1 40101 ความรเู้ บอื งตน้ เกยี วกบั กฎหมายทวั ไป หนว่ ยที 1 พฒั นาการกาํ เนดิ ความคดิ ทางกฎหมาย 1. การทําความเขา้ ใจความหมายของ “กฎหมาย” ตอ้ งทําความเขา้ ใจในปรัชญากฎหมายในสํานัก ความคดิ ตา่ งๆ และจะทาํ ใหผ้ ศู ้ กึ ษามที ศั นะคตทิ กี วา้ งขนึ 2. สํานักความคดิ ตา่ งๆ หมายถงึ แนวคดิ หรอื ทฤษฎที างกฎหมายทนี ักปราชญก์ ฎหมายกลมุ่ หนงึ มี ความคดิ เหน็ หรอื ความเชอื ตรงกนั แมว้ า่ จะเกดิ ขนึ ตา่ งยคุ ตา่ งสมยั กต็ าม 3. ปัจจัยทมี ผี ลกระทบตอ่ กฎหมายมสี ว่ นสําคัญหลายประการ ทังแนวความคดิ ทางศาสนา จารตี ประเพณี ความคดิ เหน็ ของนกั ปรัชญากฎหมาย เหตกุ ารณ์ต่างๆ ทเี กดิ ขนึ ลว้ นเป็ นปัจจัยทสี ําคญั ในการเกดิ การเปลยี นแปลง การใชแ้ ละการพัฒนากฎหมาย 1.1 ประวตั สิ าํ นกั ความคดิ ตา่ งๆ ในทางกฎหมาย 1. แนวความคดิ ของสํานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ ใหค้ วามสําคญั อยทู่ กี ารใชเ้ หตผุ ลของมนุษย์ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ กฎหมายทแี ทจ้ รงิ คอื เหตุผลทถี กู ตอ้ ง สอดคลอ้ งกบั หลกั ธรรมชาติ ใชป้ ระโยชน์ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชอ้ ํานาจโดยชอบธรรม เป็ นกระแสความคดิ หลักในระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยทมี งุ่ เนน้ ในการคมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน และถกู ใชเ้ ป็ นเครอื งมอื ในการใชเ้ หตผุ ลในการโตแ้ ยง้ การ ใชอ้ ํานาจรฐั 2. แนวความคดิ ของสํานักกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง เนน้ การมรี ะบบกฎหมายทแี น่นอน มรี ะเบยี บและมี ประสทิ ธภิ าพ ทําใหเ้ กดิ การพัฒนาแนวความคดิ ทางการเมอื งและทฤษฎกี ฎหมายทจี ะสนับสนุนความชอบ ธรรมของการใชอ้ าํ นาจโดยเด็ดขาดของรฐั ในการตรากฎหมายตา่ งๆ ขนึ ใชบ้ งั คับในการปกครองประเทศ อยา่ งไมม่ ขี อ้ แมใ้ ดๆ 3. แนวความคดิ ของสํานักความคดิ ทางกฎหมาย ฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตใ์ หค้ วามหมายของกฎหมาย คอื ปรากฏการณ์ อนั หนงึ ซงึ เป็ นผลสะทอ้ นมาจากการเมอื ง กลา่ วคอื เศรษฐกจิ และการเมอื งตอ้ งการจะแสดง คําสงั คําบัญชาอยา่ งไร สงิ ทแี สดงออกมาคอื กฎหมาย 4. แนวความคดิ ของสํานักความคดิ ฝ่ ายสงั คมวทิ ยากฎหมายเห็นวา่ หากกฎหมายมสี ภาพทตี รงตอ่ ความจรงิ ในสงั คม ก็ควรมกี ารเปลยี นหลักแหง่ กฎหมายทุกครงั ทสี งั คมเปลยี นแปลง และหากผใู ้ ชก้ ฎหมาย เขา้ ใจในบรบิ ทของสงั คม การใชก้ ฎหมายจะลดความขดั แยง้ รวมทงั ทาํ ใหม้ กี ารพัฒนากฎหมายใหด้ ขี นึ 1.1.1 ความหมายและความสําคัญของสํานักความคดิ ในทางกฎหมาย การศกึ ษาและจาํ แนกความคดิ ในสํานักความคดิ ทางกฎหมายเป็ นไปเพอื ประโยชน์ใด สํานักความคดิ ทางกฎหมายสํานักต่างๆ เป็ นพยายามสกดั เอาอดุ มคตหิ รอื คณุ คา่ ทแี ทจ้ รงิ หรอื แกน่ สารของกฎหมาย เพอื พยายามหาคาํ ตอบว่าดว้ ยความมงุ่ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องกฎหมาย หรอื บทบาท และหนา้ ทขี องกฎหมาย เพอื หาหลักการพนื ฐานของกฎหมาย โดยวธิ กี ารแสวงหาคําตอบทแี ตกตา่ งกัน กลมุ่ ทมี คี วามคดิ อยา่ งเดยี วกนั ถงึ แมจ้ ะเกดิ ขนึ กอ่ นหรอื ภายหลงั แตห่ ากมคี วามคดิ เหน็ ทสี อดคลอ้ งไปใน แนวทางเดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกัน หรอื เพอื ใหท้ ราบถงึ แนวความคดิ ทสี ง่ ผล หรอื มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ระบบ กฎหมายหรอื หลกั กฎหมายทใี ชอ้ ยใู่ นแตล่ ะยคุ สมัย 1.1.2 สํานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ (School of Natural Law) แนวความคดิ สํานักกฎหมายธรรมชาตสิ ามารถใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร สํานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ เนน้ การใชเ้ หตุผลตามธรรมชาตเิ ป็ นหลกั การพนื ฐานในการตอ่ สู ้ และปกป้องสทิ ธขิ นั พนื ฐานของมนุษยส์ ามารถใชป้ ระโยชน์ ใหส้ อดคลอ้ งกับการใชอ้ ํานาจโดยชอบธรรมใน ระบบเสรปี ระชาธปิ ไตยทมี งุ่ เนน้ ในการคมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน และถกู ใชเ้ ป็ นเครอื งมอื ใน การใชเ้ หตผุ ลในการโตแ้ ยง้ การใชอ้ ํานาจของรัฐ 1.1.3 สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง (School of Positive Law) ประเทศไทยรบั แนวความคดิ สําหรบั นกั กฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื งไดอ้ ยา่ งไร และสง่ ผลตอ่ แนวความคดิ ของนกั กฎหมายไทยอยา่ งไร การสง่ นักเรยี นไทยไปศกึ ษาตอ่ ในประเทศอังกฤษในขณะทคี ําสอนของออสตนิ ไดเ้ ป็ นทยี อมรบั อยา่ งมากในวงการกฎหมายองั กฤษ ทําใหม้ กี ารนําสอนในประเทศไทย และสง่ ผลใหแ้ นวความคดิ ดงั กลา่ ว เป็ นทยี อมรับในระบบความคดิ ของนักกฎหมายไทยมาเป็ นเวลานาน พจิ ารณาไดจ้ ากการบรรยาย
2 ความหมายของกฎหมายทําใหม้ กี ารวพิ ากษ์วจิ ารณ์วา่ นักกฎหมายไทยหมกมนุ่ กบั การเลน่ ในตวั อักษร มากกวา่ คณุ คา่ ทแี ทจ้ รงิ ของกฎหมาย 1.1.4 สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์ (School of Communist Jurisprudence) สํานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตเ์ หน็ ว่ากฎหมายมลี ักษณะและบทบาทอยา่ งไร กฎหมายเป็ น “ปรากฏการณ”์ (Phenomenon) และไมย่ อมรบั วา่ กฎหมายเป็ นสงิ จําเป็ นสาํ หรบั สงั คมปรชั ญากฎหมายของฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์ คอื ความไมเ่ ชอื ในกฎหมาย ไมเ่ ชอื ในกฎแหง่ ธรรมชาติ หรอื สงิ ทอี ยนู่ อกเหนอื ขอบเขตของกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง และแมภ้ ายในขอบเขตของกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง เอง ฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตก์ ็ไมเ่ ชอื ว่าสงู สดุ หรอื เป็ นสงิ สมบรู ณ์ (The Absoluteness) สําหรบั บทบาทของ กฎหมายมขี อ้ สรปุ หลายประการคอื 1. กฎหมายเป็ นผลผลติ หรอื ผลสะทอ้ นของโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ หรอื เงอื นไขทางเศรษฐกจิ 2. กฎหมายเป็ นเสมอื นหนงึ เครอื งมอื หรอื อาวธุ ทชี นชนั ปกครองสรา้ งขนึ เพอื ปกป้องอาํ นาจของ ตน 3. ในสงั คมคอมมวิ นสิ ตท์ สี มบรู ณ์ กฎหมายในฐานะทเี ป็ นเครอื งมอื ของการควบคุมสงั คมจะเหอื ด หายและสญู สนิ ไป 1.1.5 สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสงั คมวทิ ยา (School of Sociological Jurisprudence) การศกึ ษาของสํานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสงั คมวทิ ยา กฎหมายมปี ระโยชน์อยา่ งไร การศกึ ษาในทางสงั คมวทิ ยาจะชว่ ยอธบิ ายเหตผุ ล ของกฎเกณฑแ์ ละเหตุผลของพฤตกิ รรมของ คนในกลุ่มผลประโยชน์และบรบิ ทของสงั คมเพอื ใชก้ ฎหมายใหส้ อดคลอ้ งกบั จารตี ประเพณี และวถิ ชี วี ติ ของคนสว่ นใหญเ่ ป็ นการลดความขดั แยง้ ระหวา่ งกฎหมายกบั ความประพฤตขิ องบคุ คล เป็ นเครอื งชว่ ยให ้ การใชก้ ฎหมายเป็ นธรรมขนึ รวมทังชว่ ยการพัฒนากฎหมายใหด้ ขี นึ โดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญัติ 1.1.6 สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม (School of Realist Jurisprudence) สํานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม มองกฎหมายอยา่ งไร สํานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม สนใจในความเป็ นจรงิ เพราะประเดน็ ขอ้ วพิ ากษ์วจิ ารณ์ เกยี วกับกฎหมายหรอื เจา้ หนา้ ทขี องรฐั ผใู ้ ชก้ ฎหมายกอ่ ใหเ้ กดิ ประสบการณ์ทสี งั สมกนั ทําใหบ้ คุ คล ผเู ้ กยี วขอ้ งเกดิ ความสงสยั หรอื คับขอ้ งใจกบั การหาเหตผุ ลของกฎหมาย จงึ เกดิ แนวความคดิ ทพี ยายาม อธบิ ายหรอื หาคําตอบทมี งุ่ แยกแยะหาเหตุผลตา่ งๆ วา่ เหตใุ ดกฎหมายจงึ บญั ญตั เิ ชน่ นัน หรอื ทําไมศาลจงึ ตัดสนิ เชน่ นัน โดยมกี ารนําวธิ กี ารในวชิ าอนื ๆ มาใชอ้ ธบิ ายเรอื งตา่ งๆ ในทางกฎหมายดว้ ย 1.1.7 สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายประวตั ศิ าสตร์ (School of Historical Jurisprudence) ซาวนิ ยมี คี วามคดิ เกยี วกับกฎหมายอยา่ งไร ซาวนิ ยเี หน็ วา่ กฎหมายมไิ ดเ้ ป็ นเรอื งของเหตุผล แต่เพยี งอยา่ งเดยี ว แตเ่ จอื ไปดว้ ยวัฒนธรรม และ ความรสู ้ กึ รว่ มกันเป็ นเอกลักษณข์ องชนชาตนิ ันๆ ตามอารมณ์ ความรสู ้ กึ ทางจติ ใจของแต่ละชนชาตมิ คี วาม แตกตา่ งกนั อารมณ์ ความรสู ้ กึ ทวี า่ นคี อื “จติ วญิ ญาณประชาชาต”ิ (Volksgeits หรอื The spirit of the people) และแสดงออกใหเ้ หน็ ไดจ้ ากกฎหมายประเพณี (Gewohnheitsercht) และภาษา 1.1.8 แนวโนม้ ใหมๆ่ ในการพฒั นาความคดิ ทางกฎหมาย แนวโนม้ ของการพฒั นา ความคดิ ทางกฎหมายในปัจจุบนั มแี นวโนม้ เป็ นอยา่ งไร แนวโนม้ ในปัจจุบัน คอื การนําปรัชญากฎหมายธรรมชาตมิ าผสมกบั ปรัชญากฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง เพอื หาสว่ นทลี ะมา้ ยกันและเป็ นประโยชน์ตอ่ สงั คมใหม้ ากทสี ดุ ปรัชญาใหมไ่ มม่ ชี อื เรยี กเป็ นทางการ บางครังเรยี กว่า ปรัชญากฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื งแผนใหม่ (The modern positive law) 1.2 ความคดิ ในเชงิ ปรชั ญากฎหมาย 1. รัฎฐาธปิ ัตย์ คอื ผมู ้ อี าํ นาจสงู สดุ ในรัฐ แตต่ อ้ งเป็ นอํานาจดว้ ยความเป็ นธรรม มฉิ ะนันอาจจะถกู ลม้ ลา้ งได ้ 2. ความยตุ ธิ รรม ตามความหมายโดยทัวไปนันหมายถงึ ความถูกตอ้ ง ชอบดว้ ยเหตผุ ล ความหมาย ของความยตุ ธิ รรมนันยากทจี ะใหค้ ํานยิ าม เพราะขนึ อยกู่ บั คตนิ ยิ ม ปรชั ญาของแตล่ ะคน 3. ดุลพนิ จิ ของผใู ้ ชก้ ฎหมาย ทําใหเ้ กดิ การบังคบั ใชก้ ฎหมาย และการเปลยี นแปลงในกฎหมาย 4. กฎหมายเป็ นเครอื งกําหนดระเบยี บวนิ ัยของสงั คม ประชาชนทงั หลายจงึ ตอ้ งเคารพนับถอื กฎหมาย ผบู ้ รหิ ารประเทศยอ่ มไมม่ อี าํ นาจตามอาํ เภอใจ ตอ้ งเคารพกฎหมายเชน่ กนั
3 1.2.1 รัฎฐาธปิ ัตย์ หลกั นติ ริ ฐั และหลักการแบง่ แยกอํานาจมผี ลต่อการจํากดั การใชอ้ าํ นาจของรฎั ฐาธปิ ัตยอ์ ยา่ งไร หลักนติ ริ ฐั หมายถงึ รัฐทปี กครองตามหลกั แหง่ เหตุผลเพอื ใหก้ ารอาศัยอยรู่ ่วมกันของมนุษยเ์ ป็ นไป ดว้ ยความสงบสขุ หลักการแบง่ แยกอาํ นาจอธปิ ไตยเป็ นหลกั การทกี าํ หนดขนึ เพอื คมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละ เสรภี าพของประชาชนจากการใชอ้ าํ นาจอธปิ ไตยของรัฐ ประเทศทปี กครองดว้ ยหลกั การดงั กลา่ วจะสง่ ผล ใหร้ ฎั ฐาธปิ ัตยไ์ มส่ ามารถใชอ้ าํ นาจไดอ้ ยา่ งเต็มที 1.2.2 ความยตุ ธิ รรม อรสิ โตเตลิ ไดก้ ลา่ วถงึ ความยตุ ธิ รรมอยา่ งไร อยตุ ธิ รรมยอ่ มเกดิ ขนึ เมอื ความเทา่ กนั ถกู ทําใหไ้ มท่ ัดเทยี มกัน และเมอื ความไมเ่ ทา่ กนั ถูกทําให ้ กลายเป็ นความทัดเทยี มกนั (In-just arises when equals are treated unequally, and also when unequals are treated equally) อรสิ โตเตลิ ไมย่ อมรับว่าความยตุ ธิ รรมเป็ นคุณธรรมดังทเี ปลโตเขา้ ใจ แต่ บอกว่าความยตุ ธิ รรมเป็ นเรอื งของการจดั ระเบยี บความสมั พนั ธข์ องมนุษยใ์ นสงั คม โดยถอื หลกั วา่ สงิ ที เหมอื นกนั ควรไดร้ ับการปฏบิ ตั เิ ทา่ เทยี มกัน 1.2.3 ดลุ พนิ จิ ของผใู ้ ชก้ ฎหมาย การใชด้ ลุ พนิ จิ ของนักกฎหมายจะสอดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรมในสงั คมคอื อะไร การใชด้ ลุ พนิ จิ จงึ เป็ นสงิ สําคญั สดุ ยอดขอ้ หนงึ ในการอํานวยความยตุ ธิ รรมเมอื ใดทกี ฎหมายเปิด โอกาสใหใ้ ชด้ ลุ พนิ จิ นักกฎหมายควรใชด้ ลุ พนิ จิ ไปในทางสอดคลอ้ งตอ่ “มโนธรรม ศลี ธรรม และความ ตอ้ งการของสงั คม” 1.2.4 การนับถอื กฎหมาย ประเทศทเี ป็ นนติ ริ ัฐมลี ักษณะอยา่ งไร ประเทศทเี ป็ นนติ ริ ัฐนันจะตอ้ งมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนี 1. ในประเทศนันกฎหมายจะตอ้ งอยเู่ หนือสงิ ใดทงั หมด การกระทําตา่ งๆ ในทางปกครอง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ การกระทําของตํารวจจะตอ้ งเป็ นไปตามกฎหมายและชอบดว้ ยกฎหมาย หลกั ประกนั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของราษฎรอยทู่ กี ฎหมาย ถา้ เจา้ พนักงานของรฐั มากลาํ กลายสทิ ธแิ ละเสรภี าพของราษฎร โดยไมม่ กี ฎหมายใหอ้ ํานาจ เจา้ พนกั งานกย็ อ่ มมคี วามผดิ อาญา 2. ในประเทศทเี ป็ นนติ ริ ฐั ขอบเขตแหง่ อํานาจหนา้ ทขี องรฐั ยอ่ มกาํ หนดไวแ้ น่นอน เรมิ ตังแต่การ แบง่ แยกอาํ นาจและมขี อบเขตในการใชอ้ ํานาจทงั สามนี ถัดจากอํานาจรัฐ อํานาจของเจา้ พนักงานที ลดหลันลงมาเป็ นอํานาจทวี ดั วัดได ้ เป็ นอํานาจทมี ขี อบเขตเชน่ เดยี วกนั และตอ้ งมกี ารควบคมุ การใช ้ อาํ นาจภายในขอบเขตเทา่ นัน 3. ในประเทศทเี ป็ นนติ ริ ฐั ผพู ้ พิ ากษาตอ้ งมอี สิ สระในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดี โดยจะตอ้ งมี หลักประกนั ดงั กลา่ วไวใ้ นรฐั ธรรมนูญและเพยี งแตร่ ฐั ไดจ้ ดั ใหม้ ผี พู ้ พิ ากษาเป็ นอสิ สระสําหรบั พจิ ารณาคดี แพง่ และคดอี าญาเทา่ นัน 1.3 ปจั จยั ทมี ผี ลตอ่ การพฒั นาความคดิ ในทางกฎหมาย 1. ศาสนาเป็ นปัจจยั ทใี หก้ อ่ ใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเกดิ และการเปลยี นแปลงกฎหมาย 2. จารตี ประเพณี เป็ นปัจจัยทกี อ่ ใหเ้ กดิ กกหมาย และมอี ทิ ธพิ ลต่อการใชก้ ฎหมาย 3. ความเห็นของนักกฎหมาย เป็ นปัจจยั ทําใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การใชก้ ฎหมาย 4. เหตุการณใ์ นสงั คม มสี ว่ นทําใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การใชก้ ฎหมาย 1.3.1 ศาสนา กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยมคี ตคิ วามเชอื ในทางศาสนาอยา่ งไร กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยประกอบดว้ ยสว่ นสําคัญ 2 สว่ นคอื พระธรรมศาสตรแ์ ละพระ ราชศาสตร์ เป็ นกฎหมายทไี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศาสนาในการกอ่ กาํ เนดิ ขนึ ผา่ นคตคิ วามเชอื ในศาสนาฮนิ ดู และศาสนาพทุ ธ พระธรรมศาสตรเ์ ป็ นสว่ นทเี นน้ อดุ มคตใิ นเรอื งความยตุ ธิ รรม สว่ นพระราชศาสตรซ์ งึ เป็ น เรอื งของบรรดากฎหมาย อรรถคดี พระราชบญั ญตั ิ พระราชกําหนด และพระราชวนิ จิ ฉัยของ พระมหากษัตรยิ แ์ ละยังไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะของการเป็ นผพู ้ พิ ากษาทดี ตี อ้ งยดึ หลกั อนิ ทภาษ คอื เวลา พจิ ารณาคดจี ะตอ้ งปราศจากอคติ 4 คอื ฉันทาคติ (รกั ) โทษาคติ (หลง) และภะยาคติ (กลวั ) ลว้ นแลว้ มี ความสอดคลอ้ งกบั ความเชอื ในเรอื งสวรรคแ์ ละนรกในความเชอื ทางศาสนาทงั สนิ 1.3.2 จารตี ประเพณี
4 จารตี ประเพณกี อ่ ใหเ้ กดิ กฎหมายไดอ้ ยา่ งไร เมอื จารตี ประเพณไี ดร้ บั การยอมรบั และยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ กจ็ ะมกี ารนํามาบญั ญตั ใิ นกฎหมายลายลักษณ์ อกั ษรขนึ แตจ่ ารตี ประเพณอี กี สว่ นหนงึ ทไี มไ่ ดม้ กี ารบญั ญัตไิ วเ้ ป็ นลายลักษณ์อกั ษร แต่สงั คมก็ยงั ยอมรบั ปฏบิ ตั กิ ันตอ่ มา มผี ลในการยอมรับปฏบิ ตั เิ สมอื นเป็ นกฎเกณฑต์ ามกฎหมาย 1.3.3 ความเห็นของนักปรชั ญาทางกฎหมาย ความเห็นของนักปราชญท์ างกฎหมายมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กฎหมายอยา่ งไร ความเห็นของนักปรชั ญาทางกฎหมายหรอื นักปราชญท์ างกฎหมาย หรอื คาํ พพิ ากษาของศาลหรอื ระบบของกฎหมายอาจเกดิ ขนึ จากขอ้ คดิ เหน็ ขอ้ โตแ้ ยง้ ทมี ตี ่อตัวบทกฎหมายหรอื คําพพิ ากษาของศาล หรอื ระบบของกฎหมายไดส้ รา้ งบทบาทและเปลยี นแปลงขนึ ในวงการกฎหมาย อาจสง่ ผลตอ่ ระบบกฎหมาย ของประเทศ ระบบศาล หรอื มกี ฎหมาย หรอื แกไ้ ขกฎหมาย 1.3.4 เหตกุ ารณ์ เหตุการณ์และสภาพปัจจยั แวดลอ้ มสง่ ผลกระทบตอ่ กฎหมายอยา่ งไร เหตุการณแ์ ละสภาพปัจจยั แวดลอ้ มของสงั คมหรอื ของประเทศ มสี ว่ นสําคัญอยา่ งยงิ ทที ําใหเ้ กดิ การเปลยี นแปลงในตวั บทกฎหมายหรอื มบี ทกฎหมายขนึ หรอื อาจสง่ ผลตอ่ การใช ้ การตคี วามกฎหมาย ดว้ ย ดงั เชน่ การนําเทคโนโลยโี ดยเฉพาะอยา่ งยงิ เครอื งคอมพวิ เตอรม์ าใชใ้ นชวี ติ ประจําวัน การพฒั นาทาง เทคโนโลยที างคอมพวิ เตอรแ์ ละโทรคมนาคมกอ่ ใหเ้ กดิ ระบบอนิ เทอรเ์ นต สง่ ผลใหต้ อ้ งมกี ารตรากฎหมาย ขนึ รองรับ แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 1 1. สาํ นักความคดิ ทางกฎหมายคอื แนวคดิ หรอื ทฤษฎที างกฎหมายของนักคดิ ทงั หลายซงึ มคี วามคดิ เห็นตรงกนั แมว้ า่ แตล่ ะคนหรอื แนวความคดิ แตล่ ะอยา่ งเกดิ ขนึ ตา่ งสมยั กันก็ตาม 2. สาํ นักความคดิ กฎหมายธรรมชาตมิ แี นวคดิ เกยี วกับกฎหมายคอื กฎหมายตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละ ความมเี หตผุ ล 3. การถอื วา่ “กฎหมายทสี มบรู ณ์ใชก้ ารไดจ้ รงิ และเป็ นไปตามเจตจํานงของผมู ้ อี าํ นาจรัฐ” เป็ นแนวคดิ ของ สาํ นักความคดิ กฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง 4. แนวความคดิ วา่ “กฎหมายคอื ปรากฏการณ์อนั หนงึ ซงึ เป็ นผลสะทอ้ นทางการเมอื ง” เป็ นแนวคดิ ของสาํ นัก ความคดิ ทางกฎหมาย สํานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์ 5. การมงุ่ หาความจรงิ วา่ เพราะเหตใุ ดกฎหมายจงึ บัญญตั เิ ชน่ นัน และทาํ ไมศาลจงึ ตดั สนิ คดเี ชน่ นันเป็ นแนว ความคดิ ของ สาํ นักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสจั จะนยิ ม 6. สาํ นักความคดิ ทางกฎหมายใดทเี ป็ นวา่ กฎหมายเป็ นสงิ ทคี น้ พบ ไมไ่ ดถ้ กู สรา้ งขนึ มลี กั ษณะเฉพาะ เชน่ เดยี วกับภาษา เป็ นจติ วญิ ญาณของประชาชาติ สาํ นักความคดิ กฎหมายฝ่ ายนยิ มประวตั ศิ าสตร์ 7. รัฐาธปิ ัตย์ มคี วามหมายถงุ ผมู ้ อี าํ นาจสงู สดุ ในรฐั 8. กฎหมายจะสามารถใชใ้ หเ้ กดิ ความสงบสขุ ไดเ้ มอื ประชาชนและผมู ้ อี ํานาจตา่ งเคารพนับถอื กฎหมาย 9. ศาสนามผี ลตอ่ กฎหมายคอื (1)เป็ นเครอื งกระตนุ ้ ใหค้ นกระทําในสงิ ทเี หมาะสมหรอื มคี วามประพฤตเิ หมาะสม (2) ศาสนาเป็ นเครอื งควบคมุ สงั คมเชน่ เดยี วกบั กฎหมาย (3) กฎหมายบางเรอื งมที มี าจากหลกั คําสอนทางศาสนา (4) การนับถอื ศาสนาสง่ ผลใหค้ นปฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งกบั กฎหมาย 10. จารตี ประเพณีมคี วามสาํ คัญตอ่ กฎหมายคอื จารตี ประเพณีเป็ นบอ่ เกดิ ของกฎหมาย หนว่ ยที 2 ววิ ฒั นาการระบบกฎหมาย 1. กฎหมายนันไดว้ วิ ัฒนาการมาจากระเบยี บ ความประพฤติ ศลี ธรรม จารตี ประเพณี ศาสนา แลว้ กลายเป็ นมสี ภาพบงั คับได ้ 2. ระบบกฎหมายไทยไดว้ วิ ัฒนาการมาเป็ นขนั ตอนตามสภาพความเป็ นเอกราชตลอดมา 3. ในการพฒั นาระบบกฎหมายไทยใหถ้ งึ เป้าหมายนัน ยอ่ มมปี ัญหาและอปุ สรรคหลายประการ 2.1 ววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายทสี าํ คญั ของโลก 1. ในสมัยดังเดมิ นันยังไมม่ ภี าษาเขยี น จงึ ตอ้ งใชค้ ําสงั ของหวั หนา้ ประเพณี ศลี ธรรม ศาสนา และ ความเป็ นธรรมตามความรสู ้ กึ ของมนุษย์ ใหม้ สี ภาพบงั คับตามนามธรรมเป็ นกฎหมายได ้ 2. เมอื มนุษยร์ จู ้ กั ภาษาเขยี น ก็ไดเ้ ขยี นบันทกึ สงิ ทบี งั คับตามนามธรรมขนึ ใช ้ และต่อมาก็ได ้ พัฒนาขนึ ใหเ้ ป็ นกฎหมายลายลักษณ์อกั ษรหรอื ประมวลกฎหมาย
5 3. ในบางประเทศ เชน่ ประเทศองั กฤษ ยังคงยดึ จารตี ประเพณที ปี ฏบิ ตั มิ าเป็ นหลกั กฎหมายและ อาศยั คาํ พพิ ากษาของศาลทพี พิ ากษาวางหลักใชเ้ ป็ นกฎหมายในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ 4. กฎหมายในระบบอนื เชน่ กฎหมายสงั คมนยิ ม กฎหมายอสิ ลาม ยอ่ มจัดอยใู่ นระบบประมวล กฎหมาย 5. เมอื หลกั กฎหมายของประเทศตา่ งๆ คลา้ ยคลงึ กัน ยอ่ มใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั ได ้ นักกฎหมายก็ สามารถใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั ไดท้ วั โลก กลายเป็ นหลกั สากลขนึ 2.1.1 กฎหมายในสงั คมบรรพกาล คําสงั หัวหนา้ เผา่ เป็ นกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร เมอื มกี รณพี พิ าทหรอื โตแ้ ยง้ เกดิ ขนึ ผทู ้ เี ป็ นหัวหนา้ เผา่ จะตอ้ งเป็ นผชู ้ ขี าด ซงึ ตอ้ งอาศยั ความ ถูกตอ้ งตามกฎเกณฑ์ การชขี าดดงั กลา่ วบงั คบั แกค่ กู่ รณีได ้ โดยจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามและเชอื ฟังคําชขี าดและ กฎเกณฑเ์ ชน่ นันจงึ เป็ นกฎหมาย จารตี ประเพณเี ป็ นกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร จารตี ประเพณเี กดิ จากพฤตกิ รรมการเลยี นแบบของมนุษยต์ ามความเคยชนิ ทคี นในสงั คมนันจะ กระทําตามคนสว่ นใหญ่ เมอื พฤตกิ รรมเหลา่ นันไดม้ กี ารปฏบิ ัตติ ่อเนอื งกนั มาเลอื ยๆ เป็ นระยะเวลาอนั ยาวนานหากผใู ้ ดฝ่ าฝืนไมย่ อมประพฤตหิ รอื ปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะไดร้ บั การตําหนอิ ยา่ งรนุ แรงจากสงั คม ใน บางครังกจ็ ะมสี ภาพเป็ นการลงโทษ ในทสี ดุ ก็จะกลายเป็ นหลักบงั คบั ใชก้ บั ประชาชนในถนิ นันๆ และเป็ น กฎหมายจารตี ประเพณโี ดยไมร่ ตู ้ วั 2.1.2 ววิ ัฒนาการของระบบประมวลกฎหมาย ระบบประมวลกฎหมายนันจะมลี ักษณะอยา่ งไร จะมลี กั ษณะเป็ นรปู รา่ งของกฎหมาย 3 ประการคอื 1. เป็ นระบบกฎหมายทมี าจากกฎหมายโรมนั และใชก้ ันอยทู่ วั ไปในยโุ รป ซงึ แตกต่างไปจาก กฎหมายจารตี ประเพณี 2. เป็ นการตังหลกั เกณฑท์ ใี ชบ้ งั คบั ถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งบคุ คล ซงึ แตกตา่ งไปจากกฎหมาย มหาชนโดยเฉพาะอยา่ งยงิ จะแตกตา่ งไปจากกฎหมายอาญา 3. เป็ นกฎหมายทมี สี ภาพบงั คบั ซงึ ตรงขา้ มกบั กฎหมายพระหรอื ศาสนจักร 2.1.3 ววิ ฒั นาการของระบบคอมมอนลอว์ หลกั เอค็ ควตี ี (Equity) หมายความวา่ อยา่ งไร เป็ นการตัดสนิ ทอี าศยั หลกั มโนธรรม (Conscience) ทใี หค้ วามเป็ นธรรมแกค่ กู่ รณี โดยคํานงึ ถงึ ประโยชนส์ ขุ และความยตุ ธิ รรมในสงั คมเป็ นใหญ่ 2.1.4 ววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายอนื ๆ สตาลนิ ไดเ้ ปลยี นหลักการใหมข่ องกฎหมายสงั คมนยิ มวา่ อยา่ งไร สตาลนิ ไดเ้ ปลยี นหลักการใหมข่ องกฎหมายสงั คมนยิ มวา่ ความยตุ ธิ รรมมอี ยเู่ ท่าทกี ฎหมาย กําหนดเทา่ นันและตอ้ งเป็ นกฎหมายทรี ัฐบาลชนั กรรมาชพี ซงึ อยภู่ ายใตก้ ารนําของพรรคคอมมวิ นสิ ต์ กําหนดขนึ เท่านัน 2.1.5 แนวโนม้ ของววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ นั แนวโนม้ ของการววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันนีจะเป็ นอยา่ งไร แนวโนม้ ในการววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ ันนี จะเป็ นการใชร้ ะบบกฎหมายซี วลิ ลอวท์ ังหมด โดยสามารถจะจดั รปู แบบและพฒั นาไดโ้ ดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิ โดยนักนติ ศิ าสตรข์ องประเทศ ตา่ งๆก็จะนําความคดิ เห็นทเี ป็ นธรรมซงึ มอี ยโู่ ดยทัวไป ไปบญั ญัตใิ ชใ้ นกฎหมายในประเทศของตนเพอื ให ้ เกดิ ความสอดคลอ้ งกนั ตอ่ ไปนานเขา้ หลกั เกณฑต์ า่ งๆของกฎหมายกจ็ ะคลา้ ยคลงึ กนั ทกุ ประเทศในโลก เกอื บจะเรยี กว่าใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั กัน ซงึ นักกฎหมายก็จะสามารถใชก้ ฎหมายเรอื งเดยี วกนั ไดท้ ัว โลก ถอื วา่ เป็ นหลกั สากล 2.2 ววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายไทย 1. ระบบกฎหมายไทยกอ่ นทยี งั ไมม่ ภี าษาเขยี นเป็ นหนังสอื ซงึ เรมิ ใชใ้ นสมัยพ่อขนุ รามคําแหง มหาราช ในสมัยสโุ ขทัยตอนปลาย และสมัยกรุงศรอี ยธุ ยาจงึ มกี ฎหมายเป็ นลายลกั ษณ์อักษรขนึ 2. ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทรไ์ ดม้ กี ารจดั ทํากฎหมาย ในรปู ของประมวลกฎหมายไทยสําเรจ็ เรยี กวา่ กฎหมายตราสามดวง
6 3. ในปัจจุบันนีในประเทศไทยไดม้ กี ฎหมายในรูปของประมวลกฎหมายครบถว้ น 2.2.1 ระบบกฎหมายกอ่ นกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชเทยี บไดก้ ับกฎหมายอะไรทสี ําคญั และนักนติ ศิ าสตรเ์ รยี กวา่ กฎหมายอะไร ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชเทยี บไดก้ บั มหากฎบัตร (Magna Carta) ขององั กฤษ ซงึ ของ องั กฤษถอื วา่ เป็ นรัฐธรรมนูญฉบบั แรกขององั กฤษ เพราะในศลิ าจารกึ มขี อ้ ความทเี ป็ นหลักประกนั สทิ ธแิ ละ เสรภี าพของราษฎรในสมัยนัน และนักนติ ศิ าสตรบ์ างทา่ นเรยี กว่า “กฎหมายสบี ท” โดยเกยี วกบั เรอื ง กฎหมายมรดก กฎหมายทดี นิ กฎหมายวธิ พี จิ ารณา และกฎหมายรอ้ งทกุ ข์ 2.2.2 ระบบกฎหมายตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ประเทศไทยในระบบกฎหมายอะไร อยา่ งไร ในสมัยตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ประเทศไทยไดใ้ ชร้ ะบบประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลกั ษณ์ อกั ษรเพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ไดช้ าํ ระกฎหมายขนึ ใหมโ่ ดยจดั ทาํ เป็ น ประมวลกฎหมายขนึ เรยี กวา่ “กฎหมายตราสามดวง” หรอื “ประมวลกฎหมายรัชกาลที 1” 2.2.3 ระบบประมวลกฎหมายในประเทศไทย ประเทศไทยในสมยั กรงุ สโุ ขทยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา และกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ใชก้ ฎหมายระบบใด ในสมัยกรุงสโุ ขทัยนัน สมยั พ่อขนุ รามคําแหงมหาราชเป็ นการใชห้ ลกั กฎหมายทวั ไปทเี หน็ วา่ เป็ น ธรรมและใชร้ ะบบกฎหมายในสงั คมบรรพกาล ตอ่ มาในสมยั พญาเลอไท มหี ลกั ฐานวา่ ไดม้ กี ารจารกึ ใน ลกั ษณะเป็ นกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร โดยปรากฏเป็ นเรอื งๆไป และหลักฐานยงั ปรากฏอกี วา่ ในสมยั กรงุ สโุ ขทัยยงั มกี ารใชก้ ฎหมายพระธรรมศาสตร์ ซงึ เป็ นคมั ภรี ท์ สี บื ทอดมาจากมนูศาสตรข์ องชาวฮนิ ดู นอกจากนี ก็ยังใชพ้ ระราชศาสตร์ คอื คําสงั ของพระมหากษัตรยิ เ์ ป็ นกฎหมายอกี ดว้ ย ในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา มหี ลักฐานปรากฏชดั วา่ ไดใ้ ชก้ ฎหมายลายลักษณอ์ ักษรอยา่ งสมบรู ณ์ กฎหมายทใี ชก้ ็คอื พระธรรมศาสตร์ อันเป็ นหลักกฎหมายทมี ตี น้ กําเนดิ มาจากอนิ เดยี นอกจากนี พระมหากษัตรยิ ไ์ ดท้ รงตรากฎหมายขนึ เพอื ใชบ้ งั คับแกร่ าษฎร เรยี กวา่ พระราชศาสตร์ ซงึ มกี ฎหมายทเี ป็ น ลายลกั ษณอ์ ักษรอยหู่ ลายเรอื งดว้ ยกนั ในสมัยตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทรค์ งใชก้ ฎหมายเดมิ ของกรุงศรอี ยธุ ยา แตต่ อ่ มาไดม้ กี ารตรากฎหมาย จดั ทาํ เป็ นประมวลกฎหมายขนึ เรยี กว่า “กฎหมายตราสามดวง” หรอื “ประมวลกฎหมายรชั กาลที 1” ทังนี เพอื ปรบั ปรุงใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมยงิ ขนึ จงึ เป็ นการใชก้ ฎหมายลายลักษณอ์ กั ษร โดยตรงตอ่ มารัชกาลที 5 ไดเ้ รมิ ดําเนนิ การชําระกฎหมายขนึ เป็ นหมวดหมใู่ นลกั ษณะของระบบประมวลกฎหมาย ในปัจจบุ ันนปี ระเทศไทยไดใ้ ชก้ ฎหมายในระบบประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร ตามระบบทตี า่ งประเทศยอมรบั และพัฒนาแลว้ ซงึ มกี ารออกกฎหมายเป็ นลายลกั ษณอ์ ักษรในระบบรัฐสภา อยา่ งสมบรู ณ์ 2.3 ปญั หาและอุปสรรคในการพฒั นาระบบกฎหมายไทย 1. ปัจจบุ นั การศกึ ษาวชิ านติ ศิ าสตรไ์ ดก้ ระจายอยใู่ นหลายสถาบนั ทําใหเ้ กดิ แนวความคดิ การใช ้ กฎหมายแตกตา่ งกัน เป็ นภยั ตอ่ แนวความคดิ ทางกฎหมายของประเทศเป็ นอยา่ งยงิ 2. การฝึกอาชพี ทางกฎหมายมแี ยกจากกนั แลว้ แตห่ น่วยงานในอาชพี นันไมอ่ าจจะพัฒนาความคดิ ทางกฎหมายไปในแนวทางเดยี วกนั 3. การร่างกฎหมายในปัจจบุ นั ไมเ่ ป็ นไปตามระบบของการรา่ งกฎหมายทถี กู ตอ้ ง จงึ ทําใหข้ ัดต่อ หลักการและกฎหมายอนื 4. ประเทศไทยไมม่ รี ะบบตดิ ตามและประเมนิ ผลการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย จงึ มกี ฎหมายบางฉบบั ไมม่ ี ประชาชนปฏบิ ตั ติ าม 2.3.1 ระบบการศกึ ษานติ ศิ าสตร์ การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตรท์ จี ะทําใหก้ ฎหมายไดม้ กี ารพัฒนาไปโดยถูกทางจะทอ้ งทําอยา่ งไร ยอ่ มขนึ อยกู่ ับการเรยี นการสอนทถี กู ตอ้ งตามระบบของกฎหมายไทย โดยจะตอ้ งมกี ารเรยี น การ สอนไปในทางเดยี วกนั ใหผ้ ทู ้ ําการศกึ ษากฎหมายมแี นวความคดิ เหน็ ของตนเองเป็ นอสิ ระ และตอ้ งปลกู ฝัง นักกฎหมายใหม้ คี ุณธรรมในการรับใชป้ ระชาชน ไมใ่ หม้ กี ารเอารดั เอาเปรยี บสงั คม 2.3.2 สถาบันวชิ าชพี กฎหมาย การแยกฝึกอาชพี นักกฎหมายเป็ นแตล่ ะสาขาอาชพี มผี ลต่อการพัฒนากฎหมายอยา่ งไร
7 การฝึกอาชพี ทางกฎหมายแต่ละสถาบันไมอ่ าจจะพัฒนาแนวความคดิ ทางกฎหมายไปในทาง เดยี วกนั ได ้ เพราะแตล่ ะสถาบนั มคี วามคดิ เห็นของตนเอง จะเกดิ ความแตกตา่ งในการพฒั นากฎหมาย 2.3.3 กระบวนการนติ บิ ญั ญตั ิ การบญั ญัตกิ ฎหมายแต่ละฉบับนันจะตอ้ งอาศยั หลกั อะไร จะตอ้ งร่างกฎหมายดว้ ยอาศยั หลกั คุณธรรมและคํานงึ ถงึ ธรรมะเป็ นสําคญั โดยไมอ่ อกกฎหมาย เพอื รกั ษาผลประโยชนข์ องผหู ้ นงึ ผใู ้ ดหรอื หน่วยงานใดหนว่ ยงานหนงึ โดยเฉพาะ 2.3.4 ระบบการตดิ ตามและการประเมนิ ผลการบงั คับใชก้ ฎหมาย เหตุใดทรี ะบบกฎหมายไทยไมพ่ ฒั นาไปเทา่ ทคี วร เพราะฝ่ ายนติ บิ ญั ญัตไิ มม่ รี ะบบการตดิ ตามและประเมนิ ผลการบังคบั ใชก้ ฎหมายในประเทศไทยทํา ใหม้ กี ารออกกฎหมายและยกเลกิ กฎหมายตา่ งๆอยเู่ สมอ และบางครังกฎหมายออกมามากแตล่ ะฉบบั จะ ขัดแยง้ กนั แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 2 1. ความคดิ เห็นทถี กู ตอ้ งตามทํานองคลองธรรมเป็ น หลักกฎหมายทัวไป 2. แบบอยา่ งทปี ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งตอ้ งกนั มาในทอ้ งถนิ ใดเป็ นเวลาชา้ นาน จนสามารถบงั คบั ใชก้ ับ ประชาชนในทอ้ งถนิ นันเรยี กวา่ กฎหมายจารตี ประเพณี 3. กฎหมายฮนิ ดู ถอื วา่ เป็ นกฎหมายศาสนา 4. ลักษณะของระบบประมวลกฎหมาย มาจากกฎหมายโรมัน ซงึ มสี ภาพบังคับไดถ้ งึ ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งบคุ คล 5. ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบี ถอื วา่ เป็ นววิ ัฒนาการเบอื งตน้ ของระบบประมวลกฎหมาย 6. กฎหมายทอี อกโดยรฐั อยา่ งสมบรู ณ์ฉบับแรกคอื กฎหมายสบิ สองโตะ๊ 7. หลกั คอมมอนลอว์ เป็ นการตดั สนิ คดที ตี อ้ งมเี หตุผล 8. หลักกฎหมายเอ็คครติ ี ใชค้ วบคูก่ ันไปกบั หลกั คอมมอนลอว์ 9. พนื ฐานหลักกฎหมายคอมมอนลอว์ ไดม้ าจาก ผพู ้ พิ ากษา 10. ในทางอาญา ในประเทศไทยใชก้ ฎหมายลักษณะ กฎหมายลายลักษณ์อกั ษร 11. กฎหมายเกดิ จาก แนวความคดิ เพอื สรา้ งหลกั เกณฑใ์ นการควบคมุ มนษุ ยท์ อี ยใู่ นสงั คม 12. กฎหมายในสมยั บรรพกาลจะมลี กั ษณะ นามธรรม 13. จารตี ประเพณีมาจากลกั ษณะของ การทคี นประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามแบบอยา่ งทปี ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ ง ตอ้ งกันมาเป็ นเวลาชา้ นาน หากผใู ้ ดฝ่ าฝืนจะไดร้ ับการตําหนอิ ยา่ งรนุ แรง 14. หลักกฎหมายทวั ไป เป็ นกฎหมายดงั เดมิ ของมนษุ ยใ์ นสงั คม 15. พระเจา้ ฮมั มรู าบี เป็ นคนคดิ วา่ ประชาชนไมส่ ามารถอยอู่ ยา่ งอสิ ระปลอดภยั โดยปราศจากกฎหมาย 16. กฎหมายสบิ สองโตะ๊ ถอื ไดว้ ่าเป็ นการเรมิ ตน้ ของวชิ านติ ศิ าสตรด์ ว้ ยหลกั การทวี า่ กฎหมายควรเป็ น สงิ เปิดเผยใหค้ นทัวไปไดร้ ไู ้ ดเ้ ห็นและศกึ ษาหาเหตผุ ลได ้ 17. ในสมัยแองโกล-แซกซอน ศาลตดั สนิ โดยใชห้ ลกั กฎหมายจารตี ประเพณี 18. กฎหมายอสิ ลามจดั อยใู่ นสกลุ กฎหมายศาสนา 19. แนวโนม้ ในการววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันนจี ะใชห้ ลกั กฎหมายระบบ ประมวล กฎหมายหรอื ซวี ลิ ลอว์ หนว่ ยที 3 ทมี า ประเภท และศกั ดขิ องกฎหมาย 1. ทมี าของกฎหมาย ในระบบกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร ระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณ์อกั ษร ระบบกฎหมายสงั คมนยิ มนัน ยอ่ มแตกตา่ งกนั ทงั นี ขนึ อยกู่ บั พนื ฐานของระบบกฎหมายแตล่ ะระบบ 2. การแบง่ ประเภทของกฎหมาย อาจแบง่ ออกไดเ้ ป็ นหลายลกั ษณะ ทังนขี นึ อยกู่ บั วา่ จะยดึ อะไรเป็ น เกณฑใ์ นการแบง่ 3. กฎหมายทอี อกมาใชใ้ นสงั คมนัน เกดิ จากองคก์ รทมี อี ํานาจในการออกกฎหมายตา่ งกนั จงึ มลี ําดบั ความสาํ คัญไมเ่ ทา่ เทยี มกัน 4. กฎหมายทมี ศี ักดสิ งู กวา่ หรอื มศี กั ดเิ ท่ากนั กับกฎหมายอกี ฉบบั หนงึ ยอ่ มแกไ้ ขเพมิ เตมิ หรอื ยกเลกิ กฎหมายฉบับหลงั นันได ้
8 ทมี าของกฎหมาย 1. ทมี าของกฎหมายยอ่ มมคี วามหมายแตกต่างกนั ไปตามระบบกฎหมาย 2. ทมี าของกฎหมายในระบบลายลกั ษณอ์ กั ษรนัน ไดแ้ ก่ กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร จารตี ประเพณี และหลกั กฎหมายทัวไป 3. ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร ไดแ้ ก่ จารตี ประเพณี คําพพิ ากษา ของศาล กฎหมายลายลักษณอ์ กั ษร ความเหน็ ของนักนติ ศิ าสตร์ และหลกั ความยตุ ธิ รรม 4. ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม คอื กฎหมายลายลักษณ์อกั ษร ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร ลองบอกชอื กฎหมายลายลกั ษณอ์ ักษร รจู ้ ักรูปแบบของกฎหมายดงั ตอ่ ไปนี 1) รฐั ธรรมนูญ เชน่ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2517 2) ประมวลกฎหมาย เชน่ ประมวลกฎหมายทดี นิ ประมวลรษั ฎากร 3) พระราชบญั ญตั ิ เชน่ พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองสตั วป์ ่ าสงวนแห่งชาติ พระราชบญั ญัตบิ รษิ ัท มหาชน พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ พาณชิ ยน์ าวี 4) พระราชกฤษฎกี า เชน่ พระราชกฤษฎกี ากําหนดเขตควบคุมศลุ กากร เป็ นตน้ จารตี ประเพณีทกี ลายมาเป็ นกฎหมาย ตวั อยา่ งของจารตี ประเพณที กี ลายมาเป็ นกฎหมาย คอื การทบี ตุ รตอ้ งอปุ การะเลยี งดบู ดิ ามารดา ซงึ ไดน้ ําไปบัญญตั ใิ น ป.พ.พ. มาตรา 1563 การใหส้ นิ สอดทฝี ่ ายชายใหแ้ กฝ่ ่ ายหญงิ นันเป็ นจารตี ประเพณหี รอื ไม่ และฝ่ ายหญงิ จะเรยี กรอ้ ง จากฝ่ ายชายไดเ้ สมอไปหรอื ไม่ การใหส้ นิ สอดเป็ นจารตี ประเพณี เพราะเขา้ ตามหลกั เกณฑท์ ัง 4 ประการ แตก่ ็มใิ ชเ่ ป็ นเรอื งทฝี ่ าย หญงิ จะบงั คบั เอากับฝ่ ายชายได ้ เพราะเป็ นเรอื งทฝี ่ ายชายตอ้ งสมคั รใจใหแ้ กฝ่ ่ ายหญงิ เพอื ตอบแทนการที หญงิ ยอมสมรสดว้ ย (ป.พ.พ. มาตรา 1437) ลองสํารวจดสู ภุ าษติ กฎหมายทเี คยทราบมาแลว้ สภุ าษิตกฎหมายทเี คยทราบมาแลว้ เชน่ 1) เป็ นหนา้ ทขี องศาลทจี ะตอ้ งใหค้ วามยตุ ธิ รรมแกค่ นทเี ขา้ มาหาศาล (ขอ้ 13) 2) ผพู ้ พิ ากษาทดี ยี อ่ มวนิ จิ ฉัยคดตี ามหลักความยตุ ธิ รรมและความถกู ตอ้ ง และถอื ความยตุ ธิ รรม สําคญั กวา่ กฎหมาย (ขอ้ 24) 3) ความทจุ รติ กบั ความยตุ ธิ รรมอยดู่ ว้ ยกนั ไมไ่ ด ้ (ขอ้ 59) ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร จารตี ประเพณมี คี วามสมั พนั ธต์ อ่ ระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณอ์ กั ษรอยา่ งไร จารตี ประเพณเี ป็ นตน้ ตอของกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร เมอื สมยั เรมิ แรกของระบบกฎหมาย นี ศาลใชจ้ ารตี ประเพณเี ป็ นกฎหมายในการตดั สนิ คดจี ารตี ประเพณีจงึ เป็ นทมี าพนื ฐาน ของระบบกฎหมาย ไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร เหตผุ ลสนับสนุนคํากลา่ วทวี า่ “กฎหมายทมี าจากคําพพิ ากษาของศาลเป็ นหลกั เกณฑท์ มี นั คง เชน่ เดยี ว กบั หลกั ทเี กดิ จากจารตี ประเพณ”ี คําพพิ ากษาของศาลในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษรเป็ นหลักเกณฑท์ มี นั คง เนอื งจาก ศาลในระบบกฎหมายนียดึ ถอื หลกั แนวบรรทดั ฐานคําพพิ ากษาของศาล จงึ ทําใหค้ ดที มี ขี อ้ เท็จจรงิ อันเป็ น สาระสําคญั อยา่ งเดยี วกนั ไดร้ บั การตดั สนิ ใหม้ ผี ลอยา่ งเดยี วกนั เมอื เวลาผา่ นไปหลักเกณฑท์ ศี าลวางไว ้ ในการตดั สนิ คดยี อ่ มไดร้ บั การยอมรับมากยงิ ขนึ และกลายเป็ นหลกั กฎหมายทมี ันคงในเวลาตอ่ มา ในปัจจุบันกฎหมายลายลกั ษณ์อักษรกลบั มบี ทบาทสําคัญต่อระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณ์ อกั ษรไมน่ อ้ ยกวา่ กฎหมายทเี กดิ จากจารตี ประเพณีและคาํ พพิ ากษาของศาลนันเป็ นความจรงิ เพยี งใด ในสมัยทโี ลกมคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ การทจี ะรอใหก้ ฎหมายเกดิ ขนึ จากจารตี ประเพณหี รอื คํา พพิ ากษาของศาลในคดที ขี นึ สศู่ าลนันยอ่ มจะไมท่ นั ตอ่ ความตอ้ งการ จงึ ตอ้ งออกกฎหมายล่วงหนา้ เพอื วาง
9 ระเบยี บและกฎเกณฑใ์ นสงั คม หากจะรอใหก้ ฎหมายเกดิ ขนึ เองจะไมท่ นั ตอ่ เหตกุ ารณ์ทเี กดิ ขนึ หรอื เปลยี นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ เอคควติ คี อื อะไร เอคควติ ี คอื ระบบกฎหมายทเี ป็ นสว่ นหนงึ ในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณ์อกั ษร เอคควติ เี ป็ น ระบบทยี ดึ ถอื หลักความยตุ ธิ รรม โดยมโนธรรมของผพู ้ พิ ากษาเป็ นหลกั จงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความยดื หยนุ่ ในการ ตดั สนิ คดดี ว้ ยความเป็ นธรรม โดยไมต่ อ้ งอยใู่ นกรอบของจารตี ประเพณหี รอื แนวบรรทดั ฐานคําพพิ ากษา ของศาล ศาลไทยยอมรับนับถอื คาํ พพิ ากษาของศาลในคดกี อ่ นเพยี งใดหรอื ไม่ ศาลไทยอยใู่ นระบบกฎหมายลายลักษณ์อกั ษร จงึ ไมถ่ อื วา่ คําพพิ ากษาเป็ นกฎหมายทศี าลทําขนึ ศาลคงยดึ ตัวบทกฎหมายเป็ นสําคญั ในการตัดสนิ คดี แต่กค็ าํ นงึ ถงึ ผลและเหตผุ ลของคําพพิ ากษาในคดี กอ่ นอยบู่ า้ ง โดยเฉพาะคดที มี ขี อ้ เทจ็ จรงิ เชน่ เดยี วกบั ทศี าลสงู เคยตดั สนิ ไวแ้ ลว้ แตห่ ากศาลลา่ ง (ทอี ยใู่ น ชนั ตํากว่า) มเี หตผุุ ลเป็ นอยา่ งอนื กอ็ าจตดั สนิ ใหเ้ ป็ นอกี อยา่ งหนงึ ก็ได ้ โดยไมต่ อ้ คํานงึ ถงึ คําพพิ ากษาใน คดกี อ่ นๆนัน ความเห็นของนักนติ ศิ าสตรน์ ันจะไดร้ ับการยอมรบั จากศาลในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดเี พยี งใด แมว้ า่ ความเห็นของนักนติ ศิ าสตรจ์ ะไมเ่ ป็ นทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายลายลกั ษณ์อักษรแต่ ความเห็น ของนักนติ ศิ าสตรผ์ ทู ้ รงคุณวฒุ ิ ซงึ เป็ นทยี อมรับในวงการกฎหมายโดยทัวไป กอ็ าจจะมอี ทิ ธพิ ล ตอ่ การตดั สนิ ใจคดตี อ่ มา ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม พจิ ารณาวา่ การทรี ะบบกฎหมายสงั คมนยิ มมที มี าของกฎหมาย คอื กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรแต่ เพยี งอยา่ งเดยี วนัน จะสามารถใหค้ วามยตุ ธิ รรมแกอ่ รรถคดตี า่ งๆไดเ้ พยี งพอหรอื ไม่ ในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม ใชก้ ฎหมายลายลักษณ์อกั ษรเป็ นกลไกในการควบคุมสงั คมใหเ้ ป็ นไป ตามทวี างเป้าหมายไว ้ ความยตุ ธิ รรมจะมเี พยี งใดยอ่ มขนึ อยคู่ วามเป็ นอสิ ระของศาลในการตัดสนิ คดี หาก ศาลตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามนโยบายของพรรคคอมมวิ นสิ ตอ์ ยา่ งหลกี เลยี งไมไ่ ด ้ โอกาสทปี ระชาชนจะไดร้ บั ความ ยตุ ธิ รรมก็ยอ่ มนอ้ ยลงไดต้ ามลําดบั ประเภทของกฎหมาย 1. การแบง่ ประเภทของกฎหมาย อาจแบง่ ไดห้ ลายลกั ษณะทังนีขนึ อยกู่ บั วา่ จะยดึ อะไรเป็ นเกณฑ์ ในการแบง่ 2. กฎหมายนันอาจแบง่ ไดอ้ ยา่ งคร่าวๆ เป็ น 2 ประเภทคอื กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก 3. กฎหมายภายในอาจแบง่ ไดเ้ ป็ น 1) กฎหมายลายลักษณอ์ ัก และกฎหมายทไี มเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร 2) กฎหมายทมี สี ภาพบงั คบั ทางอาญา และกฎหมายทมี สี ภาพบังคับทางแพ่ง 3) กฎหมายสารบญั ญตั ิ และกฎหมายวธิ สี บญั ญตั ิ 4) กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน 4. กฎหมายภายนอกอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 1) กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง 2) กฎหมายระว่างประเทศแผนกคดบี คุ คล 3) กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดอี าญา บทนํา การแบง่ กฎหมายภายในแบบใดทคี วรไดร้ ับการยอมรับมากทสี ดุ เพราะเหตใุ ดจงึ เป็ นเชน่ นัน การแบง่ กฎหมายภายในเป็ นกฎหมายมหาชนและกฎหมาเอกชน น่าจะไดร้ บั การยอมรบั มากทสี ดุ เพราะมผี ลในการพจิ ารณาใชห้ ลักเกณฑใ์ นการใชแ้ ละการตคี วามกฎหมาย เพอื กอ่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแต่ คดตี ามลกั ษณะกฎหมาย ประเภทของกฎหมายภายใน Unwritten Law คอื อะไร Unwritten Law คอื กฎหมายทยี ังมไิ ดถ้ กู ถา่ ยทอดออกมาเป็ นลายลักษณ์อกั ษร
10 การแบง่ กฎหมายตามสภาพบงั คับนันมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง การแบง่ กฎหมายตามสภาพบังคับมปี ระโยชนใ์ นการพจิ ารณาคดแี ยกคดเี พอื ฟ้องศาลไดถ้ กู ตอ้ ง เชน่ คดแี พ่งจะฟ้องศาลใดทกี ฎหมายกาํ หนดไดบ้ า้ ง หรอื คดอี าญาจะฟ้องศาลใดไดบ้ า้ ง ถา้ ไมม่ กี ฎหมายวธิ สี บญั ญัตจิ ะเกดิ ผลประการใดบา้ งตอ่ ระบบกฎหมายของไทยในปัจจุบนั ถา้ ไมม่ กี ฎหมายวธิ สี บญั ญตั กิ ไ็ มอ่ าจดําเนนิ คดใี นศาลตา่ งๆ ได ้ การแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนันมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง การแบง่ กฎหมายเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนัน ประเทศไทยยงั ไมอ่ าจมองเหน็ ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งชดั เจน เพราะประเทศไทยยังไมไ่ ดแ้ ยกคดที เี กยี วขอ้ งกบั กฎหมายมหาชนใหข้ นึ ศาล ปกครอง ในปัจจบุ ันคดสี ว่ นใหญข่ นึ ศาลยตุ ธิ รรม ยกเวน้ บางคดที จี ดั ตังศาลพเิ ศษไวพ้ จิ ารณาพพิ ากษา คดโี ดยเฉพาะ ประเภทของกฎหมายภายนอก กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื งมคี วามสําคัญและมบี ทบาทตอ่ สงั คมประชาชาตเิ พยี งใด กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื งมคี วามสําคัญมาก เพราะเป็ นกฎหมายทกี ําหนดกฎเกณฑ์ ทใี หร้ ฐั ตา่ งๆ ไดป้ ฏบิ ตั ติ ามเพอื ความสงบสขุ ของสงั คมประชาชาตแิ ตใ่ นปัจจบุ นั กฎหมายนขี าดความ ศกั ดสิ ทิ ธเิ พราะไมม่ อี งคก์ รใดทจี ะกอ่ ใหเ้ กดิ สภาพบงั คบั จงึ กลายเป็ นปัญหาทกี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมส่ งบสขุ ขนึ เสมอมา กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลมบี ทบาทต่อสงั คมปัจจบุ ันเพยี งใด กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลมบี ทบาทสําคญั ตอ่ สงั คมยคุ ปัจจบุ นั ทปี ระชาชนในแตล่ ะ รฐั มโี อกาสตดิ ตอ่ กนั หรอื ความสมั พนั ธก์ นั ในดา้ นตา่ งๆ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนตา่ งรัฐยอ่ มมปี ัญหาทจี ะใช ้ กฎหมายของรฐั ใดบังคบั จงึ ตอ้ งมกี ฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลขนึ เพอื แกป้ ัญหาว่าจะใช ้ กฎหมายใดบงั คับแกค่ วามสมั พนั ธเ์ หลา่ นัน การจเี ครอื งบนิ จากประเทศอนื แลว้ มาร่อนลงในประเทศไทย แลว้ บงั คบั เครอื งบนิ ใหเ้ ดนิ ทางตอ่ ไป ยงั ประเทศทสี าม ประเทศไทยจะมสี ทิ ธเิ รยี กใหส้ ง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดน ตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนก คดอี าญาหรอื ไม่ การจเี ครอื งบนิ เป็ นการกระทําผดิ กฎหมายตามอาญากฎหมายไทย หากผรู ้ า้ ยทกี ระทําผดิ บงั คบั เครอื งบนิ ไปประเทศทสี าม และประเทศทสี ามมขี อ้ ตกลงทจี ะรว่ มมอื กนั สง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดนกบั ประเทศไทย ก็ อาจจะมกี ารสง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดนได ้ แตค่ วามผดิ นโี ดยปกตยิ อ่ มเป็ นความผดิ อาญาสากลซงึ ประเทศทสี ามก็ ยอ่ มจะลงโทษไดอ้ ยแู่ ลว้ เพราะเป็ นความผดิ ทกี ระทาํ อยตู่ อ่ เนอื งในอาณาเขตของประเทศนันดว้ ย ศกั ดขิ องกฎหมาย 1. กฎหมายทอี อกมาใชใ้ นสงั คมยอ่ มเกดิ จากองคก์ รตา่ งกัน จงึ มลี ําดบั ความสําคญั ไมเ่ ท่าเทยี มกนั 2. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายทสี งู ทสี ดุ จะมกี ฎหมายอนื มาขดั กับรฐั ธรรมนูญไมไ่ ด ้ 3. กฎหมายทอี อกโดยรัฐสภา หรอื รฐั ธรรมนูญไดม้ อบอาํ นาจใหต้ ราขนึ ไดใ้ นกรณพี เิ ศษ ตามความ จําเป็ นและตามเงอื นไขทกี าํ หนด ยอ่ มมศี ักดสิ งู รองลงมาจากรัฐธรรมนญู 4. กฎหมายทอี อกโดยฝ่ ายบรหิ าร โดยอาศยั อาํ นาจกฎหมายทอี อกโดยรฐั สภา ยอ่ มเป็ นกฎหมาย ลําดับรองลงมาจากกฎหมายทอี อกโดยรัฐสภา 5. กฎหมายทอี อกโดยองคก์ รปกครองตนเอง โดยอาศยั อาํ นาจกฎหมายอนื ยอ่ มมศี ักดติ ํากวา่ กฎหมายทอี อกโดยรัฐสภาหรอื ฝ่ ายบรหิ าร 6. การจัดลําดบั ของกฎหมายตามศกั ดิ ก็เพอื ใหท้ ราบวา่ กฎหมายฉบับใดมคี วามสําคัญมากกวา่ กนั และสามารถยกเลกิ กฎหมายทมี ศี กั ดเิ ทา่ กนั หรอื ตํากว่าได ้ แตไ่ มส่ ามารถยกเลกิ กฎหมายทมี ศี ักดสิ งู กวา่ ได ้ การจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ของกฎหมาย เหตุใดจงึ ตอ้ งมกี ารจัดลาํ ดบั กฎหมายตามศกั ดิ การจัดลําดับของกฎหมายนันยอ่ มขนึ อยกู่ บั วา่ กฎหมายนันออกโดยองคก์ รใด และองคก์ รนันมี ความสําคัญเพยี งใด เมอื ออกกฎหมายมาแลว้ กฎหมายทอี อกมาโดยองคก์ รทมี อี ํานาจออกกฎหมายทสี งู กวา่ ยอ่ มมศี กั ดสิ งู กวา่ กฎหมายทอี อกโดยองคก์ รทตี ํากวา่ ยอ่ มไมส่ ามารถยกเลกิ เพกิ ถอนกฎหมายทอี อก โดยองคก์ รทสี งู กวา่ ซงึ มศี ักดสิ งู กว่าได ้
11 ประโยชนข์ องการจดั ลาํ ดบั ของกฎหมายตามศกั ดิ หาตัวอยา่ งการออกกฎหมายแกไ้ ขเพมิ เตมิ กฎหมายระดบั เดยี วกันมาอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั อยา่ ง การแกไ้ ขเพมิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ลักษณะหนุ ้ บรษิ ัทโดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ข เพมิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ฉบบั ที 9 (พ.ศ. 2521) หาตวั อยา่ งการยกเลกิ กฎหมายระดับเดยี วกนั มาอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั อยา่ ง พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ฉบบั ที 8 (พ.ศ. 2519) ยกเลกิ ประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 5 แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 3 1. กฎหมายในระบบกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรหรอื ซวี ลิ ลอว์ มที มี าจาก กฎหมายลายลักษณ์อักษร จารตี ประเพณี และหลักกฎหมายทวั ไป 2. ทมี าประการสําคญั ของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร (Common Law System) คอื จารตี ประเพณแี ละคําพพิ ากษา 3. ทมี าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม (Socialist Law System) คอื กฎหมายลายลกั ษณ์ อกั ษร 4. ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยจ์ ัดอยใู่ นกฎหมายประเภท กฎหมายสารบญั ญตั ิ 5. ประมวลกฎหมายอาญาจดั อยใู่ นกฎเภท กฎหมายมหาชน 6. บรษิ ัทไทยตอ้ งการทําสญั ญาคา้ ขายกบั บรษิ ัทญปี ่ นุ ตา่ งฝ่ ายตา่ งตอ้ งการใชก้ ฎหมายในประเทศ ของตนบงั คบั ในสญั ญาทที ําขนึ ระหว่างกัน กฎหมายทคี วรจะใชบ้ งั คับกรณที มี คี วามขดั แยง้ กนั นี คอื ประมวลกฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล 7. นายตี ถกู จับและดําเนนิ คดขี อ้ หาคา้ ยาเสพตดิ ระหวา่ งคมุ ขังอยนู่ ายตี เล็ดลอดหนขี า้ มแดนออกไป มาเลเซยี ได ้ ตอ่ มาตํารวจมาเลเซยี สง่ ตวั นายตมี าใหร้ ัฐบาลไทยดาํ เนนิ คดแี ละลงโทษตอ่ ไป รฐั บาล มาเลเซยี ปฏบิ ตั ติ าม กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดอี าญา 8. กฎบตั รสหประชาชาตหิ มายถงึ กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง 9. การเรยี งลาํ ดบั ศกั ดขิ องกฎหมายจากสงู ไปตํา ควรเป็ นดงั นคี อื รฐั ธรรมนญู พระราชบัญญัติ พระ ราชกฤษฎกี า เทศบญั ญัติ 10. รัฐธรรมนญู มศี กั ดสิ งู กวา่ กฎหมายใดๆทงั สนิ หนว่ ยที 4 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั ศาสตรอ์ นื ๆ 11. เหตุการณใ์ นประวัตศิ าสตรม์ คี วามสาํ คญั ทจี ะทําใหเ้ กดิ แนวความคดิ ในการยกรา่ ง ปรบั ปรุง แกไ้ ข กฎหมาย ใหเ้ ป็ นกตกิ าทจี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อสงั คม 12. รัฐศาสตรเ์ ป็ นศาสตรท์ จี ดั ระบบกลไกการปกครอง โดยมกี ฎหมายเป็ นเครอื งมอื ในการปกครองและ การบรหิ ารประเทศ 13. เศรษฐศาสตรเ์ ป็ นศาสตรท์ อี าศัยกฎหมายในการกําหนดทศิ ทางและควบคุม ดแู ลระบบเศรษฐกจิ ของประเทศ เพอื สรา้ งความเป็ นธรรมในสงั คม 14. กฎหมายมบี ทบาทในการควบคมุ การศกึ ษาคน้ ควา้ พัฒนาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพอื มใิ ห ้ เกดิ ผลกระทบทเี ป็ นอันตรายตอ่ มนุษยโ์ ลก กฎหมายกบั ประวตั ศิ าสตร์ 1. เหตุการณ์ทเี กดิ ขนึ อนั เป็ นประวตั ศิ าสตรใ์ นสงั คมหนงึ นัน ยอ่ มมคี วามสมั พันธเ์ ชอื มโยงกบั กฎหมาย ทมี อี ยใู่ นปัจจบุ ัน และกฎหมายทจี ะรา่ งขนึ มาใชใ้ นอนาคต 2. การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นเชงิ วเิ คราะหใ์ นเรอื งใดเรอื งหนงึ ทจี ะนํามายกร่างหรอื ปรบั ปรงุ แกไ้ ข กฎหมาย ยอ่ มจะทําใหเ้ กดิ ความชดั เจนในการยกร่างกฎหมาย หรอื ปรับปรงุ แกไ้ ขกฎหมายใหเ้ หมาะสม สอดคลอ้ งกบั วถิ ขี องสงั คมยงิ ขนึ และทําใหส้ งั คมไดร้ ับประโยชนจ์ ากกฎหมายมากยงิ ขนึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั ประวตั ศิ าสตร์ ยกตัวอยา่ งในอดตี ทมี ผี ลตอ่ มาใหร้ ฐั ตอ้ งออกกฎหมายมาควบคุม ดแู ล รวม 2 เรอื ง
12 1) กรณีปันหนุ ้ ในตลาดหลกั ทรพั ยท์ ําใหร้ ัฐตอ้ งปรับปรงุ กฎหมายเดมิ คอื พระราชบญั ญัติ ตลาดหลกั ทรพั ย์ พ.ศ. 2518 มาเป็ นกฎหมายใหม่ คอื พระราชบญั ญัตหิ ลกั ทรัพยแ์ ละตลาดหลกั ทรัพย์ พ.ศ. 2525 ซงึ จะมกี ารลงโทษผทู ้ ปี ันหนุ ้ ทังทางแพง่ และทางอาญา 2) กรณที ปี ระชาชนถกู ธนาคารและสถาบนั การเงนิ เอาเปรยี บในเรอื งสญั ญาตา่ งๆ ทที ํากบั ธนาคาร และสถาบันการเงนิ จงึ มกี ารแกไ้ ขกฎหมายพระราชบญั ญัตคิ มุ ้ ครองผบู ้ รโิ ภค พ.ศ. 2521 เพมิ เตมิ หมวดที คมุ ้ ครองผบู ้ รโิ ภคดา้ นสญั ญา เพอื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแกผ่ บู ้ รโิ ภคมากขนึ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นเชงิ วเิ คราะหเ์ พอื ใชใ้ นการรา่ งและปรบั ปรุงกฎหมาย วจิ ารณ์การยกร่างกฎหมายโดยไมค่ ํานงึ ถงึ ความเป็ นมาในทางประวัตศิ าสตร์ เกดิ ผลเสยี อยา่ งไร ยกตวั อยา่ งมา 1 ตวั อยา่ งดว้ ย กรณีเขยี นบทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนูญเรอื งคณุ สมบตั ขิ องวฒุ สิ มาชกิ หรอื กรณกี ารใชก้ ฎหมายแรงงาน กบั รฐั วสิ าหกจิ กฎหมายกบั รฐั ศาสตร์ 1. กฎหมายกบั รฐั ศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ดิ รัฐศาสตรจ์ ดั ระบบกลไกการปกครองโดยให ้ มกี ระบวนการนติ บิ ญั ญตั ิ ซงึ กอ่ ใหเ้ กดิ กฎหมายขนึ มาใชบ้ งั คบั แกป่ ระชาชน และในขณะเดยี วกัน กฎหมาย ก็เป็ นเครอื งมอื ใหแ้ กก่ ารปกครองและการบรหิ ารประเทศ 2. กฎหมายทเี ป็ นเครอื งมอื ในการปกครองนัน ไดแ้ ก่ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยซงึ เป็ น กฎหมายสงู สดุ และกฎหมายรองลงมา คอื กฎหมายปกครอง และกฎหมายมหาชนอนื ๆ ทจี ะชว่ ยใหก้ าร บรหิ ารแผ่นดนิ บรรลผุ ลตามเป้าหมาย อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ย ความอยดู่ กี นิ ดี และความเป็ น ธรรมในสงั คมไทย ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั รฐั ศาสตร์ วชิ ากฎหมายหรอื นติ ศิ าสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั วชิ ารฐั ศาสตรเ์ พยี งใด ศาสตรท์ ังสองตวั ตอ้ งพงึ พาอาศัยกัน คอื รฐั ศาสตรจ์ ะสรา้ งระบบและกลไกในกระบวนการนติ ิ บญั ญัตขิ องรัฐ เพอื ออกกฎหมายใชบ้ งั คบั แกป่ ระชาชน ในขณะเดยี วกนั กฎหมายก็จะเป็ นกลไกสําคญั ใน การเมอื งการปกครองทจี ะใหอ้ ํานาจรฐั ในการออกกฎหมายภายใตค้ วามยนิ ยอมของประชาชน กฎหมายในฐานะเป็ นเครอื งมอื ในการปกครอง วเิ คราะหว์ า่ กฎหมายใดบา้ งเป็ นเครอื งมอื ในการปกครอง และกฎหมายใดมคี วามสําคัญสงู สดุ ใน ฐานะเป็ นเครอื งมอื ในทางปกครอง กฎหมายทเี ป็ นเครอื งมอื ในการปกครองคอื รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย กฎหมายปกครอง และกฎหมายมหาชนอนื ๆ กฎหมายทมี คี วามสําคัญสงู สดุ ในฐานะทเี ป็ นเครอื งมอื ในการปกครองคอื รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย กฎหมายกบั เศรษฐศาสตร์ 1. เศรษฐศาสตรก์ บั กฎหมายตา่ งเป็ นวชิ าทางสงั คมศาสตรท์ มี คี วามเชอื มโยงกัน เศรษฐศาสตรต์ อ้ ง อาศยั ออกกฎหมายในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม และกฎหมายก็ตอ้ งอาศยั หลักการใน เศรษฐศาสตรม์ าประกอบการยกรา่ งกฎหมาย 2. กฎหมายเป็ นเครอื งมอื ของรฐั ในการกาํ หนดทศิ ทางในดา้ นเศรษฐกจิ ของประเทศ และใชเ้ ป็ น กลไกควบคมุ ดูแลระบบเศรษฐกจิ รวมทงั การสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กป่ ระชาชนทไี มถ่ กู เอรดั เอาเปรยี บ จากผปู ้ ระกอบธรุ กจิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั เศรษฐศาสตร์ กฎหมายและเศรษฐศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร กฎหมายมสี ว่ นเป็ นกลไกสําคัญในการควบคมุ ระบบเศรษฐกจิ ทงั ในระดับเศรษฐกจิ มหภาค คอื ระบบการเงนิ การคลงั ของประเทศและในระดบั เศรษฐกจิ จลุ ภาค คอื กํากบั ดูแลใหค้ วามเป็ นธรรมระหวา่ ง ผปู ้ ระกอบการกบั ประชาชนผบู ้ รโิ ภคสนิ คา้ และบรกิ าร กฎหมายกบั การกาํ กบั ดแู ลระบบเศรษฐกจิ ยกตัวอยา่ งกฎหมายทกี าํ กับดูแลเศรษฐกจิ มา 2 ฉบบั
13 กฎหมายทกี ํากบั ดูแลระบบเศรษฐกจิ คอื ประมวลรัษฎากร พระราชบัญญตั วิ า่ ดว้ ยราคาสนิ คา้ และบรกิ าร พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั ศิ ลุ กากร พุทธศกั ราช 2469 พระราชบญั ญตั ปิ ้องกนั และปราบปราม การฟอกเงนิ พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การลงทนุ พ.ศ. 2520 พระราชบญั ญัตสิ ถานสนิ เชอื ทอ้ งถนิ พ.ศ. 2518 พระราชบญั ญตั หิ า้ มเรยี กดอกเบยี เกนิ อัตรา พทุ ธศักราช 2475 กฎหมายกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ป็ นศาสตรท์ มี นุษยไ์ ดศ้ กึ ษา คน้ ควา้ และพัฒนา เพอื อธบิ ายความ เป็ นไปของธรรมชาตแิ ละปากฎการณต์ ่างๆ และนํามาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ใหแ้ กม่ นุษยจ์ งึ ตอ้ งมกี รอบ การใชป้ ระโยชนท์ เี หมาะสมแกส่ ภาพสงั คม โดยอาศยั กฎหมายเป็ นตัวกาํ หนดกรอบเพอื ใหส้ อดคลอ้ งกบั วถิ ี ชวี ติ ของคนในสงั คม 2. เมอื มเี หตกุ ารณเ์ รอื งใดทเี กดิ ผลกระทบตอ่ สงั คม ก็ควรจะตอ้ งนํากฎหมายมาชว่ ยควบคมุ กาํ กับ ดแู ล เพอื ชว่ ยแกไ้ ขปัญหาทเี กดิ ขนึ อนั จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยในสงั คม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กฎหมายมบี ทบาทตอ่ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ยา่ งไร กฎหมายมบี ทบาทตอ่ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยคี อื 1) ในดา้ นการควบคมุ การศกึ ษาคน้ ควา้ และพัฒนาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใหอ้ ยใู่ นกรอบที ไมเ่ ป็ นอนั ตรายต่อมนุษย์ และอยใู่ นกรอบของศลี ธรรมจรรยาอนั กอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาแกส่ งั คม และ 2) ในดา้ นการพสิ จู นพ์ ยานหลักฐานในคดคี วาม กฎหมายกบั การกาํ กบั ดแู ลผลกระทบตอ่ สงั คมอนั เกดิ จากวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี กฎหมายทกี าํ กบั ดูแลผลกระทบตอ่ สงั คมอันเกดิ จากวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยยี กตัวอยา่ งมา 2 ฉบับ พระราชบญั ญตั ยิ า พ.ศ. 2510 พระราชบญั ญัตโิ รคพษิ สนุ ัขบา้ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญตั ิ โรคตดิ ต่อ พ.ศ. 2523 พระราชบัญญตั วิ ัตถอุ อกฤทธติ อ่ จติ และประสาท พ.ศ. 2518 พระราชบญั ญัติ เครอื งสาํ อาง พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญัตคิ มุ ้ ครองพนั ธพุ์ ชื พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั วิ ทิ ยคุ มนาคม พุทธศกั ราช 2498 พระราชบัญญตั วิ ทิ ยกุ ระจายเสยี งและวทิ ยโุ ทรทศั น์ พ.ศ. 2498 และพระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยธรุ กรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2544 เป็ นตน้ แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 4 1. การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรม์ สี ว่ นชว่ ยในการศกึ ษาวชิ ากฎหมายเพราะวา่ ชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจเหตผุ ลของ เรอื งราวทเี กดิ ขนึ 2. วชิ าประวตั ศิ าสตรม์ สี ว่ นเกยี วขอ้ งในการรา่ งและปรับปรงุ กฎหมายคอื ใชป้ ระวตั ศิ าสตรม์ าประกอบ การศกึ ษาและพจิ ารณาในการยกร่างกฎหมาย 3. แนวความคดิ ทวี า่ “เมอื ประชาชนมอบอาํ นาจของตนใหร้ ฐั แลว้ รฐั ตอ้ งมหี นา้ ทใี นการใชอ้ าํ นาจของ รฐั เพอื อํานวยประโยชน์ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความมันคง ความผาสกุ แกป่ ระชาชน” ขอ้ ความนหี มายถงึ ทฤษฎี สญั ญาประชาคม 4. รัฐธรรมนญู เป็ นกฎหมายทมี คี วามสาํ คญั สงู สดุ ในการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ 5. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวชิ านติ ศิ าสตรก์ บั รัฐศาสตรน์ ันเปรยี บเทยี บกันแลว้ จัดวา่ เป็ น ลกั ษณะคู่แฝด 6. กฎหมายกับเศรษฐศาสตรม์ คี วามสมั พันธก์ นั คอื นําหลักเกณฑใ์ นทางวชิ าเศรษฐศาสตรม์ าใชเ้ ป็ น หลักการและเหตุผลในการออกกฎหมาย 7. กฎหมายฉบับทดี แู ลสภาพคลอ่ งของการเงนิ ของประเทศคอื พระราชบญั ญตั ธิ นาคารแหง่ ประเทศ ไทย พ.ศ. 2485 8. กรณที เี ป็ นการพสิ จู นห์ ลกั ฐานในทางวทิ ยาศาสตรเ์ ชน่ การพสิ จู นส์ าเหตกุ ารตายของศพทพี บ 9. การทนี ักกฎหมายตอ้ งเรยี นรศู ้ าสตรอ์ นื ๆ นอกเหนอื จากวชิ ากฎหมายเพราะ ชว่ ยทําใหน้ ักกฎหมาย เขา้ ใจศาสตรต์ า่ งๆ และสามารถใชก้ ฎหมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ใหค้ วามเป็ นธรรมไดด้ ยี งิ ขนึ 10. กรณีทยี งั ไมม่ กี ฎหมายใดทจี ะชว่ ยลดผลกระทบต่อคนไทยและมนษุ ยชาตไิ ดแ้ ก่ ภาวะเรอื นกระจก บนโลก
14 หนว่ ยที 5 การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมาย 11. การนํากฎหมายมาใชบ้ ังคับอาจมผี ลกระทบหรอื เกดิ สภาพบังคบั แกบ่ คุ คล จําเป็ นตอ้ งมกี ารให ้ เหตุผลในการใชบ้ งั คับกฎหมายทดี ี เป็ นธรรม สมเหตผุ ล หรอื รบั ฟังได ้ เพอื ใหเ้ กดิ การยอมรบั ของสงั คม และแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกบั สภาพปัญหาทแี ทจ้ รงิ ซงึ จะทําใหก้ ฎหมายนันบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละประสบผล 12. เหตผุ ลในกฎหมายสามารถวเิ คราะหไ์ ดจ้ ากเหตุผลของผรู ้ า่ งกฎหมาย ความเป็ นธรรมของตัว กฎหมายนันเองและนําผลการวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมายมาใชป้ ระโยชนใ์ นการใชก้ ฎหมาย 13. การใชเ้ หตุผลในการวนิ จิ ฉัยคดเี ป็ นเรอื งสําคญั ทจี ะชว่ ยรกั ษาความเป็ นธรรมใหแ้ กค่ คู่ วาม โดยที ฝ่ ายแพค้ ดแี ละสงั คมยอมรบั การใชเ้ หตผุ ลในคดมี อี ยใู่ นทุกขนั ตอน ตังแตใ่ นการต่อสคู ้ ดขี องคคู่ วาม การ ทําคําพพิ ากษา การทําความเห็นแยง้ ในคําพพิ ากษา และในการใหค้ วามเหน็ ทางกฎหมายโดยทัวไปดว้ ย ความสาํ คญั ของเหตผุ ลในทางกฎหมาย 1. เหตุผลของกฎหมายทดี แี ละเป็ นธรรมทมี มี าจากแนวความคดิ ทางปรชั ญา โดยนักปรชั ญาและนัก นติ ปิ รชั ญาไดพ้ ยายามพฒั นาแนวความคดิ เกยี วกบั เหตผุ ลในการตรากฎหมาย และการใชก้ ฎหมายมาโดย ตลอด เพอื ใหไ้ ดก้ ฎหมายทดี แี ละเป็ นธรรมทสี ดุ แกส่ งั คม 2. การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายทดี มี คี ณุ ลักษณะสาํ คัญประการหนงึ คอื ความสมเหตผุ ลในทาง ตรรกวทิ ยา ซงึ ชว่ ยใหส้ ามารถตรากฎหมายและนํากฎหมายมาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกบั สภาพ ปัญหาทแี ทจ้ รงิ ไมเ่ บยี งเบนไป 3. การใหเ้ หตผุ ลในกฎหมายมคี วามสาํ คัญ เนืองจากเหตผุ ลทดี ี เป็ นธรรม สมเหตสุ มผล หรอื รับฟัง ได ้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมและการยอมรับของบคุ คลทเี กยี วขอ้ งและสงั คม และแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกับ สภาพปัญหาทแี ทจ้ รงิ ซงึ จะทําใหก้ ฎหมายนันบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละประสบผล ปรชั ญากบั กฎหมาย ในปัจจบุ ันมกี ารนําหลักทฤษฎที างปรัชญาใดมาใชใ้ นการใหเ้ หตผุ ลทางกฎหมายอยา่ งไร แนวความคดิ คดิ ทางนติ ปิ รชั ญาทยี ังคงใชอ้ ยใู่ นการใหเ้ หตผุ ลทางกฎหมายในปัจจบุ นั เชน่ แนวความคดิ เกยี วกบั หลกั นติ ริ ัฐ (Legal State) ซงึ ปัจจุบนั มกี ารใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายทเี กยี วกบั การใช ้ อํานาจของเจา้ หนา้ ทขี องรฐั ว่า เจา้ หนา้ ทขี องรัฐจะใชอ้ าํ นาจในทางทลี ดิ รอนสทิ ธแิ ละเสรภี าพของเอกชน ไดก้ ็ตอ่ เมอื มกี ฎหมายใหอ้ าํ นาจไวอ้ ยา่ งชดั เจนเทา่ นัน ตรรกวทิ ยากบั กฎหมาย การใชเ้ หตุผลในกฎหมายโดยใชห้ ลักตรรกวทิ ยามคี วามสําคญั อยา่ งไร การใชเ้ หตุผลในกฎหมายโดยใชห้ ลักตรรกวทิ ยามคี วามสําคญั เพราะทําใหเ้ หตผุ ลทยี กขนึ กล่าว อา้ งมคี วามสมเหตผุ ล และสามารถแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงตามสภาพของปัญหาทแี ทจ้ รงิ แนวคดิ และความสําคญั ของเหตผุ ลในกฎหมาย การใชเ้ หตุผลในกฎหมายทดี มี คี วามสําคญั อยา่ งไร การใชเ้ หตุผลในกฎหมายทดี มี คี วามสําคญั คอื สามารถอํานวยความยตุ ธิ รรมแกผ่ เู ้ กยี วขอ้ งไดต้ าม ความเหมาะสมแกก่ รณี และเป็ นทยี อมรับของบคุ คลทวั ไป การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมาย 1. กฎหมายสรา้ งขนึ โดยผรู ้ ่างกฎหมายดว้ ยเหตผุ ลหรอื เจตนารมณ์อยา่ งใดอยา่ งหนงึ โดยผรู ้ า่ ง กฎหมายจะกาํ หนดโครงสรา้ งและกลไกของกฎหมาย และเขยี นบทบัญญตั เิ พอื ใหก้ ฎหมายบรรลุ เจตนารมณ์ตามทไี ดม้ งุ่ หมายไว ้ การจะหยงั ทราบเหตผุ ลในกฎหมายจงึ สามารถกระทําไดโ้ ดยการคน้ หา เหตุผลของผรู ้ ่างกฎหมายไดท้ างหนงึ 2. เมอื กฎหมายไดถ้ กู ตราขนึ แลว้ นักกฎหมายฝ่ ายหนงึ เห็นวา่ ตัวกฎหมายนันเองเป็ นสงิ แสดง เจตนารมณ์ หรอื เหตผุ ลในตัวเอง การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของกฎหมายจงึ พจิ ารณาไดจ้ ากความเป็ นธรรม ของกฎหมายนันเอง 3. เหตุผลในกฎหมายจะถูกนํามาใชเ้ มอื มกี ารใชก้ ฎหมาย เมอื ผใู ้ ชก้ ฎหมายไดท้ ําการวเิ คราะหเ์ พอื หา เหตุผลในกฎหมายไดโ้ ดยอาศัยกระบวนการตา่ งๆ แลว้ จะสามารถนําเหตุผลนันมาใชอ้ ธบิ ายคําวนิ จิ ฉัย ของตนทงั ในการพจิ ารณาคดี และการใหค้ วามเหน็ ทางกฎหมายโดยทัวไปอยา่ งสมเหตสุ มผลและมคี วาม เป็ นธรรม เหตผุ ลของผรู้ า่ งกฎหมาย
15 การวเิ คราะหห์ าเหตุผลของผรู ้ า่ งกฎหมายมปี ระโยชน์ในการใชเ้ หตุผลในกฎหมายอยา่ งไร การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของผรู ้ ่างกฎหมายมปี ระโยชน์ในการใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายเพราะจะทําให ้ วนิ จิ ฉัยคดไี ดต้ รงตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย มใิ ชเ่ ป็ นเหตุผลทผี ใู ้ ชก้ ฎหมายนกึ คดิ ขนึ เอง ความเป็ นธรรมของกฎหมาย การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลจากความเป็ นธรรมของกฎหมายสามารถพจิ ารณาไดจ้ ากสงิ ใด การวเิ คราะหเ์ หตผุ ลจากความเป็ นธรรมของกฎหมาย สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากตวั บทบญั ญตั ขิ อง กฎหมายนันเองตามทฤษฎอี าํ เภอการณ์ อยา่ งไรกด็ ี ในการใชก้ ฎหมาย นกั กฎหมายสว่ นใหญม่ กั พจิ ารณา ประกอบกบั เหตผุ ลของผรู ้ ่างกฎหมายและหลกั การตคี วามกฎหมายตา่ งๆดว้ ย การนําผลการวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมายมาใชป้ ระโยชน์ แตส่ ามารถ เหตผุ ลในกฎหมายทวี เิ คราะหไ์ ดส้ ามารถนํามาใชไ้ ดเ้ ฉพาะในการพจิ ารณาคดหี รอื ไม่ เหตุผลในกฎหมายทวี เิ คราะหไ์ ดไ้ มเ่ พยี งสามารถใชไ้ ดใ้ นการพจิ ารณาคดเี ทา่ นัน นําไปใชใ้ นการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายโดยทวั ไปได ้ เหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดแี ละการใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย 1. เมอื บคุ คลมขี อ้ พพิ าททางกฎหมายตอ้ เสนอคดตี อ่ ศาลเพอื ใหม้ กี ารวนิ จิ ฉัยชขี าด คคู่ วามแตล่ ะฝ่ าย ตา่ งมสี ทิ ธยิ กเหตผุ ลทตี นเหน็ ว่าดที สี ดุ ในการตอ่ สคู ้ ดเี พอื โนม้ นา้ วใหศ้ าลเห็นว่าฝ่ ายตนสมควรชนะคดี 2. ประเทศไทยเป็ นระบบทใี ชป้ ระมวลกฎหมาย (Civil Law) ตามหลกั แลว้ ตอ้ งพจิ ารณาขอ้ กฎหมาย ตามตวั บทกฎหมายโดยไมจ่ าํ เป็ นตอ้ งยดึ ถอื แนวคําพพิ ากษาหรอื คาํ วนิ จิ ฉัยเป็ นบรรทัดฐาน อยา่ งไรกด็ ี ในทางปฏบิ ตั ิ คําพพิ ากษาทมี กี ารใชเ้ หตผุ ลทดี ี สมเหตสุ มผล และเป็ นธรรม สามารถนํามาเป็ นแนวทางใน การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายไดใ้ นกรณที มี ขี อ้ เท็จจรงิ คลา้ ยคลงึ กัน 3. การใหเ้ หตผุ ลในการเขยี นคําพพิ ากษาหรอื การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย มหี ลักการซงึ ตอ้ ง คํานงึ ถงึ หลายประการ เชน่ หลกั หรอื ทฤษฎกี ฎหมาย หลกั การรา่ งกฎหมาย หลกั การตคี วามกฎหมายและ การอดุ ชอ่ งวา่ งกฎหมาย และหลักอนื ๆ เชน่ หลกั ตรรกวทิ ยา สามญั สาํ นกึ และศลี ธรรมเป็ นตน้ 4. ในองคค์ ณะผพู ้ จิ ารณาคดหี รอื ผใู ้ หค้ วามเหน็ ทางกฎหมายอาจมผี ไู ้ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั ความเห็นของอกี ฝ่ ายหนงึ ซงึ เป็ นฝ่ ายขา้ งมาก กฎหมายใหส้ ทิ ธฝิ ่ ายขา้ งนอ้ ยในการแสดงความเห็นแยง้ เพอื ประโยชนใ์ น การทบทวน หรอื ตรวจสอบคําพพิ ากษา หรอื ความเหน็ ทางกฎหมายของฝ่ ายขา้ งมาก เหตผุ ลในการตอ่ สคู้ ดี การใชเ้ หตผุ ลในการตอ่ สคู ้ ดมี หี ลกั เกณฑเ์ ชน่ เดยี วกบั การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายอนื หรอื ไม่ การใชเ้ หตุผลในการตอ่ สคู ้ ดมี หี ลักเกณฑเ์ ชน่ เดยี วกบั การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายอนื เพราะเป็ น การใชก้ ฎหมายเพอื รักษาสทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลซงึ เป็ นคกู่ รณี จงึ ตอ้ งมคี วามสมเหตุสมผล เป็ นธรรม และสามารถจงู ใจใหผ้ อู ้ า่ นคลอ้ ยตามได ้ แนวบรรทดั ฐานแหง่ คําพพิ ากษา ในประเทศไทยสามารถยดึ แนวบรรทดั ฐานแห่งคาํ พพิ ากษาในการใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายได ้ หรอื ไม่ เนอื งจากประเทศไทยเป็ นประเทศในระบบกฎหมายซวี ลิ ลอว์ หรอื ระบบประมวลกฎหมายจงึ ไม่ จําเป็ นตอ้ งยดึ แนวคําพพิ ากษาเป็ นบรรทดั ฐานในการใชเ้ หตุผลทางกฎหมายอยา่ งไรกด็ คี าํ พพิ ากษาทมี ี การใชเ้ หตผุ ลทดี ี สมเหตุ สมผลและเป็ นธรรมสามารถนํามาใชเ้ ป็ นแนวทางในการใชเ้ หตผุ ลในกรณที มี ี ขอ้ เท็จจรงิ คลา้ ยคลงึ กนั ไดใ้ นทางปฏบิ ตั ิ เหตผุ ลในการเขยี นคําพพิ ากษาและความเห็นทางกฎหมาย การหาเหตผุ ลทดี มี นี ําหนักมาอธบิ ายใหผ้ เู ้ กยี วขอ้ งยอมรบั นับถอื ได ้ จะตอ้ งคาํ นงึ ถงึ หลักเกณฑ์ หรอื เครอื งมอื ทางกฎหมายทสี ําคญั อยา่ งใด การหาเหตุผลทดี ี มนี ําหนัก มาอธบิ ายใหผ้ เู ้ กยี วขอ้ งยอมรับนับถอื ได ้ จะตอ้ งคํานงึ ถงึ หลักเกณฑ์ หรอื เครอื งมอื ทางกฎหมายทสี ําคญั ดงั ตอ่ ไปนี คอื 1) หลกั หรอื ทฤษฎกี ฎหมาย 2) หลักการรา่ งกฎหมาย 3) หลักการตคี วามกฎหมายและการอดุ ชอ่ งวา่ งกฎหมาย 4) หลกั อนื ๆ เชน่ หลกั ตรรกวทิ ยา สามญั สํานกึ หรอื ศลี ธรรม
16 การเขยี นความเห็นแยง้ ในคาํ พพิ ากษาหรอื การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย การทําความเหน็ แยง้ มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร การทําความเห็นแยง้ มปี ระโยชนใ์ นการทําคําพพิ ากษาหรอื ความเห็นทางกฎหมาย โดยเป็ นการ เปิดโอกาสใหผ้ ใู ้ ชก้ ฎหมายมกี ารพจิ ารณาเรอื งนันๆ อยา่ งรอบดา้ น และเลอื กใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายทเี หน็ วา่ เหมาะสมและเป็ นธรรมมากทสี ดุ แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 5 1. เหตทุ กี ฎหมายจําเป็ นตอ้ งมเี หตผุ ลทดี คี อื เพอื ใหก้ ฎหมายนันเป็ นทยี อมรับของสมาชกิ ในสงั คม 2. เหตผุ ลทดี คี วรมลี ักษณะดงั นี (1) เป็ นธรรม (2) รับฟังได ้ (3) สมเหตสุ มผล (4) มขี อ้ เท็จจรงิ สนับสนนุ ทหี นกั แน่น 3. หลักปรชั ญาชว่ ยในการใชก้ ฎหมายมเี หตผุ ลทดี คี อื เป็ นเหตผุ ลทมี คี วามเป็ นธรรมตามยคุ สมยั 4. หลกั ตรรกวทิ ยาชว่ ยใหก้ ฎหมายมเี หตุผลทดี คี อื (1) เป็ นเหตุผลทมี คี วามสมเหตสุ มผล (2) สอดคลอ้ งกบั ความเห็นของนักปรัชญา (3) เป็ นเหตุผลทมี คี วามเป็ นธรรมตามยคุ สมัย (4) สอดคลอ้ งกับวถิ ี ชวี ติ ของสมาชกิ ในสงั คม 5. การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของกฎหมายสามารถศกึ ษาไดจ้ าก (1) ผรู ้ ่างกฎหมาย (2) การอภปิ รายใน สภา (3) บันทกึ หลกั การและเหตผุ ล (4) รายงานการประชมุ พจิ ารณารา่ งกฎหมาย 6. การคน้ หาเหตุผลของกฎหมายตามทฤษฎอี ําเภอการณ์คอื การหาเหตุผลจาก ตวั บทบญั ญตั ขิ อง กฎหมายนันเอง 7. การคน้ หาเหตผุ ลเพอื สรา้ งความเป็ นธรรมควรพจิ ารณาจากเหตผุ ลของ ผรู ้ า่ งกฎหมายประกอบกบั ตัวบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย 8. ผทู ้ สี ามารถใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายไดค้ อื ทุกคนทใี ชก้ ฎหมาย 9. ในการพจิ ารณาของศาลไทย ศาลไมต่ อ้ งผูกพนั ตามแนวคําพพิ ากษาเพราะประเทศไทยเป็ นระบบ ประมวลกฎหมาย 10. การใหเ้ หตผุ ลในการเขยี นคําพพิ ากษาควรคํานงึ ถงึ หลัก (1) หลกั ศลี ธรรม (2) ทฤษฎกี ฎหมาย (3) หลกั ตรรกวทิ ยา (4) หลกั การตคี วามกฎหมายและการอดุ ชอ่ งวา่ ง 11. กฎหมายทมี กี ารตราโดยมเี หตผุ ลทดี มี ปี ระโยชนค์ อื ทาํ ใหก้ ฎหมายสามารถอํานวยความเป็ นธรรม ไดเ้ หมาะแกก่ รณี 12. เหตุผลทดี ใี นการใชก้ ฎหมายมที มี าจากหลกั การคอื (1) ศลี ธรรม (2) ปรชั ญา (3) นติ ปิ รัชญา (4) ตรรกวทิ ยา 13. การศกึ ษารายงานการประชมุ สภาในการพจิ ารณารา่ งกฎหมายเป็ นการคน้ หา เหตผุ ลในลกั ษณะ เหตุผลของผรู ้ า่ งกฎหมาย 14. การทําความเขา้ ใจกฎหมายจากเนอื ความของกฎหมายเป็ นการหาเหตผุ ลในลกั ษณะ เหตุผลของ ตวั กฎหมายนันเอง 15. การคน้ หาเจตนารมณข์ องกฎหมายทนี ักกฎหมายสว่ นใหญเ่ หน็ วา่ เป็ นวธิ ที ดี คี อื (1) คน้ หาจากผู ้ รา่ งกฎหมาย (2) คน้ หาจากตวั กฎหมายนันเอง (3) คน้ หาจากความเห็นของนักวชิ าการ (4) คน้ หาจาก หลักการตคี วามกฎหมายทวั ไป 16. การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายสามารถปรากฏไดใ้ น (1) การตอ่ สคู ้ ดี (2) คําพพิ ากษาของศาล (3) บทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย (4) การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย 17. ลกั ษณะเฉพาะของศาลในระบบซวี ลิ ลอว์ ศาลไมต่ อ้ งผกู พันตามแนวบรรทัดฐาน 18. การใหเ้ หตผุ ลในการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายควรคาํ นงึ ถงึ หลักในเรอื ง (1) หลักศลี ธรรม (2) หลกั ตรรกวทิ ยา (3) หลักการรา่ งกฎหมาย (4) หลกั หรอื ทฤษฎกี ฎหมาย หนว่ ยที 6 กฎหมายกบั การพฒั นาสงั คม 19. สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลจะมหี ลักประกันใหม้ ันคงอยไู่ ดก้ ็ตอ้ งอาศยั กฎหมายเป็ นสงิ สําคัญ 20. กฎหมายกับสงั คมเป็ นสงิ ทมี คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ดิ การทจี ะควบคมุ สงั คมไดย้ อ่ มอาศัย กฎหมายเขา้ มาชว่ ย 21. ในกรณที สี งั คมจะพฒั นาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ยอ่ มตอ้ งอาศยั กฎหมาย สงั คมจะเปลยี นแปลงไป ไดอ้ ยา่ งมนั คง
17 22. กฎหมายมคี วามจาํ เป็ นตอ้ งตราออกมาควบคู่กบั สงั คมยคุ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพอื ควบคมุ การใชเ้ ทคโนโลยใี นทางทถี กู ทคี วร กฎหมายกบั หลกั ประกนั สทิ ธเิ สรภี าพ 1. มนษุ ยต์ อ้ งมสี ทิ ธติ า่ งๆ อยา่ งทมี นุษยม์ กี นั และจะตอ้ งมอี ยอู่ ยา่ งเทา่ เทยี มกนั ไมถ่ กู กดี กนั การ จํากดั สทิ ธจิ ะมไี ดแ้ ตก่ ฎหมายเท่านัน 2. ประเทศไทยไดก้ ําหนดหลักประกนั สทิ ธิ เสรภี าพของปวงชนชาวไทยไวใ้ นรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณา จกั รไทย ซงึ เป็ นกฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ 3. การใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของมนุษยใ์ นสงั คมจะตอ้ งมกี ฎหมายควบคุมเสมอ สทิ ธมิ นุษยชน สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ อะไร สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ สทิ ธคิ วามเป็ นมนุษยห์ รอื สทิ ธใิ นความเป็ นคน อนั เป็ นสทิ ธติ ามธรรมชาติ ของมนษุ ยท์ กุ คนทเี กดิ มากม็ สี ทิ ธติ ดิ ตวั มาตังแตเ่ กดิ หลกั ประกนั สทิ ธิ เสรภี าพตามกฎหมายรฐั ธรรมนูญ รฐั ธรรมนญู ไดก้ ําหนดขอบเขตการใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลไวเ้ พยี งใด รัฐธรรมนูญไดก้ าํ หนดขอบเขตการใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลไวว้ ่า บคุ คลจะใชส้ ทิ ธแิ ละ เสรภี าพตามรัฐธรรมนูญเพอื ลม้ ลา้ งการปกครองระบบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ เ์ ป็ นประมขุ หรอื เพอื ใหไ้ ดม้ าซงึ อํานาจในการปกครองประเทศ โดยวธิ กี ารซงึ มไิ ดเ้ ป็ นไปตามวถิ ที างทบี ญั ญัตไิ วใ้ น รฐั ธรรมนญู มไิ ด ้ กฎหมายกบั สงั คม กฎหมายกับสงั คมมคี วามสมั พันธก์ นั อยา่ งไร กฎหมายเป็ นสงิ สําคญั สําหรบั สงั คม ซงึ กฎหมายจะตอ้ งเกดิ ขนึ เสมอพรอ้ มกันไปกบั การ เปลยี นแปลงของสงั คม ซงึ หากมกี ารเปลยี นแปลงไปในทางชวั รา้ ย กฎหมายจะตอ้ งเขา้ ไปควบคมุ สงั คมนัน ใหด้ ี เมอื สงั คมไดเ้ ปลยี นแปลงไปก็ตอ้ งมกี ารแกไ้ ขกฎหมายใหท้ นั ตอ่ เหตกุ ารณน์ ัน กฎหมายจงึ ไดอ้ อกมา ตามการเปลยี นแปลงในทางสงั คม ลักษณะของกฎหมายจงึ ตอ้ งบญั ญตั โิ ดยคํานงึ ถงึ การเปลยี นแปลงของ สงั คมในอนาคตจงึ จะถอื วา่ เป็ นกฎหมายทดี ี กฎหมายกบั การควบคมุ สงั คม 1. กฎหมายมคี วามสําคญั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยในสงั คมเป็ นอยา่ งยงิ เพราะกฎหมายสามารถควบคมุ สงั คมใหต้ กอยใู่ นความสงบเรยี บรอ้ ยได ้ 2. ความเป็ นธรรมในสงั คมจะมไี ดต้ อ้ งอาศยั ความถกู ตอ้ งของกฎหมายเทา่ นัน 3. ปัญหาทกุ ปัญหาทางสงั คมสามารถแกไ้ ขใหย้ ตุ ไิ ดด้ ว้ ยกฎหมาย กฎหมายกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คม กฎหมายเกยี วขอ้ งกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คมอยา่ งไร ในแต่ละสงั คมยอ่ มจะตอ้ งมกี ฎระเบยี บ วนิ ัย ทังนเี พอื ใหส้ งั คมนันมคี วามสงบเรยี บรอ้ ยได ้ กฎ ระเบยี บ วนิ ัย เชน่ ว่านีจะตอ้ งมสี ภาพบงั คับในสงั คมนันได ้ จงึ จะทําใหส้ งั คมมคี วามสงบเรยี บรอ้ ย กรณีทจี ะ ใหม้ สี ภาพบงั คบั ไดจ้ ะตอ้ งตราขนึ เป็ นกฎหมาย เมอื ไดต้ รากฎหมายขนึ มาแลว้ ผทู ้ ไี มป่ ฏบิ ัตติ ามบท กฎหมายนันยอ่ มเป็ นผกู ้ อ่ ความไมเ่ รยี บรอ้ ยขนึ กจ็ ะตอ้ งถูกลงโทษไมว่ า่ จะเป็ นทางแพ่งหรอื อาญา ความ สงบเรยี บรอ้ ยกย็ อ่ มจะมขี นึ ได ้ กฎหมายกบั ความเป็ นธรรมในสงั คม เมอื ความไมเ่ ป็ นธรรมในสงั คมเกดิ ขนึ จะแกไ้ ขดว้ ยกฎหมายอยา่ งไร เพราะอะไร สงั คมทขี าดความเป็ นธรรม การทจี ะแกไ้ ขตอ้ งออกกฎหมายมาแกไ้ ขเปลยี นแปลงสงิ ไมเ่ ป็ นธรรม นัน เพราะกฎหมายมสี ภาพบงั คบั สามารถออกกฎหมายใหย้ กเลกิ หรอื เปลยี นแปลงการกระทํานันเสยี ความเป็ นธรรมในสงั คมนันกจ็ ะเกดิ ขนึ กฎหมายกบั การแกป้ ัญหาในสงั คม กฎหมายชว่ ยแกไ้ ขปัญหาทางสงั คมอยา่ งไร
18 เมอื สงั คมนันเกดิ ความขดั แยง้ ยากทจี ะประสานใหเ้ กดิ ความสามคั คกี นั ไดว้ ธิ กี ารทจี ะขจดั ปัญหาในทางสงั คมไดจ้ ะตอ้ งอาศัยกฎหมายเป็ นสาํ คญั เพราะหากมกี ฎหมายบญั ญตั ใิ นปัญหานันไวอ้ ยา่ งไร แลว้ ก็ตอ้ งปฏบิ ัตกิ ารใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมายหรอื บังคับการใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมายนัน ปัญหาขอ้ ขดั แยง้ ก็ เป็ นอนั ยตุ ไิ ด ้ หากมปี ัญหาขนึ แต่ยงั ไมม่ กี ฎหมายบญั ญัตไิ วโ้ ดยชดั แจง้ กส็ ามารถตรากฎหมายเพอื ขจดั ปัญหานันใหเ้ สรจ็ สนิ ไปโดยปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย กฎหมายจงึ มคี วามสําคญั ทสี ามารถแกป้ ัญหาในสงั คมได ้ กฎหมายเกยี วกบั การพฒั นาสงั คม 1. การพฒั นาการเมอื ง จะตอ้ งตราบทกฎหมายหรอื ระเบยี บแบบแผนตา่ งๆ ใหช้ ดั เจน เพอื ให ้ นักการเมอื งไดม้ กี ารพัฒนาคุณธรรมและจรยิ ธรรมนันอยา่ งมสี ภาพบังคับได ้ 2. การทจี ะพัฒนาระบบเศรษฐกจิ แบบเสรไี ดต้ อ้ งอาศัยการออกกฎหมายมาบงั คับเป็ นสาํ คัญ 3. การออกกฎหมายเพอื พัฒนาสงั คม สงิ แวดลอ้ มนัน จะตอ้ งคํานงึ ถงึ การพัฒนาคนและจติ ใจของคน ดว้ ย กฎหมายกบั การพฒั นาการเมอื ง รฐั จะตอ้ งพัฒนาทางการเมอื งอยา่ งไร ตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยไดก้ าํ หนดวา่ รัฐตอ้ งจดั ใหม้ แี ผนพัฒนาการเมอื ง จดั ทํา มาตรฐานทางคุณธรรมและจรยิ ธรรมของผดู ้ ํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง ขา้ ราชการ และพนักงาน หรอื ลูกจา้ งอนื ของรฐั เพอื ป้องกนั การทุจรติ และประพฤตมิ ชิ อบ และเสรมิ สรา้ งประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที (รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 40) กฎหมายกบั การพฒั นาเศรษฐกจิ กฎหมายมสี ว่ นเกยี วขอ้ งในการพฒั นาเศรษฐกจิ แบบเสรอี ยา่ งไร ในการพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศทบี รรลุเป้าหมายได ้ ตอ้ งอาศัยและเกยี วขอ้ งกับกฎหมาย ทังสนิ เพราะหากไมม่ กี ฎหมายบงั คบั การพฒั นาเศรษฐกจิ ก็ไมอ่ าจจะกระทําไดส้ ําเร็จ และหากกฎหมาย ใดทมี อี ยเู่ ป็ นการขัดตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ แบบเสรี กต็ อ้ งยกเลกิ กฎหมายฉบับนันเสยี หรอื อาจจะมกี าร แกไ้ ขกฎหมายนันใหส้ อดคลอ้ งกบั การพฒั นาเศรษฐกจิ แบบเสรกี ็ได ้ กฎหมายกบั การพฒั นาสงั คม สงิ แวดลอ้ ม การพัฒนาคนตอ้ งอาศัยกฎหมายใหม้ กี ารพัฒนาทางดา้ นใด จงึ จะทําใหส้ งั คมมคี วามสงบสขุ การพัฒนาคนควรจะตอ้ งมกี ฎหมายใหม้ กี ารพฒั นาทางดา้ นจติ ใจ เพราะตามหลกั ในการดําเนนิ ชวี ติ และการดํารงประเทศ จะตอ้ งอาศัยจติ ใจของคนเป็ นสําคญั โดยจะตอ้ งพฒั นาทางจติ ใจของคนใน สงั คมใหม้ ธี รรมะหรอื ใหม้ คี ณุ ธรรม ทําแตค่ วามดี เพอื ใหจ้ ติ ใจมคี วามสงบ กจ็ ะทําใหส้ งั คมมคี วามราบรนื มี ความสงบสขุ กฎหมายกบั สงั คมยุควทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. การทจี ะพฒั นาวทิ ยาศาสตรใ์ หไ้ ปสคู่ วามสําเรจ็ ได ้ ตอ้ งอาศยั การตรากฎหมายขนึ มาเพอื ใหม้ ี สภาพบงั คับได ้ 2. การทําธุรกรรมทางอเิ ลค็ ทรอนกิ สจ์ ะใหม้ ผี ลบงั คบั กันได ้ จะตอ้ งมกี ฎหมายรบั รอง 3. การวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรจ์ ะบรรลเุ ป้าหมายและความสําเร็จได ้ ตอ้ งอาศัยกฎหมายเป็ นสําคญั 4. การทจี ะไมใ่ หม้ กี ารทาํ ลายสงิ แวดลอ้ ม กต็ อ้ งตราเป็ นกฎหมายบังคบั จงึ จะมโี อกาสสมั ฤทธผิ ลได ้ กฎหมายกบั งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ขณะนีมกี ฎหมายอะไรบา้ งทเี กยี วกับงานดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ในขณะนมี กี ฎหมายทเี กยี วขอ้ งกับงานดา้ นวทิ ยาศาสตรอ์ ยู่ 2 ฉบบั คอื 1) พระราชบญั ญตั พิ ฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 2) พระราชบญั ญตั พิ ฒั นาระบบมาตรวทิ ยาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2540 กฎหมายกบั คอมพวิ เตอร์ ในปัจจุบันมกี ฎหมายเกยี วกบั งานดา้ นคอมพวิ เตอรอ์ ยา่ งไร มกี ฎหมายอยู่ 2 ลกั ษณะดว้ ยกนั คอื 1) กฎหมายวา่ ดว้ ยธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ซงึ ไดแ้ ก่ พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยธรุ กรรมทาง อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2544
19 2) กฎหมายวา่ ดว้ ยการประกอบธุรกจิ ขอ้ มลู เครดติ ซงึ ไดแ้ ก่ พระราชบํญัตกิ ารประกอบธรุ กจิ ขอ้ มงู เครดติ พ.ศ. 2545 กฎหมายกบั การวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ ในกรณีทจี ะพัฒนาการวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรใ์ หป้ ระสบความสาํ เรจ็ ตอ่ ไปนัน ควรจะตอ้ งทําอยา่ งไร หากมกี ารพฒั นาใหม้ กี ารวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรใ์ หส้ าํ เรจ็ ตอ่ ไปนัน จะตอ้ งมกี ารเปลยี นแปลง แกไ้ ข กฎหมายใหม้ ผี ลรองรบั ความกา้ วหนา้ ในการพัฒนานัน กฎหมายกบั สงิ แวดลอ้ มในอนาคต สงิ แวดลอ้ มทที ําใหส้ งั คมเกดิ ความเปลยี นแปลงในอนาคตจะอาศัยกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร สงิ แวดลอ้ มทที ําใหส้ งั คมเปลยี นแปลงในอนาคตซงึ รฐั บาลจะตอ้ งเขา้ ควบคุม จําเป็ นทรี ัฐจะตอ้ ง ออกกฎหมายเกยี วกับสงั คมและสงิ แวดลอ้ มนี ทาํ การควบคมุ และหา้ มกระทําหรอื ใหก้ ระทําเพอื ไมใ่ หส้ งั คม ตอ้ งกระทบ กระเทอื นต่อไปอกี แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 6 1. การพฒั นาสงั คมจะเกดิ ผลสาํ เร็จไดต้ อ้ งอาศยั กฎหมาย 2. สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลจะมอี ยใู่ นสงั คมไดน้ ันตอ้ งอาศัย กฎหมาย รองรบั 3. สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ สทิ ธคิ วามเป็ นมนษุ ย์ 4. ในเรอื งทรี ัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไดก้ าํ หนดสทิ ธิ และเสรภี าพของปวงชนชาวไทยไว ้ ไดแ้ ก่ เสรภี าพในการวจิ ัยทางวมิ ทยาศาสตร์ 5. กฎหมายไดพ้ ฒั นาขนึ มาจาก ระเบยี บทใี ชใ้ นสงั คม 6. กฎหมายทตี ราขนึ เพอื ประโยชน์ของคนกลุม่ ใดกลุม่ หนงึ จะเป็ นลักษณะ กฎหมายทขี าดความเป็ น ธรรม 7. เหตทุ กี ารแกป้ ัญหาในสงั คมจะตอ้ งอาศัยกฎหมาย เพราะกฎหมายมสี ภาพบังคับใช ้ 8. การทจี ะพัฒนาระบบเศรษฐกจิ แบบเสรไี ดส้ าํ เร็จ ตอ้ งใหร้ ฐั เปลยี นแปลงกฎหมาย 9. การทจี ะเป็ นนักปกครองบา้ นเมอื งทดี ี นกั ปกครองจะตอ้ งมี ธรรมะประจําใจ 10. การทําธรุ กรรมทางอเิ ลคทรอนกิ สจ์ ะเกดิ ผลเป็ นความสําเร็จไดต้ อ้ งอาศยั กฎหมายทบี ญั ญตั ขิ นึ 11. สงิ ทที ําใหส้ งั คมมรี ะเบยี บไดค้ อื คําสงั ของผมู ้ อี ํานาจปกครองประเทศสงู สดุ 12. สทิ ธขิ องคนหมายความวา่ ประโยชน์ทจี ะพงึ มพี งึ ไดแ้ กท่ กุ คนตามหลักธรรมชาติ 13. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยประกาศความเป็ นมนษุ ยข์ องชนชาวไทยไวว้ า่ องคก์ รของรฐั ทกุ องคก์ รทใี ชอ้ าํ นาจตอ้ งคํานงึ ถงึ ศกั ดศิ รคี วามเป็ นมนษุ ย์ และเสรภี าพตามรฐั ธรรมนูญ 14. กฎหมายทจี ะควบคุมสงั คมไดจ้ ะตอ้ งมลี กั ษณะ มสี ภาพบงั คบั ได ้ 15. การทจี ะใหส้ งั คมมคี วามสงบเรยี บรอ้ ยไดต้ อ้ งอาศัย กฎหมาย 16. กฎหมาย เป็ นบทบาทสําคญั ทจี ะสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คมได ้ 17. เมอื สงั คมเกดิ ปัญหาขดั แยง้ รนุ แรงขนึ จะตอ้ งอาศัย กฎหมายในการแกไ้ ขปัญหานัน 18. นโยบายของรัฐตามรฐั ธรรมนูญนันไดก้ ลา่ วถงึ ดา้ นการเมอื งว่า (ก) รฐั จะตอ้ งจดั ใหม้ แี ผนพฒั นา การเมอื ง (ข) รัฐจะตอ้ งจัดทาํ มาตรฐานทางคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของผดู ้ ํารงตําแหน่งทางการเมอื ง 19. ตามรัฐธรรมนูญใหร้ ัฐจะตอ้ งสนับสนุนเศรษฐกจิ แบบ เสรี โดยอาศัยกลไกตลาดกาํ กับ ดูแลใหม้ ี การแขง่ ขันแบบเป็ นธรรม 20. การทจี ะไมใ่ หม้ กี ารทาํ ลายสงิ แวดลอ้ มนันจะทําไดโ้ ดย ออกเป็ นกฎหมายบงั คับ หนว่ ยที 7 การศกึ ษา คน้ ควา้ และวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ 1. การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการเรยี นรอู ้ ยา่ งหนงึ ทตี อ้ งอาศยั ขนั ตอนตา่ งจากการเรยี นรวู ้ ชิ าอนื เนอื ง จากเป็ นวชิ าทตี อ้ งมกี ารประเมนิ สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยู่ อาทิ ดา้ นกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นศกั ยภาพ เป็ น ตน้ นอกจากนัน ตอ้ งมวี ธิ กี ารศกึ ษาในชนั เรยี นในกรณีศกึ ษาการศกึ ษาในระบบปิด หรอื มวี ธิ กี ารใน การศกึ ษาดว้ ยตนเองในกรณีทเี ป็ นการเรยี นในระบบเปิด เชน่ การศกึ ษาทางไกล ซงึ ผเู ้ รยี นตอ้ งมสี อื ใน การศกึ ษา คอื ตําราและหนังสอื ตา่ งๆ รวมถงึ การไดร้ บั การสอนเสรมิ และการศกึ ษาเป็ นกลุ่ม สงิ ทสี ําคัญ สดุ ทา้ ยคอื วธิ ตี อบปัญหาและขอ้ สอบกฎหมาย
20 2. การคน้ ควา้ ทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นวธิ กี ารทคี น้ หาแหลง่ ทมี าของความรดู ้ า้ นตา่ งๆ ทางดา้ น นติ ศิ าสตรแ์ ละศาสตรค์ วามรอู ้ นื ทนี ํามาใชผ้ สมผสานกบั ความรทู ้ างดา้ นกฎหมาย เป็ นการคน้ ควา้ จาก แหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู แิ ละขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ โดยผา่ นสอื การศกึ ษา เชน่ คน้ ควา้ จากตําราจากหอ้ งสมดุ อาจารย์ หรอื บคุ คลทเี ป็ นทยี อมรบั ในทางวชิ าการ รวมทงั การสงั เกตจากวธิ ปี ฏบิ ตั จิ รงิ นอกจากนี แหลง่ คน้ ควา้ ที สําคญั ทสี ดุ คอื ระบบเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ นต ซงึ ผเู ้ รยี นตอ้ งมเี ทคนคิ ในการคน้ หา และทราบเว็บไซตห์ รอื แหลง่ ทอี ยทู่ สี าํ คญั ต่างๆ 3. การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการคน้ หาความรหู ้ รอื คําตอบทางกฎหมายของแตล่ ะปัญหาทมี คี วาม น่าเชอื ถอื โดยมวี ธิ กี ารวจิ ยั หรอื ทเี รยี กวา่ วทิ ยวธิ ี ทใี ชเ้ ป็ นหลกั ในการทําวจิ ยั การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์ จําเป็ นตอ้ งอาศัยขอ้ มลู จากตวั บทกฎหมาย คําพพิ ากษา และตาํ ราตา่ งๆ โดยสามารถทําไดท้ ังในเชงิ คุณภาพและเชงิ ปรมิ าณ ในการศกึ ษาชนั ปรญิ ญาตรจี ะไมเ่ นน้ การทาํ วจิ ยั แตผ่ เู ้ รยี นควรทราบไวเ้ ป็ นความรู ้ เบอื งตน้ เพอื เป็ นแนว หรอื เพอื การศกึ ษาในระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาต่อไป 7.1 การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ 1. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจี ะศกึ ษา สงิ เหลา่ นคี อื ความ พรอ้ มดา้ นกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นอารมณ์ ดา้ นสงั คม รวมทงั ดา้ นการเงนิ เพอื ใหก้ ารใชท้ รพั ยากรหรอื สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยดู่ งั กลา่ วเป็ นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล โดยคาํ นงึ ถงึ ลําดบั ความสําคัญ 2. วธิ กี ารศกึ ษาทางนติ ศิ าสตรม์ ที ังการศกึ ษาในชนั เรยี นในกรณีการศกึ ษาในระบบปิด หรอื การศกึ ษา ดว้ ยตนเองในกรณที เี ป็ นการเรยี นในระบบเปิด เชน่ การศกึ ษาทางไกล ซงึ ทงั สองวธิ ผี เู ้ รยี นตอ้ งมสี อื ใน การศกึ ษาคอื ตาํ ราและหนังสอื ตา่ งๆ มกี ารเตรยี มตัวกอ่ นศกึ ษา และมกี ารทบทวนหลงั การศกึ ษา โดยอาจ กระทําดว้ ยตนเองหรอื ศกึ ษาเป็ นกลมุ่ ซงึ รวมถงึ การไดร้ บั การสอนเสรมิ ในระบบเปิดดว้ ย 3. โดยทวั ไป วธิ ตี อบปัญหาและขอ้ สอบกฎหมายนยิ มใชแ้ บบอตั นัยในสองรปู แบบ คอื อธบิ ายหลกั กฎหมาย และทเี ป็ นปัญหาสมมตหิ รอื ตังเป็ นตกุ๊ ตา สว่ นในสถานศกึ ษาบางแห่ง อาจมขี อ้ สอบแบบ ปรนัย และอตั นัยผสมกนั การตอบขอ้ สอบจงึ ตอ้ งมหี ลกั เกณฑใ์ นการตอบขอ้ สอบกฎหมาย 7.1.1 การประเมนิ สงิ ทผี เู้ รยี นมอี ยู่ อธบิ ายวา่ ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจี ะศกึ ษาอยา่ งไร การทผี เู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจี ะศกึ ษาคอื การพจิ ารณาความพรอ้ มดา้ นกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นอารมณ์ ดา้ นสงั คม รวมทงั ดา้ นการเงนิ เพอื ใหก้ ารใชท้ รพั ยากรหรอื สงิ ทผี เู ้ รยี นมอี ยู่ ดงั กลา่ วเป็ นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล 7.1.2 วธิ กี ารศกึ ษา อธบิ ายวธิ กี ารศกึ ษาตัวบทกฎหมาย วธิ กี ารศกึ ษาตวั บทกฎหมายจะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจมากกวา่ การท่องจํา การอา่ นตวั บทกฎหมายนัน ตอ้ งอา่ นแลว้ ขดี เสน้ ใตถ้ อ้ ยคําสําคัญ ไมต่ อ้ งกลัววา่ ประมวลกฎหมายหรอื ตัวบทกฎหมายจะดไู มเ่ รยี บรอ้ ย หรอื สกปรกเมอื มกี ารขดี เสน้ ใตแ้ ลว้ หากไมเ่ ขา้ ใจอยา่ งชดั แจง้ หรอื ยากตอ่ การเขา้ ใจ ผเู ้ รยี นตอ้ งอาศยั หลกั การบนั ทกึ ยอ่ ขยายความเอาไว ้ โดยอาจไดม้ าจากเอกสารการสอนหรอื มาตราในตัวบทกฎหมายที เกยี วโยง หรอื พพิ ากษาศาลฎกี าทพี พิ ากษาตคี วามถอ้ ยคํานันไวแ้ ลว้ โดยใหบ้ นั ทกึ ยอ่ ในตวั บทกฎหมาย นัน หากเนอื ทไี มเ่ พยี งพอใหใ้ ชก้ ระดาษเปล่าทําเป็ นบันทกึ ตอ่ 7.1.3 การตอบปญั หาและขอ้ สอบกฎหมาย อธบิ ายวธิ กี ารเขยี นตอบขอ้ สอบแบบอตั นัย ตอ้ งมหี ลกั กฎหมายทเี กยี วขอ้ งกบั ปัญหานัน ตอ้ งวนิ จิ ฉัยปัญหาโดยปรบั ขอ้ เท็จจรงิ เขา้ กบั หลกั กฎหมายและสดุ ทา้ ยคอื การสรปุ คําตอบ 7.2 การคน้ ควา้ ทางนติ ศิ าสตร์ 1. แหลง่ สะสมตวั บทกฎหมาย เอกสารการสอน ตํารา และวรรณกรรมกฎหมายทกุ ประเภททดี ที สี ดุ ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ กฎหมาย ผเู ้ รยี นนติ ศิ าสตรจ์ ะตอ้ งเขา้ หอ้ งสมดุ กฎหมายเพอื ศกึ ษาการคน้ หาเอกสารที ตอ้ งการ ทังจากบตั รรายการและเครอื งมอื สบื คน้ ตา่ งๆ รวมถงึ ฐานขอ้ มลู ทางคอมพวิ เตอร์ ซดี รี อม อนิ เทอร์ เนต และอาจเป็ นวธิ กี ารสบื คน้ และยมื เอกสารระหว่างหอ้ งสมดุ กฎหมาย 2. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื อาจเป็ นกรณกี ารสอนเสรมิ ซงึ เป็ นวธิ คี น้ ควา้ จากอาจารย์ ทไี ปสอนเสรมิ และพบปะนักศกึ ษาหรอื ผเู ้ รยี นเป็ นคราวๆ หรอื กรณีการแลกเปลยี นขอ้ มลู กบั กลุ่มเพอื น หรอื เป็ นกรณีทไี ดร้ บั คําแนะนําจากผทู ้ เี ป็ นทยี อมรับในวงการกฎหมาย
21 3. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางกฎหมายโดยการสงั เกตและฝึกปฏบิ ตั ิ อาจโดยการสงั เกตจาก สถานการณ์ทเี ป็ นจรงิ เชน่ การพจิ ารณาในศาล หรอื ศาลจําลอง และ การฝึกงานในหนว่ ยงานทเี กยี วกบั กฎหมาย 4. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางกฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต เป็ นแหล่งสําคัญในการคน้ ควา้ ทาง กฎหมาย การคน้ หาจงึ ตอ้ งอาศัย Internet Search Engine เพอื คน้ หาเว็บไซต์ แหลางขอ้ มลู ทเี กยี วขอ้ ง และแหล่งขอ้ มลู ทเี ชอื มตอ่ ทเี กยี วขอ้ ง (Links) 7.2.1 การคน้ ควา้ ขอ้ มูลกฎหมายจากหอ้ งสมุด อธบิ ายหนา้ ทแี ละวตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมดุ กฎหมาย หนา้ ทแี ละวตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมดุ กฎหมายคอื เพอื การศกึ ษา เพอื ใหค้ วามรแู ้ ละขา่ วสาร เพอื การคน้ ควา้ วจิ ยั และเพอื ความจรรโลงใจ 7.2.2 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบุคคลอนื อธบิ ายวธิ กี ารคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื อาจเป็ นกรณีสอนเสรมิ ซงึ เป็ นวธิ คี น้ ควา้ จากอาจารยท์ ไี ปสอนเสรมิ หรอื กรณีแลกเปลยี นขอ้ มลู กับ กลมุ่ เพอื น หรอื เป็ นกรณที ไี ดร้ ับคาํ แนะนําจากผทู ้ เี ป็ นทยี อมรบั ในวงการกฎหมาย 7.2.3 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากการสงั เกตและฝึ กปฏบิ ตั ิ อธบิ ายการฝึกงานในสํานักงานกฎหมายวา่ มลี กั ษณะงานอยา่ งไร ผเู ้ รยี นจะไดฝ้ ึกในลกั ษณะทคี อยชว่ ยเหลอื หรอื ภายใตก้ ารควบคมุ มอบหมายของทนายความที ดูแลผเู ้ รยี นทไี ปฝึกหดั จะทํางานดา้ นการคน้ ควา้ ขอ้ กฎหมายตา่ งๆ คน้ คาํ พพิ ากษาฎกี า ทําความเหน็ ตา่ งๆ รา่ งเอกสารตา่ งๆ เชน่ หนังสอื ทวงหนี หนังสอื บอกกลา่ ว คาํ รอ้ ง หรอื คําฟ้อง เป็ นตน้ 7.2.4 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต อธบิ ายวธิ กี ารใชข้ อ้ มลู ทไี ดจ้ ากอนิ เทอรเ์ นตทสี าํ คญั การใชข้ อ้ มลู ทไี ดจ้ ากอนิ เทอรเ์ นต ตอ้ งตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความนา่ เชอื ถอื ของขอ้ มลู ทไี ดม้ า กอ่ นนําไปใช ้ 7.3 การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ 1. การวจิ ัยเป็ นกระบวนการคน้ ควา้ หาความรู ้ ความเขา้ ใจในสงิ หรอื ปรากฏการณ์ทเี ป็ นเป้าหมายของ การศกึ ษาเพอื ใหเ้ กดิ ผลทเี ชอื มันได ้ 2. วธิ กี ารวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรเ์ ป็ นกระบวนการศกึ ษาจากปัญหากฎหมาย โดยนําขอ้ มลู จากตัวกฎหมาย บทความ คําพพิ ากษา หลกั กฎหมายตา่ งประเทศมาเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหก์ บั ปัญหาหรอื หัวขอ้ ทตี ังขนึ โดยไมใ่ ชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิ แลว้ สรปุ ลงทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอแนะวา่ ควรมกี ารแกไ้ ข กฎหมายทมี อี ยใู่ หค้ รอบคลมุ หรอื มกี ารตรากฎหมายขนึ ใหม่ นอกจากนัน วธิ กี ารวจิ ัยทางนติ ศิ าสตรย์ งั รวมถงึ กระบวนการศกึ ษาปัญหา กฎหมาย โดยไดข้ อ้ มลู จากความจรงิ โดยธรรมชาตมิ กี ารเก็บขอ้ มลู และนําวธิ กี ารทางสถติ มิ าวเิ คราะหเ์ พอื ประมาณคา่ วเิ คราะหก์ ับปัญหาทตี ังขนึ แลว้ สรปุ วา่ ควรมกี ารแกไ้ ข ปรับปรุงกฎหมาย หรอื ปัญหาทตี ังขนึ อยา่ งไร ตามทไี ดต้ ังในสมมตฐิ านไว ้ 3. การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรม์ ปี ระโยชนต์ ่อการพฒั นาการวทิ ยาการทางกฎหมาย และเป็ นการถ่ายทอด ประสบการณจ์ ากคนรุ่นหนงึ ไปยงั อกี รนุ่ หนงึ 7.3.1 ลกั ษณะทวั ไปของการวจิ ยั การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์ หากแบง่ ตามสาขาวชิ าการจะเป็ นการวจิ ยั ดา้ นใด การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการวจิ ัยดา้ นสงั คมศาสตร์ 7.3.2 วธิ กี ารวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรโ์ ดยทวั ไปมกี รณใี ดบา้ ง โดยทวั ไปแลว้ การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรใ์ นเบอื งตน้ มี 2 กรณี คอื กรณแี รก ศกึ ษาจากปัญหากฎหมาย นําขอ้ มลู จากตัวกฎหมาย บทความ คําพพิ ากษา หลกั กฎหมายตา่ งประเทศ มาเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหก์ บั ปัญหาหรอื หวั ขอ้ ทตี ังขนึ โดยไมใ่ ชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิ แลว้ สรุปลงทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอ กับกรณีทสี อง ศกึ ษา ปัญหากฎหมายโดยไดข้ อ้ มลู จากความจรงิ โดยธรรมชาตหิ รอื ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ มกี ารเก็บขอ้ มลู และวธิ กี าร ทางสถติ มิ าวเิ คราะหเ์ พอื ประมาณค่า วเิ คราะหก์ ับปัญหาทตี ังขนึ แลว้ สรปุ
22 7.3.3 ประโยชนท์ ไี ดร้ บั จากการวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ การวนิ จิ ฉัยทางนติ ศิ าสตรม์ ปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร อธบิ ายมา 3 ประการ 1) พฒั นากฎหมายทจี ะมผี ลกระทบตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งของประเทศ 2) เป็ นการถา่ ยทอดประสบการณจ์ ากนักกฎหมายร่นุ หนงึ ไปยงั นักกฎหมายอกี รุ่นหนงึ ซงึ เป็ น วธิ กี ารทนี ักกฎหมายจะไดเ้ พมิ พูนวทิ ยาการความรู ้ และความสามารถ 3) ชว่ ยใหค้ น้ พบทฤษฎี หรอื แนวคดิ ทางกฎหมายใหมท่ นี ํามาปรับใชก้ บั สภาพสงั คมปัจจุบนั ที เปลยี นแปลงตลอดเวลา แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 7 1. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งมสี งิ เหลา่ นี (ก) แรงจงู ใจในการเรยี นรู ้ (ข) การตดิ ตอ่ และ ร่วมมอื กับเพอื นๆ (ค) ความเป็ นผตู ้ นื ตวั (ง) ความอดทนต่อสงิ ทกี ํากวม 2. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งมคี วามอดทนตอ่ สงิ ทกี าํ กวมหมายความวา่ (ก) ตอ้ งคดิ ใน ปัญหาต่างๆ (ข) ตอ้ งมกี ารตคี วามในเรอื งตา่ งๆ (ค) ตอ้ งอธบิ ายและโตแ้ ยง้ ในความคดิ 3. กฎหมายครอบครวั เรอื งอายสุ มรสว่าชายหญงิ ตอ้ งมอี ายทุ ่าใด มศี าสตรท์ เี กยี วขอ้ งคอื นติ ศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประชากรศาสตร์ ศาสนศาสตร์ รฐั ศาสตร์ 4. กฎหมายครอบครัวเรอื งอายสุ มรสว่าชายและหญงิ ตอ้ งมอี ายเุ ทา่ ใด มศี าสตรท์ เี รยี กวา่ ”ประชากร ศาสตร”์ เกยี วขอ้ งคอื เป็ นการกาํ หนดอัตราการเพมิ และลดของพลเมอื ง 5. วธิ ศี กึ ษาตวั บทกฎหมายทดี ี จะตอ้ งทําในสงิ ตอ่ ไปรคี อื (ก) อา่ นแลว้ ขดี เสน้ ใตค้ ําตา่ งๆ (ข) บนั ทกึ ยอ่ ขอ้ ความ (ค) ศกึ ษาคําพพิ ากษาฎกี าทตี คี วามถอ้ ยคําต่างๆ (ง) ศกึ ษามาตราอนื ทเี กยี วโยงกัน สว่ นเรอื ง การทอ่ งจาํ ใหไ้ ดม้ ากทสี ดุ นัน ไมค่ อ่ ยมคี วามจําเป็ น 6. การศกึ ษาตัวบทกฎหมายทดี ี ไมค่ วรใชก้ ารท่องจําใหไ้ ดท้ กุ มาตรา โดยคดิ วา่ จะทาํ ใหต้ อบขอ้ สอบ ไดม้ ากทสี ดุ 7. ในการตอบขอ้ สอบนติ ศิ าสตรแ์ บบอตั นัยนัน อยา่ เพงิ ตอบในขณะทยี ังตนื เตน้ 8. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากหอ้ งสมดุ เราสามารถสามารถใชบ้ รกิ ารสงิ เหลา่ นคี อื (ก) ยมื หนังสอื ระหวา่ งหอ้ งสมดุ (ข) ใชบ้ รกิ ารหนังสอื อา้ งองิ (ค) สบื คน้ ขอ้ มลู จากคอมพวิ เตอร์ (ง) ยมื หนังสอื เพอื ถ่าย อกสาร แตไ่ มส่ ามารถทําได้ คอื การจดั กลมุ่ พูดคยุ ถกปญั หากฎหมาย 9. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื “คําว่าบคุ คลอนื ” หมายถงึ บคุ คลตอ่ ไปนคี อื (ก) อาจารย์ ผสู ้ อนชดุ วชิ า (ข) อาจารยก์ ฎหมายสถาบนั อนื (ค) ผพู ้ พิ ากษา พนักงานอัยการ (ง) ปรมาจารยท์ าง กฎหมาย ยกเวน้ บคุ คล เชน่ เพอื นนักศกึ ษาสาขาวชิ าศลิ ปะศาสตร์ 10. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายโดยการสงั เกตและฝึกปฏบิ ตั เิ กยี วขอ้ งกบั สงิ ตอ่ ไปนี (ก) ศาลจําลอง (ข) การฝึกงานในหน่วยงานราชการ (ค) การฝึกงานในบรษิ ัท (ง) การสงั เกตวธิ พี จิ ารณาในศาล ยกเวน้ การสอบถามบคุ คลอนื ปากตอ่ ปากไมใ่ ชก่ ารคน้ ควา้ 11. การสบื คน้ ขอ้ มลู กฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ตมปี ัญหาคอื (ก) ไมม่ แี หล่งขอ้ มลู ทเี พยี งพอ (ข) ขอ้ มลู ไมถ่ กู ตอ้ งและขาดความนา่ เชอื ถอื (ค) ขอ้ มลู ไมม่ กี ารจดั เป็ นระเบยี บ 12. การเขยี นรายงานการวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรม์ ี 5 ขนั ตอน ขนั ตอนที 4 คอื บรู ณาการกฎหมายกบั ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เท็จจรงิ ทเี กยี วกับปัญหา 13. การวจิ ยั เหตุของการเลอื นคดใี นศาลทที ําใหก้ ารพจิ ารณาคดลี า่ ชา้ ผลการวจิ ยั สามารถนํามาใชใ้ น การพัฒนาวธิ จี ดั การและตดั สนิ ใจของบคุ คลตอ่ ไปนี (ก) คูค่ วาม (ข) ทนายความ (ค) พนักงานอัยการ (ง) ผพู ้ พิ ากษา โดยยกเวน้ บคุ คลตอ่ ไปนีคอื เจา้ หนา้ ทรี าชทณั ฑซ์ งึ ไมเ่ กยี วขอ้ ง 14. การเขยี นตอบขอ้ สอบแบบอตั นัยวา่ “ขา้ พเจา้ เคยครอบครองปรปักษ์ทดี นิ เชน่ เดยี วกบั การครอบ ครองในคําถาม” เป็ นการตอบทไี มค่ วรทํา เพราะเป็ นการเขยี นประสบการณส์ ว่ นตวั ประกอบคําตอบ 15. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากจากหอ้ งสมดุ เราสามารถใชบ้ รกิ ารไดค้ อื (ก) ใชบ้ รกิ ารหนังสอื อา้ งองิ (ข) สบื คน้ ขอ้ มลู จากคอมพวิ เตอร์ สว่ นการจดั กลมุ่ พดู คุยถกปัญหากฎหมายหา้ มทํา 16. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื หมายถงึ สงิ ตอ่ ไปนี (ก) การสอนเสรมิ ของอาจารยจ์ าก สถาบนั อนื (ข) การสอนเสรมิ จากผทู ้ รงคุณวฒุ ิ (ค) การไดร้ บั คําแนะนําจากปรมาจารยท์ างกฎหมาย (ง) การศกึ ษาเป็ นกลุ่ม ยกเวน้ การศกึ ษาจากศาลจําลอง 17. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายโดยการฝึกปฏบิ ตั เิ กยี วขอ้ งกบั สงิ ต่อไปนี (ก) ศาลจําลอง (ข) การ ฝึกงานในหน่วยงานราชการ (ค) การฝึกงานในบรษิ ัท (ง) การเป็ นผชู ้ ว่ ยทนายความ ยกเวน้ การนังในหอ้ ง พจิ ารณาคดใี นศาล 18. ตัวอยา่ งการคน้ ขอ้ มลู กฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ตเชน่ www.thailandlaw9.com 19. การเขยี นรายงานการวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรม์ ี 5 ขนั ตอน ขนั ตอนที 5 คอื สรุปและเสนอแนะ
23 20. การวจิ ัยวา่ วธิ กี ารควบคุมระบบสํานวนคดโี ดยใชฐ้ านขอ้ มลู หรอื แถบรหสั หรอื ใชม้ อื วธิ กี ารใด สามารถใชป้ ฏบิ ตั งิ านได ้ เป็ นประโยชนก์ ารทาํ วจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรค์ อื เป็ นการเลอื กวธิ ปี ฏบิ ัตงิ าน หนว่ ยที 8 การบญั ญตั กิ ฎหมาย 1. การบญั ญัตกิ ฎหมายตองทําตามวธิ กี าร เป็ นขนั ตอน คอื จดั ทํารา่ งกฎหมาย เสนอรา่ งกฎหมายตอ่ ผมู ้ อี าํ นาจพจิ ารณา พจิ ารณาร่างกฎหมายเพอื รับหลกั การและแกไ้ ข ปรับปรงุ ใหเ้ หมาะสม นํากฎหมายที พจิ ารณาเหน็ ชอบแลว้ ขนึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มเพอื พระมหากษัตรยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยและประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษา เพอื ใชบ้ งั คบั เป็ นกฎหมาย 2. การบญั ญัตกิ ฎหมายตอ้ งคํานงึ ถงึ หลักบางประการไดแ้ ก่ ความถูกตอ้ ง ความแน่นอน ความสมบรู ณ์ ความศกั ดสิ ทิ ธิ และสมั ฤทธผิ ล รวมทงั ความนยิ มดว้ ย 8.1 วธิ กี ารบญั ญตั กิ ฎหมาย 1. ผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอใหบ้ ญั ญัตกิ ฎหมาย คอื ผทู ้ รี ัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยกําหนดไว ้ 2. การบญั ญัตกิ ฎหมายขนึ ใชบ้ งั คับตอ้ งเสนอร่างกฎหมายไดแ้ กร่ ัฐสภา การพจิ ารณารา่ งพระราช บญั ญตั ติ อ้ งดําเนนิ การตามวธิ กี ารทกี าํ หนดไวใ้ นรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ขอ้ บังคับการประชมุ สภาผแู ้ ทนราษฎร และขอ้ บงั คบการประชมุ วฒุ สิ ภา 3. การบญั ญตั กิ ฎหมายขนึ ใชบ้ งั คับเป็ นพระราชบญั ญัติ เป็ นพระราชอาํ นาจของพระมหากษัตรยิ ต์ าม รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย แตจ่ ะมผี ลใชบ้ ังคับไดก้ ต็ อ่ เมอื ไดป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลว้ 8.1.1 การเสนอใหบ้ ญั ญตั กิ ฎหมาย เป็ นเป็ นผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอร่างพระราชบญั ญัตใิ หร้ ฐั สภาพจิ ารณา ใหบ้ อกมาใหค้ รบ ผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอรา่ งพระราชบญั ญัตใิ หร้ ัฐสภาพจิ ารณา คอื 1) คณะรฐั มนตรี 2) สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร 3) ผมู ้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั ไมน่ อ้ ยกวา่ 50,000 คน ซงึ เขา้ ชอื กนั รอ้ งขอตอ่ ประธานสภา เพอื ใหร้ ฐั สภา พจิ ารณากฎหมายเกยี วกับสทิ ธแิ ละเสรภี าพของชนชาวไทย หรอื เกยี วกับแนวนโยบายพนื ฐานแห่งรัฐ 8.1.2 การพจิ ารณารา่ งกฎหมาย (1) การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั โิ ดยสภาผแู ้ ทนราษฎรตอ้ งกระทํากวี าระ แต่ละวาระใหล้ งมติ อยา่ งไร การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตโิ ดยสภาผแู ้ ทนราษฎรตอ้ งกระทํา 3 วาระ คอื วาระทหี นงึ ใหล้ ง มตวิ า่ รับหลักการหรอื ไมร่ บั หลักการแหง่ พระราชบญั ญตั นิ ัน วาระทสี อง พจิ ารณาโดยคณะกรรมการทสี ภา ตังขนึ หรอื กรรมาธกิ ารเตม็ สภา แลว้ รายงานใหส้ ภาพจิ ารณาลงมตวิ า่ จะแกไ้ ขอยา่ งไร หรอื ไม่ วาระทสี าม ใหล้ งมตวิ า่ เห็นชอบหรอื ไมเ่ ห็นชอบกบั รา่ งพระราชบญั ญัตนิ ัน (2) รา่ งพระราชบัญญตั ทิ ผี า่ นการพจิ ารณาเหน็ ชอบของสภาผแู ้ ทนราษฎรแลว้ แตต่ อ้ งยบั ยงั เพราะ วฒุ สิ ภาไมเ่ ห็นชอบ สภาผแู ้ ทนราษฎรอาจยกขนึ พจิ ารณาใหมไ่ ดเ้ มอื ใด รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ผี า่ นการพจิ ารณาเห็นชอบของสภาผแู ้ ทนราษฎรแลว้ แตต่ อ้ งยบั ยงั เพราะ วฒุ สิ ภาไมเ่ หน็ ชอบ สภาผแู ้ ทนราษฎรอาจยกขนึ พจิ ารณาใหมไ่ ด ้ ดงั นี 1) ร่างพระชาบญั ญัตทิ เี กยี วกบั การเงนิ อาจยกขนึ พจิ ารณาใหมไ่ ดท้ นั ที 2) รา่ งพระราชบัญญตั ทิ ไี มเ่ กยี วกบั การเงนิ อาจยกขนึ พจิ ารณาใหมไ่ ดเ้ มอื พน้ 180 วัน นับแต่ วันทวี ฒุ สิ ภาสง่ คนื มายังสภาผแู ้ ทนราษฎร หรอื วนั ทวี ฒุ สิ ภาไมเ่ หน็ ชอบกบั รา่ งพระราชบญั ญัตทิ ี คณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั พจิ ารณา แลว้ แต่กรณี 8.1.3 การบญั ญตั เิ ป็ นกฎหมายใชบ้ งั คบั (1) พระมหากษัตรยิ ท์ รงตราพระราชกาํ หนดขนึ ใชบ้ ังคบั ไดใ้ นกรณีใด พระมหากษัตรยิ ท์ รงตราพระราชกาํ หนดขนึ ใชบ้ งั คับไดเ้ มอื คณะรฐั มนตรเี ห็นวา่ เป็ นกรณฉี ุกเฉนิ ทมี ี ความจําเป็ นรบี ด่วนอันมอิ าจหลกี เลยี งได ้ เฉพาะเพอื ประโยชนใ์ นอนั ทจี ะรักษาความปลอดภยั ของประเทศ ความปลอดภยั ของสาธารณะ ความมนั คงทางเศรษฐกจิ ของประเทศ หอื ป้องปัดภัยพบิ ตั สิ าธารณะ และใน
24 กรณที มี คี วามจําเป็ นตอ้ งมกี ฎหมายเกยี วขอ้ งดว้ ยภาษีอากรหรอื เงนิ ตรา ซงึ จะตอ้ งไดร้ ับการพจิ ารณา โดยดว่ นและลบั เพอื รักษาประโยชนข์ องแผ่นดนิ (2) ร่างพระราชบัญญตั ทิ พี ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเหน็ ชอบดว้ ยและไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย อาจ ประกาศใชบ้ งั คับเป็ นกฎหมายในกรณใี ด หรอื ไม่ ร่างพระราชบัญญัตทิ พี ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเหน็ ชอบดว้ ย และไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย อาจ ประกาศใชเ้ ป็ นกฎหมายได ้ เมอื รัฐสภามมี ตยิ นื ยันตามเดมิ ดว้ ยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ 2 ใน 3 ของจํานวน สมาชกิ ทังหมดทมี อี ยขู่ องทงั สองสภา (3) พระราชกําหนดทสี ภาผแู ้ ทนราษฎรอนุมัติ แตว่ ฒุ สิ ภาไมอ่ นุมตั ิ จะมผี ลใชบ้ งั คับไดใ้ นกรณใี ด หรอื ไม่ พระราชกําหนดทสี ภาผแู ้ ทนราษฎรอนมุ ัติ แตว่ ฒุ สิ ภาไมอ่ นมุ ัติ มผี ลใชบ้ ังคับเป็ นพระราชบญั ญตั ิ ตอ่ ไปไดเ้ มอื สภาผแู ้ ทนยนื ยนั การอนุมตั ดิ ว้ ยคะแนนเสยี งมากกวา่ กงึ หนงึ ของจํานวนสมาชกิ ทังหมดเทา่ ทมี ี อยขู่ องสภาผแู ้ ทนราษฎร 8.2 หลกั ในการบญั ญตั กิ ฎหมาย 1. การบญั ญตั กิ ฎหมายจอ้ งคาํ นงึ ถงึ ความถกู ตอ้ ง คอื ถกู วธิ กี าร ถูกแบบ ถกู เนอื หา ถกู หลกั ภาษาและ ตอ้ งเป็ นธรรมแกท่ กุ ฝ่ ายในสงั คมดว้ ย 2. การบญั ญัตกิ ฎหมายตอ้ งคาํ นงึ ถงึ ความแน่นอนในถอ้ ยคําและขอ้ ความ โดยใหม้ คี วามชดั เจนและ รดั กมุ 3. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคํานงึ ถงึ ความสมบรู ณ์คอื ใหไ้ ดส้ าระครบถว้ นครอบคลมุ ไมข่ าดตก บกพรอ่ ง สอดคลอ้ งไมข่ ดั กนั และเชอื มโยงไมข่ าดตอน 4. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคาํ นงึ ถงึ ความศกั ดสิ ทิ ธิ คอื กฎหมายทเี ป็ นคําบงการ (Command) ใหใ้ คร ทําอะไร ตอ้ งใหม้ สี ภาพบงั คบั (Sanction) และตอ้ งใหส้ มั ฤทธผิ ล คอื ใหไ้ ดผ้ ลบรรลจุ ุดประสงคใ์ นการตรา กฎหมายฉบับนัน 5. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคํานงึ ถงึ ความนยิ มเกยี วกับลลี า ถอ้ ยคํา และการใชต้ ัวเลขแทนตัวหนังสอื 8.2.1 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหถ้ กู ตอ้ ง ใหบ้ อกขอ้ บกพรอ่ งของขอ้ ความในรา่ งกฎหมายดังตอ่ ไปนี และแกไ้ ขใหถ้ กู หลกั ภาษา (1) “กรรมการรา่ งกฎหมายใหแ้ ต่งตังจากผทู ้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นกฎหมาย ซงึ มผี ลงานดเี ดน่ ถูกยอมรับ โดยวงการกฎหมาย” ขอ้ บกพรอ่ งคอื การใชค้ าํ วา่ “ถกู ” ประกอบคํากรยิ าในประโยคกรรมวาจกทไี มม่ คี วามหมายในทาง ไมด่ นี ัน ไมเ่ ป็ นทนี ยิ มในภาษากฎหมาย ในกรณนี ีตอ้ งใชค้ าํ วา่ “เป็ นท”ี แทนคําว่า “ถกู ” (2) “คําขอนัน ตอ้ งระบชุ อื อายุ และประวตั ขิ องผขู ้ อ และเอกสารหลักฐานประกอบคาํ ขอ” ขอ้ บกพรอ่ งคอื ขอ้ ความดังกล่าวมคี ําว่า “ระบ”ุ เป็ นคํากรยิ าร่วมของ 2 ประโยค เมอื อา่ นขอ้ ความ ทังหมดแลว้ จะไดค้ วามวา่ “ตอ้ งระบชุ อื อายุ และประวตั ขิ องผขู ้ อ” ประโยคหนงึ และ “ตอ้ งระบเุ อกสาร หลักฐานประกอบคําขอ” อกี ประโยคหนงึ ซงึ ประโยคหลงั นีผดิ ไปจากความมงุ่ หมายทจี ะให ้ “สง่ ” หรอื “แนบ” เอกสารหลักฐานไมใ่ ชเ่ พยี ง “ระบ”ุ เหมอื นอยา่ งระบพุ ยานในการตอ่ สคู ้ ดใี นศาล ควรแกใ้ หถ้ กู ตอ้ ง และเหมาะสม เป็ น “ใหผ้ ขู ้ อระบชุ อื อายุ และประวตั ขิ องตนเองลงในคําขอ และสง่ (แนบ) เอกสาร หลักฐานประกอบคําขอดว้ ย” (3) “ผผู ้ ลติ สารระเหยตอ้ งจดั ใหม้ ี “เครอื งหมาย” ทภี าชนะบรรจสุ ารระเหยเพอื เป็ นคาํ เตอื น หรอื ขอ้ ควรระวังใชส้ ารระเหยนัน” ขอ้ บกพรอ่ งคอื ใชค้ ําวา่ “เครอื งหมาย” เป็ นคําหลักและใชค้ ําว่า “คําเตอื น” กบั “ขอ้ ควรระวงั ” เป็ น คําขยาย ซงึ ไมส่ อดคลอ้ งกนั เพราะ “เครอื งหมาย” ไมไ่ ดเ้ ป็ น “คํา” หรอื “ขอ้ ” จงึ ไมถ่ ูกหลกั ภาษา ถา้ จะ ใหถ้ กู ตอ้ งเปลยี นคําวา่ “เครอื งหมาย” เป็ น “ขอ้ ความ” จงึ จะสอดคลอ้ งกัน เพราะ “ขอ้ ความ” เป็ น “คํา” ก็ ได ้ เป็ น “ขอ้ ” ก็ได ้ 8.2.2 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหแ้ นน่ อน ใหบ้ อกขอ้ บกพรอ่ งของขอ้ ความในรา่ งกฎหมายดังตอ่ ไปนี และแกใ้ หช้ ดั เจนและรดั กมุ (1) “ใหน้ ําพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น มาใชบ้ งั คับแกข่ า้ ราชการกรุงเทพมหานคร โดยอนุโลม”
25 ขอ้ บกพร่องคอื ใชค้ ําวา่ “พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขอ้ ราชการพลเรอื น” ซงึ เป็ นคําเฉพาะ โดย ไมร่ ะบุ พ.ศ. ทตี ราพระราชบญั ญัตฉิ บบั นันไมถ่ กู ตอ้ งเพราะไมช่ ดั เจนวา่ เป็ นพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บ ขา้ ราชการพลเรอื นฉบบั ไหน เนอื งจากพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื นมกี ารแกไ้ ขหลายฉบับ ตอ้ งแกคําวา่ “พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น” เป็ น “กฎหมายว่าดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการพล เรอื น” ซงึ เป็ นคําสามัญทหี มายถงึ ฉบับทใี ชอ้ ยรู่ วมทังฉบบั แกไ้ ขเพมิ เตมิ ทใี ชอ้ ยดู่ ว้ ย (2) “เทศบาลมหี นา้ ทจี ัดใหม้ แี ละบํารงุ รกั ษาสถานทสี าํ หรบั การเลน่ กฬี าและพลศกึ ษา” ขอ้ บกพรอ่ งคอื คําว่า “พลศกึ ษา” ซงึ หมายถงึ “การสอนวชิ าพละ” มาเขยี น ใหเ้ ป็ นหนา้ ทขี อง เทศบาลทจี ะตอ้ งจดั ใหม้ แี ละบํารงุ รักษารวมกบั สถานทสี าํ หรับการเล่นกฬี า จงึ ไมช่ ดั เจนและไมต่ รงกับ ความมงุ่ หมายทจี ะใหเ้ ทศบาลจดั ใหม้ แี ละบํารงุ รักษาสถานทสี ําหรับออกกําลังกาย จงึ ตอ้ งแกเ้ ป็ น “เทศบาลมหี นา้ ทจี ัดใหม้ แี ละบํารงุ รักษาสถานทสี ําหรับการเลน่ กฬี าและการออกกาํ ลังกาย (หรอื การ บรหิ ารร่างกาย)” (3) “ถา้ พยานหลักฐานยนื ยนั สอดคลอ้ งกนั น่าเชอื วา่ ผถู ้ กู กลา่ วหากระทาํ ผดิ วนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง ให ้ สงั ลงโทษไลอ่ อกหรอื ปลดออก” ขอ้ บกพร่องคอื ไมร่ ัดกมุ เพราะคําวา่ “น่าเชอื ” ยังอยใู่ นลกั ษณะมมี ลทนิ หรอื มวั หมอง ยงั ฟังไมไ่ ด ้ วา่ กระทาํ ผดิ ทจี ะถกู ลงโทษไลอ่ อกหรอื ปลดออก ถา้ มพี ยานหลักฐานยนื ยนั แน่นอนก็ตอ้ ง เชอื ได”้ ไมใ่ ช่ “น่าเชอื ” จงึ ตอ้ งแกเ้ ป็ น “ถา้ มพี ยานหลกั ฐานยนื ยนั สอดคลอ้ งกัน ฟังไดว้ า่ ผถู ้ กู กล่าวหากระทําผดิ วนิ ัย อยา่ งรา้ ยแรง ใหส้ งั ลงโทษไล่ออกหรอื ปลดออก” 8.2.3 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหส้ มบรู ณ์ ในการร่างเป็ นพระราชบญั ญตั ิ หากมรี ายละเอยี ดเป็ นหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร หรอื เงอื นไขทตี อ้ งปฏบิ ตั ิ ตามพระราชบญั ญัตนิ ัน โดยเหมาะสมกบั เวลาหรอื สถานทซี งึ ยังไมอ่ าจกาํ หนดไวใ้ นพระราชบัญญตั นิ ันได ้ ควรรา่ งอยา่ งไรจงึ จะสมบรู ณ์ ควรรา่ งออกใหเ้ ป็ นกฎหมายลูกอกี ชนั หนงึ เชน่ ใหต้ ราเป็ นพระราชกฤษฎกี า ใหอ้ อกเป็ น กฎกระทรวง ขอ้ บังคับ ระเบยี บ หรอื ประกาศ หรอื ใหร้ ฐั มนตรผี รู ้ กั ษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ัน หรอื คณะกรรมการทตี ังขนึ ตามพระราชบญั ญัตนิ ันกาํ หนดรายละเอยี ดก็ได ้ 8.2.4 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหศ้ กั ดสิ ทิ ธแิ ละสมั ฤทธผิ ล มาตรการบังคบั (Sanction) ทจี ะเขยี นในกฎหมายเพอื ดําเนนิ การในกรณีทมี ผี ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ิ ตามกฎหมายนันมอี ะไรบา้ ง ยกมา 3 ประการ มาตรการบังคบั (Sanction) ทจี ะเขยี นในกฎหมายมหี ลายประการ เชน่ 1) มาตรการทางแพง่ เชน่ ไมร่ บั รผู ้ ลในกฎหมาย คอื ใหก้ ารกระทํานันเป็ นโมฆะ 2) มาตรการตามกฎหมายปกครอง เชน่ พกั ใชใ้ บอนุญาต หรอื เพกิ ถอนใบอนญุ าต 3) มาตรการทางอาญา ใหไ้ ดร้ ับโทษทางอาญา เชน่ ประหารชวี ติ จําคกุ ปรับ 8.2.5 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหต้ อ้ งตามความนยิ ม ในการรา่ งพระราชบัญญตั ิ หากมคี ําทเี กยี วกบั จํานวนนับ หรอื ลําดบั ควรใชต้ ัวเลขหรอื ตวั หนังสอื บางกรณีนยิ มใชต้ วั เลข บางกรณนี ยิ มใชต้ ัวหนังสอื คอื กรณีทใี ชต้ วั เลข (1) วันที พ.ศ. เชน่ “ใหไ้ ว ้ ณ วันที 20 มกราคม พ.ศ. 2518” (2) จํานวนนับทไี มใ่ ชเ่ นอื หาสาระในกฎหมาย เชน่ “เป็ นปีที 30 ในรัชกาลปัจจบุ ัน” (3) หมวด สว่ น มาตรา และอนุมาตราของกฎหมาย เชน่ “หมวด 1” “สว่ นที 1” “มาตรา 6 (1)” (4) หมายเลขเอกสารแนบทา้ ยกฎหมาย เชน่ “บญั ชหี มายเลข 3” (5) ลําดบั ชนั หรอื ขนั เชน่ “ตําแหน่งระดบั 10 รับเงนิ เดอื นในอนั ดบั 10 ซงึ มี 31 ขนั ” (6) อนั ดบั ขนั เงนิ เดอื น เชน่ “อนั ดบั 11 ขนั 42,120 บาท” (7) อตั ราค่าธรรมเนยี มในบญั ชที า้ ยกฎหมาย เชน่ “คา่ ธรรมเนียมตอ่ ใบอนญุ าต 100 บาท” กรณีทใี ชต้ วั หนงั สอื (1) จํานวนนับทเี ป็ นเนือหาสาระในกฎหมาย เชน่ “ใบอนญุ าตตังโรงรับจํานําใหใ้ ชไ้ ดจ้ นถงึ วนั ที 31 ธนั วาคม ของปีทหี า้ นับแต่ปีทอี อกใบอนญุ าต” (2) วรรคของมาตรา เชน่ “คคู่ วามตามวรรคหนงึ ” “พระราชกฤษฎกี าตามวรรคสอง” (3) อายขุ องบคุ คล เชน่ “มอี ายไุ มต่ ํากวา่ สบิ แปดปี” (4) ระยะเวลาเป็ นชวั โมง วัน เดอื น ปี เชน่ “ใหอ้ ทุ ธรณ์ไดภ้ ายในสามสบิ วนั นับจากวันทราบคาํ สงั ”
26 (5) โทษทางอาญา เชน่ “ตอ้ งระวางโทษจําคกุ ไมเ่ กนิ สามเดอื น หรอื ปรับไมเ่ กนิ สามหมนื บาท หรอื ทังจําทงั ปรับ” แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 8 1. หลักการและเหตผุ ล เป็ นสว่ นสําคญั 2 สว่ นของรา่ งพระราชบญั ญัติ 2. นายกรัฐมนตรตี อ้ งนํารา่ งพระราชบญั ญตั ทิ สี สู่ ภาใหค้ วามเห็นชอบแลว้ ขนึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ ม ถวายเพอื ใหพ้ ระมหากษัตรยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยในระยะ เวลา 20 วัน 3. การเสนอรา่ งพระราชบัญญตั จิ ะตอ้ งเสนอต่อ สภาผแู ้ ทนราษฎรกอ่ น 4. กฎหมายทอี อกโดยฝ่ ายบรหิ ารคอื พระราชกาํ หนด 5. กฎหมายทอี อกในกรณเี รง่ ดว่ นคอื พระราชกาํ หนด 6. รา่ งพระราชบญั ญตั ใิ ดทพี ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเหน็ ดว้ ย ไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย ถา้ รฐั สภายนื ยัน ตามเดมิ จะตอ้ งมี คะแนนเสยี ง 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชกิ ทังหมดของทงั สองสภา 7. พระราชกําหนด เป็ นกฎหมายทพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงตราขนึ โดยคําแนะนําของคณะรัฐมนตรี 8. การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตใิ นสภาผแู ้ ทนราษฎรจะพจิ ารณาเป็ น 3 วาระ คอื วาระรับหลกั การ วาระพจิ ารณา และวาระเหน็ ชอบ 9. วฒุ สิ ภาจะตอ้ งพจิ ารณารา่ งกฎหมายทไี มเ่ กยี วกบั การเงนิ ทสี ภาผแู ้ ทนราษฎรใหค้ วามเห็นชอบแลว้ ภายในระยะเวลา 60 วัน 10. ความสาํ คัญของบทเฉพาะกาลในกฎหมาย คอื เป็ นการเชอื มโยงบทกฎหมายเกา่ และกฎหมายใหม่ เขา้ ดว้ ยกนั ไมใ่ หข้ าดตอน หนว่ ยที 9 หลกั การใชก้ ฎหมาย 1. กฎหมายบญั ญตั ขิ นึ ตามหลักวชิ าในทางนติ ศิ าสตร์ ประสงคใ์ หอ้ า่ นแลว้ เขา้ ใจง่าย สามารถนําไป ปฏบิ ตั ไิ ด ้ อยา่ งไรกด็ ี อาจมกี ารใชภ้ าษากฎหมายหรอื ภาษาเทคนคิ อนื ดังนัน ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ ควรทําความ เขา้ ใจกบั หลกั การรา่ งกฎหมาย และการใชภ้ าษาในกฎหมายโดยทัวไป กอ่ นจะนํากฎหมายมาใชก้ บั ขอ้ เท็จจรงิ 2. การใชก้ ฎหมายกับขอ้ เท็จจรงิ มสี องประการคอื การใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎี และการใชก้ ฎหมาย ในทางปฏบิ ตั ิ 3. การใชก้ ฎหมายเกยี วขอ้ งกบั การตคี วามกฎหมายและการใชด้ ลุ พนิ จิ ในทางกฎหมาย เมอื บท กฎหมายนันมถี อ้ ยคําไมช่ ดั เจนหรอื อาจแปลความไดห้ ลายทาง 4. ในกรณที ไี มม่ กี ฎหมายจะนําไปปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ไดโ้ ดยตรง ผใู ้ ชก้ ฎหมายจําเป็ นตอ้ งอดุ ชอ่ งวา่ งแหง่ กฎหมายนัน ตามหลักเกณฑใ์ นทางนติ ศิ าสตร์ 9.1 หลกั การใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ 1. กฎหมายเป็ นสงิ ทบี ญั ญตั ขิ นึ ตามหลกั วชิ าในทางนติ ศิ าสตร์ เพอื ใชบ้ ังคบั แกบ่ คุ คลเป็ นการทัวไป โดยหลักจงึ พยายามใชถ้ อ้ ยคําใหผ้ อู ้ นื เขา้ ใจไดง้ า่ ย แตบ่ างกรณีอาจจําเป็ นตอ้ งใชภ้ าษากฎหมายหรอื ภาษาเทคนคิ โดยเฉพาะ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ ควรทําความเขา้ ใจกับหลกั การรา่ งกฎหมายและการใชภ้ าษาใน กฎหมายโดยทวั ไป เพราะสามารถชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจความหมายของบทกฎหมายไดด้ ยี งิ ขนึ 2. การแปลความหมายของบทบัญญัติ เพอื ใหท้ ราบวา่ กฎหมายบญั ญตั ไิ วอ้ ยา่ งไร เป็ นสงิ สาํ คญั เพราะกฎหมายจะกาํ หนดสทิ ธิ หนา้ ทขี องบคุ คล และสภาพบงั คบั แกผ่ ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายไว ้ การแปลความหมายของบทบญั ญตั สิ ามารถกระทําไดโ้ ดยการทําความเขา้ ใจเนอื หาของกฎหมายดว้ ยการ อา่ นกฎหมายทังฉบับ 3. การใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ มสี องประการ คอื การใชก้ ฎหมายทางทฤษฎี และการใชก้ ฎหมาย ในทางปฏบิ ตั ิ การใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎี เป็ นเรอื งของหลักวชิ าเพอื ใชใ้ นการบญั ญัตกิ ฎหมาย โดยตอ้ ง พจิ ารณาถงึ ของเขตการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย เชน่ บคุ คล สถานที และวันเวลาทเี กยี วขอ้ ง ประเภทและลําดบั ศักดขิ องกฎหมาย ตลอดจนอํานาจในการตรากฎหมายการใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั ิ เป็ นเรอื งของการใช ้ กฎหมายกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ เฉพาะเรอื งในชวี ติ ประจําวนั 4. การใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั เิ ป็ นเรอื งซงึ หาหลักเกณฑไ์ ดย้ าก เพราะบคุ คลทเี กยี วขอ้ งทกุ คนตา่ ง เป็ นผใู ้ ชก้ ฎหมายดว้ ยกันทังสนิ ซงึ มกั ใชก้ ฎหมายตามความรู ้ ความเขา้ ใจของตน นอกจากนตี วั บท
27 กฎหมายเองก็อาจมคี วามบกพรอ่ ง จงึ อาจนําไปสปู่ ัญหาการใชก้ ฎหมาย ไดแ้ กป่ ัญหาการตคี วาม กฎหมาย หรอื การเกดิ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายได ้ 9.1.1 การอา่ นและการเขา้ ใจกฎหมาย การอา่ นและเขา้ ใจกฎหมายมปี ระโยชน์แกผ่ ใู ้ ชก้ ฎหมายอยา่ งไรบา้ ง เนอื งจากผใู ้ ชก้ ฎหมาย หมายถงึ บคุ คลทกุ คนทมี สี ว่ นเกยี วขอ้ งกบั กฎหมายฉบบั นัน ไมว่ า่ จะเป็ น ประชาชนผตู ้ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย เจา้ หนา้ ทขี องรัฐทที ําหนา้ ทบี งั คบั การใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมาย เชน่ เจา้ พนักงานตามกฎหมาย หรอื ตํารวจ ตลอดจนผดู ้ ําเนนิ คดหี รอื วนิ จิ ฉัยขอ้ กฎหมายหรอื ชขี าดขอ้ พพิ าทที เกดิ ขนึ เนืองจากการปฏบิ ตั หิ รอื ไมป่ ฏบิ ัตติ ามกฎหมายนัน เชน่ นติ กิ ร ทนายความ อยั การ หรอื ศาล ซงึ แต่ ละฝ่ ายอาจมคี วามเขา้ ใจหลกั การพนื ฐานของบทกฎหมายหรอื แปลความกฎหมายไปในทศิ ทางเดยี วกนั ก็ จะชว่ ยใหเ้ กดิ ปัญหาในการใชก้ ฎหมายนอ้ ยลง หรอื หากเกดิ ปัญหาจะตอ้ งตคี วามกฎหมายหรอื อดุ ชอ่ งวา่ ง ของกฎหมายก็จะสามารถกระทําไดอ้ ยา่ งเป็ นธรรมและเหมาะสม 9.1.2 การแปลความหมายของบทบญั ญตั ิ การแปลความหมายบทบญั ญัตขิ องกฎหมายมหี ลักในเบอื งตน้ อยา่ งไร การแปลความหมายบทบญั ญัตขิ องกฎหมายกระทําไป เพอื ใหไ้ ดค้ วามว่าบทกฎหมายนันมขี อ้ กําหนดใหใ้ ครตอ้ งทําอะไร ทไี หน เมอื ได อยา่ งไร ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามจะมโี ทษหรอื ไม่ อยา่ งไร หรอื หากทาํ จะไดร้ ับสทิ ธปิ ระโยชนห์ รอื ไดร้ บั ผลดอี ยา่ งไร มหี ลักเบอื งตน้ คอื ควรทําความเขา้ ใจภาพรวมของกฎหมาย และหาความหมายของบทบญั ญตั ริ ายมาตรา โดยการอา่ นกฎหมายประกอบกันทังฉบบั มใิ ชเ่ ฉพาะมาตรา ใดมาตราหนงึ 9.1.3 การใชบ้ ทบญั ญตั กิ บั ขอ้ เท็จจรงิ หน่วยงานของรัฐซงึ มหี นา้ ทดี แู ลใหม้ กี ารปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายฉบบั หนงึ พบวา่ มกี ารฝ่ าฝืนกฎหมาย ฉบับนันบอ่ ยครงั จงึ ไดม้ กี ารศกึ ษาขอ้ บกพรอ่ งของกฎหมายและเสนอใหม้ กี ารแกไ้ ขกฎหมายเชน่ นี เจา้ หนา้ ทขี องหนว่ ยงานนันตอ้ งใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎหี รอื ในทางปฏบิ ตั ิ เจา้ หนา้ ทขี องหนว่ ยงานนันตอ้ งใชก้ ฎหมายทังในทางทฤษฎี และในทางปฏบิ ตั โิ ดยการจะทราบวา่ มผี ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมเ่ ป็ นการใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั ิ เพราะตอ้ งทราบขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี กดิ ขนึ ขอ้ กฎหมายทจี ะ นํามาใช ้ จากนันตอ้ งปรับขอ้ เทจ็ จรงิ เขา้ กบั กฎหมายเพอื ใหท้ ราบผลวา่ มกี ารฝ่ าฝืนกฎหมายหรอื ไม่ และยัง มกี ารใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎเี มอื มกี ารเสนอแกไ้ ขกฎหมายเพราะตอ้ งมกี ารพจิ ารณาวา่ กฎหมายนันยัง ควรมขี อบเขตการใชบ้ งั คับกบั บคุ คล ในเวลา หรอื สถานที หรอื มหี ลกั เกณฑแ์ ละเงอื นไขเชน่ เดมิ หรอื ไม่ หรอื ควรจะมกี ารแกไ้ ขใหมอ่ ยา่ งไร หรอื ควรยกเลกิ กฎหมายนันเสยี กไ็ ด ้ 9.1.4 ปญั หาการใชก้ ฎหมาย ปัญหาการตคี วามกฎหมายและชอ่ งวา่ งในกฎหมายเกดิ ขนึ เมอื ใด ปัญหาทังสองกรณีมคี วาม เกยี วขอ้ งกันไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตุใด ปัญหาการตคี วามกฎหมายเกดิ ขนึ เมอื มกี ฎหมายจะนํามาปรับใชแ้ กข่ อ้ เทจ็ จรงิ แตบ่ ทบญั ญัตขิ อง กฎหมายนันยังมคี วามไมช่ ดั เจน กาํ กวม หรอื เคลอื บคลมุ จงึ ตอ้ งมกี ารตคี วามเพอื หาความหมายทแี ทจ้ รงิ สว่ นชอ่ งวา่ งในกฎหมายเกดิ ขนึ เมอื ไมม่ บี ทกฎหมายลายลกั ษณอ์ ักษรจะนํามาปรับใชแ้ กข่ อ้ เทจ็ จรงิ ปัญหาทังสองกรณีอาจมคี วามเกยี วขอ้ งกนั ได ้ เพราะบางครงั อาจมกี ารตคี วามกฎหมายผดิ พลาด โดยคดิ วา่ เกดิ ชอ่ งว่างในกฎหมายเพราะไมม่ บี ทกฎหมายจะนํามาปรบั ใช ้ แตท่ จี รงิ แลว้ มี เพยี งแตก่ ฎหมาย นันไมช่ ดั เจนซงึ เป็ นปัญหาการตคี วามกฎหมายตามธรรมดา หรอื คดิ วา่ สามารถนําบทกฎหมายซงึ นํามาปรับ ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ได ้ แตท่ จี รงิ แลว้ ใชไ้ มไ่ ด ้ และไมม่ บี ทกฎหมายอนื ทจี ะนํามาใชไ้ ด ้ ซงึ เป็ นกรณที เี กดิ ปัญหาชอ่ งวา่ งในกฎหมายเป็ นตน้ ซงึ จะเห็นไดว้ า่ การตคี วามกฎหมายเป็ นสงิ สาํ คญั ทจี ะเป็ นตัวบง่ ชวี า่ กรณีนันๆ เกดิ ปัญหาในลกั ษณะใด และจะนําไปสกู่ ารปรบั ใชก้ ฎหมายแกข่ อ้ เท็จจรงิ ทถี ูกตอ้ งตอ่ ไป 9.2 การตคี วามกฎหมาย 1. การตคี วามกฎหมายคอื การคน้ หาความหมายของบทกฎหมายทเี คลอื บคลมุ ไมช่ ดั เจน หรอื อาจ แปลความไดห้ ลายนัย เพอื นํากฎหมายนันมาใชป้ รับกับขอ้ เท็จจรงิ 2. การตคี วามกฎหมายตอ้ งอาศยั หลกั วชิ า ความรหู ้ ลายแขนง รวมทงั ประสบการณแ์ ละสามญั สํานกึ ดว้ ย อาจแยกไดเ้ ป็ น 2 ประการ คอื การตคี วามตามลายลกั ษณ์อกั ษร และการตคี วามตามเจตนารมณ? 3. การตคี วามตามลายลักษณอ์ กั ษรคอื การหยงั ทราบความหมายของถอ้ ยคําจากตวั อกั ษรของบท กฎหมายนันเอง โดยวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การหาความหมายตามธรรมดาของถอ้ ยคํา การหาความหมายจาก ภาษาเทคนคิ หรอื ภาษาทางวชิ าการ หรอื จากความหมายพเิ ศษ
28 4. การตคี วามตามเจตนารมณ์ คอื การหยงั ทราบความหมายของถอ้ ยคําในบทกฎหมายจากจาก เจตนารมณ์ หรอื ความมงุ่ หมายของกฎหมายนัน โดยอาศัยเครอื งมอื ตา่ งๆ ทังจากตัวกฎหมายนันเอง หรอื สงิ ทอี ยภู่ ายนอกกฎหมาย 9.2.1 หลกั การตคี วามกฎหมาย การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ ามหี ลักเกณฑใ์ หญ่ๆ กปี ระเภท และจะนํามาใชเ้ มอื ใด อยา่ งไร การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ ามี 2 ประเภทใหญๆ่ คอื การตคี วามตามลายลกั ษณอ์ ักษรหรอื ตามตัวอกั ษร และการตคี วามตามเจตนารมณ์ หรอื ตามความมงุ่ หมายของบทบญั ญตั ิ จะนํามาใชเ้ มอื เกดิ ปัญหาความไมช่ ดั เจน เคลอื บคลมุ หรอื กาํ กวมของถอ้ ยคาํ หากกฎหมายมคี วามชดั เจนอยแู่ ลว้ ก็ไม่ จําเป็ นตอ้ งมกี ารตคี วาม ในการตคี วามอาจใชห้ ลักเกณฑใ์ ดหลกั เกณฑห์ นงึ กไ็ ด ้ แตโ่ ดยทวั ไปมักใชก้ าร ตคี วามตามตัวอกั ษรกับการตคี วามตามเจตนารมณป์ ระกอบกัน เพอื ชว่ ยใหห้ ยังทราบหรอื คน้ หาความหมาย ของบทบญั ญัตไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมหรอื เป็ นธรรมมากทสี ดุ 9.2.2 การตคี วามตามลายลกั ษณ์อกั ษร พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคแรก บญั ญตั วิ ่า “ในกรณีทนี ายจา้ งไม่ คนื เงนิ ประกนั ตามมาตรา 10 วรรคสอง หรอื ไมจ่ า่ ยคา่ จา้ ง คา่ ล่วงเวลา ค่าทํางานในวันหยดุ และคา่ ล่วงเวลาในวนั หยดุ ภายในเวลาทกี ําหนดตามมาตรา 70 หรอื ค่าชดเชยตามมาตรา 118 คา่ ชดเชยพเิ ศษ ตามมาตรา 120 มาตรา 121 และมาตรา 122 ใหน้ ายจา้ งเสยี ดอกเบยี ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัด รอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี” ใหอ้ ธบิ ายวา่ บทบญั ญตั นิ ีมคี วามหมายวา่ อยา่ งไร อาจมปี ระเด็นการตคี วามถอ้ ยคาํ ตาม ลายลกั ษณอ์ กั ษรตรงถอ้ ยคาํ ใดบา้ ง และจะสามารถคน้ หาความหมายของถอ้ ยคํานันไดจ้ ากทใี ด พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็ นตวั อยา่ งของกฎหมายทมี กี ารเขยี นบทบญั ญัตใิ น เชงิ เทคนคิ ทางกฎหมายฉบบั หนงึ เมอื พจิ ารณาดกู ฎหมายทงั ฉบับอยา่ งคร่าวๆ แลว้ จะเห็นวา่ การใชน้ ยิ าม ศพั ทแ์ ละการอา้ งองิ ถงึ มาตราอนื คอ่ นขา้ งมาก เมอื อา่ นเฉพาะมาตรา 9 วรรคแรก ในเบอื งตน้ จะพอเขา้ ใจ ไดว้ า่ เป็ นบทบญั ญตั ทิ กี าํ หนดความรบั ผดิ ชอบของนายจา้ งในกรณีทไี มป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ทขี องตนในประการ สําคัญคอื การไมจ่ า่ ยเงนิ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ ใหแ้ กล่ กู จา้ งดงั นี (1) เงนิ ประกัน หรอื (2) คา่ จา้ ง คา่ ล่วงเวลา คา่ ทํางานในวนั หยดุ หรอื คา่ ลว่ งเวลาในวนั หยดุ หรอื (3) คา่ ชดเชย หรอื ค่าชดเชยพเิ ศษ ซงึ หากนายจา้ งผดิ นัดไมจ่ า่ ยเงนิ ดงั กลา่ วใหแ้ กล่ ูกจา้ งตามกําหนด กฎหมายกาํ หนดสภาพบังคับ ประการหนงึ ใหน้ ายจา้ งคอื ตอ้ งเสยี ดอกเบยี ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัดรอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี บทบญั ญัตนิ ีอาจมปี ระเดน็ การตคี วามถอ้ ยคําแทบจะทกุ ถอ้ ยคําทปี รากฏเชน่ “นายจา้ ง” “ลูกจา้ ง” “เงนิ ประกนั ” “คา่ จา้ ง” “คา่ ลว่ งเวลา” “ค่าทํางานในวนั หยดุ ” “คา่ ลว่ งเวลาในวันหยดุ ” “ค่าชดเชย” “ค่าชดเชยพเิ ศษ” “ผดิ นัด” “ภายในเวลาทกี ําหนด” หรอื “ดอกเบยี ” ซงึ ตอ้ งมกี ารคน้ หาความหมายจาก ตวั บทกฎหมายทปี รากฏกอ่ น หากพบแลว้ ก็ถอื ว่าไมม่ ปี ัญหาการตคี วาม แตห่ ากยงั ยขี อ้ สงสยั อยจู่ ะนํามา ปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เทจ็ จรงิ ไดห้ รอื ไม่ กต็ อ้ งใชห้ ลกั การตคี วามต่างๆ ตคี วามตามถอ้ ยคาํ นันตอ่ ไป จนกวา่ จะได ้ ความหมายทเี หน็ วา่ ถูกตอ้ งเหมาะสม ประเด็นทยี กตัวอยา่ งขนึ มาตคี วาม อาจแยกถอ้ ยคําทอี าจมปี ัญหาตอ้ งตคี วามออกเป็ น 2 กลุม่ โดย กลมุ่ แรกคอื ถอ้ ยคําทอี าจหาความหมายไดจ้ ากตวั บทกฎหมายฉบับนเี อง และกลมุ่ ทสี องคอื ถอ้ ยคําทไี ม่ สามารถหาความหมายโดยตรงจากกฎหมายฉบบั นี ซงึ อาจตอ้ งคน้ หาความหมายโดยใชเ้ ครอื งมอื อยา่ งอนื มาชว่ ย ดังนี กลมุ่ แรก ไดแ้ กถ่ อ้ ยคําซงึ มนี ยิ ามศพั ทไ์ วใ้ นตวั พระราชบญั ญัตคิ มุ ้ ครองแรงงานฯ เชน่ คําวา่ “นายจา้ ง” “ลกู จา้ ง” “คา่ จา้ ง” “คา่ ลว่ งเวลา” “คา่ ทํางานในวันหยดุ ” “คา่ ลว่ งเวลาในวนั หยดุ ” “คา่ ชดเชย” “หรอื คา่ ชดเชยพเิ ศษ” ซกึ ส็ ามารถหาความหมายไดจ้ ากนยิ ามศพั ทด์ ังกลา่ วโดยเฉพาะ นอกนียงั มถี อ้ ยคําอนื ทไี มม่ นี ยิ ามศัพทไ์ วแ้ ตอ่ าจหาความหมายไดร้ ะดบั หนงึ จากมาตราอนื ทอี า้ งองิ ถงึ เชน่ คําวา่ “เงนิ ประกนั ” ซงึ อา้ งองิ อยใู่ นเงนิ ประกันตามมาตรา 10 วรรคสอง ซงึ เมอื อา่ นเนือความตาม มาตราดงั กลา่ วแลว้ จะไดม้ าเพมิ เตมิ วา่ เงนิ ประกนั นันเป็ นเงนิ ทนี ายจา้ งเรยี กหรอื รบั หรอื ทําสญั ญาประกันกบั ลูกจา้ งเพอื ชดใชค้ า่ เสยี หายในกรณีทลี กู จา้ งเป็ นผกู ้ ระทํา หรอื คําวา่ “ภายในเวลาทกี ําหนด” เป็ น กําหนดเวลาทนี ายจา้ งจะตอ้ งจา่ ยคา่ จา้ ง คา่ ลว่ งเวลา คา่ ทํางานในวันหยดุ หรอื คา่ ลว่ งเวลาในวันหยดุ ซงึ มี การอา้ งองิ ถงึ กาํ หนดเวลาตามมาตรา 70 ซงึ มาตราดังกลา่ วกไ็ ดม้ กี ารกําหนดรายละเอยี ดเกยี วกบั วันที นายจา้ งจะตอ้ งจ่ายเงนิ คา่ จา้ ง ฯลฯ ไวเ้ ป็ นตน้ กลมุ่ ทสี อง ไดแ้ กถ่ อ้ ยคาํ เชน่ คําว่า “ผดิ นัด” ซงึ ไมม่ นี ยิ ามศัพทไ์ วใ้ นตวั พระราชบัญญตั คิ มุ ้ ครอง แรงงานฯ ซงึ คํานี หลักกฎหมายเรอื งหนี ตาม ปพพ. แลว้ จะทราบวา่ เป็ นศพั ทท์ กี ฎหมายมบี ญั ญัติ เชน่ มาตรา 204 แหง่ ปพพ. อธบิ ายความหมายกรณลี กู หนผี ดิ นัดไวว้ า่ หมายถงึ การทหี นถี งึ กําหนดชาํ ระแลว้
29 ลูกหนไี มช่ าํ ระหนี เชน่ เงนิ กเู ้ ขามา เมอื ถงึ กําหนดจ่ายคนื แลว้ ไมย่ อมจา่ ย ซงึ แยกเป็ น 2 กรณีคอื ถา้ หนนี ันไมไ่ ดก้ าํ หนดวันชาํ ระหนีไวล้ ูกหนีจะผดิ นัดกต็ อ่ เมอื เจา้ หนไี ดเ้ ตอื นใหช้ ําระหนแี ลว้ ลกู หนไี มช่ าํ ระหนี กบั อกี กรณีหนงึ คอื มกี ารกําหนดวนั ชาํ ระหนตี ามวันแห่งปฏทิ นิ ไว ้ หากลกู หนไี มช่ าํ ระหนีตามวันทกี าํ หนดก็ ถอื วา่ ผดิ นัดทันที โดยเจา้ หนีไมจ่ ําเป็ นตอ้ งเตอื นกอ่ น เมอื ทราบความหมายของคําวา่ “ผดิ นัด” กใ็ หไ้ ปพจิ ารณามาตรา 9 ของกฎหมายคมุ ้ ครองแรงงานฯ อกี ครังวา่ นายจา้ ง (ซงึ ถอื วา่ เป็ นลกู หนใี นกรณนี เี พราะมหี นา้ ทตี อ้ งจา่ ยเงนิ ใหแ้ กล่ กู จา้ ง) จะผดิ นัดเมอื ใด โดยพจิ ารณาประกอบกบั ความหมายคําวา่ “ภายในเวลาทกี ําหนด” ทไี ดค้ น้ หาความหมายไวแ้ ลว้ หาก ขอ้ เทจ็ จรงิ นายจา้ งไมจ่ า่ ยเงนิ ใหล้ กู จา้ ง (หรอื มาตรา 204 ปพพ. เรยี กวา่ เป็ นการ “ไมช่ าํ ระหน”ี ) ภายใน เวลาทกี าํ หนดดังกลา่ ว กถ็ อื วา่ นายจา้ งผดิ นัด ก็ตอ้ งเสยี ดอกเบยี ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัด ตอ้ ง เสยี ดอกเบยี ใหแ้ กล่ ูกจา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัดนันรอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี ประเด็นทอี าจจะเป็ นขอ้ สงสยั ซงึ ตอ้ งมกี ารตคี วามตอ่ ไปอกี เชน่ หากนายจา้ งจา่ ยเงนิ เป็ นเชค็ หรอื เป็ นตราสารอนื เชน่ นี จะถอื ว่านายจา้ งไดจ้ า่ ยเงนิ แลว้ หรอื ไม่ เพราะในเวลาทลี ูกจา้ งนําเชค็ ไปขนึ เงนิ อาจ ไมม่ เี งนิ ในบญั ชี หรอื ทเี รยี กวา่ เชค็ เดง้ ซงึ กต็ อ้ งตคี วามกันต่อไปวา่ การจา่ ยเงนิ ของนายจา้ งดว้ ยวธิ ี ดงั กลา่ วถอื เป็ นการจา่ ยเงนิ ใหล้ กู จา้ งแลว้ หรอื ไม่ ดงั นเี ป็ นตน้ 9.2.3 การตคี วามตามเจตนารมณ์ มปี ระเด็นการตคี วามวา่ “รถเขน็ โรต”ี จะอยใู่ นบังคับแหง่ พระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 ซงึ บญั ญัตกิ รณีผขู ้ ับรถในทางซงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกบ่ คุ คลอนื หรอื ไม่ โดยขอ้ เท็จจรงิ คอื จําเลยไดเ้ ขน็ รถขายโรตไี ปตามไหลถ่ นนและถกู รถจักรยานยนตท์ ผี อู ้ นื ขับตามหลงั มาเฉยี วชน เป็ นเหตุให ้ ผนู ้ ันถงึ แกค่ วามตาย โดยจําเลยหลบหนไี ปไมใ่ หค้ วามชว่ ยเหลอื และในเรอื งนีมกี ารกําหนดความหมาย ของถอ้ ยคําทเี กยี วขอ้ งดงั นี พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4(15) บัญญัตนิ ยิ ามคําวา่ “รถ” วา่ หมายถงึ ยาน พาหะนะทางบกทกุ ชนดิ เวน้ แตร่ ถไฟและรถราง พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานกาํ หนดความหมายของคําวา่ “ยาน” คอื เครอื งนําไป พาหนะ ตา่ งๆ เชน่ รถ เกวยี น เรอื คําว่า “พาหนะ” คอื เครอื งนําไป เครอื งขับขยี านตา่ งๆ มรี ถและเรอื เป็ นตน้ เรยี กวา่ ยานพาหนะ และ คําว่า “ขับ” คอื บงั คบั ใหเ้ คลอื นไป เชน่ ขับรถ ขับเรอื ใหพ้ จิ ารณาตามหลกั การตคี วามตามเจตนารมณข์ องกฎหมายวา่ รถเข็นโรตจี ะอยใู่ นบังคบั พระราชบญั ญัตจิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 หรอื ไม่ ดว้ ยเหตดุ ว้ ยผล กรณนี เี ป็ นเรอื งทเี กดิ ขนึ จรงิ ตามคําพพิ ากษาฎกี าที 4445/2543 ซงึ ศาลฎกี าตคี วามกฎหมาย ดงั นี พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4(15) บญั ญตั นิ ยิ ามคาํ วา่ “รถ” ไวว้ า่ ยานพาหนะทางบกทกุ ชนดิ เวน้ แตร่ ถไฟและรถราง ทังตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 กาํ หนดความหมายของคําวา่ “ยาน” คอื เครอื งนําไป พาหนะต่างๆ เชน่ รถ เกวยี น เรอื คําวา่ “พาหนะ” คอื เครอื งนําไป เครอื งขบั ขี คอื บงั คบั ใหเ้ คลอื นไป เชน่ ขบั รถ ขับเรอื ดงั นี “รถเขน็ ” ของจําเลยเป็ นเพยี งวัสดุ อปุ กรณ์ และเครอื งใชใ้ นการประกอบอาชพี ขายโรตี มใิ ชด่ ว้ ยเจตนามงุ่ ประสงคใ์ นอนั ทจี ะขนเคลอื นบคุ คล หรอื ทรัพยส์ นิ ใดจากทแี หง่ หนงึ ไปยงั ทอี กี แห่งหนงึ ในลกั ษณะของยานพาหนะ จงึ มใิ ช่ “รถ” ตาม ความหมายทบี ญั ญตั นิ ยิ ามไวด้ งั กลา่ ว และยอ่ มไมอ่ ยใู่ นบังคบั แห่งพระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบกฯ มาตรา 78 (แต่จําเลยตอ้ งรบั ผดิ ตามกฎหมายอนื เชน่ ตาม ปอ มาตรา 129 ฐานกระทําโดยประมาทใหผ้ อู ้ นื ถงึ แก่ ความตาย) ซงึ เห็นไดว้ า่ ศาลฎกี าไดน้ ําความหมายจากนยิ ามศัพทค์ ําวา่ “รถ” ตามพระราชบญั ญตั จิ ราจรทาง บกฯ มาพจิ ารณาในชนั แรก แตเ่ นอื งจากนยิ ามนันเองยงั มคี วามไมช่ ดั เจนวา่ “ยานพาหนะ” หมายความวา่ อยา่ งไรจงึ ไดน้ ําความหมายตามพจนานุกรมมาใชป้ ระกอบ จงึ เหน็ เจตนารมณ์ของกฎหมายไดช้ ดั เจนยงิ ขนึ 9.3 การอดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมาย 1. เมอื เกดิ ชอ่ งวา่ งในกฎหมาย คอื การทไี มม่ บี ทกฎหมายจะยกมาปรับแกค่ ดไี ดใ้ นทางแพ่งและ พาณชิ ย์ ใหว้ นิ จิ ฉัยคดนี ันตามจารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถนิ หรอื โดยอาศัยเทยี บเคยี งบทกฎหมายใกลเ้ คยี ง อยา่ งยงิ หรอื ตามหลกั กฎหมายทัวไปตามลําดับ 2. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยจารตี ประเพณี เป็ นการพจิ ารณาวา่ ในกรณีทไี มม่ กี ฎหมายจะนํามาใชบ้ ังคับนัน ในทอ้ งถนิ ทเี กดิ คดมี จี ารตี ประเพณี ซงึ หมายถงึ สงิ ทถี อื ปฏบิ ตั สิ บื ต่อกนั มาจนเป็ นกรอบปฏบิ ตั ขิ องกลมุ่ ชน ในเรอื งนันหรอื ไม่ ถา้ หากมี ใหว้ นิ จิ ฉัยไปตามนัน 3. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยเทยี บเคยี งกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ เป็ นกรณีทไี มม่ กี ฎหมายและจารตี ประเพณีแหง่ ทอ้ งถนิ จะนํามาใชบ้ ังคับ กใ็ หน้ ําบทกฎหมายทบี ญั ญัตไิ วส้ าํ หรับขอ้ เท็จจรงิ ทใี กลเ้ คยี งกันมา ใชว้ นิ จิ ฉัยแกค่ ดี
30 4. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยหลกั กฎหมายทวั ไป เป็ นกรณที ไี มม่ ที ังกฎหมาย จารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถนิ และกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ จะนํามาใชบ้ งั คับ กใ็ หน้ ําหลกั กฎหมายทวั ไป ไดแ้ กห่ ลกั กฎหมายที ไดส้ กดั ไดจ้ ากเรอื งเฉพาะเรอื งหลายเรอื ง หลกั กฎหมายทใี ชก้ นั จนเป็ นหลกั สากล หรอื สภุ าษิตกฎหมาย เป็ นตน้ มาใชว้ นิ จิ ฉัยแกค่ ดี 5. กฎหมายบางประเภท เชน่ กฎหมายอาญามหี ลกั การตคี วามไวโ้ ดยเฉพาะ ไมส่ ามารถใชห้ ลกั การ อดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในทางแพง่ นไี ด ้ หรอื หากกฎหมายอนื ไดก้ ําหนดวธิ อี ดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายไว ้ โดยเฉพาะ กใ็ หใ้ ชว้ ธิ อี ดุ ชอ่ งว่างตามกําหนดไวน้ ัน 9.3.1 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยจารตี ประเพณี จารตี ประเพณีทจี ะนํามาปรบั แกค่ ดไี ด ้ จะตอ้ งมลี กั ษณะอยา่ งไร จารตี ประเพณีทจี ะนํามาปรบั แกค่ ดไี ด ้ จะตอ้ งมลี กั ษณะดงั ตอ่ ไปนี (1) ตอ้ งใชบ้ งั คับมาเป็ นเวลานาน (2) ตอ้ งเป็ นทยี อมรบั และถอื ตามของมหาชนทวั ไป (3) ตอ้ งไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย (4) ตอ้ งไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน 9.3.2 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยเทยี บเคยี งกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ ในการคน้ หาบทกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ เพอื มาปรบั ใชแ้ กก่ รณผี อู ้ ดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายควรตอ้ ง มคี ณุ ลกั ษณะสําคญั อยา่ งไร เนอื งจากกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ คอื บทกฎหมายทบี ญั ญตั ไิ วส้ าํ หรับขอ้ เทจ็ จรงิ ทใี กลเ้ คยี งกัน กบั เรอื งทเี ป็ นประเดน็ ปัญหา ดงั นัน ผอู ้ ดุ ชอ่ งว่างในกฎหมายซงึ ตอ้ งคน้ หาบทกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ จงึ ควรมคี ณุ สมบตั สิ ําคญั คอื ควรศกึ ษาหลกั กฎหมายในเรอื งตา่ งๆ ใหแ้ ตกฉานวา่ กฎหมายแต่ละลักษณะ มหี ลกั การสําคัญอยา่ งไร และนํามาใชใ้ นกรณีใดบา้ ง เพราะบอ่ ยครงั ทกี ฎหมายมลี กั ษณะเบอื งตน้ ใกลเ้ คยี ง กนั มาก เชน่ การซอื ขายเงนิ ผ่อนและการเชา่ ซอื ซงึ มกี ารนําทรัพยส์ นิ ทตี กลงทํานติ กิ รรมกันมาใชไ้ ดก้ อ่ น และมกี ารชาํ ระราคากันเป็ นงวดเชน่ เดยี วกัน แตต่ ่างกนั ทกี ารโอนกรรมสทิ ธิ โดยการซอื ขายเงนิ ผอ่ น กรรมสทิ ธจิ ะโอนมายงั ผซู ้ อื ทันที แตก่ ารเชา่ ซอื กรรมสทิ ธจิ ะโอนมายงั ผเู ้ ชา่ ซอื ตอ่ เมอื ไดช้ ําระเงนิ ครบตาม งวดทตี กลงกันไว ้ การเขา้ ใจหลักกฎหมายจะชว่ ยใหท้ ราบวา่ ในเรอื งนันๆมกี ฎหมายทจี ะนํามาปรบั ใชโ้ ดยตรงหรอื ไม่ หากไมม่ ี จะมบี ทกฎหมายใดทมี ลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกนั ไดบ้ า้ ง ซงึ จะสามารถนํามาปรบั ใชแ้ กข้ อ้ เทจ็ จรงิ ที เป็ นปัญหานันไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 9.3.3 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยกฎหมายทวั ไป การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยใชห้ ลกั กฎหมายทัวไปในกฎหมายแพง่ ฯ และกฎหมายอาญามคี วามเหมอื น หรอื ตา่ งกนั อยา่ งไร การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยใชห้ ลักกฎหมายทัวไปในกฎหมายแพง่ ฯ และกฎหมายอาญามคี วามเหมอื นกนั คอื ในกรณีทไี มม่ บี ทกฎหมายหรอื จารตี ประเพณมี าปรับใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ได ้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายอาจอดุ ชอ่ งวา่ ง ในกฎหมายเพอื ความเป็ นธรรมหรอื เป็ นคณุ แกบ่ คุ คลทเี กยี วขอ้ งได ้ แตก่ ารอดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายแพ่งและ กฎหมายอาญามคี วามตา่ งกนั คอื ตามกฎหมายอาญาจะอดุ ชอ่ งวา่ งแหง่ กฎหมายใหเ้ ป็ นการลงโทษแก่ บคุ คลหรอื ใหเ้ ป็ นการลงโทษหนักขนึ ไมไ่ ด ้ แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 9 1. บคุ คลทเี ป็ นผใู ้ ชก้ ฎหมายคอื อัยการ ประชาชน ผพู ้ พิ ากษา ทนายความ 2. การบญั ญตั กิ ฎหมาย เป็ นสงิ ทมี หี ลกั เกณฑต์ าม หลกั การรา่ งกฎหมาย 3. ในกฎหมายฉบบั หนงึ ๆตามปกตจิ ะขนึ ตน้ ดว้ ย ชอื กฎหมาย 4. การทําความเขา้ ใจเนอื หาสาระของกฎหมายฉบับหนงึ ๆ ผอู ้ า่ นควรอา่ นและทําความเขา้ ใจกฎหมาย ทังฉบับ 5. เมอื ตัวบทกฎหมายเกดิ ความเคลอื บคลุมไมช่ ดั เจน ผใู ้ ชก้ ฎหมายจาํ เป็ นจะตอ้ งใชว้ ธิ กี าร ตคี วาม กฎหมาย เพอื แกไ้ ขปัญหา 6. การตคี วามตามตวั อกั ษร คอื วธิ กี ารตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ าการ 7. การหยงั ทราบเจตนารมณใ์ นการตรากฎหมายสามารถพจิ ารณาไดจ้ าก (1) ชอื กฎหมาย (2) คํา ปรารภของกฎหมาย (3) หมายเหตทุ า้ ยกฎหมาย (4) ตัวบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย
31 8. การอดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในคดแี พ่งของไทยนําหลกั การมาจาก มาตรา 4 แหง่ ประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ 9. เมอื ไมม่ กี ฎหมายมาปรับใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ใหน้ ํา จารตี ประเพณีมาปรับใช ้ 10. กฎหมายอาญาตอ้ งตคี วาม อยา่ งเคร่งครดั 11. ภาษทใี ชใ้ นกฎหมายไดแ้ ก่ ภาษาเทคนคิ ภาษวชิ าการ ภาษาธรรมดา และภาษตา่ งประเทศ 12. ชอื กฎหมายมสี ว่ นชว่ ยใหผ้ อู ้ า่ นเขา้ ใจกฎหมายฉบับนันคอื (1) เพอื บง่ ชขี อบเขตการใชบ้ ังคบั กฎหมายโดยรวบยอด (2) เพอื บง่ ชปี ระเภทของกฎหมาย และเนอื หาสาระของกฎหมายโดยรวบยอด 13. การอา่ นกฎหมายทังฉบับ จงึ จะชว่ ยใหแ้ ปลความกฎหมายไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม 14. ผใู ้ ชก้ ฎหมายจําเป็ นจะตอ้ งตคี วามกฎหมายเมอื บทบญั ญัตไิ มม่ คี วามชดั เจน 15. การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ าการ จะตอ้ ง (1) การตคี วามตามตวั อกั ษร (2) การตคี วามตาม เจตนารมณ์ 16. เครอื งชว่ ยในการตคึ วามกฎหมายตามเจตนารมณ์ ไดแ้ ก่ คําพพิ ากษาของศาล ความเห็นของ นักวชิ าการ หลักการตคี วามกฎหมายทวั ไป รายงานการประชมุ รัฐสภา 17. สงิ ทนี ํามาใชใ้ นการอดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในคดแี พ่งของไทย ไดแ้ ก่ จารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถนิ กฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ หลักกฎหมายทวั ไป หนว่ ยที 10 การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย และการยกเลกิ กฎหมาย 18. กฎหมายซงึ บญั ญตั ขิ นึ นัน เมอื จะนํามาบังคับใชม้ หี ลกั สําคญั ทตี อ้ งพจิ ารณาอยู่ 3 ประการ คอื เวลา สถานที และบคุ คลทใี ชบ้ งั คับ 19. ในการบงั คบั ใชก้ ฎหมายใหไ้ ดม้ ปี ระสทิ ธผิ ลนัน รฐั เองมหี นา้ ทจี ะตอ้ งเตรยี มการใหพ้ รอ้ มในดา้ น สถานที บคุ ลากร และประชาสมั พนั ธ์ 20. การยกเลกิ กฎหมาย คอื การทกี ฎหมายนันสนิ สดุ ลง ไมส่ ามารถใชบ้ งั คับไดอ้ กี ต่อไป การยกเลกิ กฎหมายนันแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 2 กรณี คอื การยกเลกิ กฎหมายโดยตรง และการยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย 10.1 การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย 11. เวลาทกี ฎหมายใชบ้ ังคับนัน ก็คอื เวลาทกี ฎหมายกาํ หนดไวใ้ นตัวกฎหมายนันเองว่าจะให ้ กฎหมายนันใชบ้ งั คับเมอื ใด อาจเป็ นวันทปี ระกาศใช ้ หรอื โดยกาํ หนดวนั ใชไ้ วแ้ น่นอน หรอื กําหนดใหใ้ ช ้ เมอื ระยะเวลาหนงึ ล่วงพน้ ไป 12. สถานทที กี ฎหมายใชบ้ งั คบั กฎหมายของประเทศไดก็ใชบ้ งั คบั ไดใ้ นอาณาเขตของประเทศ นันๆ ซงึ เป็ นการใชห้ ลักดนิ แดน 13. กฎหมายยอ่ มใชบ้ งั คับแกบ่ คุ คลทกุ คนทอี ยใู่ นอาณาเขตของประเทศนันๆ ไมว่ า่ จะเป็ นบคุ คล สญั ญาตนิ ันเองหรอื บคุ คลตา่ งดา้ วก็ตาม 14. การบงั คับใชก้ ฎหมายใหไ้ ดผ้ ล ตอ้ งมกี ารเตรยี มการทงั ในดา้ นการประชาสมั พันธ์ บคุ ลากร สถานที และอปุ กรณ์ 10.1.1 เวลาทกี ฎหมายใชบ้ งั คบั การบังคบั ใชก้ ฎหมายแบง่ ไดเ้ ป็ นกปี ระเภท การบังคับใชก้ ฎหมายแบง่ ออกเป็ น 3 ประเภท คอื 1) เวลาทใี ชบ้ งั คบั 2) สถานทที กี ฎหมายใชบ้ งั คบั 3) บคุ คลทกี ฎหมายใชบ้ งั คบั อธบิ ายหลกั ทวั ไปของกําหนดเวลาทกี ฎหมายใชบ้ ังคบั กาํ หนดเวลาทกี ฎหมายใชบ้ งั คับสามารถแบง่ ไดเ้ ป็ น 4 กรณี คอื 1) กรณีทวั ไป คอื โดยปกตกิ ฎหมายมกั จะกําหนดวันใชบ้ งั คบั ในวนั ถัดจากวันประกาศในราช กจิ จานุเบกษา 2) กรณเี รง่ ดว่ น เป็ นกรณีทตี อ้ งการใชบ้ งั คับกฎหมายอยา่ งรบี ดว่ นใหท้ ันสถานการณ์ จงึ กาํ หนด ใหใ้ ชใ้ นวันทปี ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
32 3) กําหนดเวลาใหใ้ ชเ้ มอื ระยะเวลาหนงึ ลว่ งไป เชน่ เมอื พน้ จากวันนับแตว่ นั ประกาศในราช กจิ จานุเบกษาทงั นี เพอื ใหเ้ วลาแกท่ างราชการทเี ตรยี มตัวใหพ้ รอ้ มในการบังคบั ใชก้ ฎหมายนันและให ้ ประชาชนไดเ้ ตรยี มศกึ ษาเพอื ปฏบิ ตั ติ ามไดถ้ กู ตอ้ ง 4) กรณพี เิ ศษ กฎหมายอาจกําหนดใหพ้ ระราชบญั ญัตนิ ันใชบ้ งั คบั ในวันถดั จากวันประกาศในราช กจิ จานุเบกษา แต่พระราชบญั ญัตนิ ันจะใชไ้ ดจ้ รงิ ในทอ้ งทใี ด เวลาใด 10.1.2 สถานทที กี ฎหมายใชบ้ งั คบั หลักดนิ แดนหมายความวา่ อยา่ งไร “หลกั ดนิ แดน” หมายความวา่ กฎหมายของประเทศใดกใ็ หใ้ ชบ้ งั คบั กฎหมายของประเทศนัน ภายในอาณาเขตของประเทศนัน 10.1.3 บคุ คลทกี ฎหมายใชบ้ งั คบั บคุ คลใดบา้ งทรี ัฐธรรมนญู ยกเวน้ ไมใ่ หใ้ ชบ้ งั คับกฎหมาย บคุ คลทรี ัฐธรรมนูญยกเวน้ ไมใ่ หใ้ ชบ้ งั คับกฎหมายไดแ้ ก่ 1. พระมหากษัตรยิ ์ เพราะเป็ นทเี คารพสกั การะ ใครจะล่วงละเมดิ ฟ้องรอ้ งพระมหากษัตรยิ ไ์ มไ่ ด ้ ไมว่ ่าทางแพ่งหรอื ทางอาญา 2. สมาชกิ วฒุ สิ ภา สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร รัฐมนตรี กรรมาธกิ าร และบคุ คลทปี ระธานสภาฯ อนุญาตใหแ้ ถลงขอ้ เท็จจรงิ หรอื แสดงความคดิ เห็นในสภาตลอดจนบคุ คลผพู ้ มิ พร์ ายงานการประชมุ ตาม คําสงั ของสภาฯ เหตทุ กี ฎหมายใหเ้ อกสทิ ธไิ มใ่ หผ้ ใู ้ ดฟ้องบคุ คลดงั กล่าวในขณะปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี นสภา กเ็ พอื แสดงความคดิ เหน็ ไดเ้ ตม็ ทเี พอื ประโยชน์ในการพจิ ารณาของสภานันเอง เวน้ แตก่ ารประชมุ นันจะมกี าร ถ่ายทอดทางวทิ ยกุ ระจายเสยี งหรอื วทิ ยโุ ทรทัศน์ 10.1.4 การเตรยี มการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย การเตรยี มการบังคับใชก้ ฎหมายมกี ปี ระเภท อะไรบา้ ง การเตรยี มการบงั คับใชก้ ฎหมายแบง่ ออกเป็ น 3 กรณี 1. ดา้ นประชาสมั พนั ธ์ มกี ารเตรยี มการ โดยผา่ นสอื ต่างๆ ไมว่ ่าทางวทิ ยโุ ทรทศั น์ สอื สงิ พมิ พ์ เพอื ใหบ้ คุ คลตา่ งๆ ไดท้ ราบขอ้ มลู 2. ดา้ นเจา้ หนา้ ที ตอ้ งมกี ารเตรยี มการใหเ้ จา้ หนา้ ทผี บู ้ งั คบั ใชก้ ฎหมายมคี วามรู ้ ความชาํ นาญ และความเขา้ ใจ เพอื จะบังคบั ใชก้ ฎหมายไดถ้ กู ตอ้ ง 3. ดา้ นสถานทแี ละอปุ กรณ์ มกี ารเตรยี มสถานทเี พอื ใหเ้ พยี งพอใหเ้ ป็ นไปตามเจตนารมณ์ของ กฎหมายเพอื ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพในการบังคบั ใชก้ ฎหมาย 10.2 การยกเลกิ กฎหมาย 1. การยกเลกิ กฎหมาย คอื การทําใหก้ ฎหมายทเี คยใชบ้ งั คบั อยนู่ ันสนิ สดุ ลง โดยยกเลกิ โดยตรง และ ยกเลกิ โดยปรยิ าย 2. การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงนัน แบง่ ออกเป็ น 3 กรณี คอื 1) ตวั กฎหมายนันเอง กาํ หนดวนั ทยี กเลกิ กฎหมายนันไว ้ 2) ยกเลกิ โดยมกี ฎหมายใหม่ ซงึ มลี กั ษณะอยา่ งเดยี วกัน กําหนดใหย้ กเลกิ ไวโ้ ดยตรง 3) ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญัติ 3. การยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ ายนัน เป็ นเรอื งทไี มม่ กี ฎหมายใหมบ่ ญั ญตั ใิ หย้ กเลกิ กฎหมายเกา่ โดย ชดั แจง้ แตเ่ ป็ นทเี ห็นไดว้ า่ กฎหมายใหมย่ อ่ มยกเลกิ กฎหมายเกา่ เพราะกฎหมายใหมย่ อ่ มดกี ว่ากฎหมาย เกา่ และหากประสงคจ์ ะใชก้ ฎหมายเกา่ อยกู่ ็คงไมบ่ ญั ญตั กิ ฎหมายในเรอื งเดยี วกันขนึ มาใหม่ 10.2.1 การยกเลกิ กฎหมายโดยตรง อธบิ ายการยกเลกิ กฎหมายโดยตรง การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 3 กรณี คอื 1. ในกฎหมายนันเองกาํ หนดวนั ยกเลกิ ไวเ้ ชน่ ใหก้ ฎหมายนีสนิ สดุ ลงเมอื พน้ กาํ หนด 3 ปี 2. เมอื มกี ฎหมายใหมม่ ลี ักษณะเชน่ เดยี วกนั ระบยุ กเลกิ ไวโ้ ดยตรง ซงึ อาจจะยกเลกิ ทงั ฉบับหรอื บางมาตรากไ็ ด ้ 3. เมอื พระราชกําหนดทปี ระกาศใชถ้ กู ยกเลกิ เมอื พระราชกําหนดไดป้ ระกาศใชแ้ ตต่ อ่ มาไดม้ ี พระราชบัญญตั ไิ มอ่ นมุ ตั พิ ระราชกําหนดนัน มผี ลทําใหพ้ ระราชกําหนดนันถกู ยกเลกิ ไป 10.2.2 การยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย
33 เมอื ยกเลกิ พระราชบญั ญตั แิ ลว้ พระราชกฤษฎกี าทอี อกโดยอาํ นาจของกฎหมายนันจะถูก ยกเลกิ หรอื ไม่ เมอื ยกเลกิ พระราชบัญญตั แิ ลว้ พระราชกฤษฎกี าทอี อกโดยอํานาจของกฎหมายนันจะถูกยกเลกิ ไปในตวั ดว้ ยเพราะพระราชบญั ญตั เิ ป็ นกฎหมายแมบ่ ท เมอื กฎหมายแมบ่ ทถกู ยกเลกิ ไปแลว้ พระราช กฤษฎกี าซงึ ออกมาเพอื จะใหม้ ดี ําเนนิ การใหเ้ ป็ นกฎหมายแมบ่ ทก็จะถกู ยกเลกิ ไปดว้ ย แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 10 1. การบงั คับใชก้ ฎหมาย มี 3 ประเภท คอื ใชบ้ งั คับกบั เวลา สถานที และบคุ คล 2. “พระราชบญั ญัตนิ ีใหใ้ ชบ้ ังคบั ตงั แตว่ นั ถัดจากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเป็ นตน้ ไป” เป็ น เวลาทกี ฎหมายใชบ้ งั คบั ในกรณที ัวไป 3. ทะเลหา่ งจากฝังทเี ป็ นดนิ แดนไทย 15 ไมลท์ ะเล ไมอ่ ยใู่ นความหมายคําว่า “ราชอาณาจักร” (12 ไมลท์ ะเลจงึ อยใู่ นราชอาณาจกั ร) 4. กรณหี ลักดนิ แดน (1) หลกั ดนิ แดนคอื หลักทวี า่ กฎหมายของประเทศใดยอ่ มใชบ้ งั คบั เฉพาะใน อาณาเขตของประเทศนัน (2) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ ตอ่ ความมนั คงแห่งราชอาณาจกั รไทยไดแ้ มเ้ กดิ นอกราชอาณาจักร (3) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ เกยี วกบั การปลอมเงนิ ตราไดแ้ มเ้ กดิ นอกราชอาณาจักร (4) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ ฐานปลน้ ทรัพยซ์ งึ ไดก้ ระทําในทะเลหลวงได ้ 5. กฎหมายไทยไมส่ ามารถใชบ้ งั คบั แกบ่ คุ คลตอ่ ไปนีไดแ้ ก่ (1) ประมขุ แหง่ รัฐตา่ งๆ (2) ทตู และ บรวิ าร (ค) กองทพั ตา่ งประเทศทเี ขา้ มายดึ ครองราชยอ์ าณาจกั ร (ง) บคุ คลทที ํางานในหนว่ ยงานองคก์ าร สหประชาชาติ 6. บคุ คลทรี ัฐธรรมนูญใหใ้ ชบ้ ังคบั กฎหมายไดแ้ ก่ ทปี รกึ ษานายกรฐั มนตรี 7. การเตรยี มการบงั คับใชก้ ฎหมายมี 3 ประเภท 8. การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงทําได ้ 3 วธิ ี 9. เกยี วกับการยกเลกิ กฎหมาย (1) ไดก้ าํ หนดวนั ยกเลกิ กฎหมายไวใ้ นกฎหมายนันเอง (2) ไดอ้ อก กฎหมายใหมท่ มี ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกนั (3) เมอื พระราชกําหนดไมไ่ ดร้ บั การอนุมตั ิ (4) เมอื มกี ฎหมายใหม่ ลกั ษณะพเิ ศษ บญั ญตั ใิ นเรอื งเดยี วกบั กฎหมายเกา่ ลกั ษณะทวั ไป 10. เกยี วกับกฎหมายทมี ผี ลยอ้ นหลงั (1) จะออกกฎหมายยอ้ นหลังใหล้ งโทษบคุ คลไมไ่ ด ้ (2) จะออก กฎหมายยอ้ นหลงั เพมิ โทษบคุ คลใหส้ งู ขนึ ไมไ่ ด ้ (3) โดยหลกั การทวั ไปแลว้ กฎหมายไมม่ ผี ลยอ้ นหลัง (4)มผี ลยอ้ นหลงั ไดโ้ ดยทกี ฎหมายตอ้ งระบไุ วโ้ ดยกฎหมายนัน หนว่ ยที 11 กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน 11. ในระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law System) มกี ารแบง่ แยกประเภทกฎหมายเอกชนและ กฎหมายมหาชน 12. กฎหมายเอกชน เป็ นกฎหมายทใี ชร้ ะหวา่ งเอกชนกบั เอกชน ซงึ อยบู่ นพนื ฐานความเทา่ เทยี มของ บคุ คล 13. กฎหมายมหาชน เป็ นกฎหมายทใี ชบ้ ังคับระหว่างรัฐกบั เอกชน ซงึ อยบู่ นพนื ฐานทไี มเ่ ท่าเทยี มกัน 11.1 การแบง่ แยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน 1. การแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน เป็ นลกั ษณะเดน่ ของระบบ กฎหมายแบบโรมาโน-เยอรมานกิ 2. หลกั เกณฑท์ ใี ชใ้ นการแบง่ แยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนมหี ลายประการ เชน่ เนอื หา วตั ถุประสงค์ นติ วิ ธิ ี เป็ นตน้ 3. ประเทศไทยเรมิ มกี ารแบง่ แยกกฎหมายเอกชนออกจากกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน หลงั จากมี การเปลยี นแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 11.1.1 ความจําเป็ นในการแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ในสมัยโรมนั มกี ารแบง่ แยกประเภทออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนหรอื ไม่ ในสมัยโรมันมกี ารแบง่ แยกประเภทออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน แตเ่ ป็ นการแบง่ เพอื จะไมต่ อ้ งศกึ ษากฎหมายมหาขน
34 11.1.2 หลกั เกณฑใ์ นการแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน การแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนใชห้ ลกั เกณฑใ์ ดบา้ ง เกณฑก์ ารแบง่ กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนอาจใชห้ ลกั เกณฑค์ อื (1) เกณฑท์ เี กยี วกับบคุ คลผกู ้ อ่ นติ สิ มั พันธ์ (2) เกณฑท์ เี กยี วกับวตั ถุประสงคข์ องนติ สิ มั พนั ธ์ (3) เกณฑท์ เี กยี วกบั วธิ กี ารทใี ชใ้ นการกอ่ นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกัน (4) เกณฑท์ เี กยี วกบั เนอื หา 11.1.3 พฒั นาการแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนใน ประเทศไทย ประเทศไทยมกี ารแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมาย เอกชนและกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน ใน สมัยใด ประเทศไทยมกี ารแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน ในชว่ งหลังจากการเปลยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 11.2 การแบง่ แยกสาขายอ่ ยในกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน 1. กฎหมายเอกชนประกอบดว้ ยกฎหมายสาขายอ่ ยทสี ําคญั คอื กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ 2. กฎหมายมหาชนประกอบดว้ ยกฎหมายสาขายอ่ ยทสี ําคญั คอื กฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมาย ปกครอง และกฎหมายการคลังและภาษีอากร 3. การแบง่ สาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชนในแตล่ ะประเทศอาจมคี วามแตกตา่ งกนั ได ้ ซงึ ขนึ อยกู่ บั ประวัตศิ าสตร์ แนวคดิ ของนักวชิ าการของประเทศนันๆ 11.2.1 การแบง่ สาขายอ่ ยในกฎหมายเอกชน กฎหมายใดทถี อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายเอกชน กฎหมายทถี อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายเอกชน คอื กฎหมายแพง่ กฎหมายพาณชิ ย์ กฎหมายอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพ่งและธรรมนญู ศาล กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล 11.2.2 การแบง่ สาขายอ่ ยในกฎหมายมหาชน กฎหมายใดทถี อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชน กฎหมายทถี อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชน คอื กฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายการคลังและภาษีอากร กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 11 1. กฎหมายการคลงั จดั วา่ เป็ นกฎหมายมหาชน (กฎหมายแพ่งฯ กฎหมายอาญา กฎหมายพาณชิ ย์ กฎหมายทรัพยส์ นิ ทางปัญญา->ไมเ่ ป็ น) 2. ลกั ษณะของกฎหมายมหาชนคอื ใชบ้ งั คับกับนติ สิ มั พนั ธท์ ไี มต่ อ้ งอาศัยความสมัครใจของผกู ้ อ่ นติ ิ สมั พันธข์ องอกี ฝ่ ายหนงึ 3. กฎหมายรฐั ธรรมนูญเป็ น กฎหมายทวี างระเบยี บในการปกครองประเทศ 4. ประเทศไทยมกี ารแบง่ แยกกฎหมายมหาชนออกจากกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจนในสมัย หลงั การ เปลยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 5. ระบบกฎหมายไทยจดั อยใู่ นระบบกฎหมาย โรมาโน-เยอรมานกิ 6. ประเทศไทยมกี ารปฏริ ปู ระบบกฎหมายครังใหญใ่ นสมยั รัชกาลที 5 แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ 7. กฎหมายตราสามดวง ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ กฎหมายครงั ใหญ่ในชว่ งตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ 8. กอ่ นมกี ารประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายและพาณชิ ย์ ประเทศไทยนําหลกั กฎหมายของประเทศ องั กฤษ มาใชส้ อนในโรงเรยี นกฎหมาย 9. การจัดตงั ศาลปกครอง พ.ศ. 2542 เป็ นเหตกุ ารณ์ทที ําใหม้ กี ารพัฒนากฎหมายมหาชนครงั ใหญ่ ในประเทศไทย 10. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยข์ องไทย ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากประมวลกฎหมายของประเทศ เยอรมนี 11. กฎหมายจารตี นครบาล เป็ นกฎหมายทมี กี ารปรับปรงุ กฎหมายครงั ใหญใ่ นชว่ งตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
35 หนว่ ยที 12 ระบบกระบวนการยตุ ธิ รรมไทย 1. กระบวนการยตุ ธิ รรมเป็ นเรอื งทมี คี วามสําคญั อยา่ งยงิ เนอื งจากมผี ลกระทบตอ่ ประชาชนในประเทศ เพราะเป็ นกระบวนการวนิ จิ ฉัยขอ้ ขดั แยง้ ของบคุ คลในสงั คมใหไ้ ดร้ ับความเป็ นธรรม และกอ่ ใหเ้ กดิ ความ สงบสขุ แกส่ งั คม ทงั ยงั เป็ นสาระสําคญั ของการปกครองในระบบประชาธปิ ไตยภายใตห้ ลกั นติ ธิ รรม 2. กระบวนการยตุ ธิ รรมปัจจบุ นั ของไทยไดเ้ ปลยี นแปลงไปจากอดตี ในหลายดา้ น เพอื ใหเ้ หมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทเี ปลยี นไป และสามารถอํานวยความยตุ ธิ รรมและคมุ ้ ครองสทิ ธิ เสรภี าพของ ประชาชนตามกฎหมาย 3. เพอื ใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมดําเนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสาทความยตุ ธิ รรมใหแ้ ก่ ประชาชนไดจ้ งึ จําเป็ นตอ้ งมหี ลักประกนั ความเป็ นธรรมและความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการ 4. ในปัจจุบันยังมอี งคก์ รอนื ทที ําหนา้ ทใี นการวนิ จิ ฉัยชขี าดขอ้ พพิ าทของประชาชน ซงึ เป็ นองคก์ ร อสิ ระทไี มใ่ ชอ่ งคก์ รตลุ าการก็ได ้ 12.1 กระบวนการยุตธิ รรมไทยในอดตี 1. กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั สโุ ขทยั ไมม่ รี ะบบชดั เจนแนน่ อน ราษฎรเมอื มขี อ้ พพิ าทก็อาจไปถวาย ฎกี าเพอื ขอความเป็ นธรรมจากพระเจา้ แผน่ ดนิ ไดด้ ว้ ยตัวเอง 2. กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมัยอยธุ ยาเป็ นระบบและชดั เจนกวา่ สมยั สโุ ขทัย ซงึ ในสมยั อยธุ ยามที ัง กฎหมายสารบญั ญตั ิ และกฎหมายวธิ สี บญั ญัตใิ ช ้ โดยในการบญั ญตั กิ ฎหมายไดร้ บั เอาคมั ภรี พ์ ระ ธรรมศาสตรม์ าเป็ นหลักในการบัญญัตกิ ฎหมาย 3. กฎหมายตราสามดวงซงึ ชําระขนึ ในสมยั รชั กาลที 1 แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ สว่ นใหญ่เป็ นกฎหมาย ทรี วบรวมมาจากกฎหมายสมนั อยธุ ยา ซงึ แยกออกเป็ นลกั ษณะตา่ งๆ ในสว่ นทเี กยี วกบั วธิ พี จิ ารณาความใน ศาล ไดแ้ ก่ ลักษณะพระธรรมนูญ ลักษณะรบั ฟ้อง ลักษณะพยาน ลกั ษณะพสิ จู นด์ ํานํา ลุยเพลงิ ลกั ษณะ ตระลาการ และลักษณะอทุ ธรณ์ 4. ระบบการศาลไทยกอ่ นยคุ ปฏริ ปู การศาลในสมยั รชั กาลที 5 ศาลเป็ นหน่วยงานทขี นึ อยกู่ บั กรม ต่างๆ มตี ระลาการทําหนา้ ทพี จิ ารณาคดตี ามทกี รมทตี นสงั กัดอยู่ มอบหมายใหม้ ลี กู ขนุ ณ ศาลหลวงทํา หนา้ ทพี พิ ากษาคดี และมผี ทู ้ ําหนา้ ทปี รบั บทความผดิ และวางบทลงโทษผกู ้ ระทําผดิ ใหเ้ หมาะสมแก่ ความผดิ 5. ระบบการศาลไทยหลังการปฏริ ูประบบกฎหมายและการศาลในสมันรัชกาลที 5 เป็ นระบบศาลเดยี ว โดยระบบศาลไมต่ อ้ งสงั กัดอยกู่ บั กรมตา่ งๆอกี ต่อไป มศี าลยตุ ธิ รรมเป็ นองคก์ รเดยี วทใี ชอ้ าํ นาจตลุ าการทํา หนา้ ทพี จิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดโี ดยเฉพาะ 6. ปัจจุบันประเทศไทยใชร้ ะบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) และระบบศาลเป็ นระบบศาลคู่ คอื มี ศาลทมี คี วามรู ้ ความชาํ นาญ และประสบการณใ์ นคดเี รอื งนันๆ โดยเฉพาะทาํ หนา้ ทคี เู่ คยี งไปกับศาล ยตุ ธิ รรม และมกี ารจัดแบง่ โครงสรา้ งของศาลเป็ นตามลาํ ดบั ชนั และประเภทของคดี 12.1.1 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั สโุ ขทยั อธบิ ายลกั ษณะของกระบวนการยตุ ธิ รรมในสมัยสโุ ขทยั ระบบการยตุ ธิ รรมในสมยั กรงุ สโุ ขทัย ไมม่ รี ะบบทชี ดั เจน แตเ่ มอื ราษฎรมขี อ้ พพิ าทกนั กส็ ามารถไป สนั กระดงิ ทแี ขวนไวท้ หี นา้ ประตเู พอื ใหพ้ ระมหากษัตรยิ ม์ าสอบสวนและตดั สนิ คดคี วามได ้ 12.1.2 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั อยธุ ยา มกี ารจดั ตังศาลเพอื พจิ ารณาคดี อธบิ ายลกั ษณะของกระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั อยธุ ยา กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั อยธุ ยาเป็ นระบบกวา่ ในสมยั สโุ ขทัย ตา่ งๆ ซงึ กระจายอยตู่ ามตัวกระทรวงตา่ งๆ 12.1.3 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ เพราะเหตใุ ดในสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ จงึ ไดม้ ชี าํ ระกฎหมายขนึ ใหม่ กฎหมายทใี ชใ้ นสมัยกรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ นัน เป็ นกฎหมายทตี กทอดสบื มาจากสมัยกรุงศรี อยธุ ยาตอนปลาย แตเ่ นืองจากกฎหมายตา่ งๆ ถกู เผาทําลายไป กฎหมายทเี หลอื อยไู่ มเ่ หมาะสมกบั กาล สมัยไมอ่ าจอํานวยความยตุ ธิ รรมได ้ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกจงึ ไดโ้ ปรดใหม้ กี ารชาํ ระ กฎหมายขนึ ใหม่ 12.1.4 กระบวนการยุตธิ รรมในปจั จบุ นั อธบิ ายถงึ ความเปลยี นแปลงทสี ําคัญของระบบกระบวนการยตุ ธิ รรมไทยในปัจจุบัน
36 การเปลยี นแปลงทสี ําคญั ของระบบยตุ ธิ รรมไทย คอื มกี ารเปลยี นแปลงจากระบบศาลเดยี วเป็ น ระบบศาลคู่ คอื มกี ารจัดตังศาลหลายประเภท โดยแบง่ ชนดิ ของตามประเภทของคดี 12.2 หลกั การสําคญั ของการดาํ เนนิ กระบวนการยตุ ธิ รรมในศาล 1. เพอื ใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมดําเนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแก่ ประชาชนจาํ เป็ นจะตอ้ งการกําหนดหลักประกนั ความเป็ นธรรมใหแ้ กผ่ พู ้ พิ ากษา เพอื ใหผ้ พู ้ พิ ากษาสามารถ อาํ นวยความยตุ ธิ รรมใหแ้ กค่ คู่ วามได ้ 2. เพอื ใหผ้ พู ้ พิ ากษาไดต้ ดั สนิ คดตี ่างๆ อยา่ งเทยี งธรรมโดยมติ อ้ งเกรงกลวั อทิ ธพิ ลใดๆ หรอื ใหถ้ กู แทรกแซงโดยอํานาจอนื จาํ เป็ นตอ้ งมหี ลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษา 3. แมน้ ฝ่ ายตลุ าการจะมหี ลักประกนั ความเป็ นธรรมและความเป็ นอสิ ระ แตก่ ระบวนการยตุ ธิ รรมกอ็ าจ ถูกตรวจสอบไดแ้ ละตอ้ งมคี วามโปรง่ ใสดว้ ย 12.2.1 หลกั ประกนั ความยตุ ธิ รรมของผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ หลกั ประกันความเป็ นธรรมของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการซงึ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540 กาํ หนดไวไ้ วไ้ ดแ้ กห่ ลกั การใดบา้ ง หลกั ประกนั ความเป็ นธรรมของผพู ้ พิ ากษาและตุลาการ ไดแ้ ก่ 1) การพจิ ารณาคดจี ะกระทําโดยองคค์ ณะและตอ้ งครบองคค์ ณะ 2) มกี ารพจิ ารณาคดแี บบตอ่ เนอื ง 12.2.2 หลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ มาตรการทเี ป็ นหลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการจากองคก์ รภายนอกไดแ้ ก่ มาตรการใด มาตรการทเี ป็ นหลักประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการจากองคก์ รภายนอก ไดแ้ ก่ 1) มหี นว่ ยธรการเป็ นอสิ ระ 2) แยกบคุ คลทดี ํารงตําแหน่งผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการออกจากฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั แิ ละบรหิ าร 12.2.3 หลกั การพจิ ารณาโดยเปิ ดเผย หลกั การพจิ ารณาคดโี ดยเปิดเผยในศาลมปี ระโยชนใ์ นกรณใี ดบา้ ง หลักการพจิ ารณาโดยเปิดเผยมปี ระโยชนใ์ นดา้ นการควบคุม และตรวจสอบการทํางานของผู ้ พพิ ากษาและตลุ าการ วา่ ดําเนนิ การไปโดยสจุ รติ และยตุ ธิ รรมหรอื ไม่ 12.3 กระบวนการยตุ ธิ รรมอนื 1. ในระบอบประชาธปิ ไตยทมี กี ารแยกองคก์ รทใี ชอ้ าํ นาจอธปิ ไตยออกเป็ นหลายองคก์ ร ศาลมใิ ช่ องคก์ รเดยี วเทา่ นันทที ําหนา้ ทมี นการวนิ จิ ฉัยขอ้ พพิ าท 2. องคก์ รทมี อี าํ นาจในการวนิ จิ ฉัยขอ้ พพิ าทอาจเป็ นหนว่ ยราชการหรอื องคก์ รทไี มใ่ ชห่ น่วยราชการก็ ไดซ้ งึ เรยี กวา่ องคก์ รกงึ ตลุ าการ (Quasi Judicial) 12.3.1 องคก์ รวนิ จิ ฉยั อสิ ระ ยกตวั อยา่ งองคก์ รวนิ จิ ฉัยอสิ ระทไี มไ่ ดเ้ ป็ นสว่ นราชการ องคก์ รวนิ จิ ฉัยอสิ ระทไี มไ่ ดเ้ ป็ นสว่ นราชการ เชน่ 1. คณะกรรมการ ป.ป.ช. 2. คณะกรรมการเลอื กตงั 12.3.2 องคก์ รวนิ จิ ฉยั ของหนว่ ยราชการ คําวนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการวนิ จิ ฉัยรอ้ งทุกข์ เมอื วนิ จิ ฉัยชขี าดเรอื งรอ้ งทกุ ขแ์ ลว้ มผี ลประการใด คําวนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการวนิ จิ ฉัยรอ้ งทกุ ขย์ ังไมม่ ผี ลบงั คบั แกค่ ่กู รณี ตอ้ งสง่ ใหน้ ายกรฐั มนตรสี งั การอกี ทหี นงึ แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 12 1. บคุ คลทมี อี าํ นาจฟ้องคดอี าญาไดแ้ ก่ พนักงานอยั การและผเู ้ สยี หาย 2. บคุ คลจะมอี าํ นาจฟ้องคดไี ดเ้ มอื สทิ ธหิ รอื หนา้ ทตี ามกฎหมายแพ่งถกู โตแ้ ยง้
37 3. ลักษณะของระบบศาลไทยกอ่ นการปฏริ ูปการศาลในรชั กาลที 5 เป็ นหน่วยงานทขี นึ อยกู่ บั กรม ตา่ งๆ ทําหนา้ ทพี จิ ารณาคดตี ามทกี รมทตี นสงั กดั อยมู่ อบหมาย 4. ลักษณะของระบบศาลคขู่ องประเทศไทยในปัจจบุ นั คอื มศี าลยตุ ธิ รรมคู่กบั ศาลปกครอง 5. องคก์ รทที ําหนา้ ทตี รวจสอบบญั ชที รพั ยส์ นิ และหนสี นิ ของผดู ้ ํารงตําแหน่งทางการเมอื ง คอื คณะ กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ 6. องคก์ รทที ําหนา้ ทไี ตส่ วนกรณกี ารเขา้ ชอื รอ้ งขอถอดถอนนายกรัฐมนตรี เนอื งจากมพี ฤตกิ รรม รํารวยผดิ ปกตคิ อื ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ํารงตาํ แหน่งทางการเมอื ง 7. หลักในการพจิ ารณาคดขี องศาลอาญาคอื การพจิ ารณาและสบื พยานตอ้ งกระทําโดยเปิดเผยตอ่ หนา้ จําเลย 8. มาตรการทเี ป็ นหลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการขององคก์ รภายนอกคอื การ กาํ หนดใหห้ น่วยงานธรุ การของศาลเป็ นอสิ ระขนึ ตอ่ ประธานศาล 9. ในคดมี ากอ่ นการปฏริ ูประบบศาลไทย ในสมยั รชั กาลที 5 ระบบการพจิ ารณาคดใี นศาลเป็ นระบบ ไตส่ วน หนว่ ยที 13 ระบบศาลไทย 1. ศาลรฐั ธรรมนญู เป็ นศาลชาํ นัญพเิ ศษทจี ัดตงั ขนึ มอี าํ นาจหนา้ ทที สี าํ คัญ คอื พจิ ารณาคดที ี เกยี วขอ้ งกับรฐั ธรรมนูญ 2. ศาลยตุ ธิ รรม เป็ นศาลทมี อี าํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาทเี ป็ นการทวั ไป คอื คดที ไี มม่ กี ฎหมายบญั ญตั ิ ใหอ้ ยใู่ นอาํ นาจศาลอนื 3. ศาลปกครอง เป็ นศาลชาํ นัญพเิ ศษทจี ดั ตังขนึ มอี าํ นาจทพี จิ ารณาคดปี กครอง 4. ศาลทหาร เป็ นศาลทมี อี าํ นาจพจิ ารณาคดที เี กยี วกับวนิ ัยทหารเป็ นหลกั 13.1 ศาลรฐั ธรรมนญู 1. ศาลรฐั ธรรมนูญเป็ นศาลประเภทหนงึ ทมี อี าํ นาจในการพจิ ารณาคดเี กยี วขอ้ งกบั รัฐธรรมนญู ซงึ เป็ น กฎหมายสงู สดุ ของประเทศ 2. ศาลรัฐธรรมนญู จะเรมิ ดําเนนิ การเองไมไ่ ด ้ ตอ้ งมผี เู ้ สนอคํารอ้ งใหพ้ จิ ารณา ผมู ้ อี าํ นาจฟ้องคดตี อ่ ศาลรัฐธรรมนญู ไดก้ ําหนดไวใ้ นรฐั ธรรมนูญ เชน่ ศาล ประธานสภาผแู ้ ทนราษฎร ประธานวุฒสิ ภา ประธาน รฐั สภา นายกรัฐมนตรี เป็ นตน้ 3. ศาลรัฐธรรมนญู มวี ธิ พี จิ ารณาคดที กี าํ หนดขนึ มาเอง โดยความเห็นชอบเป็ นเอกลักษณ์ของตลุ า การรฐั ธรรมนูญ 4. คําวนิ จิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนูญใหเ้ ป็ นเดด็ ขาด มผี ลผกู พันรัฐสภา คณะรฐั มนตรี ศาล และองคก์ ร อนื ขงิ รฐั 13.1.1 ขอบเขตอาํ นาจหนา้ ทขี องศาลรฐั ธรรมนูญ ยกตัวอยา่ งคดที ใี นขอบเขตอํานาจหนา้ ทขี องศาลรฐั ธรรมนญู 2 คดี คดที อี ยใู่ นขอบเขตอาํ นาจหนา้ ทขี องศาลรฐั ธรรมนญู เชน่ 1. กรณีวนิ จิ ฉัยวา่ รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื ร่างพระราชกาํ หนดขัดหรอื แยง้ กับรฐั ธรรมนูญ 2. วนิ จิ ฉัยวา่ กฎหมายใดขดั หรอื แยง้ กับรฐั ธรรมนูญ 13.1.2 สทิ ธเิ สนอคาํ รอ้ งตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู ในกรณที มี ปี ัญหาวา่ กฎหมายใดขดั หรอื แยง้ กับรัฐธรรมนญู หรอื ไม่ ใครเป็ นผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอคํารอ้ งให ้ ศาลยตุ ธิ รรมพจิ ารณา มี 2 กรณคี อื 1. ศาลทุกศาล ทังในกรณที ศี าลเห็นเองหรอื มคี กู่ รณีโตแ้ ยง้ วา่ บทบญั ญัตใิ ดของกฎหมายขดั ตอ่ รัฐธรรมนูญ 2. ผตู ้ รวจการแผน่ ดนิ ของรฐั สภาเหน็ วา่ บทบัญญตั ขิ องกฎหมายมปี ัญหาเกยี วกบั ความชอบดว้ ย รัฐธรรมนูญ 13.1.3 การดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณา วธิ พี จิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู มลี ักษณะพเิ ศษอยา่ งไร
38 ศาลรฐั ธรรมนญู สามารถกาํ หนดวธิ พี จิ ารณาคดไี ดด้ ว้ ยตนเอง ซงึ กระทําโดยมตเิ อกฉันทข์ อง คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนญู และประกาศในราชกจิ จานุเบกษา แตว่ ธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลอนื นันจะตอ้ ง ตราเป็ นกฎหมายโดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิ 13.1.4 ผลของคาํ วนิ จิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนูญ ผลของคําวนิ จิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู มผี ลอยา่ งไร คําวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมผี ลผกู พันทกุ องคก์ รใหป้ ฏบิ ตั ติ าม 13.2 ศาลยตุ ธิ รรม 1. ศาลยตุ ธิ รรมเป็ นศาลทมี อี าํ นาจทัวไป คดที ไี มม่ กี ฎหมายบญั ญัตใิ หอ้ ยใู่ นอํานาจศาลอนื จงึ อยใู่ น เขตอาํ นาจศาลยตุ ธิ รรม 2. ผมู ้ สี ทิ ธเิ รมิ คดไี ดต้ อ้ งเป็ นบคุ คลทกี ฎหมายบญั ญตั ใิ หม้ สี ทิ ธฟิ ้องคดไี ด ้ 3. การดําเนนิ การกระบวนพจิ ารณาของศาลยตุ ธิ รรมเป็ นระบบกลา่ วหา คอื ผใู ้ ดกลา่ วอา้ ง ผนู ้ ันมี หนา้ ทนี ําสบื 4. คําพพิ ากษาของศาลยอ่ มมผี กู พนั คกู่ รณี และการบงั คับคดกี ระทําโดยศาลออกคําบงั คับ 5. การดําเนนิ คดอี าญาของผดู ้ ํารงตําแหน่งทางการเมอื ง เป็ นการดําเนนิ คดอี าญากับผดู ้ ํารงตาํ แหนง่ ทางการเมอื ง เพอื เป็ นการสรา้ งระบบควบคมุ ตรวจสอบผดู ้ ํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง โดยกาํ หนดเป็ นวธิ ี พเิ ศษขนึ 13.2.1 ระบบศาลยตุ ธิ รรมและขอบเขตอาํ นาจหนา้ ที ศาลยตุ ธิ รรมมอี าํ นาจพจิ ารณาคดปี ระเภทใดบา้ ง คดที กุ ประเภททมี ไิ ดม้ กี ฎหมายบญั ญัตใิ หอ้ ยใู่ นอาํ นาจของศาลอนื เชน่ คดแี พ่ง คดอี าญา คดี แรงงาน คดภี าษีอากร คดที รพั ยส์ นิ ทางปัญญาและการคา้ ระหว่างประเทศ คดลี ม้ ละลาย คดเี ด็กเยาวชน และครอบครัว 13.2.2 การเรมิ คดี ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดอี าญามใี ครบา้ ง ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดอี าญา ไดแ้ ก่ 1) รัฐ 2) ผเู ้ สยี หาย 13.2.3 การดาํ เนนิ กระบวนการพจิ ารณา ในคดอี าญา การพจิ ารณาคดตี อ้ งกระทําตอ่ หนา้ จําเลย โดยมขี อ้ ยกเวน้ ในกรณีใดบา้ ง ในคดอี าญา การพจิ ารณาคดตี อ้ งกระทําตอ่ หนา้ จําเลย ยกเวน้ กรณีต่อไปนี 1. ในคดมี อี ตั ราจําคกุ อยา่ งสงู ไมเ่ กนิ สามปี จะมโี ทษปรบั ดว้ ยหรอื ไมก่ ต็ าม หรอื ในคดมี โี ทษปรับ สถานเดยี ว เมอื จําเลยมที นายและจําเลยไดร้ บั อนญุ าตจากศาลทจี ะไมม่ าฟังการพจิ ารณาและการสบื พยาน 2. ในคดที มี จี าํ เลยหลายคน ถา้ ศาลพอใจคําแถลงของโจทกว์ ่าการพจิ ารณาและการสบื พยาน ตามทโี จทกข์ อใหก้ ระทําไมเ่ กยี วแกจ่ ําเลยคนใด ศาลจะพจิ ารณาและสบื พยานลับหลังจําเลยคนนันก็ได ้ 3. คดที มี จี ําเลยหลายคน ถา้ ศาลเหน็ สมควรจะพจิ ารณาและสบื พยานจําเลยคนหนงึ ๆ ลบั หลัง จําเลยคนอนื กไ็ ด ้ 13.2.4 คาํ พพิ ากษาและการบงั คบั คดี การบังคบั คดที ศี าลชนั ตน้ พพิ ากษาลงโทษประหารชวี ติ และจําเลยไมม่ ฝี ่ ายใดอทุ ธรณ์จะตอ้ ง ดําเนนิ การอยา่ งไร ในคดที ศี าลชนั ตน้ พพิ ากษาลงโทษประหารชวี ติ จําเลยและไมม่ ฝี ่ ายใดอทุ ธรณ์ ศาลชนั ตน้ จะตอ้ ง สง่ สํานวนคดนี ันไปใหศ้ าลอทุ ธรณ์วนิ จิ ฉัยอกี ครังหนงึ จะบังคบั คดที นั ทไี มไ่ ด ้ หากศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษา ยนื ตามคําพพิ ากษาของศาลชนั ตน้ จงึ จะถอื วา่ คดนี ันถงึ ทสี ดุ แต่ยังนําตวั จําเลยไปประหารไมไ่ ด ้ ตอ้ งปฏบิ ตั ิ ในเรอื งของพระราชทานอภยั โทษกอ่ น 13.2.5 การดาํ เนนิ คดอี าญาของผดู้ าํ รงตําแหนง่ ทางการเมอื ง บคุ คลใดทอี าจถกู ฟ้องตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง บคุ คลทอี าจถกู ฟ้องตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ํารงตําแหน่งทางการเมอื งไดแ้ ก่
39 1) ผดู ้ ํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง เชน่ นายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร สมาชกิ วฒุ สิ ภา ขา้ ราชการการเมอื งอนื ผบู ้ รหิ ารทอ้ งถนิ บคุ คลทเี ป็ นตวั การผใู ้ ชห้ รอื ผสู ้ นับสนุน 2) กรรมการ ป.ป.ช. 13.3 ศาลปกครอง 1. ศาลปกครองเป็ นศาลชาํ นญั พเิ ศษมอี ํานาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดเี ฉพาะทกี ฎหมายบญั ญัตไิ ว ้ 2. ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดตี อ่ ศาลปกครอง จะตอ้ งเป็ นผไู ้ ดร้ ับความเดอื ดรอ้ นหรอื เสยี หายหรอื อาจจะเดอื ด รอ้ นหรอื เสยี หายจากการกระทํา หรอื งดเวน้ การกระทําของหนว่ ยงานทางปกครองหรอื เจา้ หนา้ ทขี องรัฐ หรอื มขี อ้ โตแ้ ยง้ เกยี วกับสญั ญาทางปกครอง หรอื กรณีอนื ใดทอี ยใู่ นเขตอาํ นาจศาลปกครอง 3. การดําเนนิ กระบวนพจิ ารณาของศาลปกครองใชห้ ลักการดําเนนิ การ โดยใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลกั และใชร้ ะบบไตส่ วนในการพจิ ารณา 4. คําพพิ ากษาของศาลปกครองยอ่ มผูกพันคกู่ รณใี หต้ อ้ งปฏบิ ัตติ าม 13.3.1 ขอบเขตของอํานาจหนา้ ที คําวา่ “หนว่ ยงานปกครอง” ตาม พ.ร.บ. จดั ตังศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองหมายถงึ หน่วยงานใด คําว่า “หนว่ ยงานปกครอง” หมายถงึ กระทรวง ทบวง กรม สว่ นราชการทเี รยี กชอื อยา่ งอนื และมี ฐานะเป็ นกรม “ราชการสว่ นภมู ภิ าค” เชน่ จงั หวัด อําเภอ “ราชการสว่ นทอ้ งถนิ ” เชน่ เทศบาล รฐั วสิ าหกจิ “หนว่ ยราชการอนื ของรฐั ” ทไี ดร้ ับมอบหมายใหใ้ ชอ้ ํานาจปกครองหรอื ไดด้ ําเนนิ กจิ การทางปกครอง “องคก์ รมหาชน” หนว่ ยงานเอกชนทไี ดร้ ับมอบหมายใหใ้ ชอ้ ํานาจปกครอง 13.3.2 การฟ้ องคดปี กครอง ในกรณีฟ้องวา่ พระราชกฤษฎกี าไมช่ อบดว้ ยกฎหมายตอ้ งฟ้องต่อศาลใด ตอ้ งฟ้องต่อศาลปกครองสงู สดุ 13.3.3 การดาํ เนนิ การกระบวนพจิ ารณา แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม จะมี วธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลปกครองเป็ นแบบใด ศาลปกครองใชว้ ธิ พี จิ ารณาคดแี บบไตส่ วนและใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลัก การนังพจิ ารณาอยา่ งนอ้ ย 1 ครงั 13.3.4 การพพิ ากษาและการบงั คบั คดี คําพพิ ากษาของศาลปกครองมผี ลยอ้ นหลงั ไดใ้ นกรณใี ด ในกรณีทศี าลปกครองมคี ําสงั ใหเ้ พกิ ถอนกฎหรอื คําสงั หรอื สงั หา้ มการกระทาํ ทังหมดหรอื บางสว่ น ในกรณฟี ้องวา่ หนว่ ยงานทางปกครองหรอื เจา้ หนา้ ทขี องรัฐกระทําการโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย 13.4 ศาลทหาร 1. ศาลทหารมอี ํานาจพจิ ารณาพพิ ากษาลงโทษผกู ้ ระทําผดิ กฎหมายทหาร หรอื กฎหมายอนื ในทาง อาญาในคดซี งึ ผกู ้ ระทําเป็ นบคุ คลทอี ยใู่ นอํานาจของศาลทหารในขณะกระทาํ ผดิ 2. ผฟู ้ ้องคดใี นศาลทหารมไี ดเ้ ฉพาะอัยการทหารและผเู ้ สยี หายเทา่ นัน 3. กระบวนการพจิ ารณาในศาลทหารเป็ นไปตาม พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 4. คําพพิ ากษาของศาลทหารยงั ไมม่ ผี ลบังคับทันที เมอื ศาลทหารมคี ําพพิ ากษาลงโทษแลว้ จะตอ้ ง ออกหมายแจง้ โทษใหผ้ บู ้ งั คบั บญั ชาเป็ นผสู ้ งั ลงโทษจําเลย 13.4.1 ขอบเขตอํานาจหนา้ ทขี องศาลทหาร ศาลทหารมอี ํานาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี ด ศาลทหารมอี ํานาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดที ผี กู ้ ระทําผดิ กฎหมายทหาร หรอื กฎหมายอนื ในทางอาญาในคดซี งึ ผกู ้ ระทําเป็ นบคุ คลทอี ยใู่ นอํานาจของศาลทหารในขณะกระทําความผดิ และมอี าํ นาจ สงั ลงโทษบคุ คลทกี ระทาํ ความผดิ ฐานละเมดิ อํานาจศาลทหารดว้ ย 13.4.2 การฟ้ องคดใี นศาลอาหาร บคุ คลใดมสี ทิ ธฟิ ้องคดตี อ่ ศาลทหาร ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดใี นศาลทหาร ไดแ้ ก่ 1) อัยการทหาร
40 2) ผเู ้ สยี หาย ภายใตเ้ งอื นไข คอื - ผเู ้ สยี หายเป็ นบคุ คลในอาํ นาจศาลทหาร - ความผดิ ทฟี ้องรอ้ งเกดิ ในเวลาปกติ 13.4.3 กระบวนพจิ ารณาในศาลทหาร องคค์ ณะของศาลทหารแตกตา่ งจากศาลพลเรอื นหรอื ไม่ อยา่ งไร องคค์ ณะของศาลทหารแตกตา่ งจากศาลพลเรอื น โดยจะตอ้ งมนี ายทหารเป็ นองคค์ ณะรวมกับตลุ า การพระธรรมนูญดว้ ย 13.4.4 ผลของคาํ พพิ ากษา การบงั คับคดขี องศาลทหารแตกตา่ งจากการบังคับคดขี องศาลพลเรอื นหรอื ไม่ การบงั คับคดขี องศาลทหารแตกตา่ งจากการบังคบั คดขี องศาลพลเรอื น โดยเมอื ศาลทหาร พพิ ากษาลงโทษจําเลยแลว้ จะไมอ่ อกหมายไปยงั เรอื นจํา แต่จะออกหมายแจง้ ไปใหผ้ บู ้ งั คบั บญั ชาทหาร ทราบและสงั ลงโทษจําเลย แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 13 1. องคก์ รใดทําหนา้ ทวี นิ จิ ฉัยชขี าดว่ากฎหมายใดขัดหรอื แยง้ กับรฐั ธรรมนญู คอื ศาลรฐั ธรรมนูญ 2. วธิ กี ารพจิ ารณาคดใี นศาลรฐั ธรรมนญู เป็ นแบบไตส่ วน 3. ศาลยตุ ธิ รรม เป็ นศาลทมี อี ํานาจทวั ไป 4. คดอี ทุ ธรณ์การประเมนิ ภาษีอากร เป็ นคดที ไี มอ่ ยใู่ นอาํ นาจศาลปกครอง 5. การสบื พยานในศาลใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลัก ไมใ่ ชห่ ลกั ในการพจิ ารณาคดแี พ่ง 6. ผตู ้ รวจการแผน่ ดนิ รฐั สภา เป็ นบคุ คลทไี มไ่ ดอ้ ยใู่ นเขตอํานาจของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู ้ ดํารงตาํ แหน่งทางการเมอื ง 7. ในศาลปกครองใชว้ ธิ กี ารดําเนนิ กระบวนการพจิ ารณาแบบไต่สวน 8. คดฟี ้องวา่ พระราชกฤษฎกี าขัดต่อพระราชบญั ญตั ิ อาจฟ้องตอ่ ศาลปกครองสงู สดุ ได ้ 9. องคค์ ณะของศาลทหารแตกต่างจากศาลพลเรอื นคอื มนี ายทหารร่วมเป็ นคณะกับตลุ าการพระ ธรรมนูญดว้ ย 10. ความแตกตา่ งของการฟ้องคดตี อ่ ศาลปกครองกับการฟ้องคดใี นศาลยตุ ธิ รรมคอื การฟ้ องคดี ปกครองอาจฟ้องทางไปรษณียไ์ ด ้ หนว่ ยที 14 กฎหมายกบั ความเป็ นธรรมในสงั คม 11. กฎหมายเป็ นสงิ ทรี ัฐกาํ หนดขนึ เพอื ใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งมคี วามสงบสขุ และเพอื เป็ นธรรมใน สงั คม อยา่ งไรก็ดี กฎหมายบางฉบบั อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรม เชน่ กฎหมายทมี บี ทบญั ญตั ลิ า้ สมัย หรอื มบี ทบญั ญตั ทิ ไี มส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในสงั คม 12. กฎหมายไมส่ ามารถบัญญตั ขิ นึ ใหค้ รอบคลมุ ขอ้ เท็จจรงิ ทกุ กรณีได ้ จงึ มบี ทบญั ญตั ใิ หด้ ุลพนิ จิ แกผ่ ู ้ บงั คับใชก้ ฎหมายเพอื ใหเ้ กดิ ความยดื หยนุ่ โดยอาจกําหนดแนวทางหรอื กรอบในการใชด้ ลุ พนิ จิ ไวห้ รอื ไมก่ ็ ไดต้ ามความเหมาะสม รวมทงั มกี ระบวนการแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี มเ่ ป็ นธรรม 13. ในการสรา้ งความเป็ นธรรมในสงั คมโดยกฎหมาย นอกจากกฎหมายจะตราขนึ โดยมเี จตนารมณเ์ พอื ความเป็ นธรรมแลว้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายตอ้ งใชก้ ฎหมายเพอื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม และเมอื พบวา่ กฎหมายใดมี บทบญั ญัตทิ กี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมในสงั คม ยอ่ มจําเป็ นตอ้ งมกี ารแกไ้ ขกฎหมายนันใหเ้ กดิ ความเป็ น ธรรมตอ่ ไปดว้ ย 14.1 บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทกี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรม 1. ปัจจุบนั สงั คมมกี ารเปลยี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทําใหแ้ นวความคดิ ของประชาชนในสงั คมไดเ้ ปลยี น แปลงไปโดยเฉพาะอยา่ งยงิ วทิ ยาการและและเทคโนโลยที พี ัฒนาไปอยา่ งไมห่ ยดุ ยงั สง่ ผลใหก้ ฎหมายที บญั ญัตขิ นึ ในสภาพสงั คมยคุ หนงึ ๆ ลา้ สมยั ไมเ่ หมาะสมทจี ะนํามาใชใ้ นยคุ ปัจจุบนั การยงั คงใชก้ ฎหมายที ลา้ สมยั กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกผ่ เู ้ กยี วขอ้ งและสงั คม
41 2. กฎหมายบางฉบบั บญั ญตั ขิ นึ บนพนื ฐานของสภาวการณช์ ว่ งหนงึ ๆ ของสงั คมตอ่ มาเมอื สภาวการณน์ ันๆ ไดส้ นิ สดุ ลงหรอื เปลยี นแปลงไป การยังคงใชก้ ฎหมายนันตอ่ ไปจงึ ไมส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในปัจจบุ นั กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกส่ งั คมหรอื กฎหมายนันไมอ่ าจนํามาใชบ้ ังคับไดโ้ ดย ปรยิ าย 14.1.1 บทบญั ญตั ทิ ลี า้ สมยั ยกตัวอยา่ งบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทเี ห็นวา่ ลา้ สมัยและไมเ่ ป็ นธรรม เพราะแนวคดิ ของสงั คมในยคุ ปัจจบุ ันไดเ้ ปลยี นแปลงไป โดยในปัจจุบนั ไดม้ กี ารปรับปรงุ แกไ้ ขกฎหมายดังกล่าวแลว้ หรอื ไมก่ ็ได ้ ตัวอยา่ งบทบญั ญัตขิ องกฎหมายอนื ทลี า้ สมัยและไมเ่ ป็ นธรรม เพราะแนวคดิ ของสงั คมในยคุ ปัจจบุ ันไดเ้ ปลยี นแปลงไป เชน่ บทบญั ญัตขิ องกฎหมายทเี กยี วกบั การจัดการทรพั ยส์ นิ ระหวา่ งสามภี รยิ า ซงึ แต่เดมิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2478 บญั ญัตใิ หส้ ามแี ต่เพยี งผเู ้ ดยี วเป็ นผมู ้ ี อาํ นาจในการจัดการสนิ สมรส ซงึ สภาพสงั คมปัจจบุ ันฝ่ ายหญงิ กม็ สี ว่ นชว่ ยหารายไดใ้ หแ้ กค่ รอบครัว และ รฐั ธรรมนญู ยอมรบั ใหม้ สี ทิ ธเิ ทา่ เทยี มกับชาย จงึ ไมเ่ ป็ นธรรมทจี ะใหฝ้ ่ ายชายแตเ่ พยี งฝ่ ายเดยี วเป็ นผจู ้ ัดการ ทรพั ยส์ นิ ของครอบครวั ซงึ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2519 ไดม้ กี ารแกไ้ ขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยว์ า่ ดว้ ย ครอบครวั ใหส้ ามแี ละภรยิ าเป็ นผจู ้ ดั การสนิ สมรสรว่ มกัน และไดม้ กี ารแกไ้ ขเพมิ เตมิ หลักกฎหมายดังกล่าว อกี หลายครัง ลา่ สดุ ในปี พ.ศ. 2533 ไดม้ กี ารแกไ้ ขใหส้ ามหี รอื ภรยิ าจดั การสนิ สมรสโดยลาํ พงั ได ้ เวน้ แต่ ในกจิ การทสี ําคัญบางประการทตี อ้ งจดั การร่วมกนั หรอื ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากอกี ฝ่ ายหนงึ ปรากฏตาม มาตรา 1476 ซงึ ยังมผี ลใชบ้ งั คบั อยใู่ นปัจจุบัน 14.1.2 บทบญั ญตั ทิ ไี มส่ อดคลอ้ ง ยกตวั อยา่ งบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทเี ห็นวา่ ไมส่ อดคลอ้ งกับสภาวการณใ์ นยคุ ปัจจบุ นั โดย ปัจจบุ ันไดม้ กี ารปรับปรงุ แกไ้ ข หรอื ยกเลกิ ใชแ้ ลว้ ตัวอยา่ งบทบญั ญัตขิ องกฎหมายทไี มส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในยคุ ปัจจบุ นั เชน่ พระราชกาํ หนด จัดตังศาลพเิ ศษเพอื พจิ ารณาพพิ ากษาคดคี วามผดิ ฐานขบถภายนอกราชอาณาจักร พทุ ธศกั ราช พ.ศ. 2483 และพระราชบญั ญตั อิ นมุ ตั พิ ระราชกําหนดจดั ตงั ศาลพเิ ศษเพอื พจิ ารณาพพิ ากษาคดคี วามผดิ ฐาน ขบถภายนอกพระราชอาณาจกั ร พทุ ธศักราช 2483 ซงึ ในปัจจบุ นั มบี ทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 234 วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ “การตังศาลขนึ ใหมเ่ พอื พจิ ารณา พพิ ากษาคดใี ดคดหี นงึ หรอื คดที มี ขี อ้ หาฐานใดฐานหนงึ โดยเฉพาะ แทนศาลทมี อี ยตู่ ามกฎหมายสําหรับ พจิ ารณาพพิ ากษาคดนี ันจะกระทํามไิ ด”้ และกฎหมายดังกลา่ วถกู ยกเลกิ โดยพระราชบัญญตั ยิ กเลกิ กฎหมายบางฉบับทไี มเ่ หมาะสมกบั กาลปัจจุบนั พ.ศ. 2546 แลว้ 14.2 ดลุ พนิ จิ ของผใู้ ชก้ ฎหมายกบั ความเป็ นธรรม 1. เนอื งจากกฎหมายไมส่ ามารถบญั ญัตขิ นึ ใหค้ รอบคลมุ ขอ้ เท็จจรงิ ทกุ กรณีได ้ จงึ จาํ เป็ นตอ้ งมบี ท บญั ญัตทิ ใี หด้ ลุ พนิ จิ แกผ่ บู ้ งั คบั ใชก้ ฎหมายเพอื ความยดื หยนุ่ ใหส้ ามารถปรบั ใชก้ ฎหมายเพอื อํานวยความ ยตุ ธิ รรมไดต้ ามความเหมาะสมแกก่ รณี 2. ในการใหด้ ลุ พนิ จิ ในกฎหมาย อาจเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ โดยเด็ดขาดแกผ่ ใู ้ ชก้ ฎหมาย หรอื โดย กาํ หนดแนวทาง หรอื กรอบในการใชด้ ลุ พนิ จิ หรอื ไมก่ ไ็ ด ้ ตามความเหมาะสมหรอื ความสาํ คญั ของเรอื งที กฎหมายนันใหด้ ลุ พนิ จิ ไว ้ 3. การใชด้ ลุ พนิ จิ ยอ่ มขนึ อยกู่ บั บคุ คลผใู ้ ชด้ ลุ พนิ จิ ทกี ฎหมายกําหนดไว ้ บางครงั อาจมกี ารใชด้ ลุ พนิ จิ อยา่ งไมเ่ หมาะสมหรอื ไมเ่ ป็ นไปตามกฎหมาย จงึ จําเป็ นตอ้ งมกี ระบวนการแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี มเ่ ป็ น ธรรมโดยองคก์ รตา่ งๆ 14.2.1 ดลุ พนิ จิ ในกฎหมาย กฎหมายฉบับหนงึ บญั ญัตวิ ่า “เมอื ปรากฏแกเจา้ พนักงานทอ้ งถนิ วา่ อาคารหรอื สว่ นของอาคารใด หรอื สงิ หนงึ สงิ ใดซงึ ตอ่ เนอื งกับอาคาร มสี ภาพชาํ รดุ ทรุดโทรม หรอื ปลอ่ ยใหม้ สี ภาพรกรงุ รังจนอาจเป็ น อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพของผอู ้ ยอู่ าศัย หรอื มลี กั ษณะไมถ่ กู ตอ้ งดว้ ยสขุ ลักษณะของการใชเ้ ป็ นทอี ยอู่ าศัย ให ้ เจา้ พนักงานทอ้ งถนิ มอี ํานาจออกคาํ สงั เป็ นหนังสอื ใหเ้ จา้ ของหรอื ผคู ้ รอบครองอาคารนันจดั การแกไ้ ข เปลยี นแปลงรอื ถอนอาคาร หรอื สงิ หนงึ สงิ ใดซงึ ตอ่ เนอื งกบั อาคารทงั หมดหรอื แต่บางสว่ นหรอื จดั การอยา่ ง อนื ตามความจําเป็ นเพอื มใิ หเ้ ป็ นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ หรอื ใหถ้ กู ตอ้ งดว้ ยสขุ ลกั ษณะ ภายในเวลาซงึ กาํ หนดใหต้ ามสมควร” บทบญั ญตั ดิ ังกล่าวมลี กั ษณะเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ แกเ่ จา้ หนา้ ทขี องรฐั หรอื ไม่ บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายขา้ งตน้ มลี ักษณะเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ แกเ่ จา้ หนา้ ทขี องรัฐ เนืองจากกอ่ น ออกคําสงั เจา้ หนา้ ทที อ้ งถนิ จะตอ้ งใชด้ ลุ พนิ จิ พจิ ารณาว่าอาคารมสี ภาพที “อาจเป็ นอนั ตราตอ่ สขุ ภาพของ ผอู ้ ยอู่ าศัย หรอื มลี ักษณะไมถ่ ูกตอ้ งดว้ ยสขุ ลกั ษณะของการใชเ้ ป็ นทอี ยอู่ าศัย” หรอื ไม่ 14.2.2 แนวทางการใชด้ ลุ พนิ จิ
42 เหตใุ ดจงึ จําเป็ นตอ้ งมแี นวทางในการใชด้ ลุ พนิ จิ ในกฎหมาย กฎหมายจําเป็ นตอ้ งกําหนดแนวทางในการใชด้ ลุ พนิ จิ เพอื ใหก้ ารใชด้ ลุ พนิ จิ เป็ นไปในทางเดยี วกนั เพอื เป็ นหลกั ประกนั การใชด้ ลุ พนิ จิ ในการใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแกผ่ เู ้ กยี วขอ้ งเพราะผใุ ้ ชด้ ลุ พนิ จิ ไดค้ าํ นงึ ถงึ เงอื นไขตา่ งๆทกี ฎหมายวางกรอบไว ้ และเพอื เป็ นพนื ฐานในการตรวจสอบการใชด้ ลุ พนิ จิ อกี ทางหนงึ ดว้ ย 14.2.3 การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี มเ่ ป็ นธรรม การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี มเ่ ป็ นธรรมของฝ่ ายตลุ าการ โดยทัวไปสามารถกระทําไดโ้ ดยวธิ ใี ด การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี มเ่ ป็ นธรรมของฝ่ ายตลุ าการ โดยทวั ไปสามารถกระทําไดโ้ ดยการ อทุ ธรณ์คําพพิ ากษาหรอื คําสงั ของศาลชนั ตน้ ตามมาตรา 223-มาตรา 246 และการฎกี าคําพพิ ากษาหรอื คําสงั ของศาลอทุ ธรณ์ ตามมาตรา 247-มาตรา 252 แห่งประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ตามลําดับ หรอื การอทุ ธรณ์ฎกี าตามกฎหมายวา่ ดว้ ยวธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลชาํ นัญพเิ ศษอนื ของศาล ยตุ ธิ รรม เชน่ ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร 14.3 การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม 1. กฎหมายทงั หลายตราขนึ โดยมเี จตนารมณป์ ระการหนงึ คอื เพอื การรกั ษาความสงบสขุ และความ เป็ นธรรมของสงั คมโดยรวม บนพนื ฐานของความชอบธรรมตามกฎหมายและศลี ธรรม 2. การใชก้ ฎหมายเพอื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม คอื การใชก้ ฎหมายใหต้ รงตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย ใหม้ ากทสี ดุ หรอื ในการทตี ่อมาบทบญั ญัตขิ องกฎหมายอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกบ่ คุ คลผตู ้ อ้ ง ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายดว้ ยสาเหตตุ า่ งๆ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ จําเป็ นตอ้ งหาหนทางใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ น ธรรมใหม้ ากทสี ดุ เทา่ ทจี ะสามารถทาํ ได ้ 3. เจตนารมณข์ องกฎหมายเพอื สรา้ งความเป็ นธรรมในยคุ หนงึ อาจมองวา่ ไมเ่ ป็ นธรรมในอกี ยคุ สมัย หนงึ หากสงั คมมกี ารเปลยี นแปลงไป ทําใหก้ ฎหมายทังฉบับหรอื บทบญั ญตั บิ างบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมอยา่ งชดั แจง้ โดยทผี ใู ้ ชก้ ฎหมายไมส่ ามารถหาหนทางในการใชก้ ฎหมายอยา่ ง เป็ นธรรมได ้ จําเป็ นตอ้ งแกไ้ ขกฎหมายเพอื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมตอ่ ไป 14.3.1 เจตนารมณ์ของกฎหมายกบั ความเป็ นธรรม เพราะเหตใุ ดเจตนารมณข์ องกฎหมายจงึ มสี ว่ นสําคัญในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม เจตนารมณข์ องกฎหมายมคี วามสาํ คัญในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ในประเทศไทยซงึ เป็ นประเทศในระบบทใี ชก้ ฎหมายลายลักษณ์อกั ษร โดยหลกั แลว้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจําเป็ น ตอ้ งใชก้ ฎหมายซงึ ตราขนึ โดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญัตซิ งึ เป็ นตวั แทนของปวงชน และในการตรากฎหมายฉบบั ใด ฉบบั หนงึ นันยอ่ มมคี วามมงุ่ หมายทจี ะสรา้ งความสงบสขุ และเป็ นธรรมแกส่ งั คม หรอื เพอื แกไ้ ขปัญหาของ สงั คมอยแู่ ลว้ 14.3.2 การใชก้ ฎหมายเพอื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมเกดิ ขนึ ไดอ้ ยา่ งไร การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมเกดิ ขนึ ไดจ้ ากหลายองคป์ ระกอบ เชน่ จากเจตนารมณแ์ ละ บทบญั ญัตขิ องกฎหมายทตี ราขนึ เพอื ความเป็ นธรรม และจากตวั ของผใู ้ ชก้ ฎหมายทตี อ้ งเป็ นผมู ้ คี ุณธรรม ในจติ ใจ 14.3.3 การแกไ้ ขกฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม และทกุ องคก์ รทงั ภาครฐั และ การแกไ้ ขกฎหมายทไี มเ่ ป็ นธรรมเป็ นหนา้ ทขี องผใู ้ ด การแกไ้ ขกฎหมายทไี มเ่ ป็ นธรรมเป็ นหนา้ ทขี องประชาชนทุกคน เอกชน แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 14 1. กฎหมายลกั ษณะทกี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกส่ งั คม ไดแ้ ก่ กฎหมายทลี า้ สมัย 2. กฎหมายทลี า้ สมัยเนืองจากสาเหตุ (1) เทคโนโลยกี า้ วหนา้ ขนึ (2) ความคดิ ของคนในสงั คม เปลยี นไป 3. กฎหมายลา้ สมัยเนืองจากสาเหตุ ความคดิ ของคนแต่ละยคุ สมยั ทมี ตี ่อกฎหมายนันเปลยี นแปลงไป 4. กฎหมายเกยี วกับรถลาก เป็ นกฎหมายทไี มเ่ หมาะสมแกส่ ภาวการณ์ปัจจุบัน
43 5. กฎหมายทไี มเ่ หมาะสมกบั สภาวการณป์ ัจจบุ นั ไดแ้ ก่ (1) กฎหมายวา่ ดว้ ยรถลาก (2) กฎหมาย ตามชา้ ง ร.ศ. 127 (3) กฎหมายลกั ษณะพยาย ร.ศ. 113 (4) กฎหมายการเปรยี บเทยี บคดอี าญา พุทธศกั ราช 2481 6. ในการใชก้ ฎหมายควรมกี ารใชด้ ลุ พนิ จิ บา้ ง เพราะทําใหส้ ามารถปรับใชก้ ฎหมายใหเ้ หมาะสมในแต่ ละกรณไี ด ้ 7. เจา้ หนา้ ทอี อกใบอนญุ าตเมอื กจิ การนันไมข่ ดั ต่อศลี ธรรม ถอื วา่ เป็ นการใชด้ ลุ พนิ จิ 8. การรับแจง้ การดําเนนิ กจิ การของเอกชน ไมใ่ ชก่ ารใชด้ ลุ พนิ จิ 9. แนวทางการใชด้ ลุ พนิ จิ ของเจา้ หนา้ ทขี องรัฐอาจพบไดจ้ าก (1) รัฐธรรมนูญ (2) กฎหมายในเรอื ง นันๆ (3) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (4) ประมวลกฎหมายอาญา (5) แนวปฏบิ ตั ขิ องเจา้ หนา้ ทใี น เรอื งนันๆ 10. บคุ คลหรอื องคก์ รทสี ามารถทบทวนการใชด้ ุลพนิ จิ ทไี มช่ อบของเจา้ หนา้ ทขี องรฐั คอื (1) ศาล (2) รฐั มนตรี (3) นายกรฐั มนตรี (4) คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ 11. หากเห็นวา่ เจา้ หนา้ ทใี ชด้ ุลพนิ จิ โดยไมช่ อบ บคุ คลผถู ้ กู กระทบสทิ ธสิ ามารถดาํ เนนิ การ (1) ฟ้อง ศาล (2) ขอใหเ้ จา้ หนา้ ทผี นู ้ ันพจิ ารณาใหม่ (3) อทุ ธรณ์ไปยังองคก์ รพจิ ารณาอทุ ธรณ์ (4) รอ้ งเรยี นไปยงั ผบู ้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ทผี นู ้ ัน 12. หากเห็นวา่ คําพพิ ากษาของศาลไมถ่ กู ตอ้ ง คคู่ วามสามารถ (1) ฎกี าคําพพิ ากษา (2) อทุ ธรณค์ ํา พพิ ากษา 13. ผใู ้ ชก้ ฎหมายสามารถใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมไดโ้ ดย ใชก้ ฎหมายตามเจตนารมณข์ อง กฎหมายนัน 14. การแกไ้ ขกฎหมายเกดิ ไดจ้ ากเหตผุ ล (1) การเกดิ วกิ ฤตเศรษฐกจิ (2) การปฏริ ูประบบราชการ (3) ความเจรญิ ทางเทคโนโลยี (4) แนวความคดิ ของสงั คมเปลยี นไป 15. กฎหมายทสี รา้ งความเป็ นธรรมแกส่ งั คม ไดแ้ ก่ กฎหมายทเี หมาะสมแกส่ ภาวการณ์ 16. วธิ กี ารตรวจสอบการใชด้ ุลพนิ จิ ของศาลในการพจิ าณาคดี คอื การอทุ ธรณค์ ําสงั ของศาล 17. สงิ ชว่ ยใหก้ ารใชก้ ฎหมายเกดิ ความเป็ นธรรมไดแ้ ก่ (1) รัฐธรรมนูญ (2) ตวั ผใู ้ ชก้ ฎหมาย (3) เจตนารมณข์ องกฎหมาย (4) หลักกฎหมายทัวไป เชน่ หลักตาม ป.พ.พ. 18. เหตุผลของการแกไ้ ขกฎหมายตามหลกั การของรฐั ธรรมนูญฯ พทุ ธศกั ราช 2540 ไดแ้ ก่ การมสี ว่ น ร่วมของประชาชน หนว่ ยที 15 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย และจรรยาบรรณของนกั กฎหมาย 1. การประกอบวชิ าชพี กฎหมายแบง่ ออกไดเ้ ป็ นหลายการประกอบวชิ าชพี กฎหมาย โดยตรงไดแ้ ก่ การเป็ นผพู ้ พิ ากษา อยั การ หรอื ทนายความ ซงึ อยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของเนตบิ ณั ฑติ ยสภา สว่ นการ ประกอบอาชพี กฎหมายโดยทัวไป อาจทาํ ไดโ้ ดยเป็ นพนักงานเจา้ หนา้ ทใี นหนว่ ยงานของรฐั หรอื เอกชน 2. หลักการของวชิ าชพี กฎหมายโดยทัวไป คอื การอํานวยความยตุ ธิ รรมและเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชน นอกจากนผี ปู ้ ระกอบวชิ าชพี กฎหมายยังตอ้ งมหี ลักธรรมเฉพาะเฉพาะอาชพี ของตนเพอื ทําหนา้ ทบี รกิ าร ประชาชนใหด้ ที สี ดุ และชว่ ยใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมในสงั คม 15.1 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย 1. วชิ าชพี กฎหมายเป็ นการประกอบวชิ าชพี ซงึ มอี งคก์ ารควบคมุ มกี ารศกึ ษาอบรม มเี จตนารมณ์ เพอื บรกิ ารประชาชน และเพอื อาํ นวยความสะดวกยตุ ธิ รรม 2. การประกอบวชิ าชพี กฎหมายแบง่ ออกไดเ้ ป็ น การประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยตรง ซงึ ไดแ้ ก่ การ เป็ นผพู ้ พิ ากษา อัยการ หรอื ทนายความ อกี ประเภทหนงึ คอื การประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยทัวไป โดย เป็ นพนักงานเจา้ หนา้ ทใี นหน่วยงานของรัฐหรอื เอกชน 3. องคก์ ารทคี วบคุมการประกอบวชิ าชพี กฎหมายคอื เนตบิ ณั ฑติ ยสภา 15.1.1 ความหมายของวชิ าชพี กฎหมาย ใหอ้ ธบิ ายความหมายของ “วชิ าชพี กฎหมาย” วชิ าชพี กฎหมายเป็ นการศกึ ษาอบรมชนั สงู ทเี นน้ ใหผ้ รู ้ บั การศกึ ษาอบรมสามารถนําไปประกอบ อาชพี เพอื ใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชนและรกั ษาความยตุ ธิ รรมใหเ้ กดิ ขนึ ในสงั คม 15.1.2 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย ผสู ้ ําเร็จการศกึ ษาเป็ นนติ ศิ าสตรบ์ ณั ฑติ อาจประกอบอาชพี ใดไดบ้ า้ ง
44 ผสู ้ ําเรจ็ การศกึ ษาเป็ นนติ ศิ าสตรบ์ ณั ฑติ อาจประกอบอาชพี ไดด้ งั นี 1) ประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยตรง ไดแ้ ก่ การเป็ นผพู ้ พิ ากษา อยั การ หรอื ทนายความ 2) ประกอบอาชพี กฎหมายอนื เชน่ เป็ นนติ กิ ร ตํารวจ ทหาร อาจารย์ ปลัดอําเภอ หรอื เจา้ พนักงานอนื ๆ ในหน่วยงานของรฐั หรอื เป็ นนติ กิ ร หรอื เจา้ หนา้ ทใี นหา้ งรา้ น บรษิ ัท และธนาคารพาณชิ ย์ ซงึ เป็ นหน่วยงานของเอกชน 15.1.3 องคก์ ารทคี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย องคก์ รใดทคี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทย องคก์ ารทคี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทยคอื เนตบิ ณั ฑติ ยสภา 15.2 หลกั วชิ าชพี นกั กฎหมาย 1. หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมาย คอื การอํานวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชน 2. ทนายความมหี นา้ ทตี อ้ งซอื ตรงตอ่ ตวั เอง ตอ่ ลูกความ ตเ่ พอื นรว่ มอาชพี ตอ่ ชมุ ชน และตอ่ การ อํานวยความยตุ ธิ รรม 3. ผพู ้ พิ ากษาตอ้ งไมม่ ฉี ันทาคติ โทสาคติ และภยาคติ และยังตอ้ งมใี จเป็ นธรรม อสิ ระ เปิดเผย เหน็ ใจผอู ้ นื และสํานกึ ในภาวะสงั คม 4. อยั การเป็ นทนายของแผน่ ดนิ ทงั ในคดอี าญาและในคดแี พง่ เป็ นสว่ นหนงึ ของราชการ อํานวยความ ยตุ ธิ รรม มอี สิ ระในการดําเนนิ คดคี วามแทนรัฐ เพอื ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน 15.2.1 หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมาย หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมายทนี ักกฎหมายโดยทวั ไปพงึ ตอ้ งมนี ันมปี ระการใดบา้ ง หลกั การวชิ าชพี ทางกฎหมาย คอื การอาํ นวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชน หากกฎหมายไมส่ อดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรม นักกฎหมายควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร หากกฎหมายไมส่ อดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรม นักกฎหมายควรตอ้ งแกไ้ ขกฎหมายเขา้ สคู่ วาม ยตุ ธิ รรม และหากยังไมอ่ าจแกไ้ ขกฎหมายได ้ กต็ อ้ งใชก้ ฎหมายใหไ้ ดค้ วามยตุ ธิ รรมมากทสี ดุ โดยบรรเทา ความไมย่ ตุ ธิ รรมใหเ้ หลอื นอ้ ยทสี ดุ เหตุใดนักกฎหมายจงึ มักจะเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชนอยเู่ สมอ เหตุทนี ักกฎหมายเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชน เพราะ 1) โดยสภาพของงานวชิ าชพี ทางกฎหมาย นักกฎหมายเป็ นคนกลางประสานประโยชน์ของกลมุ่ ตา่ งๆในสงั คม 2) ภารกจิ ของนักกฎหมายมสี ว่ นสําคัญและมอี ทิ ธพิ ลในการกําหนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจ ของวงการธรุ กจิ เอกชนและกจิ การของรฐั 3) ความกลา้ ในการแสดงความคดิ เหน็ ต่อมหาชนอยา่ งมเี หตผุ ล 15.2.2 หลกั ธรรมของทนายความ นักกฎหมายมหี นา้ ทใี นทางวชิ าชพี ทจี ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู ้ นื อยา่ งไร นักกฎหมายมหี นา้ ทใี นทางวชิ าชพี ทจี ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู ้ นื ดังนี คอื 1) หนา้ ทตี อ้ งซอื ตรงตอ่ ลกู ความ 2) หนา้ ทตี อ้ งซอื ตรงตอ่ กจิ การอํานวยความยตุ ธิ รรม ซงึ ไดแ้ ก่ ผพู ้ พิ ากษา อัยการ ตัวความและ พยานในคดี 3) หนา้ ทซี งึ ตรงต่อเพอื นรว่ มวชิ าชพี 4) หนา้ ทซี อื ตรงต่อชมุ ชน โดยสง่ เสรมิ ความยตุ ธิ รรมใหเ้ กดิ ขนึ ทงั ในและนอกศาล 15.2.3 หลกั ธรรมของผพู้ พิ ากษา ผพู ้ พิ ากษาจะตอ้ งมหี ลักธรรมประการใดบา้ งจงึ จะประสาทความยตุ ธิ รรมใหแ้ กป่ ระชาชนได ้ ผพู ้ พิ ากษาจะตอ้ งมหี ลกั ธรรม คอื ปราศจากคตสิ ปี ระการคอื ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และ ภยาคติ และนอกจากคตดิ ังกล่าวแลว้ ผพู ้ พิ ากษายงั ตอ้ งมหี ลักธรรมทยี ดึ ปฏบิ ตั อิ กี ดังนีคอื (1) ตอ้ งเป็ น อสิ ระไมถ่ ูกอทิ ธพิ ลแทรกแซง (2) ใหค้ วามสะดวกและเป็ นธรรมในการพจิ ารณาคดี (3) การพจิ ารณาคดี ตอ้ งเปิดเผยไมง่ ุบงบิ ตุกตกิ (4) ในคําสงั หรอื คําพพิ ากษาตอ้ งมเี หตุมผี ลและกะทดั รัด (5) ความยตุ ธิ รรม ตอ้ งมโี ดยรวดเร็วและทวั ถงึ แมแ้ กค่ นทยี ากจนไมส่ ามารถจับจ่ายในทางคดไี ด ้
45 15.2.4 หลกั ธรรมของขา้ ราชการอยั การ หลกั ธรรมของอยั การนันมปี ระการใดบา้ ง จงึ จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมในการดําเนนิ คดี หลกั ธรรมของอยั การนันนอกจากจะมคี ตเิ ชน่ เดยี วกบั นักกฎหมายโดยทัวไป แลว้ ยังตอ้ งมคี ติ เพมิ เตมิ ดงั นี คอื 1) มอี สิ ระในการทํางาน เพอื ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน 2) สํานกึ ในหนา้ ที เพอื อาํ นวยความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชนเป็ นใหญ่ยงิ กวา่ อนื ใด ไมม่ งุ่ จะเอา จําเลยเขา้ คกุ ทกุ เรอื งไป 3) การสงั ฟ้องคดหี รอื ไมฟ่ ้องคดตี อ้ งทําโดยมเี หตผุ ล เพอื ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน 4) การพจิ ารณาใชด้ ลุ พนิ จิ ในการสงั คดี การอทุ ธรณ์ ฎกี า ควรใชค้ วามเออื เฟือนกึ ถงึ ประโยชน์ เทยี บกบั ความเดอื ดรอ้ นของจําเลยในคดี แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที 15 1. วชิ าชพี กฎหมายคอื วชิ าชพี ซงึ มอี งคก์ าร การศกึ ษาอบรม และอดุ มการณ์เพอื บรกิ ารประชาชน 2. ผทู ้ ปี ระกอบอาชพี กฎหมายโดยตรงคอื ทนายความ 3. ผจู ้ ัดการธนาคารพาณชิ ย์ ไมถ่ อื วา่ เป็ นการประกอบวชิ าชพี กฎหมาย 4. องคก์ ารทคี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทยคอื องคก์ ารเนตบิ ัณฑติ สภา 5. หลักการของวชิ าชพี กฎหมายคอื การอํานวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ํามตมิ หาชน 6. ทนายความยอ่ มมพี ันธะตอ่ ลกู ความคอื (1) ตอ้ งอทุ ศิ ตนเพอื ประโยชนข์ องลกู ความ (2) ตอ้ งรกั ษา ความลบั ของลกู ความ 7. ทนายความมหี นา้ ทตี อ่ ศาลคอื ไมเ่ สยี มสอนพยานใหเ้ บกิ ความเท็จ หรอื อาํ พรางพยานหลกั ฐาน ใดๆ 8. ทนายความมหี นา้ ทตี อ่ ประชาชนคอื คัดคา้ นผทู ้ ขี าดคณุ สมบตั หิ รอื มปี ระวตั หิ รอื พฤตกิ ารณ์อนั ไม่ เหมาะสมเขา้ มาเป็ นผรู ้ ว่ มวชิ าชพี 9. ผพู ้ พิ ากษาทดี ตี อ้ งประพฤตติ นดงั นี พจิ ารณาคดโี ดยเปิดเผย ไมง่ บุ งบิ ตกุ ตกิ 10. อยั การทดี ตี อ้ งประพฤตติ นโดย คาํ นงึ ถงึ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชนยงิ กวา่ อนื ใด -------------------------------------------------
Search
Read the Text Version
- 1 - 45
Pages: