Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มหาเวสสันดร

มหาเวสสันดร

Published by somdatang0987, 2022-12-05 07:10:12

Description: มหาเวสสันดร

Search

Read the Text Version

มหาเวทสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวทสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี จัดทำโดย นางสาวพิชานันท์ จันทร์ทอง ม.๕/๙ เลขที่๑๗

คำนำ ก สมุดเล่มเล็กฉบับบนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจศึกษาในหัวข้อเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ตอนกัณฑ์มัทรี ได้รับความรู้ความเข้าใจ โดยผู้จัดทำได้ เรียบเรียงเนื้อหาไว้ทั้งในหัวข้อประวัติผู้แต่ง ที่มาของเรื่อง เนื้อเรื่องย่อ ลักษญะคำประพันธ์ ถอดความจากเนื้อเรื่องและข้อคิด เพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษา เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ตอนกัณฑ์มัทรี ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและลึกซึ้ง ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุดเล่มเล็กฉบับนี้ จะมอบความรู้ความ เข้าใจและประโยชน์ให้แก่ผู้อ่าน หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ผู้จัดทำ

สารบัญ ข เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ประวิติผู้แต่ง ๑ ที่มาของเรื่อง ๔ เนื้อเรื่องย่อ ๕ ลักษณะคำประพันธ์ ๗ ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๘ ข้อคิด ๑๔

ประวัติผู้แต่ง ๑ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นขุนนางและ กวี เอกคนหนึ่งในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะ อยู่ในช่วงปลายสมัย กรุงศรีอยุธยา และถึงแก่ อสัญกรรม ในสมัยรัชกาล ที่๑ พ.ศ. ๒๓๔๘ ประวัติอื่น ๆ มีปรากฏน้อยเต็มที นอกเสียจากผลงานด้าน วรรณคดี ที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ มีบุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาลที่ ๒, เจ้าจอมมารดานิ่ม พระมารดา สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ ๒, นายเกต และนายพัด ซึ่งเป็นกวีและครูพิณพาทย์ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นต้นสกุล บุญ-หลง

ประวัติผู้แต่ง ๒ การับราชการ มีหลักฐานระบุได้ว่าท่านได้รับราชการมาตั้งแต่สมัย กรุงธนบุรี มีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงสรวิชิต ตำแหน่งนายด่านเมือง อุทัยธานี ครั้นเมื่อถึง ปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เกิดเหตุระส่ำระสายเกิดจลาจล ในพระนครท่านได้ลอบส่งคนนำหนังสือแจ้งเหตุภายในพระนครไปถวาย สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ภายหลังคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลก) ซึ่งกำลังยกกองทัพไปตี เขมร หลวงสรวิชิต (ในเวลานั้น) ออกไป รับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถึง ทุ่งแสนแสบ แล้วบอกข้าราชการ ต่างๆ จากนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เข้ามาปราบเหตุจลาจล ในพระนครแล้วปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์จักรี เมื่อเหตุการณ์ในพระนครสงบเรียบร้อย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ ๑ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพัฒโกษา และในที่สุด เมื่อตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน ขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นเสนาบดี จตุสดมภ์ กรมท่ามีหน้าที่ควบคุม บังคับบัญชากิจการทางหัวเมืองชายทะเลทั้งหมด เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้นอกจากมีความสามารถในเชิงบริหารกิจการ บ้านเมือง และเป็นนักรบแล้ว ยังมีความสามารถในเชิง อักษรศาสตร์ เป็นที่ ยกย่องว่าเป็นกวีฝีปากเอกมีสำนวนโวหารไพเราะทั้งร้อยกรองหลากหลาย ชนิดและสำนวนร้อยแก้วที่มีสำนวนโวหารไพเราะไม่แพ้กัน

ประวัติผู้แต่ง ๓ ผลงาน ประพันธ์ในสมัยธนบุรี ลิลิตเพชรมงกุฎ อิเหนาคำฉันท์ (พ.ศ. ๒๓๒๒, หลวงสรวิชิต) ประพันธ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ ราชาธิราช (งานแปล, พ.ศ. ๒๓๒๘) สามก๊ก (งานแปล, พ.ศ. ๒๔๐๘) กากีคำกลอน หรือ กากีกลอนสุภาพ ร่ายยาวมหาชาติกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง โคลงสุภาษิต กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาทองที่วัดราชคฤห์ ลิลิตศรีวิชัยชาดก สมบัติอมรินทร์คำกลอน

ที่มาของเรื่อง ๔ มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิต แต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้ สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ ให้จบภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์จบ ภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯ ให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติกลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือก สำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ

เนื้อเรื่องย่อ ๕ พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดร ทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝาก พระโอรสกับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรี ก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่ อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ ง่ายก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็น สีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัด ตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้น บรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่า เร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพ บริวาร ๓ องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย ๓ ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วง เวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จ กลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและ ร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความ ทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชายอื่น จึงกลับมา ถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนาง กำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้

เนื้อเรื่องย่อ ๖ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชก ไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหาย โศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย

ลักษณะคำประพันธ์ ๗ แต่งเป็นร่ายยาว มีพระคาถาภาษาบาลีนำ และพรรณนาเนื้อความ โดยมีพระคาถาสลับเป็นตอน ๆ ไปจนจบกัณฑ์ คำประพันธ์ประเภทร่าย ยาว หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่ง ๆ มี ตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือมากกว่า มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบ ตอนมักมีคำสร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล” ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็น ร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทย แล้ว จึงมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีคำบาลีคั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลี นั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับข้อความที่ตามมา แผนผังร่ายยาว ร่ายยาว คือ ร่ายที่ไม่กำหนดจำนวนคำในวรรคหนึ่ง ๆ แต่ละวรรคจึงอาจมี คำน้อยมากแตกต่างกันไป การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำ หนึ่งคำใดในวรรคถัดไป จะแต่งสั้นยาวเท่าไรเมื่อจบนิยมลงท้ายด้วยคำว่า แล้วแล นั้นแล นี้เถิด โน้นเถิด ฉะนี้ ฉะนั้น ฯลฯ เป็นต้น

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๘ เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อ เห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไปร้องไห้ไป พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไป ฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด มืดหมดทั้งแปดทิศ ผลไม้ก็ยังมา หล่นจากมือ ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึงกลางทางก็ดันมา เจอสัตว์ทั้งสามตัว คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง และพญาเสือโคร่ง ยิ่ง ร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้อ้อนวอนขอทางกลับ แล้วจะ แบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตา เต็มไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด สักพักก็ถึงอาศรม ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียก หาก็ไม่มี พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้งสอง คิดว่าลูก จะสิ้นใจไปเสียแล้ว เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่ พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก แต่ กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้พระนา งมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือนคนเอาเหล็กแดงมา แทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว หากพระ เวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๙ เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัทรีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศก ให้ ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับผิว เหมือน เป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่า ไปลอบคบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไปยังทำเป็นห่วงใย ลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนานเพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้น ตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหาย ทุกข์โศกลงบ้าง แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้า เพราะว่า ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์ราชสีห์ และเสืออีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายาม อธิบายและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่าพระนางเป็นเพื่อน ยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ ยากยังไงก็ทนหาผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือดไหล พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วย พระคุณพระกรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนางด้วย

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๑๐ เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่ กล่าวอะไร พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบบังคม ออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ รำลึกถึงความหลัง เมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่งมองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย ออกตามหาต่อเมื่อ ได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้งสอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็ คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้งสอง ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะ เป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลม พัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยว กลับเกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูกอยู่ ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้วสายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อยแต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้งสองจะสิ้นเสียแล้วเหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อ คืน

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๑๑ เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น ทรง พรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่ หยุด คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไปตามหา หรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วย เรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่เห็นเสียแล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา แม่คิด ว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน แต่เจ้า ก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้อง เสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้ เลยกราบบังคมทูลน้อมศีรษะลงต่อพระ เวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่องย่างก็ไม่ไหวต่อ ร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหวไม่ทันได้บังคมทูล พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรง หน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่มฉัตรทองถูกสายอัสนีฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลง ตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๑๒ เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไป ก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้น้อยนักเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอาป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรม หลังนี้หรือเป็นบริเวณเมรุทอง จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไร อันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอา เมฆหมอกเป็นเพดาน จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง แล้ว จะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น จึงเอาผ้า กับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้น ยกศีรษะพระนางตั้งบนตัก แล้วประคบเพื่อให้ นางฟื้นตื่นขึ้นมา เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดรต่อว่าลูก ทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่าได้ให้ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้ แล้ว ขอให้นางจงอย่าเศร้าโศกไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้ หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึงแม้ จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้ เช่นกัน พระนางมัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย

ถอดความจากเนื้อเรื่อง ๑๓ พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระ เวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยังเหนื่อย อยู่ และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรี เลยพูดต่อว่า พระกุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขอ อนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงผ่องแผ้ว อย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์

ข้อคิด ๑๔ ๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก พระนางมัทรีมีความรักในสองกุมารยิ่งนัก พระนางทุ่มเททั้งกำลัง กาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อค้นหาสองกุมารจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้น เสียงที่ร่ำร้องเรียกหา พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารในป่าโดยมิได้ พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง ๓ รอบ จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไป ในที่สุด ๒. ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละ อันยิ่งใหญ่ด้วย เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ จึงต้องทรง บำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรัก ที่มีต่อพระลูกรักทั้งสอง ทั้งยังทรงต้องตัดความรักความสงสารที่มีต่อพระ มเหสีมัทรีด้วย ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรง ห่วงใยพระลูกรัก และยังต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรี ด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรง และยังต้องทรงทนทำเฉยเมยไม่แยแสกับการ ตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญของพระนางมัทรีด้วย

ข้อคิด ๑๕ ๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข เฉกเช่นพระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก ไม่ว่า พระเวสสันดรจะทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรงก็ตาม อาทิ หาว่า พระนางคบชู้สู่ชาย แม้จะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่งนัก แต่พระ นางมัทรีก็มิได้ทรงถือโกรธ ทั้งยังกล่าวชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริงอีก ด้วย ๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เห็นได้จากพระเวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความ ทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ พระองค์จึงทรงเบี่ยงเบนความคิด และอารมณ์ทุกข์โศกของพระนางด้วยการทำเป็นตัดพ้อต่อว่าด่าทอที่พระ นางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำๆ มืดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งก็ทำให้ พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกต่อว่า ทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้จริงให้พระ สวามีทรงทราบอีกด้วยและครั้นพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางสร่างโศก แล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง

ข้อคิด ๑๖ ๕. การบริจาคบุตรทานงบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะกระทำได้ง่ายๆ เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชก ทั้งๆ ที่ทรงรู้ว่าชูชกจะนำไปเป็นข้ารับใช้ พระองค์ก็ยังมีพระทัยอันแน่วแน่ที่ จะทรงกระทำ และอีกทั้งพระนางมัทรีเมื่อทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้ทรง บำเพ็ญทานดังกล่าว พระนางก็ยังทรงยินดีร่วมอนุโมทนาด้วยอีก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook