51 ศาลเป็นผู้แตง่ ต้งั ข้นึ เอง กรณเี ชน่ น้ศี าลยอ่ มมอี านาจถอดถอนกรรมการผูน้ ัน้ ได้ (ฎ.4049/2540) ฎ.4049/2540 แม้ ป.พ.พ. มาตรา 1151 จะบัญญัติว่า อันผู้เป็นกรรมการนั้นเฉพาะแต่ที่ ประชุมใหญ่เท่านั้นอาจจะตั้งหรือถอนได้ก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวก็เป็นเร่ืองการต้ังหรือถอนกรรมการบริษัทโดยที่ประชุม ใหญ่ จึงมิได้ตัดอานาจของศาลท่ีจะถอนผแู้ ทนนิตบิ ุคคลช่ัวคราวทีศ่ าลต้ังตาม ป.พ.พ.มาตรา 73 ซง่ึ แม้ว่าจะไม่มบี ทบัญญัติ ให้ศาลถอนผู้แทนนิติบุคคลช่ัวคราวดังกล่าวก็ตาม ศาลกม็ ีอานาจที่จะมีคาส่ังถอนผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราวดังกล่าวท่ีศาลตั้ง ไดห้ ากมเี หตอุ นั สมควร 3. กรรมการอยู่ภายใต้ความครอบงาของท่ีประชุมใหญ่ ดังนั้น หากการเรียกประชุมใหญ่ไม่ถูกต้อง การที่แต่งตั้ง กรรมการในการประชมุ ใหญ่ที่ไม่ถกู ต้องคร้งั นน้ั ก็ย่อมไม่ถูกต้องไปดว้ ย กรรมการท่ตี ้ังมาย่อมไม่มีอานาจ ฎ.452/2518 ข้อบงั คับของบริษัทจาเลยมีวา่ “การประชมุ วสิ ามัญจะเรยี กประชุมเมอื่ ใดกไ็ ด้ใน เมอ่ื คณะกรรมการบริษัทเห็น สมควรหรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจานวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมดทา หนงั สือขอใหเ้ รียก ประชมุ วสิ ามัญ” ตามขอ้ บงั คับขอ้ นก้ี าหนดให้เป็นอานาจของคณะกรรมการทจ่ี ะเรียกประชุม มใิ ช่กรรมการคนใดคนหนง่ึ แต่ เพยี งคนเดยี ว แม้วา่ ผู้ถือหนุ้ รวมกนั ทาหนังสอื ขอใหเ้ รยี กประชุมวิสามญั ก็จะตอ้ งทาหนงั สือถึงคณะกรรมการ แล้วคณะกรรมการเปน็ ผู้เรียกประชมุ ปรากฏว่า ม. กรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจาเลยในวันท่ี 22 กุมภาพันธ์ 2513 โดยไม่ได้เสนอคาร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทจาเลยตาม ข้อบังคับในวัน ประชุม ส. ประธานกรรมการบริษัทจาเลยได้ส่ังระงับการประชุม ม. ยอมรับคาสั่งแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคาส่ังได้ ดาเนินการประชุมต่อไป ที่ประชุมแต่งตั้ง ท. เป็นประธานของที่ประชุมโดยที่ ท. มิได้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับที่จะเป็นได้ การประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วย ข้อบังคับคณะกรรมการท่ีต้ังข้ึนตามมติของที่ประชุมครั้งน้ันจึงเป็นคณะ กรรมการท่ีไม่ ชอบไม่มีอานาจบริหารและไม่มีอานาจเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 มติต่างๆ ของที่ประชุมผู้ถือ หนุ้ ในวันที่ 11 ตลุ าคม 2513จงึ ไมม่ ีผล มาตรา 1151/1 กรรมการคนใดจะลาออกจากตาแหน่ง ให้ย่ืนใบลาออกต่อบรษิ ัท การลาออกมีผลนับแต่วันที่ ใบลาออกไปถงึ บรษิ ทั กรรมการซงึ่ ลาออกตามวรรคหนึง่ จะแจ้งการลาออกของตนให้นายทะเบียนทราบดว้ ยก็ได้ มาตรา 1154 ถ้ากรมการคนใดลม้ ละลาย หรือตกเปน็ ผู้ไร้ความสามารถไซร้ ท่านว่ากรรมการคนนน้ั เป็นอันขาด จากตาแหน่ง มาตรา 1155 ถา้ ตาแหนง่ วา่ งลงในสภากรรมการเพราะเหตอุ ่นื นอกจากถงึ คราวออกตามเวรไซร้ ท่านว่ากรรมการ จะเลือกผู้อื่นตั้งขึ้นใหม่ให้เต็มที่ว่างก็ได้ แต่บุคคลท่ีได้เป็นกรรมการใหม่เช่นนั้น ให้มีเวลาอยู่ในตาแหน่งได้เพียงเท่า กาหนดเวลาท่กี รรมรผ้อู อกไปน้ันชอบทจ่ี ะอย่ไู ด้ อธบิ าย มาตรา 1155 หมายถึง หากท่ีประชุมผู้ถือหุ้นได้เลือกกรรมการโดยในที่ประชุมได้เลือกกรรมการหลายคนเป็น กรรมการบริษัท กรรมการทั้งหลายจะเรียกว่า “สภากรรมการ” ดังนี้ ถ้าตาแหน่งในสภากรรมการว่างลงเพราะเหตุอ่ืนท่ี ไมไ่ ดพ้ น้ ไปเน่ืองจากครบเวรท่จี ะต้องออก ใหก้ รรมการทงั้ หลายทีเ่ หลอื อย่เู ปน็ คนเลอื กแต่งตัง้ กรรมการกันเอง ขอ้ สาคัญ : มาตรา 1155 เป็นเรื่องของกรรมการไม่ใช่เรื่องของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ดังนี้ท่ีประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นไม่ จาเปน็ ต้องมาเลอื กกรรมการคนใหม่หรอื จะเรยี กประชมุ ใหญ่เพือ่ เลือกกรรมการกไ็ ด้ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
52 มาตรา 1167 ความเก่ียวพันกันในระหว่างกรรมการและบริษัทและบุคคลภายนอกนั้น ท่านให้บังคับตาม บทบัญญตั ิแห่งประมวลกฎหมายน้ี ว่าดว้ ยตวั แทน อธิบาย มาตรา 1167 หมายถึง กรรมการถอื เปน็ ตวั แทนของบรษิ ัท หากกรรมการกระทาอยูใ่ นกรอบวตั ถุประสงค์แหง่ การเป็นตัวแทน แห่งอานาจของกรรมการ นิติกรรมต่างๆ ที่กรรมการกระทาขึ้นย่อมผูกพันบริษัทและกรรมการไม่ จาเป็นต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวเพราะเป็นการกระทาในนามตัวแทน เว้นแต่จะเข้ากรณีมาตรา 1101 แต่ถ้ากรรมการ กระทานิติกรรมใดๆ นอกกรอบวัตถุประสงค์หรือนอกเหนือไปจากอานาจของกรรมการกรณีเช่นนี้กรรมการต้องรับผิดต่ อ บุคคลภายนอก (เจ้าหน้ี) เปน็ การสว่ นตัวบริษัทไมจ่ าต้องรบั ผิดในนิติกรรมดังกลา่ ว อย่างไรก็ตาม หากกรรมการกระทานอกกรอบวัตถุประสงค์แต่บริษัทได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากนิติ กรรมที่นอกกรอบวัตถุประสงค์ดังกล่าว กรณีเช่นนี้บริษัทต้องร่วมกันรับผิดกับกรรมการ แม้จะไม่อาจถือว่าเป็นการให้ สตั ยาบนั ก็ตาม ถ้าเป็นกรณที ่ีกรรมการไปกระทาละเมดิ ต่อบุคคลภายนอกในทางการท่ีจา้ ง กรณีเช่นนี้กรรมการต้องรับผิดในฐานะ ผกู้ ระทาละเมิดและบริษทั ต้องรว่ มรบั ผดิ ในฐานะนายจา้ ง มาตรา 1168 ในอันทีจ่ ะประกอบกิจการของบรษิ ทั นน้ั กรรมการต้องใชค้ วามเอื้อเฟอื้ สอดส่องอยา่ งบุคคลคา้ ขาย ผู้ประกอบดว้ ยความระมดั ระวงั ว่าโดยเฉพาะ กรรมการต้องรบั ผดิ ชอบร่วมกันในประการตา่ ง ๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คอื (1) การใช้เงนิ ค่าหนุ้ นั้น ไดใ้ ช้กันจรงิ (2) จดั ให้มีและรกั ษาไว้ใหเ้ รยี บร้อย ซงึ่ บรรดาสมดุ บญั ชแี ละเอกสารทก่ี ฎหมายกาหนดไว้ (3) การแจกเงนิ ปันผลหรือดอกเบ้ยี ใหเ้ ป็นไปโดยถกู ตอ้ งตามทก่ี ฎหมายกาหนดไว้ (4) บังคับการใหเ้ ปน็ ไปโดยถูกตอ้ งตามมตขิ องท่ีประชุมใหญ่ อน่ึง ทา่ นหา้ มมิใหผ้ ู้เป็นกรรมการประกอบการค้าขายใด ๆ อันมีสภาพเป็นอยา่ งเดียวกัน และเป็นการแขง่ ขันกับ การคา้ ขายของบริษัทน้ัน ไม่วา่ ทาเพ่ือประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผอู้ ื่น หรือไปเข้าหุ้นส่วนไม่จากัดความรับผิดในห้าง ค้าขายอื่นซ่ึงประกอบกิจการมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและแข่งขันกับกิจการของบริษัท โดยมิได้รับความยินยอมของท่ี ประชมุ ใหญข่ องผู้ถือหนุ้ บทบญั ญตั ทิ ่กี ล่าวมาขา้ งบนนใ้ี หใ้ ชบ้ งั คบั ตลอดถึงบคุ คลซึง่ เป็นผู้แทนของกรรมการด้วย อธบิ าย 1. มาตรา 1168 วรรคหน่ึง หมายถึง หน้าท่ีของกรรมการที่ต้องใช้ความเอ้ือเฟ้ือสอดส่องกิจการของบริษัทอย่าง บคุ คลผคู้ า้ ขายประกอบด้วยความระมัดระวงั 2. มาตรา 1168 วรรคสอง หมายถึง หากเป็นกรณีตามอนุมาตรา (1) ถึง (4) ในมาตรา 1168 วรรคสอง กรรมการทุกคนต้องใชค้ วามระมัดระวังเป็นพเิ ศษ เพราะหากเกิดความเสียหายขึน้ กรรมการทกุ คนๆ ต้องร่วมกันรบั ผิดอย่าง ลูกหนรี้ ่วม 3. อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนว่าหากกรรมการคนใดไม่ใช้ความระมัดระวังในการบริหารบริษัทแล้วเกิดความ เสียหายเกิดข้ึนกรรมการจะต้องรับผดิ ในความเสียหายน้ันต่อบริษัท และกรรมการจะตอ้ งร่วมกันรับผิดก็แต่เฉพาะท่ีปรากฏ ไวใ้ นวรรคสองเท่านั้น แต่ในปี 2541 ศาลฎีกาได้วางหลกั กฎหมายในมาตรา 1168 ใหม่ว่าในทานองทว่ี ่า กรรมการทุกคน ในบริษัทจะตอ้ งร่วมกันรับผิดในความเสียหายของบรษิ ัทโดยตอ้ งรับผิดร่วมกันการที่กรรมการจะต้องรับผดิ ร่วมกันไม่จาเป็น จะต้องเปน็ ความรับผิดท่ปี รากฏอยู่ในอนุมาตรา (1) ถงึ (4) เท่าน้ัน (ฎ.2191/2541) สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
53 ฎ.2191/2541 จาเลยที่ 1 และจาเลยท่ี 3 ตา่ งก็เปน็ กรรมการผ้จู ัดการใหญ่ของโจทก์ต่างวาระ กัน มีหน้าท่ีดูแลกิจการท้ังหมดของธนาคารโจทก์ให้พนักงานปฏิบัติตามระเบียบของธนาคารที่ได้วางไว้ตลอดถึงการปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธนาคารพาณิชย์เม่ือมีการปล่อยสินเช่ือให้กู้ยืมเงนิ การค้าประกันและอาวัลต๋ัวเงินไม่เป็นไปตาม ระเบียบปกติของธนาคาร มิได้เร่งรัดติดตามหน้ีสิน หรือดาเนินการใดเพื่อแก้ไขหนี้ดังกล่าวเป็นเหตุให้ธนาคารโจทก์ได้รับ ความเสียหาย จาเลยท่ี 1และที่ 3 ได้ชื่อว่าทาละเมิดต่อโจทก์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ สาหรับจาเลยท่ี 4 แม้มิใช่ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แต่มีหน้าท่ีดูแลด้านสินเชื่อภายในประเทศ ซ่ึงจาเลยที่ 4ได้รับการสรุปภาระหน้ีสินของธนาคาร โจทก์จาก ป.หลายคร้ังเพื่อให้ส่ังการ แต่จาเลยที่ 4 ก็มิได้สั่งการแต่ประการใดเป็นเหตุให้ไม่สามารถติดตามหน้ีสินจาก ลกู หน้ีของธนาคารโจทก์ได้ การท่ีจาเลยที่ 4 ละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าท่ีและระเบยี บปฏิบัติของธนาคารโจทก์ จาเลยท่ี 4ได้ ชื่อวา่ ทาละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายจาเลยที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1168 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการประกอบกิจการบรษิ ัทของกรรมการซึง่ อานาจของกรรมการจะมี เพียงใดย่อมเป็นไปตามมาตรา 1158 ถึง 1164 ส่วนมาตรา 1168 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยหน้าที่ และความรับผิดชอบ ของกรรมการ ซง่ึ มาตรา 1168 วรรคแรก บัญญตั ใิ หก้ รรมการใชค้ วามเอ้ือเฟื้อสอดสอ่ งอยา่ งบุคคลค้าขาย ผปู้ ระกอบด้วย ความระมัดระวัง สว่ นวรรคสองหมายถงึ กิจการทจ่ี ะต้องระมัดระวังเปน็ พเิ ศษมาขนึ้ หาได้หมายความวา่ กรรมการจะต้อง รว่ มกันรบั ผดิ เฉพาะกจิ การ 4 ประการ ที่บญั ญตั ใิ นวรรคสองมาตรา 1168 เท่านั้นไม่ ข้อสังเกต : เมอ่ื กรรมการต้องรับผิดในผลแหง่ การกระทาของตนตามมาตรา 1168 อายคุ วามในการฟอ้ งร้อง ศาลฎีกานาอายคุ วามในเรอ่ื งความรับผิดเผอ่ื การละเมิดมาใช้บังคับแก่กรณีคอื 1 ปี นับแต่รู้ตวั และรู้เหตุ แต่ไม่เกนิ 10 ปี นบั แต่ เหตุเกดิ (ฎ.4546/2540) ฎ.4546/2540 กรณีท่ีบริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีท่ีกรรมการทาให้เกิดเสียหายแก่บริษัท และความ เสียหายดังกล่าวจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทาหรืองดเว้นในส่ิงที่ควรกระทา เม่ือความเสียหายเกิดจากการที่ ส. ลูกจ้างของจาเลยท่ี 1 ขับรถบรรทุกแก๊สด้วยความประมาทเลินเล่อทาให้รถพลิกคว่า แม้ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นเป็นเพราะ รถบรรทุกแก๊สมีสภาพและอปุ กรณ์ไมถ่ ูกต้องก็เป็นเพียงเหตุประการหน่ึงที่ทาให้ได้รับผลรา้ ยแรงเท่านั้น แตก่ ารที่รถบรรทุก แก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องนั้น มิใช่ผลโดยตรงของความเสียหาย หากจะเป็นความผิดกฎหมายก็เป็นความผิด กฎหมายในส่วนของการท่ีนารถยนต์มาใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ีบริษัทจาเลยท่ี 1 จึงไม่มีสิทธิ เรียกร้องให้จาเลยที่ 2ถึงท่ี 5 กรรมการบริษทั ชดใช้คา่ เสียหาย ดงั น้นั โจทก์ซ่งึ เปน็ เจ้าหนใ้ี นมูลละเมิดของบริษัท จาเลยท่ี 1 จึง ไม่มสี ิทธทิ ่ีจะเรียกใหจ้ าเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่าเสยี หายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1169 วรรคสองได้ 4. มาตรา 1168 วรรคสาม หมายถงึ หา้ มมิให้กรรมการประกอบกิจการค้าขายซ่ึงมสี ภาพเดียวกันกบั บริษัท หรือ หา้ มไมใ่ ห้เข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จากัดความรับผิดในหา้ งทค่ี ้าขายแหง่ กับบริษทั โดยไม่ไดร้ ับความยนิ ยอมจากท่ีประชมุ ผู้ถอื หุน้ มาตรา 1169 ถ้ากรรมการทาให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ๆ จะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีทบี่ รษิ ัทไม่ยอมฟอ้ งรอ้ ง ผู้ถือห้นุ คนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนัน้ ข้ึนวา่ ก็ได้ อน่ึง การเรียกร้องเชน่ นี้ เจา้ หน้ีของบริษัทจะเป็นผเู้ รียกบังคับก็ได้ เทา่ ทเ่ี จา้ หน้ียงั คงมสี ิทธิเรียกรอ้ งแกบ่ ริษทั อยู่ อธิบาย 1. มาตรา 1169 หมายถึง กรณีกรรมการทาให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่า สินไหมทดแทนเอาจากกรรมการผู้นนั้ ได้ ทงั้ น้ี หากกรรมการไม่ยอมดาเนนิ การผ้ถู ือหนุ้ คนใดคนหนึง่ ย่อมมีสิทธฟิ ้องเองก็ได้ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนักงานอยั การ
54 ฎ.3193/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1169 บัญญัติว่า \"ถ้ากรรมการทาให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัท บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีท่ีบริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนใดคน หน่ึงจะเอาคดีนั้นข้ึนว่าก็ได้ ...\" ตามบทบัญญัติดังกล่าว บริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้ทาให้บริษัทเสียหายชดใช้ คา่ เสียหายแก่บรษิ ัท ส่วนผถู้ อื หนุ้ จะเปน็ ผู้ฟ้องได้ต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพ่ือประโยชน์ของบรษิ ทั เฉพาะกรณที บี่ ริษัทไมฟ่ อ้ ง และเปน็ การฟอ้ งเรยี กร้องเอาคา่ สินไหมทดแทนเท่าน้ัน การทโ่ี จทก์ซึง่ เป็นผ้ถู อื หุน้ ของบรษิ ัท ส. ฟ้องขอให้เพกิ ถอนรายการ จดทะเบยี นสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานทด่ี ินจงั หวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างบริษัท ส. กับจาเลย หาใช่เป็นการฟ้องเพ่ือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ทาให้บริษัทเสียหายไม่ โจทก์จึงไม่มีอานาจฟ้อง นอกจากน้ีจาเลยเป็น บคุ คลภายนอกมไิ ดเ้ ป็นกรรมการบรษิ ทั จงึ ไมเ่ ขา้ หลักเกณฑ์ตามบทบญั ญตั ิดังกลา่ ว 2. ความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นแก่บริษัทจะต้องเป็นความเสียหายโดยตรงจากการที่กรรมการกระทาหรืองดเว้นใน สิง่ ทีจ่ ะตอ้ งกระทาเท่าน้ัน (ฎ.3771/2545) ฎ.3771/2545 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 1169 บรษิ ัทจะฟอ้ งร้องเรียก เอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการได้นั้นจะต้องเป็นกรณีท่ีกรรมการทาให้เกิดความเสี ยหายแก่บริษัทและความเสียหาย ดังกล่าวจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทาหรืองดเว้นในสิ่งท่ีควรกระทา การที่ ส. ขับรถยนต์บรรทุกแก๊สด้วยความ ประมาทเลินเล่อทาให้รถยนต์บรรทุกแก๊สพลิกคว่า ความเสียหายท่ีเกิดเพราะรถยนต์บรรทุกแก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ ถูกต้องก็เป็นเพียงเหตุประการหน่ึงท่ีทาให้ได้รับผลร้ายแรงเท่าน้ัน มิใช่ผลโดยตรงของความเสียหาย การที่จาเลยท่ี 1 นา รถยนต์บรรทุกแก๊สคันเกิดเหตุมาใช้ หากจะถือว่าเป็นการกระทาของจาเลยที่ 2 ในช่วงระยะเวลาต้ังแต่นารถยนต์บรรทุก แก๊สคันดังกล่าวออกมาใช้งานจนกระท่งั ถงึ วันเกดิ เหตุ จาเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เสียหาย แมจ้ ะเปน็ การผิดกฎหมายในส่วนของการ นารถยนต์บรรทุกแก๊สมาใชง้ านโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตจากพนักงานเจา้ หน้าท่ี จาเลยท่ี 1 กไ็ ม่มีสทิ ธิเรยี กรอ้ ง ให้จาเลยที่ 2 ใน ฐานะกรรมการชดใช้ค่าเสียหาย โจทกท์ ัง้ หกซง่ึ เป็นเจา้ หน้ีในมลู ละเมดิ ไม่มสี ิทธทิ ่ีจะเรยี กร้องให้จาเลยท่ี 2 ชดใช้คา่ เสียหายได้ 3. หากในบริษัทมกี รรมการหลายคนกรรมการคนใดกอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายแกบ่ ริษัท กรรมการคนน้ันก็ต้องรับผิด สว่ นกรรมการคนอน่ื ๆ ซ่งึ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกไ็ มต่ ้องร่วมรบั ผดิ แต่อย่างใด 4. เม่ือบริษัทมสี ิทธิฟ้องให้กรรมการรบั ผิดในความเสียหายแตบ่ ริษทั เพิกเฉยไม่ดาเนินการ กรณีเชน่ น้ีผถู้ ือหนุ้ มสี ทิ ธิ ฟ้องให้กรรมการผู้น้ันรับผิดได้ โดยผู้ถือหุ้นในบริษัทมีสิทธิฟ้องแต่เฉพาะกรรมการเท่าน้ันและประเด็นในคดีที่ฟ้องคือ “ฟ้องให้ กรรมการชดใชค้ ่าสินไหมทดแทน” เท่าน้ัน ไมม่ สี ิทธิฟอ้ งรอ้ งเอาผิดกับบคุ คลภายนอกผซู้ ึ่งไมใ่ ชก่ รรมการ ฎ.1426/2542 ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหน่ึง ที่บัญญัติว่า ถ้ากรรมการทาให้เกิดเสียหาย แก่บริษัทๆ จะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีที่บรษิ ัทไม่ยอมจะฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนหน่ึง คนใดจะเอาคดีนั้นข้ึนว่ากล่าวก็ได้น้ัน เป็นการให้อานาจแก่ผู้ถือหุ้นฟ้องกรรมการบริษัทผู้ทาให้บริษัทเสียหาย ซ่ึงโดยปกติ บริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้นั้นชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องตามมาตรา 1169 วรรค หน่ึง ได้น้ัน จะต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพ่ือประโยชน์ของบริษัท เฉพาะกรณีท่ีบริษัทไม่ฟ้องและเป็นการฟ้องเรียก ร้องเอาค่า สินไหมทดแทนเท่านั้น แต่การท่ีโจทก์ฟ้องจาเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมขายสิทธิตามสัญญาจะซ้ือจะขายระหว่าง จาเลยที่ 1 กับจาเลยท่ี 2 ถงึ ที่ 4 เป็นโมฆะ หาใช่เปน็ การฟ้องเพ่ือเรยี กเอาค่าสินไหมทดแทนจากจาเลยที่ 1 ไม่ โจทก์จงึ ไม่ มีอานาจฟอ้ ง ฎ.2481/2552 โจทก์ท้ังหกฟ้องโดยอาศัยอานาจตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ท่ี บญั ญัติว่า “ถา้ กรรมการทาให้เกดิ เสยี หายแกบ่ ริษัท บริษทั จะฟอ้ งรอ้ งเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการกไ็ ด้ หรือในกรณี ที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้องผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีน้ันข้ึนว่าก็ได้...” ตามบทบัญญัติดังกล่าวให้อานาจผู้ถือหุ้นฟ้อง กรรมการบริษัทผู้ทาให้บริษัทเสียหาย ซึ่งปกติบริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้นั้นชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทส่วน ผู้ ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องตามมาตรา 1169 วรรคหน่ึง ต้องเป็นการฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบริษัทเฉพาะกรณีที่ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
55 บริษทั ไม่ฟอ้ งเพ่อื เรียกรอ้ งเอาค่าสนิ ไหมทดแทนจากกรรมการผู้ทาให้บรษิ ัทไดร้ ับความเสียหายเท่าน้ัน แต่การที่โจทก์ท้ังหก ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดิน โฉนดเลขท่ี 10397 ระหว่างจาเลยที่ 1 และที่ 2 โดยอ้างว่าจาเลยที่ 1 และท่ี 3 ได้คบ คิดกนั ฉ้อฉลและให้จาเลยทั้งสามจดทะเบยี นโอนคืนที่ดนิ ให้แก่จาเลยท่ี 2 หาใชเ่ ปน็ ฟ้องเพือ่ เรยี กเอาค่าสินไหมทดแทน จาก จาเลยที่ 3 ไม่โจทก์ท้ังหกจึงไม่มีอานาจฟ้องจาเลยท่ี 3 สาหรับจาเลยท่ี 1 เป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เป็นกรรมการในบริษัท จาเลยที่ 2 โจทกท์ งั้ หกจงึ ไม่มีอานาจฟ้องจาเลยท่ี 1 ตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าวได้ ฎ.3193/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1169 บัญญัติว่า \"ถ้ากรรมการทาให้เกิดความเสียหายแก่ บรษิ ัท บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่กรรมการก็ได้ หรือในกรณีท่ีบริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นคนใดคน หน่ึงจะเอาคดีนั้นข้ึนว่าก็ได้ ...\" ตามบทบัญญัติดังกล่าว บริษัทย่อมเป็นผู้ฟ้องเรียกให้กรรมการผู้ทาให้บริษัทเสียหายชดใช้ ค่าเสยี หายแก่บริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ฟ้องได้ต้องฟ้องแทนหรือฟ้องเพื่อประโยชน์ของบรษิ ัทเฉพาะกรณีที่บริษัทไม่ฟ้อง และเปน็ การฟ้องเรียกรอ้ งเอาค่าสินไหมทดแทนเท่าน้นั การที่โจทกซ์ ง่ึ เป็นผ้ถู ือหุ้นของบริษทั ส. ฟอ้ งขอให้เพิกถอนรายการ จดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมของเจา้ พนกั งานท่ดี นิ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ระหว่างบรษิ ทั ส. กับจาเลย หาใช่เป็นการฟ้องเพ่ือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ทาให้บริษัทเสียหายไม่ โจทก์จึงไม่มีอา นาจฟ้อง นอกจากน้ีจาเลยเป็น บุคคลภายนอกมไิ ด้เป็นกรรมการบริษทั จึงไม่เข้าหลกั เกณฑต์ ามบทบญั ญตั ิดังกล่าว 5. การที่ผู้ถือหุ้นกรรมการตามมาตรา 1169 หมายถึง การฟ้องแทนบริษัท ดังน้ีค่าสินไหมทดแทนที่ได้มาจะต้อง ตกเป็นของบริษทั ในคาฟ้องท้ายคาฟ้องผู้ถือหุ้นจะมคี าขอให้คา่ เสียหายตกแก่ผู้ถือหุน้ ไมไ่ ด้ 6. เง่ือนไขประการสาคัญในกรณีท่ีผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิฟ้องกรรมการคือ บริษัทต้องมีสิทธิฟ้องให้กรรมการรบั ผิดและ บริษัทไม่ฟ้องให้กรรมการรับผิด หากผู้ถือหุ้นจะฟ้องแทนบริษัทก็จะต้องได้ความว่าบริษัทยังไม่เลิกกัน หากบริษัทเลิกกันไป แล้วอานานในการฟ้องร้องย่อมตกแก่ผู้ชาระบัญชีจะเป็นผู้ดาเนินการต่อไป ผู้ถือหุ้นไม่มีอานาจฟ้อง แม้กรรมการจะ ก่อให้เกิดความเสยี หายแกบ่ รษิ ัทก็ตาม (ฎ.2685/2543) ฎ.2685/2543 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 เป็นเร่ืองที่บริษัทยังไม่เลิก และกรรมการทาให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ถ้าบริษัทไม่ยอมฟ้องร้องเรยี กเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการผู้ถือหุ้นคนหน่ึงคน ใดจะเอาคดีน้ันขึ้นว่าก็ได้ เมื่อบริษัทโจทก์เลิกโดยคาพิพากษาแล้วไม่มีกฎหมายให้อานาจผู้ถือหุ้นฟ้องคดี แทนบริษัทได้ ซ. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทโจทก์จึงฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ได้แม้ผู้ชาระบัญชีที่ ศาลแต่งต้ังใหม่แทนคนเดิมที่ถูกเพิกถอนจะเพิ่งนา บอกใหจ้ ดทะเบยี นการเลิก บริษัทโจทกแ์ ละประกาศในราชกิจจานเุ บกษาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้ว กเ็ ป็นเร่ืองผ้ชู าระบัญชี คนเดมิ ปฏิบัติหนา้ ที่ไม่สอดคลอ้ งกบั กฎหมายไมเ่ ป็น เหตุใหบ้ ริษทั โจทก์กลับฟน้ื ข้ึนมาใหม่และไม่เป็นเหตุให้ผ้ชู าระบญั ชที ยี่ ัง ไม่ถูกถอดถอนหมดอานาจฟ้องคดแี ทนโจทกแ์ ละแม้เจา้ พนักงานพิทกั ษ์ทรพั ย์ในฐานะ ผชู้ าระบัญชียนื่ คาร้องหลงั จากท่ี ซ. ฟ้องคดีแล้วขอเข้าว่าคดีแทนบริษัทโจทก์ซ่ึงศาลชั้นต้นมีคาส่ังอนุญาตนั้น ก็หาทาให้ฟ้องที่ไม่ชอบกลับเป็นฟ้องที่ชอบข้ึนมา ในภายหลังไม่ มาตรา 1170 เมื่อการซง่ึ กรรมการคนใดไดท้ าไปไดร้ บั อนมุ ัตขิ องทปี่ ระชมุ ใหญแ่ ลว้ ท่านวา่ กรรมการคนน้นั ไมต่ อ้ ง รับผดิ ในการนน้ั ต่อผ้ถู ือหนุ้ ซงึ่ ไดใ้ หอ้ นมุ ัตหิ รือตอ่ บริษัทอีกต่อไป ท่านห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นซึ่งมิได้ให้อนุมัติด้วยน้ันฟอ้ งคดีเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ประชุมใหญ่ให้อนุมัติแก่การ เช่นวา่ นัน้ อธบิ าย มาตรา 1170 หมายถึง การกระทาใดๆ ของกรรมการท่ีท่ีประชุมใหญ่ได้รับรองและอนุมัติแล้ว การกระทาของ กรรมการคนนั้นกไ็ มต่ อ้ งรับผดิ ต่อผูถ้ ือหรือต่อบรษิ ัทอีกต่อไป สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
56 มาตรา 1170 วรรคสอง หมายถึง หากผู้ถือหนุ้ รายใดไม่ใหค้ วามยินยอมหรืออนมุ ตั ิในการกระทานั้นๆ ผถู้ อื หุน้ ราย หากประสงค์ให้กรรมการคนนัน้ ต้องรบั ผดิ ต้องฟอ้ งร้องเอากับกรรมการคนนั้นภายใน 6 เดือนนบั แต่วันท่ไี ดร้ บั การประชมุ ในการประชุมบริษัทนั้นกฎหมายกาหนดรูปแบบการประชุมออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การประชุมสามัญ และ การ ประชุมวสิ ามญั คาว่า “การประชุมสามัญ” หมายถึง โดยการประชุมสามัญจะมีครั้งแรกภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้จดทะเบียน และในทุกๆ 12 เดือนใหจ้ ดั ใหม้ กี ารประชมุ อกี คร้งั คาวา่ “การประชุมวสิ ามัญ” หมายถงึ การประชมุ ครั้งอื่นๆ นอกจากการประชมุ สามัญ โดยการประชุมวิสามัญจะมี ได้กแ็ ตก่ รณดี งั ตอ่ ไปนี้ (1) กรณีกรรมการเปน็ เห็นสมควรเรยี กให้มกี ารประชมุ วิสามญั ตามมาตรา 1172 (2) บริษทั ขาดทนุ ลงถงึ กึง่ จานวนต้นทนุ ตามมาตรา 1172 วรรคสอง (3) ผู้ถอื หุ้นมีจานวนไม่น้อยกว่าหน่งึ ในห้าแห่งจานวนหุ้นของบรษิ ัทได้เข้าชอ่ื กนั ขอให้เรียกประชมุ มาตรา 1173 และมาตรา 1174) เมื่อกรรมการไม่เรยี กผถู้ อื ห้นุ ย่อมดาเนินการเรียกประชมุ เองได้ (4) กรณีผู้สอบบัญชีวา่ งลง มาตรา 1171 ให้มกี ารประชมุ ผถู้ ือหนุ้ ทั่วไปเปน็ ประชุมใหญภ่ ายในหกเดอื นนับแตว่ นั ทีไ่ ดจ้ ดทะเบยี นบรษิ ทั และ ต่อน้นั ไปก็ให้มกี ารประชุมเชน่ นีค้ ร้งั หนึ่งเป็นอย่างนอ้ ยทุกระยะเวลาสิบสองเดอื น การประชมุ เชน่ นี้ เรยี กว่าประชมุ สามัญ การประชมุ ใหญค่ ราวอืน่ บรรดามนี อกจากนี้ เรยี กวา่ ประชุมวสิ ามัญ มาตรา 1172 กรรมการจะเรียกประชุมวสิ ามัญเมอ่ื ใดกไ็ ดส้ ุดแตจ่ ะเหน็ สมควร ถ้าบริษัทขาดทุนลงถึงกึ่งจานวนต้นทุน กรรมการต้องเรียกประชุมวิสามัญทันทีเพ่ือแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบการที่ ขาดทนุ นน้ั มาตรา 1173 การประชุมวสิ ามัญจะต้องนดั เรียกให้มขี ึน้ ในเมื่อผถู้ ือหุ้นมจี านวนหุ้นรวมกันไม่นอ้ ยกว่าหน่ึงในห้า แหง่ จานวนหนุ้ ของบริษัทได้เข้าชื่อกนั ทาหนงั สือรอ้ งขอใหเ้ รียกประชมุ เชน่ น้นั ในหนงั สอื ร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงคใ์ ห้ เรยี กประชมุ เพอ่ื การใด มาตรา 1174 เมื่อผู้ถือหุ้นย่ืนคาร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญดังได้กล่าวมาในมาตราก่อนน้ีแล้ว ให้กรรมการ เรยี กประชมุ โดยพลัน ถ้าและกรรมการมไิ ดเ้ รยี กประชมุ ภายในสามสบิ วันนับแต่วนั ยืน่ คาร้องไซร้ ผูถ้ ือหุน้ ท้งั หลายซึ่งเป็นผูร้ ้อง หรือผ้ถู ือ หนุ้ คนอ่นื ๆ รวมกันไดจ้ านวนดังบงั คบั ไว้นนั้ จะเรียกประชมุ เองก็ได้ อธิบาย 1. มาตรา 1173 หมายถึง การเรียกประชุมวิสามญั โดยผู้ถือหนุ้ เป็นผู้เรียกประชุมเองโดยต้องมีผ้ถู ือหุ้นรวมกันไม่ นอ้ ยกว่าหนงึ่ ในหา้ แหง่ จานวนหุ้นของบริษัทเขา้ ช่อื กันทาหนงั สือถึงกรรมการเพื่อเรยี กประชมุ 2. ในหนงั สือทส่ี ง่ ถึงกรรมการเพือ่ ใหเ้ รยี กประชุมน้นั ตอ้ งระบุหัวข้อด้วยวา่ จะให้กรรมการเรียกประชมุ ในเรือ่ งอะไร สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนักงานอยั การ
57 หากไม่ระบุย่อมถือวา่ เป็นการเรียกประชุมทไ่ี มช่ อบตามมาตรา 1173 3. มาตรา 1174 หมายถึง เม่ือหนังสือท่ีผู้ถือหุน้ ของให้กรรมการเรียกประชุมน้ันถึงกรรมการแล้ว กรรมการต้องมี หน้าท่ีเรียกประชุมโดยพลัน กรณีเป็นบทบังคับให้กรรมการดาเนินการประชุม กรรมการไม่มีสิทธิใช้ดุลพินิจที่จะไม่เรียก ประชุม (ฎ.4219/2541) ฎ.4219/2541 การท่ีผู้คัดค้านกับผู้ถือหุ้นมีหุ้นรวมกันเกินกว่า1 ใน 5 ของจานวนผู้ถือหุ้นท่ีมี อยู่ และเกินกว่า 1 ใน 5แห่งจานวนหุ้นท่ีมีอยู่ทั้งหมด ได้ร่วมกันเข้าชื่อทาหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือ หุ้น โดยระบุวัตถุประสงค์ในการประชุมเพื่อพิจารณาเร่ืองต่างๆ รวม 6 วาระด้วยกัน จึงเป็นการเรียกประชุมท่ีชอบด้วย ข้อบังคับของบริษัทและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1173 แล้วกรรมการบริษัทจึงต้องปฏิบัติตามคือ ต้อง เรียกประชุมโดยพลันจะไม่เรียกประชุมไม่ได้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 1174 เป็นบทบังคับให้ต้องปฏิบัติ และไมไ่ ด้ให้สิทธิ กรรมการทจี่ ะใช้ดลุ พนิ จิ แต่อยา่ งใด เมื่อปรากฏวา่ กรรมการไม่เรยี กประชมุ ภายในสามสิบวันนบั แต่วนั ยื่นคารอ้ งผู้คัดค้านกับ พวกผถู้ ือหุ้นซ่ึงมีหุ้นรวมกนั เกนิ กว่า 1 ใน 5 แห่งจานวนหุ้นของบริษัทย่อมเรยี กประชุมผถู้ อื หุ้นกันเองได้ การทผี่ ู้คัดคา้ นกับ มีหนังสือเชิญผู้ถือหุ้นของบริษัทประชุมวิสามัญจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1174 วรรคสอง กรณีไม่จาต้องให้ผู้ถือหุ้นเดิมทุกคนที่ขอให้เรียกประชุมร่วมเรียกประชุมด้วย เมื่อการประชุมมีผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุมอันมี จานวนหุ้นเกินกว่า 1 ใน 5 แห่งจานวนหุ้นของบริษัทที่ประชุมซ่ึงปรึกษากิจการใด ๆ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 1178 และการประชุมวิสามัญดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทแล้ว ดังน้ัน มติของท่ี ประชมุ จงึ เปน็ มตทิ ่ชี อบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องจะขอใหเ้ พิกถอนหาได้ไม่ 4. มาตรา 1774 วรรคสอง หมายถึง ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเรียกประชุมเองก็ต่อเมื่อกรรมการเพิกเฉยไม่เรียกประชุม ภายใน 30 วัน นับแต่วันยื่นหนังสือเพ่ือขอให้เรียกประชุม หากยังไม่พ้นกาหนด 30 วัน ผู้ถือหุ้นย่อมไม่มีสิทธิท่ีจะเรียก ประชมุ เอง มาตรา 1175 คาบอกกลา่ วเรยี กประชมุ ใหญใ่ หล้ งพมิ พโ์ ฆษณาในหนังสือพมิ พแ์ ห่งทอ้ งท่อี ยา่ งน้อยหน่ึงคราวกอ่ น วันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนท่ีมีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัด ประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคาบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทาการดังว่าน้ันก่อนวันนัด ประชมุ ไมน่ อ้ ยกวา่ สบิ สว่ี ัน คาบอกกลา่ วเรยี กประชมุ ใหญน่ นั้ ให้ระบุสถานที่ วนั เวลา และสภาพแหง่ กจิ การที่จะได้ประชุมปรึกษากนั และใน กรณที ่ีเปน็ คาบอกกล่าวเรียกประชมุ ใหญ่เพ่อื ลงมติพเิ ศษใหร้ ะบุขอ้ ความที่จะนาเสนอให้ลงมตดิ ว้ ย อธิบาย 1. การเรียกประชุมโดยกรรมการซึ่งหากในบริษัทมีกรรมการหลายคนการเรียกประชุมก็ต้องได้รับความเห็นจาก กรรมการเสียงสว่ นใหญใ่ นบรษิ ทั เสียกอ่ น กรรมการคนเดยี วจะเรยี กประชุมเองเพยี งลาพงั ไม่ได้ (ฎ.2564/2532) ฎ.2564/2532 คาว่า \"กรรมการ\" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1172 วรรค แรก หมายถึง คณะกรรมการ มิไดห้ มายถึงกรรมการคนหน่ึงคนใดหรือหลายคน เมอ่ื กรรมการคนใดเห็นควรจะเรียกประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้นก็ชอบท่ีจะนัดเรียกประชุมกรรมการเพ่ือพิจารณากันเสียก่อนและมติของกรรมการจะต้องถือเอาเสียงข้าง มากเป็นใหญ่ เม่ือผู้คัดค้านเรียกประชุมใหญ่วิสามัญโดยมิได้กระทาตามขั้นตอนดังกล่าวการนัดเรียกประชุมใหญ่ตลอดจน การประชมุ และการลงมติจงึ เป็นการฝา่ ฝนื บทบัญญัตแิ ห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ลักษณะห้นุ สว่ นและบริษัท แต่ ก็หาทาให้การประชุมใหญ่และการลงมติท่ีได้เกิดข้ึนจริงไม่เป็นการประชุมใหญ่และการลงมติตามกฎหมายไม่ ดังนั้น การ ร้องขอให้ศาลเพิกถอนมตทิ ป่ี ระชมุ ใหญด่ ังกล่าวจึงตอ้ งร้องขอภายในกาหนด 1 เดอื น นบั แตว่ นั ลงมติ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนักงานอยั การ
58 2. มาตรา 1175 หมายถึง วธิ กี ารส่งคาบอกกล่าวในการเรียกประชมุ โดยมาตรา 1175 เป็นกาหนดระยะเวลาอัน เป็นมาตรฐานข้ันต่าท่ีบริษัทจะต้องดาเนินการ หากบริษัทมีข้อกาหนดหรือข้อบังคับท่ีกาหนดระยะเวลายาวกว่าที่กฎหมาย บัญญัติก็ใหบ้ รษิ ัทดาเนินการตามขอ้ กาหนดหรือข้อบงั คับดังกล่าว 3. ขน้ั ตอนในการบอกกลา่ วเรียกประชุมบริษัทตามมาตรา 1175 มี ดงั น้ี (1) ประกาศลงในหนังสือพิมพแ์ หง่ ทอ้ งที่อย่างน้อยหน่งึ ฉบับกอ่ นวนั ประชมุ ไมน่ อ้ ยกวา่ 7 วนั และ (2) ส่งจดหมายเรียกผู้ถือหุ้นประชุมโดยส่งแบบไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน ถา้ เป็นการประชุมท่ตี ้องลงมตพิ ิเศษต้องส่งไปไม่น้อยกว่า 14 วัน 4. การส่งคาบอกกล่าวในการเรียกประชุมน้ัน กฎหมายบัญญัติบังคับให้แจ้งให้ผู้ถือหุ้นของบริษัททราบล่วงหน้า กอ่ นวันประชมุ ไม่น้อยกว่า 7 วัน กรณีลงมติธรรมดา (มติพิเศษไม่น้อยกว่า 14 วัน) โดยไม่ได้บังคับว่าต้องส่งทางไปรษณีย์ ตอบรับให้ถึงมือผู้ถือหุ้นก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน ดังนี้ หากกรรมการเรียกประชุมบริษัทได้ส่งคาบอกกล่าวไป หนังสือส่งแบบไปรษณีย์ตอบรับให้ผู้ถือหุ้นเป็นเวลาก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน กรณีเรียกประชุมเพื่อลงมติธรรม หรือไม่น้อยกว่า 14 วัน กรณีเรียกประชุมเพ่ือลงมติพิเศษแล้ว การเรียกประชุมย่อมชอบดว้ ยกฎหมาย กล่าวอีกนัยยะหน่ึง คอื เมอ่ื ส่งโดยชอบตามมาตรา 1175 แล้ว ผู้ถอื หนุ้ จะได้รบั ในวนั ใดถือวา่ ไมส่ าคญั (ฎ.8592/2559) ฎ.8592/2559 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1175 วรรคแรก มุ่งประสงค์ให้มีการแจง้ ให้ผู้ถือหุ้นของ บริษทั ทราบลว่ งหนา้ ก่อนวันนดั ประชุมไมน่ ้อยกว่า 7 วัน โดยมิได้บังคับวา่ ต้องส่งทางไปรษณยี ์ตอบรบั ให้ถงึ ผูถ้ ือหุ้นก่อนวัน นดั ประชมุ ไมน่ ้อยกวา่ 7 วัน ผคู้ ัดคา้ นสง่ คาบอกกล่าวเชญิ ประชุมทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรบั ไปยังต่างประเทศให้ผรู้ ้อง เปน็ เวลากอ่ นวันนดั ประชุมไมน่ ้อยกว่า 7 วนั จึงเปน็ การชอบแล้ว 5. หากได้ข้อเท็จจริงว่าการสง่ จดหมายเรียกให้ผ้ถู ือหุ้นทราบนอ้ ยกว่า 7 วัน ประชมุ กรณีเชน่ นีย้ ่อมถือว่าการบอก กล่าวเพอื่ เรียกประชมุ ย่อมไมช่ อบด้วยกฎหมาย การประชุมดงั กล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยผู้ถอื หุ้นมีสทิ ธฟิ ้องขอเพิก ถอนมตขิ องที่ประชุมดงั กล่าวได้ (ฎ.3623/2527) ฎ.3623/2527 หนังสือเชิญผู้ถือหุ้นมาประชุมก็คือคาบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 ถ้าแจ้งคาบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ไปให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันนัด ประชุมน้อยกว่าเจด็ วัน กรรมการหรือผูถ้ อื ห้นุ คนหน่ึงคนใดมอี านาจร้องขอใหศ้ าลเพกิ ถอนมติประชุมใหญ่อันผิดระเบียบน้ัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ถือหุ้นจากมติท่ีประชุมใหญ่คราวที่ผิด ระเบยี บอนั จะต้องเพิกถอน ไมถ่ ือว่าเป็นผูถ้ ือห้นุ ของบริษัท ไมม่ ีสิทธิเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของบรษิ ัทมติของ ผู้ถอื ห้นุ ท่เี ข้า ร่วมประชุมใหญ่ของบริษัท หากไม่ครบองค์ประชุมตามข้อบังคับของบริษัท มติของที่ประชุมใหญ่น้ันไม่มีผลตามกฎหมาย และถือได้ว่าเป็นมติของที่ประชุมใหญ่ อันผิดระเบียบซึ่งผู้ถือหุ้นคนใดคนหน่ึงร้องขอให้ศาลเพิกถอน ได้ตามประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1195 ข้อสงั เกต : (1) แม้การเรียกประชุมจะไม่ชอบด้วยมาตรา 1175 แต่ถ้าหากว่าในการประชุมนั้นมีผู้ถือหุ้นมาประชุม พร้อมเพยี งกันแลว้ กรณเี ช่นนย้ี อ่ มถือวา่ เปน็ การบอกกลา่ วท่ีชอบแลว้ (ฎ.1091/2524) ฎ.1091/2524 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 เป็นบทกฎหมายท่ีมุ่ง ประสงค์ให้มกี ารแจ้งให้ผูถ้ ือหุ้นทราบลว่ งหน้าวา่ บรษิ ัท จะไดจ้ ดั ให้มีการประชุมใหญใ่ นกจิ การใด ทใ่ี ดเมื่อใด เพ่ือผถู้ ือหุ้นจะ ได้มีโอกาสเตรียมตัวสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นได้โดยเต็ม ที่แต่มิได้บังคับโดยเด็ดขาดว่า ถ้าไม่แจ้งไปให้ผู้ถือหุ้นก่อน วันนัดประชุม 7 วันแลว้ การแจ้งดังกล่าวจะต้องเป็นโมฆะเสียเปล่า เพราะการนัดประชุมใหญ่ไม่จาต้องมีหนงั สือ แจ้งเพียง อย่างเดยี วอาจทาโดยวธิ ี อน่ื ได้ เม่ือเปน็ ที่เหน็ ได้วา่ ผู้ถอื หุ้นทุกคนทราบกาหนดวันนัดประชุมใหญ่แลว้ แม้หนงั สือแจ้งนัดประชมุ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
59 ใหญไ่ มไ่ ดแ้ จง้ ใหท้ ราบลว่ งหน้ากอ่ น 7 วัน ก็เปน็ คาบอกกล่าวแจง้ ประชมุ ใหญโ่ ดยชอบ (2) มาตรา 1175 ใชถ้ ้อยคาวา่ “ สง่ ทางไปรษณียต์ อบรับไปยังผู้ถือหนุ้ ...” มิได้กาหนดว่าการส่งน้ันผู้ถือ หุ้นจะได้รับจดหมายบอกกล่าว ดังน้ี หากกรรมการไดด้ าเนนิ การส่งจดหมายบอกกล่าวครบตามจานวนวันท่มี าตรา 1175 บัญญัตแิ ล้วผถู้ ือหุ้นจะไดร้ บั วันไหนกไ็ มส่ าคญั การบอกกล่าวของกรรมการย่อมชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ (ฎ.384/2506) ฎ.384/2506 มาตรา 1175 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ วา่ ด้วยคาบอกกล่าวเรียก ประชมุ ใหญบ่ ริษัทจากัด เพียงแตบ่ ังคับให้สง่ คาบอกกล่าวนัดประชุมก่อนวันนดั ประชุมไม่นอ้ ยกว่า 7 วนั เท่าน้ัน ฉะน้ัน เมื่อ จาเลยซ่ึงเป็นผู้ชาระบัญชีได้ส่งคาบอกกล่าวทางไปรษณีย์ก่อนวันนัด ประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และโจทก์ซ่ึงเป็นผู้ถือหุ้นก็ ได้รบั ย่อมถอื วา่ จาเลยส่งถกู ตอ้ งตามกฎหมายแลว้ โจทก์จะไดร้ ับวันใดหาเป็นขอ้ สาคญั ไม่ (3) ในกรณีมีการประชุมแล้วและมีการเลื่อนออกไป การนัดประชุมในคร้ังหน้าที่เลื่อนไปนั้นไม่ต้อง ดาเนนิ การประกาศและแจง้ ตามมาตรา 1175 (ฎ.2510/2533) ฎ.2510/2533 หนังสือบอกกลา่ วเรียกประชุมใหญ่วิสามัญผูถ้ ือหุ้นทไ่ี ดอ้ อกในคราวแรกนัน้ ได้ กาหนดระเบียบวาระการประชุม วันเวลาและสถานท่ปี ระชมุ โดยไดแ้ จ้งให้ผถู้ อื หนุ้ ทราบลว่ งหนา้ เกนิ กวา่ 7 วัน นบั ถึงวนั นัด ประชุมถูกต้องตามท่ีกาหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทแล้วแม้ต่อมา จะได้มีการเลื่อนวันประชุมออกไปจากกาหนดเดิม โดย วันที่ออกหนังสือแจ้งกาหนดเปล่ียนแปลงวนั ประชุม และวันท่ีผู้ถือหุ้นได้รับหนังสอื ดังกล่าวจะมีเวลาน้อยกว่า 7 วัน นับถึง วันนัดประชุมใหม่ท่ีเลื่อนออกไปก็ตาม ก็ต้องถือว่าการบอกกล่าวเรียกประชุมครั้งน้ีได้มีการแจ้งถึงผู้ถือหุ้น ตั้งแต่คราวแรก แล้ว หนงั สอื แจง้ กาหนดเปล่ยี นแปลงวันเวลาประชุมดงั กล่าวเปน็ แต่เพียงการแจง้ เปลี่ยนแปลง วนั เวลาประชมุ ตามหนังสือที่ แจ้งเดมิ เทา่ น้นั (4) หากมีการประชุมแล้วประธานในท่ีประชุมส่ังยกเลิกการประชุมแล้ว กรรมการท่ีเหลืออ่ืนๆ จะ ดาเนินการประชุมต่อไปไมไ่ ด้ (ฎ.111/2521) ฎ.111/2521 โจทก์เป็นประธานกรรมการของบริษัท จึงเป็นประธานการประชุมใหญ่เมื่อไม่มี ขอ้ บังคับของบรษิ ัทกาหนดเปน็ อย่างอน่ื เม่ือประธานบอกเลิกประชมุ การประชุมก็สนิ้ สุดลงกรรมการอ่ืนประชุมต่อไป โดย ไม่นัดประชุมใหม่โดยบอกกล่าว ก่อนตามข้อบังคับ เป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับและ มาตรา 1174, 1175 รายงานการ ประชุมครั้งน้ีถอดประธานกรรมการโดยอ้างว่าทาความเสียหายแก่บริษัท จาเลยนาไปขอจดทะเบียน จึงทาให้โจทก์เสีย ช่ือเสยี ง เปน็ ละเมดิ ตอ่ โจทก์ มาตรา 1176 ผ้ถู อื หุ้นท่วั ทุกคนมีสิทธิจะเข้าประชุมในท่ปี ระชมุ ใหญไ่ ด้เสมอ ไมว่ ่าจะเป็นประชุมชนดิ ใดคราวใด มาตรา 1184 ผถู้ ือห้นุ คนใดยงั มิไดช้ าระเงนิ ค่าหนุ้ ซง่ึ บรษิ ัทไดเ้ รยี กเอาแตต่ นใหเ้ สรจ็ สน้ิ ทา่ นวา่ ผถู้ อื หนุ้ คนนนั้ ไม่มี สทิ ธอิ อกเสยี งเป็นคะแนน อธบิ าย มาตรา 1184 หมายถงึ แม้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจะมสี ิทธิเข้าประชุมแต่หากยังชาระเงินค่าหุ้นไมค่ รบ ผู้ถอื หุ้นคนนั้นก็ ไมม่ ีสิทธิออกเสยี งเปน็ คะแนน มาตรา 1185 ผู้ถือหุ้นคนใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในข้ออันใดซ่ึงที่ประชุมจะลงมติท่านห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นคนน้ัน ออกเสยี งลงคะแนนดว้ ยในขอ้ นน้ั สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
60 อธิบาย มาตรา 1185 หมายถึง หากผู้ถือหุ้นมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องใด ห้ามไม่ให้ผู้ถือหุ้นผู้น้ันออกเสียงลงคะแนน ในเรือ่ งดังกลา่ ว ฎ.575/2539 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1185 ที่บัญญัติห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นคนใดท่ีมีส่วนได้เสียเป็น พิเศษในข้ออันใด ซึ่งที่ประชุมจะลงมติออกเสียงลงคะแนนด้วยในมติข้อนั้น หมายความเฉพาะผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสียเป็น พิเศษเท่านั้น ผู้ถือหุ้นท่ีเป็นเจ้าหนี้บริษัทที่ร่วมประชุมและลงมติให้บริษัทชาระหนี้แก่ตน ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียเป็นพิเศษ เพราะแม้ไม่มีมติของบริษัทดังกล่าว ผู้ถือหุ้นท่ีเป็นเจ้าหน้ีบริษัทก็ชอบท่ีจะได้รับชาระหน้ีหรือเรียกร้องให้มีการชาระหน้ีได้ อยู่แล้ว อีกท้ังทีป่ ระชุมกม็ ีมติให้ชาระหน้ีคนื แก่ผู้ถือหุน้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันหมดมไิ ด้เลือกปฏิบัติ แก่ผูถ้ ือหุ้น บางคนเปน็ พิเศษแต่อย่างใด มติดังกลา่ วจงึ ไม่ขดั ตอ่ ป.พ.พ.มาตรา 1185 ฎ.2644/2520 การประชุมใหญ่ที่ปรึกษาเรือ่ งนอกระเบียบวาระ มติซึ่งผถู้ ือหุ้นลงมติใหจ้ า่ ยเงิน ใช้หนี้ซ่ึงตนเป็นเจา้ หนม้ี ีส่วนได้เสียเป็นพเิ ศษ ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175,1185 ผู้ชาระบัญชี ลงช่ือนัดประชุมแต่คนเดียวอีกคนหนึ่งไม่รู้เห็นด้วย ขัดต่อ มาตรา 1261 ผู้ถือหุ้นยื่นคาร้องต่อศาลให้เพิกถอนได้ตาม มาตรา 1195 มาตรา 1194 การใดท่ีกฎหมายกาหนดให้ต้องทาโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติในเรื่องน้ันโดยคะแนน เสียงข้างมากไม่ต่ากว่าสามในสี่ของจานวนเสยี งทง้ั หมดของผถู้ อื หุน้ ทีม่ าประชุมและมีสิทธอิ อกเสียงลงคะแนน อธิบาย มาตรา 1194 หมายถึง มติพิเศษ ต้องมีคะแนนเสียงไม่ต่ากว่าสามในส่ีของจานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มา ประชมุ และมสี ทิ ธิออกเสียง เรื่องที่ตอ้ งอาศยั มติพเิ ศษมอี ยู่ด้วยกนั ทง้ั หมด 6 เรอ่ื ง คอื (1) การต้ังขอ้ บงั คับขึ้นใหมห่ รือเพ่ิมเติม ม.1145 (2) การแก้ไขหนังสอื บริคณหส์ นธิ ม.1145 (ตอนทา้ ย) (3) การเพ่มิ ทนุ โดยออกหุน้ ใหม่ ม.1120 (4) การลดทุน ม.1124 (5) การเลิกบรษิ ทั ม.1236 (4) (6) การควบบรษิ ัท ม.1238 มาตรา 1195 การประชมุ ใหญ่น้ันถ้าไดน้ ัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือไดล้ งมติฝา่ ฝนื บทบัญญัติในลักษณะน้ีก็ดี หรือฝา่ ฝนื ขอ้ บงั คบั ของบรษิ ัทก็ดี เมอ่ื กรรมการหรอื ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดรอ้ งขนึ้ แล้ว ให้ศาลเพิกถอนมตขิ องที่ประชมุ ใหญ่ อนั ผิดระเบียบนน้ั เสีย แต่ตอ้ งรอ้ งขอภายในกาหนดเดือนหน่ึงนับแต่วันลงมตินั้น อธบิ าย 1. มาตรา 1195 หมายถึง การฟ้องขอเพิกถอนมติที่ประชุมตามมาตรา 1195 จะมีเหตุแห่งการฟ้องขอให้เพิก ถอนอยู่ดว้ ยกนั 3 เหตุ ได้แก่ (1) การนัดเรยี กประชุมไม่ชอบ (2) การะประชมุ (3) การลงมติ สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนักงานอยั การ
61 ทง้ั น้ี หากเป็นการฟ้องร้องขอให้เพิกถอนมติท่ีประชุมนอกเหนือไปจาก 3 เหตดุ ังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วย กฎหมายหมาย (ฎ.1962/2553) ฎ.1962/2553 ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 22 หมวด 4 ส่วนที่ 3 วิธีการ จัดการบริษัทจากัด มาตรา 1195 ให้สิทธิแก่กรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหน่ึงคนใดอาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติของที่ ประชุมใหญซ่ ่ึงได้นดั เรยี กหรอื ประชุมกนั หรือลงมติฝ่าฝืนบทบญั ญัติในลักษณะน้ีหรือฝ่าฝืนขอ้ บังคบั ของบริษทั ได้ ปรากฏว่า ข้ออ้างที่โจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องคดีน้ีคือ จาเลยท่ี 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาตามบันทึกข้อตกลงการให้สินเชื่อและการชาระหน้ีลง วันที่ 17 พฤษภาคม 2532 ถอื ไดว้ ่าเป็นผมู้ ีส่วนได้เสียพิเศษ มิได้เข้าร่วมประชุมและมไิ ด้เสนอบุคคลเข้าเป็นกรรมการเกิน ก่ึงหน่ึงของคณะกรรมการจาเลยท่ี 1 จึงไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงข้อ 5.3 น้ัน หาใช่เหตุตามบทบัญญัติมาตรา 1195 อนั กอ่ ให้เกิดสิทธิแกโ่ จทกท์ ่จี ะฟ้องเพิกถอนการประชมุ ตลอดทั้งมติท่ปี ระชุมใหญ่ดังกลา่ วไม่ แต่เปน็ กรณีทโี่ จทก์กลา่ วอา้ งว่า จาเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏบิ ัติตามบนั ทึกข้อตกลงทมี่ ีต่อกัน ซึ่งหากโจทก์ได้รับความเสยี หายประการใดในฐานะที่โจทก์ร่วม เป็นผู้ค้าประกันหน้ีซ่ึงจาเลยท่ี 1 มีต่อจาเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ก็ชอบที่โจทก์จะต้องพิจารณาว่าโจทก์จะมี สทิ ธฟิ ้องเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนจากฝ่ายทโี่ จทก์เหน็ วา่ เป็นผู้ก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ตนได้หรือไม่ แตโ่ จทกไ์ ม่มสี ทิ ธฟิ ้องคดนี ี้ 2. ตัวอย่างคาพิพากษาฎีกาทีเ่ ก่ยี วกับมาตรา 1195 - กรณีนัดเรยี กประชมุ ไม่ชอบ ฎ.452/2518 ข้อบังคับของบริษัทจาเลยมีว่า 'การประชุมวิสามัญจะเรียกประชุมเมื่อใดก็ได้ใน เมื่อคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควรหรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจานวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุน้ ท้ังหมดทาหนังสือขอให้ เรียก ประชุมวิสามัญ' ตามขอ้ บังคับข้อนก้ี าหนดให้เป็นอานาจของคณะกรรมการที่จะเรียกประชุม มใิ ช่กรรมการคนใดคนหนงึ่ แต่ เพียงคนเดียว แม้ว่าผู้ถือหุ้นรวมกันทาหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ ก็จะต้องทาหนังสือถึงคณะกรรมการ แล้ว คณะกรรมการเป็นผู้เรยี กประชมุ ปรากฏว่า ม. กรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจาเลยในวันท่ี 22 กุมภาพันธ์ 2513 โดยไม่ได้เสนอคาร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทจาเลยตามข้อบังคับในวัน ประชุม ส. ประธานกรรมการบริษัทจาเลยได้ส่ังระงับการประชุม ม. ยอมรับคาส่ังแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคาสั่งได้ ดาเนินการประชมุ ต่อไป ที่ประชุมแต่งต้ัง ท. เป็นประธานของท่ีประชุมโดยท่ี ท. มิได้มีคุณสมบตั ิตามขอ้ บังคับที่จะเป็นได้ การประชุมดงั กลา่ วจงึ ไม่ชอบดว้ ยข้อบังคับคณะกรรมการท่ีต้งั ขึ้นตามมติของที่ประชุมคร้ังน้ันจึงเป็นคณะกรรมการท่ีไมช่ อบ ไม่มีอานาจบริหารและไม่มีอานาจเรยี กประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเม่ือวันที่ 11 ตุลาคม 2513 มติต่างๆ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นใน วันท่ี 11 ตุลาคม 2513จึงไม่มผี ล ฎ.3623/2527 หนังสือเชิญผู้ถือหุ้นมาประชุมก็คือคาบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 ถ้าแจ้งคาบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ไปให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันนัด ประชุมน้อยกว่าเจด็ วัน กรรมการหรือผ้ถู ือหุ้นคนหนึง่ คนใดมอี านาจรอ้ งขอให้ศาลเพิกถอนมตปิ ระชมุ ใหญอ่ ันผิดระเบยี บน้ัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 ผู้ท่ีได้รับอนุมัตใิ ห้เป็นผู้ถือหุ้นจากมติทีป่ ระชุมใหญ่คราวท่ีผิดระเบียบ อันจะต้องเพิกถอน ไม่ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของบริษัทมติของผู้ถือหุ้นท่ีเข้าร่วม ประชุมใหญ่ของบรษิ ทั หากไม่ครบองค์ประชุมตามขอ้ บงั คับของบริษัท มติของท่ปี ระชมุ ใหญ่น้ันไมม่ ีผลตามกฎหมายและถือ ได้ว่าเป็นมติของที่ประชุมใหญ่ อันผิดระเบียบซึ่งผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1195 - กรณกี ารประชุมไม่ชอบ ฎ.89/2512 การประชุมของบริษทั ซ่ึงมีบุคคลที่ไม่ใช่ผู้ถอื หุ้นเขา้ ร่วมประชมุ แสดงความเหน็ และ ออกเสียงลงคะแนนด้วย แมผ้ ถู้ อื หุ้นท่ีเข้าประชุมดว้ ยมหี ุ้นรวมกนั เกนิ 1 ใน 4 ของจานวนหนุ้ ทง้ั หมดและไดล้ งคะแนนเสยี ง สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนักงานอยั การ
62 เปน็ เอกฉันท์ มตินนั้ กเ็ ปน็ มตทิ ไ่ี มช่ อบศาลเพกิ ถอนเสยี ได้ - กรณกี ารลงมตไิ ม่ชอบ ฎ.310/2510 ตามมาตรา 1190 เม่ือผู้ถือหุ้นสองคนขอให้ลงคะแนนลับแล้ว บริษัทจะต้อง ลงคะแนนลับ หากฝ่าฝืนมติของที่ประชุมย่อมขัดต่อมาตรา 1194 เม่ือโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นร้องขอศาลก็ส่ังเพิกถอนมติ ของทป่ี ระชุมใหญน่ ้ีไดต้ ามมาตรา 1195 2. ผมู้ สี ทิ ธริ อ้ งขอต่อศาลใหเ้ พิกถอนมตทิ ป่ี ระชุมคือ ผู้ถอื ห้นุ และ กรรมการ 3. กาหนดระยะเวลาในการร้องขอให้เพิกถอนคือ 1 เดือน นับแต่วันลงมติ หากล่วงเลยกาหนดระยะเวลาดังกล่าว ผ้ถู ือห้นุ หรือกรรมการย่อมหมดอานาจที่จะนาคดมี าฟอ้ งต่อศาล แม้ในการฟอ้ งคดีบรษิ ัทจะไม่ได้ย่ืนคาให้การแก้คดีประเด็น เร่ืองกาหนดเวลา 1 เดือน ศาลก็มีอานานหยิบยกข้ึนมาวินิจฉัยได้เองเพราะเรื่องของอานาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความ สงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน ข้อสาคัญ : (1) หากมติของท่ีประชุมไม่มีผลในทางกฎหมายการร้องขอให้เพิกถอนมติดังกล่าวก็ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 1195 เช่น เมื่อกรรมการส่วนใหญ่มีความเห็นให้ระงับการประชุม หากมีการประชุมต่อไปและมีมติใดๆ ออกมาย่อมเป็น การไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย กรณีเชน่ นกี้ ารฟอ้ งเพกิ ถอนจงึ ไม่อย่ใู นกาหนดกรอบเวลาตามมาตรา 1195 เปน็ ต้น ฎ.1310/2517 คณะกรรมการของบริษัทมีมติให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจาปีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2513 เพ่ือเลือกต้ังกรรมการชุดใหม่ แต่ ม.กรรมการคนหนึ่งกลับเรียกประชุมใหญ่ในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน อ้างว่าทาตามคาร้องของผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ยื่นเรื่องราวให้คณะกรรมการพิจารณาก่อน ถึงวันท่ี 22 ส. ประธานกรรมการ และกรรมการส่วนใหญ่ของบริษัทได้พากันไปยังที่ประชุม แจ้งขอระงับการประชุมในวันน้ัน โดยให้ไปประชุมกันใน วันท่ี 28 ตามท่ีนัดไว้แล้ว ม. ก็รับคาคร้ัน ส.กับพวกกรรมการกลับไปแล้ว ม. กลับจัดให้มีการประชุมใหญ่ขึ้นอีก โดย ให้ ท. ซึ่งมิได้เป็นกรรมการบริษัทเป็นประธานที่ประชุม และที่ประชุมลงมติเลือก ท. กับพวกเป็นกรรมการ คร้ันวันท่ี 28 ได้มกี ารประชมุ ใหญ่กันอีกคร้ังหนง่ึ ท่ีประชมุ ไม่ยอมรบั รองรายงานการประชุมวนั ที่ 22 ดังนี้ แม้ท่ีประชมุ วันที่ 22 จะ ได้ลงมติเลือก ท. กับพวกเป็นกรรมการ ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นมติของที่ประชุมใหญ่ เพราะกรรมการส่วนใหญ่สั่งระงับการ ประชุมในวันนั้นเสียแล้ว ท. กับพวกจึงมิใช่กรรมการของบริษัท การที่นายทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทรับจด ทะเบียน ท. กับพวกเป็นกรรมการของบริษัท จึงเป็นการไม่ชอบบริษัทมีอานาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้ กรณีไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 1195 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ซ่ึงจะต้องฟอ้ งเพกิ ถอนภายในกาหนดหนึ่งเดอื นนบั แตว่ นั ลงมติ กรรมการส่วนใหญ่ของบริษัทส่ังระงับการประชุมใหญ่เสียก่อนเริ่มลงมือประชุมโดยให้ไปประชุม กันในวันอ่ืนตามท่ีนัดไว้ หาจาต้องได้รับความยินยอมของท่ีประชุมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1181 แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณชิ ยไ์ ม่ เพราะมิใช่เรม่ิ ลงมือประชุมและมีผู้นั่งเปน็ ประธาน แล้วจงึ ไดม้ กี ารเลอื่ นการประชมุ ไปเวลาอ่ืน (2) หากไม่มีการประชุมกันจรงิ ๆ แต่มีการทารายงานการประชุมเท็จว่าได้มีการประชุม กรณีเช่นนี้ก็ไม่อยู่ ภายใต้บงั คบั ของมาตรา 1195 การฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนมตขิ องท่ปี ระชุมอันเป็นเทจ็ นนั้ จงึ ไม่อยู่ในกาหนด 1 เดอื น ฎ.2362/2520 การประชุมใหญ่ที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอน มิใช่เป็นการประชุมใหญ่ที่ผิด ระเบียบตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 แต่เป็นรายงานการประชุมเท็จ เพราะไม่มี การประชมุ กันจริง จงึ ไม่อยู่ในบังคับให้ตอ้ งฟอ้ งเพิกถอนภายในกาหนดเดือนหน่งึ ตามบทบัญญตั ดิ งั กล่าว ฎ.2481/2552 รายงานการประชุมที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนถือไม่ได้ว่าเป็นมติของที่ประชุม ใหญ่อันผิดระเบียบตามความหมายของมาตรา 1195 เพราะมิได้มกี ารประชุมกันจริง หากแต่เป็นรายงานเท็จที่จาเลยท่ี 3 ได้กระทาข้ึนฝ่ายเดียวเพ่ือโอนที่ดินดังกล่าวไปให้จาเลยท่ี 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จาเลยท่ี 2 เท่านั้นไม่ได้กระทบถึง สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ัท โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
63 สิทธหิ รือประโยชน์ของโจทกท์ ้งั หกซ่ึงเป็นผถู้ ือห้นุ โดยตรงแตอ่ ยา่ งใด กรณไี ม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1195 ท่โี จทก์ทั้งหกใน ฐานะผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนรายงานการประชุมเท็จได้ โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอานาจฟ้องขอให้เพิกถอนรายงาน การประชมุ เช่นกนั (3) แม้ว่าท่ีประชุมจะได้ดาเนินการฝ่าฝืนมาตรา 1195 แต่ตราบใดท่ีศาลยังไม่มีคาสั่งเพิกถอน มติท่ี ประชมุ ดงั กลา่ วกย็ ังคงมผี ลใช้บังคับอยู่ (ฎ.530/2537) ฎ.530/2537 ส. กรรมการของโจทกไ์ ด้เรียกประชุมใหญ่โดยจาเลยทั้งสองซงึ่ เปน็ กรรมการดว้ ย ไม่ได้มีมติให้นัดเรียกประชุมใหญ่ การนัดเรียกประชุมใหญ่จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ลักษณะหุ้นส่วนบริษัท แต่หาทาให้การประชุมใหญ่และมติที่เกิดขึ้นเสียไปหรือตกเป็นโมฆะไม่ จนกว่าศาลจะมี คาสั่งหรือคาพิพากษาอนั ถึงที่สุดให้เพิกถอนมติของที่ประชมุ ใหญ่อันผิดระเบียบน้ันเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1195 เมื่อยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ต้องถือวา่ การนัดเรียกประชุมและการประชุมใหญ่ท่ีไดล้ งมติ พิเศษให้เลิกบริษัทและต้ังผู้ชาระบัญชีซ่ึงศาลยังไม่ได้พิพากษาเพิกถอน มีผลเป็นการนัดเรียกประชุมและประชุมใหญ่ตาม กฎหมายแล้ว มติพเิ ศษให้เลิกบริษัทและตั้งผู้ชาระบญั ชีจึงมีผลบังคับตามกฎหมาย โจทกโ์ ดยผู้ชาระบัญชีจึงมีอานาจฟอ้ งให้ จาเลยท้งั สองหยุดประกอบกิจการในนามของโจทก์และสง่ มอบเอกสารตา่ ง ๆ ของโจทก์ให้แก่ผชู้ าระบัญชขี องโจทกไ์ ด้ ------------------------------------------------- ขอใหน้ กั ศกึ ษาทกุ คนโชคดี สรปุ หลกั กฎหมาย หา้ งหนุ้ สว่ น – บรษิ ทั โดย : ไพบลู ย์ วนพงศท์ พิ ากร พนกั งานอยั การ
Search