2.1.3 กระทาเพ่ือหากาไร - พิจารณาการกระทาเพอ่ื หากาไร หากการกระทาใด ๆ ทาให้ได้มาซงึ่ สง่ิ ตอบแทนอนั เป็ นวตั ถทุ ่ีจบั ต้องได้ หรือรับรู้ได้ และเป็ นสง่ิ ทท่ี าให้เกิด ความงอกเงยขนึ ้ ซงึ่ ผลประโยชน์อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ การกระทานนั้ อาจถกู ระบวุ า่ เป็ นการทาเพ่อื หากาไร - แบง่ เป็ น 1. กาไรทางตรง เชน่ การได้รับเงนิ ตอบแทน หรือการได้รับสง่ิ ของที่อาจตรี าคาเป็ นเงินได้ 2. กาไรทางอ้อม เชน่ การซอื ้ สนิ ค้าได้ในราคาที่ต่าลงหรือการทจี่ ะได้รับสทิ ธิพเิ ศษทาให้ใช้เงินลงทนุ ตา่ ลง พจิ ารณาโดยความเป็ น ประธาน ความเป็ นวตั ถุ อาจต้องพจิ ารณาโดยอาศยั หลกั การทางเศรษฐศาสตร์ชว่ ยให้การตดั สนิ การกระทาใดแสวงหาผลกาไร 2.2 การกระทาอันเป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิโดยอ้อม การกระทาของบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ ต้องเป็ นการกระทาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ แก่งานอนั มี ลขิ สทิ ธิ์โดยตนรู้อยแู่ ล้วหรือมเี หตอุ นั ควรรู้วา่ งานนนั้ ได้ทาขนึ ้ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิของผ้อู น่ื เป็ นองค์ประกอบหลกั ของการทาละเมดิ โดยอ้อม ต้องปรากฏวา่ บคุ คลนนั้ ได้กระทาการขาย มไี ว้เพ่อื ขาย เสนอขาย ให้เชา่ เสนอให้เช่า ให้เชา่ ซอื ้ หรือเสนอให้เชา่ ซอื ้ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือแจกจา่ ยในลกั ษณะท่ีอาจก่อให้เกิดความเสยี หายแกเ่ จ้าของลขิ สทิ ธิ์ หรือนาหรือสงั่ เข้ามาในราชอาณาจกั รซงึ่ งานมลี ขิ สทิ ธ์ิ นนั้ จงึ ถือวา่ เป็ นละเมดิ สทิ ธิของเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงานใด ๆ 2.2.1 ขาย มีไว้เพอ่ื ขาย เสนอขาย ให้เชา่ เสนอให้เชา่ ให้เชา่ ซอื ้ หรือเสนอให้เชา่ ซือ้ ที่ทาโดยละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิโดยอ้อม คือการกระทา ดงั กลา่ วได้ทาลงเพอ่ื หากาไร 2.2.2 เผยแพร่ต่อสาธารณชน งานอนั ทาขนึ้ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิของผู้อ่นื โดยหลกั แล้ว เหมือนกนั ในการพจิ ารณา - กฎหมายบญั ญตั เิ ร่ืองการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนนไี ้ ว้เป็ นความผิด ไมว่ า่ การกระทาดงั กลา่ ว จะเกิดขนึ ้ เป็ นสว่ นหนงึ่ ของการทาละเมิด โดยตรงหรือโดยอ้อม เพื่อความเป็ นธรรมแกเ่ จ้าของลขิ สทิ ธิ์ ในการค้มุ ครองงานมลี ขิ สทิ ธิ์นนั้ ถกู ผ้อู นื่ นาไปใช้ 2.2.3 แจกจ่ายในลักษณะท่อี าจก่อให้เกดิ ความเสียหายแก่เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ - พจิ ารณาเป็ นกรณี ๆ ไป ถ้าเป็นการทาเพอ่ื ให้ได้มาซง่ึ ผลกาไร วางหลกั วา่ การแจกจา่ ยใด ๆ ที่มไิ ด้ทาในปริมาณท่ีมากจนเกินไปก็มี แนวโน้มท่ีจะไมถ่ กู ถือวา่ เป็ นการแจกจา่ ยทอ่ี าจก่อให้เกิดความเสยี หายแกเ่ จ้าของงานได้ - การพิจารณาการแจกจา่ ยลกั ษณะท่ีกอ่ เสยี หาย ไมอ่ าจเพยี งดเู ร่ืองปริมาณ หรือลกั ษณะการแจกจา่ ยเทา่ นนั้ ต้องมขี ้อเท็จจริงหรือข้อ สนั นิษฐานในฝ่ ายผ้ทู าละเมิดด้วยวา่ ผ้แู จกจา่ ยนนั้ ได้กระทาลงโดยรู้ หรือมเี หตอุ นั ควรรู้วา่ งานท่ีนาออกแจกจา่ ยนนั้ เป็ นงานท่ีทาขนึ ้ โดย ละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ของผ้อู ่นื และทาเพอื่ หากาไร - ข้อเท็จจริงไมจ่ าต้องปรากฏชดั แจ้งวา่ เกิดความเสยี หายขนึ ้ แก่เจ้าของจริง แตส่ ามารถระบไุ ด้วา่ งานถกู ละเมดิ ออกแจกจา่ ยในลกั ษณะให้ เสยี หายแกต่ น พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ.2537 บญั ญตั ิไว้เพยี งวา่ อาจกอ่ ให้เกดิ ความเสยี หายเทา่ นนั้ ซง่ึ ไมต่ ้องถงึ ขนาดทเี่ กิดความเสยี หายขนึ ้ จริง 2.2.4 นาหรือส่ังเข้ามาในราชอาณาจกั ร - การละเมิดลขิ สทิ ธิ์ ตามมาตรา 31 (4) มี 2 ประการ คือ 1) การนาเข้ามาในราชอาณาจกั ร ผ้นู าเข้าต้องรู้ หรือมีเหตอุ นั ควรรู้วา่ งานนาเข้านนั้ ถกู ทาขนึ ้ โดยละเมดิ ฯ และนาเข้าเพ่ือหากาไร 2) การส่ังเข้ามาในราชอาณาจกั ร ผ้สู ง่ั เข้ามารู้ หรือมเี หตอุ นั ควรรู้ถงึ การละเมดิ นนั้ และทาขนึ ้ เพอ่ื หากาไร - การสงั่ เข้าฯ มีหลกั พจิ ารณาเชน่ เดียวกบั การนาเข้าฯ ตา่ งกนั เพียงวา่ นาเข้ามาในราชอาณาจกั ร ต้องปรากฏวา่ ผ้นู าเข้ามสี ว่ นในขนั้ ตอนใด ตอนหนงึ่ หรือได้ตงั้ ตวั แทนให้ทาการในขนั้ ตอนใดตอนหนง่ึ ของการนางานละเมดิ เข้ามาในไทย - การส่งั เข้ามาในราชอาณาจกั ร ผ้สู ง่ั เข้ามาไมจ่ าเป็ นต้องมสี ว่ นเกี่ยวข้องกบั การนาเข้ามาในประเทศไทย เป็ นเพยี งผ้สู ง่ั งานนนั้ จาก ตา่ งประเทศโดยรู้ หรือมเี หตอุ นั ควรรู้วา่ งานทาขนึ ้ โดยละเมิด ก็ถือวา่ ผ้สู งั่ เข้างานนนั้ ได้ทาละเมดิ โดยอ้อมตอ่ เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานนนั้ แล้ว - งานลขิ สทิ ธ์ิทาละเมดิ ขนึ ้ ในไทย ผ้ทู าละเมดิ สง่ งานไปตา่ งประเทศ โดยไมไ่ ด้นาจาหนา่ ย จา่ ยแจกในไทย มีผ้นู างานนนั้ กลบั เข้ามาหรือ สงั่ งานนนั้ เข้ามาในไทย ผ้นู าเข้าหรือสงั่ งานนนั้ เข้ามาถือเป็ นละเมดิ โดยอ้อมตอ่ เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ หากทาโดยรู้หรือมเี หตอุ นั ควรรู้วา่ งานนนั้ ทา ขนึ ้ โดยละเมิดฯ - การพิจารณาการนาเข้า หรือสง่ั เข้ามาฯ ของงานละเมิดฯ หากละเมดิ โดยตรงเกิดขนึ ้ ในไทย พจิ ารณานเี ้ป็ นเร่ืองของตวั บทกฎหมายไทย - การละเมิดโดยตรงเกิดขนึ ้ ในตา่ งประเทศ การพิจารณาต้องทามากกวา่ การมองตวั บทกฎหมายไทยอยา่ งเดยี ว ต้องตคี วามตามบริบทของ กฎหมายไทยเม่ือพิจารณาร่วมกบั การทาละเมิดโดยอ้อมซงึ่ เกิดขนึ ้ ในไทย
- แม้การละเมดิ โดยตรงเกดิ ขนึ ้ กอ่ นมีละเมดิ โดยอ้อม ไมถ่ ือเป็ นการกระทาอนั เป็ นการละเมิดสทิ ธิของเจ้าของในประเทศทงี่ านนนั้ ได้ถกู ทาขนึ ้ หากกฎหมายไทยถือวา่ เป็ นการทาละเมดิ โดยตรงฯ จะถือวาผ้ทู ี่นาหรือสงั่ งานทีทาขนึ ้ โดยถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ของเจ้าของตามกฎหมาย ไทยนนั้ เข้ามาในราชอาณาจกั ร ได้ทาละเมดิ โดยอ้อมตอ่ เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงานนนั้ - การนางานทีท่ าขนึ ้ โดยละเมดิ บนเร่ือที่ชกั ธงไทย ถือวา่ พนื ้ ทบี่ นเรือนนั้ เป็ นเสมอื นสว่ นหนง่ึ ของประเทศไทย การนางานละเมดิ ขนึ ้ บนเรือ หรือตวั แทนรับคาสง่ั ให้นาขนึ ้ เรือนนั้ หรือผ้นู าสง่ ตามคาสงั่ ยงั ไมถ่ อื วา่ เป็ นการนา หรือสง่ั เข้ามาในราชอาณาจกั ร กิจกรรม 5.1.1 1. การกระทาทถ่ี ือวา่ เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ในงานวรรณกรรม นาฏกรรม หรือศิลปกรรม และมหี ลกั เกณฑ์การพจิ ารณาการกระทาดงั กลา่ ว - การทาซา้ หรือดดั แปลงหรือการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ งานวรรณกรรม นาฏกรรม หรือศิลปกรรม โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของจะถือ เป็ นการกระทาอนั เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ 2. หากนาย ก จดั ทาวดิ โี อเทปจากภาพยนตร์เร่ืองหนงึ่ ของนาย ข ซงึ่ ได้อนญุ าตให้นาย ค นาออกแพร่เสยี งแพร่ภาพทางโทรทศั น์ช่อง 20 โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนาย ข หรือนาย ค ดงั นจี ้ ะถือวา่ - นาย ก ได้ทะละเมดิ ตอ่ นาย ข โดยการทาซา้ ซงึ่ งานภาพยนตร์อนั มีลขิ สทิ ธ์ิโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนาย ข เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานภาพยนตร์ นนั้ และทาละเมดิ ตอ่ นาย ค โดยการจดั ทาโสตทศั นวสั ดจุ ากงานแพร่เสยี งแพร่ภาพโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนาย ค เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงาน แพร่เสยี งแพร่ภาพดงั กลา่ ว 3. นางสาว จ ได้รับงานอนั กระทาขนึ ้ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิของนาย ช มาจากนางสาว ว การกระทาตอ่ งานนนั้ เชน่ ไรจงึ ถอื วา่ นางสาว ได้ทา ละเมิดโดยอ้อมตอ่ งานอนั มีลขิ สทิ ธ์ิของนาย ช - การขาย มีไว้เพ่อื ขาย เสนอขาย ให้เชา่ เสนอให้เชา่ ให้เช่าซอื ้ หรือเสนอให้เชา่ ซอื ้ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือแจกจา่ ยในลกั ษณะที่ อาจกอ่ ให้เกิดความเสยี หายแก่เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ หรือนา หรือสง่ั เข้ามาในราชอาณาจกั รซงึ่ งานอนั ได้ทาขนึ ้ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ินนั้ ทงั้ นี ้นางสาว จ จะต้องรู้ หรือมีเหตอุ นั ควรรู้วา่ งานนนั้ ได้ทาขนึ ้ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ของนาย ช และนางสาว จ ได้กระทาการใด ๆ เหลา่ นนั้ ลงโดยเป็ นการ กระทาเพอื่ หากาไร 4. โปรแกรมคอมฯ ของนาย ย ประกอบไปด้วยสว่ นสาคญั 3 สว่ น คอื - สว่ นทเ่ี ป็ นการเชื่อมตอ่ กนั ของการทางานพนื ้ ฐานของโปรแกรม เช่น การเร่ิมเข้าสกู่ ารใช้งานโดยเลอ่ื นลกู ศรบงั คบั การทางานไปกดทป่ี ่ มุ เริ่ม ต้อน (start) - สว่ นท่ีเป็ นการแสดงออกซงึ่ ประสทิ ธิภาพของโปรแกรม เชน่ การท่เี นอื ้ หาทีเ่ ขยี นโดยใช้โปรแกรมดงั กลา่ วสามารถถกู ทาซา้ เพอื่ นาไปใสใ่ น สว่ นใด ๆ ของโปรแกรมอน่ื ได้ และ - สว่ นทีเ่ ป็ นการทางานหลกั ที่สามารถประมวลผลข้อมลู ท่ีใสล่ งไปในโปรแกรมโดยให้ผลลพั ธ์ของข้อมลู นนั้ ออกมาเป็ นบทสรุป หรือแผนภมู ิ ต้นไม้ เมื่อนางสาว ฟ ได้รับโปรแกรมคอมฯของนาย ย มาแล้ว อยมู่ าวนั หนง่ึ นางสาว ฟ ก็มโี ปรแกรมคอมฯ ซง่ึ อ้างวา่ ได้ทาขนึ ้ มาใหมม่ าใช้งาน ในบริษัทของตนโดยโปรแกรมคอมฯ ดงั กลา่ วมีระบบ - การเข้าสกู่ ารใช้งานโดยเลอ่ื นลกู ศรบงั คบั การทางาน ไปกดที่ป่ มุ เข้าสงู่ าน (enter) - สว่ นที่สามารถสง่ ถา่ ยเนอื ้ หาของโปรแกรมไปสโู่ ปรแกรมอืน่ ได้ และ - สว่ นทท่ี าการประมวลผลข้อมลู ออกมาเป็ นแผนภมู ิต้นไม้ วิเคราะห์โปรแกรมคอมฯของนาย ย เทียบกบั ของนางสาว ฟ วา่ โปรแกรมของนางสาว ฟ เป็ นการทาซา้ หรือดดั แปลงโปรแกรมคอมฯ ของ นาย ย โดยอาศยั หลกั การทดสอบ นามธรรม การกรอง การเปรียบเทียบ - ขัน้ การทดสอบนามธรรม พบวา่ ระบบการเข้าสกู่ ารใช้งานโดยเลอ่ื นลกู ศรบงั คบั การทางานไปกดที่ป่ มุ เข้าสงู่ าน (enter) เป็ นเพยี ง สว่ นทเี่ ป็ นนามธรรมของงาน - เนอ่ื งจากเป็ นแนวความคดิ ทว่ั ไปของผ้สู ร้างสรรค์งานโปรแกรมคอมฯ ใด ๆ เมอื่ ใช้การกรองแยกส่วนทเี่ ป็ นการแสดงออกของประสทิ ธิภาพของโปรแกรมคอมฯ คอื สว่ นทส่ี ามารถสง่ ถ่ายเนอื ้ หาของโปรแกรมไปสู่ โปรแกรมอืน่ ได้ออกมา
- สว่ นที่เหลอื ทจ่ี ะนามาใช้ในการเปรียบเทียบคือ สว่ นทที่ าการประมวลผลข้อมลู อออกมาเป็ นแผนภมู ิต้นไม้ของโปรแกรมคอมฯ ของ นางสาว ฟ - เมื่อเปรียบเทียบกบั ส่วนท่เี ป็ นการทางานหลกั ท่ีสามารถประมวลผลข้อมลู ที่ใสล่ งไปในโปรแกรมโดยให้ผลลพั ธ์ของข้อมลู นนั้ ออกมาเป็ น บทสรุป หรือแผนภมู ติ ้นไม้ของโปรแกรมคอมฯ ของนาย ย ซง่ึ เป็ นส่วนท่ีเป็ นการแสดงออกทางความคดิ และเป็ นส่วนท่ไี ด้รับการ คุ้มครองโดยกฎหมายลขิ สทิ ธ์ิ พบวา่ โปรแกรมคอมฯ ของนางสาว ฟ เกิดขนึ ้ จากการทาซา้ สว่ นหลกั หรือสวนสาคญั ซงึ่ โปรแกรมคอมฯ ของ นาย ย ถือวา่ นางสาว ฟ ทาละเมดิ ต่อโปรแกรมคอมฯ อนั มีลขิ สิทธ์ิของนาย ย 5.1.2 ข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สิทธ์ิ - พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ.2537 บญั ญตั ิเรื่องข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ มาตรา 32 – 43 - มาตรา 32 การกระทาแกง่ านมลี ขิ สทิ ธิ์ทว่ั ไป ไมถ่ ือวา่ เป็ นการละเมิดฯ - มาตรา 33 การกระทาแกง่ านมลี ขิ สทิ ธ์ิทอี่ นญุ าตให้ทาได้ - มาตรา 34 การกระทาซา้ โดยบรรณารักษ์ของห้องสมดุ - มาตรา 35 การกระทาแก่โปรแกรมคอมฯ - มาตรา 36 การกระทาตอ่ งานนาฏกรรม หรือดนตรีกรรม - มาตรา 37 - 41 การกระทาตอ่ งานศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม - มาตรา 42 การกระทาตอ่ ภาพยนตร์ในกรณีพเิ ศษ -มาตรา 43 การกระทาเพอื่ ประโยชน์ในการปฏบิ ตั ิราชการ 1. การกระทาแก่งานอนั มลี ขิ สทิ ธ์ทิ ่ัวไปซ่งึ ไม่ถอื ว่าเป็ นการละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิ - หลกั การค้มุ ครองสทิ ธิของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ กฎหมายบญั ญตั ใิ ห้สทิ ธิในการทาซา้ หรือดดั แปลง เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ให้เช่าต้นฉบบั หรือ สาเนางานโปรแกรมคอมฯ โสตทศั นวสั ดุ ภาพยนตร์ และสงิ่ บนั ทกึ เสยี ง ให้ประโยชน์เกดิ จากลขิ สทิ ธิ์แก่ผ้อู น่ื หรือให้อนญุ าตผ้อู นื่ ใช้สทิ ธิทจี่ ะ ทาซา้ หรือดดั แปลง เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือให้เชา่ ต้นฉบบั หรือสาเนางานมลี ขิ สทิ ธิ์ โดยกาหนดเงื่อนไขอยา่ งใดเป็ นสทิ ธิเดด็ ขาดแก่ เจ้าของแตเ่ พียงผ้เู ดยี ว - ผ้ใู ดทาซา้ หรือดดั แปลง เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ให้เช่าต้นฉบบั หรือสาเนางานมลี ขิ สทิ ธิ์โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ ถือวา่ เป็ น การละเมดิ สทิ ธิฯ - กฎหมายบญั ญตั ิ การกระทาตอ่ งานลขิ สทิ ธิ์ของบคุ คลอ่ืน ไมถ่ ือวา่ ละเมดิ งานลขิ สทิ ธ์ิ ตามมาตรา 32 วรรคสอง อนมุ าตรา 1 ถึง 8 จะต้อง 1) ไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานมีลขิ สทิ ธิ์ตามปกติของเจ้าของ และ 2) ไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายเกินสมควร - การพิจารณาเรื่องการกระทาแกง่ านมลี ขิ สทิ ธ์ิทว่ั ไป ไมถ่ ือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ ตามมาตรา 32 วรรคแรก ควบควู่ รรคสอง (1) ถงึ (8) การ กระทานนั้ ต้องอยภู่ ายใต้บทบญั ญตั ิของวรรคแรกแหง่ มาตรา 32 “การกระทานนั้ ต้องตงั้ อยบู่ นพนื ้ ฐานวา่ เป็ นการกระทาซง่ึ ไมข่ ดั ตอ่ การแสวง หารประโยชนจากงานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ตามปกตขิ องเจ้าของสทิ ธิ และการกระทานนั้ ไมก่ ระทบกระเทือนถึงสทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของ สทิ ธินนั้ เกินสมควรด้วยการกระทาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตามมาตรา 32 วรรคสอง (1) ถงึ (8)” นนั้ จงึ ไมถ่ ือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ - ตามมาตรา 32 วรรคแรก บญั ญตั ิสอดคล้องกบั ข้อ 13 (1) ของความตกลงวา่ ด้วยการค้มุ ครองทรัพย์สนิ ทางปัญญาอนั เกยี่ วเนือ่ งกบั การค้า ภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) หรือความตกลงทริปส์ (The Agreement on Trade Related Aspects of Intellectual Property Rights – TRIPs) ซง่ึ บญั ญตั ิวา่ ภาคีจะจากดั ขอบเขตหรือข้อยกเว้นตอ่ สทิ ธิเดด็ ขาดไว้ในบางกรณีทีไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์ตามปกตจิ ากงานนนั้ และไมก่ ่อให้เกิดความเสยี หายแก่สทิ ธิโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของสทิ ธิ - ข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ในฐานเป็ นการจดั การอยา่ งเป็ นธรรม fair dealing ตามกฎหมายองั กฤษ และการใช้อยา่ งเป็ นธรรม fair use ตามกฎหมายอเมริกา นามาปรับใช้ให้ครอบคลมุ เร่ืองข้อยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ตามกฎหมายลขิ สทิ ธิ์ของไทย - การกระทาเพ่อื หากาไร อนั สง่ ผลให้ขดั การแสวงหาประโยชน์ของเจ้าของสทิ ธิ อาจเป็ นได้ทงั้ 1) ขดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์โดยตรง เช่น ขายหนงั สอื หรือให้เชา่ วดิ ีโอเทป ไมไ่ ด้หรือได้น้อยลง 2) ขดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์โดยอ้อม เชน่ คนสนใจซือ้ หนงั สอื น้อยลง หรือหนั ไปซอื ้ เลม่ อ่นื
- หลกั การกระทาแกง่ านมลี ขิ สทิ ธิ์โดยไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานนนั้ ตามปกตขิ องเจ้าของคือ การกระทาใด ๆ ท่ไี มท่ าให้ผล ประโยชน์ท่เี จ้าของงานได้รับ หรือควรได้รับจากการใช้งานของตนเปลย่ี นแปลงไปจากที่เคยเป็ นก่อนมีการกระทาแกง่ านนนั้ โดยผ้อู ่นื เกิดขนึ ้ - การแสวงหาประโยชน์จากงานนนั้ ตามปกติ หมายถงึ การแสวงหาประโยชน์ท่วี ญิ ญชู นพงึ คาดหมายได้วา่ เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ จะสามารถทาได้ และต้องเป็ นการกระทาท่ชี อบด้วยกฎหมาย - การกระทาอนั กระทบกระเทอื นสทิ ธิโดยชอบฯ ของเจ้าของสทิ ธิ มี สทิ ธิทางเศรษฐกิจ economic rights ได้แก่สทิ ธิที่จะทาซา้ หรือดดั แปลง เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ให้เช่าต้นฉบบั หรือสาเนางานมลี ขิ สทิ ธิ์ สทิ ธิโดยธรรม moral rights คอื สิทธิทจ่ี ะห้ามมใิ ห้บคุ คลใดกระทาการใด ๆ แกง่ านมีลขิ สทิ ธ์ิของตนไปในทางทใ่ี ห้เกดิ เสยี หายแกช่ ่ือเสยี งหรือ เกียรตคิ ณุ บญั ญตั ใิ นมาตรา 18 ให้สทิ ธิแก่เฉพาะผ้สู ร้างสรรค์งานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ หรือทายาทของผ้สู ร้างสรรค์งานนนั้ เทา่ นนั้ หากเป็ นผ้รู ับโอน งานมาจากผ้สู ร้างสรรค์ยอ่ มไมไ่ ด้สทิ ธิโดยธรรมอนั เป็ นสทิ ธิทีก่ ฎหมายมอบให้เฉพาะแก่ผ้สู ร้างสรรค์ติดมากบั การรับโอนสทิ ธิทางเศรษฐกิจ ในงานนนั้ มาด้วย - การกระทบกระเทอื นตอ่ สทิ ธิของเจ้าของโดยอ้อม เชน่ การกระทาสง่ ผลให้เจ้าของสทิ ธิใช้สทิ ธิได้น้อยกวา่ ท่คี วรจะเป็ นหรือเสยี โอกาสในอนั ท่ีจะใช้สทิ ธินนั้ เน่ืองจากผ้อู น่ื ทาให้ผ้ใู ดผ้หู นง่ึ มีโอกาสเข้าเบยี ดบงั การใช้สทิ ธิของเจ้าของงานลขิ สทิ ธิ์นนั้ - การกระทบกระเทอื นตอ่ สทิ ธิของเจ้าของเกินสมควร อาศยั การตดั สนิ โดยวญิ ญชู น - ดงั นนั้ หากการกระทาใด ๆ ของบคุ คลอน่ื กระทบกระเทือนตอ่ สทิ ธิโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ตามสมควรแกก่ รณี การกระทา ดงั กลา่ วยอ่ มได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย มใิ ห้ถอื เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ - การกระทาใด ๆ แกง่ านมลี ขิ สทิ ธ์ิโดยผ้อู ื่น หากไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ตามปกติของเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ และไม่ กระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิเกินสมควรนีม้ ใิ ห้ถือวา่ เป็ นการละเมิดหากได้กระทาตามมาตรา 32 วรรค สอง อนมุ าตรา 1 ถงึ 8 1.1 การวิจยั หรือศกึ ษางานมีลขิ สทิ ธ์ิ การใช้งานนนั้ ๆ เพื่อการศกึ ษา educational use โดยการวจิ ยั research คือการค้นคว้าเพอ่ื หา ข้อมลู อยา่ งถี่ถ้วนตามหลกั วิชา สว่ นการศกึ ษา คอื การเลา่ เรียน ฝึกฝน และอบรม - การกระทาใด ๆ ตอ่ งานลขิ สทิ ธ์ิเพือ่ การวิจยั หรือศกึ ษา แม้จะได้ทาซา้ หรืออาจมีการดดั แปลงงานนนั้ บางสว่ นก็ได้รับการยกเว้นมใิ ห้ถือ เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ของเจ้าของงานนนั้ - รวมทงั้ งานวรรณกรรม มาดดั แปลงเป็ นบทละคร เพ่อื ใช้ในการศกึ ษา ก็ได้รับการยกเว้น เมอ่ื การวจิ ยั หรือศกึ ษางานนนั้ มิได้กระทาเพ่อื หากาไร โดยพจิ ารณาในรายละเอียดพอสมควร การจดั เก็บเงินลกั ษณะท่ไี มใ่ ชค่ ้ากาไร แตอ่ าจหารายได้เพอ่ื กิจกรรมทางการศกึ ษานนั้ หรือ ทนุ ใช้จา่ ยในกิจกรรมทางการศกึ ษาตอ่ ไป - คาพพิ ากษาศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศกลางท่ี อ.784/2542 การอ้างข้อยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์เพอื่ การวจิ ยั หรือศกึ ษางาน อนั มิใชก่ ารกระทาเพือ่ หากาไร ตามมาตรา 32 วรรคสอง (1) ต้องแสดง แกศ่ าล 3 ประการ คือ 1) การกระทาไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์ตามปกตแิ ละไมก่ ระทบกระเทือนถึงสทิ ธิของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์เกินสมควร 2) การกระทาของจาเลยเป็ นการกระทาเพ่ือการวิจยั หรือศกึ ษางานนนั้ และ 3) การกะทาของจาเลยมิได้เป็ นการกระทาเพ่ือหากาไร - ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ คือสทิ ธิแตผ่ ้เู ดยี วในการใช้งานลขิ สทิ ธิ์ - ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกจิ เป็ นมลู เหตจุ งู ใจท่สี าคญั ท่ีสดุ ให้ผ้สู ร้างสรรค์ผลติ งาน - การพิจารณาวา่ การศกึ ษาหรือวจิ ยั ขดั ตอ่ ประโยชน์หรือกระทบสทิ ธิเจ้าของงานเกินสมควร ดจู ากข้อเท็จจริงเป็ นกรณีไป โดย 1. ปัจจยั ในเชิงคณุ ภาพ 2. ปัจจยั ในเชงิ ปริมาณ - ร้านถา่ ยเอกสาร ทาสาเนาโดยตรงจากการใช้แรงงาน เครื่องจกั ร วสั ดุ กระดาษ มิได้ค้ากาไรจากสง่ิ ละเมดิ ฯ แตท่ าตามสญั ญาจ้าง ระหวา่ งนกั ศกึ ษาและร้านค้า เปรียบเสมอื นเคร่ืองมือหรือตวั แทนในการถา่ ยเอกสารทาสาเนาของนกั ศกึ ษา ข้อยกเว้นทมี่ ิให้ถือเป็ นการ ละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ของนกั ศกึ ษายอ่ มสามารถใช้กบั ร้านค้าได้ด้วย - ปัญหาเชิงปริมาณ การทาซา้ อาจแบง่ ได้ 3 ประเภท ตามผลกระทบทอี่ าจเกิดขนึ ้ กบั ผลประโยชนข์ องเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ คือ
1. ผ้ใู ช้งานสามารถทาซา้ เพอื่ การศกึ ษาหรือวจิ ยั สว่ นตวั ในลกั ษณะท่ไี มต่ ้องขออนญุ าตหรือแสดงการรับรู้ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ 2. การสร้างระบบอนญุ าตให้ใช้สทิ ธิท่ผี ้ใู ช้สทิ ธิเพ่อื การศกึ ษาวิจยั สว่ นตวั หรือองค์กรอนื่ ท่ีทาหน้าที่ดงั กลา่ วแทน เช่น ห้องสมดุ หรือร้าน ถ่ายเอกสาร ดาเนินการขออนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิเพอื่ ทาซา้ งานบางสว่ นเพอ่ื การศกึ ษาวจิ ยั มไิ ด้มวี ตั ถปุ ระสงค์ทางการค้าโดยเสยี คา่ ใช้ สทิ ธิ Royalty ตามสว่ น 3. การทาซา้ งานทงั้ เลม่ จดั จาหนา่ ยแกบ่ คุ คลทวั่ ไปโดยมิได้รับอนญุ าตจากเจ้าของสทิ ธิ เป็ นประเภทท่ไี มอ่ าจเข้าข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ มาตรา 32 วรรคสอง (1) ปัญหาเกดิ จากคาบเก่ียวระหวา่ งปริมาณการทาซา้ ในประเภทแรก และปริมาณการทาซา้ ในประเภทท่ี 2 ต้องพิจารณาวา่ ปริมาณเพยี งใดทีส่ มควรและเป็ นธรรมกบั ผ้เู ป็ นเจ้าของสทิ ธิ - กรณีการทาสาเนาอยา่ งถกู ต้องต้องได้รับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ หากเจ้าของสทิ ธิมิได้จดั ให้มกี ลไกและอานวยความสะดวก ไมอ่ าจ ถือได้วา่ การทาสาเนางานนนั้ ซงึ่ เป็ นไปเพ่อื การศกึ ษาของนกั ศกึ ษาจะเป็ นการขดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์ตามปกตขิ องเจ้าของ หรือเป็ นการ กระทบกระเทือนตอ่ สทิ ธิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ ตามมาตรา 32 วรรคแรก 1.2 ใช้เพ่อื ประโยชน์ของตนเอง - กฎหมายให้การยกเว้นแก่ การใช้งานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์นนั้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพ่อื ประโยชน์ของตนเองและบคุ คลอ่ืนในครอบครัว หรือญาติสนทิ การกระทาที่ไมม่ ปี ระโยชน์ของตนรวมอยดู่ ้วยจะไมไ่ ด้รับยกเว้นจากกฎหมายมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ - การใช้ประโยชน์เพอ่ื ตนเอง และบคุ คลอ่ืนในครอบครัวหรือญาตสิ นทิ กฎหมายมิได้มกี ารห้ามทาเพ่อื หากาไรรวมอยดู่ ้วย 1.3 ติชม วิจารณ์ หรือแนะนาผลงาน กฎหมายยกเว้นมิให้เป็ นการละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิ - มาตรา 32 วรรคแรก จะทาให้บคุ คลผ้ทู าการติชม วจิ ารณ์ หรือแนะนาผลงานกระทาอยา่ งระมดั ระวงั เพ่ือจะไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหา ประโยชน์จากงานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ตามปกติของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ และไมก่ ระทบกระเทือนถึงสทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของเกินสมควร - การติชม วจิ ารณ์ หรือแนะนาผลงาน ตามมาตรา 32 วรรคสอง (3) บญั ญัตใิ ห้ต้องมกี ารรับรู้ถงึ ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานนนั้ ด้วย และต้อง 1) ไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานอนั มีลขิ สทิ ธ์ิตามปกตขิ องเจ้าของ 2) ไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของสทิ ธิในงานนนั้ ด้วย 1.4 เสนอรายงานข่าวทางส่อื สารมวลชน ทกุ รูปแบบ ได้แก่ วิทยุ โทรทศั น์ หนงั สอื พิมพ์ ฯลฯ แตจ่ ากดั การกระทาเพียงการเสนอ รายงานขา่ ว กฎหมายยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ - กฎหมายกาหนดให้ต้องทาโดยมีการรับรู้ถงึ ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานนนั้ ๆ เช่นเดยี วกบั การติชม วจิ ารณ์ หรือแนะนาผลงาน ลขิ สทิ ธิ์ ต้องเสนอขา่ ววา่ เป็ นงานมลี ขิ สทิ ธ์ิสาขาไหน เป็ นงานสร้างสรรค์ของใคร 1.5 ทาซา้ ดัดแปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏเพ่ือประโยชน์ในการพจิ ารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซ่งึ มอี านาจตาม กฎหมาย ได้รับยกเว้นมใิ ห้ถือเป็นการละเมดิ สทิ ธิของเจ้าของงานลขิ สทิ ธ์ิ โดยต้อง 1. ไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานลขิ สทิ ธ์ินนั้ ของเจ้าของสทิ ธิ 2. ไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิเกินสมควร 3. เป็ นการทาเพอ่ื ประโยชนใ์ นการพจิ ารณาของศาลหรือเจ้าพนกั งานทีม่ อี านาจตามกฎหมาย หรือเป็ นการรายงานผลการพิจารณานนั้ - ศาล หรือเจ้าพนกั งานมอี านาจตามกฎหมายอาจจะให้ผ้ใู ดผ้หู นงึ่ กระทาการดงั กลา่ วให้แกต่ นก็ได้ แตห่ ากเกดิ ความเสยี หายขนึ ้ ก็ต้อง รับผดิ ชอบในความเสยี หายนนั้ 1.6 ทาซา้ ดดั แปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏโดยผู้สอน วตั ถปุ ระสงค์ของการกระทานนั้ ต้องเพ่อื ประโยชน์ในการสอนของ ตนเทา่ นนั้ ต้อมใิ ช่การกระทาเพื่อหากาไร จงึ เข้าข้อกฎหมายยกเว้นมิให้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ 1.7 ทาซา้ ดัดแปลงบางส่วนของงาน หรือตดั ทอนหรือทาบทสรุปโดยผ้สู อนหรือสถาบนั การศึกษา ได้รับยกเว้นเมื่อกระทาตอ่ บางสว่ นของงาน มใิ ชต่ อ่ งานทงั้ หมด ต้องทาเพอื่ แจกจ่ายแกผ่ ้เู รียนในชนั้ เรียน หรือในสถาบนั การศกึ ษา ต้องไมเ่ ป็ นการทาเพอ่ื หากาไรด้วย - การทาละเมดิ โดยตรง ได้แก่ การทาซา้ หรือดดั แปลงบางสว่ นของงานนนั้ โดยมิได้รับอนญุ าตจากเจ้าของ - การทาละเมดิ โดยอ้อม ได้แก่ การจาหนา่ ย หรือแจกจา่ ยงานทีไ่ ด้ทาขนึ ้ โดยละเมดิ สทิ ธิของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ 1.8 นางานใช้เป็ นส่วนหน่ึงในการถามและตอบในการสอบ ยกเว้นมใิ ห้ถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ตามมาตรา 32 วรรคสอง(8)
2. งานอนั มีลขิ สทิ ธ์ิท่อี นุญาตให้ทาได้ ตามมาตรา 33 ได้แก่ การกลา่ ว คดั ลอก เลยี น หรืออ้างองิ งานบางตอนจากงานมีลขิ สทิ ธิ์ตาม สมควรการใช้งานของตน การดงั กลา่ วต้องมกี ารรับรู้ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงาน โดยการนนั้ ต้องไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงาน มลี ขิ สทิ ธ์ิตามปกตขิ องเจ้าของสทิ ธิ และไมก่ ระทบกระเทือนสทิ ธิอนั ชอบฯ ของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์เกินสมควร จงึ ไมถ่ ือเป็ นการทาละเมดิ ฯ - มกั เกิดขนึ ้ ในงานวรรณกรรมมากทส่ี ดุ โดยเฉพาะงานหนงั สอื บทความ บทประพนั ธ์ บรรยาย แสดงปาฐกถา โต้วาที การพดู ตอ่ หน้า สาธารณชน - นอกจากมกี ฎหมายควบคมุ ยงั มีการควบคมุ ทางด้านจริยธรรม ที่ผ้ใู ดนาผลงานผ้อู ่นื มาใช้ในงานเขียนของตนควรต้องมีการอ้างอิง cite หรือการให้เกียรติ credit ผ้ทู เ่ี ป็ นเจ้าของงานนนั้ ๆ ด้วย 3. การกระทาซา้ โดยบรรณารักษ์ของห้องสมุด - อนญุ าตให้ทาได้ ถือเป็ นข้อยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิตามมาตรา 34 จากดั เฉพาะการทาซา้ และต้องเป็ นบรรณารักษ์ของห้องสมดุ เทา่ นนั้ - ต้องไมม่ ีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อหากาไร และไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงานลขิ สทิ ธิ์ตามปกตขิ องเจ้าของงาน และไมก่ ระทบกระเทอื น สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของสทิ ธิเกินสมควร - ห้องสมดุ คอื ห้องหรืออาคารทม่ี รี ะบบจดั เก็บรวบรวมรักษาหนงั สอื ประเภทตา่ ง ๆ ซง่ึ อาจรวมทงั้ ต้นฉบบั ลายมอื เขยี น ไมโครฟิลม์ เป็ นต้น เพอ่ื ใช้เป็ นทค่ี ้นคว้าหาความรู้ - บรรณารักษ์ หมายถึง ผ้พู ิทกั ษ์รักษา บริหาร และให้คาแนะนาเกยี่ วกบั การใช้หนงั สอื ในห้องสมดุ - มาตรา 34 ให้ทาซา้ ได้ มใิ ช่แคเ่ พียงหนงั สอื หรืองานเขียนใด ๆ เทา่ นนั้ รวมถงึ เทป วดิ ีโอเทป โสตทศั นวสั ดุ โปรแกรมคอมฯ - กฎหมายยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ในเร่ืองการทาซา้ ไว้หากเป็ นการทาทไี่ มไ่ ด้หากาไร และไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากงาน นนั้ ตามปกตขิ องเจ้าของและไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิโดยชอบด้วยกฎหมายของเขาเกินสมควร บรรณารักษ์ของห้องสมดุ ต้องทาตาม อนมุ าตรา 1 หรือ 2 คือ 3.1 การทาซา้ เพอ่ื ให้ใช้ในห้องสมดุ หรือให้แกห่ ้องสมดุ อน่ื 3.2 การทาซา้ งานบางตอน ไมส่ ามารถทาซา้ ทงั้ เลม่ งานบางตอนให้บคุ คลอืน่ ภายใต้วตั ถปุ ระสงค์เพือ่ การศกึ ษา หรือการวจิ ยั เทา่ นนั้ 4. การกระทาแก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ - กฎหมายบญั ญตั ิแยกไว้จากงานมลี ขิ สทิ ธ์ิทว่ั ไป แม้วา่ โปรแกรมคอมฯ ถือเป็ นงานวรรณกรรม หากลกั ษณะของการสร้างสรรค์งานจะเป็ น การเขยี นโปรแกรม เช่นเดยี วกบั การเขียนหนงั สอื แตภ่ าษาทใี่ ช้เขยี นนนั้ ตา่ งกนั ผลลพั ธ์มิได้ออกมาเป็ นตวั หนงั สอื ตวั เลข รูปภาพ อยา่ ง เดยี วเทา่ นนั้ แตส่ ามารถสงั่ ให้เครื่องคอมฯ ทางานตามคาสง่ั ทถ่ี กู วางไว้ในโปรแกรมคอมฯ นนั้ ได้ มกี ารเพม่ิ เตมิ รายละเอยี ดบางประการใน ข้อยกเว้นการละเมดิ - การกระทาท่ีได้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการทาละเมดิ ตอ่ เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในโปรแกรมคอมฯ ต้องเป็ นการกระทาท่ไี มม่ วี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ หากาไร - การกระทานนั้ ต้องไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากโปรแกรมคอมฯ ตามปกตขิ องเจ้าของลขิ สทิ ธิ์โปรแกรมนนั้ และไมก่ ระทบกระเทอื นถึง สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของโปรแกรมนนั้ เกินสมควร การยกเว้นมิให้เป็ นการทาละเมิดต่อเจ้าของลขิ สิทธ์ิในโปรแกรมคอมฯ มีดังนี้ 4.1 วิจัยหรือศกึ ษาโปรแกรมคอมฯ ทงั้ นกี ้ ารศกึ ษาหรือวจิ ยั โปรแกรมคอมฯ ต้องไมเ่ ป็ นไปเพื่อหากาไร และไมก่ ระทบกระเทือนสทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของสทิ ธินนั้ จนเกินสมควร และไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชนจ์ ากโปรแกรมนนั้ ตามปกตขิ องเจ้าของสทิ ธิ 4.2 ใช้เพ่อื ประโยชน์ของเจ้าของสาเนาโปรแกรมคอมฯ ยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ คอื การใช้เพ่อื ประโยชน์ของเจ้าของ สาเนาโปรแกรมคอมฯ เทา่ นนั้ โดยไม่รวมเพ่อื ประโยชน์เจ้าของสาเนาโปรแกรมคอมฯและบุคคลอ่ืนในครอบครัวหรือญาติสนิท - เจ้าของสาเนาทาสาเนาลงบนสอื่ ใด ๆ เช่น แผน่ จานบนั ทกึ หรือแผน่ ซีดี แล้วนาสอื่ นนั้ ไปให้บคุ คลอ่นื ในครอบครัวหรือญาตสิ นิทใช้ ถือ วา่ เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ ตามมาตรา 35 (2) 4.3 ตชิ ม วิจารณ์หรือแนะนาผลงาน - การทาซา้ ดดั แปลง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซงึ่ โปรแกรมคอมฯ เพือ่ ประโยชน์แหง่ การตชิ ม วจิ ารณ์ หรือแนะนา ต้องทาโดย
1. รับรู้ถึงความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในโปรแกรมคอมฯ นนั้ โดยการอ้างทีม่ า และช่ือเจ้าของงาน มีการอ้างองิ cite การให้เกยี รติ credit 2. ต้องไมม่ วี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื การหากาไร และ 3. ต้องทาลงโดยไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากโปรแกรมคอมฯ นนั้ ตามปกตขิ องเจ้าของสทิ ธิ 4. ไมก่ ระทบกระเทอื นสทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ฯ 4.4 เสนอรายงานข่าวทางส่อื สารมวลชน ข้อยกเว้นตามมาตรา 35 (4) ให้ถือวา่ การทาซา้ หรือดดั แปลงหรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน โดยการเสนอรายงานขา่ วทางสอ่ื สารมวลชน หากทาโดยมีการรับรู้ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์โปรแกรมคอมฯ นนั้ ไมไ่ ด้กระทาเพ่อื หากาไร ไม่ ขดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากโปรแกรมคอมฯ ตามปกติของเจ้าของสทิ ธิ และไมก่ ระทบกระเทอื นสทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของ ลขิ สทิ ธิ์เกินสมควร ก็ไมเ่ ป็ นการทาละเมิดตอ่ เจ้าของโปรแกรมคอมฯ 4.5 ทาสาเนาโปรแกรมคอมฯในจานวนท่สี มควร ตามมาตรา 35 (5) อนญุ าตให้กระทาได้ ได้แก่ การทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ เทา่ นนั้ ไมร่ วมถงึ การกระทาอยา่ งอ่นื อนั เป็ นสทิ ธิทมี่ าตรา 30 ให้เป็ นสทิ ธิแตผ่ ้เู ดียวของผ้เู ป็ นเจ้าของงานลขิ สทิ ธิ์ - การทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ ถอื เป็ นการทาซา้ งาน - การทาซา้ รวมถึงการเลยี นแบบ ทาแมพ่ มิ พ์หรือคดั ลอกไมว่ า่ โดยวธิ ีใด ๆ - การทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ ต้องเป็ นการทาในจานวนทส่ี มควร พิจารณาเป็ นกรณีไป ดคู วามจาเป็ นแหง่ วตั ถปุ ระสงค์ของการทา สาเนานนั้ ท่อี นญุ าตให้ทาได้เพียงเพือ่ การเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบารุงรักษาหรือป้ องกนั การสญู หาย - บคุ คลท่กี ฎหมายอนญุ าตให้ทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ มใิ ชบ่ คุ คลทวั่ ไป หากเป็ นการให้อนญุ าตบคุ คลซงึ่ ได้ซือ้ หรือได้รับโปรแกรมคอมฯ มาจากบคุ คลอน่ื โดยถกู ต้องเทา่ นนั้ และหากได้มาโดยสจุ ริตยอ่ มได้รับความค้มุ ครองโดยกฎหมาย การกระทาผดิ ของบคุ คลอนื่ ยอ่ มไม่ กระทบกระเทอื นถงึ การกระทาโดยชอบของผ้สู จุ ริต การกระทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ ก็ยงั ได้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ 4.6 ทาซา้ ดัดแปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏเพ่ือประโยชน์ในการพจิ ารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซ่งึ มีอานาจตาม กฎหมาย เชน่ เดียวกบั งานลขิ สทิ ธ์ิโดยทว่ั ไป กฎหมายยกเว้นให้กระทาได้โดยมเิ ป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ 4.7 นาโปรแกรมคอมฯ มาใช้เป็ นส่วนหน่ึงการถามและตอบในการสอบ กฎหมายยกเว้นให้กระทาได้โดยมิเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ 4.8 ดดั แปลงโปรแกรมคอมฯในกรณที ่จี าเป็ นแก่การใช้ กรณีจาเป็ นแกก่ ารใช้ต้องพจิ ารณากนั เป็ นเร่ือง ๆ ไป 4.9 จดั ทาสาเนาโปรแกรมคอมฯ เพ่ือเก็บรักษาไว้สาหรับการอ้างอิงหรือค้นคว้า ต้องกระทาเพ่ือประโยชน์ของสาธารณชน ต้องไม่ ทาเพอ่ื หากาไร ไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากโปรแกรมคอมฯตามปกติของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ ไมก่ ระทบกระเทือนสทิ ธิอนั ชอบด้วย กฎหมายของเจ้าของสทิ ธิเกินสมควร - การอ้างองิ หรือค้นคว้าต้องมไิ ด้กระทาเพอ่ื ประโยชน์ของตวั ผ้ทู าสาเนาเอง แตเ่ ป็ นการทาเพอื่ ประโยชน์ของสาธารณชน 5. การกระทาต่องานนาฏกรรมหรือดนตรีกรรม - การกระทาท่ีได้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สิทธ์ิ มาตรา 36 การนางานนาฏกรรมหรือดนตรีกรรมออกแสดงเพ่ือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ต้องทาโดย 1. ความเหมาะสม และ 2. มิได้จดั ทาขนึ ้ หรือดาเนินการเพอื่ หากาไร 3. มิได้จดั เก็บคา่ ชมไมว่ า่ โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม 4. ต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยวา่ นกั แสดง หมายถงึ ผ้แู สดงนาฏกรรมหรือดนตรีกรรมนนั้ ไมร่ ับคา่ ตอบแทนในการแสดงนนั้ - ดาเนินการโดย 1. สมาคม คือ นติ บิ คุ คลท่กี ่อตงั้ ขนึ ้ เพ่อื กระทาการใด ๆ อนั มีลกั ษณะตอ่ เนื่องร่วมกนั และมใิ ช่เป็ นการหาผลกาไรหรือรายได้มาแบง่ ปันกนั สมาคมต้องมีข้อบงั คบั และจดทะเบียนตามกฎหมาย หรือ 2. มลู นิธิ ซง่ึ ได้แก่ทรัพย์สนิ ทจ่ี ดั สรรไว้โดยเฉพาะสาหรับวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ การกศุ ลสาธารณะ ศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศกึ ษา หรือเพอื่ สาธารณประโยชน์อยา่ งอ่นื โดยไมม่ งุ่ หาผลประโยชน์มาแบง่ ปันกนั และได้จดทะเบียนตามกฎหมาย 3. องค์การอน่ื ท่ีมีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ การสาธารณกศุ ล การศกึ ษา ศาสนา หรือสงั คมสงเคราะห์ กฎหมายยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ 6. การกระทาต่องานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม ข้อยกเว้นท่ีกฎหมายบญั ญตั ิให้กระทาตอ่ งานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมได้โดย ไมถ่ ือเป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ของเจ้าของงาน
- ข้อยกเว้นในเรื่องการกระทาตอ่ ศลิ ปกรรมอนั ตงั้ เปิ ดเผยประจาอยใู่ นทีส่ าธารณะ มาตรา 37 - การกระทาตอ่ งานสถาปัตยกรรม มาตรา 38 - การกระทาตอ่ งานอนั มศี ลิ ปกรรมรวมอยเู่ ป็ นสว่ นประกอบ มาตรา 39 - การกระทาตอ่ ศิลปกรรมโดยผ้สู ร้างสรรค์งานอนั มีเจ้าของหลายคน มาตรา 40 - การบรู ณะอาคารซง่ึ เป็ นงานสถาปัตยกรรมอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ มาตรา 41 6.1 กระทาต่อศิลปกรรมอนั ตงั้ เปิ ดเผยประจาอย่ใู นท่สี าธารณะ หรือสาธารณสถาน - ท่ีสาธารณะคือ สถานท่ใี ด ซงึ่ ประชาชนมีความชอบธรรมท่จี ะเข้าไปได้ หรือแหลง่ ทป่ี ระชาชนทวั่ ไปสามารถเข้าไปได้โดยชอบธรรม - ในการพจิ ารณาวา่ สถานทใี่ ดเป็นทีส่ าธารณะหรือสาธารณสถานอาจพจิ ารณาแตกตา่ งกนั ในคดแี พง่ และคดีอาญา -การพจิ ารณาในคดอี าญา เพยี งแตแ่ สดงให้ได้วา่ ประชาชนทว่ั ไปเข้าใจวา่ สถานที่ทง่ี านศิลปกรรมตงั้ อยนู่ นั้ เป็ นสาธารณสถานตาม ปอ. ม.1 เทา่ นนั้ ก็ได้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการทาละเมดิ ตอ่ เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ - การพจิ ารณาในคดแี พง่ ความหมายของท่ีสาธารณะหรือสาธารณสถานจะกว้างกวา่ ในคดอี าญา ต้องดเู จตนาประกอบ หากรู้อยวู่ า่ ไมใ่ ช่ทส่ี าธารณะตามผ้อู ่ืนนนั้ เข้าใจ เจ้าของท่ียงั หวงกนั อยู่ ไมไ่ ด้อนญุ าตให้ประชาชนเข้าไปได้ แตเ่ นือ่ งจากสถานทตี่ งั้ ศิลปกรรมนัน้ ตงั้ เปิ ดเผย ไมม่ ีท่ปี ิดขวางบงั กนั้ สามารถมองเห็นงานศิลปกรรมไดอยา่ งชดั เจน จนเข้าใจวา่ ตงั้ เปิดเผยในทสี่ าธารณะ หากรู้ว่าไมใ่ ชท่ ี่ สาธารณะ ก็จะอ้างประโยชน์ตามท่คี นทว่ั ไปเข้าใจไมไ่ ด้ ยอ่ มไมไ่ ด้รับยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิในงานศลิ ปกรรมนนั้ - นอกจากตงั้ เปิ ดเผยในทส่ี าธารณะแล้ว ต้อปรากฏว่างานศิลปกรรมจะต้องตงั้ เปิ ดเผยประจาในทส่ี าธารณะนนั้ ไมใ่ ช่เพยี งตงั้ แสดง ชวั่ คราว - งานศลิ ปกรรม ได้แก่ งานจิตรกรรม งานประตมิ ากรรม งานภาพพมิ พ์ งานภาพถา่ ย งานภาพประกอบ งานศลิ ปประยกุ ต์ การวาดเขียน การเขยี นระบายสี การกอ่ สร้าง การแกะลายเส้น การปัน้ การแกะสลกั การพิมพ์ภาพ การถา่ ยภาพยนตร์ การแพร่ภาพหรือการกระทาใด ๆ ทานองเดยี วกนั นี ้ หากไมร่ วมถงึ งานสถาปัตยกรรม 6.2 การกระทาต่องานสถาปัตยกรรม - กฎหมายได้บญั ญตั ิการกระทาใด ๆ ตอ่ งานสถาปัตยกรรม สงิ่ ทอ่ี นญุ าตให้กระทาได้โดยถือเป็ นข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์นนั้ ไม่ รวมถงึ การก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมนนั้ ด้วย 6.3 การกระทาต่องานอันมศี ิลปกรรมรวมอย่เู ป็ นส่วนประกอบ - งานซง่ึ เป็ นงานวรรณกรรม เชน่ งานถา่ ยภาพยนตร์ อนั มีงานศลิ ปกรรมคอื งานสถาปัตยกรรมรวมอยเู่ ป็ นสว่ นประกอบด้วย เป็ นการ กระทาทีก่ ฎหมายให้การยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิในงานศลิ ปกรรมนนั้ 6.4 การกระทาตอ่ ศลิ ปกรรมโดยผ้สู ร้างสรรค์ในงานอนั มเี จ้าของหลายคน - คือ การกระทาตอ่ งานศลิ ปกรรมอนั มีลขิ สทิ ธ์ิทม่ี ีบคุ คลอืน่ นอกจากผ้สู ร้างสรรคเ์ ป็ นเจ้าของอยดู่ ้วย และกฎหมายให้การอนญุ าตแก่ ผ้สู ร้างสรรค์คนเดยี วกนั นนั้ เป็ นการชดั แจ้งท่ีผ้รู ับโอนลขิ สทิ ธิ์ในงานศลิ ปกรรมนนั้ มาจะไมไ่ ด้รับการยกเว้นให้กระทาการใด ๆ ทม่ี าตรา 40 อนญุ าตให้ผ้สู ร้างสรรค์คนหนง่ึ ในงานดงั กลา่ วกระทาได้โดยมใิ ห้ถือวา่ เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิในงานศิลปกรรมนนั้ - การกระทาทีอ่ นญุ าตให้กระทาได้ คอื การทาศลิ ปกรรมนนั้ อกี ในภายหลงั ในลกั ษณะที่เป็ นการทาซา้ บางสว่ นกบั ศิลปกรรมเดมิ หรือใช้ แบบพมิ พ์ ภาพร่าง แผนผงั แบบจาลอง หรือข้อมลู ที่ได้จากการศกึ ษาทใี่ ช้ในการทาศลิ ปกรรมเดมิ - กฎหมายให้กระทาได้เป็ นบางสว่ นกบั ศิลปกรรมเดมิ เทา่ นนั้ มิได้ให้กระทาได้ตอ่ ทกุ สว่ น หรือทงั้ หมดของงานศิลปกรรม - สว่ นในการใช้แบบพิมพ์ ภาพร่าง แผนผงั แบบจาลอง หรือข้อมลู ทไี่ ด้จากการศกึ ษาทีใ่ ช้ในการทาศลิ ปกรรมเดมิ นนั้ สามารถใช้ได้ทกุ สว่ น หรือทงั้ หมด ทงั้ นตี ้ ้องปรากฏวา่ ในการทาซา้ บางสว่ นกบั ศลิ ปกรรมเดมิ นนั้ หรือในการใช้ด้วยประการใด ๆ ท่อี นญุ าตไว้ในมาตรา 40 ผู้ สร้างสรรค์ดงั กลา่ วจะต้องมไิ ด้ทาซา้ หรือลอกแบบในสว่ นอนั เป็ นสาระสาคญั ของศิลปกรรมเดมิ 6.5 การบูรณะอาคารซ่งึ เป็ นงานสถาปัตยกรรมอันมีลขิ สทิ ธ์ิ - อนญุ าตให้กระทาได้ตามมาตรา 41 คอื การบรู ณะอาคารซงึ่ เป็ นงานสถาปัตยกรรมอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิ การบรู ณะอาคารนนั้ จะต้องทาในรูป แบบเดิม หากเป็ นการบรู ณะอาคารในรูปแบบใหมจ่ ะถือวา่ เป็ นการดดั แปลงอาคารนนั้ ถือวา่ เป็ นการละเมดิ สทิ ธิตามาตรา 15 (1) - กฎหมายอนญุ าตให้เพยี งอาคารซงึ่ เป็ นงานสถาปัตยกรรมอนั มลี ขิ สทิ ธิ์เทา่ นนั้ มิใชใ่ ห้แกง่ านสถาปัตยกรรมอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ทกุ ประเภท
- หากวา่ งานสถาปัตยกรรมมีลขิ สทิ ธ์ิเป็ นอาคาร การบรู ณะงานสถาปัตยกรรมประเภทนรี ้ ูปแบบเดมิ ก็จะได้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการ ละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ในงานสถาปัตยกรรมนนั้ 7. การกระทาต่อภาพยนตร์ในกรณีพเิ ศษ - กรณีทอี่ ายแุ หง่ การค้มุ ครองลขิ สทิ ธ์ิในภาพยนตร์ใดสนิ ้ สดุ ลงแล้ว การนาภาพยนตร์นนั้ เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน มใิ ห้ถือวา่ เป็ นการละเมิด ลขิ สทิ ธ์ิในวรรณกรรม นาฏกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรีกรรม โสตทศั นวสั ดุ สง่ิ บนั ทกึ เสยี ง งานทีใ่ ช้จดั ทาภาพยนตร์ -อายกุ ารค้มุ ครองลขิ สทิ ธิ์ในงานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม หรืองานทใี่ ช้จดั ทาภาพยนตร์มาเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน กบั งานภาพยนตร์แตกตา่ งกนั - งานลขิ สทิ ธิ์มตี ลอดอายขุ องผ้สู ร้างสรรค์ และมตี อ่ ไปอีก 50 ปี นบั แตผ่ ้สู ร้างสรรค์ถงึ แกค่ วามตาย - ลขิ สทิ ธิ์ในงานภาพยนตร์ มี 50 ปี นบั แตส่ ร้างสรรค์งาน แตถ่ ้ามกี ารโฆษณางานนนั้ ระหวา่ งเวลาดงั กลา่ ว ให้ลขิ สทิ ธ์ิมอี ายุ 50 ปี นบั แตม่ ี การโฆษณาเป็ นครงั้ แรก - อายกุ ารค้มุ ครองลขิ สทิ ธ์ิงานภาพยนตร์ อาจสนิ ้ สดุ ลงแล้ว แตอ่ ายกุ ารค้มุ ครองลขิ สทิ ธ์ิในงานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม หรืองานทใี่ ช้จดั ทาภาพยนตร์ อาจยงั คงมีอยู่ ถ้านามาเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ตามมาตรา 42 กฎหมายยกเว้นมใิ ห้ถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ ตอ่ เจ้าของสทิ ธิ - งานโสตทศั นวสั ดุ หรือสง่ิ บนั ทกึ เสยี ง มอี ายคุ ้มุ ครองเชน่ เดยี วกบงานภาพยนตร์ แตอ่ ายกุ ารค้มุ ครองลขิ สทิ ธิ์ในงานดงั กลา่ วที่นามาใช้จดั ทา ภาพยนตร์นนั้ สนิ ้ สดุ ลงภายหลงั จากที่อายกุ ารค้มุ ครองลขิ สทิ ธิ์ในงานภาพยนตร์นนั้ หมดลง กฎหมายมใิ ห้ถือวา่ การนางานภาพยนตร์ท่ีอายุ แหง่ การค้มุ ครองลขิ สทิ ธิ์สนิ ้ สดุ ลงแล้ว มาเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิในงานโสตทศั นวสั ดุ หรือสง่ิ บนั ทกึ เสยี งทใี่ ช้จดั ทา ภาพยนตร์นนั ้ 8. การกระทาเพ่อื ประโยชน์ในการปฏิบตั ิราชการ ตามมาตรา 43 คือ การทาซา้ ซงึ่ งานมลี ขิ สทิ ธ์ิ การกระทานนั้ ต้องเป็ นการกระทาเพอื่ ประโยชน์ในการปฏิบตั ริ าชการโดยเจ้าพนกั งานซง่ึ มอี านาจตาม กฎหมายหรือตามคาสง่ั ของเจ้าพนกั งาน - นอกเหนือจากให้กระทาได้เพื่อประโยชน์ จพง. แล้วยงั ให้การยกเว้นครอบคลมุ ถึงผ้ทู ที่ าตามคาสง่ั ของ จพง. ซง่ึ มีอานาจตามกฎหมายด้วย จพง. ต้องรับผดิ ชอบในการกระทาของผ้ทู ต่ี นสง่ั ด้วย - ตามมาตรา 43 การให้ทาซา้ ไมร่ วมถงึ การกระทาอยา่ งอืน่ ๆ เช่น การดดั แปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏ - งานมลี ขิ สทิ ธ์ิทีอนญุ าตให้ทาซา้ เพ่ือประโยชน์ในการปฏบิ ตั ริ าชการ โดยเจ้าพนกั งานมอี านาจตามกฎหมายหรือตามคาสง่ั ของเจ้าพนกั งาน ดงั กลา่ วได้นนั้ จะต้องเป็ นงานมลี ขิ สทิ ธ์ิทีอ่ ยใู่ นความครอบครองของทางราชการ - งานทอ่ี ยใู่ นความครอบครองของเอกชนยอ่ มไมไ่ ด้รับการยกเว้นมใิ ห้เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ตามมาตรา 43 - ราชการ คือ การงานของรัฐบาลหรือของพระเจ้าแผน่ ดนิ กจิ กรรม 5.1.2 ข้อ 1. การกระทาของนาย ล ตอ่ หนงั สอื “วิธีการใช้ทฤษฎกี ารเลน่ เกม ในการวางนโยบายด้านการตลาด” ของนาย ภ โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต จากนาย ภ ทไี่ ด้รับการยกเว้นมิให้ถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิตามมาตรา 32 แหง่ พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ.2537 โดยต้องเป็ น การกระทาทไ่ี มข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากหนงั สอื นนั้ ตามปกติของนาย ภ และไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของ นาย ภ เกินสมควร จึงได้รับการยกเว้นมใิ ห้ถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิของนาย ภ และนาย ล ต้องกระทาการนนั้ เพ่ือ 1) วจิ ยั หรือศกึ ษาหนงั สอื นนั้ โดยมไิ ด้กระทาเพอื่ หากาไร 2) ใช้เพอ่ื ประโยชน์ของตนเอง หรือเพือ่ ประโยชน์ของตนเองและบคุ คลอ่นื ในครอบครวั หรือญาติสนทิ ซึ่งหนงั สอื ดงั กลา่ ว 3) ตชิ ม วจิ ารณ์ หรือปนะนาหนงั สอื นนั้ โดยมีการรับรู้ถงึ ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิของนาย ภ 4) หากนาย ล เป็ นผ้ทู างานด้านสอื่ สารมวลชน สามารถเสนอรายงานขา่ วทางสอื่ สารมวลชนซง่ึ หนงั สอื ดงั กลา่ ว โดยต้องมกี ารรับรู้ถงึ ความเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ของนาย ภ 5) หากกรณีมคี วามจาเป็ น นาย ล สามารถทาซา้ ดดั แปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏเพ่อื ประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือ เจ้าพนกั งานซงึ่ มอี านาจตามกฎหมาย หรือในการรายงานผลการพิจารณานนั้
6) หากนาย ล มสี ถานะเป็ นผ้สู อน นาย ล สามารถทาซา้ ดดั แปลง นาออกแสดง หรือทาให้ปรากฏซ่ึงหนงั สอื นนั้ เพอ่ื ประโยชน์ในการ สอนของตน โดยมไิ ด้กระทาการนนั้ เพื่อหากาไร 7) เช่นเดยี วกบั ในข้อ 6 หากนาย ล มีสถานะเป็ นผ้สู อน นาย ล สามารถทาซา้ ดดั แปลงบางสว่ นของหนงั สอื นนั้ หรือตดั ทอนหรือทา บทสรุป เพ่ือแจกจา่ ยหรือจาหนา่ ยแก่ผ้เู รียนในชนั้ เรียนหรือในสถาบนั การศกึ ษา ทงั้ นนี ้ าย ล ต้องไมไ่ ด้ทาเพ่ือหากาไร 8) หากนาย ล เป็ นผ้อู อกข้อสอบ หรือต้องตอบข้อสอบ นาย ล สามารถนาหนงั สอื นนั้ มาใช้เป็ นสว่ นหนง่ึ ในการถามและตอบในการสอบ ข้อ 2. กฎหมายยกเว้นมิให้ถือเป็นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ โดยทีน่ างสาว บ.บรรณารักษ์ของห้องสมดุ แหง่ ชาติ สามารถกระทาการใด ๆ ตอ่ บท ประพนั ธ์ของนาย ส. ที่ตพี มิ พ์รวมเลม่ ในหนงั สอื “บทประพนั ธ์แหง่ สวนไผ”่ ด้วยการทาซา้ โดยต้องตามหลกั เกณฑ์ดงั นี ้คือ 1. เป็ นการทาซา้ เพื่อใช้ในห้องสมดุ หรือให้แกห่ ้องสมดุ อนื่ หรือเป็นการทาซา้ งานบางตอนตามสมควรให้แก่บคุ คลอ่นื เพอ่ื ประโยชน์ใน การวจิ ยั หรือศกึ ษา 2. การทาซา้ นนั้ จะต้องมิได้มวี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ หากาไร 3. ไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากหนงั สอื นนั้ ตามปกตขิ องนาย ส 4. ไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของนาย ส เกินสมควร จะได้รับการยกเว้นมใิ ห้ถือเป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ของนาย ส 5.2 การละเมิดสิทธขิ องนักแสดง 5.2.1 หลกั เกณฑ์การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง 5.2.2 ข้อยกเว้นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง แนวคดิ 1. การละเมิดสทิ ธิของนักแสดง มีทงั้ แบบ 1) โดยตรง เชน่ การแพร่เสยี งแพร่ภาพหือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ การแสดง หรือการบนั ทกึ การแสดงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนักแสดง 2) โดยอ้อม เช่น การทาซา้ สง่ิ บนั ทกึ การแสดง และการละเมิดสทิ ธิขอนกั แสดงในการได้รับคา่ ตอบแทน ในการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง เหลา่ นีอ้ าจเช่ือมดยงไปถึงการละเมิดสทิ ธิของเจ้าของงานอนั มีลขิ สทิ ธ์ิบางประเภทได้ 2. การละเมดิ สทิ ธิของนักแสดง มีความคาบเกี่ยวบางประการกบั การละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ มขี ้อยกเว้นบางประการคล้ายคลงึ กนั กฎหมายจงึ ยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิใช้บงั คบั โดยอนโุ ลมกบั การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง แตต่ ้องนามาปรับใช้มากน้อยพิจารณาเป็ นกรณีไป วัตถุประสงค์ เพ่อื ให้เข้าใจ 1. การกระทาใด ๆ ตอ่ การแสดงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงจะถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง และการใดเป็ นการละเมิดสทิ ธิท่ีจะ ได้รับคา่ ตอบแทนของนกั แสดง 2. การกระทาอนั กฎหมายยกเว้นมิให้ถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง …………………………………………………………………………………………………………………….. - การพจิ ารณาเร่ืองการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง เช่นเดยี วกบั การพิจารณาเรื่องการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ คือ 1) ต้องปรากฏวา่ นกั แสดงนนั้ มสี ทิ ธิตามกฎหมายบญั ญตั ไิ ว้ 2) การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงคล้ายกบั การละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ คือ มที งั้ ละเมิดฯ โดยตรง และโดยอ้อม 3) การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงโดยอ้อมนนั้ มิได้มีองค์ประกอบเชน่ เดยี วกบั การละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์โดยอ้อม และเป็ นการละเมิดท่รี วมในมาตรา เดยี วกนั กบั การละเมดิ โดยตรง มอี งค์ประกอบหลกั เชน่ เดยี วกนั คอื ถือวา่ การละเมดิ นนั้ ไมว่ า่ จะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมก็เป็ นการละเมดิ สทิ ธิเช่นเดยี วกนั โดยไมม่ ีข้อพจิ ารณาในรายละเอียดปลกี ยอ่ ยทแ่ี ตกตา่ งกนั - การละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง คอื การละเมดิ สทิ ธิที่กฎหมายบญั ญตั ไิ ว้ให้เป็ นสทิ ธิของนกั แสดงแตเ่ พยี งผ้เู ดยี วตามมาตรา 44 - การละเมดิ สทิ ธิท่นี กั แสดงควรจะได้ มาตรา 45 ...................................................................................................................................................................................... 5.2.1 หลักเกณฑ์การละเมิดสิทธิของนักแสดง
- หลกั เกณฑ์การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง กาหนดมาตรา 52 ให้ถอื วา่ ผ้กู ระทาการอยางใดอยา่ งหนงึ่ ตามมาตรา 44 โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต จากนกั แสดงหรือไมจ่ ่ายคา่ ตอบแทนแก่นกั แสดง ตามมาตรา 45 เป็ นผ้ลู ะเมิดสทิ ธิของนกั แสดง 1. การละเมดิ สทิ ธิของนักแสดง - คือ การกระทาการใด ๆ ตามมาตรา 44 ซง่ึ กฎหมายบญั ญตั ิให้เป็นสทิ ธิของนกั แสดงแตเ่ พยี งผ้เู ดียว คือ มาตรา 44 (1) สทิ ธิในการแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือ มาตรา 44 (2) สทิ ธิในการบนั ทกึ การแสดง หรือ มาตรา 44 (3) สทิ ธิในการทาซา้ ซงึ่ สงิ่ บนั ทกึ การแสดง โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงตามทีบ่ ญั ญตั ิไว้ในมาตรา 52 - การกระทาโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงตาม มาตรา 44 (1) (2) อาจถือได้วา่ เป็ นการละเมดิ โดยตรงและการกระทาตาม (3) อาจถือได้ วา่ เป็ นการละเมดิ โดยอ้อม 1.1 การแพร่เสียงแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน - มาตรา 44 (1) สทิ ธิในการแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน ถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดงหากวา่ ได้กระทาลงโดยไมไ่ ด้ รับอนญุ าตจากนกั แสดง คอื การแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซงึ่ การแสดงนนั้ เชน่ เดยี วกบั งานภาพยนตร์ หรืองาน นาฏกรรม เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ - มาตรา 52 การแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซงึ่ การแสดงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง ถือเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของ นกั แสดง เว้นแตเ่ ป็ นการแพร่เสยี งแพร่ภาพหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนจากสงิ่ บนั ทกึ การแสดงทมี่ กี ารบนั ทกึ ไว้แล้ว ท่ีต้องได้รับอนญุ าตจาก นกั แสดง การกระทานนั้ จะไมถ่ ือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง - การละเมิดสทิ ธิของนกั แสดงโดยการแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ การแสดงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง อาจ เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ของผ้อู ่ืนอกี ด้วย - การละเมิดลขิ สทิ ธิ์ในงานแพร่เสยี งแพร่ภาพของสถานีโทรทศั น์ทไ่ี ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงให้ทาการแพร่เสยี งแพร่ภาพการแสดงนนั้ ถือ เป็ นการแพร่เสยี งแพร่ภาพซา้ ซงึ่ งานแพร่เสยี งแพร่ภาพอนั มีลขิ สทิ ธิ์ของผ้อู นื่ 1.2 การบนั ทกึ การแสดง - มาตรา 44 (2) สทิ ธิในการบนั ทกึ การแสดง - การกระทาทถี่ ือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง คอื การบนั ทกึ การแสดงทยี่ งั ไมม่ กี ารบนั ทกึ ไว้แล้วโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง แม้ไม่ ระบวุ า่ การบนั ทกึ เสยี งหรือภาพ ก็หมายรวมทงั้ บนั ทกึ เสยี ง และภาพ - การละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง อาจเป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ของผ้อู น่ื อีกด้วย เช่นงานนนั้ มลี ขิ สทิ ธ์ิในการแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือสทิ ธิในการจดั ทาโสตทศั นวสั ดุ ภาพยนตร์ หรือสงิ่ บนั ทกึ เสยี ง งานนาฏกรรม เป็ นต้น 1.3 การทาซา้ ซงึ่ สง่ิ บนั ทกึ การแสดง - มาตรา 44 (3) สทิ ธิในการทาซา้ ซง่ึ สงิ่ บนั ทกึ การแสดง โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง อาจถือเป็ นการละเมดิ โดยอ้อม หรือสง่ิ ทไี่ ด้มาโดย ได้รับอนญุ าตเพ่ือวตั ถปุ ระสงค์อนื่ หรือสง่ิ ท่ีได้มาโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตแตก่ ฎหมายให้ถือเป็ นข้อยกเว้นการละเมดิ ของนกั แสดง - การกระทาที่ถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง คือ 1) การทาซา้ สงิ่ บนั ทกึ การแสดงทม่ี ีผ้บู นั ทกึ ไว้โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง เป็ นการละเมดิ โดยอ้อม ทงั้ อาจเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของ บคุ คลอน่ื ทีไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงให้ทาการบนั ทกึ การแสดงด้วย 2) การทาซา้ สง่ิ บนั ทกึ การแสดงทไี่ ด้รับอนญุ าตเพอื่ วตั ถปุ ระสงค์อน่ื นกั แสดงมีสทิ ธิผ้เู ดยี วในการอนญุ าตให้บคุ คลใดทาซา้ ซงึ่ สง่ิ บนั ทกึ การแสดงของตนโดยวตั ถปุ ระสงค์ใดก็ได้ทชี่ อบด้วยกฎหมาย แตบ่ คุ คลนนั้ ไปทาซา้ ซงึ่ สงิ่ บนั ทกึ การแสดงนนั้ เพือ่ วตั ถปุ ระสงค์อื่นทนี่ กั แสดง มิได้ให้การอนญุ าตไว้ ยอ่ มเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงโดยอ้อม 3) มาตรา 44 (3) สทิ ธิในการทาซา้ ซง่ึ สง่ิ บนั ทกึ การแสดง ท่ีเข้าข้อยกเว้นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดงตามมาตรา 53 สงิ่ บนั ทกึ ที่ทาขนึ ้ นี ้ แม้ไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง หากกระทาในลกั ษณะ หรือตามวตั ถปุ ระสงค์ที่กฎหมายให้การยกเว้น มใิ ห้ถือเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของ นกั แสดง ตามมาตรา 53 แตถ่ ้ามกี ารทาซา้ สง่ิ บนั ทกึ นอี ้ ีกที ผ้ทู ท่ี าซา้ นนั้ มไิ ด้รับการยกเว้นด้วย ถือเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง 2. การละเมดิ สทิ ธิในการรับคา่ ตอบแทนของนกั แสดง
- มาตรา 45 การนาสง่ิ บนั ทกึ เสยี งการแสดงซงึ่ ได้นาออกเผยแพร่เพอื่ วตั ถปุ ระสงค์ทางการค้า หรือนาสาเนาของงานดงั กลา่ วไปแพร่เสยี งหรือ เผยแพร่ตอ่ สาธารณชนโดยตรง โดยไมจ่ า่ ยคา่ ตอบแทน ถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง - อนสุ ญั ญากรุงโรมวา่ ด้วยสทิ ธิของนกั แสดง ผ้ผู ลติ สง่ิ บนั ทกึ เสยี ง และองค์การที่ทาการแพร่เสยี งแพร่ภาพ ในข้อ 12 เป็ นสทิ ธิเดยี วกนั ที่ กลา่ วถงึ ในข้อ 14.6 แหง่ ความตกลงทริปส์ ซึ่งไทยเป็ นภาคขี องความตกลงทริปส์จงึ มีพนั ธกรณีท่ตี ้องให้การค้มุ ครองสทิ ธิของนกั แสดง - การละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง ตามมาตร 45 เป็ นการกระทาใด ๆ ตอ่ สง่ิ บนั ทกึ เสยี งเทา่ นนั้ ไมร่ วมถงึ สง่ิ บนั ทกึ ภาพ - สงิ่ บนั ทกึ เสยี งที่กฎหมายให้ถือวา่ เป็ นวตั ถแุ หง่ สทิ ธิของนกั แสดง คือ ส่ิงบนั ทกึ การแสดง ต้องเป็ นสง่ิ ซง่ึ ได้นาออกเผยแพร่เพ่อื วตั ถปุ ระสงค์ ทางการค้า หากยงั ไมไ่ ด้นาออกเผยแพร่เพ่อื วตั ถปุ ระสงค์ทางการค้า การกระทาตอ่ สงิ่ บนั ทกึ เสยี งนนั้ ๆ อาจเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของผ้อู ื่น หรือ อาจเป็ นสทิ ธิของนกั แสดงเองในสทิ ธิแบบอ่นื เช่น ลขิ สทิ ธ์ิในสง่ิ บนั ทกึ เสยี ง - การนาสงิ่ บนั ทกึ เสยี งการแสดงซงึ่ นาออกเผยแพร่เพื่อวตั ถปุ ระสงค์ทางการค้าแล้ว หรือนาสาเนาของงานดงั กลา่ วแพร่เสยี งโดยตรง เช่น การออกอากาศทางสถานวี ิทยกุ ระจากเสยี ง หรือแพร่เสยี งผา่ นทางสอ่ื อนื่ ๆ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนโดยตรง เช่น นาเทปบนั ทกึ การแสดง ดงั กลา่ วไปเปิ ดให้ประชาชนฟังในโรงละคร การกระทาเหลา่ นนั้ ถอื เป็ นการละเมดิ สทิ ธิ หากไมไ่ ด้จา่ ยคา่ ตอบแทนให้นกั แสดง และไมเ่ ข้า ข้อยกเว้นตามมาตรา 53 - คา่ ตอบแทนท่จี ่ายให้นกั แสดง ต้องเป็ นคา่ ตอบแทนทีเ่ ป็ นธรรม ถ้าตกลงกนั ไมไ่ ด้คกู่ รณีมีสทิ ธิย่ืนคาขอให้อธิบดีกรมทรัพย์สนิ ทางปัญญา กาหนดคา่ ตอบแทนให้โดยให้คานงึ ถงึ อตั ราคา่ ตอบแทนปกติในธรุ กิจประเภทนนั้ ถ้าฝ่ ายใดไมเ่ หน็ ด้วยกบั คา่ ตอบแทนดงั กลา่ ว อทุ ธรณ์ตอ่ คณะกรรมการลขิ สทิ ธ์ิได้ ภายในเก้าสบิ วนั นบั แตว่ นั ทไ่ี ด้รับหนงั สอื แจ้งคาสง่ั ของอธิบดีฯ การกาหนดคา่ ตอบแทนดงั กลา่ วของคณะกรรมการ ให้เป็ นที่สดุ - หากผ้นู าสงิ่ บนั ทกึ เสยี งการแสดงซงึ่ นาออกเผยแพร่เพอ่ื วตั ถปุ ระสงค์ทางการค้าแล้ว หรือนาสาเนาของงานนนั้ ไปแพร่เสยี งหรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนโดยตรงไมจ่ ่ายคา่ ตอบแทนดงั ท่ีคณะกรรมการกาหนดให้ ถือวา่ เป็ นการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงตามมาตรา 52 กจิ กรรม 5.2.1 ข้อ 1 ในการแสดงสดของนาย ก ณ สนามศภุ ชลาสยั สนามกีฬาแหง่ ชาตินนั้ นาย ก ได้อนญุ าตให้นาย ด ทาการบนั ทกึ การแสดงของตนเพ่อื นาออกเผยแพร่ตอ่ ไป และได้อนญุ าตให้สถานโี ทรทศั น์ช่อง 32 ทาการแพร่เสยี งแพร่ภาพการแสดงของตน แตใ่ นขณะที่สถานโี ทรทศั น์ชอ่ ง 32 ทาการแพร่เสยี งแพร่ภาพการแสดงของนาย ก นนั้ ได้มสี ถานีโทรทศั น์ช่อง 20 มาทาการถ่ายทอดการแสดงของนาย ก ออกอากาศโดย ไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนาย ก และทงั้ นสี ้ ถานโี ทรทศั น์ดงั กลา่ วยงั ได้ทาการบนั ทกึ การแสดงของนาย ก ไว้เพือ่ ใช้เผยแพร่ตอ่ ไปในการค้าของตน อกี ด้วย การกระทาของสถานีโทรทศั น์ชอ่ ง 20 ถือเป็ นการทาละเมดิ ตอ่ นาย ก หรือไม่ อยา่ งไร การกระทาของสถานีโทรทศั น์ช่อง 20 ถือเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของนาย ก ในฐานะนกั แสดงใน 2 โสด คือ ในโสดแรกเป็ นการละเมดิ โดย การแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ การแสดงของนาย ก โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนาย ก ทงั้ นกี ้ ารแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือ การเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนดงั กลา่ วมิได้ทาตอ่ สง่ิ บนั ทกึ การแสดงท่ีมีการบนั ทกึ ไว้แล้วซงึ่ เป็ นสงิ่ ทกี่ ฎหมายไมไ่ ด้บญั ญตั ใิ ห้เป็ นสทิ ธิแตผ่ ้เู ดียว ของนกั แสดง สว่ นในโสดท่สี องนนั้ สถานโี ทรทศั น์ชอ่ ง 20 ได้ทาละเมิดตอ่ นาย ก โดยการบนั ทกึ การแสดงของนาย ก โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต จากนาย ก ทงั้ นกี ้ ารแสดงดงั กลา่ วเป็ นการแสดงทยี่ งั ไมม่ กี ารบนั ทกึ ไว้แล้ว สว่ นที่นอกเหนือจากการละเมดิ สทิ ธิของนาย ก ในฐานะนกั แสดง แล้ว การกระทาของสถานโี ทรทศั น์ช่อง 20 ยงั อาจจะถือเป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิในงานแพร่เสยี งแพร่ภาพของสถานโี ทรทศั น์ชอ่ ง 32 และยงั อาจจะเป็ นการละเมดิ สทิ ธิในการบนั ทกึ การแสดงซงึ่ นาย ด ได้รับอนญุ าตมาจากนาย ก อกี ด้วย ข้อ 2 การกระทาของนางสาว น ตอ่ สง่ิ บนั ทกึ เสยี งการแสดงของนางสาว ม ทจี่ ะถอื เป็ นการละเมดิ สทิ ธิในการรับคา่ ตอบแทนในฐานะ นกั แสดงของนางสาว ม หากวา่ นางสาว น ได้นาสงิ่ บนั ทกึ เสยี งการแสดงของนางสาว ม ซงึ่ ได้นาออกเผยแพร่เพอื่ วตั ถปุ ระสงค์ทางการค้าแล้ว หรือนาสาเนาของ งานดงั กลา่ วไปแพร่เสยี ง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนโดยตรงโดยไมจ่ า่ ยคา่ ตอบแทนท่ีเป็ นธรรมแกน่ างสาว ม จะถอื วา่ นางสาว น กระทาการ อนั เป็ นการละเมิดสทิ ธิในการรับคา่ ตอบแทนในฐานะนกั แสดงของนางสาว ม 5.2.2 ข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิของนักแสดง เร่ืองข้อยกเว้นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง มาตรา 53 ให้นา
มาตรา 32 เกี่ยวกบั ข้อยกเว้นการกระทาแกง่ านอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ทวั่ ไปซงึ่ ไมถ่ ือวา่ เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ มาตรา 33 เกี่ยวกบั การกระทาแก่งานอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิที่อนญุ าตให้ทาได้ มาตรา 34 เก่ียวกบั การกระทาซา้ โดยบรรณารักษ์ของห้องสมดุ มาตรา 36 เก่ียวกบั การกระทาตอ่ งานนาฏกรรม หรือดนตรีกรรม มาตรา 42 เก่ียวกบั การกระทาตอ่ ภาพยนตร์ในกรณีพิเศษ มาตรา 43 เกี่ยวกบั การกระทาเพอื่ ประโยชน์ในการปฏบิ ตั ริ าชการมาใช้บงั คบั แก่สทิ ธิของนกั แสดงโดยอนโุ ลม โดยดตู ามความเหมาะสมใช้ มากน้อย และสว่ นใดของมาตรานนั้ ๆ ท่จี ะนามาใช้ได้กบั สทิ ธิของนกั แสดง 1. การนามาตรา 32 มาใช้กบั สิทธิของนักแสดง - พจิ ารณาวรรคแรก เป็ นหลกั คอื การกระทาการใด ๆ ตอ่ สทิ ธิของนกั แสดงนนั้ หากไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากการแสดงตามปกติ ของนกั แสดงและไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของนกั แสดงเกินสมควร มใิ ห้ถอื วา่ เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ หาทาตามาตรา 32 วรรคสอง (1) ถึง (8) (1) การวจิ ยั หรือศกึ ษาการแสดงนนั้ อนั มใิ ช่เพ่อื หากาไร (2) การใช้เพ่อื ประโยชน์ของตนเอง หรือของตนเองและบคุ คลอ่นื ในครอบครัวหรือญาติสนิท (3) การตชิ ม วจิ ารณ์หรือแนะนาการแสดงนนั้ โดยมกี ารรับรู้ถงึ สทิ ธิของนกั แสดงในการแสดงนนั้ (4) การเสนอรายงานขา่ วทางสอ่ื สารมวลชนโดยมกี ารรับรู้ถงึ สทิ ธิของนกั แสดง (5) การทาซา้ ดดั แปลง นาออกแสดงหรือทาให้ปรากฏซง่ึ การแสดงใดเพอื่ ประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือเจ้าพนกั งานซง่ึ มอี านาจ ตามกฎหมาย หรือในการรายงานผลการพจิ ารณาดงั กลา่ ว (6) การทาซา้ ดดั แปลง นาออกแสดงหรือทาให้ปรากฏซงึ่ การแสดงใดโดยผ้สู อน เพ่ือประโยชน์ในการสอนของตน อนั มใิ ชก่ ารกระทาเพ่อื หา กาไร (7) การทาซา้ ดดั แปลงบางสว่ นของการแสดง หรือตดั ทอนหรือทาบทสรุปโดยผู้สอนหรือสถาบนั ศกึ ษา เพ่อื แจกจ่ายหรือจาหนา่ ยแกผ่ ้เู รียน ในชนั้ เรียนหรือในสถานศกึ ษา ต้องไมใ่ ชก่ ารหากาไร (8) การนางานนนั้ มาใช้เป็ นสว่ นหนง่ึ ในการถามและตอบในการสอบ 2. การนามาตรา 33 มาใช้กบั สทิ ธขิ องนักแสดง - คือ การกลา่ ว คดั ลอก เลยี น หรืออ้างองิ การแสดงบางตอนตามสมควรจากการแสดงอันเป็ นสทิ ธิของนกั แสดงตาม พ.ร.บ. ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537 โดยมกี ารรับรู้ถงึ สทิ ธิของนกั แสดงในการแสดงนนั้ โดยการกระทาดงั กลา่ วจะต้องไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากการแสดง ตามปกติของนกั แสดงและไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของนกั แสดงนนั้ เกินสมควร 3. การนามาตรา 34 มาใช้กับสทิ ธขิ องนักแสดง - การกระทาตอ่ สทิ ธิของนกั แสดง โดยการทาซา้ โดยบรรณารักษ์ของห้องสมดุ ซงึ่ สง่ิ บนั ทกึ การแสดง หากวา่ การทาซา้ นนั้ มิได้มีวตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ กาไร และไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากการแสดงตามปกติของนกั แสดงและไมก่ ระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของ นกั แสดงนนั้ เกินสมควร 4. การนามาตรา 36 มาใช้กับสิทธิของนักแสดง - การนางานนาฏกรรม หรือดนตรีกรรมออกแสดงเพ่ือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนตามความเหมาะสมโดยมไิ ด้จดั ทาขนึ ้ หรือดาเนินการเพ่ือหา กาไรเน่อื งจากการจดั ให้มีการเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนนนั้ และมิได้จดั เก็บคา่ เข้าชมวา่ โดยทางตรง หรือโดยทางอ้อม และนกั แสดง (1) ไมไ่ ด้รับคา่ ตอบแทนในการแสดงนนั้ มไิ ด้ถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดง (2) หากเป็ นการดาเนินการโดยสมาคม มลู นธิ ิ หรือองค์การอื่นที่มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือการสาธารณกศุ ล การศกึ ษา การศาสนา หรือการสงั คม สงเคราะห์ และได้กระทาการดงั กลา่ วลงโดยไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชน์จากการแสดงตามปกตขิ องนกั แสดง (2) นนั้ เกินสมควร 5. การนามาตรา 42 มาใช้กบั สิทธิของนักแสดง โดยอนุโลม - กรณีท่ีอายแุ หง่ การค้มุ ครองลขิ สทิ ธ์ิในภาพยนตร์ได้สนิ ้ สดุ ลงแล้ว มิให้ถือวา่ การนาภาพยนตร์นนั้ เผยแพร่ตอ่ สาธารณชนเป็ นการละเมิดสทิ ธิ ของนกั แสดง - มาตรา 49 บญั ญตั ใิ ห้สทิ ธิของนกั แสดงตามมาตรา 44 มอี ายุ 50 ปี นบั แตว่ นั สนิ ้ ปี ปฏทิ ินของปี ทมี่ ีการแสดง
- ในกรณีที่มีการบนั ทกึ การแสดงให้มีอายุ 50 ปี นบั แตว่ นั สนิ ้ ปี ปฏทิ ินของปี ท่ีมกี ารบนั ทกึ การแสดง และ - มาตรา 50 บญั ญตั ใิ ห้สทิ ธิของนกั แสดงตามมาตรา 45 มีอายุ 50 ปี นบั แตว่ นั สนิ ้ ปี ปฏิทินของปี ทไี่ ด้มีการแสดง - สว่ นมาตรา 21 บญั ญตั ใิ ห้ลขิ สทิ ธิ์ในงานภาพยนตร์มีอายุ 50 ปี นบั แตไ่ ด้สร้างสรรค์งานนนั้ ขนึ ้ แตถ่ ้าได้มีการโฆษณางานนนั้ ในระหวา่ ง ระยะเวลาดงั กลา่ ว ให้ลขิ สทิ ธิ์มอี ายุ 50 ปี นบั แตไ่ ด้มีการโฆษณาเป็ นครัง้ แรก 6. การนามาตรา 43 มาใช้กับสทิ ธิของนักแสดง - การกระทาตอ่ สงิ่ บนั ทกึ การแสดงคอื การทาซา้ เพื่อประโยชนใ์ นการปฏบิ ตั ิราชการโดยเจ้าพนกั งาน ซง่ึ มีอานาจตามกฎหมายหรือตาม คาสง่ั ของเจ้าพนกั งานดงั กลา่ วซง่ึ สง่ิ บนั ทกึ การแสดงทรี่ ับการค้มุ ครองตาม พ.ร.บ. และทอี่ ยใู่ นความครอบครองของทางราชการ ทงั้ นกี ้ าร กระทาดงั กลา่ วจะได้รับการยกเว้นมใิ ห้ถือเป็ นการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงกต็ อ่ เมือได้กระทาลงโดยไมข่ ดั ตอ่ การแสวงหาประโยชนจ์ ากการ แสดงตามปกตขิ องนกั แสดงและไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สทิ ธิอนั ชอบด้วยกฎหมายของนกั แสดงเกินสมควร กจิ กรรม 5.2.3 เหตใุ ด พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ. 2537 จงึ มิได้บญั ญตั ใิ ห้นามาตรา 35 ในเรื่องข้อยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ตอ่ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์มาใช้ บงั คบั แกส่ ทิ ธิของนกั แสดงโดยอนโุ ลม แม้มผี ้นู าการแสดงภาพยนตร์ การแสดงสดดนตรีบรรเลง หรือการแสดงสดการร้องเพลงตา่ งๆ ของนกั แสดงมาใสไ่ ว้ในแผ่นซีดี แล้ว นามาใช้กบั เครื่องคอมฯ เพ่ือชมภาพยนตร์ หรือการแสดงดนตรีเหลา่ นนั้ ก็ตาม แผน่ ซีดีเหลา่ นนั้ นามาใช้กบั เครื่องคอมฯ แตห่ าใชเ่ ป็ น โปรแกรมคอมฯ หากเป็ นงานโสตทศั นวสั ดชุ นดิ หนง่ึ - งานโสตทศั นวสั ดุ ตามมาตรา 4 คือ งานอนั ประกอบด้วยลาดบั ของภาพโดยบนั ทกึ ลงในวสั ดไุ ม่วา่ จะมีลกั ษณะอยา่ งใด อนั สามารถที่จะ นามาเลน่ ซา้ ได้อกี โดยใช้เครื่องมอื ทจี่ าเป็ นสาหรับการใช้วสั ดนุ นั้ และให้หมายความรวมถึงเสยี งประกอบงานนนั้ ด้วย ถ้ามี หรือกรณีเป็ น เสยี งเพลงอยา่ งเดยี วแตไ่ มม่ ภี าพแผน่ ซดี นี นั้ ไมใ่ ชโ่ ปรแกรมคอมฯ หากเป็ นสง่ิ บนั ทกึ เสยี ง หมายความถงึ งานอนั ประกอบด้วยลาดบั ของ เสยี งดนตรี เสยี งการแสดง หรือเสยี งอน่ื ใด โดยบนั ทกึ ลงในวสั ดไุ มว่ า่ จะมลี กั ษณะใด ๆ อนั สามารถที่จะนามาเลน่ ซา้ ได้อกี โดยใช้เคร่ืองมือที่ จาเป็ นสาหรับการใช้วสั ดนุ นั้ แตไ่ มห่ มายความรวมถงึ เสยี งประกอบภาพยนตร์หรือเสยี งประกอบโสตทศั นวสั ดอุ ยา่ งอ่นื แผน่ ซดี ีท่นี ามาใช้ กบั เคร่ืองคอมฯ ถือเป็ นวสั ดซุ งึ่ บนั ทกึ งานการแสดงดงั กลา่ ว กฎหมายไมจ่ ากดั วา่ วสั ดนุ นั้ ต้องมีลกั ษณะอยา่ งไร และเคร่ืองคอมฯ ถือเป็ น เคร่ืองมอื ที่จาเป็ นสาหรับการใช้วสั ดนุ นั้ จึงไมม่ กี ารบญั ญตั ใิ ห้นามาตรา 35 วา่ ด้วยข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ในงานโปรแกรมคอมฯ มาใช้ บงั คบั แก่สทิ ธิของนกั แสดงโดยอนโุ ลมอกี เน่ืองจากการกระทาใด ๆ ตอ่ งานโสตทศั นวสั ดุ หรือสง่ิ บนั ทกึ เสยี งอนั กฎหมายให้การยกเว้นมใิ ห้ถือ เป็ นการกระทาอนั เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์นนั้ ได้ถกู บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา 32 และมาตรา 53 ก็ได้บญั ญตั ใิ ห้นามาตรา 32 มาใช้บงั คบั แกส่ ทิ ธิ ของนกั แสดงโดยอนโุ ลมแล้ว ไมจ่ าเป็ นต้องนามาตรา 35 มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลมเพม่ิ เตมิ อีก - เหตผุ ลประการทีส่ อง คอื ข้อยกเว้นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิตามมาตรา 35 นนั้ แทบจะเหมอื นกบั มาตรา 32 ทกุ ประการในสาระสาคญั ดงั นนั้ เมือ่ กฎหมายบญั ญตั ใิ ห้นามาตรา 32 มาใช้บงั คบั แก่สทิ ธิของนกั แสดงโดยอนโุ ลมแล้ว จึงไมจ่ าเป็ นต้องบญั ญตั ใิ ห้นามาตรา 35 มาใช้บงั คบั แก่ สทิ ธิของนกั แสดงโดยอนโุ ลมเพ่มิ เตมิ อกี 5.3 บทกาหนดโทษ และการดาเนินคดเี ก่ยี วกับลขิ สทิ ธ์ิ และสทิ ธขิ องนักแสดง 5.3.1 บทกาหนดโทษการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ และสทิ ธิของนกั แสดง 5.3.2 การดาเนนิ คดเี ก่ียวกบั ลขิ สทิ ธ์ิ และสทิ ธิของนกั แสดง แนวคดิ 1. การละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ินนั้ มีหลายโสดทงั้ การละเมิดลขิ สทิ ธ์ิโดยตรง และโดยอ้อม และการละเมิดสทิ ธิของนกั แสดงก็มีหลายประการ เช่น การ บนั ทกึ การแสดงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง การกระทาเหลา่ นมี ้ ีกฎหมายระวางโทษไว้ไมเ่ ทา่ กนั โดยโทษจะหนกั ขนึ ้ หากการกระทา ดงั กลา่ วเป็ นการกระทาเพื่อการค้า ทงั้ นคี ้ า่ เสยี หายตา่ ง ๆ จากการทาละเมิดเหลา่ นนั้ คงเป็ นกรณีท่จี ะเรียกร้องกนั ตอ่ ไป 2. ในการดาเนินคดเี ก่ียวกบั ลขิ สทิ ธ์ิ และสทิ ธิของนกั แสดงมีข้อปลกี ยอ่ ยทค่ี วรคานงึ และควรพจิ ารณาให้ถ้วนถ่ี เช่นการพิจารณาเขตอานาจ ศาล ผ้มู ีอานาจฟ้ อง และหน้าทนี่ าสบื หากฟ้ องผิดศาล ก็จะเสยี เวลา และหากผ้ฟู ้ องร้องมิได้เป็ นผ้มู ีอานาจฟ้ องได้ตามกฎหมายก็อาจเป็ น เหตใุ ห้ศาลยกฟ้ องได้
วตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื ให้เข้าใจ 1. ชีอ้ ตั ราการระวางโทษของการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิแตล่ ะประเภท และการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดงได้ 2.หลกั เกณฑก์ ารดาเนินคดีเกี่ยวกบั ลขิ สทิ ธิ์ และสทิ ธิของนกั แสดงอยา่ งคร่าว ๆ เพือ่ ใช้ในการปฏบิ ตั ิจริงได้ ................................................................................................................................................ 5.3.1 บทกาหนดโทษการละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ และสทิ ธิของนักแสดง - บทกาหนดโทษ มีทงั้ เร่ืองการกาหนดโทษแก่ - มาตรา 69 และ 70 ผ้กู ระทาการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ หรือสทิ ธิของนกั แสดง - มาตรา 71 ผ้ไู มม่ าให้ถ้อยคาหรือไมส่ ง่ เอกสารหรือวตั ถใุ ด ๆ หรือแกผ่ ้ขู ดั ขวางหรือไมอ่ านวยความสะดวกแก่พนกั งานเจ้าหน้าที่ - มาตรา 73 การกาหนดให้มีการเพิม่ โทษ - มาตรา 74 การบญั ญตั ใิ ห้ถือวา่ กรรมการหรือผ้จู ดั การของนิติบคุ คลเป็ นผ้รู ่วมกระทาผิดกบั นติ บิ คุ คลนนั้ - มาตรา 75 การบญั ญตั เิ ก่ียวกบั สง่ิ ทไ่ี ด้ทาขนึ ้ หรือได้นาเข้ามาในราชอาณาจกั รอนั เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ หรือสทิ ธิของนกั แสดง - มาตรา 76 การบญั ญตั ใิ นเร่ืองคา่ ปรับ - มาตรา 77 การบญั ญตั ิให้อธิบดีกรมทรัพย์สนิ ทางปัญญามอี านาจเปรียบเทยี บปรับได้ โดยมาตรา 69 วรรคแรก - บญั ญตั ิให้ผ้ทู าซา้ หรือดดั แปลง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ งานอนั มีลขิ สทิ ธิ์ตาม พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ินโี ้ ดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของ ลขิ สทิ ธ์ิ ตามมาตรา 27 - หรือผ้ทู าซา้ หรือดดั แปลง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือให้เชา่ ต้นฉบบั หรือสาเนางานโสตทศั นวสั ดุ ภาพยนตร์หรือสง่ิ บนั ทกึ เสยี งอนั มี ลขิ สทิ ธ์ิฯ โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ มาตรา 28 - หรือผ้จู ดั ทาโสตทศั นวสั ดุ ภาพยนตร์ สงิ่ บนั ทกึ เสยี ง หรืองานแพร่เสยี งแพร่ภาพ ไมว่ า่ ทงั้ หมดหรือบางสว่ น หรือแพร่เสยี งแพร่ภาพซา้ ไมว่ า่ ทงั้ หมดหรือบางสว่ น หรือจดั ให้ประชาชนฟังและหรือชม โดยเรียกเก็บเงินหรือผลประโยชน์อยา่ งอน่ื ในทางการค้าซงึ่ งานแพร่เสยี งแพร่ภาพ อนั มลี ขิ สทิ ธิ์ฯ โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ ตามมาตรา 29 - หรือผ้ทู าซา้ หรือดดั แปลง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือให้เชา่ ต้นฉบบั หรือสาเนางานโปรแกรมคอมฯ อนั มีลขิ สทิ ธิ์ฯ โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต จากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ ตามมาตรา 30 - หรือผ้ทู าการแพร่เสยี งแพร่ภาพ หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซง่ึ การแสดง เว้นแตจ่ ะเป็ นการแพร่เสยี งแพร่ภาพหรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชน จากสง่ิ บนั ทกึ การแสดงทมี่ กี ารบนั ทกึ ไว้แล้ว หรือบนั ทกึ การแสดงท่ยี งั ไมม่ ีการบนั ทกึ ไว้แล้ว หรือทาซา้ ซงึ่ สง่ิ บนั ทกึ การแสดงทมี่ ผี ้บู นั ทกึ ไว้โดย ไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดง หรือสงิ่ บนั ทกึ การแสดงทีไ่ ด้รับอนุญาตเพ่อื วตั ถปุ ระสงค์อ่ืน หรือสง่ิ บนั ทกึ การแสดงท่ีเข้าข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิของนกั แสดง ตามมาตรา 53 โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากนกั แสดงตามมาตรา 52 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตส่ องหมน่ื บาทถงึ สองแสนบาท - แตถ่ ้าการกระทาผดิ ดงั กลา่ วเป็นการกระทาเพ่ือการค้า ตามมาตรา 69 วรรคสอง ผ้กู ระทาต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แตห่ กเดือนถงึ สปี่ ี หรือ ปรับตงั้ แตห่ นงึ่ แสนบาทถงึ แปดแสนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับ วรรคแรกของมาตรา 70 - บญั ญตั ิให้ผ้รู ู้อยแู่ ล้วหรือมเี หตอุ นั ควรรู้วา่ งานใดได้ทาขนึ ้ โดยละเมิดลขิ สทิ ธ์ิของผ้อู ื่น 1) ได้ขาย มไี ว้เพอ่ื ขาย เสนอขาย ให้เชา่ เสนอให้เช่า ให้เช่าซอื ้ หรือเสนอให้เช่าซอื ้ หรือ 2) เผยแพร่ตอ่ สาธารณชน หรือแจกจา่ ยในลกั ษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสยี หายแกเ่ จ้าของลขิ สทิ ธ์ิ หรือ 3) นาหรือสง่ั เข้ามาในราชอาณาจกั รซงึ่ งานนนั้ เพอื่ หากาไร ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตห่ นง่ึ หมนื่ บาทถงึ หนง่ึ แสนบาท - แตถ่ ้ากระทาเพ่ือการค้า ตามมาตรา 70 วรรคสอง ต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แตส่ ามเดือนถงึ สองปี หรือปรับตงั้ แตห่ ้าหมื่นบาทถงึ สแี่ สนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับ - มาตรา 77 อธิบดีกรมทรัพย์สนิ ทางปัญญามีอานาจเปรียบเทยี บปรับได้ในความผดิ ตามมาตรา 69 วรรคหนง่ึ และมาตรา 70 วรรคหนง่ึ
- ผ้ไู มม่ าให้ถ้อยคาหรือไมส่ ง่ เอกสารหรือวตั ถใุ ด ๆ ตามทคี่ ณะกรรมการหรือคณะอนกุ รรมการสง่ั ตามมาตรา 60 วรรคสาม ต้องระวางโทษ จาคกุ ไมเ่ กินสามเดอื น หรือปรับไมเ่ กินห้าหมน่ื บาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับ ตามมาตรา 71 - ผ้ใู ดขดั ขวางหรือไมอ่ านวยความสะดวกแก่พนกั งานเจ้าหน้าทซี่ งึ่ ปฏิบตั หิ น้าท่ี หรือฝ่ าฝื นไมป่ ฏิบตั ติ ามคาสงั่ ของพนกั งานเจ้าหน้าท่ซี ง่ึ ปฏบิ ตั หิ น้าท่ี ตามมาตรา 67 ต้องระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสามเดอื น หรือปรับไมเ่ กินห้าหมื่นบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับตามมาตรา 72 - มาตรา 73 ผ้กู ระทาความผิดต้องระวางโทษ เมอ่ื พ้นโทษแล้วยงั ไมค่ รบกาหนดห้าปี กระทาความผิดนอี ้ กี ต้องระวางโทษเป็ น 2 เทา่ ของโทษ ท่กี าหนดไว้สาหรับความผดิ นนั้ - มาตรา 74 นติ ิบคุ คลกระทาความผิดตาม พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ ให้ถือวา่ กรรมการหรือผ้จู ดั การทกุ คนของนติ ิบคุ คลนนั้ เป็ นผ้รู ่วมกระทาผดิ กบั นิติ บคุ คลนนั้ เว้นแตพ่ ิสจู น์ได้วา่ ตนมไิ ด้รู้เห็นหรือยนิ ยอมด้วยกบั นติ บิ คุ คลในการกระทานนั้ สอดคล้องกบั ป.พ.พ. มาตรา 432 ถ้าบคุ คลหลาย คนกอ่ ให้เกิดความเสยี หายแกบ่ คุ คลอนื่ โดยร่วมกนั ทาละเมิด บคุ คลเหลา่ นนั้ ต้องร่วมกนั รับผดิ ใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนเพื่อความเสยี หายนนั้ กรณีไมส่ ามารถสบื รู้ตวั ได้นา่ วา่ ในจาพวกทีท่ าละเมดิ ร่วมกนั นนั้ คนไนเป็ นผ้กู อ่ ให้เกดิ ความเสยี หายนนั้ ด้วย และสอดคล้องกบั ป.อ.มาตรา 83 ในกรณีความผดิ ใดเกิดขนึ ้ โดยการกระทาของบคุ คลตงั้ แต่ 2 คนขนึ ้ ไป ผ้ทู ี่ได้ร่วมกระทาความผดิ ด้วยกนั นนั้ เป็ นตวั การ ต้องระวางโทษ ตามทก่ี ฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผดิ นนั้ - มาตรา 75 ให้บรรดาสงิ่ ทไี่ ด้ทาขนึ ้ หรือนาเข้ามาในราชอาณาจกั รอนั เป็ นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ หรือสทิ ธิของนกั แสดง และยงั เป็ นกรรมสทิ ธ์ิของ ผ้กู ระทาความผดิ ตามมาตรา 69 หรือมาตรา 70 ให้ตกเป็ นของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์หรือสทิ ธิของนกั แสดง สว่ นสง่ิ ทีไ่ ด้ใช้ในการกระทาความผิดให้ ริบเสยี ทงั้ สนิ ้ - มาตรา 76 ให้คา่ ปรับท่ีได้ชาระตามคาพพิ ากษาให้จา่ ยแกเ่ จ้าของลขิ สทิ ธ์ิหรือสทิ ธินกั แสดงเป็ นจานวนกงึ่ หนง่ึ แตไ่ มก่ ระทบสทิ ธิเจ้าของ ลขิ สทิ ธิ์หรือสทิ ธิของนกั แสดงท่ีจะฟ้ องเรียกคา่ เสยี หายในทางแพง่ สาหรับสว่ นท่ีเกินจานวนเงินคา่ ปรับทเี่ จ้าของลขิ สทิ ธิ์หรือสทิ ธิของนกั แสดง ได้ รับแล้วนนั ้ - มาตรา 64 ศาลมีอานาจสง่ั ให้ผ้ลู ะเมิดชดใช้คา่ เสยี หายแกเ่ จ้าขงลขิ สทิ ธ์ิหรือสทิ ธิของนกั แสดงตามจานวนท่ีศาลเหน็ สมควร โดยคานงึ ถงึ 1) ความร้ายแรงของความเสยี หาย รวมทงั้ 2) การสญู เสยี ประโยชน์ และ 3) คา่ ใช้จา่ ยอนั จาเป็ นในการบงั คบั ตามสทิ ธิฯ กจิ กรรม 5.3.1 หากนาย พ เจ้าของร้านขายหนงั สอื วดิ ีโอ และเทป - ทาสาเนานวนยิ ายเรื่อง “ไขม่ กุ เจ้าทะเล” ของนางสาว ศ ขนึ ้ มาเป็ นจานวนมากเพ่ือนาออกจาหนา่ ยโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจาก นางสาว ศ นอกเหนอื จากนยี ้ งั - ทาสาเนาเทปเพลงชดุ “รุ่งอรุณของวนั พรุ่งน”ี ้ ของนางสาว ฟ ขนึ ้ เพ่ือนาออกเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนทีเ่ ข้ามาซือ้ ของในร้านของตนฟัง และ - ทาสาเนาวดิ ีโอเรื่อง “บว่ งรกั ในเพลงิ แค้น” ของนาย ก แล้วนาออกให้เช่า โดยการกระทาตา่ ง ๆ ของนาย พ ดงั กลา่ วได้ทาลงโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของงานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์เหลา่ นนั้ และนาย พ เองก็เคยถกู ศาล ลงโทษจาคกุ 3 เดอื น เนื่องจากความผดิ ที่ได้นาออกขายซงึ่ โปรแกรมคอมพิวเตอร์อนั มีลขิ สทิ ธ์ิ ของบริษัท ม ท่ีได้ถกู ทาซา้ โดยนาย ย โดย ไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงานนนั้ ทงั้ นี ้นาย พ พง่ึ จะพ้นโทษจากความผดิ ดงั กลา่ วมาได้เพยี ง 3 ปีเทา่ นนั้ ดงั นนั้ หากเจ้าของงานอนั มีลขิ สิทธ์ิแตล่ ะรายฟ้ องนาย พ ๆ อาจต้องรับโทษจากการกระทาละเมดิ แตล่ ะรายอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด การทาละเมิดของนาย พ ดงั กลา่ วต่อนางสาว ศ 1) ฐานทาซา้ ซงึ่ งานวรรณกรรมโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของ เป็ นการละเมดิ ตามมาตรา 27 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตส่ องหมื่นบาทถงึ สองแสนบาท แตใ่ นท่ีนเี ้ป็ นการทาเพอ่ื การค้าต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แตห่ กเดือนถึงสป่ี ี หรือปรับตงั้ แตห่ นงึ่ แสนบาทถงึ แปดแสนบาทหรือทงั้ จาทงั้ ปรับตามมาตรา 69 และ 2) ขาย หรือมีไว้เพอ่ื ขายงานดงั กลา่ วอนั ละเมดิ ตามมาตรา 31ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตห่ นง่ึ หมื่นบาทถึงหนง่ึ แสนบาท แตใ่ นท่นี ีเ้ พ่ือการค้า ต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แต่ 3 เดอื นถงึ 2 ปี หรือปรับตงั้ แตห่ ้าหมน่ื บาทถงึ สแ่ี สนบาท หรือทงั้ จาทัง้ ปรับตามมาตรา 70 - สว่ นการทาละเมิดต่อนางสาว ฟ
1) ฐานทาซา้ สง่ิ บนั ทกึ เสยี งโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของซง่ึ เป็นการละเมดิ ตามมาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แต่สองหมืน่ บาทถึงสอง แสนบาท แตใ่ นที่นเี ้ป็ นการทาเพอื่ การค้าต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แต่ 6 เดอื น ถงึ 4 ปี หรือปรับตงั้ แตห่ นงึ่ แสนบาท ถงึ แปดแสนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับตามมาตรา 69 และ 2) นาออกเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนซงึ่ สงิ่ บนั ทกึ เสยี งนนั้ เป็ นละเมดิ ตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตห่ นงึ่ หมนื่ บาทถึงหนง่ึ แสนบาท แต่ ในท่ีนเี ้ป็ นการทาเพื่อการค้าต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แต่ 3 เดอื น ถงึ 4 ปี หรือปรับตงั้ แตห่ นง่ึ แสนบาทถึงแปดแสนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับตาม มาตรา 70 และการทาละเมิดต่อนาย ก 1) ฐานทาซา้ งานโสตทศั นวสั ดโุ ดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจ้าของตามมาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตส่ องหม่ืนบาทถึงสองแสนบาท แต่ ท่นี เี ้ป็ นการทาเพอ่ื การค้าต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แตห่ กเดอื นถึงสปี่ ี หรือปรับตงั้ แตห่ นงึ่ แสนบาทถึงแปดแสนบาท หรือทงั จาทงั้ ปรับตาม มาตรา 69 และ 2) การนาออกให้เช่าซงึ่ งานโสตทศั นวสั ดุ เป็ นการละเมดิ ตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษปรับตงั้ แตห่ นงึ่ หม่ืนบาทถงึ หนง่ึ แสนบาท ในทน่ี ีเ้ พอื่ การค้าต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แต่ 3 เดือนถงึ 2 ปี หรือปรับตงั้ แตห่ ้าหมนื่ บาทถงึ สแ่ี สนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับตามมาตรา 70 เนือ่ งจากนาย พ เคยรับโทษในฐานทาละเมิดตอ่ บริษัท ม โดยการนาออกขายซง่ึ โปรแกรมคอมฯ ของบริษัท ม ได้ถกู ทาซา้ โดยไมไ่ ด้รับ อนญุ าตโดยนาย ย และนาย พ พ้นโทษมายงั ไมค่ รบกาหนด 5 ปี มาทาผดิ ตาม พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537 อกี ต้องระวางโทษเป็ น 2 เทา่ ของ โทษทีก่ าหนดไว้สาหรับความผดิ นนั้ ตามมาตรา 73 5.3.2 การดาเนินคดีเก่ียวกับลขิ สิทธ์ิ และสิทธิของนักแสดง 1. การดาเนินคดเี ก่ียวกับลขิ สทิ ธ์ิ - กระทรวงยตุ ธิ รรมจดั ตงั้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศกลาง วนั ท่ี 1 ธนั วาคม 2540 ดาเนินคดีเก่ียวกบั ลขิ สทิ ธิ์ - เป็ นตาม พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯ พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537 - ข้อกาหนดมาตรา 30 ให้อธิบดผี ้พู พิ ากษาศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศกลางโดยอนมุ ตั ขิ องประธานศาลฎกี ามี อานาจออกข้อกาหนดใด ๆ เกี่ยวกบั การดาเนินกระบวนพจิ ารณาและการรับฟังพยานหลกั ฐานใช้บงั คบั ในศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและ การค้าระหวา่ งประเทศได้ - กรณีไมม่ ีบทบญั ญตั แิ ละข้อกาหนดดงั กลา่ ว พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯพ.ศ. 2539 มาตรา 26 ให้นาบทบญั ญตั แิ หง่ ป. วิ. แพง่ หรือ ป.ว.ิ อาญา หรือ พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาลแขวงและวธิ ีพจิ ารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม 1.1 เขตอานาจศาล - ในการดาเนินคดใี ด ๆ ทงั้ คดเี ก่ยี วกบั ลิขสทิ ธิ์ เรื่องสาคญั ลาดบั แรกคอื การพจิ ารณาเขตอานาจศาล เพื่อทีจ่ ะยน่ื ฟ้ องให้ถกู ศาล มาตรา 5 ให้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯมีเขตอานาจตลอด กทม. สมทุ รปราการ สมทุ รสาคร นครปฐม นนทบรุ ี ปทมุ ธานี คดที เี่ กิดขนึ ้ นอกเขตของศาล ทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯ นะยนื่ ฟ้ องตอ่ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯ กไ็ ด้ ให้ศาลใช้ดลุ พินจิ ทจี่ ะไมย่ อมรับพจิ ารณาพิพากษาคดที ่ยี น่ื ฟ้ องนนั้ ได้ - มาตรา 7 (1) (3) ให้ศาลทรัพยส์ นิ ทางปัญญาฯ มีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดอี าญา และคดแี พง่ เก่ยี วกบั ลขิ สทิ ธ์ิ - บทเฉพาะกาล พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาล ทสปญฯ พ.ศ. 2539 ให้คดคี ้างพจิ ารณาในศาลชนั้ ต้นในวนั ท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2540 คงพจิ ารณาตอ่ ไปจน เสร็จ หากคคู่ วามทกุ ฝ่ ายตกลงกนั ร้องของโอนคดีไปศาล ทสปญ. มีอานาจพิจารณาภายใน 180 วนั นบั แตว่ นั ที่ 1 ธนั วาคม 2540 - มาตรา 47 ระหวา่ งท่ีศาล ทสปญ ยงั มไิ ด้เปิดในท้องที่ใด ให้ศาล ทสปญและการค้า รปท กลางมเี ขตในท้องที่นนั้ ด้วย 1.2 ผ้มู ีอานาจฟ้ อง - ผ้มู อี านาจฟ้ องลาดบั แรกในคดแี พง่ คดอี าญา และคดีแพง่ ทเ่ี กี่ยวเนอ่ื งกบั คดอี าญา คือ ผ้เู สยี หาย หรือผ้ถู กู โต้แย้งสทิ ธิ คือ เจ้าของสทิ ธิใน งานอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิ ได้แก่ มาตรา 8 หรือ 9 ผ้สู ร้างสรรค์ มาตรา 10 ผ้วู า่ จ้าง มาตรา 11 ผ้ดู ดั แปลงงาน หรือ มาตรา 12 ผ้ปู ระกอบงานเข้าด้วยกนั หรือ มาตรา 14 กระทรวง ทบวง กรม หรือหนว่ ยงานอนื่ ใดของรัฐหรือท้องถิ่น
มาตรา 17 ผ้ไู ด้รับอนญุ าตให้ใช้สทิ ธิหรือรับโอนสทิ ธิจากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ - ในคดอี าญา และคดแี พง่ ท่เี กยี่ วเนอ่ื งกบั คดอี าญานนั้ จะมผี ้มู ีอานาจฟ้ องเพม่ิ เข้ามาคอื พนกั งานอยั การ ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 28 (1) คดแี พง่ ทเ่ี ก่ียวเน่อื งกบั คดอี าญา ผ้เู สยี หายเทา่ นนั้ ที่มีสทิ ธิทจี่ ะเรียกร้องคา่ เสยี หาย กฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 43 มิได้ให้อานาจแก่ พนกั งานอยั การไว้ - การยนื่ ฟ้ องคดีตอ่ ศาล พนกั งานอยั การมอิ าจกระทาได้ถ้าไมไ่ ด้มกี ารสอบสวนความผดิ นนั้ ก่อน ตามมาตรา 120 ป.วิ อาญา - การสอบสวนต้องกระทาโดยพนกั งานสอบสวน ได้แก่บคุ คลทกี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ ห้อานาจไว้ใน ป.วิ อาญา มาตรา 18 - มาตรา 66 แหง่ พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537ให้ความผดิ ลขิ สทิ ธ์ิ เป็นความผิดอนั ยอมความได้ คอื ความผิดตอ่ สว่ นตวั ป.วิ อาญา มาตรา 35 วรรคสาม ให้ความผิดตอ่ สว่ นตวั นนั้ จะถอนฟ้ อง หรือยอมความในเวลาใดกอ่ นคดถี งึ ท่ีสดุ ก็ได้ - พนกั งานสอบสวนไมอ่ าจทาการสอบสวนคดดี งั กลา่ วได้ เว้นแตจ่ ะมคี าร้องทกุ ข์ตามระเบยี บ ป.วิ อาญา มาตรา 121 วรรคสอง “คาร้อง ทกุ ข์” หมายถงึ การท่ผี ้เู สยี หายได้กลา่ วหาตอ่ เจ้าหน้าท่ตี ามบทบญั ญตั แิ หง่ ป.วิ อาญาวา่ มกี ารกระทาความผดิ เกิดขนึ ้ จะรู้ตวั ผ้กู ระทาผดิ หรือไมก่ ็ตามซงึ่ กระทาให้เกิดความเสยี หายแก่ผ้เู สยี หาย และการกลา่ วหานนั้ ได้กลา่ วโดยมเี จตนาจะให้ผ้กู ระทาผิดได้รับโทษดงั กฎหมาย บญั ญตั ิไว้ ป.วิ อาญา มาตรา 2 (7) - การฟ้ องร้องคดีเกยี่ วกบั ลขิ สทิ ธ์ิสว่ นท่เี ป็ นคดแี พง่ ผ้เู สยี หายต้องกระทาเอง - คดอี าญา หรือคดแี พง่ ทีเ่ กี่ยวเนอ่ื งกบั คดอี าญา ผ้เู สยี หายสามารถฟ้ องร้องด้วยตนเอง หรือร้องทกุ ข์ตพ่ นกั งานสอบสวย เพื่อให้สง่ สานวน ตอ่ ให้พนกั งานอยั การเป็ นผ้ฟู ้ องร้องคดนี นั้ โดยตนจะของเข้าเป็ นโจทก์ร่วมหรือไมก่ ็ได้ โดยต้องย่ืนคาร้องตอ่ ศาลในเวลาใด ๆ ก่อนศาลชนั้ ต้น พิพากษาคดนี นั้ ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 30 - การเรียกร้องคา่ เสยี หายในคดแี พง่ ทเี่ กยี่ วเน่ืองกบั คดีอาญา ผ้เู สยี หายต้องกระทาเอง กฎหมายมไิ ด้ให้อานาจพนกั งานอยั การทาแทน ผ้เู สยี หายได้ 1.3 หน้าท่นี าสบื - มาตรา 62 แยกการพจิ ารณาคดีเกี่ยวกบั ลขิ สทิ ธ์ิ ไมว่ า่ จะเป็ นคดแี พง่ หรือคดอี าญา แบง่ เป็ น 3 กรณี คอื 1.3.1 งานอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิโดยท่ัวไป - มาตรา 62 วรรคแรก กฎหมายให้สนั นิษฐานไว้ก่อนวา่ งานที่มีการฟ้ องร้องในคดี เป็ นงานมลี ขิ สทิ ธ์ิฯ และโจทก์เป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ เว้นแต่ จะมีการโต้แย้งวา่ ไมม่ ีผ้ใู ดเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ หรือโต้แย้งสทิ ธินนั้ เชน่ ตามมาตรา 7 มใิ ห้ถือวา่ เป็ นงานมีลขิ สทิ ธ์ิ หรืออายกุ ารค้มุ ครอง ลขิ สทิ ธิ์หมดลงแล้ว การโต้แย้งสทิ ธิ เช่น โต้แย้งวา่ โจทก์ไมใ่ ช่เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานนนั้ งานนนั้ เป็ นของผ้อู ่นื และได้อนญุ าตให้ใช้สทิ ธิไว้ หรือ มิใชผ่ ้ทู ่สี ร้างสรรค์งาน หรือไมเ่ ป็นงานสร้างสรรค์ตาม พ.ร.บ.ลขิ สิทธิ์ พ.ศ. 2537 บญั ญตั ิไว้ 1.3.2 งานอนั มีช่อื หรือส่ิงท่ใี ช้แทนช่อื แสดงไว้ - มาตรา 62 วรรคสอง สงิ่ ทใ่ี ช้สบื เน่อื งมาจากวรรคแรกคอื เม่อื กฎหมายให้สนั นิษฐานไว้เป็ นลาดบั แรกวา่ งานทม่ี กี ารฟ้ องร้อง เป็ นงานมี ลขิ สทิ ธิ์และผ้ฟู ้ องเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ หากปรากฏวา่ งานทอ่ี ้างวา่ ตนเป็ นเจ้าของนนั้ มชี ่ือ หรือสงิ่ ทใ่ี ช้แทนช่ือแสดงไว้ กฎหมายให้สนั นิษฐาน เพิ่มเติมวา่ ผ้ฟู ้ องเป็ นผ้สู ร้างสรรค์ ผ้ฟู ้ องต้องพิสจู นใ์ ห้ได้ในเหตทุ ต่ี นเป็ นเจ้าของงานลิขสทิ ธ์ิ หากไมอ่ าจพิสจู น์ข้อเทจ็ จริงนีไ้ ด้ ศาลจะต้องยก ฟ้ อง ด้วยผ้ฟู ้ องมไิ ด้เป็ นผ้เู สยี หาย หรือผ้ถู กู โต้แย้งสทิ ธิ - มาตรา 18 ผ้สู ร้างสรรค์เทา่ นนั้ เป็ นผ้มู ีสทิ ธิฟ้ องคดี หากเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิมไิ ด้เป็ นผ้สู ร้างสรรค์งาน ก็ยอ่ มไมม่ อี านาจฟ้ องตามมาตรานี ้ผ้ถู กู ฟ้ องต้องเป็ นผ้นู าสบื หกั ล้างข้อสนั นิษฐานดงั กลา่ ว 1.3.3 งานอนั มชี ่อื หรือส่งิ ใดท่ใี ช้แทนช่อื ของผู้พมิ พ์ ผ้โู ฆษณา หรือผู้พิมพ์และผ้โู ฆษณาแสดงไว้ - มาตรา 62 วรรคสาม กรณีงานใดไมม่ ชี ่ือหรือสงิ่ ทใ่ี ช้แทนชื่อแสดงไว้ หรือมีชื่อหรือสงิ่ ทใี่ ช้แทนช่ือแสดงไว้ แตม่ ิได้อ้างวา่ เป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ และมีชื่อหรือสงิ่ ใดท่ใี ช้แทนชื่อของบคุ คลอืน่ ซงึ่ อ้างวา่ เป็ นผ้พู ิมพ์ ผ้โู ฆษณา หรือผ้พู ิมพ์และผ้โู ฆษณาแสดงไว้ ให้สนั นษิ ฐานไว้ก่อนวา่ บคุ คล ซงึ่ เป็ นผ้พู ิมพ์ ผ้โู ฆษณา หรือผ้พู มิ พ์และผ้โู ฆษณานนั้ เป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ในงานนนั้ - กรณีทีไ่ มอ่ าจระบไุ ด้วา่ บคุ คลใดเป็ นเจ้าของเนอ่ื งจากไมม่ ชี ่ือหรือสง่ิ ทใี่ ช้แทนชื่อของบคุ คลใดแสดงไว้ หรือมีชื่อหรือสง่ิ ทใี่ ช้แทนชอื่ ของ บคุ คลใดแสดงไว้แตก่ ารแสดงไว้นนั้ มิได้มีการอ้างวา่ บคุ คลผ้มู ชี ื่อนนั้ เป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิ หากวา่ มชี ่ือหือสง่ิ ใดทใี่ ช้แทนช่ือของบคุ คลอื่นซง่ึ อ้างวา่ เป็ นผ้พู มิ พ์ ผ้โู ฆษณาหรือผ้พู มิ พ์และผ้โู ฆษณาแสดงไว้ กฎหมายให้สนั นษิ ฐานกอ่ นวา่ บคุ คลซงึ่ เป็ นผ้พู ิมพ์ ผ้โู ฆษณา หรือเป็นผ้พู ิมพ์ และผ้โู ฆษณานนั้ เป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิในงานนนั้
1.4 การขอให้คุ้มครองช่วั คราวก่อนฟ้ องและการอสืบพยานหลักฐานไว้ก่อน 1.4.1 การขอให้คุ้มครองช่ัวคราวก่อนฟ้ อง - มาตรา 65 วรรคแรก กรณมี ีหลกั ฐานชดั แจ้งวา่ บคุ คลใดกระทาการหรือาลงั จะกระทาการอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อนั เป็ นการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ เจ้าของลขิ สทิ ธ์ิอาจขอให้ศาลมคี าสง่ั ให้บคุ คลดงั กลา่ วระงบั หรือละเว้นการกระทาดงั กลา่ วนนั้ ได้ - ข้อกาหนดคดีทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศ พ.ศ. 2540 ออกโดยอาศยั อานาจตามมาตรา 30 แหง่ พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาล ทสปญฯ พ.ศ. 2539 เรื่องการขอให้ค้มุ ครองชวั่ คราวกอ่ นฟ้ อง ข้อ 15 ศาลซง่ึ มีคาสงั่ อนญุ าตให้มกี ารค้มุ ครองชวั่ คราวกอ่ นฟ้ องนนั้ พเิ คราะห์ ถึงความเสยี หายที่อาจจะเกดิ ขนึ ้ แก่ผ้ทู ีจ่ ะถกู ฟ้ อง แล้วสง่ั ให้ผ้ขู อวางเงิน หรือหาประกนั มาให้ตามจานวนท่ีศาลเห็นสมควรสาหรับความ เสยี หายท่อี าจเกิดขนึ ้ ดงั กลา่ ว โดยศาลจะต้องกาหนระยะเวลา และเงื่อนไขอยา่ งใดในการวางเงิน หรือหาประกนั มาวางนนั้ ตามทศ่ี าล เห็นสมควร - การทอ่ี ธิบดีผ้พู ิพากษาศาล ทสปญฯ โดยอนมุ ตั จิ ากประธานศาลฎกี าออกข้อกาหนดในข้อ 15 เพ่ือให้เกิดความสมดลุ ระหวา่ งสทิ ธิของ เจ้าของลขิ สทิ ธิ์ให้มกี ารค้มุ ครองชว่ั คราวก่อนฟ้ องกบั ความเสยี หายท่ีผ้ทู ่จี ะถกู ฟ้ องอาจได้รับจากคาขอดงั กลา่ ว 1.4.2 การขอสบื พยานหลกั ฐานไว้กอ่ น - พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาฯ พ.ศ.2539 มาตรา 28 ถ้าบคุ คลใดเกรงวา่ พยานหลกั ฐานท่ีตนอาจต้องอ้างองิ ในภายหน้าจะสญู หายหรือยากแกก่ ารนามาเมอื่ มีคดที รัพย์สนิ ทางปัญญาหรือการค้าระหวา่ งประเทศเกดิ ขนึ ้ หรือถ้าคคู่ วามฝ่ ายใดในคดีเกรงวา่ พยานหลกั ฐานท่ตี นจานงอ้างองิ จะสญู หายเสยี กอ่ นทจี่ ะนามาสบื หรือเป็ นการยากท่ีนาสบื ในภายหลงั บคุ คลนนั้ หรือคคู่ วามฝ่ ายนนั้ อาจยน่ื คาขอตอ่ ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระวา่ งประเทศโดยทาเป็ นคาร้องให้ศาลมคี าสง่ั ให้สบื พยานหลกั ฐานนนั้ ไว้ทนั ที 1.5 อายคุ วามการฟ้ องร้อง - คดีแพง่ คดอี าญา หรือคดแี พง่ ท่เี ก่ียวเนอ่ื งกบั คดอี าญาผ้เู สยี หายหรือผ้ถู กู โต้แย้งสิทธิจะต้องทาภายในระยะเวลาที่กฎหมายกาหนดให้ - อายคุ วามฟ้ องร้องคดแี พ่งเก่ยี วกับการละเมดิ ลิขสิทธ์ิ มาตรา 63 ห้ามมิให้ฟ้ องคดีละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิเม่อื พ้นกาหนด 3 ปี นับแต่ วันท่เี จ้าของลขิ สทิ ธ์ิรู้ถงึ การละเมดิ และรู้ตัวผู้กระทาละเมดิ แต่ทงั้ นีต้ ้องไม่เกนิ 10 ปี นับแต่วนั ท่มี กี ารละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ - คดีอาญา มาตรา 66 พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ. 2537 บญั ญตั ใิ ห้ความผิดฐานละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ เป็ นความผดิ อนั ยอมความได้ ผ้เู สยี หายต้องร้อง ทกุ ข์ภายใน 3 เดือน นบั แตว่ นั ท่ีรู้เรื่องความผิดและรู้ตวั ผ้กู ระทาผดิ มเิ ช่นนนั้ คดีขาดอายคุ วาม - หากผ้เู สยี หายรู้เรื่องความผิดนนั้ แตไ่ มร่ ู้ตวั ผ้กู ระทาผดิ อายคุ วาม 3 เดือนนกี ้ ็จะยงั ไมเ่ ริ่มนบั แตใ่ ห้นบั อายคุ วามฟ้ องร้องคดีตาม ปอ.มาตรา 95 ด้วย หากลว่ งเลยก็เป็ นอนั ขาดอายคุ วาม - อายคุ วามตาม ปอ.มาตรา 95 จะถกู กาหนดโดยดโู ทษประกอบด้วย คือ มาตรา 69 วรรคแรก อายคุ วามการฟ้ องร้ องการทาละเมดิ 1 ปี ตาม ปอ. มาตรา 95 (5) มาตรา 69 วรรคสอง อายคุ วามการฟ้ องร้องการทาละเมดิ 10 ปี ตาม ปอ.มาตรา 95 (3) มาตรา 70 วรรคแรก อายคุ วามการฟ้ องร้องการทาละเมดิ 1 ปี ตาม ปอ.มาตรา 95 (5) มาตรา 70 วรรคสอง อายคุ วามการฟ้ องร้องการทาละเมดิ 10 ปี ตาม ปอ.มาตรา 95 (3) การนบั อายคุ วามตาม ปอ.มาตรา 95 เป็ นการนบั ตงั้ แตว่ นั กระทาความผิด และนบั โดยใช้เกณฑ์การคานวณจากโทษสงู สดุ เป็ นหลกั ตามการ นบั อายคุ วามฟ้ องร้องในคดอี าญา - ป.วิ อาญา มาตรา 51 วรรคแรก การฟ้ องร้องคดแี พง่ ท่เี ก่ียวเน่ืองกบั คดีอาญาเก่ียวกบั การละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ ต้องกระทาภายในอายคุ วาม ถ้า ไมม่ ผี ้ใู ดฟ้ องทางอาญา สทิ ธิของผ้เู สยี หายท่ีจะฟ้ องทางแพง่ เนือ่ งจากความผิดนนั้ ยอ่ มระงบั ไปตามกาหนดเวลาท่ีบญั ญตั ิไว้ คอื ผ้เู สยี หาย ต้องร้องทกุ ข์ภายในกาหนด 3 เดอื น นบั แตว่ นั ที่รู้เรื่องความผดิ และรู้ตวั ผ้กู ระทาผดิ - ป.วิ อาญา มาตรา 51 วรรคสอง ถ้าฟ้ องคดอี าญาตอ่ ศาลแล้วแตค่ ดยี งั ไมเ่ สร็จเดด็ ขาด ให้อายคุ วามซงึ่ ผ้เู สยี หายมีสทิ ธิจะฟ้ องคดีแพง่ สะดดุ หยดุ ลง - ป.พ.พ.มาตรา 193/15 วรรคแรก วา่ เมอ่ื อายคุ วามสะดดุ หยดุ ลงแล้ว ระยะเวลาที่ลว่ งไปกอ่ นนนั้ ไมน่ บั เข้าในอายคุ วาม - ป.พ.พ.มาตรา 193/15 วรรคสอง ให้นบั อายคุ วามใหมต่ งั้ แตเ่ วลาเมือ่ เหตทุ ่ที าให้อายคุ วามสะดดุ หยดุ ลงนนั้ สนิ ้ สดุ ไป - ป.พ.พ.มาตรา 193/30 ให้อายคุ วามนนั้ ป.พ.พ.หรือกฎหมายอน่ื มิได้บญั ญตั ิไว้โดยเฉพาะให้มกี าหนด 10 ปี
- ป.วิ อาญา มาตรา 51 วรรคสาม ถ้าผ้ฟู ้ องคดอี าญาและศาลพพิ ากษาลงโทษจาเลยจนคดเี สร็จเดด็ ขาดแล้วกอ่ นทไ่ี ด้ยน่ื ฟ้ องคดแี พง่ สทิ ธิที่ จะฟ้ องคดีแพง่ ยอ่ มเป็ นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 คือสทิ ธิเรยกร้องที่เกิดขนึ ้ โดยคาพิพากษาของศาลถงึ ทส่ี ดุ ให้มีกาหนดอายคุ วาม 10 ปี ทงั้ นไี ้ มว่ า่ สทิ ธิเรยกร้องเดมิ จะมีกาหนดอายคุ วามเทา่ ใด - ป.วิ อาญา มาตรา 51 วรรคสี่ ถ้าโจทก์ได้ฟ้ องคดีอาญา และศาลพพิ ากษายกฟ้ องปลอ่ ยจาเลยจนคดเี ดด็ ขาดแล้วก่อนที่ได้ยน่ื ฟ้ องคดีแพง่ สทิ ธิของผ้เู สยี หายทีจ่ ะฟ้ องคดแี พง่ ยอ่ มมอี ายคุ วามตามหลกั ทวั่ ไปในเรื่องอายคุ วามแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 193/30 บญั ญตั ไิ ว้ 10 ปี หากไม่มี กฎหมายอ่ืนบญั ญตั ิไว้เฉพาะ แตท่ ่นี ี ้พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ. 2537 มาตรา 63 บญั ญตั หิ ้ามมใิ ห้ฟ้ องร้องคดีละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิเมือ่ พ้นกาหนด 3 ปี นบั แตว่ นั ทเี่ จ้าของลขิ สทิ ธิ์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตวั ผ้กู ระทาละเมดิ กรณีฟ้ องคดอี าญา และศาลพพิ ากษายกฟ้ องปลอ่ ยจาเลยจนคดเี ดด็ ขาด แล้วกอ่ นทไ่ี ด้ยืน่ ฟ้ องคดีแพง่ สทิ ธิของผ้เู สยี หายท่ีจะฟ้ องคดแี พง่ จะเป็ น 3 ปี นบั แตว่ นั ท่ีศาลได้มคี าพพิ ากษายกฟ้ องนนั้ - พ.ร.บ.ค้มุ ครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ. 2474 เป็ นบทบญั ญตั ิสว่ นแพง่ สว่ นท4ี่ วา่ ด้วยสทิ ธิทางแพง่ ซงึ่ การละเมดิ สทิ ธิบญั ญตั ิวา่ คดลี ะเมดิ ลขิ สทิ ธิ์นนั้ มิให้ฟ้ องเมอื่ พ้นกาหนด 3 ปี นบั แตว่ นั ละเมดิ จงึ ต้องใช้อายคุ วาม 3 ปี มาบงั คบั การละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ - คดแี พง่ เร่ืองละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์เป็ นคดแี พง่ เก่ียวเนือ่ งกบั คดีอาญาในข้อหาความผดิ ตอ่ พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ฯ ในสว่ นคดีอาญาเป็ นความผดิ อนั ยอม ความได้ ผ้เู สยี หายไมร่ ้องทกุ ข์ภายใน 3 เดอื นนบั แตว่ นั รู้เรื่องความผดิ และรู้ตวั ผ้กู ระทาความผดิ คดขี าดอายคุ วามตาม ปอ.มาตรา 96 แต่ การที่ผ้เู สยี หายไมร่ ้องทกุ ข์ในกาหนด 3 เดือน ทาให้คดขี าดอายคุ วามในทางอาญา ไมม่ ผี ลทาให้คดีแพง่ ทเ่ี กี่ยวเน่ืองกบั คดีอาญานนั้ ขาดอายุ ความตามไปด้วย ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 51 วรรคหนง่ึ เพราะการร้องทกุ ข์เป็ นกรณีที่ต้องดาเนินการเพ่ือทีจ่ ะฟ้ องคดีอาญาเทา่ นนั้ ไม่ เกี่ยวกบั การฟ้ องคดีแพง่ ทเี่ ก่ียวเน่ืองกบั คดอี าญาแตป่ ระการใด 1.6 ค่าเสยี หาย - พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 64 กรณีทมี่ กี ารละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ ศาลมอี านาจสงั่ ผ้ลู ะเมดิ ชดใช้ 1) คา่ เสยี หายแกเ่ จ้าของลขิ สทิ ธ์ิตามจานวนทศ่ี าลเหน็ สมควร โดยคานงึ ถึงความร้ายแรงของความเสยี หายนนั้ 2) การสญู เสยี ประโยชน์ เชน่ ยอดขายทคี่ วรจะได้ หรือกาไรท่ีควรจะได้ หากไมม่ กี ารละเมดิ นนั้ เกิดขนึ ้ และ 3) คา่ ใช้จา่ ยอนั จาเป็ นในการบงั คบั ตามสทิ ธิของเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ด้วย ศาลสามารถสง่ั ตามจานวนท่เี หน็ สมควรเป็ นกรณีไป เช่น คา่ ทนาย คา่ ใช้จา่ ยในการเดนิ ทาง ฯลฯ 2. การดาเนินคดเี ก่ยี วกับสทิ ธิของนักแสดง - สามารถนาเรื่องการดาเนินคดเี กี่ยวกบั ลขิ สทิ ธ์ิมาใช้ได้แทบทกุ เร่ือง คอื เร่ืองผ้มู อี านาจฟ้ อง คดแี พง่ คดอี าญา และคดแี พง่ ทเี่ ก่ียวเน่ืองกบั คดีอาญา หน้าที่นาสบื งานมชี ื่อหรือสงิ่ ทใี่ ช้แทนชื่อแสดงไว้ฯ การขอให้ ค้มุ ครองชวั่ คราวก่อนฟ้ อง การขอให้สบื พยานหลกั ฐานไว้กอ่ น อายคุ วามการฟ้ องร้อง คา่ เสยี หาย - การดาเนนิ คดเี กี่ยวกบั สทิ ธิของนกั แสดง ให้นาคดขี นึ ้ สศู่ าลชนั้ ต้นทวั่ ไป แยกจากลขิ สทิ ธิ์เน่ืองจากเรื่องเขตอานาจศาล พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาล ทสปญฯ มาตรา 7 มไิ ด้บญั ญตั ิไว้วา่ อยใู่ นเขตอานาจของศาล ทสปญฯ จงึ เป็ นตาม ป.วิ แพง่ และ ป.วิ อาญา ให้นาคดีขนึ ้ สศู่ าลชนั้ ต้นทวั่ ไป ตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม มใิ ช่ศาลชานญั พิเศษ หรือ ศาล ทสปญฯ - พ.ร.บ.จดั ตงั้ ศาล ทสปญฯ พ.ศ. 2539 มาตรา 9 กรณีมีปัญหาวา่ คดใี ดจะอยู่ในอานาจของศาล ทสปญฯ หรือไม่ ไมว่ า่ ปัญหาเกิดขนึ ้ ในศาล ทสปญ หรือศาลยตุ ธิ รรมอ่นื ให้ศาลนนั้ รอการพิจารณาพพิ ากษาคดไี ว้ชวั่ คราวแล้วเสนอปัญหาให้ประธานศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั ให้ถือเป็นที่สดุ กจิ กรรม 5.3.2 หากนางสาว ช มาปรึกษาทา่ นในฐานะที่เป็ นนกั กฎหมายวา่ ได้ถกู นาย ด ละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์โดยการลอกเลยี นแบบงานจิตรกรรมอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิ ของตนไปใสไ่ ว้ในสมดุ ภาพรวมเลม่ แล้วนาออกจาหนา่ ยโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากตน และนางสาว ช ประสงค์จะฟ้ องร้องดาเนินคดกี บั นาย ด ดงั นี ้ต้องพจิ ารณาในเรื่องใดบ้าง เพอ่ื การฟ้ องร้องคดดี งั กลา่ ว ลาดบั การดาเนินคดี 1) ทา่ นจะต้องคยุ กบั นางสาว ช และซกั ถามจนได้ความวา่ งานดงั กลา่ วเป็ นงานอนั มลี ขิ สทิ ธ์ิตาม พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ. 2537 2) จากนนั้ ทา่ นจะต้องมาดวู า่ นางสาว ช เป็ นผ้สู ร้างสรรค์ หรือเป็นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิอยา่ งไร หรือเป็นเจ้าของลขิ สทิ ธ์ิโดยการได้รับโอนมาทางใด ทางหนงึ่ หรือเป็ นทงั้ ผ้สู ร้างสรรคแ์ ละเป็ นเจ้าของลขิ สทิ ธิ์ด้วย
3) เมื่อได้ความวา่ งานนนั้ เป็ นงานอนั มีลขิ สทิ ธิ์ตาม พ.ร.บ.ลขิ สทิ ธิ์ พ.ศ.2537 และนางสาว ช เป็ นเจ้าของงานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์นนั้ ตอ่ มาก็ต้องดู วา่ จะย่นื ฟ้ องตอ่ ศาลไหน โดยดเู ขตอานาจศาลซงึ่ ในคดีละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ินีศ้ าลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศเป็ นศาลซงึ่ มี อานาจพจิ ารณาพิพากษา 4) จากนนั้ กจ็ ะต้องพิจารณาวา่ คดีนมี ้ ีความจาเป็ นต้องขอให้มีการค้มุ ครองชว่ั คราวก่อนฟ้ อง หรือมคี วามจาเป็ นต้องขอสบื พยานหลกั ฐานไว้ กอ่ นหรือไม่ หากมีความจาเป็ นในเร่ืองดงั กลา่ วก็จะต้องรีบดาเนนิ การโดยแสดงหลกั ฐานตอ่ ศาลถงึ เหตทุ ม่ี คี วามจาเป็ นเหลา่ นนั้ ซง่ึ ศาลจะได้ มีคาสงั่ ใด ๆ ตอ่ ไป 5) ในขนั้ ตอนตอ่ มาจะต้องดวู า่ อายคุ วามการฟ้ องร้องคดีนนั้ เป็ นอยา่ งไร จะดาเนินคดแี พง่ หรือคดอี าญา หรือคดแี พง่ ท่ีเก่ียวเนือ่ งกบั คดอี าญา โดยพจิ ารณาอายคุ วามการฟ้ องร้องคดีแตล่ ะประเภท เช่น คดอี าญาเก่ียวกบั ความผิดอนั ยอมความได้ผ้เู สยี หายจะต้องร้องทกุ ข์ ภายใน 3 เดือน นบั แตว่ นั ท่ีรู้เร่ืองความผิดและรู้ตวั ผ้กู ระทาผิด หรือคดีแพง่ จะไมส่ ามารถฟ้ องร้องได้เมื่อพ้นกาหนด 3 ปี นบั แตว่ นั ทเ่ี จ้าของ ลขิ สทิ ธิ์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตวั ผ้กู ระทาละเมดิ 6) จากนนั้ กใ็ ห้รีบดาเนนิ การฟ้ องร้องเพื่อท่จี ะได้ไมเ่ สยี สทิ ธิเรียกร้องใด ๆ ตามกฎหมาย ................................................................................................................................................จบหนว่ ยท่ี 5................................ โปรดตดิ ตามสรุปย่อ กม.ทรัพย์สนิ ทางปัญญา หน่วยท่ี 6 – 15 ในคราวต่อไป (หลัง ม.ค. 61) หน่วยท่ี 6 หลักเกณฑ์การคุ้มครองและการใช้สทิ ธิตามสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร แนวคดิ 1. อนสุ ญั ญากรุงปารีสเป็ นความตกลงพหภุ าคกี ่อตงั้ โดยกลมุ่ ประเทศผ้นู าทางอตุ สาหกรรม มคี วามสาคญั มากในการกาหนดหลกั การ ค้มุ ครองเกีย่ วกบั กฎหมายสทิ ธิบตั ร และได้รับการยอมรับอยา่ งกว้างขวางจากประเทศตา่ ง ๆ รวมทงั้ ประเทศไทย แม้จะไมไ่ ด้เป็ นภาคใี น อนสุ ญั ญาดงั กลา่ ว แตก่ ็รับแนวคดิ ตา่ ง ๆ เข้ามาโดยบญั ญตั ิไว้ในกฎหมายสทิ ธิบตั รของไทย นอกจากนยี ้ งั มีความตกลงระหวา่ งประเทศ เกี่ยวกบั สทิ ธิบตั รอ่นื อีก เชน่ สนธิสญั ญาวา่ ด้วยความร่วมมอื ทางสทิ ธิบตั ร อนสุ ญั ญาสทิ ธิบตั รยโุ รปและองค์การการค้าโลก 2. สทิ ธิบตั ร ได้รับความค้มุ ครองโดยกฎหมายไทยครงั้ แรกเมือ พ.ศ. 2522 และแก้ไขเพ่ิมเติมครัง้ ที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2535 และครัง้ ที่ 3 (ปัจจบุ นั ) พ.ศ. 2542 โดยฉบบั ท่ี 1 และฉบบั ท่ี 2 กาหนดการค้มุ ครองสทิ ธิการประดษิ ฐ์ และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์และแก้ไขเพิม่ เติมฉบบั ที่ 3 โดย เพิ่มเร่ืองอนสุ ทิ ธิบตั รเข้ามาไว้ในหมวด 3 ทวิ ทงั้ นไี ้ ด้กาหนดหลกั เกณฑ์การค้มุ ครองสทิ ธิบตั ร และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ผ้มู สี ทิ ธิรับ สทิ ธิบตั ร คาขอรับสทิ ธิบตั ร การออกแบบสทิ ธิบตั ร ตลอดจนสทิ ธิตา่ ง ๆของผ้ทู รงสทิ ธิบตั ร 3. การใช้สทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิทม่ี อี ยกู่ บั บคุ คลอืน่ ท่ีสามารถเข้ามาใช้สทิ ธินนั้ ด้วย ทงั้ นรี ้ ัฐโดยกรมทรพั ย์สนิ ทางปัญญาเข้ามาเป็ นผ้จู ดั เก็บ คา่ ธรรมเนียม และกาหนดคา่ ตอบแทนการใช้สทิ ธิกรณีที่ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ และในบางกรณีเชน่ ภาวะสงครามหรือเพ่อื ความมน่ั คงรัฐ อาจบงั คบั ให้สทิ ธิบตั รนนั้ ได้ และหากกรณีมกี ารออกสทิ ธิบตั รที่ไมเ่ ป็ นไปตามกฎหมายกาหนด รัฐมหี น้าท่ตี ้องยกเลกิ เพิกถอนสทิ ธิบตั รนนั้ ๆ ด้วย ตามกระบวนการขนั้ ตอนท่กี าหนดไว้ 4. อนสุ ทิ ธิบตั ร ได้รับการเพิ่มเตมิ เข้ามาในกฎหมายสทิ ธิบตั รไทยในการแก้ไขครงั้ ท่ี 3 พ.ศ.2542 ซง่ึ โดยหลกั การการให้ความค้มุ ครองตา่ ง ๆ มีหลกั เช่นเดยี วกนั กบั สทิ ธิบตั รมคี วามแตกตา่ งในสาระสาคญั คือ อนสุ ทิ ธิบตั รไมต่ ้องมเี ง่ือนไขของขนั้ การประดษิ ฐ์ทส่ี งู ขนึ ้ เหมือนสทิ ธิบตั ร จงึ ทาให้งา่ ยตอ่ การขอรับอนสุ ทิ ธิบตั ร และขนั้ ตอนพธิ ีการในการขอรับอนสุ ทิ ธิบตั รน้อยกวา่ การขอรับสทิ ธิบตั ร แตอ่ ายขุ องการค้มุ ครอง อนสุ ทิ ธิบตั รโดยกฎหมายก็น้อยกวา่ สทิ ธิบตั รด้วย วตั ถปุ ระสงค์ เพื่อให้เข้าใจ 1. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองสทิ ธิบตั รตามอนสุ ญั ญากรุงปารีส และตามความตกลงระหวา่ งประเทศอ่ืนได้ 2. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองสทิ ธิบตั รตามกฎหมายไทยได้ 3. หลกั เกณฑ์การใช้สทิ ธิตามสทิ ธิบตั รได้ 4. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองและการใช้สทิ ธิตามอนสุ ทิ ธิบตั รได้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6.1 หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองสทิ ธิบตั รตามอนสุ ญั ญากรุงปารีสและความตกลงระหวา่ งประเทศ 6.2 หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองสทิ ธิบตั รตามกฎหมายไทย 6.3 หลกั เกณฑ์การใช้สทิ ธิตามสทิ ธิบตั ร 6.4 หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองและการใช้สทิ ธิตามอนสุ ทิ ธิบตั ร ............................................................................................................................................................................................... 6.1 หลกั เกณฑ์การคุ้มครองสทิ ธิบตั รตามอนุสญั ญากรุงปารีสและความตกลงระหว่างประเทศ แนวคดิ 1. สทิ ธิบตั ร คือ สทิ ธิทก่ี ฎหมายรับรอง โดยการออกหนงั สอื สาคญั ให้เพ่ือค้มุ ครองการประดิษฐ์ หรือออกแบบผลติ ภณั ฑ์ แกผ่ ้ปู ระดิษฐ์หรือ ผ้อู อกแบบผลติ ภณั ฑ์ ในอนั ทจ่ี ะแสวงประโยชน์จากสทิ ธิบตั รนนั้ ได้แตเ่ พยี งผ้เู ดยี ว ภายในระยะเวลาอนั มจี ากดั ซงึ่ การประดิษฐ์ นนั้ รวมถึง ผลติ ภณั ฑ์และกรรมวธิ ีในการผลติ ด้วย และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์เป็ นเร่ืองของรูปร่าง องค์ประกอบ ลวดลายหรือสขี องผลติ ภณั ฑน์ นั้ ๆ ใน อนั ทีส่ ามารถได้รับสทิ ธิบตั รแยกตา่ งหากจากการประดษิ ฐ์ได้ 2. อนุสญั ญากรุงปารีสเพ่อื การคุ้มครองทรัพย์สนิ ทางอุตสาหกรรม เป็ นความตกลงพหภุ าคที ี่กาหนดความค้มุ ครองสทิ ธิตา่ งๆ ทาง อตุ สาหกรรม ซงึ่ เป็ นท่มี าสาคญั ของการให้ความคุ้มครองสทิ ธิบตั รของนานาอารยประเทศ และประเทศไทยเองแม้จะไมไ่ ด้เป็ นภาคใี น อนสุ ญั ญาดงั กลา่ ว แตก่ ็ได้รับเอาหลกั การจากอนสุ ญั ญานเี ้ข้ามาบญั ญตั ไิ ว้ในกฎหมายสทิ ธิบตั รของไทยหลายประการ 3. นอกจากอนสุ ญั ญากรุงปารีสดงั กลา่ วแล้ว ยงั มคี วามตกลงระหวา่ งประเทศอ่นื ๆ เก่ียวกบั การค้มุ ครองสทิ ธิบตั รอีกเช่น อนสุ ญั ญา สทิ ธิบตั รยโุ รป สนธิสญั ญาวา่ ด้วยความร่วมมอื ทางสทิ ธิบตั ร และองค์การการค้าโลกท่ีมบี ทบาทสาคญั อยา่ งยงิ่ ในปัจจบุ นั 6.1.1 ความหมายและการได้มาซ่งึ สิทธิบตั ร 1. สิทธิบตั ร คือ เอกสาร หรือหนงั สอื ที่รัฐออกให้แกผ่ ้ขู อรับสทิ ธิบตั ร หรือผ้ทู รงสทิ ธิบตั รแตเ่ พยี งผ้เู ดยี วในการทจ่ี ะแสวงประโยชน์ใด ๆ จาก การประดษิ ฐ์ หรือการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ โดยมีระยะเวลาจากดั ตามกฎหมาย 2. สทิ ธิบตั รจะออกให้แก่ การประดิษฐ์ และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ซงึ่ สง่ิ ท่ถี ือวา่ เป็ นการประดิษฐ์ ได้แก่ ผลติ ภณั ฑ์ กรรมวธิ ี และการทาให้ ผลติ ภณั ฑ์และกรรมวิธีดีขนึ ้ สว่ นการออกแบบผลติ ภณั ฑ์นนั้ ประกอบด้วยรูปร่าง และองค์ประกอบลวดลายหรือสขี องผลติ ภณั ฑ์ 6.1.2 การคุ้มครองสทิ ธิบตั รตามอนุสญั ญากรุงปารีส หลกั การสาคญั ของอนุสญั ญากรุงปารีส ได้แก่หลกั การ ดงั นคี ้ อื 1) หลกั ประติบตั เิ ยย่ี งคนชาติ 2) หลกั การให้สทิ ธิแกผ่ ้ยู ืน่ คาขอรับสทิ ธิบตั รกอ่ น 3) หลกั ความเป็ นอสิ ระของสทิ ธิบตั ร 4) หลกั เกณฑ์การบงั คบั ให้มกี ารให้สทิ ธิบตั รและการนาเข้าสนิ ค้าทไ่ี ด้รับสทิ ธิบตั ร 6.1.3 การคุ้มครองสทิ ธิบตั รตามความตกลงระหว่างประเทศ ประเทศสมาชิกของ WTO สามารถยกเว้นไมใ่ ห้ความค้มุ ครองแกส่ ทิ ธิบตั ร ได้ด้วยเหตผุ ล ด้านความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอนั ดขี อง ประชาชน และเหตผุ ลทางด้านการป้ องกนั สขุ ภาพของมนษุ ย์ สตั ว์ พืช หรือเพอ่ื หลกี เลย่ี งความเสยหายอยา่ งร้ายแรงอนั อาจเกดิ ขนึ ้ กบั สงิ่ แวดล้อม ฯลฯ 6.2 หลกั เกณฑ์การคุ้มครองสทิ ธิบตั รตามกฎหมายไทย แนวคดิ 1. สทิ ธิการประดิษฐ์ ได้แก่ ผลติ ภณั ฑ์และกรรมวิธีอนั ประกอบด้วยการประดษิ ฐ์ขนึ ้ ใหมม่ ีขนั้ การประดษิ ฐ์สงู ขนึ ้ และสามารถประยกุ ต์ใช้ ในทางอตุ สาหกรรม หตั ถกรรม เกษ๖รกรรม และพาณิชยกรรม และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ได้แก่ รูปร่าง องค์ประกอบรูปร่าง ลวดลายหรือ สขี องผลติ ภณั ฑ์ ทสี่ ามารถใช้เป็นแบบสาหรับผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรมหรอหตั ถกรรม
2. ผ้มู ีสทิ ธิรับสทิ ธิบตั ร นอกจากจะเป็ นผ้ปู ระดษิ ฐ์ หรือออกแบบผลติ ภณั ฑ์เองแล้วยงั อาจเป็ นนายจ้างหรือหนว่ ยงานของนายจ้างกไ็ ด้ ทงั้ นี ้ ต้องมคี ณุ สมบตั ทิ ก่ี ฎหมายกาหนดที่จะยน่ื คาขอรับสทิ ธิบตั รตามแบบฟอร์มรายละเอยี ดทเ่ี กี่ยวข้อง เพือ่ พนกั งานเจ้าหน้าทจี่ ะดาเนินการ โดยจะตรวจสอบเบอื ้ งต้น ประกาศโฆษณา ตรวจสอบการประดษิ ฐ์ และรับจดทะเบยี นออกสทิ ธิบตั รให้ตอ่ ไป 3. ผ้ทู รงสทิ ธิมสี ทิ ธิในการแสวงหาประโยชน์จากการประดษิ ฐ์หรือออกแบบผลติ ภณั ฑ์นนั้ ๆ ตลอดถงึ การแสดงข้อความวา่ ได้รับสทิ ธิบตั รบน สง่ิ ประดษิ ฐ์ อนญุ าตให้บคุ คลอื่นใช้หรืออาจโอนสทิ ธิดงั กลา่ วให้บคุ คลอื่นก็ได้ วัตถุประสงค์ เพ่อื ให้เข้าใจ 1. ความหมายสทิ ธิบตั รการประดษิ ฐ์และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ และองค์ประกอบในการทจ่ี ะขอรับสทิ ธิบตั รได้ 2. บคุ คลผ้มู ีสทิ ธิรับสทิ ธิบตั รและการขอรับสทิ ธิบตั รวา่ ต้องดาเนนิ การตามขนั้ ตอนและมีเอกสารประกอบ รวมทงั การดาเนนิ การของพนกั งาน เจ้าหน้าท่ขี องรัฐในการพจิ ารณาต้องแตร่ ับเร่ืองคาขอจนถึงการจดทะเบียนและออกสทิ ธิบตั ร 3. สทิ ธิในการใช้สทิ ธิบตั รการประดิษฐ์หรือออกแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ีได้รับมาได้ ....................................................................................................................................................................................... 6.2.1 สทิ ธิการประดษิ ฐ์ และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ การประดษิ ฐ์ทไี่ มไ่ ด้รับการค้มุ ครองตาม พ.ร.บ.สทิ ธิบตั รไทย ได้แก่ 1. จลุ ชีพและสว่ นประกอบของจลุ ชีพที่มีอยตู่ มธรรมชาติ สตั ว์ พชื หรือสารสกดั จากสตั ว์หรือพืช 2.กฎเกณฑ์และทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. วิธีการวนิ ิจฉยั บาบดั หรือรักษาโรคมนษุ ย์หรือสตั ว์ 5. การประดษิ ฐ์ที่ขดั ตอ่ ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดี อนามยั หรือสวสั ดิภาพของประชาชน 6.2.2 ผู้มีสิทธขิ อรับสทิ ธิบตั ร คาขอรับสทิ ธิบตั ร และการออกสทิ ธิบัตร การตรวจสอบการประดษิ ฐ์ และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ เพือ่ ออกสทิ ธิบตั รตา่ งกนั คือ การตรวจสอบการประดิษฐ์เพื่อออกสทิ ธิบตั รนนั้ ผ้ยู นื่ คาขอรับสทิ ธิบตั รจะต้องยืน่ คาขอให้พนกั งานเจ้าหน้าทตี่ รวจอบการประดิษฐ์วา่ เป็ นการประดษิ ฐ์ตามมาตรา 5 คอื เป็ นการประดษิ ฐ์ขนึ ้ ใหม่ มขี นั้ การประดษิ ฐ์สงู ขนึ ้ และสามารถประยกุ ตใ์ ช้ในทางอตุ สาหกรรม หตั ถกรรม เกษตรกรรม และพาณชิ ยกรรม ภายใน 5 ปี นบั แตว่ นั ประกาศโฆษณา แตก่ ารออกแบบผลติ ภณั ฑ์ไมจ่ าเป็ นต้องย่ืนคาขอให้พนกั งานเจ้าหน้าทต่ี รวจสอบเชน่ เดยี วกนั กบั การประดษิ ฐ์ 6.2.3 สทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิ สทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิบตั ร ได้แก่สทิ ธิดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. แสวงประโยชน์ในสทิ ธิบตั รสงิ่ ประดิษฐ์และออกแบบผลติ ภณั ฑ์ 2. ใช้คาหรือข้อความทแ่ี สดงวา่ ได้รับสทิ ธิบตั ร 3. อนญุ าตให้บคุ คลอื่นใช้สทิ ธิ 4. โอนสทิ ธิให้บคุ คลอ่ืน .............................................................................................................................................................................................6.2 6.3 หลกั เกณฑ์การใช้สทิ ธติ ามสิทธิบัตร แนวคดิ 1. การใช้สทิ ธิบตั รของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รในการทีจ่ ะอนญุ าตให้บคุ คลใดได้ใช้สทิ ธิตามสทิ ธิบตั รของตนได้ โดยมีเง่ือนไข คา่ ตอบแทนตามทไ่ี ด้ ตกลงหรือโดยการวนิ จิ ฉยั ของอธิบดีกรมทรัพย์สนิ ทางปัญญา และหากกรณเี มอ่ื พ้น 3 ปี นบั แตว่ นั ออกสทิ ธิบตั รหรือ 4 ปี นบั แตว่ นั ยื่นขอ สทิ ธิบตั ร ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รไมด่ าเนนิ การใดให้เกิดประโยชน์หรือใช้สทิ ธิโดยมิชอบ บคุ คลอ่นื ก็สามารถเข้าไปใช้สทิ ธินนั้ ได้ตามท่ีกฎหมาย กาหนด
2. คา่ ธรรมเนียมได้แก่เงินทผี่ ้ทู รงสทิ ธิบตั รจะต้องชาระเข้ารัฐในการทรี่ ัฐได้ให้ความปกป้ องดแู ลสทิ ธินนั้ โดยทผี่ ้ทู รงสทิ ธิบตั รมสี ทิ ธิได้รับ คา่ ตอบแทนในการขอใช้สทิ ธินนั้ ๆ และหากไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ให้อธิบดกี รมทรัพย์สนิ ทางปัญญาเป็ นผ้กู าหนดภายใต้หลกั เกณฑ์ตาม กฎหมาย 3. มาตรการบงั คบั ใช้สทิ ธิบตั รเป็นมาตรการทดี่ าเนินการโดยรัฐในการบงั คบั ใช้สทิ ธิบตั ร ทงั้ นดี ้ ้วยเหตผุ ลทางด้านความสงบเรียบร้ อยของ สาธารณะและความมนั่ คงของประเทศ และการยกเลกิ สทิ ธิบตั รอาจกระทาได้หลายประการโดยเป็นความประสงค์ของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรือ โดยผลของกฎหมาย วัตถปุ ระสงค์ เพอื่ ให้เข้าใจ 1. การใช้สทิ ธิบตั รของผ้ทู รงสทิ ธิและโดยบคุ คลอน่ื ได้ 2. หลกั การเก็บคา่ ธรรมเนียม และการพิจารณาคา่ ตอบแทน ในการใช้สทิ ธิบตั รได้ 3. มาตรการบงั คบั ใช้สทิ ธิบตั ร และเง่ือนไขการยกเลกิ สทิ ธิบตั ร ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ ................................................................................................................................................................................................6.3 6.3.1 การใช้สทิ ธิบตั รของผู้ทรงสทิ ธิและบุคคลอ่นื การใช้สทิ ธิบตั รของบคุ คลอืน่ สามารถกระทาได้ภายใต้เงื่อนไขดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) พ้นกาหนด 3 ปี นบั แตว่ นั ออกสทิ ธิบตั ร หรือ 4 ปี นบั แตว่ นั ยน่ื ขอรับสทิ ธิบตั รแล้วแตเ่ วลาใดจะสิน้ สดุ ลงทีหลงั 2) ไมม่ กี ารผลติ ผิ ลติ ภณั ฑ์หรืใช้กรรมวธิ ีตามสทิ ธิบตั ร โดยไมม่ เี หตผุ ลอนั สมควรในราชอาณาจกั ร 3) ไมม่ กี ารขายผลติ ภณั ฑ์ตามสทิ ธิบตั ร หรือมกี ารขายแตม่ ีราคาสงู เกินควร หรือไมพ่ อตอ่ ความต้องการของประชาชน ทงั้ นตี ้ ้องแสดงให้เห็นวา่ ได้พยายามขออนญุ าตใช้สทิ ธิบตั รจากผ้ทู รงสทิ ธิบตั รนนั้ แล้ว และเสนอเงื่อนไขและคา่ ตอบแทนเพยี งพอสมควร ตามพฤตกิ ารณ์นนั้ แล้ว แตไ่ มส่ ามารถตกลงได้ภายในเวลาอนั สมควร 6.3.2 ค่าธรรมเนียมและค่าตอบแทนการใช้สทิ ธิบตั ร ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รจะต้องชาระคา่ ธรรมเนียมแกท่ างราชการโดยเร่ิมชาระในปี ที่ 5 ของอายสุ ิทธิบตั รจนครบปี ท่ี 20 ของอายสุ ทิ ธิบตั รในอตั รา ก้าวหน้าตามระเบยี บของทางราชการกาหนด หรือจะชาระคราวเดยี วทงั้ หมดก็ได้ 6.3.3 มาตรการบังคบั ใช้สทิ ธิบตั รและการยกเลกิ สิทธิบัตร มาตรการบงั คบั ใช้สทิ ธิบตั รของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รโดยรัฐสามารถกระทาได้มากน้อย ในกรณีดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) เพ่ือประโยชน์อนั เป็ นสาธารณปู โภค หรือป้ องกนั ประเทศ การสงวนรักษาหรือได้มาซงึ่ ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสงิ่ แวดล้อม ฯลฯ หรือ ประโยชน์อยา่ งอ่ืนในทางสาธารณะ (2) ในภาวะสงครามหรือภาวะฉกุ เฉิน เพื่อการอนั จาเป็ นในการป้ องกนั ประเทศ และรักษาความมน่ั คงแหง่ ชาติ ..........................................................................................................................................................................................6.3 6.4 หลกั เกณฑ์การคุ้มครองและการใช้สิทธติ ามอนุสทิ ธิบตั ร แนวคดิ 1. อนสุ ทิ ธิบตั รคือสทิ ธิท่กี ฎหมายรับรองโดยการออกหนงั สอื สาคญั ให้เพอ่ื ค้มุ ครองการประดษิ ฐ์ในอนั ทจี่ ะแสงประโยชนจ์ ากอนสุ ทิ ธิบตั รนนั้ ได้แตเ่ พยี งผ้เู ดยี ว ภายในระยะเวลาอนั มีจากดั โดยมหี ลกั การการได้มาซงึ่ อนสุ ทิ ธิบตั รเช่นเดียวกบั หลกั การทก่ี าหนดไว้ในเรื่องของสทิ ธิบตั ร ตา่ งกนั ตรงทอี่ นสุ ทิ ธิบตั รให้ความค้มุ ครองเฉพาะการประดิษฐ์เทา่ นนั้ 2. อนสุ ทิ ธิบตั รท่ีจะได้รับการค้มุ ครองจะต้องเป็ นการประดษิ ฐ์ขนึ ้ ใหม่ และสามารถประยกุ ตใ์ ช้ในทางอตุ สาหกรรม หตั ถกรรม เกษตรกรรม และพาณิชยกรรม และสามารถใช้สทิ ธิดงั เช่นที่กาหนดไว้ในหลกั การของสทิ ธิบตั รได้เชน่ เดยี วกนั วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ให้เข้าใจ 1. ความและการได้มาซง่ึ อนสุ ทิ ธิบตั รได้
2. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองและการใช้อนสุ ทิ ธิบตั รได้ ....................................................................................................................................................................................................6.4 6.4.1 ความหมายและการได้มาซ่งึ อนุสิทธิบัตร ข้อแตกตา่ งระหวา่ งอนสุ ทิ ธิบตั ร และสทิ ธิบตั รในสาระสาคญั มดี งั นี ้ 1. อนสุ ทิ ธิบตั รให้ความค้มุ ครองเฉพาะสง่ิ ประดษิ ฐ์ แตส่ ทิ ธิบตั รเป็นการค้มุ ครองทงั้ สง่ิ ประดษิ ฐ์และแบบผลติ ภณั ฑ์ 2. อนสุ ทิ ธิบตั รไมจ่ าต้องมเี ง่ือนไขของขนั้ ตอนการประดษิ ฐ์ท่ีสงู ขนึ ้ แตส่ ทิ ธิบตั รต้องประกอบด้วยเงือ่ นไขนดี ้ ้วย 3. อนุสทิ ธิบตั รให้ความคุ้มครอง 6 ปี และต่อให้อกี ครัง้ ละ 2 ปี ได้ 2 ครัง้ รวมทงั้ สนิ้ 10 ปี แต่สิทธิบตั รมีอายกุ ารคุ้มครอง 20 ปี 4. อนสุ ทิ ธิบตั รมีเทคนิคการประดิษฐ์ทไ่ี มส่ งู มากนกั 6.4.2 หลกั เกณฑ์การคุ้มครองและการใช้สิทธิตามอนุสทิ ธิบตั ร ผ้ขู อรับสทิ ธิบตั รจะขอรับอนสุ ทิ ธิบตั รสาหรับสงิ่ ประดิษฐ์อยา่ งเดียวกนั ไปพร้อม ๆ กนั ไม่ได้ ผ้ขู ออนญุ าตสามารถยื่นได้อยา่ งใดอยา่ ง หนง่ึ แตก่ ็อาจเปลย่ี นแปลงได้ ตราบเทา่ ทย่ี งั ไมม่ ีการจดทะเบยี น การประดษิ ฐ์ และออกอนสุ ทิ ธิบตั รหรือประกาศโฆษณาคาขอรับสทิ ธิบตั ร หน่วยท่ี 7 การละเมิดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร แนวคดิ 1. ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รการประดษิ ฐ์และอนสุ ทิ ธิบตั ร นอกจากจะพจิ ารณาตามที่ระบไุ ว้ในข้อถือสทิ ธิแล้ว ยงั ครอบคลมุ ถงึ สงิ่ ทีม่ ีคณุ สมบตั ปิ ระโยชน์ใช้สอย และทาให้เกิดผลทานองเดยี วกบั การประดษิ ฐ์ท่รี ะบไุ ว้ในข้อถือสทิ ธิด้วย และขอบเขตแหง่ สทิ ธิของผ้ทู รง สทิ ธิบตั รในการออกแบบผลติ ภณั ฑ์จะพจิ ารณาตามท่รี ะบไุ ว้ในข้อถือสทิ ธิและภาพแสดงแบบผลติ ภณั ฑ์ 2. การละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั รอาจแบง่ พจิ ารณาได้เป็ น 2 ลกั ษณะ คอื การละเมดิ โดยตรง และการละเมดิ โดยอ้อม บคุ คลใดใช้ ประโยชน์จากสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากผ้ทู รงสทิ ธิถือวา่ เป็ นผ้กู ระทาละเมดิ โดยตรง และบคุ คลใดจงู ใจ หรือมสี ว่ น ช่วยเหลอื ในการกระทาความผิด ถือวา่ เป็ นผ้กู ระทาละเมิดโดยอ้อม 3. ข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร ได้แก่ การกระทาใดทกี่ ระทบตอ่ สทิ ธิของผ้ขู อรับสทิ ธิบตั ร หรืออนสุ ทิ ธิบตั รในระหวา่ งรอรับ สทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร และการกระทาใด ๆ อนั เป็ นการใช้ประโยชน์จากสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รท่ไี ด้รับจดทะเบียนแล้ว ตามท่รี ะบไุ ว้ใน มาตรา 36 วรรคสอง มาตรา 63 และมาตรา 65 ทศ ประกอบด้วยมาตรา 36 แหง่ พ.ร.บ.สทิ ธิบตั ร 4. ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั รสามารถบงั คบั ตามสทิ ธิตอ่ ผู้ละเมิดได้ทงั้ ในทางแพง่ และอาญา วัตถปุ ระสงค์ เพอื่ ให้เข้าใจ 1. ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดษิ ฐ์และการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ที่ได้รับความค้มุ ครอง 2. ลกั ษณะการละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั รโดยตรงและโดยอ้อม 3. ข้อยกเว้นการละเมิดสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร 4. วธิ ีการดาเนินคดีแพง่ และคดีอาญาตอ่ ผ้ลู ะเมดิ การเรียกคา่ สนิ ไหมทดแทนและบทกาหนดโทษ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….น.7 7.1 ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร 7.2 ลกั ษณะของการละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร และข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิ 7.3 การดาเนินคดตี อ่ ผ้ลู ะเมิดสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร ……………………………………………………………………………………………………………………………………….น.7 7.1 ขอบเขตแห่งสิทธขิ องผ้ทู รงสิทธิบตั รและอนุสทิ ธบิ ตั ร แนวคดิ
1. การวนิ จิ ฉยั ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดษิ ฐ์ตามข้อถือสทิ ธิ พจิ ารณาลกั ษณะของการประดษิ ฐ์ท่รี ะบไุ ว้ในรายละเดียดการประดษิ ฐ์และ รูปเขยี นประกอบ 2. การวนิ จิ ฉยั ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดิษฐ์ตามหลกั แหง่ การเทยี บเทา่ เป็ นการพิจารณาถงึ สงิ่ ทีค่ ณุ สมบตั ปิ ระโยชนใ์ ช้สอยและทาให้ เกิดผลทานองเดยี วกบั ลกั ษณะของการประดิษฐ์ท่รี ะบไุ ว้ในข้อถือสทิ ธิตามความเห็นของบคุ คลทม่ี คี วามชานาญในระดบั สามญั ในศลิ ปะหรือ วทิ ยาการท่เี กี่ยวข้องกบั การประดษิ ฐ์นนั้ 3. หลกั ในการพจิ ารณาละเมดิ สิทธิบตั รการประดษิ ฐ์และอนสุ ทิ ธิบตั ร จะพจิ ารณาจากข้อถือสทิ ธิและหลกั แหง่ การเทียบเทา่ 4. การวนิ จิ ฉยั ของเขตแหง่ สทิ ธิของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ให้พจิ ารณาจากข้อถือสทิ ธิและภาพแสดงแบบผลติ ภณั ฑ์ 5. หลกั ในการพจิ ารณาละเมดิ สทิ ธิบตั รการออกแบผลติ ภณั ฑ์ จะพิจารณาเปรียบเทยี บความเหมอื นคล้ายระหวา่ งแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ไี ด้รับ สทิ ธิบตั รและผลติ ภณั ฑ์ทถี่ กู กลา่ วหาซงึ่ เป็ นเหตใุ ห้เกิดความสบั สนหลงผิดตอ่ สาธารณชนผ้บู ริโภค วัตถปุ ระสงค์ เพอ่ื ให้เข้าใจ 1. ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดษิ ฐ์ตามข้อถือสทิ ธิ 2. ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดิษฐ์ตามหลกั แหง่ การเทยี บเท่า 3. ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ไี ด้รับความค้มุ ครอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………...7.1 7.1.1 ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดษิ ฐ์ที่ได้รับความค้มุ ครอง 7.1.2 ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ไี ด้รับความค้มุ ครอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………….7.1.1 7.1.1 ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดิษฐ์ทไ่ี ด้รับความค้มุ ครอง หลกั เกณฑใ์ นการวินจิ ฉยั ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการประดษิ ฐ์ตามมาตรา 36 ทวิ จะพจิ ารณาจากข้อความทร่ี ะบใุ นข้อถือสทิ ธิ ทงั้ นี ้จะพจิ ารณาลกั ษณะของการประดษิ ฐ์ท่รี ะบใุ นรายละเอยี ดการประดษิ ฐ์ และรูปเขยี น ประกอบด้วย นอกจากนี ้ขอบเขตของการประดษิ ฐ์ยงั ครอบคลมุ ถงึ ลกั ษณะของการประดษิ ฐ์ทเี่ ป็นสง่ิ ทีม่ ีคณุ สมบตั ปิ ระโยชน์ใช้สอย และทา ให้เกิดผลทานองเดียวกบั ลกั ษณะของการประดิษฐ์ทรี่ ะบไุ ว้ในข้อถือสทิ ธิตามความเห็นของบคุ คลทีม่ ีความชานาญในระดับสามญั ในศลิ ปะ หรือวทิ ยาการทเี่ กี่ยวข้องกบั การประดิษฐ์นนั้ 7.1.2 ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ทไี่ ด้รับความค้มุ ครอง ขอบเขตแหง่ สทิ ธิของการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ีได้รับความค้มุ ครอง จะพิจารณาจากข้อความทรี่ ะบใุ นข้อถือสทิ ธิ และภาพแสดงแบบผลติ ภณั ฑ์ท่ีได้ยนื่ ขอรับสทิ ธิบตั ร ......................................................................................................................................................................................7.2 7.2 ลักษณะของการละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนุสทิ ธิบตั ร และข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิ แนวคดิ 1. บคุ คลใดใช้ประโยชน์จากสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั รโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากผ้ทู รงสทิ ธิ ถือวา่ เป็ นผ้กู ระทาละเมดิ หรืออาจเรียกได้วา่ ละเมดิ โดยตรง (direct infringement) มีความผิดตามกฎหมายสทิ ธิบตั ร 2. การกระทาของบคุ คลใดอนั เป็นการจงู ใจ ยยุ งสง่ เสริม ให้ความชว่ ยเหลอื หรือให้ความสะดวกแก่ผ้กู ระทาละเมดิ สทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร ถือวา่ เป็ นผ้รู ่วมกระทาผดิ หรือเรียกได้วา่ เป็ นละเมดิ โดยอ้อม (indirect infringement) 3. การกระทาใดทขี่ ดั ตอ่ มาตรา 36 หรือ 63 กอ่ นได้รับสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร และการกระทาใด ๆ อนั เป็ นการใช้ประโยชน์จากสทิ ธิบตั ร หรืออนสุ ทิ ธิบตั รทีไ่ ด้รับจดทะเบยี นแล้วตามที่ระบไุ ว้ในมาตรา 36 วรรคสอง มาตรา 63 และมาตรา 65 ทศ ประกอบด้วย มาตรา 36 แหง่ พ.ร.บ.สทิ ธิบตั ร กฎหมายไมใ่ ห้ถอื วา่ เป็ นละเมดิ สทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร
วัตถปุ ระสงค์ เพื่อให้เข้าใจ 1. ลกั ษณะของการละเมดิ โดยตรงและโดยอ้อม 2. กรณีท่ีไมถ่ ือวา่ เป็ นละเมิดสทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร ................................................................................................................................................................................................7.2 7.2.1 ลกั ษณะของการละเมิด 7.2.2 ข้อยกเว้นการละเมิดสทิ ธิ ................................................................................................................................................................................................7.2.1 7.2.1 ลกั ษณะของการละเมิด การกระทาทถ่ี ือวา่ เป็ นการกระทาละเมดิ โดยตรงและการกระทาละเมดิ โดยอ้อม มดี งั นคี ้ ือ การกระทาละเมิดโดยตรง หมายถงึ การที่บคุ คลอน่ื ใดซงึ่ ไมใ่ ชผ่ ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร ได้ใช้ประโยชน์จากสทิ ธิบตั รหรืออนุ สทิ ธิบตั รตามท่รี ะบไุ ว้ในมาตรา 36 วรรคหนงึ่ มาตรา 63 หรือมาตรา 65 ทศ ประกอบด้วยมาตรา 36 โดยไมไ่ ด้รับความยนิ ยอมจากผ้ทู รง สทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร ตวั อย่าง นาย ก. ได้ผลติ และจาหนา่ ยตะกร้อพลาสติกตามสทิ ธิบตั รการประดิษฐ์ของบคุ คลอ่ืนโดยไมไ่ ด้รับความยนิ ยอมจากผ้ทู รง สทิ ธิบตั ร การกระทาของนาย ก. ถือวา่ เป็ นการกระทาละเมดิ โดยตรง การกระทาละเมิดโดยอ้อม หมายถงึ การกระทาของบคุ คลใดที่เป็ นการจใู จ สนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื หรือยยุ งสง่ เสริมให้บคุ คลอน่ื กระทา ละเมิดสทิ ธิบตั รโดยตรง หรือการจาหนา่ ยสนิ ค้าทใี่ ช้เพ่ือการละเมดิ สทิ ธิบตั รให้แก่บคุ คลอ่ืน โดยรู้วาสนิ ค้านนั้ ได้ทาขนึ ้ หรือถกู ดดั แปลงพิเศษ เพอื่ ใช้ในการดาเนนิ การตามกรรมวิธีทีไ่ ด้รับสทิ ธิบตั ร ตวั อย่าง นาย ก. เป็ นผ้ผู ลติ และจาหนา่ ยสารเคมี ซงึ่ ใช้เป็ นสว่ นผสมของผลติ ภณั ฑ์ทางเคมีซง่ึ มีสทิ ธิบตั ร โดยบคุ คลอื่นเป็ นผ้ทู รงสทิ ธิ โดยนาย ก. รู้อยแู่ ล้ววา่ สารเคมที ่ีจาหนา่ ยจะใช้เฉพาะกบั ผลติ ภณั ฑ์เคมที ไ่ี ด้รับสทิ ธิบตั รเทา่ นนั้ การท่ีนาย ก. จาหนา่ ยให้บคุ คลอน่ื ทไ่ี มใ่ ช่ผู้ ทรงสทิ ธิ หรือผ้ไู ด้รับอนญุ าตให้ใช้สทิ ธิ จะถือวา่ การกระทาของนาย ก. เป็ นละเมดิ โดยอ้อม 7.2.2 ข้อยกเว้นการละเมดิ สทิ ธิ ในการฟ้ องเรียกคา่ เสยี หายจากผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิ กฎหมายสทิ ธิบตั รกาหนดให้ฟ้ องได้เม่ือใด และสามารถเรียกคา่ เสยี หายได้ตงั้ แตเ่ มื่อไร ในการฟ้ องเรียกคา่ เสยี หายจากผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิ กฎหมายสทิ ธิบตั รกาหนดให้ยนื่ ฟ้ องตอ่ ศาลหลงั จากทไ่ี ด้มีการออกสทิ ธิบตั ร หรืออนุ สทิ ธิบตั รแล้ว ในการเรียกคา่ เสยี หาย ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร สามารถเรียกคา่ เสยี หายจากผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิได้เมื่อคาขอรับสทิ ธิบตั ร ได้รับการ ประกาศโฆษณา และผ้กู ระทาละเมิดรู้วา่ ได้มกี ารยืน่ คาขอรับสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร หรือได้รับคาบอกกลา่ วเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรวา่ ได้มี การยืน่ คาขอรับสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รไว้แล้ว ......................................................................................................................................................................................7.2.2 7.3 การดาเนินคดตี ่อผู้ละเมดิ สทิ ธิบตั รและอนุสทิ ธิบตั ร แนวคดิ 1. ในการดาเนินคดแี พง่ ตอ่ ผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร ผ้ทู รงสทิ ธิจะต้องฟ้ องร้องภายใน 1 ปี นบั แตว่ นั ทผ่ี ้ทู รงสทิ ธิรู้ถงึ การละเมดิ สทิ ธิ และรู้ตวั ผ้จู ะพงึ ต้องใช้คา่ สนิ ไหมทดแทน หรือภายใน 10 ปี นบั แตว่ นั ละเมิดสทิ ธิ 2. ผ้ถู กู กลา่ วหาวา่ ทาละเมดิ สทิ ธิบตั รในกรรมวธิ ีการผลติ ผลติ ภณั ฑ์มีภาระในการพสิ จู น์วา่ กรรมวธิ ีของตนแตกตา่ งจากกรรมวิธีทไ่ี ด้รับ สทิ ธิบตั รอยา่ งไร 3. ศาลมอี านาจสงั่ ให้ผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิชดใช้คา่ เสยี หายตามจานวนที่ศาลเห็นสมควร โดยคานงึ ถงึ ความร้ายแรงของความเสยี หายรวมทงั้ การ สญู เสยี ประโยชน์และคา่ ใช้จ่ายอนั จาเป็ นในการบงั คบั ตามสทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิ 4. ในกรณีทีม่ ีหลกั ฐานโดยชดั แจ้งวา่ มผี ้กู ระทาหรือกาลงั จะกระทาการอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อนั เป็ นการฝ่ าฝื นสทิ ธิของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรือผู้ทรง อนสุ ทิ ธิบตั ร ผ้ทู รงสทิ ธิอาจขอให้ศาลมคี าสง่ั ให้บคุ คลดงั กลา่ วระงบั หรือละเว้นการกระทาดงั กลา่ วได้ (การขอให้ค้มุ ครองชวั่ คราวก่อนฟ้ อง)
5. ในการดาเนินคดอี าญา ผ้ทู รงสทิ ธิจะต้องฟ้ องร้องผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิบตั รภายในอายคุ วาม 10 ปี และผ้ลู ะเมดิ อนสุ ทิ ธิบตั รภายในอายคุ วาม 5 ปี ตามมาตรา 95 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา วตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ ให้เข้าใจ 1. อายคุ วาม ภาระการพสิ จู น์ การขอให้ค้มุ ครองชว่ั คราวกอ่ นฟ้ อง และการกาหนดคา่ เสยี หายในคดแี พง่ 2. อายคุ วาม บทกาหนดโทษและผ้รู ับโทษในทางอาญา .................................................................................................................................................................................................7.3 7.3.1 การดาเนนิ คดแี พง่ 7.3.2 การดาเนนิ คดอี าญา .................................................................................................................................................................................................7.3 7.3.1 การดาเนินคดีแพ่ง 1. อายุความในการดาเนินคดแี พ่ง คอื 1 ปี นบั แตว่ นั ท่ผี ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รรู้ถงึ การละเมดิ และรู้ตวั ผ้จู ะพงึ ต้องใช้คา่ สนิ ไหม ทดแทน หรือภายใน 10 ปี นบั แตว่ นั ทาละเมดิ 2. การนาสบื ข้อเทจ็ จริงของการละเมิดสทิ ธิบตั ร ภาระการพสิ จู น์ โดยหลกั ทว่ั ไป ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รมหี น้าทนี่ าสบื ข้อเท็จจริงวา่ ผ้ถู กู กลา่ วหาได้ละเมิดสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร ในกรณที ี่เป็ น การละเมดิ สทิ ธิบตั รในกรรมวิธี ผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั รจะพิสจู น์เพียงให้เห็นวา่ ผลติ ภณั ฑ์ที่จาเลยผลติ มีลกั ษณะเช่นเดยี วกนั หรือ คล้ายกนั กบั ผลติ ภณั ฑ์ทผี่ ลติ โดยใช้กรรมวธิ ีของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร โดยจาเลยจะต้องพิสจู น์ให้เห็นวา่ ไมม่ ีลกั ษณะเหมอื นกันกบั กรรมวิธีของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร 3. ศาลจะกาหนดคา่ เสยี หายให้แก่ผ้ทู รงสทิ ธิบตั ร และอนสุ ทิ ธิบตั ร ตามจานวนทีเ่ หน็ สมควร โดยคานงึ ถึงความร้ายแรงของความเสยี หายรวมทงั้ การสญู เสยี ประโยชน์และคา่ ใช้จา่ ยในการบงั คบั ตามสทิ ธิ ของผ้ทู รงสทิ ธิบตั รหรืออนสุ ทิ ธิบตั ร 7.3.2 การดาเนินคดีอาญา 1. อายคุ วามในการดาเนินคดอี าญา การฟ้ องคดีอาญาตอ่ ผ้ลู ะเมิดสทิ ธิบตั ร จะต้องดาเนินการภายในอายคุ วาม 10 ปี และการฟ้ องคดอี าญาตอ่ ผ้ลู ะเมดิ อนุสทิ ธิบตั ร จะต้องดาเนนิ การภายในอายคุ วาม 5 ปี 2. กฎหมายสทิ ธิบตั รกาหนดโทษในทางอาญาแกผ่ ้ลู ะเมดิ สทิ ธิบตั รและอนสุ ทิ ธิบตั ร ดงั นี ้ บคุ คลใดละเมดิ สทิ ธิบตั ร ต้องระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กิน 2 ปี หรือปรับไมเ่ กินสแ่ี สนบาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรับ บคุ คลใดละเมดิ อนสุ ทิ ธิบตั ร ต้อง ระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กิน 1 ปี หรือปรับไมเ่ กินสองแสนบาทหรือทงั้ จาทงั้ ปรับ 3. กรณีท่บี ริษัทเป็ นผ้ลู ะเมดิ สทิ ธิ ผ้ตู ้องรับผิด คือ กรรมการผ้มู ีอานาจกระทาการแทนบริษัทต้องรับผดิ ด้วย เว้นแตจ่ ะพิสจู น์ได้ว่าการกระทาของบริษทั นนั้ ได้กระทาโดยตนมไิ ด้รู้เห็นหรือ ยนิ ยอมด้วย ....................................................................................................................................................................................จบหนว่ ยท่ี 7 หน่วยท่ี 8 หลกั เกณฑ์การคุ้มครองสทิ ธิในเคร่ืองหมายการค้า แนวคดิ 1. ข้อพจิ ารณาทว่ั ไปเกีย่ วกบั เครื่องหมายการค้า เป็ นการศกึ ษาถงึ ข้อความเบอื ้ งต้นอนั เป็ นสาระสาคญั ของเคร่ืองหมายการค้า ความหมาย ของเคร่ืองหมายการค้าและลกั ษณะบง่ เฉพาะ และลกั ษณะต้องห้ามของเคร่ืองหมายการค้า เพอื่ นาไปสกู่ ารศกึ ษาและให้เกิดความเข้าใจ เกี่ยวกบั หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองและการละเมดิ สทิ ธิในเคร่ืองหมายการค้าในสว่ นตอ่ ไป
2. นอกเหนือจากเครื่องหมายทางการค้าทีม่ กี ารใช้และการจดทะเบียนโดยทวั่ ไปแล้ว กฎหมายเครื่องหมายการค้า ยงั ให้การค้มุ ครอง เครื่องหมายการค้าที่มลี กั ษณะพเิ ศษอกี ด้วย เชน่ โดเมนเนม สงิ่ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งเคร่ืองหมายการค้าทม่ี ีช่ือเสยี ง แพร่หลายทว่ั ไป ซง่ึ กฎหมายเครื่องหมายการค้ามบี ทบญั ญตั ิทใ่ี ห้การค้มุ ครองเป็ นพเิ ศษ 3. มีหลกั เกณฑ์และข้อพจิ ารณาหลายประการทเ่ี กี่ยวเน่ืองกบั กฎหมายเคร่ืองหมายการค้า กลา่ วคอื การนาเข้าซ้อน การแขง่ ขนั ทไี่ มเ่ ป็ น ธรรม การค้มุ ครองที่คาบเก่ียวกบั กฎหมายเคร่ืองหมายการค้า วัตถปุ ระสงค์ เพ่ือให้เข้าใจ 1. ข้อพจิ ารณาทว่ั ไปเกี่ยวกบั เครื่องหมายการค้า 2. เคร่ืองหมายการค้าที่มีลกั ษณะพเิ ศษ 3. ข้อพิจารณาพิเศษทีเ่ ก่ียวเนือ่ งกบั กฎหมายเครื่องหมายการค้า ………………………………………………………………………………………………………………………………………น.8 8.1 ข้อพจิ ารณาทว่ั ไปเกี่ยวกบั เคร่ืองหมายการค้า 8.2 ข้อพจิ ารณาเก่ียวกบั เครื่องหมายการค้าทม่ี ลี กั ษณะพเิ ศษ 8.3 ข้อพจิ ารณาพิเศษทเ่ี กี่ยวเนอ่ื งกบั กฎหมายเครื่องหมายการค้า ………………………………………………………………………………………………………………………………………8.1 8.1 ข้อพิจารณาทว่ั ไปเกี่ยวกบั เคร่ืองหมายการค้า แนวคิด 1. เครื่องหมายการค้า เป็ นทรัพย์สนิ ทางปัญญาประเภทหนง่ึ ท่สี าคญั ย่ิงตอ่ เจ้าของ ผ้ใู ช้เครื่องหมายการค้า ตลอดจนผ้ใู ช้กฎหมายในสว่ นท่ี เกี่ยวข้องกบั เคร่ืองหมายการค้า มีลกั ษณะแหง่ สทิ ธิที่มีการเคลอ่ื นไหว ท้าทายความคดิ และการแก้ปัญหาตอ่ ผ้มู ีสว่ นเกี่ยวข้องกบั การศกึ ษา การใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้าอยตู่ ลอดเวลา 2. เครื่องหมายการค้ามคี วามหมายวา่ เครื่องหมายทใี่ ช้หรือจะใช้เป็ นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกบั สนิ ค้า เพือ่ แสดงวา่ สนิ ค้าทใี่ ช้ เครื่องหมายของ เจ้าของเคร่ืองหมายนนั้ แตกตา่ งกบั สนิ ค้าทใี่ ช้เครื่องหมายการค้าของบคุ คลอ่นื 3. เครื่องหมายการค้าทม่ี ีลกั ษณะบง่ เฉพาะ ได้แก่ เคร่ืองหมายการค้าอนั มีลกั ษณะทีท่ าให้ประชาชนหรือผ้ทู ่ีใช้สนิ ค้านนั้ ทราบและเข้าใจได้ วา่ สนิ ค้าทใ่ี ช้เคร่ืองหมายการค้านนั้ แตกตา่ งไปจากสนิ ค้าอน่ื 4. ลกั ษณะบง่ เฉพาะของเครื่องหมายการค้า เป็ นสาระสาคญั ที่ทาให้เครื่องหมายการค้าได้รับการจดทะเบยี น ลกั ษณะบง่ เฉพาะของ เคร่ืองหมายการค้าแบง่ ออกเป็ น ลกั ษณะบง่ เฉพาะในตวั เอง และลกั ษณะบง่ เฉพาะโดยการใช้ 5. กฎหมายเครื่องหมายการค้า กาหนดลกั ษณะต้องห้ามของเคร่ืองหมายการค้าเพอ่ื มใิ ห้รับจดทะเบยี น เชน่ ตราแผน่ ดนิ ธงชาติ พระ ปรมาภไิ ธย พระบรมฉายาลกั ษณ์ เครื่องหมายราชการ และเครื่องหมายทข่ี ดั ตอ่ ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน เป็ นต้น วตั ถุประสงค์ เพื่อให้เข้าใจ 1. ความสาคญั ของเคร่ืองหมายการค้า 2. ความหมายของเครื่องหมายการค้า 3. ความหมายของลกั ษณะบง่ เฉพาะ 4. ประเภทของเครื่องหมายการค้าท่มี ลี กั ษณะบง่ เฉพาะ 5. ลกั ษณะต้องห้ามของเครื่องหมายการค้า .........................................................................................................................................................................................8.1 8.1.1 ข้อความเบอื ้ งต้น 8.1.2 ความหมายของเครื่องหมายการค้า 8.1.3 ลกั ษณะบง่ เฉพาะของเครื่องหมายการค้า
8.1.4 ลกั ษณะต้องห้ามของเคร่ืองหมายการค้า .........................................................................................................................................................................................8.1.1 8.1.1 ข้อความเบอื้ งต้น ในการศกึ ษาวเิ คราะห์ถงึ กฎหมายเคร่ืองหมายการค้า เบอื ้ งต้นนนั้ ต้องทาความเข้าใจถงึ ต้องพยายามทาความเข้าใจถึง “พลงั ” ของทรัพย์สนิ ทางอตุ สาหกรรมประเภทนวี ้ า่ เหตใุ ดเครื่องหมายการค้าที่ประสบความสาเร็จ กลายเป็ นเครื่องหมายการค้าทม่ี ชี ื่อเสยี งแพร่หลายทวั่ ไปจึงทาให้ราคาและคา่ ของสนิ ค้าตวั หนง่ึ แตกตา่ งจากสนิ ค้าตวั อื่นในประเภทและชนิด เดยี วกนั โดยสนิ ้ เชิง 8.1.2 ความหมายของเคร่ืองหมายการค้า เคร่ืองหมายการค้า หมายความว่า เคร่ืองหมายท่ใี ช้หรือจะใช้เป็ นท่หี มายหรือเก่ียวข้องกบั สนิ ค้า เพื่อแสดงวา่ สนิ ค้าทใ่ี ช้เคร่ืองหมาย การค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านนั้ แตกตา่ งจากสนิ ค้าทใี่ ช้เคร่ืองหมายการค้าของบคุ คลอน่ื หน้าท่ีประการสาคญั ทส่ี ดุ ของเครื่องหมายการค้าคือการแยกแยะความแตกตา่ งให้แก่ผ้บู ริโภคระหวา่ งสนิ ค้าหรือบริการของผุ้ ประกอบการรายหนง่ึ กบั สนิ ค้าหรือบริการของผ้ปู ระกอบการรายอน่ื ๆ 8.1.3 ลกั ษณะบ่งเฉพาะของเคร่ืองหมายการค้า 1. เครื่องหมายการค้าอนั พงึ รับจดทะเบยี นได้นนั้ ต้องประกอบด้วยลกั ษณะ 3 ประการ คอื 1) มีลกั ษณะบง่ เฉพาะ 2) ไมม่ ลี กั ษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า 3) ไมเ่ หมอื นหรือคล้ายกบั เคร่ืองหมายการค้าท่มี ีผ้จู ดทะเบียนไว้แล้ว 2. ลกั ษณะบง่ เฉพาะของเครื่องหมายการค้าหมายถงึ เครื่องหมายทม่ี ลี กั ษณะ ทีท่ าให้ประชาชนหรือผ้ใู ช้สนิ ค้านนั้ ทราบและเข้าใจได้วา่ สนิ ค้าทใ่ี ช้เครื่องหมายการค้านนั้ แตกตา่ งไปจากสนิ ค้าอน่ื และลกั ษณะบง่ เฉพาะดงั กลา่ วเกดิ ได้ 2 กรณี คอื 1) เป็ นลกั ษณะบง่ เฉพาะทีป่ รากฏอยใู่ นตวั เคร่ืองหมายนน่ั เอง 2) เป็ นลกั ษณะบง่ เฉพาะทเ่ี กิดจากการใช้ 8.1.4 ลกั ษณะต้องห้ามของเคร่ืองหมายการค้า ลกั ษณะต้องห้ามของเคร่ืองหมายการค้าทห่ี ้ามมใิ ห้รับจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า 5 ประการ (1) ตราแผน่ ดนิ พระราชลญั จกร (2) ธงชาติของประเทศไทย ธงพระอสิ ริยยศหรือธงราชการ (3) พระปรมาภไิ ธย พระนามาภิไธย (4) พระบรมฉายาลกั ษณ์ หรือพระบรมสาทสิ ลกั ษณ์ของพระมหากษัตริย์ พระราชินีหรือรัชทายาท (5) ธงชาตหิ รือเคร่ืองหมายประจาชาติของรัฐตา่ งประเทศ ..........................................................................................................................................................................................8.1.4 8.2 ข้อพิจารณาเก่ยี วกบั เคร่ืองหมายการค้าท่มี ลี กั ษณะพเิ ศษ แนวคดิ 1. การค้มุ ครองเคร่ืองหมายการค้าท่ีมชี ่ือเสยี งแพร่หลายทว่ั ไป เป็ นความพยายามทีจ่ ะค้มุ ครองเครื่องหมายทมี่ ีชื่อเสยงในระดบั สากล แม้จะ ไมม่ กี ารจดทะเบยี นเคร่ืองหมายนนั้ ในประเทศทีข่ อรับความค้มุ ครอง ละยงั ค้มุ ครองรวมไปถึงสนิ ค้าหรือบริการตา่ งประเภทกบั เครื่องหมายที่ มีช่ือเสยี งดงั กลา่ วหากการใช้เคร่ืองหมายนนั้ ก่อให้เกิดความหลงผิดถึงความเดยี่ วข้องกนั ของสนิ ค้าหรือบริการทงั้ สองประเภท อนั อาจทาให้ เจ้าของเคร่ืองหมายทมี่ ชี ่ือเสยี งแพร่หลายเกิดความเสยี หาย
2. ลกั ษณะท่คี ล้ายคลงึ กนั ของสงิ่ บง่ ชีท้ างภมู ศิ าสตร์และเครื่องหมายการค้าคือ การแสดงถงึ ท่มี าของสนิ ค้า สว่ นความแตกตา่ งทเ่ี ป็น สาระสาคญั คอื สงิ่ บง่ ชีท้ างภมู ศิ าสตร์ไมอ่ าจโอนหรืออนญุ าตให้บคุ คลอนื่ ซง่ึ ไมม่ ีสทิ ธิตามกฎหมายใช้ได้ 3. บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั การลวงขายมีการบญั ญตั ไิ ว้ในพระราชบญั ญตั เิ ครื่องหมายการค้า เพ่ือค้มุ ครองสทิ ธิของเจ้าของเคร่ืองหมายการค้าท่ี ไมไ่ ด้จดทะเบยี นโดยฟ้ องคดีกบั ผ้ทู ีเ่ อาสนิ ค้าของตนไปลวงขายวา่ เป็ นสนิ ค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้า 4. การค้มุ ครองช่ือทางการค้าของประเทศไทยมีพฒั นาการมาจากหลกั การลวงขาย โดยคาพิพากษาของศาล ในสว่ นของศาลไทยใช้ หลกั การใช้สทิ ธิโดยสจุ ริต และหลกั กฎหมายลกั ษณะละเมดิ โดยไมต่ ้องมกี ารยืน่ คาขอ ไมต่ ้องมีการจดทะเบียน และไมต่ ้องคานงึ วา่ ชื่อ ทางการค้าจะเป็ นสว่ นหนง่ึ ของเคร่ืองหมายการค้าหรือไม่ 5. แม้วา่ ประเทศไทยจะไมม่ ีกฎหมายเฉพาะในการค้มุ ครองการแขง่ ขนั ท่ไี มเ่ ป็ นธรรมแตก่ ็มกี ฎหมายหลายฉบบั ท่ใี ช้ในการค้มุ ครองการ แขง่ ขนั ที่ไมเ่ ป็ นธรรมได้ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ความลบั ทางการค้า และการป้ องกนั การลวง ขายตาม พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า 6. โดเมนเนม คอื ทีอ่ ยใู่ นอนิ เตอร์เน็ตที่บง่ ชีถ้ งึ ระบบคอมพวิ เตอร์และในเครือขา่ ยของระบบคอมพวิ เตอร์ทงั้ หมดในอนิ เตอร์เนต็ ทาให้ผ้ใู ช้ สามารถสง่ อีเมลเ์ ข้าไปในเวบ็ ไซต์องบคุ คลหนวนงาน หรือสว่ นประกอบการตา่ ง ๆ โดเมนเนมอาจทาการจดทะเบียนได้ และอาจนา เคร่ืองหมายบริการหรือเคร่ืองหมายการค้าไปจดทะเบยี นได้เช่นกนั วัตถปุ ระสงค์ เพ่อื ให้เข้าใจ 1. ลกั ษณะทวั่ ไปของเครื่องหมายการค้าทมี่ ชี ื่อเสยี งได้ 2. แยกความแตกตา่ งระหวา่ งสง่ิ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์กบั เครื่องหมายการค้าได้ 3. การใช้หลกั เกณฑ์การลวงขาย และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการลวงขายกบั เครื่องหมายการค้าได้ 4. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองช่ือทางการค้า และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งช่ือทางการค้ากบั เคร่ืองหมายการค้า 5. หลกั เกณฑ์การค้มุ ครองการแขง่ ขนั ที่ไมเ่ ป็ นธรรม 6. หลกั เกณฑ์เก่ียวกบั โดเมนเนม ...............................................................................................................................................................................8.2 8.2.1 เครื่องหมายการค้าท่มี ีชื่อเสยี งแพร่หลายทวั่ ไป 8.2.2 สง่ิ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์ 8.2.3 การลวงขาย 8.2.4 ช่ือทางการค้า 8.2.5 การแขง่ ขนั ท่ีไมเ่ ป็ นธรรม 8.2.6 โดเมนเนม ...............................................................................................................................................................................8.2.1 8.2.1 เคร่ืองหมายการค้าท่มี ชี ่อื เสยี งแพร่หลายท่วั ไป 1. เครื่องหมายการค้าทจ่ี ดทะเบยี นแล้วในตา่ งประเทศ ตอ่ มานามาจดทะเบียนภายในประเทศ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไข เพ่ิมเตมิ โดย พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2543 กาหนดหลกั เกณฑ์ให้ถอื วนั ใดเป็ นวนั ท่ไี ด้ย่นื คาขอในประเทศ กาหนดหลกั เกณฑ์ไว้วา่ ให้ถือวา่ วนั ทีไ่ ด้ยนื่ คาขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในตา่ งประเทศเป็ นครัง้ แรก เป็ นวนั ที่ได้ย่ืนคาขอใน ประเทศก็ได้ ถ้าผ้ขู อได้ย่ืนคาขอจดทะเบยี นเคร่ืองหมายการค้านนั้ ในประเทศภายใน 6 เดอื น นบั แตว่ นั ทีไ่ ด้ยนื่ คาขอจดทะเบยี น เคร่ืองหมายการค้าในตา่ งประเทศ 2. กระทรวงพาณิชย์ได้มปี ระกาศฉบบั ที่ 1 (พ.ศ. 2543) เรื่องหลกั เกณฑ์การพจิ ารณาเคร่ืองหมายทมี่ ชี ื่อเสยี งแพร่หลายทวั่ ไป ได้แก่ 1) เคร่ืองหมายนนั้ จะต้องมีปริมาณการจาหนา่ ยจานวนมากหรือมกี ารใช้หรือโฆษณาเป็ นที่แพร่หลายจนทาให้สาธารณชนทวั่ ไปหรือ สาธารณชนในสาขาที่เกยี่ วข้องในประเทศไทยรู้จกั เป็ นอยา่ งดี 2) เคร่ืองหมายนนั้ จะต้องมีช่ือเสยี งเป็ นท่ียอมรับอยา่ งสงู ในหมผู่ ้บู ริโภค
8.2.2 ส่งิ บ่งชที้ างภมู ศิ าสตร์ 1. สง่ิ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์หมายความวา่ สง่ิ บง่ ชีท้ ี่แสดงวา่ สนิ ค้าหนง่ึ สนิ ค้าใดทมี่ าจากดนิ แดน เขต หรือท้องถ่ินใดในดนิ แดนของประเทศซงึ่ คณุ ภาพ ช่ือเสยี ง หรือคณุ ลกั ษณะ ประการอ่ืนของสนิ ค้านนั้ มีความเกี่ยวกนั อยา่ งสาคญั กบั แกลง่ กาเนิดทางภมู ศิ าสตร์นนั้ ๆ 2. สง่ิ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์กบั เคร่ืองหมายการค้ามลี กั ษณะทค่ี ล้ายคลงึ และความแตกตา่ งทเี่ ป็ นสาระสาคญั คือ ลกั ษณะที่คล้ายคลงึ กนั คอื การแสดงที่มาของสนิ ค้า ลกั ษณะที่แตกตา่ งกันคอื สงิ่ บง่ ชีท้ างภมู ิศาสตร์ไมอ่ าจโอนหรืออนญุ าตให้บคุ คลอน่ื ซงึ่ ไมม่ ีสทิ ธิตามกฎหมายได้แตเ่ คร่ืองหมายการค้าโอนหรืออนญุ าตให้บคุ คลอนื่ ใช้ได้ 8.2.3 การลวงขาย 1. การลวงขายหมายความว่า หมายถงึ การท่ผี ้ปู ระกอบกิจการค้า แสดงข้อความอนั เป็ นเทจ็ ตอ่ ลกู ค้าหรือผ้บู ริโภคหรือสาธารณชนเพื่อให้เช่ือวา่ สนิ ค้าที่ผ้ปุ ระกอบ กิจการค้าขายให้นนั้ เป็ นสนิ ค้าทม่ี ชี ื่อเสยี งของผ้อู ื่น 2. ตาม พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. 2534 การฟ้ องคดีละเมิดสทิ ธิในเคร่ืองหมายการค้ากบั การฟ้ องคดบี คุ คลซงึ่ เอาสนิ ค้าของตนไปลวง ขายวา่ เป็ นสนิ ค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้า มีสาระสาคญั ท่แี ตกตา่ งกนั คอื การละเมดิ สทิ ธิในเครื่องหมายการค้านนั้ กฎหมายให้ความค้มุ ครองเฉพาะเครื่องหมายการค้าทจ่ี ดทะเบียนแล้วเทา่ นนั้ แตก่ ารฟ้ องคดี เก่ียวกบั การลวงขายวา่ เป็ นสนิ ค้าของเจ้าของเคร่ืองหมายการค้านนั้ กฎหมายให้ความค้มุ ครองไมว่ า่ เครื่องหมายการค้านนั้ จะจดทะเบยี น หรือไมก่ ็ตาม 8.2.4 ช่อื ทางการค้า ศาลไทยใช้หลกั ใดในการค้มุ ครองช่ือทางการค้า ศาลไทยใช้หลกั การใช้สทิ ธิโดยสจุ ริตและหลกั กฎหมายลกั ษณะละเมดิ ในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์เป็ นฐานเพอื่ ให้ความ ค้มุ ครองแกช่ ่ือทางการค้าโดยไมต่ ้องมกี ารย่นื ตามคาขอ ไมต่ ้องมกี ารจดทะเบียน และโดยไมต่ ้องคานงึ วา่ ชื่อทางการค้าดงั กลา่ วจะเป็ นสว่ น หนง่ึ ของเคร่ืองหมายการค้าหรือไม่ 8.2.5 การแข่งขนั ท่ไี ม่เป็ นธรรม ในประเทศไทย กฎหมายเพือ่ การค้มุ ครองการแขง่ ขนั ที่ไมเ่ ป็ นธรรม มอี ยใู่ นบทบญั ญตั ิ ดงั นี ้ 1) การป้ องกนั ความสบั สนของช่ือทางการค้า ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 5, 18 และ 421 2) การป้ องกนั การลวงขาย ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 46 วรรคสอง 3) การกลา่ วหรือไขขา่ วแพร่หลายซงึ่ ข้อความอนั เป็ นเทจ็ ทางการค้าตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 43 4) การค้มุ ครองความลบั ทางการค้า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 323, 324 และ พ.ร.บ.ความลบั ทางการค้า 8.2.6 โดเมนเนม โดเมนเนม หมายถงึ โดเมนเนม คอื ที่อยใู่ นอินเตอร์เนต็ ทีบ่ ง่ ชีถ้ งึ ระบบคอมพิวเตอร์หนงึ่ ในเครือขา่ ยของระบบคอมพิวเตอร์ทงั้ หมดในอนิ เตอร์เนต็ ทาให้ผ้ใู ช้ สามารถสง่ อเี มลเ์ ข้าไปในเว็บไซด์ของบคุ คล หนว่ ยงาน หรือสถานประกอบการตา่ ง ๆ และรวมถงึ การสง่ แฟ้ มข้อมลู ให้แกก่ นั โดเมนเนมจงึ ถือ เป็ นชื่อหรือสง่ิ บง่ ขใี ้ ห้แก่ผ้บู ริโภคเพื่อแยกแยะความแตกตา่ งระหวา่ งผ้ปู ระกอบการรายหนงึ่ กบั ผ้ปู ระกอบการรายอ่นื ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………8.2.6 8.3 ข้อพจิ ารณาพเิ ศษท่เี ก่ยี วเน่ืองกับกฎหมายเคร่ืองหมายการค้า แนวคดิ 1. เจ้าของเคร่ืองหมายการค้ามีสทิ ธิแตเ่ พยี งผ้เู ดยี วในอนั ที่จะใช้เครื่องหมายการค้าของตน หากมีผ้ใู ดใช้เครื่องหมายการค้าโดยมไิ ด้รับ อนญุ าตถือเป็ นการละเมดิ การปลอมและเลยี นเครื่องหมายการค้ายอ่ มเป็ นความผดิ ทางอาญา อยา่ งไรก็ตามกฎหมายเคร่ืองหมายการค้าก็ ได้บญั ญตั ิหลกั ข้อยกเว้นความรบั ผดิ ไว้เชน่ กนั
2. การโฆษณาเปรียบเทียบสนิ ค้าหรือบริการทม่ี ิได้เป็ นการฉ้อฉลยอ่ มจะเป็ นประโยชน์ตอ่ ผ้บู ริโภค และการแขง่ ขนั ในตลาดการค้า เจ้าของ เครื่องหมายการค้าจงึ ต้องยอมให้บคุ คลอืน่ ใช้เครื่องหมายการค้าของตนในการโฆษณาเปรียบเทียบโดยชอบ ในฐานะการใช้เคร่ืองหมาย การค้าที่เป็ นธรรม 3. การนาเข้าซ้อน คอื การนาเข้าสนิ ค้าทถี่ กู ต้องแท้จริง มใิ ชส่ นิ ค้าปลอมจากตา่ งประเทศเข้ามาในประเทศเพ่อื ทาการขายในราคาทถ่ี กู กวา่ สนิ ค้าเครื่องหมายการค้าเดยี วกนั ในตลาดภายในประเทศโดยปราศจากความยินยอมจากเจ้าของเคร่ืองหมายการค้านนั้ 4. การค้มุ ครองทคี่ าบเก่ียวในทน่ี หี ้ มายถึงการค้มุ ครองที่คาบเกี่ยวระหวา่ งกฎหมายค้มุ ครองเคร่ืองหมายการค้ากบั กฎหมายอืน่ เช่น กฎหมายลขิ สทิ ธิ์ กฎหมายสทิ ธิบตั ร กบั การค้มุ ครองเคร่ืองหมายการค้ากบั กฎหมายอืน่ เช่น กฎหมายลขิ สทิ ธ์ิ กฎหมายสทิ ธิบตั ร กบั การ ค้มุ ครองทค่ี าบเก่ียวกบั กฎหมายค้มุ ครองเครื่องหมายการค้าด้วยกนั เอง วัตถุประสงค์ เพอื่ ให้เข้าใจ 1. ลกั ษณะทวั่ ไปเกี่ยวกบั สทิ ธิในการใช้เคร่ืองหมายการค้า 2. การใช้เครื่องหมายการค้ากบั การโฆษณาเปรียบเทียบได้ 3.หลกั เกณฑก์ ารใช้เคร่ืองหมายการค้ากบั การนาเข้าซ้อน 4. การค้มุ ครองท่คี าบเก่ียวกบั การค้มุ ครองเคร่ืองหมายการค้า ...........................................................................................................................................................................................8.3 8.3.1 ข้อพิจารณาทวั่ ไปเกี่ยวกบั สทิ ธิในการใช้เคร่ืองหมายการค้า 8.3.2 การใช้เคร่ืองหมายการค้ากบั การโฆษณาเปรียบเทยี บ 8.3.3 การใช้เครื่องหมายการค้ากบั การนาเข้าซ้อน 8.3.4 การค้มุ ครองที่คาบเก่ยี ว ...........................................................................................................................................................................................8.3 8.3.1 ข้อพจิ ารณาท่วั ไปเก่ยี วกบั สิทธิในการใช้เคร่ืองหมายการค้า ข้อพจิ ารณาทวั่ ไปเกีย่ วกบั สทิ ธิในการใช้เคร่ืองหมายการค้ามหี ลกั และข้อยกเว้น มีหลกั คอื เจ้าของเครื่องหมายการค้ายอ่ มมสี ทิ ธิแตผ่ ้เู ดียวท่จี ะใช้เคร่ืองหมายการค้าสาหรับสนิ ค้าทไ่ี ด้จดทะเบยี นไว้ ข้อยกเว้นคอื ยกเว้นความรับผดิ ในการใช้เคร่ืองหมายการค้าในลกั ษณะการใช้โดยชอบธรรม คอื แม้จะใช้เครื่องหมายการค้าโดยมไิ ด้รับ อนญุ าตจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าแตก่ ็อาจเข้าหลกั ข้อยกเว้นความรับผดิ ได้ ถ้าเป็ นการใช้ในลกั ษณะการใช้โดยชอบธรรม 8.3.2 การใช้เคร่ืองหมายการค้ากบั การโฆษณาเปรียบเทยี บ การใช้เคร่ืองหมายการค้ากบั การโฆษณาเปรียบเทยี บมหี ลกั วา่ การใช้เคร่ืองหมายการค้าของบคุ คลอน่ื โดยมิได้รับอนญุ าตเพอื่ การโฆษณาเปรียบเทยี บสนิ ค้าหรือบริหารท่มี ิได้เป็ นการฉ้อฉลยอ่ มจะเป็ น ประโยชน์ของผ้บู ริโภคและการแขง่ ขนั ในตลาดการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าจงึ ต้องยอมให้บคุ คลอ่ืนใช้เครื่องหมายการค้าของตนใน การโฆษณาเปรียบเทยี บโดยชอบในฐานะการใช้เครื่องหมายการค้าท่เี ป็ นธรรม 8.3.3 การใช้เคร่ืองหมายการค้ากับการนาเข้าซ้อน 1. การนาเข้าซ้อนหมายความว่า การนาเข้าซ้อนคอื การนาเข้าสนิ คถี่ กู ต้องแท้จริงมิใช่สนิ ค้าปลอมจากตา่ งประเทศเข้ามาในประเทศเพือ่ ทาการขายในราคาทีถ่ กู กวา่ สนิ ค้า เคร่ืองหมายการค้าเดียวกนั ในตลาดภายในประเทศ โดยปราศจากความยนิ ยอมเของเจ้าของเครื่องหมายการค้านนั้ 2. ศาลไทยใช้หลกั ใดมาบังคบั กับการนาเข้าซ้อน ศาลไทยนาหลกั “การระงบั สนิ ้ ไปแหง่ สทิ ธิในเคร่ืองหมายการค้า” มาใช้บงั คบั กบั การนาเข้าซ้อน คอื เมอื่ เจ้าของเคร่ืองหมายการค้าได้ จาหนา่ ยสนิ ค้าของตนในครัง้ แรกและได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านนั้ โดยราคาทจ่ี าหนา่ ยเสร็จสนิ ้ ไปแล้ว จึงไมม่ ีสทิ ธิหวง ห้ามมใิ ห้ผ้ซู ือ้ สนิ ค้าซงึ่ ประกอบการค้าปกตนิ าสนิ ค้านนั้ ออกจาหนา่ ยอกี ตอ่ ไป
3. ในเรื่องการนาเข้าซ้อน ระหวา่ งคา่ ยสหรัฐอเมริกา และคา่ ยประเทศกาลงั พฒั นา มคี วามเห็นเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั คือ ค่ายประเทศกาลังพัฒนา เห็นวา่ เมื่อเจ้าของเครื่องหมายการค้านาสนิ ค้าของตนออกไปขายไมว่ า่ ที่ใด ๆ ในโลก สทิ ธิในเคร่ืองหมาย การค้าสาหรับตวั สนิ ค้าที่ขายยอ่ มระงบั สนิ ้ ไป ผ้ซู ือ้ จะนาสนิ ค้าดงั กลา่ วไปขายตอ่ ณ ทีใ่ ดในโลกก็ยอ่ มทาได้เรียกวา่ “หลกั การระงบั สนิ ้ ไปแหง่ สทิ ธินานาชาติหรือระงบั สนิ ้ ไปทว่ั โลก” ค่ายสหรัฐอเมริกา เห็นวา่ การระงบั นนั้ ใช้ได้เฉพาะภายในประเทศใดประเทศหนง่ึ เทา่ นนั้ เชน่ ขายสนิ ค้าครงั้ แรกในสหรัฐอเมริกา เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะห้ามการใช้เคร่ืองหมายการค้าในตวั สนิ ค้านัน้ ตอ่ ไปไมไ่ ด้ แตห่ ามการนาเข้าสนิ ค้าทใ่ี ช้เคร่ืองหมายการค้า เดยี วกนั จากนอกประเทศได้ เรียกวา่ “หลกั การระงบั สนิ ้ ไปแหง่ สทิ ธิภายในประเทศ” 8.3.4 การคุ้มครองท่คี าบเก่ยี ว บทบญั ญตั ิในมาตรา 273, 274 และ 275 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา จงึ นา่ จะถือวา่ ขดั กบั เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.เคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. 2534 อนั เป็ นกฎหมายเฉพาะ เพราะ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มงุ่ ค้มุ ครองเคร่ืองหมายการค้าทจี่ ดทะเบียนในประเทศไทยเทา่ นนั้ เคร่ืองหมายการค้า ตา่ งประเทศท่จี ะได้รับความค้มุ ครองในประเทศไทยก็ต้องมาจดทะเบียนในประเทศไทยเสยี ก่อน ยกเว้นเครื่องหมายการค้าทมี่ ชี ื่อเสยี ง แพร่หลายทว่ั ไปทไี่ ด้รับความค้มุ ครองพิเศษในทางแพง่ แตป่ ระมวลกฎหมายอาญามาตรา 27., 274 และ 275 ให้ความค้มุ ครองแก่ เครื่องหมายการค้าทงั้ ทจ่ี ดทะเบยี นในประเทศไทย และที่จดทะเบยี นในตา่ งประเทศ คือแม้เครื่องหมายการค้านนั้ จะมไิ ด้จดทะเบียนใน ประเทศไทยแตย่ งั ได้รับความค้มุ ครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตราดงั กลา่ วได้ ฉะนนั้ เมอื่ เห็นวา่ กฎหมายทว่ั ไปขดั แย้งกบั กฎหมายเฉพาะ ประมวลกฎหมายอาญามาตราดงั กลา่ วในสว่ นทใี่ ห้ความค้มุ คอรง เครื่องหมายการค้าทจ่ี ดทะเบยี นในตา่ งประเทศจึงนา่ จะไมม่ ีผลบงั คบั ใช้ …………………………………………………………………………………………..………………………………จบหนว่ ยท่ี 8 หนว่ ยที่ 9 การละเมิดสทิ ธิในเครื่องหมายการค้า หนว่ ยที่ 10 การแขง่ ขนั ทางการค้าท่ไี มเ่ ป็ นธรรม หนว่ ยท่ี 11 การค้มุ ครองความลบั ทางการค้า หนว่ ยที่ 12 การค้มุ ครองสงิ่ บง่ ชที ้ างภมู ิศาสตร์ หนว่ ยท่ี 13 เทคโนโลยีชีวภาพและการค้มุ ครองพนั ธ์พุ ชื หนว่ ยท่ี 14 การค้มุ ครองแบบผงั ภมู ขิ องวงจรรวมและมลั ตมิ ีเดยี หนว่ ยท่ี 15 ศาลทรัพย์สนิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศและวิธีพจิ ารณาคดใี นศาลทรัพยส์ นิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศ
Search