​่แล้ว จึง​ไม่​ต้อง​ห้าม​ตาม​มาตรา 1452 การ​สมรส​ระหว่าง​นาย​สมาน​และ​นาง​สนธยา​ จึง​สมบูรณ์ ไม่​เปน็ การ​สมรส​ซ้อน นาง​สมศร​ีจงึ ​ไมม่ ท​ี างบ​ อก​เลิกเ​พกิ ถ​ อนก​ าร​สมรสร​ ะหวา่ ง​นาย​สมานก​ บั ​นาง​สนธยา​ไดเ้​ลย เร่ือง​ที่ 2.1.4 การ​สมรสข​ องห​ ญิง​หม้าย มาตรา 1453 “หญิง​ท่ี​สามี​ตาย​หรือ​ที่​การ​สมรส​ส้ิน​สุด​ลง​ด้วย​ประการ​อ่ืน​จะ​ทำการ​สมรส​ใหม่​ได้​ต่อ​เม่ือ​การ​ ​สิน้ ส​ ดุ ​แหง่ ​การส​ มรส​ได้​ผ่าน​พน้ ​ไปแ​ ลว้ ​ไม่น​ อ้ ยก​ วา่ ​สามร​ อ้ ยส​ ิบว​ ัน เวน้ ​แต่ (1) คลอด​บตุ ร​แล้ว​ใน​ระหว่างน​ นั้ (2) สมรส​กบั ​คู​่สมรสเ​ดิม (3) มี​ใบรับร​ องแ​ พทยป์​ ระกาศนียบัตรห​ รือ​ปรญิ ญา ซึง่ เ​ป็นผ​ ้​ปู ระกอบก​ ารร​ ักษา​โรคใ​นส​ าขาเ​วชกรรม​ไดต​้ าม​ กฎหมาย​ว่าม​ ไิ ด้​มค​ี รรภ์ หรอื (4) ม​ีคำ​ส่งั ข​ องศ​ าลใ​หส​้ มรสไ​ด”้ ใน​สมัย​โบราณ ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 30 การ​ที่​หญิง​หม้าย​สามี​ตาย​มี​สามี​ใหม่​ใน​ระหว่าง​ที่​ศพ​ สามี​ยัง​หงาย​อยู่​ใน​โลง​ถือ​เป็น​เรื่อง​ทำ​ชู้​เหนือ​ผี​อัน​เป็นการ​น่า​บัดสี​ถึง​ขนาด​ให้​มี​การ​ปรับ​ไหม​ลงโทษ แต่​มา​ถึง​สมัย​ที่​ ใช้ ปพพ. บรรพ 5 นี้ ข้อ​ยับยั้งท​ ี่​มิ​ให้ห​ ญิง​ที่​สามีต​ าย​หรือ​ที่​การส​ มรส​สิ้นส​ ุด​ลงด​ ้วย​ประการอ​ ื่นท​ ำการส​ มรส​ใหม่​ก่อน​ สิ้น​ระยะ​เวลา​สาม​ร้อย​สิบ​วัน น่า​จะ​มิได้​ถือว่า​เป็น​เรื่อง​น่า​บัดสี แต่​คง​เป็น​เพราะ​เกรง​ว่า​เมื่อ​หญิง​นั้น​สมรส​ใหม่​เกิด​มี​ บุตร​ออก​มา​จะ​ไม่รู้​ว่า​เป็น​บุตร​ของ​สามี​เก่า​หรือ​สามี​ใหม่ ฉะนั้น มาตรา 1453 จึง​บัญญัติ​ว่า หญิง​ที่​เคย​สมรส​มา​แล้ว ​แต่​สามี​ตาย​หรือ​หย่า​ขาด​จาก​สามี​เดิม​จะ​สมรส​ใหม่​ได้​ต่อ​เมื่อ​เวลา​ไม่​น้อย​กว่า​สาม​ร้อย​สิบ​วัน ได้​ล่วง​พ้น​ไป​เสีย​ก่อน ระยะ​เวลา​สาม​ร้อย​สิบ​วัน​นี้ เป็นเ​วลา​นาน​ที่สุด​ที่​ทารกจ​ ะ​อยู่​ใน​ครรภ์ม​ ารดาไ​ด้ ระยะ​เวลา​สาม​ร้อยส​ ิบ​วัน นับ​จาก​การ​สิ้นส​ ุด​ลง​แห่ง​การส​ มรสน​ ั้นน​ ับ​จาก (1) เมื่อส​ ามี​ถึงแก่ค​ วามต​ าย นับ​ตั้งแต่​วันต​ าย (2) เมื่อ​หย่า​ขาด​จาก​สามี กรณี​หย่า​โดย​ความ​ยินยอม​ของ​คู่​สมรส​ให้​นับ​แต่​วัน​ที่​จด​ทะเบียน​หย่า กรณี​หย่า​ โดย​คำ​พิพากษา​ของศ​ าล​ต้องน​ ับต​ ั้งแต่ว​ ันอ​ ่านค​ ำ​พิพากษาศ​ าลฎ​ ีกา​หรือ​วันท​ ี่ส​ ิ้น​สุด​ระยะ​เวลาอ​ ุทธรณ์ ฎีกา (3) เมื่อ​การ​สมรส​ถูก​เพิก​ถอน​เพราะ​เหตุ​โมฆียะ​และ​ศาล​พิพากษา​ว่าการ​สมรส​เป็น​โมฆะ ให้​นับ​แต่​วัน​อ่าน​ คำพ​ ิพากษา​ศาลฎ​ ีกา​หรือว​ ัน​สิ้นส​ ุด​ระยะ​เวลา​อุทธรณ์​หรือ​ฎีกา มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-29 มสธ อย่างไร​ก็ตาม กฎหมาย​ได้​กำหนด​ข้อ​ยกเว้น​ให้​หญิง​หม้าย​ทำการ​สมรส​ได้​ทันที​โดย​ไม่​ต้อง​รอ​จนกว่า​ครบมสธ ส​ าม​ร้อย​สิบ​วัน ใน​กรณีต​ ่อไ​ป​นี้ มสธ (1) หญิง​นั้น​ได้​คลอด​บุตร​แล้ว ทั้งนี้​เพราะ​เป็น​กรณี​ที่​หมด​ข้อ​สงสัย​ว่า​หญิง​นั้น​จะ​มี​ทารก​จาก​สามี​เดิม​อยู่​ใน​ ครรภ์​หรือไ​ ม่ (2) หญิงน​ ั้นส​ มรสก​ ับ​สามีค​ น​เดิม กรณี​นี้​ไม่มี​ปัญหา​ว่าท​ ารกใ​น​ครรภ์เ​ป็น​บุตรข​ อง​สามี​หรือไ​ม่ (3) มี​ใบรับ​รอง​แพทย์​ว่า​หญิง​นั้น​ไม่​ได้​ตั้ง​ครรภ์ เมื่อ​หญิง​นั้น​ไม่​ได้​ตั้ง​ครรภ์​ก็​ไม่มี​ปัญหา​เรื่อง​ความ​เป็น​บิดา​ กับบ​ ุตร (4) มี​คำ​สั่ง​ศาล​ให้​หญิง​นั้น​ทำการ​สมรส​ได้ เป็น​กรณี​ที่​ศาล​มี​ดุลพินิจ​สั่ง​ให้​หญิง​หม้าย​สมรส​ได้​ทันที ไม่​ว่า​ หญิงน​ ั้น​จะม​ ี​ทารกอ​ ยู่ใ​น​ครรภ์​หรือไ​ม่ก​ ็ตาม หากว่าม​ ี​เหตุส​ มควร การ​สมรส​ของ​หญิง​หม้าย​ที่​ขัด​ต่อ​เงื่อนไข​ตาม​มาตรา​นี้ กฎหมาย​มิได้​บัญญัติ​ไว้​ว่า​ผล​จะ​เป็น​อย่างไร ฉะนั้น​ จึง​ต้อง​ถือว่า​เป็นการ​สมรส​ที่​สมบูรณ์​ตลอด​ไป​โดย​ไม่​เป็น​โมฆะ​หรือ​โมฆียะ และ​บุตร​ที่​เกิด​มา​ภาย​หลัง​สาม​ร้อย​สิบ​ วัน​นับ​แต่​วัน​ที่​การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง​นั้น​มาตรา 1357 ให้​สันนิษฐาน​ไว้​ก่อน​ว่า​เป็น​บุตร​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​ชาย ​ผู้​เป็น​สามี​คน​ใหม่​นั้น ใน​ต่าง​ประเทศ เช่น ประเทศ​ฟิลิปปินส์​มี​บทบัญญัติ​ห้าม​หญิง​หม้าย​รีบ​ทำการ​สมรส​ใน​ทำนอง ​เดียว​กับ​มาตรา 1453 แต่​ถือ​ระยะ​เวลา​น้อย​กว่า คือ ห้าม​หญิง​หม้าย​ทำการ​สมรส​ภายใน​สา​มร้อยวัน​นับ​แต่​วัน​ที่​สามี​ ตาย เว้น​แต่​จะ​ได้​คลอด​บุตร​แล้ว​ระหว่าง​นั้น28 หญิง​หม้าย​ที่ทำการ​ฝ่าฝืน​ทำการ​สมรส​ไป​มี​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ต้อง​ ระวางโ​ทษ​ปรับ29 กิจกรรม 2.1.4 นางด​ าว​สมรสก​ บั น​ ายต​ ะวนั ​และอ​ ยู่​กิน​ดว้ ย​กนั ​มา​จน​นางด​ าว​ตั้ง​ครรภ์ไ​ด้ 2 เดอื น นางด​ าว​ก​็หยา่ ก​ บั น​ าย​ ตะวนั ตอ่ ม​ าอ​ กี 1 เดอื น นางด​ าวเ​กดิ ร​ กั ใ​ครช​่ อบพอก​ นั น​ ายเ​ดอื น และม​ ค​ี วามจ​ ำเปน็ ใ​นก​ ารค​ รองช​ พี ทง้ั น​ ายเ​ดอื น​ ก็​ยินดอี​ ุปการะเ​ลีย้ งด​ ู นาง​ดาวแ​ ละ​นายเ​ดอื นจ​ ะ​ทำการ​สมรสก​ ัน​ได​ห้ รอื ไ​ม่ แนว​ตอบก​ จิ กรรม 2.1.4 โดยห​ ลกั จ​ ะท​ ำการส​ มรสไ​มไ​่ ด้ เพราะต​ อ้ งห​ า้ มต​ ามม​ าตรา 1453 หญงิ ท​ ส​่ี ามต​ี ายห​ รอื ก​ ารส​ มรสส​ นิ้ ส​ ดุ ล​ ง​ ดว้ ยป​ ระการอ​ น่ื จ​ ะท​ ำการส​ มรสใ​หมไ​่ ดต​้ อ่ เ​มอื่ ก​ ารส​ น้ิ ส​ ดุ แ​ หง่ ก​ ารส​ มรสไ​ดผ​้ า่ นพ​ น้ ไ​ปแ​ ลว้ ไ​มน​่ อ้ ยก​ วา่ ส​ ามร​ อ้ ยส​ บิ ​ วนั แม้​การ​ท่​นี างด​ าว​หยา่ ​กบั ​นายต​ ะวนั เ​พียง 1 เดือน​ไม่​ครบห​ ลักเ​กณฑ์​ตาม​มาตรา 1453 ก็ตาม แต่​เนอ่ื งจากก​ าร​ สมรส​ท่ี​ฝ่าฝืน​มาตรา​นี้​กฎหมาย​มิได้​บัญญัติ​ว่า​ผล​จะ​เป็น​อย่างไร ฉะน้ัน​ถ้า​นาย​เดือน​และ​นาง​ดาว​สมรส​กัน​แล้ว​ การส​ มรส​น้ันก​ ็​สมบูรณ​์ตามก​ ฎหมาย 28 Article 84, Civil Code of the Philippines 29 Article 351, Revised Penal Code of the Phillippines มสธ มส

มส 2-30 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เร่อื ง​ที่ 2.1.5มสธ แบบ​ของก​ าร​สมรส มสธ 1. แบบ​ของ​การส​ มรสต​ าม​กฎหมาย​ไทย มาตรา 1457 “การส​ มรสต​ ามป​ ระมวล​กฎหมาย​นีจ​้ ะ​มไี​ด้เ​ฉพาะเ​มื่อ​ได้จ​ ด​ทะเบียน​แล้วเ​ทา่ นั้น” การ​ที่​ชาย​หญิง​จะ​ทำการส​ มรส​กัน​นั้น นอกจาก​จะ​ต้อง​มี​คุณสมบัติ​ครบ​ถ้วน​แล้ว​ยัง​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​แบบ​ของ​ การ​สมรส​ที่​กฎหมาย​มาตรา 1457 กำหนด​ไว้​ด้วย คือ​จะ​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ผู้​มี​อำนาจ​หน้าที่​ รับ​จด​ทะเบียน​สมรส​ตาม​กฎหมาย เมื่อ​ชาย​หญิง​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​แล้ว ก็​เกิด​ผล​ทำให้​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​ กฎหมาย​ทันที​โดย​ไม่​ต้อง​มี​พิธีการ​อย่าง​อื่น​แต่​ประการ​ใด ส่วน​พิธี​กา​รอื่นๆ เช่น การ​หลั่ง​น้ำ​สังข์ การ​กิน​เลี้ยง การ​ ส่งตัว​เจ้า​สาว​ต่อ​เจ้า​บ่าว เหล่า​นี้​เป็น​เรื่อง​ปฏิบัติ​ตาม​ประเพณี​นิยม ไม่มี​ความ​สำคัญ​ใน​กฎหมาย​แต่​อย่าง​ใด​ถึง​แม้​จะ​ มี​การ​ประกอบ​พิธี​แต่งงาน​กัน​ใหญ่​โต​เพียง​ใด และ​มี​การ​ส่ง​มอบ​เจ้า​สาว​ให้​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​เจ้า​บ่าว​แล้ว หาก​ ยัง​มิได้​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ชาย​หญิง​คู่​นี้​ก็​ยัง​ไม่มี​ฐานะ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​กฎหมาย ตรง​กัน​ข้าม​หาก​ได้​จด​ ทะเบียน​สมรส​กัน​แล้ว แม้​จะ​ไม่​ได้​มี​พิธี​แต่งงาน​กัน​ตาม​ประเพณี​หรือ​ชาย​หญิง​ยัง​ไม่​เคย​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​เลย ชาย​หญิง​ ก็​มี​ฐานะ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​กฎหมาย วัตถุประสงค์​ของ​การ​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ให้​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ก็​ เพื่อ​ให้การ​สมรส​นั้น​เป็น​ที่​รู้​กัน​ทั่วไป โดย​ให้​มี​ทะเบียน​สมรส​ที่​เป็น​เอกสาร​มหาชน​อัน​มี​ผล​ทาง​กฎหมาย​ต่อ​คู่​สมรส ต่อ​บุคคล​ภายนอก​และ​ต่อ​รัฐ คู่​สมรส​ได้​ประโยชน์​ใน​แง่​ที่​ตน​ได้​มี​หลัก​ฐาน​ทาง​ราชการ​เกี่ยว​กับ​การ​สมรส​ซึ่ง​สามารถ​ นำ​ออก​แสดง​ต่อ​บุคคล​ภายนอก​ได้ ส่วน​บุคคล​ภายนอก​ได้​ประโยชน์​ที่​ได้​รู้​ถึง​ฐานะ​ของ​การ​สมรส​เพื่อ​จะ​ได้​ปฏิบัติ​ตน​ ได้​ถูก​ต้อง​หาก​จำเป็น​ต้อง​ติดต่อ​สัมพันธ์​กัน และ​รัฐ​ก็ได้​ประโยชน์​ใน​การ​ที่​มี​ข้อมูล​ของ​ประชาชน​อย่าง​ถูก​ต้อง​เพื่อ​ที่​ จะ​จัด​เก็บ​ภาษี​และ​จัด​บริการ​ทาง​สังคม​ให้​อย่าง​เพียง​พอ สำหรับ​นาย​ทะเบียน​ผู้​มี​อำนาจ​หน้าที่​ใน​การ​จด​ทะเบียน​ สมรส​นั้น​ พรบ.จด​ทะเบียน​ครอบครัว พ.ศ. 2478 และ​กฎ​กระทรวง​ที่​ออก​ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​นี้​กำหนด​ให้​นาย​ อำเภอห​ รือ​ปลัด​อำเภอผ​ ู้เ​ป็น​หัวหน้าก​ ิ่ง​อำเภอ​เป็น​นายท​ ะเบียน อทุ าหรณ์ ฎ. 772/2492 เมื่อ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​แล้ว ชาย​หญิง​ย่อม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​กฎหมาย ฉะนั้น​แม้​จะ ​ได้​ร้าง​กัน​ไป​ตั้ง 20–30 ปี ไม่มี​บุตร​ด้วย​กัน ทรัพย์​สมบัติ​แบ่ง​แยก​กัน​ไป​เป็น​สัดส่วน แต่​ตราบ​ใด​ที่​ยัง​มิได้​จด ​ทะเบียน​หย่า หญิง​นั้น​ยัง​เป็น​ภริยา​ชาย​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู่​นั่นเอง หาก​ชาย​อื่น​ไป​ยุ่ง​เกี่ยว​ทาง​ชู้สาว​ด้วย​แล้ว สามี​ทาง​ทะเบียน​มีส​ ิทธิฟ​ ้องเ​รียก​ค่าส​ ินไหม​ทดแทน​ฐานช​ ายช​ ู้​ได้ ฎ. 624/2503 หญิงต​ ่างด้าวท​ ำการ​สมรสก​ ับ​คน​ไทยต​ าม​ประเพณี ถือว่า​ยัง​ไม่​เป็นส​ ามีภ​ ริยา​กันต​ ามก​ ฎหมาย เพราะ​ยัง​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส หญิง​นั้น​จะ​อาศัย​สิทธิ​ใน​ฐานะ​ภริยา​คน​สัญชาติ​ไทย​ยื่น​คำร้อง​ต่อ​ศาล​เพื่อ​ได้​รับ​สิทธิ​ การ​เป็นค​ น​สัญชาติ​ไทย​ตาม​มาตรา 8 แห่ง พรบ.สัญชาติไ​ม่​ได้ ฎ. 1285/2508 โจทก์​ทำการ​สมรส​โดย​มิได้​จด​ทะเบียน การ​สมรส​นั้น​ไม่​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย บุตร​ที่​เกิด​ มา​จึง​เป็น​บุตร​นอก​สมรส​ของ​โจทก์ เมื่อ​โจทก์​ยัง​มิได้​จด​ทะเบียน​รับรอง​ว่า​เป็น​บุตร​ตาม ปพพ. โจทก์​จึง​มิใช่​บิดา​โดย​ ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​บุตร อำนาจ​ปกครอง​จึง​ตก​อยู่​แก่​มารดา และ​มารดา​เป็น​ผู้​แทน​โดย​ชอบ​ธรรม​ของ​บุตร โจทก์​ ไม่มีอ​ ำนาจ​ฟ้องผ​ ู้ท​ ี่ท​ ำให้​บุตร​ตาย ฎ. 1319/2512 ผู้เ​ยาว์​อายุ 18 ปี มีภ​ ริยาแ​ ต่​มิได้​จดท​ ะเบียนส​ มรส​ย่อมย​ ัง​ไม่​บรรลุ​นิติภาวะ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-31 มสธ ฎ. 3740/2525 การ​ที่​ผู้​ร้อง​เป็น​บุคคล​สัญชาติ​ไทย​ยื่น​คำร้อง​ร่วม​กับ​บุคคล​สัญชาติ​ญวน​ซึ่ง​เกิด​ที่​จังหวัด​มสธ อุบลราชธานี โดย​บิดา​มารดา​ได้​อพยพ​เข้า​มา​ใน​ราช​อาณาจักร​โดย​ไม่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย ขอ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน แต่​ ผู้​คัดค้าน​ซึ่ง​เป็น​นาย​ทะเบียน​บอกปัด​ไม่​รับ​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้ โดย​ถือ​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​สั่ง​ของ​กระทรวง​มหาดไทย​นั้นมสธ เนื่องจาก​คำ​สั่ง​ของ​กระทรวง​มหาดไทย​ดัง​กล่าว​มิได้​อาศัย​อำนาจ​ตาม​กฎหมาย​ฉบับ​ใด จึง​เป็น​เพียง​ระเบียบ​ภายใน​ ระหว่าง​เจ้า​หน้าที่​ของ​กระทรวง​มหาดไทย​ด้วย​กัน​เท่านั้น จะ​ใช้​บังคับ​แก่​บุคคล​ทั่วไป​เช่น​กฎหมาย​หา​ได้​ไม่ ผู้​คัดค้าน​ จึง​จะ​อ้างค​ ำ​สั่ง​ดังก​ ล่าวม​ า​เป็น​เหตุ​ไม่ย​ อมรับ​จดท​ ะเบียน​สมรสข​ อง​ผู้​ร้อง​ไม่​ได้ ฎ. 1950/2529 ผู้​ร้อง​ที่ 1 เป็น​คน​ญวน​ต่างด้าว ผู้​ร้อง​ที่ 2 มี​บัตร​ประจำ​ตัว​เป็น​คน​ญวน​อพยพ ได้​แต่งงาน ​กัน​และ​มี​บุตร​ด้วย​กัน ยื่น​คำร้อง​ขอ​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​นาย​อำเภอ​ใน​ฐานะ​นาย​ทะเบียน​ครอบครัว นาย​อำเภอ​ ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้ ผู้​ร้อง​จึง​มา​ร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​ให้​สั่ง​นาย​อำเภอ​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้​แก่​ผู้​ร้อง​นั้น ผู้​ร้อง​ไม่มี​หน้าที่​พิสูจน์​ถึง​ความ​สามารถ​ของ​บุคคล และ​เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​สัญชาติ​ของ​ผู้​ร้อง​ฝ่าย ​เดียว เมื่อ​ไม่มี​ฝ่าย​ใด​นำสืบ​ว่า​ตาม​กฎหมาย​สัญชาติ​ของ​ผู้​ร้อง คือ ประเทศ​เวียดนาม​ใน​เรื่อง​นี้​อยู่​อย่างไร กรณี​จึง​ ต้อง​บังคับ​ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​ว่า​ด้วย​การ​ขัด​กัน​แห่ง​กฎหมาย พ.ศ. 2481 กล่าว​คือ​ต้อง​บังคับ​ตาม ปพพ. เมื่อ​ ปรากฏ​ว่า​ผู้​ร้อง​ทั้ง​สอง​มี​เงื่อนไข​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​ได้​ครบ​ถ้วน​ตาม​กฎหมาย​แล้ว นาย​อำเภอ​ผู้​คัดค้าน​จะ​ปฏิเสธ​ไม่​ ยอมจ​ ดท​ ะเบียน​สมรส​ให้ผ​ ู้ร​ ้องไ​ม่ไ​ด้ ฎ. 4152/2532 การ​ที่​โจทก์​เอง​เป็น​ฝ่าย​ขอร้อง​จำเลย​ให้​มี​หนังสือ​สอบถาม​ไป​ยัง​สถาน​ทูต​เกี่ยว​กับ​ความ​เป็น ​โสดข​ องโ​จทก์ เพราะโ​จทก์ไ​ม่​สามารถเ​อาห​ นังสือร​ ับรองค​ วามเ​ป็นโ​สดจ​ ากส​ ถานท​ ูต​มาแ​ สดงไ​ด้ จำเลยจ​ ึง​ได้​ดำเนินการ​ ออก​หนังสือ​ดัง​กล่าว​ให้ แต่​เมื่อ​ยัง​ไม่​ได้​รับคำ​ตอบ​จาก​สถาน​ทูต จำเลย​จึง​ยัง​ไม่​ได้​พิจารณา​ว่า​จะ​จด​ทะเบียน​สมรส​ ให้​โจทก์​ตาม​คำร้อง​ขอ​หรือ​ไม่​นั้น การ​ที่​จำเลย​รอ​หนังสือ​รับรอง​ความ​เป็น​โสด​ของ​โจทก์​จาก​สถาน​ทูต เป็น​วิธี​การ​ อย่าง​หนึ่ง​เพื่อ​ให้​ได้​มา​ซึ่ง​หลัก​ฐาน​ว่า​โจทก์​เป็น​โสด ไม่​ต้อง​ห้าม​สมรส​ตาม ปพพ.มาตรา 1452 อัน​เป็น​เงื่อนไข ​ประการ​หนึ่ง​แห่ง​การ​สมรส​ซึ่ง​ต้อง​ใช้​เวลา​บ้าง จึง​ยัง​ถือ​ไม่​ได้​ว่า​จำเลย​ปฏิเสธ​การ​ขอ​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้​โจทก์ ยัง​ไม่มี​การโ​ต้​แย้งส​ ิทธิข​ องโ​จทก์ โจทก์จ​ ึงไ​ม่มี​อำนาจ​ฟ้อง​ให้จ​ ำเลยจ​ ด​ทะเบียนส​ มรส​ให้​แก่​โจทก์​ได้ ฎ. 235/2538 ปัญหา​ที่​ว่า​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​กับ​มารดา​ผู้​ตาย​หรือ​ไม่​เป็น​ประเด็น​สำคัญ​ แห่ง​คดี​ซึ่ง​หาก​จะ​ให้​ความ​ยุติธรรม​ดำเนิน​ไป​ด้วย​ดีแล้ว​จำเป็น​จะ​ต้อง​สืบ​พยาน​เอกสาร​ใบ​สำคัญ​การ​สมรส การ​ที่​ ศาลอ​ ุทธรณ์​รับฟ​ ัง​พยาน​เอกสาร​ดังก​ ล่าว​ที่ย​ ื่นโ​ดยผ​ ิด​ระเบียบ​จึง​ชอบ​ด้วย ป​วพ. มาตรา 87(2) ต้นฉบับ​ใบ​สำคัญ​การ ​สมรส​เป็น​เอกสาร​มหาชน​เพราะ​เป็น​เอกสาร​ที่​พนักงาน​เจ้า​หน้าที่​ตาม​กฎหมาย​ได้​ทำ​ขึ้น​เพื่อ​ประโยชน์​แก่​ประชาชน​ ใช้อ​ ้างอิง​จึง​สันนิษฐาน​ว่าเ​ป็น​ของแ​ ท้จริงแ​ ละ​ถูก​ต้อง​ตาม ปวพ. มาตรา 127 ฎ. 2510/2545 ผู้​ร้อง​มิใช่​ภริยา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​ผู้​ตาย แต่​ผู้​ตาย​ได้ที่​ดิน​มา​หลัง​จาก​อยู่​กิน​ด้วย​กัน ​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​ผู้​ร้อง​และ​ไม่​ปรากฏ​ว่า​เป็น​ทรัพย์​ที่​ได้​มา​โดย​การ​ให้​โดย​เสน่หา ที่ดิน​จึง​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​ผู้​ตาย​และ ผู้​ร้อง​เป็น​เจ้าของ​ร่วม​กัน ถือ​ได้​ว่า​ผู้​ร้อง​เป็น​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​ตาม​ ปพพ. มาตรา 1713 ผู้​ร้อง​จึง​มี​อำนาจ​ยื่น​คำร้อง​ขอ เ​ป็นผ​ ู้​จัดการม​ รดกผ​ ู้ต​ าย​ได้ การ​ที่​ชาย​หญิง​แม้​จะ​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภริยา​โดย​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็น​เหตุ​ให้​ไม่มี​สิทธิ​ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​สามี​ ภริยา​กัน​ตามก​ ฎหมาย​ต่อก​ ัน​ก็ตาม แต่ใ​น​ส่วน​ที่เ​กี่ยว​กับท​ รัพย์สิน​ที่ช​ าย​หญิงท​ ำม​ า​หาไ​ด้​ด้วยก​ ัน​นั้น ทั้งช​ ายแ​ ละ​หญิง​ มี​กรรมสิทธิ์​ร่วม​กัน เมื่อ​จะ​เลิก​ร้าง​กัน​จะ​ต้อง​แบ่ง​กัน​คนละ​ครึ่ง โดย​ไม่​คำนึง​ว่า​ฝ่าย​ไหน​จะ​เป็น​ฝ่าย​ทำได้​มาก​น้อย​ กว่า​กัน​อย่างไร ดัง​จะ​เห็น​ได้​จาก​ตัวอย่าง​ตาม​คำ​พิพากษา​ศาล​ฎีกา​ที่ 684/2508 ซึ่ง​วินิจฉัย​ว่า “โจทก์​จำเลย​แต่งงาน ก​ ันต​ าม​ประเพณีไ​ม่ไ​ด้จ​ ดท​ ะเบียน อยู่​กิน​กัน​ฉันส​ ามีภ​ ริยา ทำม​ าห​ ากิน​ร่วมก​ ัน จำเลยม​ ี​สิทธิข​ อ​แบ่งไ​ด้​ครึ่ง​หนึ่ง” มสธ มส

มส 2-32 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ อทุ าหรณ์มสธ ฎ. 5252/2533 โจทก์​จำเลยต​ ่างม​ ี​คู่​สมรสอ​ ยู่​ก่อนแ​ ล้ว ต่อ​มา​ได้​มา​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยาแ​ ละ​ช่วย​กัน​ประกอบ​ อาชีพ​ขับ​รถ​รับ​ส่ง​ผู้​โดยสาร ทรัพย์สิน​ที่​ทำ​มา​หา​ได้​ใน​ระหว่าง​นั้น​เป็น​ของ​โจทก์​และ​จำเลย​ร่วม​กัน​คนละ​เท่าๆ กันมสธ โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิ​ฟ้อง​ขอ​แบ่ง​ส่วน​ของ​โจทก์​จาก​จำเลย​ได้ และ​แม้​ทรัพย์สิน​ดัง​กล่าว​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​ขณะ​ที่​โจทก์​จำเลย​ อยู่​ร่วม​กัน​โดย​ยัง​มิได้​ขาด​จาก​การ​สมรส​อยู่​กับ​คู่​สมรส​เดิม​ก็​หา​เป็น​เหตุ​ขัดข้อง​ใน​การ​ขอ​แบ่ง​ไม่ แต่​ความ​สัมพันธ์​ ระหว่าง​โจทก์​จำเลย​หา​ใช่​เป็นห​ ุ้น​ส่วน​ตาม ปพพ. มาตรา 1012 ไม่ ฎ. 5438/2537 โจทก์​กับ​จำเลย​อยู่​กิน​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​แม้​ตาม​กฎหมาย​จะ​ไม่​ถือ ว่า​เป็น​สามี​ภริยา​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย จึง​ไม่มี​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​ก็ตาม แต่​ก็​หาก​ระ​ทบ​กระเทือน​ถึง​สิทธิ​ ใน​ทรัพย์สิน​ที่​โจทก์​กับ​จำเลย​จะ​พึง​มี​พึง​ได้​ตาม​กฎหมาย​ทั่วไป​ไม่ โจทก์​กับ​จำเลย​อยู่​กิน​และ​มี​บุตร​ด้วย​กัน 4 คน โจทก์​เป็น​แม่​บ้าน​มีหน้า​ที่​เลี้ยง​ดู​บุตร ส่วน​จำเลย​เป็น​ผู้​ทำ​มา​ค้าขาย​แล้ว​ออก​เงิน​ซื้อ​ที่ดิน​และ​บ้าน​พิพาท​ใช้​เป็น​ที่​อยู่​ อาศัย​ด้วย​กัน​ตลอด​มา พฤติการณ์​ย่อม​ถือ​ได้​ว่า​โจทก์​กับ​จำเลย​ร่วม​กัน​ทำ​มา​หากิน​และ​มี​เจตนา​เป็น​เจ้าของ​ใน​ทรัพย์​ ที่​ทำม​ า​หา​ได้​ร่วม​กัน ฎ. 620/2543 ฉ. อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ ช. โดย​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​และ​ได้​ร่วม​กัน​ทำ​มา​หากิน​โดย​การ​ ปล่อย​เงิน​กู้ ซื้อ​ขาย​ที่ดิน​และ​เป็น​นาย​หน้า​ขาย​ที่ดิน เงิน​ใน​บัญชี​เงิน​ฝาก​ประจำ​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่ ช. และ ฉ. ทำ​มา​หา​ ได้​ร่วม​กัน​ในร​ ะหว่าง​อยู่ก​ ิน​ฉัน​สามี​ภริยา ช. และ ฉ. จึงต​ ่าง​มีก​ รรมสิทธิ์​ร่วม​กันใ​น​เงิน​ดัง​กล่าว​และ​ต้อง​แบ่ง​ให้​คน​ละ​ เท่าๆ กัน โดยเ​ป็น​ทรัพย์ม​ รดก​ของ ช. กึ่งห​ นึ่ง และเ​ป็นท​ รัพย์ม​ รดก​ของ ฉ. กึ่ง​หนึ่ง สำหรบั ช​ ายแ​ ละห​ ญงิ ท​ ไี​่ ดจ​้ ดท​ ะเบยี นส​ มรสต​ อ่ น​ ายท​ ะเบยี นโ​ดยถ​ กู ต​ อ้ งต​ ามก​ ฎหมายแ​ ละไ​ดป​้ ฏบิ ตั ต​ิ ามเ​งือ่ นไข​ ของ​การ​สมรส​ใน​เรื่อง​ความ​สามารถ​ใน​การ​สมรส ความ​ยินยอม​ใน​การ​สมรส และ​ไม่​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​และ​สังคม​แล้ว การ​สมรสข​ อง​ชายห​ ญิง​ดัง​กล่าวเ​ป็น​อันส​ มบูรณ์ท​ ุกป​ ระการ เหต​ ุอ​ ื่นๆ นอกเ​หนือจ​ าก​นี้​หาไ​ด้​มี​ผลก​ระท​ บ​กระเทือนถ​ ึง​ ความส​ มบูรณข์​ องก​ ารส​ มรสท​ ีไ​่ ดม้​ กี​ ารจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรสไ​ปแ​ ล้วไ​ม่ เช่น ในข​ ณะท​ ีจ​่ ดท​ ะเบยี นส​ มรสส​ ามเ​ี ป็นโ​รคห​ นองใน​ ระยะ​แพร่​เชื้อ​อย่าง​ร้าย​แรง สามี​ภริยา​นับถือ​ศาสนา​แตก​ต่าง​กัน ซึ่ง​ตาม​ลัทธิ​ศาสนา​นั้นๆ ชาย​หญิง​จะ​สมรส​กับ​คน​ ต่าง​ศาสนา​ไม่ไ​ด้ หรือ​ภริยา​มีค​ รรภ์​กับช​ าย​อื่น​อยู่แ​ ล้ว เหล่าน​ ี้ หาไ​ด้​เป็นเ​หตุ​ที่จ​ ะ​ทำให้ก​ ารส​ มรส​เป็น​โมฆะ​หรือ​โมฆียะ​ ไม่ จะ​มี​ผลก​ ็แ​ ต่เ​พียง​อาจเ​ป็น​เหตุ​ฟ้องห​ ย่าใ​น​กรณี​ที่​โรคห​ นองใน​ยังร​ ักษาไ​ม่​หาย​และอ​ าจ​เป็น​ภัย​แก่​ภริยา ตามม​ าตรา 1516 (9) เท่านั้น ใน​ต่าง​ประเทศ​เช่น​ประเทศ​อังกฤษ กฎหมาย​ยัง​ได้​บัญญัติ​ไว้​ด้วย​ว่า การ​สมรส​นั้น​นอกจาก​จะ​ได้​ ปฏิบัติ​ตาม​เงื่อนไข​ใน​การ​สมรส​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้​แล้ว คู่​สมรส​จะ​ต้อง​ได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา (consum- mation) ด้วย มิ​ฉะนั้น​การ​สมรส​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆียะ การ​มิได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​หมาย​ถึง​การ​ที่​มิได้​ร่วม​ ประเวณี​กันโ​ดยว​ ิธีธ​ รรมดาแ​ ละ​โดยส​ มบูรณ์ ทั้งนี้​ไม่​ว่า​จะเ​กิด​ขึ้น​จากก​ ารห​ มด​สมรรถภาพ​ทางเ​พศ​ของค​ ู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​ ฝ่ายห​ นึ่งห​ รือก​ ารท​ ี่ค​ ู่ส​ มรสฝ​ ่ายท​ ี่เ​ป็นจ​ ำเลยจ​ งใจป​ ฏิเสธไ​มย่​ อมใ​หม้​ ีก​ ารร​ ่วมป​ ระเวณีก​ ็ได้ ในส​ หรัฐอเมริกา มลรัฐย​ ทู​ ่าห​ ์ การ​สมรส​ของ​บุคคล​ที่​เป็น​โรค​ซิฟิลิส​หรือ​โก​โน​เรีย​ใน​ระยะ​แพร่​เชื้อ​เป็นการ​สมรส​ที่​เป็น​โมฆะ30 มลรัฐ​แคลิฟอร์เนีย บุคคล​ที่​เป็น​กามโรค​ใน​ระยะ​แพร่​เชื้อ​หาก​ทำการ​สมรส​หรือ​ร่วม​ประเวณี​กับ​บุคคล​อื่น​เป็น​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ด้วย31 แต่ก​ ฎหมาย​ไทย​เราก​ ็ย​ ัง​ไม่​ก้าวไ​ป​ไกล​ถึงข​ นาด​นั้น​เช่นเ​ดียวกัน 2. แบบข​ องก​ าร​สมรส​ในต​ า่ ง​ประเทศ มาตรา 1459 “การส​ มรสใ​น​ต่าง​ประเทศ​ระหวา่ ง​คนท​ ม่ี​ ีส​ ญั ชาตไิ​ทยด​ ้วย​กนั หรอื ฝ​ ่าย​ใด​ฝ่ายห​ นึง่ ​ม​สี ญั ชาตไ​ิ ทย​ จะท​ ำ​ตาม​แบบท​ ​ก่ี ำหนด​ไวต​้ ามก​ ฎหมาย​ไทยห​ รอื ก​ ฎหมาย​แห่ง​ประเทศ​นัน้ ก​ ็ได้ 30 Section 30-1-2, Utah Code 31 Section 3198, California Health and Safety Code มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-33 มสธ ใน​กรณี​ท่ี​คู่​สมรส​ประสงค์​จะ​จด​ทะเบียน​ตาม​กฎหมาย​ไทย ให้​พนักงาน​ทูต​หรือ​กงสุล​ไทย​เป็น​ผู้รับ​จด​มสธ ทะเบียน” มสธ การ​สมรส​ใน​ต่าง​ประเทศ​ระหว่าง​คน​ที่​มี​สัญชาติ​ไทย​ด้วย​กัน​หรือ​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​มี​สัญชาติ​ไทย​จะ​ทำ​ตาม​ แบบ​กฎหมาย​ของ​ประเทศ​ที่ทำการ​สมรส​นั้น​ก็ได้ หรือ​จะ​ทำ​ตาม​แบบ​แห่ง​กฎหมาย​ไทย​ก็ได้ แล้ว​แต่​จะ​เลือก​แบบ​ใด​ แบบ​หนึ่ง​ตาม​ความ​สะดวก การ​สมรส​เช่น​ว่า​นั้น​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​ไทย​ทุก​ประการ เช่น​บุคคล​สัญชาติ​ไทย​สมรส ​กับบ​ ุคคลสัญชาติ​สเปน​ในป​ ระเทศ​สเปน หาก​กฎหมาย​ของ​ประเทศ​สเปน​บัญญัติ​ว่าการ​สมรส​จะส​ มบูรณ์​ต่อ​เมื่อ​ได้​ทำ การ​สมรส​ใน​โบสถ์​โดย​พระ​และ​ไม่​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว หาก​คู่​สมรส​ได้​ปฏิบัติ​ตาม​เงื่อนไข​เช่น​ว่า​นี้ การ​ สมรส​นั้น​ก็​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​ไทย​ด้วย แต่​ถ้า​บุคคล​สัญชาติ​ไทย​และ​บุคคล​สัญชาติ​สเปน​ดัง​กล่าว​ประสงค์​จะ​ทำ การ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​ไทย​ก็​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​โดย​มาตรา 1459 กำหนด​ให้​พนักงาน​ทูต​หรือ​กงสุล​ไทย ​ทำ​หน้าที่​เป็น​นาย​ทะเบียน​สมรส ซึ่ง​ใน​กรณี​นี้​ก็​จะ​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน ณ สถาน​เอกอัครราชทูต​ไทย​ประจำ​ ประเทศส​ เปน อทุ าหรณ์ ฎ. 45/2524 โจทก์​สมรส​ใน​ประเทศ​จีน​เมื่อ​โจทก์​อายุ 10 ปี​กับ​หญิง​อายุ 12 ปี​ ประเทศ​จีน​ไม่มี​กฎหมาย​ บังคับ​เรื่อง​อายุ​ของ​คู่​สมรส​และ​ไม่​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส ดังนี้​โจทก์​กับ​หญิง​นั้น​สมรส​กัน​ที่​ประเทศ​จีน​โดย​ชอบ​ด้วย​ กฎหมาย​ของ​ประเทศ​จีน​ใน​ขณะ​นั้น ​โจทก์​จึง​เป็น​สามี​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​หญิง​จีน​นั้น​ก่อน​เดิน​ทาง​มา​อยู่​ ประเทศไทย และ​ถือว่า​เป็นการ​สมรส​ที่​ชอบ​ตาม พรบ.ว่า​ด้วย​การ​ขัด​กัน​แห่ง​กฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 20 และ​ ไม่​ถือว่า​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน บุตร​ที่​เกิด​จาก​โจทก์​และ​หญิง​นั้น​จึง​เป็น​บุตร​ที่​ ชอบด​ ้วย​กฎหมายข​ องโ​จทก์ ฎ. 5887/2533 โจทก์​คน​สัญชาติ​ไทย จำเลย​คน​สัญชาติ​อินเดีย จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ถูก​ต้อง​ตาม​แบบ​ที่​ กำหนด​ไว้​ตาม พรบ. การ​สมรส ค.ศ. 1949 ของ​ประเทศ​อังกฤษ แม้​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​โดย​นาย​ทะเบียน​ประจำ​ สำนัก​ทะเบียน อำเภอ หรือ กิ่ง​อำเภอ หรือ​โดย​นาย​ทะเบียน ณ ที่ทำการ​สถาน​ทูต หรือ​กงสุล​ไทย​ก็ตาม เมื่อ​ได้​ทำ​ หนังสือ​หย่า​กัน​ด้วย​ความ​สมัคร​ใจ ทั้ง​ตาม​กฎหมาย​แห่ง​สัญชาติ​ของ​โจทก์​และ​จำเลย​ต่าง​ก็​ยินยอม​ให้​คู่​สมรส​หย่า​กัน​ โดยค​ วามย​ ินยอมไ​ด้ ศาล​ไทยจ​ ึง​มี​อำนาจพ​ ิจารณาพ​ ิพากษา การ​หย่าโ​ดย​ทำห​ นังสือห​ ย่า​กันเองม​ ี​ผล​สมบูรณ์ใ​ช้​บังคับ​ กัน​ได้​แต่​เฉพาะ​ระหว่าง​โจทก์​กับ​จำเลย​เท่านั้น จะ​อ้าง​เป็น​เหตุ​ให้​เสื่อม​สิทธิ​ของ​บุคคล​ภายนอก​ผู้​ทำการ​โดย​สุจริต​ไม่​ ได้ เว้น​แต่​จะ​ได้​จด​ทะเบียน​หย่า​แล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 1515 หาก​จำเลย​ไม่​ยอม​ไป​จด​ทะเบียน​หย่า​เท่ากับ​จำเลย ​โต้​แย้ง​สิทธิ​ของโ​จทก์​ที่ม​ ีอ​ ยู่ต​ าม​หนังสือ​หย่า โจทก์​จึง​ชอบท​ ี่​จะ​ฟ้อง​ขอ​ให้​ศาล​พิพากษา​ให้​โจทก์​จำเลย​หย่าข​ าด​จากก​ ัน​ ได้​โดย​ไม่​จำเป็น​ต้อง​มี​เหตุ​หย่า​ตาม ปพพ. มาตรา 1516 และ​การ​ฟ้อง​ของ​โจทก์​เช่น​นี้​ก็​เพื่อ​โจทก์​จะ​ได้​ดำเนิน​การ​ให้​ นาย​ทะเบียนบ​ ันทึก​ไว้​ในท​ ะเบียน​ตามม​ าตรา 16 แห่ง พรบ.จดท​ ะเบียนค​ รอบ​ครัวฯ 3. แบบ​ของก​ ารส​ มรส​ใน​พฤตกิ ารณ​์พเิ ศษ ใน​กรณี​ที่​มี​พฤติการณ์​พิเศษ​ซึ่ง​ไม่​อาจ​ทำการ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ได้​เพราะ​ชาย​หรือ​หญิง​ฝ่าย​ ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย หรือ​อยู่​ใน​ภาวะ​การ​รบ​การ​สงคราม กฎหมาย​ยอม​ให้​มี​ การ​สมรสใ​น​เหตุฉ​ ุกเฉิน (marriage in articulo mortis) ได้​ดัง​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1460 ดังนี้ “เม่ือม​ ีพ​ ฤติการณ​์ พิเศษ​ซึ่ง​ไม่​อาจ​ทำการ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ได้ เพราะ​ชาย​หรือ​หญิง​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ท้ัง​สอง​ฝ่าย​ ตกอยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย หรือ​อยู่​ใน​ภาวะ​การ​รบ​หรือ​สงคราม ถ้า​ชาย​และ​หญิง​น้ัน​ได้​แสดง​เจตนา​จะ​สมรสกัน​ ต่อ​หน้า​บุคคล​ซ่ึง​บรรลุ​นิติภาวะ​ท่ี​อยู่ ณ ท่ี​นั้น​แล้ว​ให้​บุคคล​ดัง​กล่าว​จด​แจ้ง​การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ของ​ชาย​ และ​หญิง​น้ัน​ไว้​เป็น​หลัก​ฐาน และ​ต่อ​มา​ชาย​หญิง​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ภายใน​เก้า​สิบ​วัน​นับ​แต่​วัน​ท่ี​อาจ​ทำการ​ มสธ มส

มส 2-34 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ จดทะเบียน​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ได้ โดย​แสดง​หลัก​ฐาน​ต่อ​นาย​ทะเบียน​และ​ให้​นาย​ทะเบียน​จด​แจ้ง​วัน เดือน ปี สถาน​ท่ี​มสธ ที่​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส และ​พฤติการณ์​พิเศษ​นั้น​ไว้​ใน​ทะเบียน​สมรส ให้​ถือว่า​วัน​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ ต่อบ​ คุ คล​ดัง​กลา่ ว​เป็น​วนั ​จดท​ ะเบยี นส​ มรส​ต่อ​นายท​ ะเบียน​แล้วมสธ ความ​ใน​มาตรา​น้ี​มิ​ให้​ใช้​บังคับ​ถ้า​หาก​จะ​มี​การ​สมรส​ใน​วัน​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส การ​สมรส​น้ัน​จะ​ตก​ เป็น​โมฆะ” การ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​นี้​จะ​ต้อง​มี​พฤติการณ์​พิเศษ​ซึ่ง​ไม่​อาจ​ทำการ​จด​ทะเบียน​สมรส​ต่อ​หน้า​นาย​ทะเบียน​ ตาม​วิธี​การ​ปกติ​ได้ เพียง​แต่​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย​หรือ​อยู่​ใน​ภาวะ​การ​รบ​หรือ​สงคราม ถ้า​ยัง​อาจ​จด ท​ ะเบียน​สมรส​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ได้แ​ ล้วก​ ็​จะแ​ สดงเ​จตนา​สมรสก​ ัน​โดย​อาศัย​มาตรา 1460 ไม่​ได้ การ​ตก​อยู่​ในอ​ ันตราย​ ใกล้​ความ​ตาย (on the point of death) แตก​ต่าง​จาก​การ​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ที่​อาจ​ถึง​ตาย (in danger of death) เช่น ทหาร​ที่​กำลัง​จะ​ออก​ไป​สู่​สมรภูมิ​เป็น​เพียง​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ที่​อาจ​ถึง​ตาย แต่​มิใช่​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ ตาย จึง​จะ​ขอ​ทำการ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ไม่​ได้ การ​แสดง​เจตนา​สมรส​ของ​ชาย​และ​หญิง​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​นี้ กฎหมาย​ กำหนด​ให้​ต้อง​แสดง​เจตนา​ต่อ​บุคคล​ผู้​บรรลุ​นิติภาวะ​ที่​อยู่ ณ ที่​นั้น และ​บุคคล​ผู้​บรรลุ​นิติภาวะ​นี้​จะ​ต้อง​เป็น​บุคคล ​ที่​อ่าน​ออก​เขียน​ได้​ด้วย เพราะ​กฎหมาย​กำหนด​ให้​ต้อง​จด​แจ้ง​การ​แสดง​เจตนา​ของ​ชาย​และ​หญิง​ไว้​เป็น​หลัก​ฐาน​เพื่อ​ นำ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​อีก​ภายใน 90 วัน​หลัง​จาก​ที่​ผ่าน​พ้น​เหตุ​ฉุกเฉิน​นั้น​มา​แล้ว ซึ่ง​จะ​ทำให้​การ​สมรส​เช่น​ว่า​นี้​ มี​ผล​ย้อน​หลัง​ไป​ตั้งแต่​วัน​ที่​แสดง​เจตนา​สมรส​กัน มิใช่​มี​ผล​ใน​วัน​จด​ทะเบียน​สมรส​เหมือน​เช่น​การ​สมรส​ตาม​ปกติ ตัวอย่าง​เช่น ชาย​หญิง​เดิน​ทางใน​เรือ​เดิน​ทะเล เรือ​อับปาง​ว่าย​น้ำ​ขึ้น​ไป​อยู่​บน​เกาะ​ร้าง​พร้อม​กับ​ผู้​โดย​สา​รอื่นๆ ชาย​ หญิง​คู่​นั้น​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ใกล้​ความ​ตาย​จึง​ได้​แสดง​เจตนา​สมรส​กัน​ต่อ​หน้า​บุคคล​ที่​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว และ​บุคคล​ ผู้​บรรลุ​นิติภาวะ​ได้​จด​แจ้ง​การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ของ​ชาย​หญิง​ไว้​เป็น​หลัก​ฐาน ต่อ​มา​มี​เรือ​มา​รับ​ขึ้น​ฝั่ง​มา​ ได้​และ​มา​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ต่อ​นาย​ทะเบียน​สมรส​ภายใน​กำหนด 90 วัน​แล้ว ต้อง​ถือว่า​การ​สมรส​ของ​ชาย​หญิง ​คู่​นี้​มี​ผล​ย้อน​หลัง​ไป​ตั้งแต่​วัน​ที่​แสดง​เจตนา​จะ​ทำการ​สมรส​เมื่อ​อยู่​บน​เกาะ​ร้าง ฉะนั้น​หาก​เกิด​บุตร​ด้วย​กัน​ก็​ต้อง​ ถือว่า​เป็น​บุตร​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย ทรัพย์สิน​ที่​หา​มา​ได้​ระหว่าง​ที่​อยู่​บน​เกาะ เช่น ขุด​เพชร​ได้​บน​เกาะ​ร้าง​ก็​ต้อง​ถือว่า เป็นส​ ิน​สมรส​ที่ท​ ั้งค​ ู่ม​ ี​ส่วน​ร่วมก​ ันต​ าม​กฎหมาย เป็นต้น อย่างไร​ก็​ดี หาก​ใน​วัน​ที่​ชาย​และ​หญิง​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​นั้น​ชาย​หญิง​คู่​นี้​ไม่​อาจ​ สมรส​กัน​ได้ เพราะ​ขัด​ต่อ​เงื่อนไข​สำคัญ​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้ อัน​จะ​ทำให้​การ​สมรส​นี้​เป็น​โมฆะ​แล้ว ชาย​และ​หญิง​จะ​ ถือ​เหตุ​ฉุกเฉิน​มา​ทำการ​สมรส​กัน​ไม่​ได้ การ​สมรส​นั้น​ยัง​คง​เป็น​โมฆะ​อยู่​นั่นเอง เช่น กรณี​เรือ​อับปาง ตาม​ตัวอย่าง​ ข้าง​ต้น หาก​ชาย​มี​ภริยา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู่​แล้ว​ใน​วัน​ที่​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​บน​เกาะ​ร้าง แม้​ต่อ​มา​ ภาย​หลัง​ภริยา​ของ​ชาย​ได้​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​แล้ว ชาย​จึง​ได้​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​หญิง​นั้น​ภายใน 90 วัน​ก็ตาม การ​แสดง​เจตนา​จะ​สมรส​บน​เกาะ​ร้าง​ก็​ไม่มี​ผล​อะไร​คง​มี​ผล​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตั้งแต่​เมื่อ​จด​ทะเบียน​สมรส​เท่านั้น ทั้งนี้​ ตามท​ ี่บ​ ัญญัติไ​ว้​ใน​มาตรา 1460 วรรค​สอง เพราะใ​นว​ ัน​ที่​แสดง​เจตนาท​ ำการส​ มรสบ​ นเ​กาะ​ร้างน​ ั้นเ​ป็นการส​ มรส​ซ้อน​ ซึ่ง​การ​สมรส​ที่​ซ้อน​กัน​นี้​เป็น​โมฆะ นอกจาก​นี้​การ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​นี้​เป็นการ​สมรส​ของ​คน​ที่​ตก​อยู่​ใน​อันตราย​ ใกล้​ความ​ตาย​เช่น​เกิด​โรค​ระบาด เรือ​แตก หรือ​เกิด​ภาวะ​การ​รบ​หรือ​สงคราม มิใช่​เป็นการ​สมรส​ของ​คน​แก่​ที่​ใกล้​ ความต​ าย เช่น ชาย​หญิงร​ ักก​ ัน​มา​ตั้งแ​ ต่ส​ าวๆ พอม​ ีอายุ 80–90 ปี แก่ใ​กล้​จะต​ ายจ​ ึง​แสดงเ​จตนาส​ มรส​กัน เพียงเ​ท่าน​ ี้​ จะ​อ้าง​พฤติการณ์​พิเศษ​เพื่อ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ตาม​มาตรา 1460 นี้​ไม่​ได้ ซึ่ง​ใน​เรื่อง​นี้​พอ​จะ​เทียบ​เคียง​ได้​กับ​เรื่อง​ การ​ทำ​พินัยกรรม​ด้วย​วาจาใ​น​พฤติการณ์​พิเศษ ตามม​ าตรา 1663 ได้ เช่น ฎ. 726/2496 ซึ่งว​ ินิจฉัย​ว่า “คน​ป่วยเ​ป็น โ​รค​ลม​จุก​เสียด ไม่ใช่โ​รคร​ ะบาด​อันจ​ ะ​เป็น​เหตุใ​ห้ท​ ำพ​ ินัยกรรม​ด้วย​วาจาไ​ด้” เป็นต้น อย่างไร​ก็ตามก​ ารส​ มรส​ใน​เหตุ​ ฉุกเฉิน​นี้​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​เช่น​เดียว​กับ​การ​สมรส​ตาม​ปกติ คือ​จะ​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​ภายใน 90 วัน นับ​แต่​วัน​ที่​อาจ​จด​ทะเบียน​ได้ หาก​ไม่มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​ก็​ไม่มี​ผล​เป็นการ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​แต่​อย่าง​ใด และ ช​ ายห​ รือ​หญิง​ฝ่ายใ​ด​ฝ่ายห​ นึ่ง​จะ​บังคับใ​ห้อ​ ีกฝ​ ่ายห​ นึ่ง​ไป​จดท​ ะเบียนส​ มรส​กัน​ก็​ไม่​ได้ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-35 มสธ ใน​ต่าง​ประเทศ​เช่น​ประเทศ​ฟิลิปปินส์ กฎหมาย​ให้​อำนาจ​กัปตัน​เรือ​และ​กัปตัน​เครื่อง​บิน​ที่​จะ​ทำ​พิธี​สมรส​มสธ ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ให้​มี​ผล​ตาม​กฎหมาย​ได้ หาก​เหตุ​ดัง​กล่าว​เกิด​ขึ้น​ใน​ขณะ​ที่​ชาย​หญิง​กำลัง​เดิน​ทาง หรือ​ใน​กรณี​ที่​เกิด​ สงคราม​ผู้​บังคับ​บัญชา​หน่วย​ทหาร​ก็​มี​อำนาจ​ทำ​พิธี​สมรส​ได้​เช่น​เดียวกัน32 ซึ่ง​แตก​ต่าง​จาก​ของ​ไทย​เรา​ที่​กำหนด​ให้​มสธ ชาย​หญิง​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ต่อ​บุคคล​ซึ่ง​บรรลุ​นิติภาวะ​อัน​เป็นการ​เปิด​กว้าง​กว่า​และ​ใน ​บาง​กรณี​ก็​ให้​อำนาจ​กัปตัน​เรือ​ที่​จะ​รับคำ​ร้องขอ​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย​วาจา หรือ​ด้วย​กิริยา​ก็ได้ แต่​ต้อง​มี​การ​ไป จ​ ดท​ ะเบียนส​ มรสอ​ ีกค​ รั้งห​ นึ่ง33 กิจกรรม 2.1.5 1. นายแ​ ดงแ​ ละ​นางสาวด​ ำ​สนทิ ส​ นม​กัน​มา​ตั้งแต่เ​ดก็ เ​พราะ​เกิดว​ ัน​เดียวกัน และ​อายเุ​ท่าก​ ัน​เมอื่ อ​ ายุ 17 ปี บุคคล​ท้งั ส​ อง​เดินท​ างจ​ าก​ต่างจ​ งั หวัด​เขา้ ​มาศ​ ึกษา​ตอ่ ​ขัน้ ​อดุ มศกึ ษาใ​น​กรงุ เทพมหานคร หลังจ​ าก​ศกึ ษา​อยู่ 4 ปี กจ็​ บก​ ารศ​ ึกษา นายแ​ ดงแ​ ละน​ างสาวด​ ำม​ ค​ี วามป​ ระสงคท​์ จี​่ ะส​ มรสก​ ันจ​ ึงพ​ าก​ ันไ​ปท​ สี​่ ถานตี​ ำรวจนครบาลบ​ างซ่ือ​ และ​ขอ​ให้​นาย​ร้อย​เวร​บันทึก​ไว้​ใน​สมุด​บันทึก​ประจำ​วัน​ของ​สถานี​ตำรวจ​ว่า​บุคคล​ท้ัง​สอง​ตกลง​ยินยอม​เป็น​สามี​ ภรยิ าก​ นั ต​ ง้ั แตบ​่ ดั นเ​ี้ ปน็ ตน้ ไ​ป ซงึ่ น​ ายร​ อ้ ยเ​วรก​ บ​็ นั ทกึ ใ​หต​้ ามค​ วามป​ ระสงค์ ทงั้ นโ้ี​ดยบ​ ดิ าม​ ารดาข​ องน​ ายแ​ ดงแ​ ละ​ นางสาวด​ ำม​ ิได้​รู้เ​หน็ ย​ นิ ยอม​ในก​ าร​นีด้​ ว้ ยแ​ ต่​อย่าง​ใด บคุ คลท​ ั้งส​ องอ​ ยู​ก่ ิน​ด้วย​กนั ​ฉนั ส​ ามภ​ี รยิ า​หลังจ​ าก​นน้ั ​ตลอด​ มา ตอ่ ม​ าบ​ ดิ าม​ ารดาข​ องน​ ายแ​ ดงแ​ ละน​ างสาวด​ ำท​ ราบเ​รอื่ งจ​ งึ ม​ าป​ รกึ ษาท​ า่ นเ​พอื่ ท​ จ​ี่ ะฟ​ อ้ งข​ อใ​หศ​้ าลเ​พกิ ถ​ อนก​ าร​ สมรส​ครัง้ ​นี้ จง​แนะนำบ​ ิดา​มารดาข​ อง​นายแ​ ดง​และน​ างสาวด​ ำ 2. นาย​กำจร​เดิน​ทาง​ไป​เที่ยว​ประเทศ​จีน​ไป​ถึง​เมือง​เซ่ียงไฮ้ เกิด​รัก​ใคร่​ชอบพอ​กับ​นางสาว​หมี​เซ้ี​ยะ จึง​ ทำการ​สมรส​กัน​ตาม​แบบ​ของ​ประเทศ​จีน โดย​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน นาย​กำจร​พา​นางสาว​หมี​เซี้​ยะ​กลับ​มา​ อย​ู่ประเทศไทย​และ​อยก่​ู ินด​ ว้ ยก​ ัน​ฉนั ส​ ามี​ภริยาม​ า​ได้ 2 ป​ีแล้ว โดย​มไิ ดจ้​ ดท​ ะเบียน​สมรสก​ บั น​ างสาวห​ ม​ีเซ้​ยี ะ​ตาม​ กฎหมายไ​ทยแ​ ตอ​่ ยา่ งใ​ด ขณะน​ น​้ี ายก​ ำจรส​ นิ้ ร​ กั น​ างสาวห​ มเ​ี ซย​ี้ ะแ​ ลว้ แ​ ละม​ ค​ี วามป​ ระสงคจ​์ ะท​ ำการส​ มรสใ​หมก​่ บั ​ นางสาวอ​ มรา นายก​ ำจร​จะ​มช​ี ่องท​ าง​กระทำไ​ด​ต้ าม​ความป​ ระสงคห์​ รือไ​ม่ 3. นายก​ล้า และ​นาย​หาญ อายุ 22 ปี ไป​เท่ียว​ดอย​ผา​จิ เดิน​หลง​ทาง​เข้าไป​ใน​ป่า​ลึก อด​อาหาร​และ​น้ำ​ เป็น​เวลา 3 วัน​แล้ว นายกล​ า้ ​ถูก​งกู​ ัดใ​กลจ้​ ะ​ถงึ แก​่ความต​ าย​บังเอิญน​ างสาว​แม้ว อายุ 16 ปี 9 เดอื น พบเห็น​เขา้ ​จงึ ​ ชว่ ยเ​หลอื ด​ ดู พ​ ษิ ง​ อ​ู อกใ​ห้ แตน​่ ายกล​ า้ ร​ สู้ กึ อ​ อ่ นเพลยี ม​ ากค​ ดิ ว​ า่ ต​ นเองจ​ ะต​ อ้ งต​ ายแ​ นจ​่ งึ ข​ อท​ ำการส​ มรสก​ บั น​ างสาว​ แมว้ นางสาว​แมว้ ย​ ินยอมส​ มรสด​ ้วย นายกล​ ้าแ​ ละ​นางสาว​แมว้ ไ​ด้​แสดง​เจตนา​จะ​สมรสก​ ัน​ต่อ​หนา้ ​นาย​หาญ โดย​ นาย​หาญ​ได้​บันทึก​การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ดัง​กล่าว​ไว้​บน​เปลือก​ไม้ บุคคล​ทั้ง​สาม​หลง​ทาง​อยู่​ใน​ป่า​ลึก​ เป็น​เวลา 4 เดอื น จึง​กลับม​ าส​ ​ู่ในเ​มือง​ได้ ดงั น้ี (1) ถ้า​นายก​ล้า​และ​นางสาว​แม้ว​ได้​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน โดย​พา​นาย​หาญ​และ​นำ​เปลือก​ไม้​ที่​ บันทึก​การ​แสดง​เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​ไป​แสดง​ต่อ​นาย​ทะเบียน​ด้วย เมื่อ​นาย​ทะเบียน​จด​ทะเบียน​สมรส​ให้​แล้ว การ​สมรส​ของบ​ คุ คลท​ ้ัง​สองม​ ผี​ ลเ​มอ่ื ใ​ด (2) ถา้ น​ ายกล​ า้ ไ​มย​่ อมท​ ำการจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสก​ บั น​ างสาวแ​ มว้ นางสาวแ​ มว้ จ​ ะฟ​ อ้ งต​ อ่ ศ​ าลข​ อใ​ห​้ บังคับ​ใหน​้ ายกล​ า้ ​จด​ทะเบียนส​ มรส​กบั ต​ น​ไดห​้ รอื ไ​ม่ 32 Article 55, 56 The Civil Code of the Philippines. 33 มาตรา 14 พระ​ราช​บัญญัติจ​ ดท​ ะเบียน​ครอบครัว พ.ศ. 2478 มสธ มส

มส 2-36 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก แนวต​ อบ​กิจกรรม 2.1.5 1. นายแ​ ดง​และน​ างสาว​ดำ อายุ 21 ปี บรรลนุ​ ิตภิ าวะ​แล้ว สามารถท​ ำการ​สมรสก​ นั ​ได้โ​ดย​ไมต​่ ้อง​ได​ร้ บั ​ ความย​ นิ ยอมข​ อง​บิดา​มารดาห​ รือ​ผ้​ูปกครอง แต่​การ​สมรสจ​ ะ​ต้องม​ ก​ี ารจ​ ด​ทะเบียน​สมรส ณ ทวี่​ า่ การ​อำเภอ หรือ​ ทที่ ำการเ​ขต การไ​ปบ​ นั ทกึ ไ​ว้ ณ สถานตี​ ำรวจไ​มม่ ผ​ี ลเ​ปน็ การส​ มรสต​ ามก​ ฎหมาย จงึ ไ​มจ​่ ำเปน็ ต​ อ้ งด​ ำเนนิ ก​ ารอ​ ยา่ ง​ ใด 2. การส​ มรสร​ ะหวา่ งน​ ายก​ ำจรก​ บั น​ างสาวห​ มเ​ี ซย​้ี ะท​ เ​ี่ มอื งเ​ซยี่ งไฮ้ ตามแ​ บบข​ องป​ ระเทศจ​ นี ส​ มบรู ณใ​์ ช​้ บงั คบั ไ​ดต​้ ามม​ าตรา 1456 โดยไ​มจ​่ ำเปน็ ต​ อ้ งจ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสต​ ามก​ ฎหมายไ​ทยแ​ ตอ​่ ยา่ งใ​ด นายก​ ำจรจ​ งึ ม​ ค​ี ส​ู่ มรส​ อยู​่แล้ว จะท​ ำการ​สมรส​ใหมก่​ บั น​ างสาวอ​ มรา​ไม่​ได้ 3. (1) การ​สมรส​ระหว่าง​นายก​ล้า​และ​นางสาว​แม้ว มี​ผล​ย้อน​หลัง​ไป​ต้ังแต่​วัน​ที่​บุคคล​ทั้ง​สอง​แสดง​ เจตนา​ขอ​ทำการ​สมรส​กัน​ใน​ปา่ เพราะ​เป็นการ​สมรส​ใน​เหต​ุฉุกเฉนิ ตาม​มาตรา 1460 การ​ท่ี​นางสาว​แม้ว​อาย​ุยงั ​ ไม​ค่ รบ 17 ปี เป็นเ​พยี งก​ ารส​ มรส​ทเ่ี​ป็นโ​มฆยี ะ​เทา่ นนั้ ไม​ต่ ้องห​ ้าม​ตาม​มาตรา 1460 วรรคส​ อง (2) นางสาว​แม้ว​จะ​ฟ้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​ให้​บังคับ​ให้​นายก​ล้า​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ตน​ไม่​ได้​มาตรา 1460 มิไดใ้​หอ​้ ำนาจ​ไว้ มสธ มสธ มสธ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-37 มสธ ตอนท​ ่ี 2.2มสธ ความส​ ัมพนั ธ์​ระหว่าง​สามีภ​ รยิ า มสธ โปรด​อ่านห​ ัว​เรื่อง แนวคิด และ​วัตถุประสงค์​ของต​ อน​ที่ 2.2 แล้ว​จึงศ​ ึกษาร​ ายล​ ะเอียด​ต่อ​ไป หวั เ​รอื่ ง 2.2.1 การอ​ ยู่ก​ ิน​และอ​ ุปการะ​เลี้ยงด​ ูก​ ัน 2.2.2 การแ​ ยก​กันอ​ ยู่ช​ ั่วคราว 2.2.3 ความเ​ป็น​คน​วิกลจริตห​ รือ​จิตฟ​ ั่น​เฟือน 2.2.4 การใ​ช้​คำนำ​หน้า​นาม ชื่อส​ กุล และส​ ัญชาติ แนวคดิ 1. เมื่อ​ชาย​และ​หญิง​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​แล้ว กฎหมาย​กำหนด​หน้าที่​ให้​ต้อง​อยู่​กิน​ ด้วย​กันแ​ ละ​ช่วยเ​หลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดูก​ ัน​ตามค​ วามส​ ามารถแ​ ละ​ฐานะ​ของ​บุคคล 2. ในก​ รณที​ ีส่​ ามภี​ ริยาไ​มอ่​ าจอ​ ยูก่​ ินด​ ้วยก​ ันโ​ดยป​ กตสิ​ ุขไ​ด้ หรือห​ ากก​ ารอ​ ยูก่​ ินด​ ้วยก​ ันจ​ ะเ​ป็นอ​ ันตราย​ แก่​กาย​หรือ​จิตใจ หรือ​ทำลาย​ความ​ผาสุก​อย่าง​มาก​แล้ว สามี​หรือ​ภริยา​มี​สิทธิ​ที่​จะ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ เพื่อ​ขอ​อนุญาต​ให้​ตน​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​เป็นการ​ชั่วคราว​ก็ได้ โดย​ไม่​จำเป็น​ต้อง​หย่า​ขาด​ จาก​กัน 3. ใน​ระหว่าง​ที่อ​ ยู่ก​ ินด​ ้วย​กัน หาก​สามีห​ รือภ​ ริยา​เกิด​วิกลจริต หรือ​จิต​ฟั่น​เฟือน อีก​ฝ่าย​หนึ่งจ​ ะ​ต้อง​ อุปการะ​เลี้ยงด​ ู รักษาพ​ ยาบาลแ​ ละค​ ุ้มครอง​ดูแล​ให้​มี​ความ​ปลอดภัย​ทางก​ าย จิตใจ​และท​ รัพย์สิน​ ตาม​สมควร และ​หาก​จำเป็น​ต้อง​ถูก​สั่ง​ให้เ​ป็น​คนไ​ร้ค​ วามส​ ามารถ​หรือ​เสมือน​ไร้​ความส​ ามารถ อีก​ ฝ่ายห​ นึ่งจ​ ะต​ ้อง​เป็นผ​ ู้อ​ นุบาล หรือ​ผู้​พิทักษ์ 4. ห ญิง​ที่​สมรส​แล้ว​จะ​เลือก​ใช้​คำนำ​หน้า​นาม​เป็น “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ คู่​สมรส​อาจ​ใช้​นาม สกุล​ของ​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​หรือ​ใช้​นามสกุล​เดิม​ของ​ตน​ตาม​แต่​สมัคร​ใจ และ​หญิง​ต่างด้าว​อาจ​ขอ​ถือ​ สัญชาติไ​ทยต​ าม​สามี​ได้ วัตถุประสงค์ เมื่อศ​ ึกษาต​ อน​ที่ 2.2 จบแ​ ล้ว นักศึกษาส​ ามารถ 1. อธิบายห​ น้าที่ข​ อง​สามี​ภริยา​ในก​ าร​อยู่​กิน​และอ​ ุปการะ​เลี้ยงด​ ู​กัน​ได้ 2. อธิบายแ​ ละว​ ินิจฉัยป​ ัญหาใ​น​การท​ ี่​สามีภ​ ริยาจ​ ะ​ขอ​แยกก​ ัน​อยู่​ต่างห​ ากเ​ป็นการ​ชั่วคราว​ได้ 3. อ ธิบาย​วิธี​ปฏิบัติ​เมื่อ​สามี​หรือภ​ ริยา​เกิดว​ ิกลจริต หรือจ​ ิตฟ​ ั่นเ​ฟือน​หรือ​ตก​เป็นค​ นไ​ร้​ความส​ ามารถ​ ใน​ระหว่างท​ ี่​อยู่ก​ ิน​ด้วย​กัน​ได้ 4. อธิบาย​การเ​ปลี่ยน​คำนำ​หน้า​นาม นามสกุล และส​ ัญชาติ​ของห​ ญิงม​ ี​สามี​ได้ มสธ มส

มส 2-38 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรื่อง​ท่ี 2.2.1มสธ การอ​ ยู่​กนิ แ​ ละ​อุปการะ​เลีย้ ง​ดกู​ นั มสธ มาตรา 1461 “สามภ​ี ริยาต​ อ้ ง​อย​ู่กนิ ​ด้วย​กัน​ฉันส​ าม​ภี รยิ า สามภี​ รยิ า​ตอ้ ง​ชว่ ยเ​หลอื ​อปุ การะ​เลย้ี ง​ดก​ู นั ​ตาม​ความ​ สามารถ​และฐ​ านะข​ อง​ตน” กฎหมายก​ ำหนด​ให้​สามี​ภริยา​อยู่ร​ ่วมก​ ัน​โดย​มีหน้า​ที่ 2 ประการ คือ 1. การอ​ ยู่ก​ ินด​ ้วย​กันฉ​ ัน​สามี​ภริยา 2. การอ​ ุปการะเ​ลี้ยงด​ ู​กัน 1. การอ​ ย่​ูกินด​ ้วยก​ นั ​ฉนั ​สามี​ภริยา วัตถุประสงค์​แห่ง​การ​สมรส​ก็​เพื่อ​จะ​ให้​ชาย​หญิง​ได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ทำให้​เป็น​ครอบครัว​มี​ลูก​ มี​หลาน​สืบ​ตระกูล​ต่อ​ไป กฎหมาย​จึง​บัญญัติ​ให้​เป็น​ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​สามี​ภริยา​ข้อ​แรก​ว่า สามี​ภริยา​ต้อง​อยู่​กิน ​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา การ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ตาม​ประเพณี​ย่อม​เป็น​ที่​รู้​กัน​ทั่วไป​แล้ว​ว่า​หมาย​ถึง​การ​อยู่​ร่วม ​บ้าน​เดียวกัน (to share a common home) ร่วม​ชีวิต​ใน​การ​ครอง​เรือน (domestic life) และ​ทั้ง​ร่วม​ประเวณี​ ต่อ​กัน​ด้วย หาก​อยู่​ด้วย​กัน​พูด​คุย​กัน รับ​ประทาน​อาหาร​ร่วม​กัน แต่​ไม่​ได้​ร่วม​ประเวณี​ด้วย ก็​ไม่​ถือว่า​ได้​อยู่​กิน ​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา การ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​นี้​ย่อม​แล้ว​แต่​ประเพณี​ของ​ผู้​เป็น​สามี​ภริยา​จะ​พึง​ประพฤติ​ปฏิบัติ​ต่อ​กัน ​โดย​ทั่วๆ ไป ทั้งนี้​โดย​คำนึง​ถึง​อายุ สุขภาพ ฐานะ​ทาง​สังคม​และ​สภาวะ​ทางการ​เงิน​ของ​สามี​ภริยา​ด้วย เช่น สามี​เป็น​ คน​ขับ​เครื่อง​บิน​โดยสาร 4–5 วัน จึง​จะ​กลับ​มา​เมือง​ไทย​ครั้ง​หนึ่ง อย่าง​นี้​ถือ​ได้​ว่า​ได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ แล้ว อย่างไรก​ ็ด​ ีก​ าร​ที่ค​ ู่​สมรส​ฝ่ายห​ นึ่ง​ไม่​ยอมอ​ ยู่ก​ ินด​ ้วย​กันก​ ับ​อีก​ฝ่าย​หนึ่งน​ ั้น ไม่มีบ​ ทบัญญัติแ​ ห่ง​กฎหมาย​บัญญัต​ิ ไว้​โดยตรง​ว่า​จะ​ฟ้อง​ร้อง​บังคับ​กัน​ได้​หรือ​ไม่ แต่​น่า​จะ​ฟ้อง​ร้อง​ไม่​ได้ เพราะ​เป็น​เรื่อง​เฉพาะ​ตัว​ภายใน​ครอบครัว เช่น ภริยา​ไม่ย​ อม​อยู่ก​ ินด​ ้วย​กันก​ ับส​ ามี​โดย​แยก​ไปอ​ ยู่​กับ​ญาติ สามี​จะใ​ห้ส​ มัคร​พรรค​พวก​ไป​บังคับ​นำต​ ัวภ​ ริยา​กลับ​มา​อยู่​ ร่วม​บ้าน​กับ​ตน โดย​อ้าง​ว่า​เพื่อ​บังคับ​ตาม​สิทธิ​ใน​การ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ไม่​ได้34 อย่างไร​ก็​ดี​แม้​สามี​ภริยา​จะ​ บังคับ​ให้​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​จำ​ต้อง​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​ตน​ไม่​ได้​ก็ตาม แต่​ผล​ใน​ทาง​กฎหมาย​ทาง​อ้อม​มี​อยู่​หลาย​ ประการ คือ ประการ​ที่​หนึ่ง การ​ที่​ภริยา​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ให้​สามี​ร่วม​ประเวณี​ด้วย​อาจ​เป็นการ​กระทำ​อัน​เป็น​ปฏิปักษ์​ ต่อ​การ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​อย่าง​ร้าย​แรง ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ให้​สามี​ฟ้อง​หย่า​ได้​ตาม​มาตรา 1516 (6) และ ประการ​ที่​สอง ถ้า​ ฝ่ายใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่​ยอม​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา โดย​จงใจ​ละทิ้ง​ร้าง​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ไป​เกิน 1 ปี​ก็​เป็น​เหตุฟ้อง​หย่า ตามม​ าตรา 1516 (4) เป็นต้น ใน​การ​ที่​สามี​ภริยา​จะ​ร่วม​ประเวณี​ต่อ​กัน (sexual intercourse) นั้น​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่​จำ​ต้อง​ยอม​ทน​ต่อ​ การก​ระ​ทำ​ที่​ผิด​ปกติ​ธรรมชาติ วิปริต หรือ​เกิน​สมควร หรือ​อาจ​ก่อ​ให้​เกิด​อันตราย​ต่อ​สุขภาพ​อนามัย​อย่าง​ใดๆ แก่​ ตนเอง เช่น สามีก​ ำลังป​ ่วยเ​ป็น​กามโรค จะบ​ ังคับใ​ห้ภ​ ริยาจ​ ำต​ ้องร​ ่วม​ประเวณีก​ ับ​สามีไ​ม่​ได้35 นอกจากน​ ี้​สามี​น่าจ​ ะ​ไม่มี​ สิทธิ​ที่​จะ​ใช้​ถุง​ยาง​อนามัย​หรือ​ใช้​วิธี​สำเร็จ​ความ​ใคร่​นอก​ช่อง​คลอด​เพื่อ​คุม​กำเนิด​โดย​ภริยา​ไม่​ยินยอม สามี​ข่มขืน​ 34 คำ​พิพากษา​ศาล​อังกฤษ R v. Jackson (1891) 1 QB 671, CA. 35 คำ​พิพากษา​ศาลอ​ ังกฤษ Foster v. Foster (1921) P 438, CA. มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-39 มสธ ภริยา​ยัง​เป็น​ความ​ผิด​ตาม ปอ.มาตรา 276 วรรค หนึ่ง36 ด้วย การ​ที่​สามี​หรือ​ภริยา​มี​ความ​ต้องการ​ทาง​เพศ​สูง​เกินมสธ ​ปกติจ​ น​อีก​ฝ่าย​ทน​ไม่​ได้ อัน​เป็นการท​ ำลายค​ วามผ​ าสุก​อย่างม​ าก อีก​ฝ่าย​หนึ่งน​ ั้น​อาจ​ร้องขอต​ ่อศ​ าล​ขอใ​ห้ส​ ั่ง​อนุญาต​ ให้​ตน​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​เป็นการ​ชั่วคราว​ตาม​มาตรา 1462 ได้ ​อย่างไร​ก็​ดี การ​ที่​สามี​ภริยา​ไม่​ได้​หลับ​นอน​ร่วมมสธ ​เพศก​ ัน อยู่​คนละ​บ้านแ​ ต่ใ​น​บริเวณ​เดียวกัน​ไม่​เป็นการ​ทิ้งร​ ้าง​กัน37 อีก​ฝ่าย​หนึ่งจ​ ึง​น่า​จะฟ​ ้อง​หย่า​ด้วยเ​หตุจ​ งใจ​ละทิ้ง​ ร้าง​ไม่​ได้ แต่​ถ้า​ถึง​ขนาด​ที่​ภริยา​แยก​ไป​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​สามี ไม่​เข้า​มา​เกี่ยวข้อง​กัน​อีก​จน​สามี​ตาย สามี​ภริยา​เป็น​สามี​ ภริยา​กัน​ก่อน​ใช้​บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ซึ่ง​กำหนด​เวลา​ทิ้ง​กัน​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​ใน​ขณะ​นั้น​อย่าง​มาก​เพียง 1 ปี 4 เดือน จึงถ​ ือว่าเ​ป็นการ​ทิ้งร​ ้าง​กันแ​ ล้ว ทรัพย์สิน​ที่​เกิดใ​นร​ ะหว่างร​ ้าง​กัน​ไม่​เป็นส​ ิน​สมรส เมื่อ​สามีต​ ายภ​ ริยาร​ ้าง​ ไม่มี​ส่วน​แบ่ง​สินส​ มรสด​ ้วย38 2. การอ​ ุปการะ​เล้ยี ง​ดก​ู ัน กฎหมายบ​ ัญญัตใิ​ห้เ​ป็นค​ วามส​ ัมพันธร์​ ะหว่างส​ ามีภ​ ริยาใ​นข​ ้อท​ ีส่​ องโ​ดยกำหนดใหส้​ ามีภ​ ริยาจ​ ำต​ ้องช​ ่วยเหลือ​ อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม​ความ​สามารถ​และ​ฐานะ​ของ​ตน​นั้น ก็​เพราะ​บุคคล​ที่​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​เป็น​ผู้​ร่วม​ทุกข์​ร่วม​สุข​ ด้วย​กัน ถึง​กับ​มี​การ​กล่าว​ว่า​เป็น​บุคคล​เดียวกัน​ตาม​กฎหมาย การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​หมาย​ถึง​การ​ให้​ความ​ช่วย​เหลือ​ ใน​สิ่ง​จำเป็น​แก่​การ​ดำรง​ชีพ ไม่​ว่า​จะ​เป็นการ​ให้​เงิน​ทอง เครื่อง​อุปโภค​บริโภค​หรือ​ทรัพย์สิน​อื่น​ใด​เพื่อ​เป็น​ปัจจัย​ใน ​การ​ดำรง​ชีพ ตาม​ปกติ​ประเพณี​ถือว่า​สามี​เป็น​ฝ่าย​มีหน้า​ที่​หาเงิน​มา​เลี้ยง​ครอบครัว (breadwinner) ส่วน​ภริยา ​รับ​ผิดช​ อบ​ใน​การ​จัดการบ​ ้านเ​รือน แต่ถ​ ้าส​ ามี​ไม่ส​ ามารถป​ ระกอบอ​ าชีพ​เลี้ยงด​ ู​ภริยา​ได้ เช่น สามี​ไปร​ บ​เดิน​ไปเ​หยียบ​ กับ​ระเบิด​ขา​ขาด​ทั้ง​สอง​ข้าง เช่น​นี้ ภริยา​อาจ​จะ​ต้อง​เป็น​ฝ่าย​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​สามี​ก็ได้ ใน​สังคม​ปัจจุบัน​ที่​สามี​และ​ ภริยา​ต่าง​ทำงาน​ด้วย​กัน​ทั้ง​สอง​ฝ่าย เช่น​นี้ ทั้ง​สามี​และ​ภริยา​ต่าง​มีหน้า​ที่​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ซึ่ง​กัน​และ​กัน ต้อง​ ร่วม​กัน​ไป​ทำ​หน้าที่​ทำ​มา​หา​เลี้ยง​ครอบครัว​และ​หน้าที่​ใน​การ​จัดการ​บ้าน​เรือน ใน​การ​พิจารณา​ถึง​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ นี้น​ ่า​จะ​ต้อง​คำนึง​ถึง​อายุ สุขภาพ รายไ​ด้​และ​ทรัพย์สิน​ของ​คู่​สมรส ฐานะ​ทาง​สังคม ภาระ​หน้าที่​ของ​คู่​สมรส​ใน​การ​ให้​ ความ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​บุตร รวม​ทั้ง​ความ​สามารถ​ทั้ง​ทาง​ร่างกาย​และ​จิตใจ​ของ​คู่​สมรส​ใน​การ​ประกอบ​กิจการ​งาน​ด้วย หาก​สามี​หรือ​ภริยา​ไม่​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม​สมควร อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ย่อม​ฟ้อง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ได้ ตาม​ มาตรา 1598/38 ที่​บัญญัติ​ว่า “ค่า​อุปการะ​เล้ียง​ดู​ระหว่าง​สามี​ภริยา หรือ​ระหว่าง​บิดา​มารดา​กับ​บุตร​นั้น​ย่อม​เรียก​ จาก​กัน​ได้​ใน​เมื่อ​ฝ่าย​ที่​ควร​ได้​รับ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ไม่​ได้​รับ​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​หรือ​ได้​รับ​การ​อุปการะ​เล้ียง​ดู​ไม่​เพียง​พอ​ แก่​อัตภาพ ค่า​อุปการะ​เล้ียง​ดู​น้ี​ศาล​อาจ​ให้​เพียง​ใด​หรือ​ไม่​ให้​ก็ได้ โดย​คำนึง​ถึง​ความ​สามารถ​ของ​ผู้​มีหน้า​ที่​ต้อง​ให้​ ฐานะ​ของ​ผู้รับ​และ​พฤติการณ์​แห่ง​กรณี” หรือ​หาก​ประสงค์​จะ​หย่า​ขาด​จาก​กัน​ก็​อาจ​ฟ้อง​หย่า​ได้​ตาม​มาตรา 1516 (6) และเ​รียกค​ ่าเ​ลี้ยงช​ ีพไ​ด้ ค่าอ​ ุปการะเ​ลี้ยง​ดู (maintenance) นั้น​ให้ช​ ำระ​เป็นเ​งินโ​ดย​วิธีช​ ำระ​เป็นค​ รั้ง​คราวต​ ามก​ ำหนด เว้น​แต่​จะ​มี​การ​ตกลง​กัน​ให้​ชำระ​เป็น​อย่าง​อื่น หรือ​โดย​วิธี​อื่น (มาตรา 1598/40) สิทธิ​ที่​จะ​ได้​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​นี้​จะ ​สละ​หรือโ​อนม​ ิได้ และไ​ม่​อยู่ใ​น​ข่าย​แห่งก​ าร​บังคับค​ ดี (มาตรา 1598/41) การ​ที่​กฎหมาย​บัญญัติ​ให้​สามี​หรือ​ภริยา​มี​สิทธิ​ฟ้อง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จาก​กัน​ได้​นี้ เป็นการ​สอดคล้อง ​กับ​นโยบาย​สังคม​ส่วน​รวม​ซึ่ง​ไม่​สนับสนุน​ให้​ครอบครัว​แตกแยก​กัน หาก​ไม่​ยอม​ให้​สิทธิ​ฟ้อง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยงดู​ จาก​กัน​ได้​แล้ว คู่​สมรส​ที่​ถูกคู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ปฏิบัติ​ต่อ​ตน​โดย​มิ​ชอบ​ด้วย​หน้าที่ ก็​จะ​มี​ทาง​เดียว​ที่​จะ​หลีก​พ้น​ได้​ คือ​การ​ฟ้อง​หย่า​เท่านั้น ซึ่ง​การ​หย่า​นี้​อาจ​เป็นการไ​ม่​เหมาะ​สม​ด้วย​เหตุผล​หลาย​ประการ เช่น อาจ​ขัด​ต่อ​หลัก​การ​ทาง​ 36 ปอ. มาตรา 276 ผู้​ใดข​ ่มขืนก​ ระทำช​ ำเราผ​ ูอ้​ ื่นโ​ดยข​ ู่เข็ญด​ ้วยป​ ระก​ ารใ​ดๆ โดยใ​ชก้​ ำลังป​ ระทุษร้าย โดย​ผูอ้​ ื่นน​ ั้นอ​ ยูใ่​นภ​ าวะท​ ีไ่​มส่​ ามารถ​ ขัดขืนไ​ด้ หรือโ​ดยท​ ำให้ผ​ ู้​อื่นน​ ั้น​เข้าใจ​ผิดว​ ่า​ตน​เป็นบ​ ุคคล​อื่น ต้องร​ ะวางโ​ทษจำ​คุก​ตั้งแต่​สี่ป​ ี​ถึง​ยี่สิบ​ปี และป​ รับ​ตั้งแต่​แปด​พัน​บาทถ​ ึง​สี่ห​ มื่นบาท 37 ฎ. 882/2518 38 ฎ. 2510/2521 มสธ มส

มส 2-40 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ศาสนา ศีล​ธรรม และ​ก่อ​ให้​เกิด​ผล​เสีย​หาย​แก่​บุตร​ได้ ใน​สหรัฐอเมริกา มลรัฐ​เวอร์จิเนีย การ​ที่​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่​มสธ ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​เป็น​ความ​ผิด​ทาง​อาญา​ด้วย39 แต่​กฎหมาย​ไทย​เรา​ยัง​ไม่ไ​ป​ไกล​ถึง​ขนาด​ นั้น อย่างไรก​ ็​ดี การ​ที่ส​ ามีม​ ีหน้า​ที่​ต้องอ​ ุปการะ​เลี้ยง​ดูภ​ ริยา และ​ภริยา​ก็​มีหน้าท​ ี่​ต้อง​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​สามีด​ ้วย​นั้น ต้อง​มสธ เป็น​กรณี​ที่​ทั้ง​สามี​และ​ภริยา​มิได้​ทำ​ผิด​หน้าที่​ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​สามี​ภริยา​ต่อ​กัน​แต่​อย่าง​ใด ฉะนั้น​หาก​ภริยา​จงใจ​ละทิ้ง​ ร้าง​สามี เช่น ภริยา​ไม่​พอใจ​ที่​จะ​อยู่​กับ​สามี​จึง​ออก​จาก​บ้าน​เสีย​เอง​โดย​ไม่มี​เหตุ​อัน​สมควร ภริยา​ก็​หา​มี​สิทธิ​เรียก​ ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จาก​สามี​ไม่40 แต่​ถ้า​สามี​ภริยา​ตกลง​กัน​แยก​กัน​อยู่​เอง เช่น ภริยา​ต้อง​แยก​จาก​สามี​โดย​สามี​อ้าง​ว่า​ สถานการณ์​ไม่​ปลอดภัย เป็นการ​แสดง​เจตนา​ของ​สามี​ว่า​ไม่​ต้องการ​ให้​ภริยา​อยู่​ร่วม​ด้วย ภริยา​ก็​ยัง​มี​สิทธิ​เรียก​ร้อง ​ให้​สามี​จ่าย​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ได้ ใน​เมื่อ​ภริยา​มี​ราย​ได้​ไม่​พอ​เลี้ยง​ตัว​และ​บุตร​และ​สามี​มี​ราย​ได้​พอที่​จะ​จ่าย​ได้41 เป็นต้น ฎ. 8231/2549 ใน​คดี​ก่อน​โจทก์​ฟ้อง​ขอ​ให้​จำเลย​จ่าย​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ตาม​บันทึก​ข้อ​ตกลง​เป็น​เงิน 11,000 บาท และ​จ่าย​จาก​เงิน​บำนาญ​ครึ่ง​หนึ่ง หรือ​ให้​โจทก์​มีชื่อ​เป็น​เจ้าของ​ร่วม​กัน​รับ​เงิน​บำเหน็จ เมื่อ​จำเลย​เกษียณ​อายุ​ ราชการ​แล้ว ต่อ​มา​โจทก์​จำเลย​ทำ​สัญญา​ประนีประนอม​ยอม​ความ​ไม่​เต็ม​ตามคำขอ​โดย​ตกลง​ว่า จำเลย​ยินยอม​จ่าย​ ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ให้​แก่​โจทก์ 11,000 บาท และ​โจทก์​จำเลย​ไม่​ติดใจ​ว่า​กล่าว​คดี​สืบ​ต่อ​ไป ย่อม​หมายความ​ว่า​โจทก์​ พอใจ​ที่​จะ​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จาก​จำเลย​เป็น​เงิน 11,000 บาท โดย​ไม่​ติดใจ​ที่​จะ​เรียก​ให้​จำเลย​จ่าย​ค่า​อุปการะ​ เลี้ยง​ดู​อีก​ต่อ​ไป ดังนี้ ที่​โจทก์​ฟ้อง​เป็น​คดี​นี้​ขอ​ให้​จำเลย​จ่าย​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​อีก​จึง​เป็น​ฟ้อง​ซ้ำ แม้​ใน​คดี​ก่อน​โจทก์​ จะ​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​โดย​อาศัย​บันทึก​ข้อ​ตกลง แต่​มูล​เหตุ​ของ​การ​ทำ​บันทึก​ข้อ​ตกลง​เกิด​จาก​ความ​สัมพันธ์​ ระหว่างส​ ามี​ภริยาข​ อง​โจทก์จ​ ำเลย​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน มาตรา 1461 วรรคส​ อง นั่นเอง จากก​ ารท​ ี่​สามี​ภริยา​มีส​ ิทธิท​ ี่จ​ ะไ​ด้​รับ​การอ​ ุปการะ​เลี้ยง​ดูซ​ ึ่งก​ ัน​และ​กัน (right to consortium) นี้​เอง ดังน​ ั้น การท​ ี่บ​ ุคคล​ภายนอก​มาก​ระท​ ำล​ ะเมิด​ต่อ​สามี​หรือ​ภริยา ทำให้ไ​ด้​รับ​บาดเ​จ็บห​ รือถ​ ึงแก่​ความต​ าย คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ ย่อม​ถูก​กระทบก​ ระเทือนส​ ิทธิ​ดังก​ ล่าว จึง​มีส​ ิทธิท​ ี่​จะไ​ด้​รับ​ค่าส​ ินไหมท​ ดแทน กล่าว​คือ ก) ค่า​สินไหม​ทดแทน​เพื่อ​การ​ขาด​แรงงาน ใน​กรณี​กระทำ​ละเมิด​ทำให้​คู่​สมรส​ถึงแก่​ความ​ตาย หรือ​ เสียห​ ายแ​ ก่​ร่างกาย หรือ​อนามัย หรือเ​สีย​เสรีภาพ ทำให้ค​ ู่​สมรสอ​ ีกฝ​ ่ายห​ นึ่งข​ าดแ​ รงงาน​ในค​ รัว​เรือน ผู้​กระทำล​ ะเมิด​ จำ​ต้องช​ ดใช้ค​ ่า​สินไหมท​ ดแทน​ให้​แก่​คู่​สมรสเ​พื่อ​ที่​เขา​ต้อง​ขาดแ​ รงงานอ​ ัน​นั้น​ไป​ด้วย42 เช่น จำเลยข​ ับ​รถ​ชน​รถ​โจทก์ จน​โจทก์​ต้อง​พิการ​ตลอด​ชีวิต ภริยา​โจทก์​ถึงแก่​ความ​ตาย การ​ที่​ภริยา​โจทก์​ต้อง​ตาย​ลง​ใน​ครั้ง​นั้น นอกจาก​โจทก์​ ต้อง​ขาด​แรงงาน​จาก​การ​เย็บ​เสื้อ​ของ​ภริยา​เพื่อ​ช่วย​ค่า​เลี้ยง​ชีพ​ใน​ครัว​เรือน​แล้ว โจทก์​ยัง​ต้อง​ขาด​ผู้​ช่วย​ดูแล​กิจการ ​ร้าน ขาด​แม่​บ้าน​ที่​จะ​ช่วย​แก้​ปัญหา​และ​ดูแล​ทุกข์​สุข​ใน​ครอบครัว​ด้วย จำเลย​จึง​ต้อง​ใช้​ค่า​สินไหม​ทดแทน​ใน​การ​ที่​ โจทก์​ต้อง​ขาด​ไร้​อุปการะ และ​ขาด​แรงงาน​ใน​ครัว​เรือน​จาก​ผู้​ตาย​เป็น​เงิน​วัน​ละ 100 บาท รวม​เป็น​เงิน ปี​ละ 36,500 บาท ใน​ระยะเ​วลา 10 ปี เป็น​เงิน 365,000 บาท43 เป็นต้น ข) ค่า​สินไหม​ทดแทน​เพ่ือ​การ​ขาด​ไร้​อุปการะ​ตาม​กฎหมาย ใน​กรณี​กระทำ​ละเมิด​ให้​คู่​สมรส​ถึงแก่​ความ​ ตาย ทำให้​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ต้อง​ขาด​ไร้​อุปการะ​ตาม​กฎหมาย ผู้​กระทำ​ละเมิด​จำ​ต้อง​ใช้​ค่า​สินไหม​ทดแทน​ให้​แก่​ คู่​สมรส​ที่​ต้อง​ขาด​ไร้​อุปการะ​นั้น44 ซึ่ง​การ​เรียก​ค่า​สินไหม​ทดแทน​การ​ขาด​ไร้​อุปการะ​ตาม​กฎหมาย ใน​กรณี​บุคคล​ ภายนอก​มาก​ระ​ทำ​ละเมิด​เป็น​เหตุ​ให้​ภริยา​หรือ​สามี​ของ​ตน​ถึงแก่​ความ​ตาย​นั้น ไม่​คำนึง​ว่า​ภริยา​หรือ​สามี​ที่​ถึงแก่​ 39 Section 20, Virginia code 40 ฎ. 313/2479 41 ฎ. 1598/2518 42 ปพพ. มาตรา 445 43 ฎ. 3585/2525 44 ปพพ. มาตรา 443 วรรค​สาม มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-41 มสธ ความ​ตาย​จะ​มี​ราย​ได้​หรือ​ไม่​ก็ตาม เช่น จำเลย​กระทำ​ละเมิด​เป็น​เหตุ​ให้​ภริยา​โจทก์​ถึงแก่​ความ​ตาย เมื่อ​ครั้ง​ภริยา​มสธ โจทก์​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​เป็น​แม่​บ้าน​จัดการ​บ้าน​เรือน​ด้วย​ตนเอง ครั้น​ภริยา​ถึงแก่​ความ​ตาย​โจทก์​ต้อง​จ้าง​คน​มา​ทำ​หน้าที่​ ซัก​ผ้า ทำครัว​และ​กวาด​ถู​บ้าน​แทน ดังนี้ โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิ​เรียก​ค่า​สินไหม​ทดแทน​ใน​กรณี​นี้​ได้ ตาม​มาตรา 443มสธ วรรคส​ าม ประกอบด​ ้วยม​ าตรา 1461 วรรคส​ อง ที่​บัญญัติว​ ่า “สามี​ภริยา​ต้อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม​ความ​ สามารถ​และ​ฐานะ​ของ​ตน” จนถึงว​ ัน​ที่โ​จทก์​ทำการ​สมรส​ใหม่45 เป็นต้น ฎ. 3822/2524 สามี​มี​อาชีพ​ประกอบ​การ​ค้า​ร่วม​กับ​บิดา ภริยา​ไม่มี​อาชีพ​อะไร สามี​เคย​จ่าย​เงิน​เป็น​ค่า​ อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ภริยา​ตลอด​มา ครั้น​เมื่อ​สามี​ยินยอม​ให้​ภริยา​พา​บุตร​มา​อยู่​กับ​มารดา​ของ​ภริยา สามี​ก็​ยัง​จ่าย​เงิน​ ค่า​อุปการะเ​ลี้ยง​ดูภ​ ริยา​อยู่ ต่อม​ า​เมื่อข​ ้อ​เท็จ​จริงป​ รากฏ​ว่าส​ ามี​ภริยาต​ ่างส​ มัคร​ใจ​แยกก​ ัน​อยู่ โดย​สามี​มีค​ วาม​สามารถ​ และ​ฐานะ​ดี​กว่า​ภริยา เช่น​นี้ เมื่อ​คำนึง​ถึง​ความ​สามารถ​และ​ฐานะ​ของ​สามี สามี​จึง​ต้อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะเ​ลี้ยง​ดู​ภริยา​ ตาม ปพพ. มาตรา 1461 ประกอบ​ด้วย​มาตรา 1598/38 ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า “ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ระหว่าง​สามี​ภริยา​หรือ​ ระหว่าง​บิดา​มารดา​กับ​บุตร​นั้น​ย่อม​เรียก​จาก​กัน​ได้ เมื่อ​ฝ่าย​ที่​ควร​ได้​รับ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ไม่​ได้​รับ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​หรือ ​ได้​รับ​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ไม่​เพียง​พอ​แก่​อัตภาพ ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​นี้​ศาล​อาจ​ให้​เพียง​ใด​หรือ​ไม่​ให้​ก็ได้ โดย​คำนึง​ถึง​ ความส​ ามารถ​ของ​ผู้​มีหน้าท​ ี่​ต้อง​ให้​ ฐานะข​ อง​ผู้รับ​และ​พฤติการณ์แ​ ห่ง​กรณี” ที่​ศาล​ล่าง​ทั้ง​สอง​กำหนด​ให้​โจทก์​ผู้​เป็น​ สามีจ​ ่าย​ค่า​อุปการะ​เลี้ยงด​ ูจ​ ำเลย​เดือนล​ ะ 1,500 บาท จึงเ​ป็น​การ​หมาะ​ ​สมแ​ ล้ว ฎ. 2395/2529 สามี​ภริยา​ย่อม​มีหน้า​ที่​จะ​ต้อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม ปพพ. มาตรา 1461 เมื่อ ​ภริยาเ​สียช​ ีวิต​เพราะม​ ี​การ​ทำ​ละเมิด สามี​ย่อมม​ ีส​ ิทธิไ​ด้​รับ​ค่าส​ ินไหม​ทดแทนเ​ป็น​ค่า​ขาด​ไร้​อุปการะ​ตาม ปพพ. มาตรา 443 วรรค​สาม โดย​ไม่​ต้อง​คำนึง​ว่า​สามี​จะ​ยากจน​หรือ​มั่งมี และ​ประกอบ​อาชีพ​หา​เลี้ยง​ตนเอง​ได้​หรือ​ไม่ เพราะ​เป็น ส​ ิทธิข​ อง​สามี​จะพ​ ึง​ได้​รับ​ชดใช้​ตาม​กฎหมายโ​ดย​สมควร​กำหนด​ค่า​ขาดไ​ร้อ​ ุปการะ​เป็นเ​งิน 40,000 บาท ฎ. 3369/2540 จำเลยท​ ี่ 1 มิได้​ใช้​ความร​ ะมัดระวัง​ดูแลบ​ ริเวณข​ ้าง​หลังใ​ห้ป​ ลอดภัย​เสียก​ ่อน รถ​โดยสาร​ชน​ และ​ทับ​ผู้​ตาย​เกิด​จาก​ความ​ประมาท​เลินเล่อ​ของ​จำเลย​ที่ 1 โจทก์​ที่ 1 ทำ​ศพ​ผู้​ตาย​ทั้ง​ประเพณี​ไทย​และ​จีน​เนื่องจาก​ ผู้​ตาย​เป็น​คน​เชื้อ​ชาติ​จีน สิ้น​ค่า​ใช้​จ่าย​รวม​เป็น​เงิน 76,692 บาท เนื่องจาก​ผู้​ตาย​มี​ตำแหน่ง​เป็น​หัวหน้า​หมวด​บัญชี​ ค่า​โดยสาร ได้​รับ​เงิน​เดือน 8,317.75 บาท ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​จัด​งาน​ศพ​จำนวน​ดัง​กล่าว​จึง​เหมาะ​สม​แก่​ฐานานุรูป​ของ​ ผู้ต​ ายแ​ ล้ว ที่​ศาลล​ ่างท​ ั้งส​ องก​ ำหนด​ค่าใ​ช้จ​ ่ายใ​นก​ ารจ​ ัดการจ​ ัด​งานศ​ พ​เป็น​เงินจ​ ำนวน 68,185 บาท จึง​เป็นการส​ มควร ใน​ส่วน​ค่า​ขาด​ไร้​อุปการะ​ของ​โจทก์​ที่ 1 ซึ่ง​เป็น​ภริยา​ของ​ผู้​ตาย ตาม ปพพ. มาตรา 1461 วรรค​สอง​นั้น โจทก์​ที่ 1 มีอายุ 47 ปี ส่วน​ผู้ต​ ายม​ ีอายุ 50 ปีย​ ่อมเ​ห็นไ​ด้ว​ ่า​โจทก์​ที่ 1 มีโ​อกาส​ได้​รับอ​ ุปการะต​ ามก​ ฎหมายไ​ด้ไ​ม่น​ ้อยก​ ว่า 10 ปี ที่โ​จทก์​ที่ 1 เรียก​ค่า​ขาด​ไร้อ​ ุปการะ​เป็น​ระยะ​เวลา 10 ปี จึง​เป็นร​ ะยะ​เวลาท​ ี่​สมควร กจิ กรรม 2.2.1 สามภ​ี รยิ าม​ หี นา้ ท​ ี่​ต่อก​ นั ​และ​กนั อ​ ยา่ งไร แนว​ตอบก​ จิ กรรม 2.2.1 มาตรา 1461 กำหนด​ใหส​้ ามภี​ ริยาม​ หี นา้ ​ทีต่​ ่อก​ นั 2 ประการ คอื 1. อย​ู่กนิ ด​ ว้ ยก​ นั ​ฉัน​สามภี​ รยิ า 2. การอ​ ุปการะเ​ล้ียงด​ ก​ู นั 45 ฎ. 2316/2515 มสธ มส

มส 2-42 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรอ่ื ง​ที่ 2.2.2มสธ การแ​ ยก​กนั ​อยู่​ชั่วคราว มสธ โดย​หลัก​แล้ว​สามี​ภริยา​ต้อง​อยู่​กิน​ด้วย​ฉัน​สามี​ภริยา ซึ่ง​หมาย​ถึง​การ​กิน​อยู่​หลับ​นอน​ใน​เรือน​เดียวกัน และ​ มี​ความ​สัม​พนธ์​ทาง​ประเวณี​กัน อย่างไร​ก็ตาม มี​กรณี​ที่​แม้​สามี​ภริยา​ไม่​ได้​อยู่​กิน​ด้วย​กัน แต่​สถานภาพ​ความ​เป็น​ สามีภ​ ริยา​ยัง​คงม​ ี​อยู่ ยังไ​ม่ถ​ ือว่าข​ าด​จาก​การ​สมรส กรณี​เช่น​นี้ไ​ด้แก่ การ​แยก​กันอ​ ยู่​ชั่วคราว การ​แยกก​ ัน​อยู่ช​ ั่วคราว​เกิด​ขึ้น​ได้ เพราะ 1. ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้แ​ ยกก​ ัน​อยู่ต​ ่าง​หาก​เป็นการช​ ั่วคราว 2. สามีภ​ ริยา​ทำ​ข้อ​ตกลงแ​ ยกก​ ัน​อยู่​ต่าง​หาก 1. ศาลม​ ี​คำ​สัง่ ใ​ห้​แยกก​ ัน​อยู่​ตา่ ง​หาก​เป็นการช​ ่ัวคราว มาตรา 1462 “ใน​กรณี​ที่​สามี​ภริยา​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​ปกติ​สุข​ได้ หรือ​ถ้า​การ​อยู่​ ร่วม​กัน​จะ​เป็น​อันตราย​แก่​กาย​หรือ​จิตใจ​หรือ​ทำลาย​ความ​ผาสุก​อย่าง​มาก สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ที่​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​อยู่​กิน​ ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​ปกติ​สุข​ได้​หรือ​ฝ่าย​ท่ี​จะ​ต้อง​รับ​อันตราย​หรือ​ถูก​ทำลาย​ความ​ผาสุก อาจ​ร้อง​ต่อ​ศาล​เพ่ือ​ให้​ม​ี คำส​ งั่ อ​ นญุ าตใ​ห​ต้ นอ​ ยต่​ู ่างห​ ากใ​น​ระหวา่ งท​ ​เี่ ห​ตน​ุ น้ั ๆ ยงั ม​ ​อี ยกู​่ ไ็ ด้ ในก​ รณ​เี ช่นน​ ศ​้ี าลจ​ ะก​ ำหนดจ​ ำนวนค​ า่ อ​ ปุ การะ​เลยี้ งด​ ​ู ให้​ฝา่ ยห​ นงึ่ จ​ า่ ย​ใหแ​้ กอ่​ ีกฝ​ า่ ย​หนง่ึ ​ตามค​ วรแ​ กพ่​ ฤติการณ์ก​ ไ็ ด้” มาตรา​นี้​เป็น​มาตรการ​ใน​การ​บรรเทา​ความ​เดือด​ร้อน​ของ​คู่​สมรส ลด​ความ​รุนแรง​ใน​ครอบครัว​ที่​ไม่​อาจ​อยู่​ ด้วย​กัน​ได้​อย่าง​ปกติ​สุข แต่​ยัง​ไม่​ประสงค์​จะ​หย่า​ขาด​จาก​กัน การ​แยก​กัน​อยู่​ชั่วคราว​อาจ​เปิด​โอกาส​ให้​คู่​สมรส​ได้​มี​ โอกาส​คิด​ทบทวน​แก้ไข​ความ​ประพฤติ​ที่​นำ​ไป​สู่​ความ​ร้าว​ฉาน​ของ​ชีวิต​สมรส​ก่อน​จะ​ถึง​ขั้น​แตกหัก​แล้ว​หัน​มา​ตกลง​ รอมชอม​กัน​ได้​เพื่อ​ที่​จะ​ไม่​ต้อง​หย่า​ขาด​จาก​กัน กฎหมาย​จึง​ให้​คู่​สมรส​ที่​ได้​รับ​ความ​เดือด​ร้อน​มี​สิทธิ​ยื่น​คำร้อง​ต่อ ​ศาล​ขอใ​ห้​มี​คำส​ ั่งอ​ นุญาต​ให้​ตน​แยกก​ ันอ​ ยู่​ต่างห​ ากจ​ ากภ​ ริยา​หรือส​ ามีข​ อง​ตน​เป็นการ​ชั่วคราวไ​ด้​ใน​กรณี​ต่อ​ไปน​ ี้ (1) สามี​ภริยา​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​ปกติ​สุข เช่น สามี​ชอบ​รับ​ประทานเนื้อ​สัตว์​ แปลกๆ เช่น งู หมี จระเข้ ตุ๊กแก แล้ว​บังคับ​ให้​ภริยา​นำ​มา​ประกอบ​อาหาร​และ​รับ​ประทาน​พร้อม​กัน​ถ้า​ภริยา​ไม่​ทำ​ ตาม​ก็​จะ​น้อยใจ​และ​หนี​หาย​ไป​จาก​บ้าน​เป็น​เวลา​หลาย​วัน เช่น​นี้​เป็นการ​ที่​สามี​ภริยา​ไม่​อาจ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ ภริยา​โดย​ปกติ​สุข​ได้ (2) การอ​ ย​ู่ร่วมก​ นั จ​ ะเ​ป็นอ​ นั ตราย​แก​่กายอ​ ย่างม​ าก​ของ​สาม​ีหรอื ภ​ ริยา อนั ตราย​แก​ก่ าย (injury to the body) หมาย​ถึง การ​รบกวน​อย่าง​รุนแรง​ต่อ​สภาพ​ปกติ​ของ​ร่างกาย​หรือ​ทำให้​ความ​สมบูรณ์​ของ​ร่างกาย​ลด​น้อย​ถอย​ลง โดย​ กระทำ​ต่อ​อวัยวะ​ต่างๆ ของ​บุคคล​ตั้งแต่​เส้นผม​จนถึง​ปลาย​เล็บ​เท้า ตั้งแต่​ผิวหนัง​จนถึง​อวัยวะ​ภายใน จน​ทำให้​เกิด​ บาดแผล (wound) โลหิตไ​หล และ​จะ​ต้อง​เป็น​อันตรายอ​ ย่าง​มาก​ต่อ​กายด​ ้วย เหตุใ​น​ข้อน​ ี้น​ ่าจ​ ะเ​ทียบเ​คียงไ​ด้ก​ ับเ​หตุ​ ฟ้อง​หย่า​เพราะ​การ​ทำร้าย​ร่างกาย​ตาม​มาตรา 1516 (3) หรือ​ความ​ผิด​ฐาน​ทำร้าย​ร่างกาย​ตาม​ ปอ.มาตรา 295 แต่​มี​ ขอบเขต​กว้าง​กว่า​โดย​รวม​ถึง​การก​ระ​ทำ​ที่​ไม่​จงใจ​ทำร้าย​ด้วย เช่น สามี​เป็น​โรค​ติดต่อ​อย่าง​ร้าย​แรง​หาก​อยู่​ร่วม​กัน​ ภริยา​จะ​ได้​รับ​เชื้อ​โรค ภริยา​ก็​อาจ​มา​ร้องขอ​ให้​ศาล​อนุญาต​ให้​แยก​กัน​อยู่​ชั่วคราว​ได้ หรือ​ภริยา​เป็น​โรค​โลหิต​จาง หาก​จะ​ต้อง​อยู่​กิน​กับ​สามี​ฉัน​ภริยา​แล้ว​อาจ​เป็น​อันตราย​ถึง​ชีวิต ภริยา​ก็​มี​สิทธิ​ขอ​อนุญาต​ให้​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​สามี​จน กว่าโ​รค​โลหิตจ​ าง​จะร​ ักษาห​ าย​ได้ เป็นต้น มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-43 มสธ (3) การ​อยู่​ร่วม​กัน​จะ​เป็น​อันตราย​แก่​จิตใจ​อย่าง​มาก​ของ​สามี​หรือ​ภริยา อันตราย​ต่อ​จิตใจ (injury to theมสธ mind) หมาย​ถึง การก​ระ​ทำ​ที่​กระทบ​ถึง​จิตใจ​อัน​เป็น​ที่​เกิด​แห่ง​ความ​รู้สึก ความ​สำนึก ความ​คิด​และ​อารมณ์ จน​ ทำให้​จิต​ไม่​ปกติ ฟั่น​เฟือน​ไม่​สม​ประกอบ หมด​สติ หรือ​หมด​ความ​รู้สึก​ไป​เป็น​เวลา​นาน โดย​จะ​ต้อง​เป็น​อันตราย​แก่​มสธ จิตใจ​เป็น​อย่าง​มาก​ด้วย​จึง​จะ​เป็น​เหตุ​มา​ร้องขอ แต่​ทั้งนี้​น่า​จะ​รวม​ถึง​การก​ระ​ทำ​ที่​ไม่​จงใจ​ทำร้าย​จิตใจ​ด้วย เหตุ​ข้อ​นี้​ จึง​กว้าง​กว่า​เหตุ​ฟ้อง​หย่า​เพราะ​การ​ทำร้าย​จิตใจ​ตาม​มาตรา 1516 (3) เช่น​เดียวกัน เช่น สามี​ชอบ​พา​หญิง​อื่น​มา​นอน​ ใน​บ้าน​เป็น​ประจำ เป็นการ​ทำร้าย​จิตใจ​ของ​ภริยา​อย่าง​มาก หรือ​สามี​ข่มขู่​บังคับ​ให้​ภริยา​ไป​เป็น​โสเภณี ทำให้​ภริยา เ​กิดค​ วามอ​ ดสู​ชอกช้ำ​ระกำ​ใจเ​ป็น​อย่าง​มาก เป็นต้น (4) การ​อยู่​ร่วม​กัน​จะ​เป็นการ​ทำลาย​ความ​ผาสุก​อย่าง​มาก​ของ​สามี​หรือ​ภริยา ความ​ผาสุก (happiness) หมาย​ถึง ความ​สุข​สำราญ ความ​สะดวก​สบาย​ใน​การ​ดำรง​ชีวิต​โดย​มี​สุขภาพ​และ​พลานามัย​ที่​สมบูรณ์​ทั้ง​ทาง​ร่างกาย ​และ​จิตใจ การ​ทำลาย​ความ​ผาสุก​ของ​สามี​หรือ​ภริยา​มี​ความ​หมายก​ว้าง​รวม​ถึง​การ​ก่อ​ให้​เกิด​อันตราย​ต่อ​สุขภาพ (injury to health) ด้วย และ​ต้อง​เป็นการ​กระทำ​ที่​ร้าย​แรง (grave and weighty) โดย​พิเคราะห์​ถึง​คู่​สมรส​แต่ละ​ คู่​ต่าง​หาก​แตก​ต่าง​กัน​ไป เช่น สามี​เป็น​คน​วิกลจริต​มี​อาการ​ดุร้าย​เป็น​ที่​หวาด​กลัว​แก่​ภริยา​และ​บุตร แต่​เนื่องจาก​ยัง​ ไม่​ครบ​กำหนด 3 ปี ยัง​ฟ้อง​หย่า​ไม่​ได้ ภริยาก​ ็​อาจ​มา​ร้องขอ​ต่อ​ศาล ให้​สั่ง​อนุญาต​ให้​ตน​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​สามี​เป็นการ​ ชั่วคราว​ได้ หรือ สามี​เสพ​สุรา​แล้ว​อาละวาด​ทุบตี​ภริยา​อยู่​เป็น​ประจำ หรือ​สามี​ตัณหา​จัด​ผิด​ปกติ​คน​ธรรมดา​สามัญ ภริยาย​ ่อม​ร้องขอแ​ ยก​ให้ต​ น​อยู่ต​ ่าง​หากไ​ด้​เพราะเ​ป็นการท​ ำลายค​ วาม​ผาสุกอ​ ย่าง​มาก​ของ​ภริยา การ​ที่​ศาล​สั่ง​อนุญาต​ให้​สามี​ภริยา​แยก​กัน​อยู่​นี้​เป็นการ​ให้​แยก​กัน​ชั่วคราว​เท่านั้น คือ​แยก​กัน​อยู่​ใน​ระหว่าง​ เหตุการณ์ท​ ี่​จะ​เป็น​อันตรายแ​ ก่​กาย​หรือ​จิตใจ หรือ​ทำลาย​ความ​ผาสุกอ​ ย่างม​ ากย​ ัง​มี​อยู่ โดย​ไม่​ถือว่า​เป็นการข​ าด​การ​ สมรส คู่​สมรส​จึง​ไม่​อาจ​ทำการ​สมรส​ใหม่​ได้ เมื่อ​เหตุการณ์​นั้น​ระงับ​ลง​แล้ว สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​อาจ​ยื่น ​คำร้อง​ขอ​ให้​ศาล​สั่ง​เพิก​ถอน​หรือ​ระงับ​คำ​สั่ง​ที่​ให้​แยก​กัน​อยู่​ได้ ใน​ระหว่าง​ที่​ศาล​มี​คำ​สั่ง​อนุญาต​ให้​แยก​กัน​อยู่​นี้ สามี​ และ​ภริยา​ต่าง​หมด​หน้าที่​ที่​จะ​ต้อง​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา โดย​ไม่​ถือว่า​เป็นการ​จงใจ​ละทิ้ง​ร้าง​จาก​กัน จึง​ไม่​เป็น ​เหตุ​ฟ้อง​หย่า​ตาม​มาตรา 1516 (4) แต่​หาก​สามี​บุกรุก​เข้าไป​หา​ภริยา​ใน​ยาม​วิกาล​หรือ​ข่มขืน​กระทำ​ชำเรา​ภริยา​ใน ​ระหว่าง​นี้ สามี​ก็​อาจ​มี​ความ​ผิด​ฐาน​บุกรุก​หรือ​ความ​ผิด​ต่อ​เสรีภาพ​และ​ข่มขืน​กระทำ​ชำเรา​ได้ อย่างไร​ก็​ดี​หาก​การ​ แยก​กัน​อยู่​ตาม​คำ​สั่ง​ศาล​นี้​เป็น​ระยะ​เวลา​นาน​เกิน​กว่า 3 ปี​แล้ว สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​มี​สิทธิ​ฟ้อง​หย่า​ได้​ ตาม​มาตรา 1516 (4/2) ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า “สามี​และ​ภริยา​สมัคร​ใจ​แยก​กัน​อยู่​เพราะ​เหตุ​ที่​ไม่​อาจ​อยู่​ร่วม​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ ได้​โดย​ปกติ​สุข​ตลอด​มา​เกิน​สาม​ปี ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ฟ้อง​หย่า​ได้” ใน​ระหว่าง​ที่​สามี​ภริยา​แยก​กัน​อยู่​นี้​ศาล​มี​อำนาจ ​ที่​จะ​กำหนด​จำนวน​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู โดย​ให้​คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​ชำระ​ให้​แก่​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ได้​ตาม​ควร​แก่​พฤติ- การณ์ โดย​คำนึง​ถึง​ความ​สามารถ​ของ​ผู้​มีหน้า​ที่​ต้อง​ให้ ฐานะ​ของ​ผู้รับ​และ​พฤติการณ์​แห่ง​กรณี​ด้วย นอกจาก​นี้​ศาล ​ยัง​น่า​ที่​จะ​มี​อำนาจ​ออก​คำ​สั่ง​เกี่ยว​กับ​การ​ปกครอง​บุตร​และ​คำ​สั่ง​อื่นๆ ตาม​ที่​จำเป็น เช่น สั่ง​ให้​สามี​ชำระ​ค่า​เช่า​ คอนโดมิเนียมท​ ี่ภ​ ริยาแ​ ยก​ไป​เช่า​อยู่ก​ ็ได้ เป็นต้น อทุ าหรณ์ ฎ. 369/2509 จำเลย​ชอบ​ดุ​ด่า ชอบ​เสพ​สุรา เคย​ฟัน​โจทก์ 2 ครั้ง​ที่​แขน​ซ้าย​และ​มือ​ซ้าย เคย​เอา​กาแฟ​ร้อน​ สาด​หน้า​และ​ต่อย​โจทก์ และ​โจทก์​ก็​เคย​ฟัน​จำเลย​ถึง​กระดูก​นิ้ว​ขาด แม้​จะ​นับ​ได้​ว่า​เป็น​เรื่อง​รุนแรง​อยู่​มาก แต่​ก็​ เกิด​ขึ้น​เป็น​ครั้ง​คราว​จาก​การ​ที่​ได้​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​มา​รวม 2 ระยะ​เวลา เป็น​เวลา​ประมาณ 7–8 ปี​แล้ว ถือว่า​ไม่มี​ ลักษณะ​จะ​เป็น​เหตุท​ ี่​โจทก์จ​ ะข​ อใ​ห้​ตน​แยกอ​ ยู่ต​ ่างห​ ากจ​ ากจ​ ำเลย ดังท​ ี่​บัญญัติ​ไว้ใ​น​มาตรา 1462 มสธ มส

มส 2-44 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ 2. สามภ​ี ริยาท​ ำข​ อ้ ​ตกลงแ​ ยก​กัน​อยต​ู่ ่าง​หากมสธ นอก​เหนือ​จาก​การ​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​อนุญาต​ให้​ตน​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​แล้ว สามี​ภริยา​อาจ​ทำ​ข้อ​ตกลง​มสธ ระหว่าง​กัน เพื่อ​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​เป็นการ​ชั่วคราว​ได้ ข้อ​ตกลง​เช่น​ว่า​นี้​ใช้​บังคับ​ได้ ทั้งนี้​เพราะ​เมื่อ​เกิด​มี​เหตุ​จำเป็น ห​ รือ​เหตุ​ขัดข้องช​ ั่วคราวท​ ี่ส​ ามี​ภริยา​จำ​ต้องอ​ ยู่ต​ ่าง​หาก​จาก​กัน​ก็​ดี หรือ​การส​ มรสไ​ด้แ​ ตก​สลาย​ไป​จนไ​ม่มีท​ าง​ที่​คู่ส​ มรส​ จะ​หวน​กลับ​มา​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​โดย​ปกติ​สุข​ต่อ​ไป​อีก​แล้ว​ก็​ดี น่า​จะ​เป็นการ​ดี​แก่​ผู้​เกี่ยวข้อง​ทุก​ฝ่าย หรือ​ต่อ​สังคม​เป็น​ ส่วน​รวม​ที่​สามี​ภริยา​จะ​สามารถ​ยุติ​ข้อ​พิพาท​ของ​ตน​ระหว่าง​กันเอง โดย​ไม่​ต้อง​นำ​คดี​มา​สู่​ศาล​อัน​เป็นการ​นำ​เรื่อง ​ภายใน​ครอบครัว​มา​เปิด​เผย​ให้​สังคม​ภายนอก​ทราบ ข้อ​ตกลง​เพื่อ​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​นี้​อยู่​ใน​บังคับ​ของ​หลัก​ทั่วไป​ ในเ​รื่องก​ าร​ทำส​ ัญญา จึง​อาจต​ กเ​ป็น​โมฆะ​หรือ​โมฆียะด​ ้วยเ​หตุ​เช่นเ​ดียว​กับ​การ​เป็นโ​มฆะห​ รือโ​มฆียะ​ของ​สัญญา​อื่นๆ ทั่วไป เช่น ความ​สำคัญ​ผิด ถูก​กล​ฉ้อฉล ถูก​ข่มขู่ หรือ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน ฉะนั้น การ​ที่​สามี​ภริยา​ตกลง​แยก​กัน​อยู่​และ​ตกลง​ให้​สามี​หลุด​พ้น​จาก​หน้าที่​ใน​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​บุตร​ผู้​เยาว์​นั้น ข้อ​ตกลง​ที่​ให้​สามี​หลุด​พ้น​จาก​หน้าที่​ดัง​กล่าว​จึง​น่า​จะ​ตก​เป็น​โมฆะ​เพราะ​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​ตาม ​มาตรา 150 ใน​การ​ทำ​ข้อ​ตกลง​เพื่อ​แยก​กัน​อยู่​นี้​สามี​ภริยา​อาจ​ทำ​ข้อ​ตกลง​กัน​ด้วย​วาจา​หรือ​โดย​ลาย​ลักษณ์​อักษร​ก็ได้ โดย​หลัก​การ​สำคัญ​ก็​คือ​สามี​และ​ภริยา​ตกลง​ที่​จะ​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​กัน นอกจาก​นี้​อาจ​จะ​มี​ข้อ​ตกลง​อื่น​มา​ ประกอบ​ด้วย​ก็ได้ เช่น ข้อ​ตกลง​ว่า​จะ​ไม่​กระทำ​การ​รบกวน​หรือ​ก่อ​ความ​ยุ่ง​ยาก​ให้​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง (non-mo- lestation clause) ข้อ​ตกลง​เกี่ยว​กับ​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​สามี​ภริยา​และ​บุตร ข้อ​ตกลง​เกี่ยว​กับ​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ ภริยา เป็นต้น ใน​ต่าง​ประเทศ​เช่น​ประเทศ​อังกฤษ​ใน​การ​ทำ​ข้อ​ตกลง​เพื่อ​แยก​กัน​อยู่​นี้​มี​ข้อ​ตกลง​ประกอบ​ที่​เรียก​ว่า ข้อ​ตกลง​เกี่ยว​กับ​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ภริยา​โดย​มี​ข้อแม้​ว่า​ภริยา​จะ​ต้อง​ไม่​ยุ่ง​เกี่ยว​ทาง​ชู้สาว​กับ​ชาย​อื่น (dum casta clause) โดย​สามี​ตกลง​ที่​จะ​ชำระ​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ภริยา​ตลอด​ไป​ตราบ​เท่า​ที่​ภริยา​ยัง​ครอง​ชีวิต​ที่​บริสุทธิ์ (chaste life) อยู่ หาก​ภริยา​ไป​ร่วม​ประเวณี​กับ​ชาย​อื่น​แล้ว สามี​ก็​หมด​หน้าที่​ตาม​สัญญา​ที่​จะ​ต้อง​ชำระ​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ให้​ ภริยาอ​ ีก​ต่อไ​ป ข้อ​ตกลงเ​ช่น​ว่า​นี้​หาก​ทำ​ขึ้น​ในป​ ระเทศไทยก​ ็​น่าจ​ ะใ​ช้​บังคับ​ได้​เช่น​เดียวกัน เมื่อ​สามี​ภริยา​ทำ​ข้อ​ตกลง​แยก​กัน​อยู่​ต่าง​หาก​จาก​กัน​แล้ว​สามี​และ​ภริยา​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​หมด​หน้าที่​ที่​จะ​ต้อง​อยู่​ กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ต่อ​กัน แต่​สถานะ​ความ​เป็น​สามี​ภริยา​ยัง​คง​มี​อยู่ ยัง​ไม่​ถือว่า​การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง สามี​หรือ​ ภริยา​แต่ละ​ฝ่าย​จึง​จะ​ทำการ​สมรส​ใหม่​ไม่​ได้ ผล​ของ​ข้อ​ตกลง​นี้​มี​เพียง​ทำให้​การ​แยก​กัน​อยู่​นี้​แม้​จะ​เป็น​เวลา​เกิน 1 ปี ก็​ไม่ถ​ ือว่าเ​ป็นการจ​ งใจล​ ะทิ้งร​ ้าง (desertion) คู่​สมรส​ฝ่าย​ใดฝ​ ่าย​หนึ่ง​จึงจ​ ะม​ าอ​ ้าง​เป็น​เหตุฟ​ ้อง​หย่าต​ ามม​ าตรา 1516 (4) ไม่​ได้ แต่​ถ้า​หาก​การ​ตกลง​แยก​กัน​อยู่​นี้ เป็น​เพราะ​เหตุ​ที่​ไม่​อาจ​อยู่​ร่วม​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​ได้​โดย​ปกติ​สุข และ​สามี​ ภริยาไ​ด้แ​ ยกก​ ันอ​ ยู่ม​ าแ​ ล้วเ​ป็นเ​วลาเ​กินส​ ามป​ ี สามีห​ รือภ​ ริยาฝ​ ่ายใ​ดฝ​ ่ายห​ นึ่งม​ ี​สิทธิฟ​ ้องห​ ย่าไ​ด้ต​ ามม​ าตรา 1516 (4/2) นอกจาก​นี้​ข้อ​ตกลง​แยก​กัน​อยู่​อาจ​สิ้น​สุด​ลง​ได้​ด้วย​การ​ที่​สามี​ภริยา​ตกลง​เลิก​สัญญา​นี้​ต่อ​กัน หรือ​หาก​ภาย​หลัง​ศาล ม​ ีค​ ำพ​ ิพากษา​ถึงที่ส​ ุด​ให้​หย่า​ขาด​จากก​ ันไ​ด้ ฎ. 3822/2524 ใน​ชั้นแ​ รก​จำเลย​พา​บุตร​ไปอ​ ยู่ก​ ับ​มารดาข​ อง​จำเลยน​ ั้น โจทก์​เป็นผ​ ู้พ​ า​ไปส​ ่งแ​ ละ​ได้ข​ น​เสื้อผ้า​ ไป​ให้ ต่อ​มา​ได้​ขอร้อง​ให้​จำเลย​กลับ​แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​กลับ ใน​ที่สุด​ได้​มี​การ​เจรจา​ปรองดอง​กัน โดย​บิดา​โจทก์​จะ​ให้​ เงิน​มา​ซื้อ​ตึกแถว​เพื่อ​แยก​มา​ตั้ง​ครอบครัว​และ​ประกอบ​อาชีพ​เลี้ยง​ดู​กัน​ต่าง​หาก ทั้ง​ปรากฏ​ว่า​ฝ่าย​โจทก์​นำ​รถยนต์​ เก๋ง​มาใ​ห้​จำเลย​ใช้สอย​เป็นส​ ่วน​ตัว ดัง​นั้นก​ ารท​ ี่จ​ ำเลยพ​ าบ​ ุตรไ​ป​อยู่​กับม​ ารดาจ​ ำเลยจ​ ึง​ถือ​ไม่​ได้​ว่า​จำเลยม​ ีเ​จตนาจ​ งใจ​ ละทิ้ง​ร้าง​โจทก์ แต่เ​ป็นการ​ที่​โจทก์จ​ ำเลยต​ ่าง​สมัครใ​จ​แยก​กันอ​ ยู่ แม้​จะเ​กินก​ ว่าห​ นึ่ง​ปี โจทก์​ก็ฟ​ ้อง​หย่าจ​ ำเลย​ไม่​ได้ เมื่อ​ข้อ​เท็จ​จริง​ปรากฏ​ว่า​โจทก์​จำเลย​ต่าง​สมัคร​ใจ​แยก​กัน​อยู่ โจทก์​มี​ความ​สามารถ​และ​ฐานะ​ดี​กว่า​จำเลย โจทก์​ผู้​เป็น​สามี​จึง​ต้อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จำ​เลย​ซึ่ง​เป็​นภ​ริ​ยา​ตาม ปพพ. มาตรา 1461 ประกอบ​ด้วย​มาตรา 1498/38 ที่ศ​ าล​ล่างก​ ำหนด​ให้โ​จทก์​จ่าย​ค่า​อุปการะเ​ลี้ยง​ดู​จำเลยเ​ดือน​ละ 1,500 บาท จึงเ​ป็นการเ​หมาะ​สม​แล้ว มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-45 มสธ ฎ. 5627/2530 ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ใน​ระหว่าง​ที่​สามี​ภริยา​แยก​กัน​อยู่​นั้น ฝ่าย​ที่​มี​ความ​สามารถ​หรือ​ฐานะ​มสธ น้อย​กว่า​และ​แยก​ไป​อยู่​โดย​สุจริต ชอบ​ที่​จะ​ได้​รับ​การ​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จาก​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง เมื่อ​โจทก์​จำเลย​ต่าง​ สมัคร​ใจ​แยก​กัน​อยู่​ชั่วคราว​โดย​ไม่ใช่​ความ​ผิด​ของ​จำเลย และ​จำเลย​ไม่มี​อาชีพ​หรือ​ราย​ได้​เพียง​พอ โจทก์​ซึ่ง​อุปการะ​มสธ เลี้ยง​ดู​จำเลยม​ า​ตลอด​และ​อยู่ใ​น​ฐานะ​ที่ส​ ามารถ​จะ​อุปการะเ​ลี้ยงด​ ู​จำเลยไ​ด้ จึง​มีหน้าท​ ี่​ต้องอ​ ุปการะเ​ลี้ยง​ดู​จำเลย กิจกรรม 2.2.2 นาย​สมบัติ​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​นาง​พิศ​มัย​ได้ 10 ปี​มา​แล้ว อยู่​กิน​ด้วย​กัน​มา​จน​เกิด​บุตร 2 คน เม่ือ​ ต้น​ปี​นี้​นาย​สมบัติ​เปล่ียน​นิสัย​ไป​เป็น​คน​ชอบ​เสพ​สุรา​เมามาย​อาละวาด​ทุบตี​ด่า​ว่า​นาง​พิศ​มัย​เป็น​ประจำ​ทุก​วัน นาง​พิศมัย​ได้​รับ​ความ​กดดัน​ทาง​จิตใจ​จาก​การ​น้ี​ถึง​กับ​ป่วย​เป็น​โรคจิต จึง​มา​ปรึกษา​ท่าน ขอ​ให้​ช่วย​หา​ทาง​แก้ไข โดย​แสดง​ความจ​ ำนงว​ ่า​ไม​ป่ ระสงคจ​์ ะ​หยา่ ข​ าดจ​ าก​นายส​ มบตั ิ เพราะ​เกรงว​ ่า​บตุ ร​จะ​เกดิ ​ปมดอ้ ย ให​้ทา่ นแ​ นะนำน​ างพ​ ิศม​ ัย แนว​ตอบก​ ิจกรรม 2.2.2 แนะนำใ​หน​้ างพ​ ศิ ม​ ยั ย​ นื่ ค​ ำรอ้ งต​ อ่ ศ​ าล ขออ​ นญุ าตแ​ ยกก​ นั อ​ ยต​ู่ า่ งห​ ากจ​ ากน​ ายส​ มบตั เ​ิ ปน็ การช​ ว่ั คราว ตาม​ มาตรา 1462 โดยอ​ ้างเ​หต​วุ า่ การอ​ ยู่ร​ ว่ มก​ ัน​จะเ​ปน็ การท​ ำลาย​ความผ​ าสุกอ​ ย่าง​มาก เร่อื ง​ท่ี 2.2.3 ความ​เป็น​คนว​ ิกลจริตห​ รอื ​จติ ​ฟ่ัน​เฟือน 1. ค​ู่สมรสเ​ปน็ ​คนไ​ ร้ค​ วาม​สามารถ​หรอื เ​สมือน​ไร​้ความส​ ามารถ มาตรา 1463 “ใน​กรณี​ท่ี​ศาล​สั่ง​ให้​สามี​หรือ​ภริยา​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​หรือ​เสมือน​ไร้ความ​สามารถ ภริยา​ หรือ​สามี​ย่อม​เป็น​ผู้​อนุบาล​หรือ​ผู้​พิทักษ์ แต่​เม่ือ​มี​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​หรือ​อัยการ​ร้องขอ​และถ้า​มี​เหตุ​สำคัญ ศาล​จะ​ต้ัง​ผู้​อ่ืน​ เปน็ ผ​ ้อู​ นุบาลห​ รือผ​ ​พู้ ิทักษ​์กไ็ ด้” การ​ที่​สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​กลาย​เป็น​คน​วิกลจริต จิตใจ​ไม่​สม​ประกอบ​เมื่อ​ได้​มี​การ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ และ​ศาล​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​หรือ​เสมือน​ไร้​ความ​สามารถ​แล้ว​นั้น เนื่องจาก​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​มีหน้า​ที่​ต้อง​ ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​กัน​ตาม​มาตรา 1461 วรรค​สอง ฉะนั้น​เมื่อ​จะ​ตั้ง​ผู้​อนุบาล​หรือ​ผู้​พิทักษ์ มาตรา 1463 จึง​ กำหนด​ให้​ต้อง​ตั้ง​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ให้​ทำ​หน้าที่​นี้ ​อย่างไร​ก็​ดี​ถ้า​มี​เหตุ​สำคัญ เช่น คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ก็​เป็น​คน ​วิกลจริต​หรือ​มี​เรื่อง​โกรธ​เคือง​กันทะ​เลาะ​ตบ​ตี​กัน​เป็น​ประจำ​เมื่อ​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​หรือ​พนักงาน​อัยการ​ร้องขอ ศาล​ อาจ​จะ​ตั้งผ​ ู้​อื่นเ​ป็น​ผู้อ​ นุบาล​หรือ​ผู้พ​ ิทักษ์โ​ดยไ​ม่​ตั้ง​คู่​สมรสฝ​ ่าย​นั้นก​ ็ได้ ใน​กรณี​ที่​ศาล​สั่ง​ให้​สามี​หรือ​ภริยา​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​และ​แต่ง​ตั้ง​ให้​ภริยา​หรือ​สามี​เป็น​ผู้​อนุบาล ภริยา​ หรือ​สามี​ที่​เป็น​ผู้​อนุบาล​นี้​ย่อม​มี​อำนาจ​และ​หน้าที่​เช่น​เดียว​กับ​ผู้​ใช้​อำนาจ​ปกครอง ทั้งนี้​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา มสธ มส

มส 2-46 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ 1598/15 ใน​กรณีท​ ี่​ศาล​สั่ง​ให้ส​ ามีห​ รือ​ภริยาเ​ป็นค​ น​ไร้​ความ​สามารถแ​ ละภ​ ริยา​หรือส​ ามีเ​ป็น​ผู้​อนุบาล ให้น​ ำบ​ ทบัญญัติ​มสธ ว่า​ด้วย​สิทธิแ​ ละห​ น้าที่​ของผ​ ู้ใ​ช้​อำนาจป​ กครอง​มาใ​ช้​บังคับ​โดย​อนุโลม เว้น​แต่​สิทธิ​ตามม​ าตรา 1567(2) และ (3) กล่าว​ คือ ภริยา​หรือ​สามี​ที่​เป็น​ผู้​อนุบาล​ต้อง​ให้​ความ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​สามี​หรือ​ภริยา​ที่​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ เช่น มี​สิทธิ​มสธ กำหนด​ที่​อยู่​ให้ ฯลฯ แต่​จะ​ทำโทษ​หรือ​ใช้​ให้​ทำการ​งาน​ไม่​ได้ ทั้ง​ยัง​มี​อำนาจ​ใน​การ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​และ​สิน​สมรส ​ของ​สามี​หรือ​ภริยา​ที่​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​ด้วย แต่​สำหรับ​การ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​หรือ​สิน​สมรส​ของ​สามี​หรือ​ภริยา​ที่​ เป็นค​ นไ​ร้​ความ​สามารถท​ ี่​สำคัญ เช่น ขาย ขาย​ฝาก แลกเ​ปลี่ยน จำนอง ให้​เช่าซ​ ื้ออสังหาริมทรัพย์​หรือ​สังหาริมทรัพย​์ ที่​อาจ​จำนอง​ได้ ให้​กู้​ยืม​เงิน เหล่า​นี้ ภริยา​หรือ​สามี​ผู้​อนุบาล​จะ​กระทำ​มิได้ เว้น​แต่​จะ​ได้​รับ​อนุญาต​จาก​ศาล ทั้งนี้ ตาม​ที่บ​ ัญญัติ​ไว้​ในม​ าตรา 1598/16 ที่บ​ ัญญัติว​ ่า “คู่ส​ มรสซ​ ง่ึ เ​ปน็ ผ​ ู้อ​ นุบาล​ของค​ ู่ส​ มรส​ท่​ถี ูกศ​ าล​สั่ง​ให้เ​ปน็ ค​ น​ไรค้​ วาม​ สามารถ​มี​อำนาจ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​และ​มี​อำนาจ​จัดการ​สิน​สมรส​แต่​ผู้​เดียว แต่​การ​จัดการ​สิน​ ส่วนต​ ัว และ​สนิ ​สมรสต​ ามก​ รณท​ี ​รี่ ะบ​ไุ ว้​ในม​ าตรา 1476 วรรค​หนึ่ง ค่​สู มรสน​ นั้ จ​ ะ​จดั การ​ไมไ​่ ด้ เวน้ ​แตจ่​ ะไ​ดร้​ บั อ​ นญุ าต​ จาก​ศาล” อย่างไร​ก็ตาม หาก​ศาล​สั่ง​ให้​สามี​หรือ​ภริยา​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​โดย​มิได้​แต่ง​ตั้ง​คู่​สมรส​เป็น​ผู้​อนุบาล แต่​แต่ง​ตั้ง​บิดา​หรือ​มารดา​หรือ​บุคคล​ภายนอก​เป็น​ผู้​อนุบาล​นั้น ผู้​อนุบาล​เช่น​ว่า​นี้​มี​อำนาจ​ที่​จะ​จัดการ​สิน​สมรส ​ร่วม​กัน​กับ​ภริยา​หรือส​ ามี เว้น​แต่ศ​ าล​จะส​ ั่ง​เป็น​อย่างอ​ ื่น ทั้งนี้​ตามท​ ี่​บัญญัติ​ไว้ใ​น​มาตรา 1598/17 อทุ าหรณ์ ฎ. 346/2509 ตาม​ปกติ​สามี​ย่อม​เป็น​ผู้​อนุบาล​ภริยา ซึ่ง​ศาล​สั่ง​ว่า​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​ต้อง​จัด​ให้อยู่​ใน​ ความ​อนุบาล เมื่อ​ผู้​มี​ส่วน​ได้​เสีย​ผู้​ใด​คัดค้าน​ต่อ​ศาล ผู้​คัดค้าน​ชอบ​ที่​จะ​นำสืบ​แสดง​เหตุ​สำคัญ​ให้​เห็น​ว่า​ศาล​ควร​ตั้ง​ ผู้​อื่นเ​ป็น​ผู้​อนุบาล ฎ. 5827/2530 จำเลย​เป็น​บุตร​ย่อม​มี​อำนาจ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ให้​สั่ง​ให้​มารดา​เป็น​คน​เสมือน​ไร้ความ​สามารถ​ หรือ​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​ได้​ตาม ปพพ. มาตรา 32 หรือ 28 โดย​ไม่​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​โจทก์​ผู้​เป็น​บิดา​ จำเลยแ​ ละส​ ามขี​ องม​ ารดาจ​ ำเลยท​ ั้งศ​ าลม​ อี​ ำนาจแ​ ต่งต​ ั้งจ​ ำเลยเ​ป็นผ​ ูพ้​ ิทักษห์​ รือผ​ ูอ้​ นุบาลข​ องม​ ารดาไ​ดต้​ ามม​ าตรา 1463 แม้ต​ ามป​ กติ​คู่ส​ มรสจ​ ะเ​ป็น​ผู้พ​ ิทักษ์ห​ รือผ​ ู้อ​ นุบาล​ตามก​ ฎหมาย​ก็ตาม ฎ. 6939/2537 กรณี​ที่​ศาล​สั่ง​ให้​สามี​หรือ​ภริยา​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​จะ​ต้อง​ตั้ง​คู่​สมรส​เป็น​ผู้​อนุบาล​ก่อน​ เพียงค​ นเ​ดียว หากม​ ีผ​ ู้อ​ ื่น​ร้องขอแ​ ละ​มี​เหตุส​ ำคัญศาล​จะต​ ั้งผ​ ู้อ​ ื่นเ​ป็น​ผู้​อนุบาล​ก็ได้ การจ​ ะต​ ั้ง​ทั้ง​คู่​สมรสแ​ ละบ​ ุคคลอื่น​ เป็นผ​ ู้​อนุบาล​ร่วม​กัน จะ​ไม่ส​ อดคล้อง​กับ ปพพ. มาตรา 1463 2. ค​สู่ มรสว​ กิ ลจริต มาตรา 1464 “ในก​ รณท​ี ​คี่ ​ูส่ มรสฝ​ ่าย​ใดฝ​ า่ ย​หนึง่ ​เป็นค​ นว​ กิ ลจริต​ไม่​วา่ ศ​ าลจ​ ะไ​ด​ส้ ่ังใ​ห้​เป็น​คนไ​ร​ค้ วาม​สามารถ​ หรอื ไ​ม่ ถา้ ค​ ส​ู่ มรสอ​ กี ฝ​ า่ ยห​ นงึ่ ไ​มอ​่ ปุ การะเ​ลยี้ งด​ ฝ​ู า่ ยท​ ว​ี่ กิ ลจรติ ต​ ามม​ าตรา1461 วรรคส​ อง หรอื ก​ ระทำก​ ารห​ รอื ไ​มก​่ ระทำ​ การอ​ ยา่ ง​ใด อันเ​ป็นเ​หตใ​ุ หฝ้​ ่ายท​ ​่ีวิกลจริตต​ ก​อย่​ูในภ​ าวะ​อันน​ ่าจ​ ะ​เกิดค​ วาม​เสียห​ าย​ทาง​ทรพั ยส์ ินถ​ งึ ​ขนาด บคุ คลต​ ามท​ ​ี่ ระบุ​ไว้​ใน​มาตรา 28 หรือ​ผู้​อนุบาล​อาจ​ฟ้อง​คู่​สมรสอีก​ฝ่าย​หนึ่ง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ให้​แก่​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต หรือ​ขอ​ให้​ ศาลม​ ​ีคำ​สั่ง​ใดๆ เพ่ือค​ มุ้ ครองฝ​ ่ายท​ ีว่​ ิกลจรติ ​นน้ั ​ได”้ ใน​กรณี​ฟ้อง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ตาม​วรรค​หนึ่ง ถ้า​ยัง​มิได้​มี​คำ​สั่ง​ของ​ศาล​ว่า คู่​สมรส​ซึ่ง​วิกลจริต​เป็น​คน​ ไร้​ความส​ ามารถ ก็​ให้​ขอ​ต่อ​ศาลใ​น​คดี​เดียวกันใ​ห้​ศาล​มี​คำส​ ั่ง​ว่า​คู่ส​ มรสซ​ ึ่งว​ ิกลจริต​นั้นเป็นค​ น​ไร้ค​ วามส​ ามารถโ​ดยขอ​ ให้​ตั้ง​ตนเอง​หรือ​ผู้​อื่น​ที่​ศาล​เห็น​สมควร​เป็น​ผู้​อนุบาล หรือ​ถ้า​ได้​มี​คำ​สั่ง​ของ​ศาล​แสดง​ว่า​คู่​สมรส​ซึ่ง​วิกลจริต​เป็น​ คนไ​ร้ค​ วามส​ ามารถ​อยู่แ​ ล้ว จะ​ขอใ​ห้​ถอดถอน​ผู้​อนุบาล​คน​เดิม​และแ​ ต่ง​ตั้ง​ผู้​อนุบาล​คน​ใหม่ก​ ็ได้ ใน​การ​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ใดๆ เพื่อ​คุ้มครอง​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​โดย​มิได้​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ด้วย​นั้น จะไ​ม่​ขอใ​ห้ศ​ าลม​ ีค​ ำส​ ั่งใ​ห้​คู่ส​ มรส​ฝ่ายท​ ี่ว​ ิกลจริต​นั้น​เป็นค​ น​ไร้​ความ​สามารถ หรือ​จะไ​ม่ข​ อ​เปลี่ยนผ​ ู้​อนุบาลก​ ็ได้ แต่ถ​ ้า​ มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-47 มสธ ศาล​เห็น​ว่า​วิธี​การ​คุ้มครอง​ที่​ขอ​นั้น​จำ​ต้อง​มี​ผู้​อนุบาล​หรือ​เปลี่ยน​ผู้​อนุบาล ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​จัดการ​ทำนอง​เดียว​กับ​ที่​มสธ บัญญัติ​ไว้ใ​นว​ รรค​สอง แล้วจ​ ึงม​ ีค​ ำ​สั่งค​ ุ้มครอง​ตามท​ ี่เ​ห็น​สมควร” มสธ มาตรา 1464/1 “ในร​ ะหวา่ งก​ ารพ​ จิ ารณาค​ ดต​ี ามม​ าตรา 1464 ถา้ ม​ ค​ี ำขอศ​ าลอ​ าจก​ ำหนดว​ ธิ ก​ี ารช​ ว่ั คราวเ​กย่ี วก​ บั ​ การอ​ ปุ การะเ​ลยี้ งด​ ห​ู รอื ก​ ารค​ มุ้ ครองค​ ส​ู่ มรสฝ​ า่ ยท​ ว​่ี กิ ลจรติ ไ​ดต​้ ามท​ เ​ี่ หน็ ส​ มควรและห​ ากเ​ปน็ ก​ รณฉ​ี กุ เฉนิ ใ​หน​้ ำบ​ ทบญั ญตั ​ิ เรื่องค​ ำขอใ​น​เหต​ฉุ กุ เฉนิ ​ตาม​ประมวล​กฎหมาย​วิธ​ีพจิ ารณา​ความ​แพ่งม​ าใ​ช้บ​ ังคบั ” การ​ที่​คู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​กลาย​เป็น​คน​วิกลจริต​ไม่​ว่า​จะ​ถูก​ศาล​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​หรือ​ไม่​ ก็ตาม คู่ส​ มรสอ​ ีกฝ​ ่าย​หนึ่งจ​ ะ​ต้องใ​ห้ค​ วามอ​ ุปการะ​เลี้ยง​ดูแ​ ละก​ ระทำ​การต​ าม​สมควร​เพื่อ​ให้ฝ​ ่าย​ที่ว​ ิกลจริต​อยู่​ใน​ภาวะ​ ปลอดภัย​ทาง​ทรัพย์สิน ทาง​กาย และ​ทาง​จิตใจ ตาม​สมควร เช่น สามี​เกิด​วิกลจริต ภริยา​ก็​ต้อง​ดูแล​รักษา พา​ไป​หา​ หมอ จัดการ​ป้องกัน​ไม่​ให้​สามี​เดิน​ออก​ไป​นอกถนน​ซึ่ง​อาจ​เกิด​อันตราย​จาก​การ​ถูก​รถยนต์​ชน เป็นต้น หาก​ไม่​กระทำ​ การ​ดัง​กล่าว บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ลูก หลาน เหลน ลื้อ ผู้​อนุบาล ผู้พ​ ิทักษ์ หรือพ​ นักงานอ​ ัยการ มีอ​ ำนาจ​ ฟ้อง​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​ไม่​ให้​ความ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​นั้น​ให้​ชำระ​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​และ​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ใดๆ เพื่อ​คุ้มครอง​คู่​ สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​ได้​ตาม​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1464 โดย​ใน​กรณี​ที่​ฟ้อง​เรียก​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ให้​แก่​คู่​สมรส​ฝ่าย ​ที่​วิกลจริต​นั้น โจทก์​อาจ​มี​คำขอ​ใน​คดี​เดียวกัน​นี้​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​และ​ ตั้ง​โจทก์​หรือ​บุคคล​อื่น​เป็น​ผู้​อนุบาล​ก็ได้ แต่​ถ้า​หาก​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​นั้น​ถูก​ศาล​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​ อยู่แ​ ล้ว โจทก์จ​ ะข​ อใ​ห้ศ​ าลถ​ อดถอนผ​ ู้อ​ นุบาลค​ นเ​ดิมแ​ ละแ​ ต่งต​ ั้งผ​ ู้อ​ นุบาลค​ นใ​หม่ก​ ็ได้เ​พราะเ​ห็นไ​ด้ช​ ัดเจนว​ ่าผ​ ู้อ​ นุบาล​ คน​เดิมล​ ะเลย​หน้าที่ท​ ี่จ​ ะ​อุปการะเ​ลี้ยงด​ ูค​ ู่ส​ มรส​ที่​เป็น​คนไ​ร้​ความส​ ามารถ​นั้น อยา่ งไรก​ ด็​ ี ถ้าโ​จทกฟ​์ ้องเ​พียงข​ อใ​หศ้​ าลม​ คี​ ำส​ ั่งค​ ุ้มครองค​ สู​่ มรสฝ​ า่ ยท​ ีว่​ กิ ลจรติ โ​ดยไ​มไ​่ ดเ้​รยี กค​ า่ อ​ ุปการะเ​ลี้ยง​ ดูเ​ข้าม​ าด​ ้วย เช่น ฟ้อง​แต่เ​พียงข​ อ​ให้​พาค​ ู่​สมรสฝ​ ่าย​ที่ว​ ิกลจริตไ​ปร​ ับ​การร​ ักษาพ​ ยาบาลเ​ท่านั้น โจทก์ม​ ี​สิทธิท​ ี่​จะท​ ำได​้ โดย​ไม่​จำเป็น​ต้อง​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​คู่​สมรส​ที่​วิกลจริต​นั้น​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ หรือ​ถ้า​คู่​สมรส​ที่​วิกลจริต​นั้น​ เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​อยู่​แล้ว จะ​ไม่​ขอ​ให้​เปลี่ยน​ตัวผู้​อนุบาล​ก็ได้ เว้น​แต่​ศาล​จะ​เห็น​สมควร​ที่​จะ​สั่ง​เช่น​ว่า​นั้น ตัวอย่าง​เช่น นาย​มิตร และ​นาง​ดารา​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​มา​หลาย​ปี​แล้ว ต่อ​มา​นาง​ดารา​เกิด​วิกลจริต​ชอบ​เดิน​ออก​ ไป​เที่ยว​เล่น​นอกถนน นาย​มิตร​เกรง​ว่า​จะ​ถูก​รถยนต์​ชน จึง​ล่าม​โซ่​นาง​ดารา​ไว้​ใน​บ้าน และ​จัดหา​อาหาร เครื่อง​นุ่ง​หุ่ม​ และ​เครื่อง​ใช้​อย่าง​ดี​ให้​ตาม​ที่​นาง​ดารา​ต้องการ​ทุก​อย่าง นาย​มิตร​เคย​ไป​ปรึกษา​แพทย์​ที่​โรง​พยาบาล​โรคจิต​ได้​รับ​แจ้ง​ ว่า​จะ​ต้อง​รับ​ตัวนาง​ดารา​ไว้​รักษา​ใน​โรง​พยาบาล​โรคจิต​เป็น​เวลา​ไม่​น้อย​กว่า 6 เดือน จึง​จะ​หายขาด แต่​เนื่องจาก​นาย​ มิตรท​ น​ความค​ ิดถึง​นาง​ดารา​ไม่ไ​ด้ จึง​ไม่ย​ อม​ให้น​ าง​ดาราไ​ป​อยู่​โรง​พยาบาล บิดาน​ างด​ าราท​ ราบเ​หตุเ​ข้า หากป​ ระสงค์​ จะ​ให้​นาง​ดารา​เข้า​รับ​การ​รักษา​ตัว​ใน​โรง​พยาบาล​โรคจิต​ก็​สามารถ​ทำได้ โดย​การ​ยื่น​คำร้อง​ต่อ​ศาล​ตาม​มาตรา 1464 นี้ เพราะ​ถือ​ได้​ว่า​นาย​มิตร​มิได้​กระทำ​การ​ตาม​สมควร​เป็น​เหตุ​ให้​นาง​ดารา​ซึ่ง​วิกลจริต​ตก​อยู่​ใน​ภาวะ​อัน​น่า​จะ​เป็น​ภัย ท​ างจ​ ิตใจ เป็นต้น ในร​ ะหว่างท​ ีศ่​ าลก​ ำลงั พ​ จิ ารณาค​ ดเี​พื่อค​ ุ้มครองค​ ูส่​ มรสฝ​ ่ายท​ ีว่​ ิกลจริตอ​ ยูน่​ ีโ้​จกท​ อ์​ าจร​ ้องขอต​ ่อศ​ าลใ​หก้​ ำหนด ว​ ิธีก​ ารช​ ั่วคราวเ​กี่ยวก​ ับก​ ารอ​ ุปการะเ​ลี้ยงด​ ู หรือก​ ารค​ ุ้มครองค​ ู่ส​ มรสฝ​ ่ายท​ ี่ว​ ิกลจริตไ​ด้ต​ ามท​ ี่เ​ห็นส​ มควรต​ ามท​ ี่บ​ ัญญัต​ิ ไว้​ใน​มาตรา 1464/1 เช่น ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ชำระ​ค่า​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​เป็น​ ราย​เดือน เดือน​ละ 2,000 บาท เป็นการ​ชั่วคราว หรือ​ขอ​ให้​ศาล​มี​คำ​สั่ง​ให้​นำ​คู่​สมรส​ที่​วิกลจริต​ไป​รับ​การ​บำบัด​รักษา​ ที่​โรง​พยาบาล​โรคจิตโ​ดย​เร็วก​ ็ได้ และ​ถ้าห​ าก​เป็นก​ รณี​ฉุกเฉิน​โจทก์​จะม​ ี​คำขอ​ใน​เหตุฉ​ ุกเ​ฉิน​ตาม​ ปวพ.ให้ศ​ าล​มี​คำส​ ั่ง​ เพื่อ​คุ้มครอง​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​วิกลจริต​ได้​ใน​ทันที​โดย​ไม่​ต้อง​รอ​ฟัง​คู่​สมรส​ที่​เป็น​จำเลย​แต่​อย่าง​ใด เช่น สามี​จับ​ภริยา​ที่​ วิกลจริตล​ ่าม​โซ่​และ​ให้​รับ​ประทาน​อาหาร​เพียง​วัน​ละ​มื้อ​เดียว บิดา​ของ​ภริยา​อาจ​ขอ​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ให้​ศาล​ไต่สวน​และ​ มคี​ ำส​ ั่งใ​หส้​ ามปี​ ล่อยภ​ ริยาโ​ดยใ​หภ้​ ริยาม​ าอ​ ยูใ่​นค​ วามด​ ูแลข​ องบ​ ิดาใ​นท​ ันทใี​นว​ ันน​ ั้นก​ ็ได้ หรือก​ รณใี​ชห้​ วายอ​ าบน​ ้ำมนต​์ เฆี่ยน​ภริยา​มา​สาม​วัน​สาม​คืน​แล้ว และ​กำลัง​จะ​เฆี่ยน​ต่อ​ไป​อีก ดังนี้ มารดา​ของ​ภริยา​มี​สิทธิ​ร้องขอ​ใน​เหตุ​ฉุกเฉิน​ให้​ ศาลส​ ั่ง​ห้าม​สามีร​ ักษาโ​รคโ​ดย​วิธีก​ าร​นี้​ได้ เป็นต้น มสธ มส

มส 2-48 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก การ​เป็น​บุคคล​วิกลจริต​มิได้​หมายความ​เฉพาะ​บุคคล​ผู้​มี​จิต​ผิด​ปกติ หรือ​ตาม​ที่​เข้าใจ​กัน​ทั่วๆ ไป​ว่า​เป็น​บ้า​มสธ มสธ เท่านั้น แต่​หมาย​รวม​ถึงบ​ ุคคล​ที่ม​ ี​กริยา​อาการผ​ ิด​ปกติ เพราะส​ ติ​วิ​ปลาศ​ ​คือ ขาด​ความร​ ำลึก ขาด​ความร​ ู้สึก หรือ​ขาด​ ความ​รับ​ผิด​ชอบ​ด้วย เพราะ​บุคคล​ดัง​กล่าว​ไม่​สามารถ​ประกอบ​กิจการ​ของ​ตน หรือ​ประกอบ​กิจการ​ส่วน​ตัว​ของ​ตน​มสธ ได้ที​เดียว เช่น บุคคล​อายุ 92 ปี ไม่รู้​สึก​ตนเอง ไม่รู้​จัก​สถาน​ที่​และ​เวลา พูดจา​รู้​เรื่อง​บ้าง​ไม่รู้​เรื่อง​บ้าง พอ​ถือ​ได้​ว่า ​เป็น​บุคคล​วิกลจริต​ที่​ศาล​จะ​สั่ง​ให้​เป็น​คน​ไร้​ความ​สามารถ​แล้ว46 และ​ลูก​หลาน​เหลน​ของ​บุคคล​ดัง​กล่าว​ก็​อาจ​จะ​ฟ้อง​ ขอ​ให้ศ​ าลม​ ีค​ ำ​สั่งค​ ุ้มครอง​ตาม​มาตรา 1464 นี้​ได้ กจิ กรรม 2.2.3 นาย​มิตร​และ​นา​งอ​รัญญา​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​มา​หลาย​ปี​แล้ว ต่อ​มา​นา​งอ​รัญญา​เกิด​วิกลจริต​ชอบ​เดิน​ ออก​ไป​นอกถนน นาย​มติ ร​เกรง​วา่ ​จะ​ถกู ​รถยนต​์ชน​จงึ ​ล่าม​โซ่​นา​งอ​รญั ญา​ไว​้ใน​บา้ น และ​จดั ​อาหาร เครอื่ ง​น่มุ ​ห่ม และ​เครือ่ ง​ใช​้อยา่ ง​ดี​ให​้ตาม​ที่​นา​งอ​รัญญา​ต้องการ​ทุก​อยา่ ง นาย​มิตร​เคย​ไป​ปรึกษา​แพทย​์ท่​ีโรง​พยาบาล​โรคจติ ได้​ รบั แ​ จง้ ว​ า่ จ​ ะต​ อ้ งร​ บั ต​ วั น​ าง​ อร​ ญั ญาไ​วร​้ กั ษาใ​นโ​รงพ​ ยาบาลเ​ปน็ เ​วลาไ​มน​่ อ้ ยก​ วา่ 6 เดอื น จงึ จ​ ะห​ ายขาด แตเ​่ นอ่ื งจาก​ นาย​มิตร​ทน​ความ​คิดถึง​นา​งอ​รัญญา​ไม่​ได้​จึง​ไม่​ยอม​ให้​นา​งอ​รัญญา​ไป​อยู่​โรง​พยาบาล บิดา​นา​งอ​รัญญา​ทราบ​ เหตุ​เข้า​มี​ความ​ประสงค์​จะ​ให้​นา​งอ​รัญญา​เข้า​รับ​การ​รักษา​ตัว​ใน​โรง​พยาบาล​โรคจิต ดังนี้ บิดา​นา​งอ​รัญญา​จะ​มี​ ชอ่ งท​ าง​ทำไดต้​ ามค​ วามป​ ระสงค​์หรือไ​ม่ แนวต​ อบก​ จิ กรรม 2.2.3 บดิ าข​ องน​ า​งอร​ ญั ญาส​ ามารถ​ยนื่ ค​ ำรอ้ งต​ อ่ ศ​ าล​ตามม​ าตรา 1464 ขอ​ใหส​้ ่ังน​ าย​มติ ร​นำน​ า​งอ​รญั ญาไ​ป​เข้า​ รับ​การ​รกั ษา​ตัวใ​น​โรง​พยาบาล​โรคจติ ​ได้ เพราะ​ถือวา่ ​นาย​มติ ร​มิได​้กระทำ​การ​ตาม​สมควร​เป็น​เหต​ุให้​นา​งอร​ ญั ญา​ ซง่ึ ​วกิ ลจริตอ​ ยู​่ใน​ภาวะอ​ นั น​ า่ จ​ ะ​เปน็ ​ภัยท​ างจ​ ติ ใจ 46 ฎ. 74/2527 มสธ มส

มส การสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา 2-49 มสธ เรื่อง​ท่ี 2.2.4มสธ การใ​ช​้คำนำห​ นา้ ​นาม ชอ่ื ส​ กุล และ​สัญชาติ มสธ ในป​ ัจจุบัน​ได้ม​ ี​การต​ รา​พระ​ราช​บัญญัติค​ ำนำห​ น้า​นามห​ ญิง พ.ศ. 2551 ซึ่งม​ ี​ผล​ใช้​บังคับเ​มื่อ​พ้นก​ ำหนด​หนึ่ง​ ร้อย​ยี่สิบ​วัน​นับ​แต่ว​ ัน​ประกาศ​ในร​ าช​กิจ​จาน​ ุเบกษา​เป็นต้นไ​ป (ประกาศใ​น​ราชก​ ิจ​จาน​ ุเบกษาว​ ัน​ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551) ใน​ส่วน​ที่​เกี่ยว​กับ​หญิง​ซึ่ง​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว และ​หญิง​มี​สามี​ซึ่ง​ต่อ​มา​การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง​ไม่​ว่า​ด้วย​เหตุ​ใด​ จะ​ใช้ค​ ำนำ​หน้า​นาม​ว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ ตาม​ความ​สมัคร​ใจ ทั้งนี้​เพื่อม​ ิใ​ห้​เป็นการเ​ลือก​ปฏิบัติ​โดย​ไม่เ​ป็น​ ธรรม​ต่อ​บุคคล​เพราะ​เหตุ​แห่ง​ความ​แตก​ต่าง​ทาง​เพศ และ​เพื่อ​ไม่​ให้​เกิด​ผลก​ระ​ทบ​ใน​การ​ดำรง​ชีวิต​ประจำ​วัน​ของ​ หญิง ซึ่ง​ปรากฏอ​ ยู่ใ​น​มาตรา 5 และ​มาตรา 6 แห่ง​ พรบ.ดัง​กล่าว ดังนี้ มาตรา 5 “หญิงซ​ งึ่ จ​ ดท​ ะเบยี นส​ มรสแ​ ลว้ ​จะใ​ช้​คำนำห​ นา้ น​ าม​ว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ ตามค​ วามส​ มัคร​ใจ​ โดยใ​ห​้แจง้ ต​ อ่ ​นายท​ ะเบียนต​ ามก​ ฎหมาย​วา่ ด​ ว้ ยก​ ารจ​ ด​ทะเบียนค​ รอบครัว” มาตรา 6 “หญิง​ซ่ึง​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว หาก​ต่อ​มา​การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง​จะ​ใช้​คำนำ​หน้า​นาม​ว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ ตาม​ความส​ มัครใ​จโ​ดยใ​ห​้แจ้งต​ อ่ น​ ายท​ ะเบียน​ตามก​ ฎหมาย​วา่ ด​ ้วย​การจ​ ดท​ ะเบียน​ครอบครัว” ใน​ส่วน​ของ​การ​ใช้​นามสกุล​ของ​หญิง​มี​สามี​นั้น แต่​เดิม พรบ.ชื่อ​บุคคล พ.ศ. 2505 กำหนด​ให้​หญิง​มี​สามี​ ต้องใ​ช้​ชื่อส​ กุล​ของส​ ามี ต่อ​มาศ​ าล​รัฐธรรมนูญ​มี​คำว​ ินิจฉัยท​ ี่ 21/2546 ว่า มาตรา 12 แห่ง ​พรบ.ชื่อบ​ ุคคล พ.ศ. 2505 เดิมท​ ี่​บัญญัติ​ให้​หญิงม​ ี​สามี​ต้องใ​ช้ช​ ื่อส​ กุล​ของส​ ามี​นั้น ไม่​ชอบด​ ้วย​รัฐธรรมนูญ ใช้บ​ ังคับ​ไม่​ได้ จึงม​ ี​การแ​ ก้ไข​เพิ่ม​เติม (ฉบับ​ที่ 5) พ.ศ. 2548 มาตรา 12 บัญญัติ​ให้​คู่​สมรส​ต่าง​มี​สิทธิ​ใช้​ชื่อ​สกุล​ของ​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ตาม​ที่​ตกลง​กัน​หรือ​ ต่าง​ฝ่ายต​ ่าง​ใช้ช​ ื่อส​ กุล​เดิม​ของต​ น​ก็ได้ ซึ่งก​ าร​ตกลง​กันเ​ช่นน​ ี้​จะก​ ระทำเ​มื่อ​มี​การส​ มรส​หรือใ​น​ระหว่างส​ มรส​ก็ได้ และ​ จะ​ตกลง​เปลี่ยนแปลง​กัน​อีก​ใน​ภาย​หลัง​ก็ได้ ซึ่ง​หาก​ไม่มี​การ​ตกลง​กัน​ก็​ต้อง​ถือว่า​ต่าง​ฝ่าย​ต้อง​ใช้​ชื่อ​สกุล​เดิม​ของ​ตน​ ต่อไ​ ป นอกจาก​นี้​ใน มาตรา 13 ซึ่ง​ได้​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​ใน​ครั้ง​เดียวกัน​นี้​ก็ได้​บัญญัติ​เกี่ยว​กับ​การ​ใช้​ชื่อ​สกุล​ของ​ คู่​สมรส​เมื่อก​ าร​สมรส​สิ้นส​ ุดไ​ม่ว​ ่า​จะ​โดย​การ​ตาย หย่า หรือศ​ าล​พิพากษาใ​ห้​เพิก​ถอน​ไว้​เช่น​เดียวกัน มาตรา 12 “คู่​สมรส​มี​สิทธิ​ใช้​ช่ือ​สกุล​ของ​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หน่ึง​ตาม​ที่​ตกลง​กัน หรือ​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​ใช้​ช่ือ​สกุล​เดิม​ของ​ ตน การต​ กลงก​ ัน​ตาม​วรรคห​ น่งึ จะ​กระทำเ​มอื่ ม​ ีก​ าร​สมรสห​ รอื ใ​นร​ ะหวา่ งส​ มรส​ก็ได้ ขอ้ ต​ กลงต​ าม​วรรคห​ นึง่ ค่สู​ มรส​จะต​ กลงเ​ปลี่ยนแปลง​ภาย​หลังก​ ็ได้” มาตรา 13 “เมื่อก​ ารส​ มรส​ส้นิ ส​ ดุ ​ลงด​ ว้ ยก​ าร​หยา่ หรือศ​ าลพ​ พิ ากษา​ให้​เพิกถ​ อนก​ าร​สมรส ให้​ฝ่าย​ซึง่ ​ใชช​้ ือ่ ​สกลุ ​ ของอ​ ีก​ฝ่าย​หนึ่ง​กลับ​ไปใ​ชช​้ ่อื ​สกุลเ​ดมิ ​ของ​ตน เมอ่ื ม​ กี​ ารส​ มรสส​ นิ้ ​สดุ ล​ ง​ดว้ ยค​ วามต​ าย ใหฝ้​ ่ายซ​ งึ่ ย​ งั ม​ ชี​ ีวติ อ​ ยแู​่ ละใ​ช​ช้ อ่ื ส​ กลุ ข​ องอ​ ีกฝ​ า่ ยห​ น่งึ ​มสี​ ทิ ธใิ​ช​ช้ อื่ ​สกลุ ​ นัน้ ​ได​ต้ ่อ​ไป แต​่เมอื่ ​จะส​ มรส​ใหม่ ให้​กลบั ไ​ปใ​ชช​้ อื่ ส​ กลุ ​เดิมข​ อง​ตน” ใน​ด้าน​สัญชาติ​นั้น การ​สมรส​ไม่​ทำให้​สัญชาติ​ของ​สามี​ภริยา​เปลี่ยนแปลง​ไป​จาก​เดิม การ​ที่​หญิง​ต่าง​ชาติ​ สมรส​กับ​ชาย​สัญชาติ​ไทย​ไม่​ทำให้​หญิง​นั้น​ได้​สัญชาติ​ไทย​โดย​อัตโนมัติ และ​ใน​ทำนอง​เดียวกัน​การ​ที่​หญิง​ไทย​ยอม​ สมรส​กับ​ชาย​ต่าง​ชาติ หญิง​นั้น​ก็​มิได้​เสีย​สัญชาติ​ไทย​ไป​ด้วย ​อย่างไร​ก็​ดี​การ​ที่​หญิง​ซึ่ง​เป็น​คน​ต่างด้าว​ได้​สมรส​กับ​ ชาย​ผู้​มีส​ ัญชาติ​ไทย หากป​ ระสงค์​จะ​ได้ส​ ัญชาติ​ไทย​ก็​อาจ​จะ​กระทำไ​ด้ โดย​การย​ ื่นค​ ำขอ​พร้อม​ด้วย​สำเนาท​ ะเบียนบ​ ้าน​ ต่อผ​ ู้บ​ ังคับการต​ ำรวจ​สันติ​บาล​ในก​ รณี​ที่​ผู้​ยื่น​คำขอม​ ีภ​ ูมิลำเนาอ​ ยู่​ใน​กรุงเทพมหานคร ถ้า​มี​ภูมิลำเนาใ​น​จังหวัดอ​ ื่นใ​ห้​ มสธ มส

มส 2-50 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ยื่น​คำขอ​ต่อ​ผู้​กำกับ​การ​ตำรวจ​ภูธร​จังหวัด​นั้น แต่​ถ้า​ผู้​ยื่น​คำขอ​อยู่​ใน​ต่าง​ประเทศ ก็​ให้​ยื่น​คำขอ​ต่อ​พนักงาน​ทูต​หรือ​มสธ กงสุล ณ ที่ทำการ​สถานท​ ูตไ​ทย หรือ​สถาน​กงสุล​ไทยใ​น​ประเทศน​ ั้น การอ​ นุญาตห​ รือ​ไม่อ​ นุญาต​ให้​ได้​สัญชาติ​ไทย​อยู​่ ในด​ ุลยพินิจ​ของร​ ัฐมนตรี​ว่าการก​ ระทรวง​มหาดไทย ทั้งนี้​ตาม​ที่บ​ ัญญัติ​ไว้​ใน พรบ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 9มสธ ตาม ปพพ. บรรพ 5 เดิม มีบ​ ทบัญญัติว​ ่า สามี​เป็นห​ ัวหน้าใ​น​คู่​ครอง เป็นผ​ ู้​เลือก​ที่​อยู่​และเ​ป็น​ผู้​อำนวยก​ าร​ ใน​เรื่อง​ช่วย​เหลือ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​และ​หญิง​มี​สามี​ย่อม​ถือ​เอา​ภูมิลำเนา​ของ​สามี แต่​ต่อ​มา​มี​การ​เรียก​ร้อง​สิทธิ​สตรี​ ให้เ​ท่าเ​ทียมก​ ับบ​ ุรุษ​กันแ​ พร่​หลาย มี​ความเ​ห็น​กัน​ว่าบ​ ทบัญญัติด​ ังก​ ล่าวเ​ป็นการท​ ำให้ภ​ ริยาไ​ม่มี​สิทธิเ​ท่า​เทียมก​ ับ​สามี จึงไ​ด้​มีต​ รา​พระ​ราชบ​ ัญญัติใ​ห้​ใช้บ​ ัญญัติบ​ รรพ 5 แห่ง ประมวลก​ ฎหมาย​แพ่งแ​ ละ​พาณิชย์ ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ พ.ศ. 2519 ซึ่งม​ ีผ​ ลใ​ช้บ​ ังคับต​ ั้งแต่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นต้น​มา โดย​ตัดบทบ​ ัญญัติท​ ั้งส​ อง​นี้​ออกเ​สีย เท่ากับ​ว่า​ในป​ ัจจุบันน​ ี​้ สามี​และ​ภริยา​ต่าง​เป็น​หัวหน้า​ใน​คู่​ครอง​ด้วย​กัน​ทั้ง​คู่ จะ​ทำ​อะไร​ต้อง​ปรึกษา​กัน​การ​เลือก​ภูมิลำเนา​หรือ​ถิ่น​ที่​อยู่​จะ ​ต้อง​เห็น​ชอบ​ด้วย​กัน​ทั้ง​สอง​ฝ่าย คู่​สมรส​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่มี​สิทธิ​เหนือ​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ใน​การ​เลือก​ภูมิลำเนา​หรือ​ถิ่น​ ที่​อยู่ การ​เลือก​จะ​ต้อง​กระทำ​โดย​คำนึง​ถึง​ผล​ประโยชน์​ของ​ครอบครัว​เป็น​สำคัญ หาก​สามี​ภริยา​ไม่​สามารถ​ตกลง​กัน ​เรื่อง​ภูมิลำเนา​หรือ​ถิ่น​ที่​อยู่​ได้​ทำให้​ต้อง​แยก​กัน​อยู่ เช่น​นี้ จะ​ต้อง​ดู​ว่า​ฝ่าย​ใด​เป็น​ฝ่าย​ผิด​หรือ​ปฏิบัติ​ตน​อย่าง​ไร้​ เหตุผล และ​ต้อง​ถือว่า​ฝ่าย​นั้น​เป็น​ฝ่าย​จงใจ​ละทิ้ง​ร้าง​ไป​อัน​นับ​เป็น​เหตุ​ฟ้อง​หย่า​ได้ ทั้ง​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​แยก​ไป​อยู่​ต่าง​ หาก​นี้​ก็​ไม่มี​สิทธิ​ได้​รับ​การ​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​จาก​คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​ยัง​อยู่​ด้วย เช่น สามี​รับ​ราชการ ภริยา​ไม่​ได้​ประกอบ ​อาชีพ​อะไร ต่อ​มา​สามี​ต้อง​ถูก​ย้าย​ไป​รับ​ราชการ​ต่าง​จังหวัด​และ​ประสงค์​จะ​ให้​ภริยา​ตาม​ไป​อยู่​ด้วย แต่​ภริยา​ไม่​ยอม​ ติดตาม​ไป เช่นน​ ี้ การท​ ี่​ภริยา​ปฏิบัติ​ตน​อย่างไ​ร้เ​หตุผลด​ ัง​กล่าว​ถือ​ได้​ว่าเ​ป็นการท​ ิ้งร​ ้าง​สามีไ​ด้ สามี​ภริยา​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​มี​สิทธิ​ที่​จะ​ว่า​กล่าว​ตัก​เตือน​หรือ​สั่ง​สอน​ซึ่ง​กัน​และ​กัน ใน​สมัย​โบราณ​สามี​มี​สิทธิ​ที่​ จะ​เฆี่ยน​ตี​สั่ง​สอน​ภริยา​บ้าง​ตาม​สมควร (to chastise his wife moderately) โดย​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​บท​ที่ 60 บัญญัติ​ว่า “สามี​ภริยา​อยู่​ด้วย​กัน ภริยา​มี​ความ​ผิด​สามี​ปราบ​ปราม​โบย​ตี​หญิง หญิง​จะ​เอา​โทษ​แก่​สามี​น้ัน​มิได้ ถ้า​ ภริยา​ด่า​ว่า​หยาบ​ช้า​แก่​สามี​ให้​ภริยา​เอา​ข้าว​ตอก​ดอกไม้​ขอโทษ​ต่อ​สามี​นั้น​จ่ึง​ควร” แต่​ใน​กฎหมาย​ปัจจุบัน​สิทธิ​ของ ​สามี​เช่น​ว่า​นี้​มิได้​มี​บัญญัติ​ไว้ ตาม​ ปอ. มาตรา 71 บัญญัติ​แต่​เพียง​ให้ ความ​ผิด​ฐาน​ลัก​ทรัพย์ วิ่ง​ราว​ทรัพย์ ฉ้อโกง โกง​เจ้า​หนี้ ยักยอก รับ​ของโจร ทำให้​เสีย​ทรัพย์ และ​บุกรุก​ที่​สามี​กระทำ​ต่อ​ภริยา หรือ​ภริยา​กระทำ​ต่อ​สามี ผู้​กระทำ​ ไม่​ต้อง​รับ​โทษ ซึ่ง​ไม่​รวม​ถึง​ความ​ผิด​ฐาน​ทำร้าย​ร่างกาย​แต่​อย่าง​ใด ฉะนั้น การ​ที่​สามี​ใช้​กำลัง​ทำร้าย​ภริยา​ของ​ตน มี​บาดแผล 6 แห่ง เป็น​รอย​ช้ำ​แต่​ไม่​ปรากฏ​ขนาด​ว่า​ใหญ่​โต​แค่​ไหน และ​อาจ​รักษา​หาย​ได้​ภายใน 5 วัน​เท่านั้น จึง​ไม่​ ส่ง​ผล​ให้​เป็น​เหตุ​ให้​เกิด​อันตราย​แก่​กาย​หรือ​จิตใจ​ของ​ภริยา ไม่​เป็น​ความ​ผิด​ตาม ปอ.มาตรา 295 แต่​ผิด​ตาม​มาตรา 391 ให้​ปรับ 100 บาท47 ดังนี้ การ​ว่า​กล่าว​ตัก​เตือน​สั่ง​สอน​กัน​ระหว่าง​สามี​ภริยา จึง​กระทำ​ได้​เพียง​แค่​ใช้​กิริยา​วาจา จะ​ถึง​ขั้น​ลงไ​ม้ล​ งมือ​ใช้ก​ ำลังไ​ม่ไ​ด้ อนึ่ง หากว่า​กล่าว​ตัก​เตือน​ถึง​ขั้น​เป็นการ​ดู​หมิ่น​หรือ​หมิ่น​ประมาท​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง ฝ่าย​นั้น​มี​ความ​ผิด ตาม​ประมวล​กฎหมาย​อาญาไ​ ด้ 47 ฎ. 1078/2511 มสธ มส


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook