Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ลิลิตพระลอ

ลิลิตพระลอ

Published by Guset User, 2022-01-31 08:16:36

Description: ลิลิตพระลอ

Search

Read the Text Version

\"เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ\"

คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานรายวิชา ภาษาไทย จัดทำโดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๓ โรงเรียนเบ็ญจะมะ- มหาราช มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการอ่านและเพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับวรรณคดีในสมัยอยุธยา เรื่อง ลิลิตพระลอ คณะผู้จัดทำหวังว่าหนังสือส่งเสริมการอ่านเล่มนี้จะเป็น จะเป็นประโยชน์ แก่ผู้อ่านทุกท่าน หากมีข้อผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำกราบขออภัยมา ไว้ที่นี้ คณะผู้จัดทำ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๔

สารบัญ หัวข้อ หน้า ประวัติผู้แต่ง ๐๑ ลักษณะคำประพันธ์มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม: ๐๓ ความเป็นมามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม :๐๔ จุดประสงค์มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม :๐๕ เนื้อเรื่องโดยย่อมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ๐๖ คุณค่าทางวรรณศิลป์มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม มม๑๔

ประวัติผู้แต่ง ผู้แต่งและสมัยที่แต่ง เพื่อพิจารณาจากร่ายบทนำเรี่อง ซึ่งกล่าวสดุดีพระเจ้า แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงมีชัยแก่ชาวลานนาที่ว่า \"ฝ่ายช้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายช้าง ลาวประลัย ฝ่ายช้างไทยชัเยศคืนยังประเทศพิศาล\" พอสันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่ แต่งลิลิตพระลอ จะต้องอยู่ภายหลังการชนะศึกเชียงใหม่ครั้งใดครั้งหนึ่ง อาจเป็น รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗) หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๒๐๕) เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำประพันธ์ ลิลิตพระลอแต่งด้วยลิลิตซึ่งเป็นลักษณะ คำประพันธ์ที่นิยมใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตยวน พ่าย ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมักแต่งโคลงฉันท์เป็นส่วนมาก เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ และอนิรุทธ์คำฉันท์ ลิลิตพระลอยังใช้ภาษาเก่ากว่าภาษาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น คำ \"ชิ่นแล\" และคำ \"แว่น\" ซึ่งเป็นคำทีมีใช้ใน มหาชาติคำหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากนี้หนังสือจินดามณี ของ พระโหราธิบดี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ยกโคลงในลิลิตพระลอ จาก เหตุผลดังกล่าวพอสรุปได้ว่าลิลิตพระลอ จะต้องแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ๑.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพิจารณาโคลง บอกผู้แต่ง สองบทท้ายเรื่องที่ขึ้นต้นว่า \"จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์\" และ \"จบเสร็จเยาวราชบรรจง\" ทรงสันนิษฐานว่าลิลิตพระลออาจแต่งถวายพระเจ้าแผ่น ดิน ในขณะที่ผู้แต่งยังเป็นพระมหาอุปราช ต่อมาพระมหาอุปราชพระองค์นั้นได้รับ รัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อาจเป็นสมเด็จ พระบรมราชาธิปดีที่ ๓ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ หรือ สมเด็จพระบรมราชาหน่อ พุทธางกูรก็ได้ ส่วนเหตุผลที่ว่า ลิลิตพระลอแต่งในสมัยพระนารายณ์มหาราช เนื่องจาก สันนิษฐานคำ \"มหาราชเจ้านิพนธ์\"และ\"สมเด็จเยาวเจ้าบรรจง\"ในโคลงสองบทดัง กล่าวว่า หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ และเจ้าฟ้าอภัย ทศพระราชอนุชาทรงเขียน ๒.

ลักษณะคำประพันธ์ ลิลิตพระลอแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทโคลงกับร่าย มีทั้งชนิดโคลงโบราณ โคลงดั้น และโคลงสี่ภาพ ส่วนร่ายมีทั้งร่ายโบราณและร่ายดั้นเช่นเดียวกับวรรณคดี สมัยอยุธยาตอนต้น โคลงสี่สุภาพที่ปรากฎในลิลิตพระลอก็ไม่ได้ปรากฎเป็น โคลงสี่สุภาพที่ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ทั้งหมด บางบทมีลักษณะผสมของโคลงสี่ดั้น ประปนอยู่ลักษณะของโคลงสี่ดั้น คือ มีบังคับ เอก ๗ โท ๔ เหมือนโคลงสี่สุภาพ ต่างที่ โท ในวรรคท้าย บาทที่ ๔ ย้ายมาอยู่ วรรคหน้า เกิด โทคู่ โคลงสี่ดั้นต่างจาก โคลงสี่สุภาพ ที่สำคัญคือ ต้องแต่งอย่างน้อย ๒ บท เนื่องจาก ชื่อโคลงดั้นมาจาก ลักษณะการส่ง-รับสัมผัสระหว่างบท ๓.

ความเป็นมาของลิลิตพระลอ ลิลิตพระลอได้เค้าเรื่องมาจากนิทานพื้นเมือง แสดงถึงสภาพความเป็นไป ของสังคมในเวลานั้นอย่างเด่นหลายประการในด้านการปกครองแสดงให้เห็นการ ปกครองแบบนครัฐ คือ เมือง เล็ก ๆ ตั้งเป็นอิสระแก่กัน อันเป็นลักษณะที่ปรากฏ ทั่วไปก่อนสมัยสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยดินแดนทางภาคเหนือของ ประเทศไทย นอกจากนี้เรื่องพระลอยังเป็นตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการปกครอง แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศตกอยู่แก่ประ มูขผู้เดียวเกี่ยวกับลัทธความเชื่อของสังคมก็ปรากฏเด่นชัดในด้านภูตผีปีศาจ เสน่ห์ ยาแฝดโชค ลาง ความฝัน และความชื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินพระพี่ เลี้ยงทั้ง ๔ ดังปรากฏในสุภาษิตพระร่วง ที่ว่า \"อาสาเจ้าจนตัวตาย\"สภาพสังคม ทั่วไปที่เห็นได้จากวรรณคดีเรื่องนี้ได้แก่ การใช้ช้างทำสงครามและเป็นพาหนะ ความนิยมและขับร้อง และการบรรจุพระศพกษัตริย์ลงโลงทอ ๔.

ลิลิตพระลอ เป็นวรรณคดีที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ให้เป็นยอดแห่ง ลิลิต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ แต่งขึ้นอย่างประณีต งดงาม มีความไพเราะของถ้อยคำ และเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ พรรณนาเรื่องด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใช้กวีโวหาร อย่างยอดเยี่ยม ในการบรรยายเนื้อเรื่อง ที่มีฉากอย่างมากมาย หลากหลายอารมณ์ โดยมีแก่นเรื่องแบบรักโศก หรือโศกนาฏกรรม และแฝงแง่คิดถึงสัจธรรมของชีวิต ลิลิตพระลอยังเคยถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจากนักวรรณคดีบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่า เป็นวรรณกรรมที่มอมเมาทางโลกีย์ จุดประสงค์ แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญหฤทัยภาษาสำนวนในลิลิต- พระลอ อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าวรรณกรรมเรื่องอื่นๆในสมัยอยุธยา แต่ก็ยังมีศัพท์ยาก และศัพท์โบราณอยู่บ้าง ๕.



๗. ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ของเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า “นาฏบุญเหลือ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสมีพระนามว่า “พระลอดิลกราช” หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “พระลอ” มีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกัน ว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรองซึ่งเป็น เมืองที่ถูกปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “พรดาราวดี” และพระองค์ทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า “พระเพื่อน” และ “พระแพง”

๘. พระเพื่อนและพระแพงได้ยินมาว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงาม สนใจ อยากจะได้ยล พี่เลี้ยงของพระเพื่อนและพระแพงคือนางรื่น และนางโรยสังเกต เห็นความปรารถนาของนายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ สองพี่เลี้ยงจึง อาสาจัดการให้นายของตนนั้นได้พบกับพระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมน สรวง และในขณะที่ขับซอนั้นจะไห้นักดนตรีพร่ำพรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อที่จะให้ช่วยทำ เสน่ห์ ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสอง

๙. เมื่อพระลอต้องมนต์ก็ทำให้ใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระแพงยิ่งนัก พระองค์เกิดความคลั่งไคล้ไหลหลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่กระทั่งเสวย พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพระองค์ ได้ทำให้พระราชชนนีสงสัยว่าจะมีผีมาเข้า มาสิงสู่อยู่แต่ถึงแม้ว่าจะหาหมอผีคนไหนมาทำพิธีขับไล่ก็ไม่มีผลอันใด พระลอก็ยัง มีพฤติการณ์อย่างเดิมอยู่ เมื่ออพระลอต้องมนต์ก็ทำให้ใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระแพงเป็น ยิ่งนัก เพื่อที่จะได้ยลเจ้าหญิงทั้งสอง พระลอจึงทูลลาพระราชชนนีออกประพาสป่า แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ เพื่อที่จะได้ไปยลเจ้าหญิงแห่งเมืองสรองนั่นเอง จากนั้นพระลอก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสรองพร้อมคนสนิทอีก ๒ คน คือ นายแก้ว กับนายขวัญ พร้อมกับไพร่พลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดต้องเดินผ่านป่าผ่า ดงจนกระทั่งมาพบแม่น้ำสายหนึ่งมีชื่อว่า “แม่น้ำกาหลง”

๑๐. และที่แม่น้ำกาหลงนี้เอง ที่พระลอได้ตั้งอธิษฐานว่าหากตนเองได้รอดกลับมาน้ำ จะใสและไหลตามปรกติแต่หากต้องตายให้น้ำกลายเป็นสีเลือดและไหลผิดปรกติ หลังจากคำอธิษฐานนั้น แม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีและไหลเวียนวนผิด ปกติ เมื่อพระลอเห็นดังนั้นก็รู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายรออยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แต่ก็ ไม่ได้ทำให้พระองค์เกิดความย่อท้อที่จะได้พบกับเจ้าหญิงที่พระทัยของพระองค์ เรียกร้องแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าพระองค์นั้นจะไม่เคยพบนางเลย แต่พระองค์คลั่งไคล้ ไหลหลงในตัวนางทั้งสองเป็นยิ่งนัก

๑๑. ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองรอการเดินทางมาของเจ้าชายรูปงามไม่ได้ และเกรงว่า มนต์เสน่ห์ของปู่เจ้าสมิงพรายจะไม่เห็นผล จึงได้ขอร้องให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วย เหลืออีกครั้ง โดยให้ช่วยเนรมิตไก่งามขึ้นตัวหนึ่งให้มีเสียงขันที่ไพเราะ ทั้ง สองพระองค์คิดว่าไก่ตัวนั้นจะต้องทำให้พระลอสนพระทัยและติดตามมาจนถึง เมืองสรองอย่างแน่นอน เหตุการณ์เป็นไปตามที่เจ้าหญิงสองคาดไว้ พระลอได้ตามไก่เนรมิตไปจนถึง พระราชอุทยาน และได้พบกับเจ้าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังทรงสำราญอยู่ ในทันทีที่ทั้ง สามได้พบกันก็เกิดความรักใคร่กันในบัดดล และก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายแก้วกับ นายขวัญ ได้ตกหลุมรักของนางรื่นและนางโรยผู้ซึ่งเปิดหัวใจต้อนรับชายหนุ่มทั้ง สองโดยไม่รีรอเช่นกัน ปรากฏว่าพระลอและบ่าวคนสนิทของพระองค์ลักลอบ เข้าไปอยู่ในพระตำหนักชั้นในซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงทั้งสอง

๑๒. อย่างไรก็ตาม ความลับนี้ได้ถูกเปิดเผยเข้าจนได้ เมื่อข่าวได้ไปถึงพระกรรณ ของพระราชาจึงได้เสด็จมาไต่สวนในทันที และเมื่อพระลอกราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในความรักของคนทั้งสาม และทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งสามพระองค์ทันที ด้วยการอ้างเอาพระราชโองการของพระราชโอรสของพระนางคือ ท้าวพระพิชัย วิษณุกร พระเจ้าย่าจึงสั่งให้ทหารล้อมพระลอและไพร่พลเอาไว้ ในขณะที่พระลอ กับไพร่พลได้ต่อสู้เอาชีวิตรอด พระนางก็สั่งให้ทหารระดมยิงธนูเข้าใส่ ลูกธนูที่พุ่ง เข้าหาพระองค์และไพร่พลประดุจดังห่าฝนก็ไม่ปานจึงทำให้ไม่อาจจะต้านทานไว้ ได้

๑๓. เพื่อที่ปกป้องชีวิตของชายคนรักพระเพื่อนกับพระแพงจึงเข้าขวางโดยใช้ตัว เองเป็นโล่กำบังให้พระลอ ทั้งสามจึงต้องมาสิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของกันและกัน ท่ามกลางศพของบ่าวไพร่ ณ ที่ตรงนั้นเอง ทันใดนั้นทั้งสองเมืองก็ต้องตกอยู่ใน ความวิปโยคต่อการจากไปของทั้งสามพระองค์ผู้บูชาในรักแท้



๑๕. คุณค่าของลิลิตพระลอ ๑. ด้านอักษรศาสตร์ นับเป็นวรรณคดีที่ใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะ ปลุกอารมณ์ร่วม ได้ทุกอารมณ์ เป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น ๆ มาก “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ” แปลความ : มีเสียงร่ำลืออ้างถึงอะไรกัน เสียงนั้นยกย่องเกียรติของใครทั่วทั้งแผ่นดิน พี่ทั้งสองนอนหลับใหล จนลืมตื่นหรือพี่ พี่ทั้งสองจงคิดเอาเองเถิด อย่าได้ถามน้องเลย บท นี้เขานับเป็นบทครูที่วรรณคดียุคต่อมาต้องนำมาเป็นแบบอย่าง ๒. ด้านการปกครอง จะเห็นว่าการปกครองในสมัยนั้นต่างเมืองต่างก็เป็นอิสระเป็น ใหญ่ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่สามารถมีสัมพันธไมตรีกันได้ ๓. ด้านประวัติศาสตร์ ลิลิตพระลอได้ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ของไทยได้ในแง่ มุมต่างๆ โดยเฉพาะทำให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองสรวงและเมืองสรองอันได้แก่ ลำปางและแพร่ ๔. ด้านวิถีชีวิต ได้มองเห็นถึงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยนั้นที่ยังเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์อยู่มาก มีการนับถือผีสางนางไม้ แม้ปัจจุบันก็ยังมีอยู่

๑๖. ๕. ด้านพระศาสนา ได้ให้แง่คิดทางศาสนาอย่างเช่นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต ซึ่งเป็นของแน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก อย่างบทที่ว่า “สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้ คือเงาติดตัวตรังตรึง แน่นอยู่นา ตามแต่บุญบาปแล ก่อเกื้อรักษา” แปลความ : ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คงเที่ยงแท้ แน่นอนอยู่ก็แต่บุญและบาปเท่านั้น ซึ่งเปรียบเสมือนเงาที่ตามติดตัวของเราอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่บุญหรือบาปจะให้เป็นไป

เล่าเรื่อง ดร. สิทธา พินิจภูวดล ดร. นิยะดา เหล่าสุนทร วาดภาพ เหม เวชกร อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต คณะผู้จัดทำ นายเปรมสกุลวัฒน์ โชคดี Iเลขที่ ๕ นายวรพล วริทุม :เลขที่ ๒๐ นางสาวเพชรน้ำบุษย์ :สมบูรณ์ เลขที่ ๒๔ นางสาวศิโรธร :มีผล เลขที่ ๒๖ นางสาวชนาทิพย์ :ภักดีร่มเย็น เลขที่ ๒๘ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔/๓


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook