Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore KM รักษ์ทะเล กรณีศึกษา ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ล่า

KM รักษ์ทะเล กรณีศึกษา ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ล่า

Published by stabun.dpm, 2022-03-14 03:48:44

Description: KM รักษ์ทะเล กรณีศึกษา ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ล่า

Search

Read the Text Version

รายงานการจดั การความรู้ในองค์กร เรอ่ื ง การบริหารจดั การชมุ ชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิ กรณีศึกษา ชมุ ชนชาวมอแกนและชมุ ชนบ้านนำ้ เค็ม อำเภอตะก่ัวป่า จงั หวัดพงั งา โดย KM Team รักษท์ ะเล รายงานนี้เปน็ สว่ นหนึ่งของหลกั สตู รเจา้ หนา้ ทบ่ี ริหารงานปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย (จบ. ปภ. รุ่นท่ี ๑9)

คำนำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดหลักสูตรเจ้าหน้าที่บริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (จบ.ปภ.) ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัด กระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้นั้น ๆ ได้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในรูปแบบของการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ซึ่ง KM Team รักษ์ทะเล ได้ทำการศึกษาเรื่อง การบริหารจัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิ กรณีศึกษา ชุมชนชาวมอแกนและชุมชนบ้านน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับ การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการลดความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติของชุมชน เพื่อให้สามารถพึ่งพา ตนเองเปน็ หลักได้อย่างยั่งยนื โดยใชห้ ลักการจัดการความเส่ยี งจากภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน (Community Based Disaster Risk Management: CBDRM) เป็นกลไกหลัก (Key Actor) ในการแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดข้ึน KM Team รกั ษ์ทะเล คณะผู้จดั ทำ -2-

สารบัญ หน้า เรอ่ื ง ๔ ๔ คำนำ ๔ ๕ สารบญั ๖ สว่ นที่ ๑ ๑) หลกั การและเหตุผล ๒1 ๒) วัตถปุ ระสงค์ 22 ๓) ขอบเขตการดำเนินงาน ๔) วิธีการดำเนินการ 34 ๒๙ สว่ นที่ ๒ 36 แนวคดิ และทฤษฎีที่เกย่ี วข้อง ๓8 ส่วนที่ ๓ ผลการศกึ ษาที่คาดวา่ จะได้รบั ผลการศกึ ษา สว่ นท่ี ๔ ๑) แนวทางการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ๒) ขอ้ เสนอแนะ คณะผ้จู ดั ทำ ภาคผนวก แผนเตรียมความพรอ้ มเพื่อป้องกนั ภัยพิบตั ิชุมชนบ้านนำ้ เค็ม -3-

สว่ นที่ ๑ ๑) หลักการและเหตุผล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ได้ให้ความสำคญั ต่อการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคล โดยได้จดั ให้มี การอบรบหลักสตู รเจ้าหน้าท่ีบริหารงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (จบ.ปภ.) เพอ่ื พฒั นาข้าราชการกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยและภาคีเครือข่าย ให้มีขีดความสามารถและมีมาตรฐานในการปฏิบัติงานด้านการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งหลักสูตรดงั กล่าวได้กำหนดให้ผูเ้ ข้ารบั การฝกึ อบรมรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร หรือกระจัดกระจายอยู่ในเอกสารหรือตัวบุคคล มาประมวลผลและจัดเก็บให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงความรู้นั้น ๆ ได้ รวมทั้งปฏิบัติงานไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ ในรูปแบบ การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) อนั ส่งผลให้องค์กรสามารถบรรลุเปา้ หมายทต่ี งั้ ไว้ได้ KM Team รักษ์ทะเล ได้ทำการศึกษาเรื่อง การบริหารจัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิ กรณีศึกษา ชุมชนชาวมอแกนและชุมชนบ้านน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยได้วิเคราะห์สาเหตุและ วิธีดำเนินการ/หลักการที่สามารถทำให้ชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือกับภัยสึนามิ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice) สำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการสร้างชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือภยั พิบัติในชุมชุม เสี่ยงภัยอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งการนำหลักการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน Community Based Disaster Risk Management (CBDRM) มาประยุกตใ์ ช้ ๒) วัตถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ศกึ ษาองค์ความรู้ที่ใช้ในการจดั การเพื่อรบั มือและจดั การภยั สึนามขิ องชุมชนชาวมอแกนและชุมชน บ้านน้ำเค็ม ในพื้นที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะเตรียมความพร้อม ระยะฉุกเฉิน และระยะฟ้นื ฟู 2. เพ่ือเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้รับให้แกช่ ุมชนในพื้นทเ่ี สี่ยงภยั อื่น ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใชใ้ นพืน้ ท่ีได้ ๓) ขอบเขตการดำเนนิ งาน 1. การบรหิ ารจัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสนึ ามิ ชมุ ชนชาวมอแกน อำเภอตะกั่วป่า จงั หวดั พงั งา 2. การบริหารจดั การชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิ ชมุ ชนบา้ นน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วปา่ จังหวดั พังงา 3. การจัดการความเสยี่ งจากภยั พบิ ัตโิ ดยอาศัยชุมชนเปน็ ฐาน (CBDRM) 4. ระบบการแจ้งเตอื นภยั สึนามิ 5. การบูรณาการเครือขา่ ยความรว่ มมือทเ่ี กีย่ วขอ้ ง -4-

๔) วธิ ีการดำเนินการ ๑. ศกึ ษา รวบรวมขอ้ มลู การบรหิ ารจดั การชมุ ชนเข้มแข็งพรอ้ มรับมือจากภัยสึนามิ ชุมชนบ้านนำ้ เคม็ และชมุ ชนชาวมอแกน อำเภอตะก่ัวป่า จังหวัดพังงา ๒. วิเคราะห์ และจัดทำข้อมูลการบริหารจัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิ ชุมชนบ้านน้ำเค็ม และชุมชนชาวมอแกน อำเภอตะกั่วป่า จงั หวัดพงั งา ๓. ดำเนินการจัดทำข้อมลู ๔. นำเสนอผลการศึกษา ๕. เผยแพร่ความรู้ทีไ่ ดร้ บั จากการศึกษา -5-

ส่วนท่ี ๒ แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกีย่ วขอ้ ง 1. การจดั การความเสย่ี งจากภัยพบิ ตั โิ ดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน (Community Based Disaster Risk Management : CBDRM) ความเปน็ มาในการจัดการความเสีย่ งจากภยั พิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การสร้างเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างความตระหนักและ เตรียมความพร้อมของประชาชนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นแนวทางในการลดความสูญเสียจากภัย พิบัติที่ดีแนวทางหนึ่ง คือ การเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้มีความตระหนักถึงความร้ายแรงของภัย และมีส่วนร่วมในการดำเนินการ ป้องกัน แก้ไข เพื่อให้ชุมชนของตนมีความปลอดภัย สร้างความรู้ความเข้าใจถึงภัยในท้องถิ่น และตระหนักถึง ความสำคัญของการมสี ว่ นรว่ มในการจัดการภัยในเบือ้ งต้น ในรูปแบบขององค์กรชุมชนฝ่ายต่าง ๆ มีการจัดทำแผน ชมุ ชนในการเตรียมพรอ้ มรับภัย และมีการฝกึ ซ้อมแผนอพยพประชาชนในภาวะฉุกเฉนิ เม่ือเกิดภัย การจัดการภยั พบิ ตั ิในอดีตและปัจจบุ นั ในอดีตการบริหารจัดการภัยพิบตั ิของชุมชนจะเร่มิ หลังการเกิดภยั พิบตั ิ คือ 1. กอ่ นเกิดภัย ประชาชนจะดำเนินชีวิตประจำวนั กันตามปกติ 2. ขณะเกดิ ภยั ประชาชนพยายามรกั ษาชวี ิตใหร้ อด หรืออพยพหนีภยั เพื่อรอรับความช่วยเหลอื 3. หลงั เกิดภัย ประชาชนมกี ารฟื้นฟู บูรณะ ทง้ั สภาพบา้ นเรือน สง่ิ ปลูกสรา้ ง ถนนหนทาง การประกอบอาชีพ และสภาพจติ ใจ กอ่ นเกดิ ภยั ใชช้ ีวติ ตามปกติ หลงั เกิดภัย ฟน้ื ฟู บูรณะ ขณะเกดิ ภัย เอาชวี ิตรอด อพยพ รอรับความชว่ ยเหลือ รูปแบบของการจัดการภัยพิบัติในอดีตที่ผ่านมาไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสม เพราะเป็นเพียงการดำเนินงาน ของหน่วยราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืนอีกทั้งไม่ สนองตอบความต้องการของชมุ ชนทเี่ สย่ี งภยั อย่างเพยี งพอ -6-

รปู แบบการจัดการภยั พบิ ัติท่ีนำมาใช้ในปัจจุบนั ในการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ มีการเสนอให้มีการใชพ้ ลังของคนในชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนลดความเสี่ยง และเสริมสร้างขีดความสามารถของคนในชุมชนให้มีการเตรียม ความพร้อม ทง้ั ด้านแผนการแจ้งเตือนภัย แผนการอพยพประชาชน และมกี ารฝึกซ้อมแผนกันเป็นประจำสม่ำเสมอ ซ่งึ เรยี กโดยรวมวา่ “การจดั การความเสย่ี งจากภัยพบิ ัติโดยอาศยั ชมุ ชนเปน็ ฐาน” ก่อนเกดิ ภัย 1. การประเมนิ ความล่อแหลมเสยี่ งภยั 8.การฟืน้ ฟูบรู ณะ 2. การป้องกันและลดผลกระทบ หลงั เกิดภัย 3. การเตรยี มพร้อมของประชาชน,, เครอ่ื งมือ/อุปกรณ์,แผน 7.การประเมินความเสยี หาย 4. การเตือนภัย ขณะเกดิ ภัย 6. การชว่ ยเหลือบรรเทาภัย 5.อพยพไปยงั พื้นที่ปลอดภัย การจดั การความเสยี่ งจากภยั พบิ ัติโดยอาศยั ชุมชนเป็นฐาน การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน เป็นการจัดการโดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลางใน การดำเนนิ การป้องกัน แก้ไข บรรเทา ฟื้นฟคู วามเสียหายจากภยั พิบัตโิ ดยชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผน ตัดสินใจ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาและบริหารจัดการภัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงภัยของชุมชน และเพิ่มขีด ความสามารถให้คนในชุมชนไดร้ ะงับบรรเทาภัยได้ก่อนหน่วยงานภายนอกจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ เหตุเพราะความ เสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบตอ่ ความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพยส์ ิน และการประกอบอาชีพ -7-

ตราบใดที่ประชาชนไม่อาจโยกย้ายชุมชนออกจากพืน้ ที่เส่ียงภัยได้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะความรักถ่ินฐานบ้าน เกิด หรือเพราะเปน็ พืน้ ทท่ี ำกนิ แหง่ เดียว หรือเพราะความขาดแคลนทุนทรัพย์ในการโยกยา้ ยถน่ิ ฐานทที่ ำให้ประชาชน ต้องดำรงชีวิตอยู่ในชุมชน จึงได้มีการนำแนวคิดในการจัดการความเส่ียงจากภัยพิบตั ิโดยอาศัยชุมชนเปน็ ฐานมาใช้ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา โดยมีหลักมุ่งเน้นการบรรเทา การลดความเสี่ยงภัยและความล่อแหลม ซ่ึงแตกต่างจากแนวคิดการจดั การภัยพิบัติแบบด้ังเดิม ทีม่ ุ่งเน้นการตงั้ รับและการให้ ความช่วยเหลอื เท่าน้ัน และใน การประชุมนานาชาติที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2537 ได้นำเรื่องภัยพิบัติมาเป็นประเด็นสำคัญ ในการประชุม และได้มีฉันทามติให้มีโครงการบรรเทาภัยพิบตั ิที่มุ่งเน้นการมสี ว่ นร่วมของชมุ ชนใหม้ ากยิง่ ขึ้น ทั้งใน ด้านการวางแผนและการดำเนินงานบรรเทาภัยพิบัติต่าง ๆ อีกทั้ง ในการประชุมที่เมืองโกเบ จังหวัดเฮียวโกะ ประเทศญี่ปุ่น ผู้แทนรัฐบาลจาก 168 ประเทศ ได้มีฉันทามติให้ นำกรอบงานเฮียวโกะ สำหรับปฏิบัติในการลดภัยพิบัติ มาใชใ้ นการดำเนินการป้องกันภยั พบิ ัติ โดยมีสาระสำคัญดังน้ี 1. ให้ความสำคญั กับการลดความเสีย่ งจากภยั พิบัตเิ ปน็ อันดับแรก ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ 2. รู้ถึงความเสี่ยงภยั ของตนเองและแนวทางปฏบิ ตั เิ พือ่ ลดความเสย่ี งภัย 3. สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ และความตระหนักใหแ้ ก่ประชาชน เชน่ สอดแทรกความรู้ในการเรยี นการสอน หรอื ผา่ นสือ่ ประเภทต่างๆ 4. ลดปัจจัยของความเส่ยี ง เชน่ ให้ชุมชนยา้ ยถิน่ ฐานบ้านเรือนออกจากพืน้ ทีเ่ สย่ี งภัย สรา้ งอาคารและถนน หนทางใหส้ ามารถทนต่อผลกระทบจากภัยพิบตั ไิ ด้ เป็นตน้ 5. สร้างเสริมการเตรียมความพร้อมในการตอบโต้ภัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ ทั้งในด้านการ พัฒนาและการฝึกซ้อมแผนในภาวะฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแผนการเตรียมความพร้อมที่มีประสิทธิภาพ และ การจัดการอย่างเป็นระบบ จะชว่ ยให้สามารถรับมือกบั ภยั พบิ ตั ิขนาดต่าง ๆ ได้ โดยไดร้ ับผลกระทบน้อยที่สุด ขน้ั ตอนของการจัดการความเส่ยี งจากภยั พิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน การเตรียมความพร้อมของชุมชนในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัตินั้น ต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ของชุมชนในทุกขั้นตอน โดยชุมชนจะต้องจัดให้มีการประชุมชาวบ้านเพื่อร่วมกันแสดงความคิดเห็น ร่วมกัน ตัดสนิ ใจ รว่ มกันวางแผนและรว่ มกันทำงาน ซงึ่ จะมีขนั้ ตอนการเตรียมความพร้อม ดังน้ี 1. การศกึ ษาข้อมูลภยั ของชุมชน/หมู่บ้าน การศึกษาข้อมูลภัยที่เคยเกิดข้ึนจะสามารถช่วยให้ชุมชนสามารถคาดเดาไดว้ ่ามโี อกาสมากน้อยเพียงใด ที่จะมีภัยเกิดขึ้น และเมื่อเกิดแล้วจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ซึ่งข้อมูลภัยที่ได้นี้จะทำให้ชุมชนสามารถ วางแผนล่วงหน้า เพื่อป้องกันภัย เผชิญเหตุขณะเกิดภัย อันจะสามารถป้องกันความเสียหายหรือลดความรุนแรง ของภัย ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสยี ชีวติ และทรัพย์สินลงไดใ้ นระดบั หนึ่ง โดยศกึ ษาในหัวขอ้ ดังนี้ 1.1 ประเภทของภัยและช่วงเวลาที่เกิดภัย โดยบันทึกว่าในอดีต - ปัจจุบัน เคยเกิดภัยประเภทใดขึ้น ในชุมชนบ้าง ภัยแต่ละครั้งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเป็นประจำหรือไม่และภัยประเภทใดก่อให้เกิดความเดือดร้อน เสยี หายมากท่สี ุด โดยจัดทำในรูปแบบของปฏิทนิ ภยั -8-

1.2 การสำรวจพ้ืนท่ี ชุมชนจะทราบดีว่าบรเิ วณใดในชมุ ชนเป็นพืน้ ที่เสี่ยงภัย เช่น เป็นพื้นที่แอ่งกระทะ เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมขงั ที่เชิงเขาเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม ก็กำหนดให้บริเวณนั้นเป็นพื้นที่เสีย่ งภัย และบริเวณใด เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบและอันตรายจากภัย ก็กำหนดให้บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ปลอดภัยและเป็นจุดอพยพ กำหนดเส้นทางอพยพโดยการจดั ทำแผนทช่ี มุ ชน 1.3 แหล่งทรัพยากรภายในพื้นท่ี ชุมชนควรจะต้องสำรวจข้อมูล เครื่องมือ/เครื่องจักร/อุปกรณ์ที่ใช้ใน การเผชิญเหตุและกู้ภัยว่า มีอะไรบ้าง และอยู่ที่ใด เพื่อที่จะสามารถนำมาเป็นข้อมูลติดต่อประสานงานยามเกิดภัย โดยอาจบันทึกในรปู แบบของตาราง ทงั้ นี้ จะต้องมีการติดตอ่ ประสานงานกับผู้เป็นเจ้าของไวล้ ว่ งหน้าในยามปกติ 1.4 การสำรวจและรวบรวมข้อมูลหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ชุมชนควรจะต้องสำรวจและ รวบรวมข้อมูลของหน่วยราชการ/องค์กร/มูลนิธิ ที่มีหน้าทีเ่ กีย่ วข้องกับการป้องกันบรรเทาภัยใหก้ ารช่วยเหลอื และ สงเคราะห์ผปู้ ระสบภยั เพือ่ เกบ็ ไวเ้ ป็นขอ้ มูลตดิ ต่อประสานงาน แจ้งเหตุ หรอื ขอรบั การช่วยเหลือเม่อื เกิดภัย 2. การวิเคราะหข์ อ้ มูลภัยของชุมชน / หมู่บา้ น เมื่อทราบถึงประเภทภัย และช่วงเวลาที่มักเกิดภัยแล้ว ชุมชนจะต้องร่วมกันคัดเลือกและจัดลำดับ ความสำคัญว่าภัยประเภทใดก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ต่อการประกอบอาชีพ ต่อพื้นที่ โดยจะต้องมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะให้ความสำคัญในการเลือกป้องกันและบรรเทาภัยประเภทใด เปน็ ลำดับแรก และร่วมกันวิเคราะหว์ า่ ภัยทีช่ ุมชนเลือกมสี าเหตมุ าจากอะไร 2.1 สาเหตุเกดิ จากปจั จัยภายใน/นอก ชุมชน 1) ปัจจัยภายใน เช่น มีการทิ้งขยะมูลฝอยลงในคู คลอง ทำให้คู คลองตื้นเขิน เมื่อเกิดฝนตก หนกั จึงทำใหน้ ำ้ ฝนระบายลงสูค่ ู คลองไม่ทนั จึงเกดิ นำ้ ทว่ มขังภายในชมุ ชน 2) ปัจจัยภายนอก เช่น ส่วนราชการเข้ามาสร้างถนนที่ตัดผ่านชุมชน โดยถนนที่สร้างขวางทางน้ำ เมือ่ เกิดฝนตกหนักจงึ ทำให้น้ำฝนระบายลงสูท่ างไหลตามธรรมชาติไมไ่ ด้ จึงเกิดน้ำท่วมขงั ภายในชุมชน -9-

3) วิธีดำเนนิ การแก้ไข หากเกดิ จากปจั จยั ภายในชุมชนกส็ ามารถแกป้ ัญหาเองได้ และควรจะตอ้ ง รีบดำเนินการทันทีเพราะจะเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันไม่ให้ภัยครั้งใหม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดก็จะลดความ เสยี หายลงได้ ท้งั ในดา้ นชีวิตและทรพั ย์สิน แตห่ ากเกิดจากปจั จยั ภายนอก ชุมชนตอ้ งร่วมกนั ร้องเรียนและเสนอเรื่อง แก้ไขไปที่หน่วยงานตามลำดับ เช่น อบต./เทศบาล อำเภอ และจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมแก้ไข ปญั หา 3. การแจง้ เตอื นภัย ชุมชนจะต้องตกลงกันและยอมรับร่วมกันว่า เมื่อเกิดภัยหรือเหตุฉุกเฉิน จะมีการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า อย่างไร เพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนรับรู้กันได้อย่างทั่วถึงในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อจะได้มีเวลาเพียงพอ ที่จะอพยพ หนีภัยไปอยใู่ นท่ีทีป่ ลอดภัย เช่น แจง้ เตอื นทางหอกระจายข่าวของชุมชน แจ้งเตือนโดยใช้เสียงกลองเพล แจ้งเตือน โดยใชเ้ สียงปืน หรือใชส้ ัญญาณตา่ ง ๆ ผสมกนั เพื่อใหไ้ ดร้ ับรู้ได้ในเวลาอนั รวดเรว็ 4. การจัดต้ังคณะกรรมการปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัยของชมุ ชน/หมู่บ้าน ชุมชน/หมู่บ้าน จะต้องมีส่วนร่วมในการป้องกันและบรรเทาภัยในพื้นที่ร่วมกัน โดยจะต้องจัดตั้ง คณะกรรมการฝ่ายตา่ งๆ เพ่อื ให้มีหนา้ ทร่ี ับผิดชอบทั้งก่อนเกิดภยั ขณะเกดิ ภยั และหลังเกดิ ภัย ตามความเหมาะสม ของแต่ละชมุ ชน/หม่บู ้าน เช่น 4.1 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ มีหน้าที่เสาะหาความรู้เกี่ยวกับการเกิดภัยและวิธี ป้องกัน มาบอกเล่าให้คนในชุมชนฟังโดยตรง หรือผ่านหอกระจายข่าว หรือจัดหาเอกสาร เช่น โปสเตอร์ หนังสือ หรอื สือ่ อื่นๆ ไว้ประจำชุมชน เพื่อประชาสมั พนั ธแ์ ละเผยแพร่ความร้ใู ห้คนในชุมชนร้กู นั อยา่ งท่วั ถงึ 4.2 คณะกรรมการฝ่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย มีหน้าที่จัดเวรคอยเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย เช่น เมื่อเกิดฝนตกหนัก คณะกรรมการจะต้องจัดเวรยามเพื่อเฝ้าระวัง จดบันทึกปริมาณน้ำฝนจากกระบอกวัดปริมาณ น้ำฝน หากมีปริมาณมากเกินปกติและฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน เนื่องจากชุมชนตง้ั อยใู่ นหุบเขา และเคยเปน็ พ้นื ท่ีทีเ่ คยเกดิ นำ้ ท่วมฉบั พลนั อยเู่ ป็นประจำ ก็ควรแจ้งเตือนภยั ตามที่ได้ มกี ารตกลงกนั ไว้ 4.3 คณะกรรมการฝ่ายอพยพ มีหน้าที่ในการจัดเจ้าหน้าที่ ยานพาหนะ เส้นทางที่ใช้ในการอพยพ ให้เป็นไปดว้ ยความรวดเร็ว ปลอดภัยและเปน็ ระเบียบ 4.4 คณะกรรมการฝ่ายสถานที่ มีหน้าที่ในการปรับปรุงพื้นที่ภายในชุมชนให้มีความปลอดภัย จัดเตรียมสถานที่อพยพให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และมีระบบสาธารณูปโภคพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ตามความจำเป็น 4.5 คณะกรรมการฝา่ ยเสบยี ง มหี น้าท่ีจัดเตรยี มเสบียง เช่น ขา้ วสาร อาหารแห้ง น้ำดมื่ ไว้ใชป้ ระกอบ อาหารไว้เล้ยี งชาวบา้ นยามฉุกเฉิน ในสถานทีท่ ีใ่ ชเ้ ป็นจุดอพยพ 4.6 คณะกรรมการฝ่ายปฐมพยาบาล มหี น้าทีใ่ หก้ ารปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ แกช่ าวบ้านท่ีได้รับบาดเจ็บ จากภยั กอ่ นที่จะส่งต่อไปสถานพยาบาล 4.7 คณะกรรมการฝา่ ยประสานงาน มีหนา้ ท่ใี นการแจ้งเหตภุ ัยของชุมชนให้หนว่ ยต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งทราบ เพื่อขอรับการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งน้ี อาจให้คณะกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน ที่มีอยู่แล้วปฏิบัติหน้าที่ในการ ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยอีกหน้าทีห่ นง่ึ ก็ได้ 5. การจัดทำและฝึกซ้อมแผน หลงั จากมกี ารจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของชุมชน/หมู่บา้ น และกำหนดหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบฝ่ายตา่ ง ๆ แล้ว ขัน้ ตอนต่อไปซ่งึ สำคญั ทสี่ ุด คอื การจดั ทำและฝกึ ซ้อมแผน เพราะหากเกดิ ภัยจะได้ มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่สับสนวุ่นวาย สำหรับการฝึกซ้อม แผนในระดบั ชมุ ชนนนั้ อาจทำได้โดยการสร้างสถานการณ์สมมุติว่า ไดม้ ภี ยั เกิดขึน้ ในพน้ื ท่ี คณะกรรมการแต่ละฝ่าย - 10 -

จะเริ่มปฏิบตั ิการอย่างไร และเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนแลว้ จะส่งหน้าที่ตอ่ ให้แกค่ ณะกรรมการชดุ ใด จนกระทั่งภัย ได้ผ่านพน้ ไป 6. การประเมินผล ภายหลงั จากเมอื่ มกี ารฝกึ ซ้อมแผนแล้ว คณะกรรมการฝา่ ยต่าง ๆ และชาวบ้านจะตอ้ งรว่ มกนั ประเมินผล และแสดงความคิดเหน็ ว่า ยังมสี ง่ิ ใดบกพรอ่ ง และควรดำเนินการแก้ไขปรบั ปรุงให้ดขี ้ึนอย่างไรและเมอ่ื ปรับปรุงแล้ว ก็ควรดำเนินการฝึกซ้อมเป็นระยะจนคณะกรรมการทุกฝ่ายรู้หน้าทีแ่ ละปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสมบรู ณ์แลว้ ชุมชนก็ อาจจัดทำและฝกึ ซอ้ มแผนป้องกันภยั ประเภทอน่ื ทมี่ ีความสำคญั เป็นลำดับตอ่ ไป 2. การสรา้ งเครือข่าย (Networking) เครือข่าย (Network) คือ การเชื่อมโยงของคน กลุ่มคน หรือกลุ่มองค์กร ที่เต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนข่าวสาร ระหว่างกัน หรอื ทำกิจกรรมรว่ มกัน ภายใต้เป้าหมายและวธิ ีการทำงานรว่ มกันอยา่ งเปน็ ระบบ โดยมีการจัดระเบียบ โครงสรา้ งของคนในเครือข่ายด้วยความเปน็ อสิ ระเท่าเทยี มกันภายใต้พ้นื ฐานของความเคารพสิทธิ เช่อื ถอื เอ้ืออาทร ซึ่งกันและกัน เครือข่ายเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม (Social Network) ที่แตกต่างจากกลุ่ม โดย “กลุ่ม”จะมี ขอบเขตที่ชัดเจน รู้ว่าใครเป็นสมาชิก มีความเป็นรูปธรรม และมีโครงสร้างทางสังคม แต่ “เครือข่าย” เป็นรูปแบบ ความสมั พนั ธท์ างสังคมท่ีไม่มีขอบเขต ไมม่ ีโครงสร้างแน่นอนตายตวั อาจมกี ารออกแบบโครงสร้างข้ึนมาทำหนา้ ท่ีผสาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนหรือกลุ่มองค์กรใหต้ ่อเน่ือง แต่ในเครือข่ายมีความเป็นอิสระ ไม่มีใครบังคับให้ใครทำอะไร ได้ แต่ละคนหรือกลุ่มองค์กรต่างก็เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายได้พอ ๆ กัน รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมของ เครือขา่ ยจงึ มีความซบั ซ้อนกว่ากลมุ่ หรอื องค์กรมาก การเชื่อมโยงในลักษณะของเครือข่าย จะต้องพัฒนาไปสู่ระดับของการลงมือทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายร่วมกันด้วย ดังนั้น เครือข่ายต้องมีการจัดระบบให้กลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่เป็นสมาชิกดำเนิน กิจกรรมบางอย่างร่วมกัน เพื่อนำไปสู่จุดหมายที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมเฉพาะกิจตามความจำเป็น เมื่อ ภารกิจบรรลุเป้าหมายแล้ว เครือข่ายก็อาจยุบสลายไป แต่ถ้ามีความจำเป็นหรือมีภารกิจใหมอ่ าจกลับมารวมตัวกัน ได้ใหม่ หรือจะเป็นเครอื ข่ายท่ดี ำเนนิ กิจกรรมอยา่ งต่อเนื่องระยะยาวก็ได้ การกอ่ เกิดของเครือขา่ ย เครือข่ายแต่ละเครือข่าย ต่างมีจุดเริ่มต้น หรือถูกสร้างมาด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน แบ่งชนิดของเครือข่าย ออกเปน็ ๓ ลกั ษณะ คอื ๑. เครือขา่ ยทีเ่ กดิ โดยธรรมชาติ เครือข่ายชนิดนี้มักเกิดจากการที่มีใจตรงกัน ทำงานคล้ายคลึงกันหรือประสบกับสภาพปัญหาเดียวกันมา ก่อน เข้ามารวมตัวกันเพื่อแลกเปล่ียนความคดิ และประสบการณ์ ร่วมกันแสวงหาทางเลือกใหม่ที่ดีกวา่ การดำรงอยู่ ของกลุ่มสมาชิกในเครือข่ายเป็นแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นภายในตัวสมาชิกเอง เครือข่ายเช่นนี้มักเกิดขึ้นในพื้นที่ อาศัย ความเป็นเครือญาติ เป็นคนในชุมชนหรือมาจากภูมิลำเนาเดียวกันที่มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน มาอยู่ รวมกันเป็นกลุ่มโดยจัดตั้งเป็นชมรมที่มีกิจกรรมร่วมกันก่อน เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจึงขยาย พื้นที่ดำเนินการออกไป หรือมีการขยายเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ ของกลุ่มมากขึ้น ในที่สุดก็พัฒนาขึ้นเป็นเครือข่ายเพื่อให้ครอบคลุมต่อความ ต้องการของสมาชกิ ได้กวา้ งขวางขน้ึ - 11 -

๒. เครือขา่ ยจดั ตงั้ เครอื ขา่ ยจดั ต้ังมักจะมีความเก่ียวพันกบั นโยบายหรือการดำเนินงานของภาครัฐเป็นสว่ นใหญ่ การจัดต้ัง อย่ใู นกรอบความคิดเดิมทใ่ี ชก้ ลไกของรัฐผลกั ดันใหเ้ กดิ งานท่ีเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และส่วนมากภาคหี รือสมาชิกท่ีเข้า ร่วมเครือข่ายมักจะไม่ได้มีพื้นฐาน ความต้องการ ความคิด ความเข้าใจ หรือมุมมองในการจัดตั้งเครือข่ายที่ตรงกนั มาก่อนที่จะเข้ามารวมตัวกัน เป็นการทำงานเฉพาะกิจชั่วคราวที่ไม่มีความต่อเนื่อง และมักจะจางหายไปในที่สุด เว้นแต่ว่าเครอื ขา่ ยจะไดร้ บั การชแ้ี นะท่ีดี ดำเนนิ งานเปน็ ขนั้ ตอนจนสามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกตอ้ ง เกดิ เปน็ ความ ผูกพนั ระหวา่ งสมาชิกจนนำไปสู่การพฒั นาเป็นเครอื ข่ายท่ีแท้จริง อยา่ งไรกต็ าม แมว้ า่ กลุ่มสมาชิกจะยังคงรักษา สถานภาพของเครือข่ายไว้ได้ แตม่ แี นวโน้มท่ีจะลดขนาดของเครือข่ายลงเม่ือเปรยี บเทียบระยะก่อต้ัง ๓. เครือข่ายววิ ฒั นาการ เป็นการถือกำเนิดโดยไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติตั้งแต่แรก และไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยตรงแต่ มี กระบวนการ พัฒนาผสมผสานอยู่ โดยเริ่มทีก่ ลุ่มบุคคล/องค์กรมารวมกันด้วยวัตถุประสงค์กว้าง ๆ ในการสนับสนนุ กันและเรยี นรู้ไปดว้ ยกัน โดยยงั ไมไ่ ด้สร้างเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์เฉพาะทชี่ ัดเจนนกั หรืออีกลักษณะหน่ึงคือถูก จุดประกายความคิดจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการได้รับฟัง หรือการไปได้เห็นการดำเนินงานของเครือข่ายอื่นๆมา แล้วเกิดความคิดที่จะรวมตัวกัน สร้างพันธสัญญาเป็นเครือข่ายช่วยเหลือและพัฒนาตนเอง เมื่อได้รับการกระตุ้น และสนับสนุน ก็จะสามารถพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งทำนองเดียวกันกับเครือข่ายที่เกิดขึ้นโดย ธรรมชาติ เครือข่ายในลักษณะนี้พบเห็นอยู่มากมาย เช่น เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายโรงเรียนสร้างเสริมสุขภาพ เป็นต้น การสรา้ งเครอื ข่าย (Networking) การสร้างเครือขา่ ย หมายถึงการทำให้มีการติดตอ่ สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ การ ร่วมมือกันด้วยความสมัครใจ การสร้างเครือข่ายควรสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้สมาชิกในเครือข่าย มี ความพัมพันธ์กนั ฉันท์เพื่อนท่ีต่างก็มีความเปน็ อสิ ระมากกวา่ สรา้ งการคบค้าสมาคมแบบพึ่งพิง นอกจากน้ี การสร้าง เครือข่ายตอ้ งไมใ่ ช่การสร้างระบบตดิ ต่อด้วยการเผยแพร่ขา่ วสารแบบทางเดียว เชน่ การสง่ จดหมายขา่ วไปให้สมาชิก ตามรายชอื่ แตจ่ ะตอ้ งมกี ารแลกเปลีย่ นขอ้ มูลขา่ วสารระหว่างกันด้วย ความจำเป็นท่ตี อ้ งมเี ครอื ข่าย การพัฒนางานหรือการแก้ปัญหาใด ๆ ที่ใช้วิธีดำเนินงานในรูปแบบที่สืบทอดกันเป็นวัฒนธรรมภายใน กลุ่มคน หน่วยงาน หรอื องค์กรเดียวกัน จะมีลักษณะไม่ตา่ งจากการปิดประเทศที่ไม่มีการติดต่อส่ือสารกับภายนอก การดำเนินงานภายใตก้ รอบความคดิ เดิม อาศัยขอ้ มลู ข่าวสารทไี่ หลเวียนอย่ภู ายใน ใช้ทรัพยากรหรือส่ิงอำนวยความ สะดวกที่พอจะหาได้ใกล้มือ หรือถ้าจะออกแบบใหม่ก็ต้องใช้เวลานานมาก จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนางานอย่าง ย่ิงและไม่อาจแกป้ ัญหาท่ีซับซ้อนได้ การสร้างเครือข่ายสามารถช่วยแก้ปัญหาข้างต้นได้ดว้ ยการเปิดโอกาสให้บุคคล และองค์กรได้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารรวมทั้งบทเรียนและประสบการณ์กับบุคคลหรือองค์กรที่อยู่นอก หน่วยงาน ของตน ลดความซำ้ ซ้อนในการทำงาน ใหค้ วามร่วมมอื และทำงานในลักษณะที่เอ้ือประโยชน์ซ่ึงกันและกัน เสมือนการ เปดิ ประตสู โู่ ลกภายนอก - 12 -

องคป์ ระกอบของเครือข่าย เครอื ขา่ ยมีองคป์ ระกอบสำคญั อยู่อย่างน้อย ๗ อยา่ งดว้ ยกนั คอื ๑. มกี ารรบั รแู้ ละมุมมองท่ีเหมือนกนั (common perception) ๒. การมีวสิ ัยทัศน์รว่ มกนั (common vision) ๓. มคี วามสนใจหรือมผี ลประโยชน์ร่วมกัน (mutual interests/benefits) ๔. การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ ทุกคนในเครือข่าย (stakeholders participation) ๕. มีการเสรมิ สร้างซง่ึ กันและกนั (complementary relationship) ๖. มกี ารเกือ้ หนนุ พง่ึ พากัน (interdependent) ๗. มีปฏสิ มั พนั ธ์กนั ในเชิงแลกเปลีย่ น (interaction) มกี ารรบั รู้มุมมองทเ่ี หมอื นกัน (common perception) ต้องมีความรู้สึกนึกคดิ และการรบั รเู้ หมอื นกันถึงเหตุผลในการเข้ามาร่วมกนั เป็นเครือข่าย เชน่ มีความเข้าใจใน ตัวปัญหาและมีจิตสำนึกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ประสบกับปัญหาอย่างเดียวกันหรือต้องการความช่วยเหลือใน ลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกของเครือข่ายเกิดความรู้สึกผูกพันในการดำเนินกิจกรรมร่วมกันเพ่ือ แกป้ ญั หาหรอื ลดความเดอื ดร้อนท่เี กดิ ขึน้ การรับรู้ร่วมกันถือเป็นหัวใจของเครือข่ายที่ทำให้เครือข่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าเริ่มต้นด้วยการ รับรู้ที่ต่างกัน มีมุมมองหรือแนวคิดทีไ่ ม่เหมือนกันแลว้ จะประสานงานและขอความร่วมมือยาก เพราะแต่ละคนจะ ติดอยู่ในกรอบความคดิ ของตัวเอง มองปญั หาหรือความตอ้ งการไปคนละทศิ ละทาง การมีวสิ ัยทศั นร์ ว่ มกัน (common vision) วิสัยทัศนร์ ว่ มกนั หมายถึง การท่ีสมาชกิ มองเห็นจุดมุ่งหมายในอนาคตท่ีเปน็ ภาพเดยี วกัน มกี ารรับรูแ้ ละเข้าใจ ไปในทิศทางเดียวกัน และมีเป้าหมายที่จะเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งจะทำให้กระบวนการขับเคลื่อนเกิดพลัง มี ความเป็นเอกภาพ และช่วยผ่อนคลายความขัดแยง้ อนั เนือ่ งมาจากความคดิ เหน็ ทีแ่ ตกตา่ งกัน มคี วามสนใจหรอื ผลประโยชน์รว่ มกัน (mutual interests/benefits) คำว่าผลประโยชน์ในทีน่ ี้ครอบคลุมทั้งผลประโยชน์ท่ีเป็นตัวเงินและผลประโยชน์ไมใ่ ชต่ ัวเงิน ถ้าการเข้าร่วม ในเครือข่ายสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเขาหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็จะเป็นแรงจูงใจให้เข้ามามีส่วนร่วม ในเครือขา่ ยมากขน้ึ ดงั น้นั การดำเนินงานของเครือข่ายจำเป็นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ท่ีเขาจะได้รับจากการเข้าร่วม ถ้าจะให้ดี ต้องพิจารณาล่วงหนา้ กอ่ นท่ีจะรอ้ งขอ ลักษณะของผลประโยชน์ท่ีสมาชิกแตล่ ะคนจะได้รับอาจแตกต่างกนั แต่ควร ต้องให้ทุกคนและต้องเพียงพอที่จะเป็นแรงจูงใจใหเ้ ขาเข้ามีส่วนร่วมในทางปฎิบตั ิได้จริง เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกเหน็ ว่าเขาเสียประโยชน์มากกว่าได้ หรือเมอื่ เขาได้ในสงิ่ ท่ีต้องการเพียงพอแลว้ สมาชกิ เหลา่ น้ันก็จะออกจากเครือข่ายไป ในท่สี ุด การมีสว่ นรว่ มของสมาชิกทกุ คนในเครอื ข่าย (stakeholders participation) การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในเครือข่าย เปน็ กระบวนการท่ีสำคัญมากในการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่าย ทำ ให้เกิดการร่วมรบั รู้ ร่วมคิด รว่ มตดั สนิ ใจ และรว่ มลงมือกระทำอย่างเข้มแข็ง ดังนัน้ สถานะของสมาชิกในเครือข่าย ควรมีความเท่าเทียมกัน เป็นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน มากกว่าความสัมพันธ์ในลักษณะเจ้านายลูกน้อง ซึ่งจะสร้าง ความเขม้ แขง็ ให้กบั เครอื ขา่ ยมาก - 13 -

มกี ารเสรมิ สร้างซ่งึ กนั และกนั (complementary relationship) องค์ประกอบที่จะทำให้เครือข่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง คือ การที่สมาชิกของเครือข่ายต่างก็สร้างความ เข้มแขง็ ให้กนั และกนั โดยนำจุดแขง็ ของฝ่ายหนึ่งไปช่วยแก้ไขจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนง่ึ แลว้ ทำให้ไดผ้ ลลัพธ์เพิ่มขึ้นใน ลักษณะพลังทวคี ูณ (1+1 > 2) มากกว่าผลลพั ธท์ เี่ กิดขนึ้ เมอื่ ตา่ งคนต่างอยู่ การเกือ้ หนุนพงึ่ พากัน (interdependence) เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เครือข่ายดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน การที่สมาชิกเครือข่ายตกอยู่ ในสภาวะจำกัดทั้งด้านทรัพยากร ความรู้ เงินทุน และกำลังคน ฯลฯ ไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายอย่าง สมบูรณ์ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากเครือข่าย จำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในเครือข่าย การทำให้ หุ้นส่วนของเครือข่ายยึดโยงกันอย่างเหนียวแน่น จำเป็นต้องทำให้หุ้นส่วนแต่ละคนรู้สึกว่าหากเอาหุ้นส่วนคนใด คนหนึ่งออกไปจะทำให้เครือข่ายล้มลงได้ การดำรงอยู่ของหุ้นส่วนแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการดำรงอยู่ ของเครอื ขา่ ย การเกอ้ื หนุนพึ่งพากันในลักษณะนีจ้ ะสง่ ผลให้สมาชิกมีปฎิสมั พันธ์ระหวา่ งกันโดยอัตโนมัติ มีปฎิสัมพนั ธ์ในเชิงแลกเปลย่ี น (interaction) สมาชิกในเครือข่ายต้องทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการปฎิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น มีการติดต่ อกัน ผ่านทางการเขียน การพบปะพูดคุย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือมีกิจกรรมประชุมสัมมนา รว่ มกนั โดยทผ่ี ลของการปฎสิ มั พันธน์ ีต้ อ้ งก่อใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงในเครือข่ายตามมาด้วย ลักษณะของปฎิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกควรเป็นการแลกเปลี่ยนกัน มากกว่าที่จะเป็นผู้ให้หรือเป็นผู้รับ ฝ่ายเดียว ยิ่งสมาชิกมีปฎิสัมพันธ์กันมากเท่าใดก็จะเกิดความผูกพันระหว่างกันมากขึ้นเท่านั้น ทำให้การเชื่อมโยง แนน่ แฟน้ มากข้นึ มีการเรียนรรู้ ะหว่างกนั มากขึ้น สรา้ งความเข้มแขง็ ให้กับเครอื ขา่ ย ข้อเสนอแนะในการพัฒนาเครือข่าย เพือ่ ความยัง่ ยืน ๑. สมาชิกที่เขา้ ร่วม ตอ้ งเขา้ ใจเปา้ หมายในการรวมตวั กนั วา่ จะกอ่ ให้เกิดความสำเร็จในภาพรวม ๒. สรา้ งการยอมรับในความแตกต่างระหว่างสมาชิก ยอมรับในรูปแบบและวฒั นธรรมองคก์ รของสมาชกิ ๓. มีกิจกรรมสม่ำเสมอและมากพอที่จะทำให้สมาชิกได้ทำงานร่วมกัน เป็นกิจกรรมที่ต้องแน่ใจว่าทำได้ และกระจายงานได้ทั่วถึง ควรเลือกกิจกรรมที่ง่ายและมีแนวโน้มประสบผลสำเร็จ อย่าทำกิจกรรมที่ยาก โดยเฉพาะครง้ั แรกๆ เพราะถา้ ทำไมส่ ำเรจ็ อาจทำใหเ้ ครอื ขา่ ยทีเ่ ริ่มก่อตัวเกิดการแตกสลายได้ ๔. จัดให้มแี ละกระตนุ้ ใหม้ กี ารสอ่ื สารระหว่างกนั อยา่ งทว่ั ถึง และสมำ่ เสมอ ๕. สนับสนนุ สมาชกิ ทุกกลุ่ม และทุกด้านท่ีต้องการความช่วยเหลือ เน้นการช่วยเหลือกลุม่ สมาชิกท่ียังอ่อนแอ ให้สามารถชว่ ยตนเองได้ ๖. สร้างความสัมพนั ธข์ องบุคลากรในเครอื ขา่ ย ๗. สนับสนุนให้สมาชิกได้พัฒนางานอย่างเต็มกำลังตามศักยภาพและความชำนาญที่มีอยู่ โดยร่วมกัน ตั้งเป้าหมายในการพัฒนางานให้กับสมาชิกแต่ละกลุ่ม ส่งผลให้สมาชิกแต่ละกลุ่มมีความสามารถพิเศษ เฉพาะด้าน เปน็ พืน้ ฐานในการสร้างความหลากหลายและเขม้ แข็งใหก้ ับเครือขา่ ย ๘. สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ระหว่างบุคลากรทุกระดับของสมาชิกในเครือข่ายในลักษณะความสัมพันธ์ ฉนั ท์เพื่อน ๙. จัดกิจกรรมให้สมาชิกใหม่ของเครือข่าย เพื่อเชื่อมต่อคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ในการสืบทอดความเป็น เครือขา่ ยตอ่ ไป ๑๐.จัดให้มีเวทีระหว่างคนทำงานเพื่อพัฒนาหรือแก้ปัญหาในการทำงานด้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการ ใหก้ ำลงั ใจซึง่ กันและกัน - 14 -

๑๑.จัดให้มีช่องทางการทำงานร่วมกัน การสื่อสารที่ง่ายต่อการเข้าถึงที่ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน เช่น สร้างระบบ การส่งตอ่ งาน และสรา้ งเวบ็ ไซต์เพือ่ เช่อื มโยงเครือขา่ ยเข้าด้วยกัน ๓. ระบบการแจ้งเตอื นภยั และอปุ กรณเ์ ตือนภยั กรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยศูนย์เตอื นภยั พบิ ัตแิ หง่ ชาติ ไดด้ ำเนินการเตรยี มความพรอ้ มในการ จัดการสาธารณภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยจัดเตรียมระบบสารสนเทศการสื่อสารแจ้งเตือนภัยและ ติดตั้งระบบ/อุปกรณ์เตือนภัยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและ นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งยังตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ สามารถแจ้งเตือนภัยผ่านช่องทางส่อื สารตา่ งๆ ไดอ้ ย่างทันท่วงที ในด้านการเตรียมความพร้อมระบบสื่อสารเพื่อการเตือนภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้จัดเตรียม ระบบสื่อสารหลัก ระบบสื่อสารรอง และระบบสื่อสารสำรอง สำหรับการแจ้งเตือนภัยครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ และ ประชาชนสามารถรับการแจ้งเตือนภัยอยา่ งทั่วถงึ และรวดเร็วย่งิ ข้ึน โดยมีรายละเอยี ดระบบสื่อสารและช่องทางการ แจง้ เตอื น ดังน้ี ด้านระบบสอ่ื สาร - ระบบส่ือสารหลกั ไดแ้ ก่ ระบบอินเทอร์เนต็ ผา่ นดาวเทยี ม - ระบบสือ่ สารรอง ได้แก่ ระบบอินเทอรเ์ นต็ และแบบไร้สาย (Wi-Fi Internet) - ระบบสือ่ สารสำรอง ได้แก่ ระบบวิทยสุ อ่ื สาร ชอ่ งทางการแจ้งเตอื นภัย - โทรทศั นร์ วมการเฉพาะกิจแหง่ ประเทศไทย - สถานีวิทยุกระจายเสียง - ข้อความสัน้ (SMS) - ระบบโทรสาร (FAX) - เว็บไซตก์ รมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย และเวบ็ ไซตศ์ ูนยเ์ ตอื นภยั พิบตั แิ ห่งชาติ - สอ่ื สงั คมออนไลน์ เชน่ เฟซบุ๊ก (Facebook) และ แอปพลเิ คชนั ไลน์ (Line) - แอปพลเิ คชันบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน (แอพพลิเคชัน DPM Reporter) สำหรับกระบวนการแจ้งเตือนภยั เมอ่ื ศนู ยเ์ ตือนภยั พบิ ตั ิแห่งชาติ ได้วเิ คราะห์และประเมินสถานการณ์แลว้ ว่าจะมีโอกาสเกิดสาธารณภัย ต่อจากนนั้ จนท. จะสง่ สญั ญาณแจง้ เตือนภัยไปยังอปุ กรณ์และระบบแจ้งเตือนภัยท่ี ตดิ ตั้งอยใู่ นพน้ื ท่ีเสีย่ งดว้ ยชอ่ งทางการส่ือสารตา่ ง ๆ ตามภาพท่ี ๑ - 15 -

ภาพท่ี ๑ การรับส่งสัญญาณเตือนภัยจากส่วนกลางไปยงั อุปกรณเ์ ตือนภัยทว่ั ประเทศ อุปกรณ์และระบบแจ้งเตือนภัยท่ีติดต้งั อยใู่ นพ้นื ทีเ่ สี่ยง หอเตือนภัยและอุปกรณ์เตือนภัยที่ติดตั้งอยู่ในพื้นทีท่ ุกภูมิภาคของประเทศ สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือน ภัยเพื่อให้ประชาชนได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสาธารณภัย มีทั้งหมด 6 ประเภท โดยมีรายละเอียด คุณลักษณะการใชง้ าน ดงั นี้ 1. หอเตือนภัย ส่วนใหญ่ติดตั้งตามแนวชายฝั่งชายทะเล ฝั่งอันดามัน ฝั่งอ่าวไทย และพื้นที่เสี่ยงภัย ทวั่ ประเทศ ทำหน้าทก่ี ระจายเสยี งแจ้งเตือนภยั โดยรบั สญั ญาณแจ้งเตือนภัยจากระบบควบคมุ การเตอื นภัย ตวั หอมี ความสูงประมาณ 20 เมตร ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และมีชุดลำโพงกระจายเสียงเพื่อส่งสัญญาณเตือนได้รอบ ทศิ ทางในรัศมีประมาณ 1.5-2.0 กิโลเมตร ภาพที่ ๒ หอเตือนภยั - 16 -

2. หอเตือนภัยขนาดเล็ก หรือหอกระจายข่าว ติดตั้งในชุมชนและหมู่บ้านบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย โดยรับสัญญาณเตือนภัยผ่านสถานีถ่ายทอดสัญญาณเตือนภัยแม่ข่ายด้วยคลื่นวิทยุ และกระจายข้อความเสียงเตือน ผ่านเสากระจายข่าวได้อัตโนมัติ โครงสร้างเสาเป็นเหล็กกันสนิม กระจายเสียงด้วยลำโพง จำนวน 4 ตัว ส่งสัญญาณเตอื นไดร้ อบทศิ ทางในรัศมปี ระมาณ ๑.๒-๑.๕ กิโลเมตร ภาพที่ ๓ หอเตือนภัยขนาดเล็กหรอื หอกระจายข่าว 3. สถานีถ่ายทอดสัญญาณเตือนภัยแม่ข่าย (CSC) เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งในที่ทำการองค์การบริหารส่วน ตำบลและสำนักงานเทศบาลตำบล ทำหน้าที่รับสัญญาณเตือนภัยจากชุดควบคุมอุปกรณ์เตือนภัยที่ส่งสัญญาณมา จากศูนย์ปฏิบัติการบางนาหรือชุดควบคุมอุปกรณ์เตือนภัยประจำจังหวัด และสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยไปยัง อุปกรณ์เตือนภัยลูกข่าย ได้แก่ หอเตือนภัย หอเตือนภัยขนาดเล็ก และเครื่องรับสัญญาณเตือนภัยในพื้นท่ี นอกจากน้ียงั สามารถใช้ประชาสัมพนั ธป์ ระกาศข้อความหรือเสยี งตามสายของชุมชนได้ ภาพท่ี ๔ สถานีถา่ ยทอดสัญญาณเตือนภยั แมข่ า่ ย (CSC) ติดตั้งเฉพาะสถานทีร่ าชการ - 17 -

4. เครื่องรับสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียม (EVAC) ติดตั้งที่สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ประจำจังหวดั และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั จงั หวดั เพอ่ื แจง้ เตือนภัยแก่หนว่ ยราชการและประชาชนใน จงั หวดั เครื่อง EVAC รบั สัญญาณเตือนภัยโดยตรงผ่านดาวเทียมและสง่ สัญญาณเสียงผา่ นลำโพงขนาดเลก็ จำนวน 1 ตวั ภาพท่ี ๕ เครอ่ื งรบั สัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียม (EVAC) ตดิ ตั้งท่สี ำนกั งาน ปภ.จงั หวัด สถานีวทิ ยแุ หง่ ประเทศไทยประจำจังหวดั และหอเตอื นภัย 5. เครื่องรับสัญญาณเตือนภัยในพื้นที่ (TAR) อุปกรณ์ที่มีรูปร่างคล้ายวิทยุ ซึ่งเป็น “ลูกข่าย” ชนิด หนึ่ง สามารถรับสญั ญาณเตือนภยั จากสถานีถ่ายทอดสัญญาณเตือนภัยซ่ึงเป็น “แม่ข่าย” ได้โดยทันที เครื่องรับ สัญญาณเตอื นภัย (TAR) ได้ตดิ ตั้งไว้กับอาคารหรอื บา้ นพักทผี่ ู้นำชุมชนในพน้ื ทีก่ ำหนด เพอ่ื ให้รบั ทราบการแจ้งเตือน ภัยได้อยา่ งรวดเร็ว ทัว่ ถงึ และทันต่อสถานการณ์ภยั พบิ ตั ิ ภาพท่ี ๖ เครอื่ งรับสญั ญาณเตอื นภยั ในพนื้ ที่ (TAR) - 18 -

6. ชุดควบคุมอุปกรณ์เตือนภัยสำหรับส่งสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียม ชุดควบคุมเป็นอุปกรณ์เตือนภัย ที่ติดตั้งโปรแกรมสำหรับบริหารจัดการอุปกรณ์เตือนภัย ชื่อ “คอมพิวเลิท (CompuLert)” ติดตั้งบนระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ (Windows) ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียม Inmarsat ในย่านความถ่ีL-Band โดย ชุดควบคุมฯ ท้งั 15 ชุด ตดิ ตั้งอย่ทู ัว่ ประเทศรวม 14 แหง่ ประกอบด้วย ๑) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 1 ชุด ๒) ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (บางนา) จำนวน 2 ชุด ๓) จังหวัดเพชรบุรี ๔) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๕) จังหวัด ระนอง ๖) จังหวัดชุมพร ๗) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๘) จังหวัดนครศรีธรรมราช ๙) จังหวัดสงขลา ๑๐) จังหวัดตรัง ๑๑) จังหวดั สตูล ๑๒) จังหวดั พังงา ๑๓) จงั หวดั ภเู ก็ต และ ๑๔) จงั หวดั กระบี่ สำหรับชดุ ควบคุมฯ ท่ีติดตั้ง ณ ศูนย์เตือน ภัยพิบัติแห่งชาติ (บางนา) ใช้ส่งสัญญาณควบคุมหอเตือนภัยและอุปกรณ์เตือนภัยได้ทั่วประเทศ ส่วนชุดควบคุม ที่ติดตั้ง ณ จังหวัดต่าง ๆ จะควบคุมสัญญาณเตือนภัยได้เฉพาะหอเตือนภัยและอุปกรณ์เตือนภัยภายในจังหวัด เท่านนั้ ภาพท่ี ๗ ชุดควบคุมอปุ กรณเ์ ตือนภัยสำหรบั ส่งสญั ญาณเตือนภยั ผ่านดาวเทยี ม หรอื Compulert ปจั จุบนั หอเตอื นภยั และอุปกรณ์เตอื นภยั ท่ีติดตั้งไว้ในพืน้ ทเ่ี สีย่ งภัยทวั่ ประเทศ มจี ำนวนดงั ต่อไปน้ี 1. หอเตอื นภยั จำนวน 345 แห่ง 2. หอเตอื นภยั ขนาดเลก็ หรอื หอกระจายขา่ ว จำนวน 695 แห่ง 3. สถานีถา่ ยทอดสญั ญาณเตือนภัยแมข่ ่าย (CSC) จำนวน 306 แหง่ 4. เครื่องรับสญั ญาณเตือนภัยผ่านดาวเทยี ม (EVAC) จำนวน 179 เครือ่ ง 5. เครอ่ื งรับสัญญาณเตือนภัยในพื้นท่ี (TAR) จำนวน 1,590 เครื่อง 6. ชดุ ควบคุมอปุ กรณเ์ ตือนภยั สำหรับสง่ สญั ญาณเตือนภัยผา่ นดาวเทยี ม จำนวน 15 ชุด ในการแจ้งเตือนภัยผ่านอุปกรณ์/ระบบเตือนภัย เป็นลักษณะของเสียงข้อความ ซึ่งกำหนดเสียงสัญญาณ แจ้งเตอื นภยั ในรปู แบบของเสยี งไซเรนประกอบกบั ข้อความประกาศเตือนภยั ถงึ 5 ภาษา ไดแ้ ก่ ไทย องั กฤษ เยอรมัน จนี และญป่ี ุ่น และมีข้อความแจง้ เตอื นภยั 15 ขอ้ ความ โดยเสียงสัญญาณทใี่ ชส้ ำหรบั การแจง้ เตือนภัยมี ดงั น้ี M1 แจง้ เหตแุ ผ่นดนิ ไหวบนบก M2 แจ้งเหตุแผน่ ดินไหวในทะเล M3 เกดิ สนึ ามิ ออกจากชายหาดไปพืน้ ที่สงู M4 เกิดนำ้ ป่าไหลหลาก M5 พายุใต้ฝนุ่ เข้าใกล้ M6 เข่ือนชำรุด - 19 -

M7 คลื่นพายซุ ดั ฝง่ั คลื่นยกั ษจ์ ากลมพายุ M8 ทดสอบสัญญาณเตอื นภยั M9 สถานการณส์ งบแลว้ กลับสู่สภาวะปกติ M10 ทดสอบสญั ญาณดว้ ยเพลงชาติ M11 แจง้ ฝนตกท่ัวไป M12 แจง้ คำเตอื นฝนตกหนกั อาจเกดิ นำ้ ท่วมฉบั พลนั M13 แจง้ คำเตอื นฝนตกหนกั นำ้ ทว่ มฉบั พลัน นำ้ ปา่ ไหลหลาก แผน่ ดินถล่ม M14 แจ้งคำเตอื นพายฤุ ดรู อ้ น พายฝุ นฟ้าคะนอง ลมแรง M15 แจ้งลกั ษณะพายฝุ นฟ้าคะนองสงบแลว้ ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการทดสอบระบบสัญญาณเตือนภัยในอุปกรณ์ เตือนภัยทุกวันในเวลา 09.00 น. และทดสอบความพร้อมใช้งานโดยส่งสัญญาณเพลงชาติไทยไปยังอุปกรณ์เตือน ภัยท่ตี ดิ ตง้ั ในพ้ืนทีผ่ า่ นระบบดาวเทยี มเป็นประจำทุกวนั พุธ เวลา 08.00 น. - 20 -

สว่ นท่ี ๓ ผลการศกึ ษาทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ และจัดการองค์ความรู้ที่ได้รับจากเอกสาร/ข้อมูลใน การบริหารจดั การชุมชนเขม้ แขง็ พร้อมรบั มือจากภัยสนึ ามิ ของชุมชนบา้ นน้ำเคม็ และชมุ ชนชาวมอแกน อำเภอตะก่ัว ป่า จังหวัดพังงา แล้วจะได้รับทราบถึงกระบวนการจัดการความรู้ในการบริหารจัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือ จากภัยสึนามิของชุมชนบ้านน้ำเค็ม และชุมชนชาวมอแกน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งมีรูปแบบการบริหาร จัดการชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือจากภัยสึนามิท่ีมีประสทิ ธิภาพ เพื่อให้สามารถนำไปกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice) สำหรบั ใชเ้ ป็นแนวทางในการดำเนินการสร้างชุมชนเข้มแข็งพร้อมรับมือภยั พิบัติในชุมชุมเส่ียงภัยอ่ืน ๆ ท่วั ประเทศต่อไป - 21 -

ผลการศกึ ษา การบริหารจดั การภยั พิบัติของชมุ ชนมอแกน อำเภอตะก่วั ปา่ จังหวดั พงั งา ขอ้ มูลท่ัวไป ชาวมอแกน เป็น \"ชาวเล\" ท่ีอาศัยอยใู่ นประเทศไทย บริเวณรมิ ชายฝ่ังและเกาะในทะเลอนั ดามันและชายฝั่ง ในประเทศพม่า บ้านของชาวมอแกนบางกลุ่มมีการสร้างบ้านชั่วคราวบนฝั่งทำจากใบปาล์ม ยกพื้นสูง ไม่มีระเบียง แต่ในปัจจุบันชาวเลเริ่มสร้างบ้านเรือนเลียนแบบคนบนฝั่งเป็นแบบถาวร โดยใช้ไม้จากป่าชายเลน เช่น ไม้โกงกาง หลังคามุงจาก ก้ันฝาด้วยจากหรือไมไ้ ผ่ การดำรงชีพของชาวเลพง่ึ พาการ \"จบั ปลา\" ทำประมงน้ำตน้ื และท่ีเสริมเข้า มาในยุคหลงั คือ \"รับจา้ งนายทนุ \" งมสิ่งของในทะเล เชน่ เปลือกหอย หรือรับจา้ งทว่ั ไป ชาวมอแกนมีความเช่ือเรื่อง ผีและวิญญาณ โดยเฉพาะบรรพบุรุษที่เรียกว่า \"ดะโต๊ะ\" โดยจะมีการสร้างศาลไว้เคารพบูชา และยังเชื่อว่ามี ผีปู ผีหอย,ผีไม้ ,ผนี ำ้ ฯลฯ เช่อื ว่า ผีพุง่ ใต้ หรือ ผชี นิ ชว่ ยหาปลา ช่วยบอกแหลง่ อาศัยของปลา ชาวเล เช่ือเร่ืองโชคลาง เช่ือวา่ ผีควบคุมโชคชะตา การเจ็บป่วย จงึ มหี มอผปี ระจำกลุ่มทำหนา้ ที่ทำนายโชคชะตา ดูฤกษ์ยามในการสร้างบ้าน และเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ประเพณีที่สำคัญของชาวเล คือ \"พิธีลอยเรือ\" โดยเชื่อกันว่าพิธีนี้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย ให้เรือนำความชั่วร้ายอัปมงคลออกไป โดยจะปล่อยให้เรือลอยหายไปในทะเลลึก ถ้าเรือกลับขึ้นฝั่งแสดงว่าเป็น \"ลางรา้ ย\" ต้องทำพธิ ีกันใหม่ ชาวมอแกนรู้จัก สึนามิ ในชื่อ“ละบูน” ละบูน คือ คลื่นใหญ่ที่พัดทำลายหมู่บ้าน เป็นคลื่นใหญ่ที่เกิดแบบ แปลกประหลาดเวลาเด็กลงเล่นน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ชาวมอแกนจะเตือนตลอดว่าให้ระวังละบูน พอเห็นน้ำขึ้น-ลง ผิดสังเกต ก็รีบวิ่งขึ้นที่สูงทันที แต่ว่าการเกิดละบูนตามความเชื่อของชาวมอแกนนั้น เกิดจากการกระทำของ “พญาน้ำ” พวกมอแกนเราเชือ่ วา่ ในนำ้ มพี ญานำ้ ส่วนในป่ากม็ ีพญาป่าอาศยั ถ้ามอแกนไปทำอะไรผิดกจ็ ะถูกลงโทษ อย่างละบูน นีเ่ ปน็ การลงโทษของพญานำ้ สำหรับเหตุการณ์คลื่นยักษ์พัดถล่มดังกล่าว ชาวมอแกนที่เกาะสุรินทร์เกือบทั้งหมดสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะละบูนนั้นพัดพาหมู่บ้าน เรือ และข้าวของเคร่ืองใช้ของพวกเขาหายไปในทะเล แตว่ า่ ชาวมอแกนก็เอาตัวรอด ปลอดภัยกันทุกคน ทั้งนี้ เพราะพวกเขารู้เรื่องลางบอกเหตุล่วงหน้า และมอแกนก็ระวังฝังใจกับละบูน มาโดยตลอด นอกจากนี้มอแกนยังเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องทะเลมาก ๆ เมื่อเห็นสายน้ำผิดปกติพวกเขาก็รีบขึ้นที่สูงทันที - 22 -

ในวันเกิดเหตุการณ์คลื่นยกั ษ์ ภูมิปัญญาและวีรกรรมของมอแกนในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างได้รับการยกย่อง เพราะก่อนที่จะเกิดละบูนได้มีลางบอกเหตุเตือนจากผู้เฒ่าผู้แก่ชาวมอแกน โดยเฉพาะผู้นำชาวมอแกน วันรุ่งขึ้นจึง ได้บอกให้มอแกนเฝา้ ระวัง กรณีภัยพิบัติ \"สึนามิ\" เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ชาวไทยใหม่ ซึ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางทะเลได้รับ ความเสียหายไมน่ อ้ ยเชน่ กัน แตไ่ ม่มากเท่าคนไทย ท้งั นี้เพราะพวกเขามคี วามรูจ้ นกลายเป็นสัญชาติญาณทดี่ ียง่ิ แต่ผู้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ กลับได้รับความลำบากมากกว่าคนไทยโดยทั่วไป เพียงเพราะพวกเขา (จำนวนหนึ่ง) ไม่มีหลักฐาน ความเปน็ คนไทย มอแกนมีวถิ ึชวี ติ ทีผ่ กู พนั อยู่กับทะเลมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จึงมีความเช่ียวชาญเกย่ี วกับการเดินเรือ การดู ทิศทางโดยอาศัยดวงดาว ลมและคลื่น รวมทั้งการว่ายดำน้ำและการทำมาหากินทางทะเล มอแกนก็มีความรู้ เกย่ี วกบั ปา่ และพืชพรรณไม้ท่ีหลากหลายในป่าดว้ ย เขามคี วามเชอ่ื ในเรอ่ื งของภตู ผแี ละวิญญาณบรรพบุรุษ ในเดือน เมษายนของทุกปีกลุ่มมอแกนที่กระจัดกระจายอยู่ตามเกาะต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงจะมารวมตัวกันที่หมู่เกาะ สุรินทร์เพื่อประกอบพิธี “ลอยเรือ” บวงสรวงผีและวิญญาณของบรรพบุรุษ อีกทั้งเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ ปลอดภัยและแคลว้ คลาดจากอันตรายทั้งปวง ถือได้ว่าชาวมอแกนเป็นชนเผ่าทีย่ งั คงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ด้งั เดิมไวม้ ากทส่ี ดุ ข้อมูลเบื้องต้นของชาวไทยใหม่ที่เดือดร้อนจาก \"สนึ ามิ\" สถานที่ ผูไ้ ด้รับความเดือดรอ้ น เผ่า เบ้อื งต้น (ครอบครัว) 1. เกาะสรุ นิ ทร์ 100 มอรแ์ กน 2. เกาะลันตา 59 อุลัคกาโวย้ 3. บ้านนำ้ เคม็ 100 มอร์แกน 4. บางสัก 76 มอรแ์ กน 5. ทงุ้ หวา้ 67 มอร์แกน 6. ราไวย์ 50 อุลัคกาโวย้ 7. สิเหร่ 112 อุลัคกาโวย้ 8. เกาะพระทอง 60 มอร์แกน 9. จากทอ่ี ่นื ๆ 400 - ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ชาวเลที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ ประมาณ 1,000 คน ซึ่งรัฐมีโครงการสร้าง บ้านใหม่ให้อยูซ่ ึ่งไม่ใช่ท่ดี ินเดิม แต่จะเปน็ ที่ซ่งึ อยหู่ า่ งจากทะเลออกไป (เชน่ เดยี วกับคนไทยทวั่ ไป) ชาวเลต่างยืนยัน เหมอื นกันว่าขอให้รฐั จดั ให้อยใู่ นท่ีเดมิ ถา้ ไม่ได้อยู่จะขอยอมตาย เพราะชวี ิตของพวกเราคุ้นเคยกับทะเล - 23 -

การบริการจดั การภยั พบิ ัติของชุมชนบ้านน้ำเค็ม อ.ตะก่ัวปา่ จ.พังงา สภาพทวั่ ไปและข้อมูลพน้ื ฐานสำคัญของท้องถ่นิ ตำบลบางมว่ ง ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ทต่ี ั้ง / จำนวนประชากร ทต่ี ง้ั ตำบลบางม่วง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอตะกั่วป่า ห่างจากที่ทำการอำเภอตะกั่วป่าเป็นระยะทาง 7 กโิ ลเมตร อย่หู ่างจากศาลากลางจังหวดั พังงา ไปทางทศิ เหนือประมาณ 70 กโิ ลเมตร และมอี าณาเขตติดต่อ ดงั นี้ ทิศเหนือ จดหม่ทู ่ี 1 บา้ นบางเตา่ และหมทู่ ี่ 7 บา้ นพรเุ ตยี ว ตำบลบางนายสี ทศิ ใต้ จดหมู่ที่ 1 บ้านปากวปี ตำบลคกึ คัก ทิศตะวันออก จดหมู่ที่ 5 บ้านดอกแดง ตำบลบางไทร ทศิ ตะวนั ตก จดทะเลอันดามนั เน้ือที่ ตำบลบางมว่ ง มเี นื้อท่ีทั้งหมดประมาณ 38,750 ไร่ หรอื 62 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภมู ิประเทศ ทศิ เหนือ มีลักษณะพ้ืนทีเ่ ปน็ ที่ดอนและเปน็ ทรี่ าบล่มุ ตดิ ชายฝง่ั ทะเล ทศิ ใต้ มลี ักษณะพื้นท่ีเปน็ ทีร่ าบลุม่ ตดิ เชงิ เขา ทิศตะวนั ออก มลี กั ษณะพ้ืนท่เี ป็นท่ีดอนติดเชงิ เขาและท่รี าบลมุ่ ติดชายฝ่ังทะเล ทิศตะวันตก มลี ักษณะพนื้ ท่ีเปน็ ทีร่ าบลมุ่ ติดชายฝั่งทะเลอนั ดามนั ลกั ษณะภูมิอากาศ เป็นแบบมรสุมเมืองร้อน โดยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ และลมมรสุม ตะวันออกเฉยี งเหนือ ทำใหม้ ีฝนตกเกือบตลอดท้ังปี มฤี ดูกาล 2 ฤดกู าล คือ  ฤดูร้อน เริ่มประมาณเดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลของลม มรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงพัดผา่ นอ่าวไทยเข้าสู่ฝั่งตะวันออก ทำใหช้ ายฝัง่ ตะวันตกมีฝนตกน้อย  ฤดูฝน เริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนธันวาคม โดยในช่วงนี้ชายฝั่งตะวันตกของ ภาคใต้จะไดร้ บั อิทธพิ ลของลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ ซงึ่ พัดผ่านมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ภาคใต้ เนื่องจากเป็นลมที่พัด ผ่านทะเลมาตลอดเปน็ มวลอากาศทม่ี ีความชน่ื สงู ทำใหฝ้ นตกชุก ประชากร จำนวน 1,048 ครัวเรือน ชาย 1,857 คน หญิง 1,880 คนรวม 3,737 คน เด็ก ชาย 131 คน หญิง 128 คน รวม 259 คน คนชรา ชาย 173 คน หญิง 186 คน รวม 359 คน แรงงานต่างดา้ ว ชาย 465 คน หญิง 240 คน รวม 705 คน การประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ประมง กบั รับจา้ งทัว่ ไปเป็นหลัก ส่วนท่เี หลอื จะมีธุรกจิ ส่วนตวั เช่นค้าขายหรอื ธรกจิ เกีย่ วกบั การทอ่ งเทยี่ ว - 24 -

ความเสย่ี งต่อภัยพิบตั ิ 1. ภัยสึนามิ ชุมชนบ้านน้ำเค็ม หมู่ที่ 2 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เป็นพื้นเสี่ยงภัยจากสึนามิ พายุ และอุทกภัย ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชพี ประมงและรับจ้างทั่วไปเป็นหลกั เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ชุมชนประสบภัยจาก คลื่นสึนามิ โดยเป็นชุมชนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดในพื้นที่ประสบภัย 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันของ ประเทศไทย ได้รับความเสียหายทั้งทางด้านทรัพย์สินและชีวิต มีผู้เสียชีวิตประมาณ 860 คน เนื่องจากก่อนเกิด เหตกุ ารณส์ ึนามชิ ุมชนไม่เคยมีการเตรยี มความพร้อมรับมือกบั ภัยพิบตั ิ ไมม่ กี ารแจ้งเตอื นภยั และ แผนในการรับมือ กบั ภยั พิบัติและอพยพมาก่อน เหตุการณ์สึนามิครง้ั นั้นจึงสรา้ งความเสียหายจำนวนมากให้กับชุมชนบ้านน้ำเค็มเป็น อันมาก 2. ภัยแลง้ พื้นที่ชุมชนบ้านน้ำเค็มมีการใช้น้ำจากระบบประปาของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาตะกั่วป่า ซ่ึง ส่งผลให้ชุมชนมีความเสี่ยงภัยแล้งในระดับต่ำ และจากฐานข้อมูลการจัดทำโครงการการจัดการภัยพิบัติ โดย อาศัยชุมชนเป็นฐาน Community Based Disaster Risk Management (CBDRM) ของสำนักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา พบว่า ในห้วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 พื้นที่ชุมชนบ้านน้ำเค็มได้ประสบปัญหา การขาดแคลนน้ำเพือ่ การอปุ โภคบริโภค สาเหตเุ กิดจากสถานการณ์ฝนทท่ี งิ้ ชว่ งเปน็ ระยะเวลานานส่งผลให้ครวั เรือน บางหลังที่ใช้ระบบบ่อบาดาลมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอแก่การอุปโภคบริโภค จำนวน ๒๐ ครัวเรือน ทั้งนี้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่(อบต.บางม่วง) ได้นำน้ำใส่รถดับเพลิงและนำไปแจกจ่ายยังภาชนะกักเก็บน้ำของ ครัวเรือนและภาชะกักเก็บน้ำของชุมชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ ประชาชน - 25 -

3. อุทกภัย กรณีน้ำทะเลหนุนสงู จากฐานข้อมูลการรายงานสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดพังงา ของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จงั หวัดพังงา พบว่า เมื่อช่วงเดือนสงิ หาคม พ.ศ. 2561 ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พดั ปกคลุมทะเลอนั ดามัน ส่งผล ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในพื้นที่ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำเอ่อล้นไหลเข้าท่วมบ้านเรือน ประชาชนกวา่ 20 ครัวเรือน สว่ นวงรอบปฏทิ นิ ภยั ประจำปี พบวา่ พนื้ ท่ีชมุ ชนบา้ นน้ำเคม็ ไม่มสี ถานการณ์อุทกภัยที่ มีสาเหตุมาจากสถานการณ์ฝนตกหนักหรือน้ำป่าไหลหลาก เนื่องจากชุมชนบ้านน้ำเค็ม เป็นพื้นที่ติดทะเลส่งผลให้ แหลง่ นำ้ สาธารณในพนื้ ทสี่ ามารถระบายนำ้ ได้ดี 4. การกดั เซาะชายฝั่ง ในช่วงฤดูมรสุมของฝั่งทะเลอันดามัน ห้วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี ลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงใต้ มีอทิ ธพิ ลต่อการเปล่ยี นแปลงแนวชายฝง่ั ตามธรรมชาติ ในรอบ ปี ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการกัดเซาะแนวชายฝั่งของหาดบ้านน้ำเค็ม ตามระบบหาดบ้านน้ำเค็ม (T7D191) ของ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลักษณะคลื่นบริเวณชุมชนบ้านน้ำเค็มเป็นคลื่นงัดทราย และกระแสน้ำชายฝั่ง ไหลไปทางทิศเหนือ จงึ ทำให้เกิดแนวคลน่ื กัดเซาะชายฝงั่ บริเวณชายหาดบ้านนำ้ เค็ม และบริเวณท่าเรือข้าม ฟากบ้านนำ้ เคม็ แต่เปน็ ไปในลักษณะของการกัดเซาะที่ไม่รนุ แรงและยังไม่ปรากฎว่า มีครวั เรอื นได้รบั ผลกระทบ จากสถานการณ์การกัดเซาะชายฝ่ังดงั กลา่ ว ๕. อคั คีภัย จากฐานข้อมูลการจัดทำโครงการการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน Community Based Disaster Risk Management (CBDRM) ของสำนกั งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา พบวา่ วงรอบ ของปฏิทินภัยในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี พื้นที่ชุมชนบ้านน้ำเค็มมีความเสี่ยงในการเกิด สถานการณ์อัคคีภัย โดยจากข้อมูลการเกิดภัย พบว่า เมื่อช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 เกิดสถานการณ์ ไฟไหม้ป่าละเมาะในพื้นที่บ้านน้ำเค็ม และเพลิงได้ลุกลามไหม้สวนปาล์มน้ำมัน และสวนมะม่วงหิมพานต์ สร้าง ความเสยี หายจำนวนกว่า 200 ไร่ นอกจากนี้ ชุมชนบ้านนำ้ เค็มยังเป็นชุมชนท่ีมีอัตราความหนาแน่นของประชากร ต่อพื้นที่พักอาศัยที่หนาแน่นและกระจุกตัว โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชุมชน ซึ่งถือเป็นพื้นที่เสี่ยงอีกแห่งหนึ่งต่อ สถานการณ์อัคคภี ัยในท่ีพกั อาศัยและอาจเกดิ การลุกลามของอคั คภี ยั ไปยงั พื้นที่อนื่ ได้ การดำเนินการของชมุ ชน หลงั เหตุการณ์สึนามิ คนในชุมชนบา้ นน้ำเค็มยังคงอยู่ท่ามกลางความสูญเสีย ไมม่ ีความสุข ไม่มีความม่ันคงใน การอยู่อาศัยในพื้นที่บ้านน้ำเค็ม ประชาชนบางส่วนขายบ้าน ขายที่ดิน ขายเรือที่เคยประกอบอาชีพประมง แล้วย้ายไป อาศัยในพื้นที่อื่น เพราะมีความกลัวและหวาดผวาว่าเหตุการณ์สึนามิหรือภัยพิบัติอื่น ๆ จะเกิดขึ้นมาอีก แล้วจะได้รับ ความเสียหายรุ่นแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จากสภาพปัญหาดังกล่าว จึงเกิดการรวมกลุ่มกันของชาวบ้านที่ประสบ ภยั ในชุมชนบ้านน้ำเค็ม พดู คยุ หารือกนั ผ่าน “สภากาแฟชุมชนสายสัมพันธ์” ซงึ่ เปน็ วงกาแฟประจำชุมชน ลงหุ้นคนละ 100 บาท เอาไว้เปน็ ทร่ี วมคนนัง่ คน เพื่อหารอื กันว่าจะอยู่กันอยา่ งไรให้ไร้กังวล ไมห่ วาดผวา อยู่อย่างสุขใจ”เพ่ือ หาแนวทางแก้ปัญหาและทำให้คนในชุมชนใชช้ วี ิตได้อย่างมีความสุขแม้อาศัยอยู่ในพ้นื ท่ีเสี่ยงภัยและทำอย่างไรที่จะ ให้ชมุ ชนมีความพร้อมกบั การรับมือภยั พิบตั ใิ นทุกรปู แบบท่ีอาจเกิดขน้ึ ดว้ นหลัก “รวมพลัง รวมคน ลกุ ข้นึ สู้ ร่วมคิด ร่วมทำ” โดยมีขน้ั ตอนและวิธดี ำเนินการ ดงั น้ี - 26 -

1) การค้นหาอาสาสมัคร โดยการรวมคนหลังเกิดภัยเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในชุมชน เริ่มจาก การรวมกลุ่มกันของชาวบ้านที่ประสบภัยในชุมชนบ้านน้ำเค็ม พูดคุยหารือแนวทางแก้ปัญหาผ่าน “สภากาแฟ” และหา อาสาสมัครเพื่อเป็นแกนนำในการสร้างความเข้าใจกับคนในชุมชน จากผู้ที่เคยประสบภัยสึนามิกลายมาเป็นอาสาสมัคร โดยดำเนนิ การในรูปแบบคณะกรรมการชมุ ชน 2) การจัดทำข้อมูลชุมชน โดยการประชุมกลุ่มย่อยและลงพ้นื ทีจ่ ัดเก็บแบบสำรวจ เพอ่ื ใหช้ มุ ชนรู้ถึงทรัพยากร ด้านต่างๆ ที่ชุมชนมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทุนทางสังคม การเงิน สิ่งแวดล้อม กายภาพต่างๆ ข้อมูลทุกอย่างที่มีประโยชน์ต่อ การวิเคราะห์ความเสี่ยงของการเกิดภัย จุดปลอดภัย ปัญหา อุปสรรค เช่น ข้อมูลประชากร ผู้สูงอายุ ผพู้ กิ าร เด็กคนทอ้ ง ข้อมลู ถนน สะพาน สง่ิ ปลูกสรา้ ง รถ ถังแกส๊ ขอ้ มูลต่างๆ ทอ่ี าจเสยี่ งตอ่ การเกิดภยั และทำแผนท่ชี มุ ชน 3) การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำแผน หลังจากได้ข้อมูลและมีอาสาสมัครแล้ว จึงเริ่มร่างแผน โดยช่วยกันแลกเปลี่ยน วิเคราะห์ข้อมูล ร่วมสรุปเพื่อเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน จนเกิดปฏิทินภัยพิบัติและแผน เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบตั ิชุมชน - 27 -

4) การพัฒนาอาสาสมัคร เมื่อเกิดแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติของชุมชนแล้ว อาสาสมัครต้องมี บทบาท หน้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การจัดการจราจร การอพยพหลบภัย การเฝ้าระวัง การวิเคราะห์ภัย การแจ้งเตือนภัย และการกู้ชีพ เป็นต้น จึงต้องพัฒนาอาสาสมัครเหล่านั้นให้มีความรู้ความชำนาญและสามารถดำเนินการตามแผนได้ โดยการสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในการจัดฝึกอบรม หลักสูตรอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และหลักสูตรเครือข่ายการแจ้งเตือนภัยพิบัติภาคประชาชน เพอ่ื พัฒนาศักยภาพอาสาสมัครของชมุ ชนบา้ นน้ำเค็ม 5) สร้างภาคีความร่วมมือ เมื่อเกิดแผนเตรียมความพร้อมซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยบ้านน้ำเค็มแล้ว ไดน้ ำแผนไปพัฒนาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย องค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อำเภอ และองค์กรภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แผนมี คุณภาพและเกิดความร่วมมือกับภาคสว่ นต่างๆ ท่มี ีองค์ความรู้ และมีงบประมาณในการสนับสนุน 6) การรณรงค์และสร้างความตระหนักใหก้ ับสมาชิกในชุมชน โดยนำแผนทผ่ี ่านการกลัน่ กรองของกรรมการ และภาคีความร่วมมือแล้วกลับไปให้ชุมชนทำประชาพิจารณ์เพื่อลงมติรับรองแผน ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ใน กระบวนการขับเคลื่อนแผน เพราะหากชุมชนไม่เห็นความสำคัญของแผนก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เมื่อแผน เสร็จ สมบูรณ์ จะสามารถสร้างความตระหนักให้กับคนในชมุ ชน โดยทีมอาสาสมัครและผู้เกี่ยวข้อง ร่วมรณรงค์ในวาระ งานตา่ ง ๆ ของชมุ ชน เช่น งานประเพณี งานบุญ และงานกศุ ลในทุกโอกาส - 28 -

7) การดำเนินการตามแผนและนำเสนอแผนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยสนับสนุน เป็น การเสนอนโยบายเรื่องแนวทางการเตรียมชุมชนเพื่อรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะขั้นตอนการขับเคลื่อนแผน ให้กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับการสนับสนุนและขับเคลื่อนแผนของชุมชน เช่น การมีป้ายบอกทางหนีภัย การติดต้ัง อุปกรณ์แจ้งเตือนภัยในชุมชน การมีวิทยุสื่อสารสำหรับอาสาสมัคร เป็นต้น และการดำเนินกิจกรรมตามแผน เช่น การฝึกซ้อม การอพยพหลบภัย การทำป้ายบอกเส้นทางอพยพ ทุกบ้านต้องเตรียมกระเป๋าวิเศษเพื่อเก็บเอกสาร สำคญั พรอ้ มสำหรับการอพยพหลบภยั ข้อตกลงรว่ มกนั ของชมุ ชน เป็นต้น 8) ติดตามและประเมินผลเพื่อปรับปรุงแผน มีการติดตาม ประเมินผลและบันทึกผล ทั้งปัญหา อุปสรรค เพอื่ นำผลกลับมาปรับปรุงแผนให้มปี ระสิทธภิ าพมากขนึ้ - 29 -

9) สร้างอาสาสมัครรุ่นใหม่และรักษาอาสาสมัคร การค้นหาอาสาสมัครรุ่นใหม่ในชุมชนให้เข้ามา มีส่วนร่วมในโครงการ โดยจัดทำกิจกรรมของส่วนรวมในชุมชน เพื่อสร้างจิตอาสา เช่น การออกไปช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยนอกพื้นท่ีที่มีการต้องการอาสาสมัคร และเข้าร่วมแลกเปลี่ยนกับอาสามสมัครจากพื้นที่อื่น ๆ ในเวที ตา่ ง ๆ เพ่ือขยายและเรียนรู้ไปสพู่ ้ืนทอี่ น่ื ๆ 10) จัดตัง้ ศูนยเ์ ตรียมความพรอ้ มรับมือภัยพิบตั ิชุมชนบา้ นน้ำเคม็ จดั ต้งั ศูนยเ์ ตรยี มความพรอ้ มรับมือภัย พบิ ตั ิชมุ ชนบ้านน้ำเค็ม เปน็ ท่รี วบรวมขอ้ มูล ส่งั การใหช้ าวบ้านในชุมชนรบั ทราบหากมีการแจ้งเตือนภยั สึนามิ หากมี ข้อมูลการแจ้งเตือนเรื่องแผ่นดินไหวจะมีการรวมตัวกันประชุมที่ศูนย์นี้แล้วประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมความ พร้อมและจัดหาเครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติ เช่น เรือ สุขา เครื่องครัว สร้างความยั่งยืนและช่วยเหลือกันเอง โดยมีการบริหารจัดการศูนย์ในรูปคณะกรรมการ จนกลายเป็นเป็นศูนย์ชุมชนต้นแบบจัดการภัยพิบัติและขยายผล การดำเนินการของศูนย์เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติไปยังชุมชนเสี่ยงภัย ในจังหวัดพังงาและชุมชนอื่น ๆ ในประเทศไทย เพื่อสร้างความตระหนักให้ชาวบ้านสามารถรับมือภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืนด้วยหลัก “ประสบภัย ประสบการณ์ ประสานเพื่อน” โดยเครือข่ายได้ออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ภายในประเทศทุกภัยที่เกิดขึ้น เช่น นำ้ ท่วมภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต้ และกรงุ เทพมหานครดว้ ย - 30 -

ปญั หาอุปสรรคในการดำเนินการและแนวทางแก้ไขปัญหาอยา่ งไร การจัดการความรู้ของชนุ บ้านน้ำเค็มในช่วงของการเตรียมความพรอ้ ม ส่วนใหญจ่ ะเป็นรูปแบบของการจดั กิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ซึ่งพบว่า ยังมีปัญหาต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในการจัดการความรู้รว่ มกนั ของชุมชน คอื 1) ในชว่ งแรกของการดำเนินโครงการ ชาวบ้านไม่รบั ฟังชาวบ้านที่เป็นอาสาสมัครดว้ ยกันเอง เพราะก่อนหน้านี้ ชาวบ้านจะรอแต่เจ้าหน้าที่รัฐมาช่วยเหลือเท่านั้น จึงแก้ไขปัญหาโดยการให้ทีมอาสาสมัครเข้ารับการอบรมเป็น อาสาสมัครป้องกนั ภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ที่มเี คร่อื งแบบคล้ายกับเจ้าหน้าท่ีรฐั ชาวบา้ นจงึ เริ่มเช่ือฟงั และทำตาม ทมี อาสาสมัครมากขึน้ 2) ชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือในการซ้อมแผนเตรียมความพร้อมและอพยพหลบภัย ไม่ยอมซ้อมว่ิง เพราะเกรงว่าทรัพย์สินในบ้านจะสูญหายระหว่างการฝึกซ้อมแล้วไม่มีใครสามารถรับผิดชอบทรัพย์สินของเขาได้ จึง แก้ปญั หาโดยการจัดทีมงานที่จะเป็นคนเฝา้ ทรัพย์สนิ ใหช้ าวบ้าน หลงั จากนั้นชาวบา้ นกใ็ ห้ความร่วมมือ 3) ความขัดแย้งต่าง ๆ ของคนในชุมชน ประเด็นปัญหาสำคัญของชุมชนบ้านน้ำเค็มน้ัน มที ่มี าจากหลายสาเหตุ เชน่ ทศั นคติต่อผู้นำ ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ต่าง ๆ เปน็ ปัญหาที่เกิดข้ึนจากความขัดแย้ง ทั้งในระหว่างชุมชน กบั หน่วยงานภายนอก อยา่ งไรกต็ ามแมว้ ่าจะมีความขัดแย้งเกิดข้ึน แตช่ มุ ชนกม็ ีวธิ ีการจัดการกับปัญหา โดยใช้การ จัดการความรู้เป็นการลดความขัดแย้ง เช่น การใช้การประชุมเป็นเครื่องมือให้ชุมชนหันหน้าเ ข้ามาหากันในการ แก้ปญั หา 4) กลุ่มคนชายขอบ ชาวเล แรงงานต่างด้าว ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ เพราะอุปสรรคทางด้านภาษา ตลอดจนอคติทางชาติพันธุ์ แต่ชุมชนมีวิธีการจัดการโดยขอความร่วมมือองค์กรพัฒนาเอกชน องค์การระหว่างประเทศ เพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) ที่เข้ามาดำเนินการจัดกิจกรรมให้แรงงาน ตา่ งด้าวมีการเรียนรู้ และจดั การความร้ใู นรูปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กจิ กรรมวอร์คแรลล่ี นำแกนนำของแรงงานต่าง ด้าว ชาวเล เข้าร่วมเปน็ กรรมการในการประเมนิ ความเสี่ยงของชุม ผลผลิต/ผลลพั ธ์ ของการดำเนนิ การท่ีสำคัญ การดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติบ้านน้ำเค็ม ชุมชนต้นแบบด้านการเตรียมความ พร้อมรบั มือภัยพิบตั ิ มผี ลลพั ธ์ตามวตั ถุประสงค์ และเปา้ หมายตามตัวช้ีวัด ดงั นี้ 1) ประชาชนในพื้นทีช่ มุ ชนบ้านน้ำเค็มมีความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยมีแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ ของชมุ ชน 2) ชุมชนบ้านน้ำเค็มมีการซ้อมอพยพหลบภัยปีละสองครั้งและสามารถใช้เวลาอพยพได้ในเวลาเพียง 15 - 17 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวบ้านจะสามารถเอาชีวิตรอดหากเกิดเหตุสึนามิขึ้นได้ เนื่องจากการวิเคราะห์ระยะห่าง และการเดินทางของคลื่น ถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ จะใช้เวลา 40 นาที หลังจาก แผ่นดินไหว โดยชาวบ้านได้ทำสถิติเวลาฝึกซ้อมได้ดีกว่าการฝึกซ้อมช่วงแรก ๆ ที่ใช้เวลาซ้อมเกือบ 30 นาที จงึ ทำให้ชาวบา้ นในชุมชนบ้านน้ำเค็มมคี วามม่นั ใจว่า หากเกิดสนึ ามิทุกคนตอ้ งสามารถเอาชวี ติ รอดได้ 3) ชุมชนบ้านน้ำเค็มจัดทำข้อมูลเส้นทางอพยพหนีภัย ทั้งหมด 5 เส้นทาง และป้ายอพยพหนีภัยสึนามิ ในทุกระยะ 30 เมตร โดยถูกออกแบบจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเอง (ต่างจากป้ายท่ีหน่วยงานรัฐทำให้เพราะ เสน้ ทางไมช่ ดั เจนและสร้างความสับสนให้ชาวบ้านว่าจะวงิ่ ไปเส้นทางไหน) 4) ชุมชนบ้านน้ำเค็มกำหนดสถานที่อพยพหลบภัยที่ปลอดภัย 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านน้ำเค็มและวัดบ้าน น้ำเคม็ โดยจากการมีส่วนรว่ มของคนในชุมชน 5) ชุมชนต้นแบบด้านการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติบ้านน้ำเค็ม ขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยง 16 ตำบล (30 ชุมชน) ในจงั หวดั พงั งา - 31 -

6) ชุมชนต้นแบบด้านการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติบ้านน้ำเค็ม ขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ - จังหวดั อบุ ลราชธานี : พ้ืนท่นี ้ำทว่ มซ้ำซาก คูสว่างโมเดล เร่ืองบา้ นพกั ช่วั คราวถอดประกอบ - จังหวัดนครราชสีมา ต.กระเบื้องใหญ่ : กองทนุ เมล็ดพันธ์ แผนจดั การนำ้ - จงั หวัดปทุมธานี : เครือข่ายสิง่ แวดล้อมปทมุ แผนเตรยี มรับมือตน้ น้ำกลางน้ำ การดดี บา้ น บ้านลอยนำ้ - อา่ วตัว ก. กรุงเทพมหานคร บางขุนเทยี นและสมุทรสาคร : การจัดการภยั พิบตั ิ การกัดเซาะชายฝั่ง เข่ือนไม้ ไผ่ และการเฝ้าระวงั นำ้ จากแม่นำ้ เจ้าพระยา - จังหวัดกระบี่ ตำบลเขาพนม ภูเขาถล่ม : การเฝ้าระวงั และแจ้งเตือน ต้นน้ำ กลางน้ำ ด้วยระบบอาสาสมัคร วทิ ยสุ อื่ สาร - จงั หวดั สงขลา ต.ทา่ หนิ : มรี ะบบขอ้ มูล อาชีพ จดุ เลย้ี งสัตว์ อาสาสมัครเตือนภัย อา่ นคา่ ดาวเทยี ม อา่ นแผน ทพี่ ยากรณ์อากาศเองได้ - จงั หวดั สตลู ตำบลขอนคลาน สร้างความรว่ มมือ ทอ้ งถนิ่ ทอ้ งท่ี ทำแผนรับมอื น้ำท่วมและสึนามิ 7) เครือข่าย/อาสาสมัครชุมชนต้นแบบด้านการเตรยี มความพร้อมรับมือภัยพิบัติบา้ นน้ำเค็มจดั ทีมปฏิบัติการ ให้การชว่ ยเหลือผู้ประสบภัยทั่วประเทศ ไดแ้ ก่ - เหตกุ ารณ์น้ำทว่ มจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2560 : นำสิง่ ของจำเป็นและเรือกูภ้ ยั ไปชว่ ยเหลือเหลือ น้ำทว่ มในพ้นื ท่ตี ำบลท่าเสด็จ อำเภอชะอวด ต้ังครวั กลางและศนู ย์ประสานงานผูป้ ระสบภยั ตำบลเกาะขันธ์ อำเภอชะ อวด - เหตกุ ารณ์นำ้ ทว่ มดินสไลด์ อำเภอบางสะพาน ปี พ.ศ. 2560 : จดั ระบบการชว่ ยเหลือในพื้นทจี่ ากภายนอกโดยให้ นกั ศึกษามหาวิทยาลัยรงั สติ ทำการเกบ็ ข้อมูลความเสยี หายเบอ้ื งต้น เพือ่ กำหนดผ้ไู ด้รับความเสยี หายที่แทจ้ ริง - เหตุการณน์ ้ำทว่ มจงั หวดั นครราชสมี า ปี พ.ศ. 2563 จัดตง้ั ครวั กลางเพือ่ แจกจา่ ยอาหารให้ผู้ประสบภัย 8) ชุมชนบ้านน้ำเค็มสามารถเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างเป็นระบบ ได้แก่ กรณีเหตุการณ์พายุปาบึก ชาวประมงพื้นบ้านที่หาดแหลมสน บ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เตรียมรับมือกับพายุปาบึก โดยชาวบ้านได้ขน เคร่อื งมือประมงเก็บไวท้ ีช่ ายฝ่ังและย้ายเรือไปจอดในสถานที่ปลอดภยั ในคลองบางม่วง 9) ประชาชนในพื้นที่ชุมชนบ้านน้ำเค็มและในจังหวัดพังงามีความสุขมากขึ้น จากผลการสำรวจสถานการณ์ สุขภาพจิตคนไทยในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 และการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนตลอดปี 2552-2553 พบว่า จังหวัดพังงาครองแชมป์จังหวัดที่มีความสุขมากที่สุดต่อเนื่องกัน 2 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ผล การสำรวจของเอแบคโพลระบุว่า พังงาเป็นจังหวัดที่ประชาชนอยู่แล้วมีความสุขเป็นอันดบั ที่ 3 ในปี พ.ศ. 2555 และปี พ.ศ. 2556 สว่ นปี พ.ศ. 2557-2563 จงั หวดั พังงาได้เปน็ อันดับสอง จงั หวัดพังงาตดิ 1 ใน 3 ของจงั หวัดที่มีความสุข มากที่สดุ ตอ่ เน่ืองหลายปี ล้วนมาจากปัจจยั ต่าง ๆ ท้งั ทรพั ยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ประเพณีวัฒนธรรมท่ีดีงาม ผู้คนมีอาชีพมั่นคงอยู่อย่างพอเพียง และมีกระบวนการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมและสร้างชุมชนพร้อมรับมือภัยพิบัติ ของภาคประชาชนในจงั หวดั อย่างต่อเนือ่ ง ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการดำเนนิ การของชุมชน 1) ประชาชนในชุมชนุ บ้านน้ำเค็ม จำนวน 1,566 ครัวเรอื น 4,724 คน แรงงานต่างด้าวในพื้นที่อีกกว่า 1,000 คนตระหนักถึงความปลอดภยั และมกี ารปรบั ตวั เมื่อไดร้ ับการแจง้ เตือน 2) รายได้ของครัวเรือนประชากรในจังหวัดพังงา รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงขึ้นในรอบ 3 ปี โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.10 ในปี 2558 ร้อยละ 1.78 และร้อยละ 0.46 ในปี 2557 และปี 2556 พิจารณาจากผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GRP per capita) เนื่องจากมีความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ประกอบอาชีพ เพราะชุมชนมีความเข็มแข็งและการ เตรียมพร้อมรับมือกบั ภัยพิบัติในทุกสถานการณ์ - 32 -

3) มูลค่าความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติในจังหวัดพังงา 3 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ.2556 – 2558) มีแนวโน้มลดลง เปน็ ผลมาจากการมีชมุ ชนเตรียมรับมือภยั พิบัติในจังหวัดพังงา ลำดบั ประเภท ปี 2556 ปี 2557 ปี 2558 ความเสยี หาย (บาท) ครง้ั ความเสยี หาย (บาท) ที่ ภัย คร้ัง ความเสียหาย (บาท) ครั้ง 7,800,900 3 50,000 1 อุทกภยั 3 4,610,598 2 - -- 2 25,000 2 อัคคีภัย 2 350,000 - 258,000 3 7,000 - 8 82,000 3 วาตภยั 7 40,500 9 8,058,000 4 ภัยแล้ง - - - 12 5,001,089 11 ท่ีมา : สำนกั งานปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา - 33 -

ส่วนท่ี ๔ ๑) แนวทางการปฏิบตั ิทด่ี ี (Best Practice) ความเหมือนและความตา่ งระหวา่ งชมุ ชนบา้ นนำ้ เคม็ และชมุ ชนชาวมอแกน อำเภอตะกั่วปา่ จังหวัดพงั งา 1. ชมุ ชนชาวมอแกนมีความเชื่อเร่ืองภูตผีปีศาจมาต้ังแตส่ มัยบรรพบรุ ุษ ซึ่งเปน็ การเรียนรู้จากธรรมชาติทำให้ สามารถมชี ีวติ รอดและรับมือกบั ภยั พิบัตทิ เี่ กดิ ขึน้ รวมทง้ั ลดผลกระทบและความสญู เสียท่ีเกิดขนึ้ ได้ 2. ชุมชนชาวมอแกนมีความเชี่ยวชาญทางทะเล โดยวิธีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จากนั้น แจ้งเตือนภัยให้กับสมาชิกในชุมชนรวมถึงนักท่องเที่ยวในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ให้อพยพหนีภัยไป ใน พ้ืนทีป่ ลอดภัย ทำใหส้ ามารถช่วยชีวิตใหท้ กุ คนรอดชีวิตจากภยั สึนามิ 3. ชุมชนชาวมอแกนมีสัญชาตญาณในการระแวดระวังภัย ซึ่งเป็นการเรียนรู้และรับมือกับภับพิบัติทาง ธรรมชาตทิ ่ีจะเกิดขึ้น 4. องค์ความรู้ในการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ทำให้ชุมชนชาวมอแกนสามารถคาดการณ์การ เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ล่วงหน้า ทำให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ลดการสูญเสียทาง ชีวิตและทรัพยส์ นิ ๒) ข้อเสนอแนะ จากการที่กลุ่มรักษ์ทะเลได้ศึกษาวิธีการรับมือและการจัดการภัยพิบัติของชุมชนบ้านน้ำเค็มและชุมชน ชาวมอแกน จงั หวดั พังงา เกิดความคิดว่าสามารถนำองค์ความรู้ของทั้ง 2 ชมุ ชนมาขยายผลต่อยอดไปยังพ้ืนท่ีเสี่ยงภัยใน พื้นที่อื่นๆ ได้อย่างไร เพื่อให้ทั้ง 2 ชุมชนน้ีเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ให้แก่พื้นที่อื่นๆ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดทำคู่มือ/ขั้นตอนการปฏิบัติในการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง ให้กับชุมชนในพื้นที่ต่างๆ และภัยหลากหลายประเภท เพื่อให้การจัดการความรู้ภายในชุมชนนี้สามารถสร้างเครือข่าย สรา้ งความเข้มแข็งในชุมชนให้สามารถดูแลและชว่ ยเหลือตนเองได้ 2.หน่วยงานภาครัฐควรสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติเบื้องต้นให้กับชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้ คนในชุมชนสามารถชว่ ยเหลือตนเองและดแู ลตนเองได้ในเบื้องต้นก่อนได้รับการชว่ ยเหลือจากภาครัฐ 3. หนว่ ยงานภาครัฐควรสนับสนุนให้ชุมชนมีการจัดตั้งครัวกลางในพื้นท่จี ุดอพยพหรือพื้นที่ปลอดภัย เนื่องจาก การเกิดภัยพิบัติในแต่ละครั้งเส้นทางการสัญจรอาจได้รับผลกระทบ ทำให้การให้ความช่วยเหลือของภาครัฐและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความล่าช้า การจัดตั้งครัวกลางนี้จะสามารถทำให้ชาวบ้านสามารถช่วยเหลือตนเองได้ใน เบอ้ื งตน้ ระหวา่ งรอรบั การให้ความชว่ ยเหลือจากภารรฐั และหนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้อง 4. หน่วยงานภาครฐั และหน่วยงานที่เก่ียวข้องควรผลักดนั ให้มีการบรรจวุ ิชาองค์ความรู้ในการจัดการความเสี่ยง สาธารณภัยโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน (CBDRM) เป็นหลักสูตรพื้นฐานในโรงเรียน เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ เยาวชนใหม้ ีความตื่นตัว เรียนรู้การรับมือกับภยั พิบัติและเป็นการสร้างครือข่ายในระยะยาวต่อไป ๕. การจัดซอ้ มแผนอพยพหนีภัยจากสึนามิ ทง้ั แผนชมุ ชน แผนอำเภอ หรือแผนจังหวัด ควรเชิญชุมชนชาว มอแกนเข้ามาร่วมการฝกึ ซ้อมแผนดว้ ย เพอื่ รว่ มเรียนรู้การจดั การและการรับมือกับภัยพิบัติ เนอ่ื งจากปจั จุบันชุมชน ชาวมอแกนยังไมไ่ ดเ้ ขา้ มามสี ่วนรว่ มในการจดั การภยั พบิ ัติในพน้ื ทเี่ ทา่ ทค่ี วร - 34 -

๖. ใหช้ มุ ชนชาวมอแกนรว่ มเป็นเครอื ขา่ ยในการแจ้งเตือนภยั พบิ ตั ิของชุมชนในพน้ื ที่ เนอ่ื งจากองค์ความรู้ที่ ฝังลึกของชุมชนชาวมอแกนในการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสัญญาณการแจ้งเตือนการเกิดภัย ธรรมชาติที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จะเป็นข้อมูลในการแจ้งเตือนภัยให้แก่ชาวบ้านในชุมชน ซึ่งการแจ้งเตือนภัยโดย เครอื ข่ายและผ้นู ำชุมชนร่วมกับการแจ้งเตือนภัยจากภาครัฐและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง จะทำใหช้ ุมชนสามารถต้ังรับ กับภัยพบิ ัติทีก่ ำลงั จะเกดิ ข้ึนไดอ้ ยา่ งทันทว่ งที และสามารถลดผลกระทบและความสูญเสยี ที่อาจเกิดขน้ึ ได้ - 35 -

คณะผ้จู ัดทำ 1. นายเกียรติศักด์ิ จุรเุ ทยี บ นักทรพั ยากรบคุ คลชำนาญการ 2. นางสาวฉัตรระพี ประดษิ ฐ์สาร นกั วิเทศสัมพันธช์ ำนาญการ 3. นายนพัศม์ บุณยมาลิก นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ 4. นางสาวนารีรัตน์ ศรภี ักดิ์ นักวิเคราะหน์ โยบายและแผนชำนาญการ 5. นางสาวปยิ ะพมิ พ์ กติ ิสุธาธรรม นกั วเิ คราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ 6. นางพิมพ์ชนก ศรจี นั ทรท์ อง นกั วเิ คราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ 7. นายรณรงค์ ยลไชย เจ้าพนักงานปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั ชำนาญการ 8. นางสาวสลุ าวัลย์ แกว้ สง่า นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ - 36 -

- 37 -

ภาคผนวก - 38 -

แผนเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกนั ภยั พบิ ตั ชิ ุมชน บ้านน้าเคม็ สภาพท่ัวไปและข้อมูลพื้นฐานสาคัญของท้องถิ่น ตาบลบางม่วง 1. ข้อมูลเกยี่ วกบั ท่ตี ้งั / จานวนประชากร 1.1 ท่ีต้งั ตำบลบำงมว่ ง ต้งั อยทู่ ำงทิศตะวนั ออกของอำเภอตะกวั่ ป่ ำ ห่ำงจำกท่ีทำกำรอำเภอตะกว่ั ป่ ำ เป็นระยะทำง 7 กิโลเมตร อยหู่ ่ำงจำกศำลำกลำงจงั หวดั พงั งำ ไปทำงทิศเหนือประมำณ 70 กิโลเมตร และมี อำณำเขตติดตอ่ ดงั น้ี ทิศเหนือ ➢ จดหม่ทู ี่ 1 บำ้ นบำงเตำ่ และหมทู่ ี่ 7 บำ้ นพรุเตียว ตำบลบำงนำยสี ทิศใต้ ➢ จดหมู่ที่ 1 บำ้ นปำกวีป ตำบลคกึ คกั ทิศตะวนั ออก ➢ จดหมู่ท่ี 5 บำ้ นดอกแดง ตำบลบำงไทร ทิศตะวนั ตก ➢ จดทะเลอนั ดำมนั 1.2 เนื้อท่ี ตำบลบำงมว่ ง มีเน้ือท่ีท้งั หมดประมำณ 38,750 ไร่ หรือ 62 ตำรำงกิโลเมตร 1.3 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ทิศเหนือ  มีลกั ษณะพ้นื ที่เป็นที่ดอนและเป็นที่รำบลุ่มติดชำยฝั่งทะเล ทิศใต้  มีลกั ษณะพ้ืนท่ีเป็นที่รำบลุ่มติดเชิงเขำ ทิศตะวนั ออก  มีลกั ษณะพ้ืนท่ีเป็นที่ดอนติดเชิงเขำและที่รำบล่มุ ติดชำยฝั่งทะเล ทิศตะวนั ตก  มีลกั ษณะพ้ืนท่ีเป็นที่รำบลุ่มติดชำยฝั่งทะเลอนั ดำมนั 1.4 ลกั ษณะภูมิอากาศ เป็นแบบมรสุมเมืองร้อน โดยไดร้ ับอิทธิพลของลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงใต้ และลมมรสุม ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทำใหม้ ีฝนตกเกือบตลอดท้งั ปี มีฤดูกำล 2 ฤดูกำล คอื  ฤดูร้อน เร่ิมประมำณเดือนมกรำคม ถึงเดือนเมษำยน เป็นช่วงที่ไดร้ ับอิทธิพลของลม มรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงพดั ผ่ำนอ่ำวไทยเขำ้ สู่ฝ่ังตะวนั ออก ทำให้ชำยฝ่ังตะวนั ตกมีฝนตกนอ้ ย  ฤดูฝน เริ่มประมำณเดือนพฤษภำคม ถึงเดือนธนั วำคม โดยในช่วงน้ีชำยฝ่ังตะวนั ตก ของภำคใตจ้ ะไดร้ ับอิทธิพลของลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ ซ่ึงพดั ผำ่ นมหำสมุทรอินเดียเขำ้ สู่ภำคใต้ เนื่องจำก เป็นลมที่พดั ผำ่ นทะเลมำตลอดเป็นมวลอำกำศท่ีมีควำมช่ืนสูง ทำใหฝ้ นตกชุก - 39 -

บ้านน้าเค็ม ประชากร จานวน 1,048 ครัวเรือน ชำย1,857 หญิง1,880 รวม3,737 เด็ก ชำย131 หญิง128 รวม259 คนชรา ชำย173 หญิง186 รวม359 แรงงานต่างด้าว ชำย465 หญิง240 รวม705 การประกอบอาชีพ ส่วนใหญป่ ระกอบอำชีพ ประมง กบั รับจำ้ งทว่ั ไปเป็นหลกั ส่วนท่ีเหลือจะมีธุรกิจส่วนตวั เช่นคำ้ ขำยหรือธรกิจ เกี่ยวกบั กำรท่องเที่ยว - 40 -

ความเส่ียงต่อภยั พบิ ัติ บำ้ นน้ำเคม็ เป็นพ้นื ที่ท่ีเสียหำยหนกั ท่ีสุดในช่วงเกิดสึนำมิที่ผำ่ นมำ เน่ืองจำกเป็นพ้ืนท่ีรำบชำยฝ่ังติดทะเล และไมม่ ีแนวป่ ำใดๆก้นั รวมท้งั มีชุมชนอำศยั อยหู่ นำแน่น จำกกำรสำรวจพบวำ่ ระดบั ควำมสูงของคล่ืนอยทู่ ี่ ประมำณ 8.11 เมตร วดั จำกร่องรอยควำมเสียหำยจำกตน้ สนริมทะเล ซ่ึงควำมจริงอำจจะมีควำมสูงกวำ่ น้ีก็ได้ ซ่ึงดู จำกครำบของน้ำที่ปรำกฏอยู่ โดยระดบั น้ำที่สูงท่ีสุดวดั ได้ ต้งั อยหู่ ่ำงจำกชำยฝ่ัง60.69 เมตร และมวลน้ำไดเ้ ดิน ทำงเขำ้ ไปในระยะทำง 1,673 เมตร จำกแนวชำยฝั่ง แผนเตรียมความพร้อมบ้านนา้ เค็ม (ภยั สึนาม)ิ พืน้ ท่ที ่ไี ดร้ บั อนั ตรายจากเหตกุ ารณส์ นึ ามิ พื้นท่ีอนั ตราย โรงเรยี น อนามั ย N วดั WE S พนื้ ทเี่ สย่ี งอนั ตราย พนื้ ทปี่ ลอดภัย - 41 -

เส้นทางการหนีภยั แบง่ 2. ซอยสุดสาย ระยะทาง 1. ซอยท่าเรอื จ้าง ออกเป็น 5 โซน หลกั ๆ คือ ซอยมะขามคู่ ประมาณ 1,300 ม. ซอยสินเจริญชยั 3. โซนแหลมสนทงั้ หมด ซอยแสงอรณุ ซอยจริญชยั ซอยธารนา้ ใจ ระยะทางประมาณ 1,300 ม. ซอย น4.คซรอศยรทธี รรรามยรทาอชง ระยะทางประมาณ 1,400 ม. ระยะทางประมาณ 800 ม. ซซออยยตรกว่ ปมู มติ ร ซซออยยบพา้ นฒั แนพาน โรงเรียน ซอยองคก์ าร อนามัย ซอยเรอื ฟ้า ซอยทกั ษิณ N 5. ซอยสุพรรณ, ซอยตาเฒ่า วัด ซอยโกผดั WE ซอยอยุธยา, ซอยเชียงใหม่ ซอยข้างโรงเรยี น ซอยเสนา S บ้านมงั่ คงโครงการ ๒, ซอยหน้าวดั ซอยชุมแพ, ซอยรม่ เยน็ , บ้านมงั่ คงโครงการ ๑ จานวนประชากรในแต่ละโซนทอี่ าศัยอยู่ 1. รวม 419 คน คดิ เป็ นมเี ดก็ 42 คน 2. รวม 204 คน คนชรา 7 คน คดิ เป็ นมีเดก็ 23 คน ผ้หู ญงิ 118 คน คนชรา 16 คน ขอ้ มูลไม่ครบ ขอ้ มลู ไม่ครบ 4. รวม 391 คน 3. รวม 193 คน คิดเป็ นมเี ด็ก 32 คน โรงเรคียดินเป็ นมเี ดก็ 95 คน คนชรา 21 คน คนชรา 40 คน N อนามั คนพกิ าร 3 คน WE ย S 5ว.ดั ขรอ้วมมูล1ไม3่ค2รบคน คดิ เป็ นคนพกิ าร 2 คน คนชรา 5 คน ข้อมลู ไม่ครบ - 42 -

การจดั การภยั พิบตั ิของ เตรยี มการ การสร้างหอหลบ หอกระจายสขร่า้าวงห?อหลบ ภยั ในชุมชน นา้ เคม็ ตามจุด ชมุ ชนน้าเคม็ ในอนาคต เสนอให้มีหอเตือนภยั ต่างๆ เตรียมการ หอหลบ สร้างหอหลบ เสน้ ทางหนีภัยทางเทา้ ของซอยแหลมสน จดุ วดั ระดับนา้ ทะเล หอหลบ โรงเรยี น เสนอให้มีหอเตือนภยั หอเตือน หอเตือน อนามั ย วดั N WE S วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อพฒั นำและกระตนุ้ ใหค้ นในชุมชน มีควำมรู้ควำมเขำ้ ใจเกี่ยวกบั สำธำรณภยั รูปแบบ ตำ่ ง ๆ สำมำรถช่วยเหลือ ป้องกนั บรรเทำสำธำรณภยั ไดอ้ ยำ่ งถูกตอ้ ง 2. เพื่อลดควำมสูญเสียท่ีอำจจะเกิดข้ึน หำกมีภยั พบิ ตั ิเกิดข้ึนในชุมชน 3. เพอ่ื พฒั นำระบบอำสำสมคั ร เพ่ือช่วยเหลือและช่วยลดควำมเสียหำยอนั ที่จะเกิดจำกภยั ต่ำงๆ 4. เพื่อใหเ้ กิดควำมร่วมมือของชุมชน องคก์ รหน่วยงำนต่ำงๆท้งั ภำครัฐและองคก์ รเอกชน ตำ่ ง 5. เพอื่ ใหเ้ กิดจดั ทำองคค์ วำมรู้เพอ่ื ประกอบกำรป้องกนั ภยั พิบตั ิและเตือนภยั ทำงธรรมชำติที่ รวบรวมองคค์ วำมรู้โดยชุมชน 6. เพื่อใหเ้ กิดกำรจดั ทำแผนเตรียมควำมพร้อมภยั พบิ ตั ิโดยชุมชนที่ใชร้ ่วมกนั อยำ่ งมีคณุ ภำพ 7. เพอ่ื ใหเ้ กิดกำรเตรียมกำรซ้อมแผน 8. เพอ่ื ใหเ้ กิดฝึกซอ้ มแผนอพยพหลบภยั ท่ีจดั ทำข้ึนโดยชุมชน 9. เพ่อื ใหเ้ กิดกำรเรียนรู้ร่วมกนั ในกำรเฝ้ำระวงั ทุกรูปแบบ ท้งั ชำยฝ่ังและในทะเล กล่มุ เป้าหมาย ประชำชนในหมทู่ ่ี 2 บำ้ นน้ำเคม็ 1,150คน - 43 -

วิธดี าเนนิ การ 1. ประชุมหำรือแกนนำชุมชนสร้ำงควำมเขำ้ ใจงำนดำ้ นเตรียมควำมพร้อม 2. ประสำนงำนหน่วยงำนท่ีเกี่ยวขอ้ ง 3. ประชุมหน่วยงำนที่เก่ียวขอ้ งท้งั ชุมชนและภำครัฐ และองคก์ รท่ีเกี่ยวขอ้ ง หำรือแนวทำง กำร ดำเนินงำนดำ้ นสร้ำงควำมพร้อมใหก้ บั ชุมชน 4. จดั ทำแผนเตรียมควำมพร้อมในชุมชน และกำหนดกิจกรรมพฒั นำ งำนดำ้ นเตรียมควำม พร้อมของชุมชน 5. ประสำนใหเ้ กิดกิจกรรมสนบั สนุนชุมชนตำมแผน เพ่ือใหม้ ีควำมรู้ในกำรเตรียมควำม พร้อม 6. ฝึกอบรมอำสำสมคั ร อปพร. เพ่อื เป็นแกนนำดำ้ นเตรียมควำมพร้อมในชุมชน โดยทีม ปภ. จงั หวดั เป็นคณะวิทยำกร 7. ทีมอำสำสมคั รที่ผำ่ นกำรฝึกอบรม ทำกำรวิเครำะหค์ วำมเส่ียงพ้ืนที่ชุมชนของตนเอง 8. ทีมอำสำสมคั รที่ผำ่ นกำรฝึกอบรม ทำพฒั นำแผนเตรียมควำมพร้อม พ้นื ท่ีชุมชนของ ตนเอง 9. พฒั นำระบบหอกระจำยขำ่ วท่ีมีอยใู่ นชุมชน เป็นหอกระจำยขำ่ วที่ไมส่ ำมำรถใชง้ ำนได้ อยำ่ งมีประสิทธิภำพ และไม่ครอบคลุมท้งั หมบู่ ำ้ น จึงมีควำมจำเป็นตอ้ งพฒั นำใหด้ ีข้ึน และจดั ใหม้ ีศูนยก์ ลำงของกำรสื่อสำรท่ีเป็นจุดเดียว ท้งั กำรจดั ต้งั ศูนยว์ ิทยสุ ่ือสำรท้งั ทำง บก และทำงทะเลเพ่ือเป็นศูนยก์ ลำง และยงั จดั ใหม้ ีวิทยตุ ิดตำมตวั ของ อปพร. ดว้ ย 10. พฒั นำระบบวทิ ยชุ ุมชนท้งั กำรบริหำรจดั กำร กำรอบรมนกั จดั รำยกำรวทิ ยชุ ุมชนใหมๆ่ เพ่ือใหเ้ กิดกระบวนกำรเรียนรู้ ท้งั ยงั เป็นเครื่องมือส่ือสำรที่ใชก้ ระจำยข่ำวชุมชน เร่ือง สิทธิ ควำมรู้เร่ืองกฎหมำย และกำรเตรียมตวั เร่ืองภยั พบิ ตั ิ 11. จดั อบรมใหค้ วำมรู้คนในชุมชนเป็นระยะๆ ดว้ ยเหตุผลที่ชุมชนบำ้ นน้ำเคม็ เป็นชุมชน ใหญ่ จึงมีควำมจำเป็นท่ีตอ้ งจดั อบรมและกระจำยลงแต่ละพ้นื ท่ี โดยเนน้ เรียงลำดบั ตำม ควำมพร้อมของซอย 12. จดั ทำวำรสำรข่ำวชุมชน เพื่อส่งเสริมกระบวนกำรเรียนรู้ของชุมชนทกุ ดำ้ น เช่นกำร จดั กำรควำมเส่ียง ส่ิงบอกเหตุเกี่ยวกบั กำรเกิดภยั พิบตั ิ กำรบริหำรจดั กำรของธนำคำร ชุมชน สิทธิชุมชน ควำมรู้เรื่องกฎหมำยเบ้ืองตน้ งำนดำ้ นปัญหำสังคม กำรศึกษำ เยำวชน สตรี ผดู้ อ้ ยโอกำส และกำรเรียนรู้เร่ืองกำรเมืองภำคประชำชน 13. กำรจดั กำรเรียนกำรสอนร่วมกบั โรงเรียนในกำรจดั กำรภยั พิบตั ิ ใหเ้ ป็นหลกั สูตรชุมชน โดยเนน้ กระบวนกำรมีส่วนร่วมและจดั ทำสื่อกำรเรียนกำรสอน - 44 -

14. กำรรวบรวมภูมิปัญญำทอ้ งถ่ินดำ้ นกำรเตือนภยั ทำงธรรมชำติ โดยชุมชนเป็นผรู้ วบรวม และเรียนรู้ร่วมกนั รวมท้งั กำรประมวลเหตเุ ตือนภยั เพ่อื เป็นชุดควำมรู้ชุมชนต่อไป 15. จดั ใหม้ ีกำรซอ้ มแผนอพยพหลบภยั ที่เกิดข้นึ จำกกำรทำแผนโดยชุมชน และมีกำรซอ้ ม อยำ่ งนอ้ ยปี ละ 2 คร้ังโดยควำมร่วมมือของทุกฝ่ำย ระยะเวลาในการดาเนินการและสถานที่ ระหวำ่ งวนั ท่ี15 มิถุนำยน – 30 ธนั วำคม 2550 บำ้ นน้ำเคม็ ตำบลบำงมว่ ง อำเภอตะกวั่ ป่ ำ จงั หวดั พงั งำ แผนกจิ กรรมและงบประมาณ ระยะดาเนนิ การ 12 เดือน ลาดบั รายละเอยี ด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 งบประมาณ ผ้ทู ่ีเกยี่ วข้อง กจิ กรรม 1 จดั ทำแผนเตรียม * * * * ** 50,000 แกนนำ ควำมพร้อม ชุมชน/อปพร/ อสม/อบต/ ผใู้ หญ่บำ้ น/ ปภ/อำเภอ/ มลู นิธิรักษ์ ไทย/SAN/ มลู นิธิดวง ประทีป/IOM/ มลู นิธิเด็ก/ TVC:กระจก เงำ/ 2 ฝึกอบรม อปพร. * 200,000 อำสำสมคั ร/ 50 คน รุ่นท่ี 1 อบต/SAN/ มูลนิธิรักษ์ ไทย 3 ประชุมแผนอพยพ * 5,000 อปพร/อบต/ ภำคี 4 ฝึกอบรมให้ * * 50,000 แกนนำ ควำมรู้เรื่องภยั ชุมชน/อปพร/ - 45 -

พิบตั ิและสญั ญำณ * 2,000 อสม/อบต/ เตือนภยั ทำง ** 30,000 ปภ/อำเภอ/ ธรรมชำติ มูลนิธิรักษ์ * 50,000 ไทย/SAN/ 5 ฝึกอบรมกำร มลู นิธิดวง จดั กำรจรำจร * 100,000 ประทีป/IOM/ * 50,000 มลู นิธิเด็ก/ 6 ฝึกอบรมนกั จดั TVC:กระจก รำยกำรวิทยุ ** เงำ/ อปพร/ตำรวจ/ 7 ฝึกอบรมกำรใช้ - 46 - อบต วทิ ยสุ ื่อสำร แกนนำ ชุมชน/ 8 ฝึกอบกำรกภู้ ยั ทำง เยำวชน/ ทะเล มูลนิธิเอเชีย/ อบต 9 ฝึกอบรมกำรทำ ชมรมวทิ ยุ แผนเตรียมควำม สมคั รเล่น/ พร้อม สำหรับ ปภ/อปพร/ แกนนำซอย อำสำสมคั ร/ อบต/ มลู นิธิ 10 ศึกษำดูงำน กำร เอเชีย สร้ำงควำมพร้อม สภำกำชำด/ กรณีภยั พิบตั ิ และ อำสำสมคั ร/ กำรฟ้ื นฟชู ุมชน อบต อำสำสมคั ร/ มลู นิธิรักษ์ ไทย/อบต 200,000 แกนนำ คณะทำงำนฯ/ แอก็ ชนั่ เอดส์/ อบต

หลงั ภยั พบิ ตั ิ(ใน- * * * * * 15,000 อำสำสมคั ร/ ตำ่ งประเทศ) วิทยชุ ุมชน/ 11 รณรงคใ์ หม้ ี เสียงตำมสำย อปุ กรณ์ช่วยชีวิต หมูบ่ ำ้ น/ ข้นั พ้ืนฐำนนครัว มูลนิธิเอเชีย/ เรือน เช่น ชูชีพ / มลู นิธิรักษ์ ถงั ดบั เพลิง ไทย/อบต อำสำสมคั ร/ 12 รณรงคส์ ่งเสริม * * * * * 15,000 วทิ ยชุ ุมชน/ ใหม้ ีกำร เสียงตำมสำย เตรียมพร้อม หม่บู ำ้ น/ และมีกระเป๋ ำ มลู นิธิเอเชีย/ วิเศษ มลู นิธิรักษ์ ไทย/อบต 13 พฒั นำหลกั สูตร * * * * * * * * * * 50,000 โรงเรียนบำ้ น กำรเรียนใน น้ำเคม็ /ดวง โรงเรียน ประทีป/ แอก็ ชนั่ เอดส์/ 14 ปรับปรุงพฒั นำ * * * * * * * * * * * * - อบต ฐำนขอ้ มลู สำหรับ อสม/หวั หนำ้ 15 กำรซอ้ มแผน * 80,000 ซอย/ศนู ยฯ์ อพยพ ** * 20,000 น้ำเคม็ อำเภอ/อบต/ 16 ประชุมสรุปและ ชุมชน/ แลกเปล่ียนผลกำร ดำเนินงำนเตรียม คณะทำงำนฯ/ ควำมพร้อม อบต/ปภ/ มลู นิธิรักษ์ ไทย/SAN/ แอก็ ชน่ั เอดส์ - 47 -

17 คณะทำงำนภำยใน ** * - คณะทำงำนฯ/ ซอยทีมจดั กำร ** อปพร/อบต ควำมเสี่ยง 10,000 โรงเรียน/ 18 จดั อบต/ ปรับปรุง ดูแลพ้นื ที่ *** 50,000 ศูนยฯ์ น้ำเคม็ / หลบภยั พอช/SAN/ (โรงเรียน/ วดั /อบต.) อบต 19 จดั รวบรวม * * * * * * * * * * 100,000 คณะทำงำนฯ/ ประสบกำรณ์กำร แอก็ ชน่ั เอดส์/ เตือนภยั ทำง * 120,000 ดวงประทีป/ ธรรมชำติ มูลนิธิเอเชีย/ * 240,000 มูลนิธิรักษ์ 20 จดั ทำส่ือ ** 180,000 ไทย/อบต ประชำสมั พนั ธ์ คณะทำงำนฯ/ และจดั ทำสื่อ มูลนิธิรักษ์ ส่ิงพิมพเ์ สริม ไทย/SAN ควำมรู้ใหก้ บั อบต/ศุภนิมิต/ ชุมชน มูลนิธิเอเชีย อบต/ศุภนิมิต/ 21 กำรจดั ทำป้ำยบอก มลู นิธิเอเชีย ทำงหนีภยั * * 100,000 อบต/อปพร/ 22 พฒั นำระบบหอ ปภ/มลู นิธิ กระจำยขำ่ ว เอเชีย 23 พฒั นำระบบวทิ ยุ ชุมชน 24 ชุดวิทยสุ ื่อสำร สำหรับ อำสำสมคั ร - 48 -

25 แนวกำแพง * ** 200,000 แกนนำ ป้องกนั ภยั โดย ธรรมชำติ (กำร ชุมชน/อปพร/ ปลูกป่ ำชำยหำด ไมย้ นื ตน้ ป่ ำ อสม/อบต/ โกงกำง) ผใู้ หญ่บำ้ น/ 26 สร้ำงหอหลบภยั มลู นิธิรักษ์ 27 ปรับปรุงถนนเพอ่ื ขยำยเส้นทำง ไทย/SAN/ จรำจร/ตดั ถนน ใหม่ มลู นิธิดวง แสงสวำ่ งบริเวณ เสน้ ทำงจรำจร ประทีป/IOM/ มลู นิธิเด็ก/ TVC:กระจก เงำ * * * * * 12,000,000 ชุมชน/ อบต/ ผใู้ หญ่บำ้ น/ อำเภอ/SAN/ มลู นิธิดวง ประทีป/ ADPC * * * 3,000,000 แกนนำ ชุมชน/อปพร/ อสม/อบต/ ผใู้ หญบ่ ำ้ น/ ศนู ยฯ์ น้ำเคม็ / SAN รวมเป็ นเงนิ 17,367,000 บาท หมายเหตุ ระหวำ่ งกำรดำเนินกำร อำจจะมีกิจกรรมเพม่ิ เติม - 49 -

ผู้รับผิดชอบแผนเตรียมความพร้อม ศูนยป์ ระสำนงำนชุมชนบำ้ นน้ำเคม็ คณะทำงำนเตรียมควำมพร้อมรับมือภยั พบิ ตั ิ องคก์ รที่ /ประสำนควำมร่วมมือและสนบั สนุนองคก์ ำรบริหำรส่วนตำบลบำงม่วง สำนกั งำนป้องกนั และบรรเทำสำธำรณภยั จงั หวดั พงั งำ อำเภอตะกวั่ ป่ ำ เครือข่ำยควำมร่วมมือฟ้ื นฟูชุมชนชำยฝั่งอนั ดำมนั (SAN) มลู นิธิรักษไ์ ทย มลู นิธิชุมชนไท มูลนิธิดวงประทีป ศนู ยป์ ระสำนงำนชุมชนบำ้ นน้ำเคม็ องคก์ ำรแอคชนั่ เอดประเทศไทย องคก์ ำรระหวำ่ งประเทศเพือ่ กำรโยกยำ้ ยถ่ินฐำน(IOM) มลู นิธิเอเซีย ADPC แผนการอพยพ เส้นทางหนีภยั โซน 1-2 ถนนสำยหลกั เนินโกทำ โรงเรียนบำ้ นน้ำเคม็ โซน 3 สำนกั สงฆ์ บำ้ นน้ำเคม็ โซน 4 ถนนสำยหลกั เนินโกทำ โรงเรียนบำ้ นน้ำเคม็ โครงกำรบำ้ นมนั่ คง 2 สำนกั สงฆ์ บำ้ นน้ำเคม็ ส่ิงจาเป็ นในการอพยพและการปฏิบัตติ ัว อพยพไปพร้อมกบั กระเป๋ ำ ใส่ส่ิงจำเป็น - สำเนำบตั รประจำตวั ประชำชน - ทะเบียนบำ้ น(ฉบบั จริง/สำเนำ) - สำเนำโฉนดที่ดิน(ฉบบั จริง/สำเนำ) - สูจิบตั ร - ทะเบียนสมรส - เอกสำรสำคญั อ่ืนๆ มีขอ้ ตกลงภำยในครอบครัว ระหวำ่ งมีภยั ใหม้ ีจุดนดั พบกนั ท่ีใดไม่ตอ้ งว่งิ หำกนั ซอ้ มใหเ้ หมือนจริง - 50 -


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook