การอนรุ ักษดินและน้ํา กลมุ วจิ ยั และพัฒนาการอนุรกั ษด นิ และน้าํ พื้นที่พชื ไร สาํ นกั วจิ ยั และพัฒนาการจัดการท่ีดนิ กรมพฒั นาทดี่ นิ
สารบญั หนา 1 การอนรุ กั ษด ินและนาํ้ 1 สาเหตทุ ตี่ อ งมกี ารอนรุ กั ษด นิ และน้าํ 2 3 การใชป ระโยชนท ่ดี นิ ไมถกู ตอ ง 4 การชะลา งพงั ทลายของดนิ 5 การเสอ่ื มความอดุ มสมบูรณข องดนิ 5 มาตรการทางวิธีกล (Mechanical measures) 5 การปลกู พชื ตามแนวระดบั 6 การยกรอ งปด หวั ทา ย 7 การยกรอ งตามแนวระดบั 8 การทาํ รอ งนาํ้ ไปตามแนวระดบั 8 การยกแปลงและขดุ รองไปตามแนวระดบั 9 คันดิน 10 คนั ดินรบั นาํ้ รปู ครง่ึ วงกลมและรปู ส่ีเหลย่ี มคางหมู 10 คนั ดินเบนนาํ้ 11 ขน้ั บนั ไดดนิ 12 ขั้นบนั ไดดนิ สาํ หรบั ไมผ ล 13 กําแพงหนิ 13 คูรบั นาํ้ ขอบเขา 14 ฐานปลูกไมผ ลเฉพาะตน 15 คนั ชลอความเร็วของนา้ํ 15 ทางระบายนา้ํ 15 16 Mechanical Waterways 17 ทางระบายนํา้ ที่กอสรา งดว ยอฐิ 17 ทางระบายนาํ้ ทีก่ อ สรา งดว ยหนิ 17 18 Vegetated Waterways ทางระบายนาํ้ ทมี่ ีการปลกู หญา ส่ิงกอสรา งชลอความเรว็ ของนา้ํ ในทางระบายนาํ้ บอดกั ตะกอน
บอน้าํ ในไรน า หนา การใหน าํ้ แบบประหยดั 19 ถนนในไรน า 20 ทางลาํ เลยี งในไรน า 20 การไถพรวนดนิ ลา ง 21 การปลูกพชื โดยไมไถพรวน 22 การไถพรวนนอยครงั้ 22 มาตรการทางพืช (Vegetative measures) 23 การปลกู พชื คลมุ ดนิ 24 การคลมุ ดนิ 24 การปลูกพชื ปยุ สด 24 การปลกู พืชสลบั เปน แถบ 25 การปลกู พชื หมนุ เวียน 26 การปลกู พชื แซม 27 การปลูกพชื เหลอื่ มฤดู 28 การปลูกพชื ระหวา งแถบไมพ มุ บาํ รงุ ดนิ 29 คนั ซากพชื 30 ไมบ งั ลม 30 บรรณานกุ รม 31 33
การอนรุ กั ษด ินและน้ํา ดินและนา้ํ เปน ทรัพยากรพ้ืนฐานสําคัญทอี่ ํานวยประโยชนใ นการดํารงชีวติ ใหแ กม นษุ ยอ ยา ง มาก โดยเปนปจจัยหลักในการผลิตทางการเกษตร จึงจําเปนอยางย่ิงที่ตองมีการอนุรักษดินและนํ้า ควบคไู ปกบั การใชป ระโยชนท่ีดินเพอ่ื การผลติ ทางการเกษตรที่ยง่ั ยืน การอนุรักษดินและนํ้า หมายความวา การระวังรักษาและปองกันดินมิใหถูกชะลางและ พัดพาไป ตลอดจนการปรับปรุงบํารุงดินใหคงความอุดมสมบูรณ รวมท้ังการรักษาน้ําในดินและบน ผิวดินใหคงอยูเพื่อรักษาดุลยธรรมชาติใหเหมาะสมในการใชประโยชนดินและท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ท่ีย่ังยนื หรืออาจกลาวสั้นๆ ไดวา การอนุรกั ษดนิ และนาํ้ หมายถงึ - การรักษาปรบั ปรุงสภาพของพ้ืนท่ีตน นํ้าลําธาร ปา ไมแ ละสภาพแวดลอ มธรรมชาตใิ หด ีขึ้น - ปองกนั มใิ หดินเกดิ การชะลางพงั ทลายทัง้ ในพน้ื ท่ีการเกษตรและพืน้ ที่นอกการเกษตร - การรกั ษาความอดุ มสมบูรณข องดินใหด ีอยเู สมอ - การรกั ษาสภาพพืน้ ทเ่ี พาะปลูกใหค งสภาพอยตู ลอดไปไมส ญู หาย -การปรบั ปรุงพื้นทีท่ ่ไี มเหมาะสมตอ การเกษตรใหเหมาะสมเกดิ ประโยชนตอการทําการ เกษตร - การกักเกบ็ นา้ํ ไวใ ชในพนื้ ท่ีตลอดจนมีการใชนาํ้ อยา งมีประสิทธภิ าพ สาเหตทุ ต่ี องมีการอนรุ ักษด ินและนํ้า การอนุรักษดินและน้ําไดเริ่มตนดําเนินการมาเปนเวลานานแลวกอนหนาที่จะจัดตั้งกรม พัฒนาท่ีดิน แตยังตระหนักอยูในวงแคบๆ เฉพาะหนวยงานของรัฐที่เกี่ยวของ ในขณะที่แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมขณะน้ันไดเนนขยายพื้นที่เพาะปลูกและสงเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อการ สงออก เชน ขาว ขาวโพด มันสําปะหลัง ฯลฯ พื้นท่ีปาจึงถูกบุกรุกทําลายเพื่อการปลูกพืชดังกลาว มาก ตอมาในป พ. ศ. 2506 รัฐบาลไดจัดตั้งกรมพัฒนาท่ีดินขึ้นโดยใหมีหนาที่สํารวจ ศึกษาและ อนุรักษทรัพยากรดินและท่ีดินใหสามารถเปนฐานการผลิตปจจัยสี่ สนองความตองการของพลเมือง ใหดีและยั่งยืนท่ีสุด กรมพัฒนาที่ดินจึงเปนผูเริ่มนํามาตรการอนุรักษดินและนํ้ามาใชเปนหนวยงาน แรก แตก เ็ รมิ่ ตนชา กวา ประเทศสหรฐั อเมรกิ ารวม 100 ป ซ่งึ การถายทอดมาตรการอนุรกั ษด นิ และนา้ํ ไดถึงมือเกษตรกรมานานแลว สําหรับประเทศไทยการใชมาตรการอนุรักษดินและนํ้าในระดับ เกษตรกรยังตองการความรวมแรงรวมใจและจริงจังจากเจาหนาท่ีของกรมพัฒนาที่ดินที่จะผลักดัน ใหเกษตรกรยอมรับและปฏิบตั ติ ามอยา งเต็มใจ ซ่ึงผลสําเร็จในการสงเสริมถายทอดใหเกษตรกรไทย มีการอนุรักษดินและนํ้าในพ้ืนที่ของตนเองคงไมนานจนเกินไป เมื่อวิเคราะหสภาพของทรัพยากรดิน ในปจ จุบันพบวา มีความเสื่อมโทรมลงมากจากสาเหตุในดานตางๆ ดงั นค้ี ือ
2 1. มกี ารใชประโยชนทดี่ ินไมถกู ตอ ง ปจจุบันการใชประโยชนท่ีดินเพื่อความตองการของรัฐและประชาชนมีมากมายตามการ เพ่มิ ข้นึ ของประชากรและการพัฒนาประเทศ แตท ดี่ ินท่ีจะใชสําหรับกิจการตางๆ มีจํากัด การแขงขัน ใหไดมาซึ่งกรรมสิทธ์ิระหวางประชาชนและนักลงทุนจึงดําเนินไปอยางรุนแรง ปาสงวน พ้ืนท่ีตนนํ้า ลําธาร อุทยานแหงชาติ เขตรักษาพันธุสัตวปา ท่ีดินสาธารณะของรัฐจึงถูกบุกรุก และครอบครอง โดยบุคคลและนติ ิบคุ คลตางๆ โดยไมถูกตอ งตามกฎหมาย มกี ารใชท ี่ดินเพือ่ การเพาะปลกู เล้ยี งสัตว ตั้งบานเรือน โรงงานอุตสาหกรรม และกิจกรรมอื่นๆ ตามความพอใจของผูเปนเจาของท่ีดินโดยไมมี ระเบียบแบบแผน พื้นที่ที่ควรปลูกพืชกลับนํามาใชในการสรางบานเรือน พ้ืนที่ท่ีควรสงวนไวเปน แหลงตนน้ําลําธารกลับนํามาปลูกพืชโดยไมมีการจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ มีการเรง การใชป ระโยชนจ ากทรัพยากรดนิ โดยหวงั ท่ีจะไดรบั ผลผลิตเพ่ิมขึ้นแตเพียงดานเดียวโดยไมคํานึงถึง สภาพแวดลอม เชน การปลูกพืชชนิดเดียวติดตอกันหลายๆ คร้ัง เพื่อใหไดผลผลิตครั้งละมากๆ ใน ไมชาดินก็จะเสื่อมโทรมลงเน่ืองจากมีการสูญเสียธาตุอาหารจากดินตลอดเวลา หรือการเผาปาเพ่ือ งา ยตอการกาํ จัดวชั พชื และเตรยี มดินสําหรับปลูกพืชไรทําใหดินขาดส่ิงปกคลุม อินทรียวัตถุและธาตุ อาหารบางอยางสูญเสียไปจากดิน การไถพรวนโดยใชเคร่ืองจักรกลหนักติดตอกันเปนเวลานาน กอใหเกิดช้ันดินลางอัดตัวแนน รากพืชไมสามารถชอนไชหาอาหารไดสะดวก ส่ิงตางๆ เหลานี้ลวน เปนปจจัยที่ทําใหทรัพยากรดินและน้ําเส่ือมโทรมลงในที่สุด นอกจากนี้นโยบายการวางแผนการใช ที่ดินยังไมมีผลในทางปฏิบัติ การวางแผนการใชที่ดินเปนรากฐานท่ีสําคัญสําหรับการวางแผน พัฒนาประเทศ และเปนขบวนการในการตัดสินใจเพ่ือเลอื กใชทดี่ นิ ใหไ ดประสิทธิภาพสูงสุดกลาวคือ ใหไดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด โดยท่ีมีการอนุรักษทรัพยากรใหสามารถใชประโยชนไดยั่งยืน ตลอดไป มีการกระจายการใชท่ีดินใหเกิดประโยชนแกประชากรอยางเสมอภาค ปจจุบันกรมพัฒนา ท่ีดินไดมีการปรับปรุงการจัดทําแผนการใชท่ีดินใหเหมาะสมสําหรับการนําไปปฏิบัติมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาระดับจังหวัด อําเภอ ระดับลุมน้ํา แผนการใชท่ีดินที่จัดทําในอดีตไดรับการ ยอมรับถึงความสําคัญของทรัพยากรท่ีดินและความจําเปนในการกําหนดการใชประโยชนที่ดินท่ี เหมาะสมเทานั้น แตการจะใหแผนการใชที่ดินมีผลในทางปฏิบัติคงตองมีการผลักดันและเรงรัดใหมี การออกกฎหมายคุมครองพ้ืนที่เกษตรกรรม และมีกฎหมายรองรับซ่ึงจะชวยใหมีการใชประโยชน ท่ีดินไดอยางเหมาะสมกับพ้ืนที่และมาตรการอนุรักษดินและนํ้าก็จะไดรับการถายทอดสูเกษตรกร ตามแผนท่ีวางไว ปญหาการใชประโยชนท ดี่ ินไมถ กู ตองเหมาะสมกบั พื้นที่ดังทเ่ี ปน อยูในปจจบุ นั ก็จะ ไดรับการ แกไข ซึ่งนับวาเปนนโยบายที่สําคัญที่รัฐควรดําเนินการอยางเรงดวนกอนท่ีพ้ืนท่ีนาท่ีเปน แหลงปลูกขาวของไทยจะกลายเปนแหลงอุตสาหกรรมและเม่ือน้ันประเทศไทยอาจตองกลายเปน ประเทศที่ตองนําเขา ขาวจากประเทศเพ่อื บา นเพื่อการบริโภคกเ็ ปน ได
3 WOCAT / FAO 2000 DWSC, China, 2000 เผาปา ปลูกพชื ขึ้นลงตามความลาดเท การแทะเล็มหญา ของสัตวเ ลย้ี ง 2.การชะลางพงั ทลายของดิน การชะลางพังทลายของดินเกิดจากน้ําและลมเปนตัวการท่ีทําใหดินเกิดการเคล่ือนยายจาก พ้ืนที่หนึ่งและมีการตกตะกอนทับถมยังอีกพ้ืนที่หน่ึง โดยพื้นท่ีท่ีถูกน้ําพัดพาหรือลมพัดผานจะเกิด เปนร้ิวเปนรองและในท่ีสุดความอุดมสมบูรณของดินก็ลดลง ประเทศไทยเปนประเทศท่ีอยูในเขต รอนช้ืนมีฝนตกชุกการชะลางพังทลายของดินจึงเกิดจากนํ้าเปนตัวการ โดยปริมาณและความแรง ของฝนมีสวนทําใหดินเกิดการชะลางจากแรงกระแทกของเม็ดฝนสูผิวดินขณะฝนตก ถาพื้นท่ีท่ีไมมี พืชปกคลมุ ผิวดินและเปนพ้นื ทีท่ ีม่ ีความลาดเทมากย่ิงเรงใหเกิดการชะลางหนาดินมาก สวนพ้ืนท่ีท่ีมี พชื ขน้ึ อยหู นาแนน เชน บริเวณปาไม ทรงพมุ ของพืชท่ีขึน้ อยูห นาแนนจะชวยลดแรกกระแทกของเม็ด ฝนกอนตกลงสูพน้ื ดนิ ทําใหก ารชะลางหนา ดนิ นอ ยลง นอกจากนพี้ ืชทีข่ ้นึ ปกคลุมอยูจะชวยดูดซับน้ํา ไวไดมาก ปริมาณนํ้าไหลบาผิวหนาดินจึงมีนอย การชะลางพังทลายของดินจึงนอย แตถามีการใช ที่ดินไมถูกตองเหมาะสมขาดการจัดการที่ดี เชน มีการปลูกพืชไรบริเวณพ้ืนที่ที่มีความลาดเท ติดตอ กนั เปนเวลานานจะมีการชะลา งพังทลายของดินมาก ผลทต่ี ามมาคอื ผวิ หนา ดินจะถกู กดั เซาะ เปนรองเปนร้ิวตะกอนดิน ถูกพัดพาเคลื่อนยายไปยังพื้นท่ีท่ีอยูตํ่ากวาและบางสวนจะตกทับถมใน แมน ํ้าลําธาร อางเกบ็ นํา้ หนอง คลอง บงึ ทําใหเ กดิ การตืน้ เขนิ ไดใ นเวลาไมน านนกั USDA 1994 ผิวหนาดนิ ถกู ชะลา ง ผิวหนาดนิ เกดิ เปนริว้ เม็ดฝนตกกระทบผิวดิน การกัดเซาะเปนรอ ง การกดั เซาะเปน อโุ มงค LDD ,1986 การกดั เซาะเปนรองลกึ
4 3. การเส่ือมความอดุ มสมบรู ณข องดิน การท่ตี ะกอนดินถกู พดั พาออกจากพ้นื ท่ียอ มพัดพาธาตอุ าหารที่อยใู นดินไปดว ย เชน ธาตุ อาหารหลกั ๆ ทีเ่ ปนประโยชนตอพชื พวกไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม และธาตอุ าหารอ่นื ๆ ความอุดมสมบูรณของดินจงึ ลดลง ดนิ ทรายละเอยี ด ดนิ ทรายแปง ดินรวนปนทรายจะถูกกัดเซาะชะ ลางงายกวา ดินทมี่ เี นอ้ื ดนิ เหนยี ว หรือดนิ เหนยี วปนดนิ ทราย เม่อื เวลาผานไปดินในบริเวณพืน้ ทที่ ถ่ี ูก ชะลา งจะไมเ หมาะสมสําหรบั ใชใ นการเพาะปลูก มีความแนนทึบไมร ว นซยุ เพราะดนิ ท่เี หลืออยจู ะ เปนสวนของดนิ ช้ันลา งๆ และโดยทว่ั ๆ ไป ดินช้ันลา งจะมีความอดุ มสมบรู ณต่าํ กวา ดนิ ชั้นบนและมี ความแนน ทบึ มากกวา รวมทง้ั การซึมผา นของน้ําจากผวิ ดินบนลงสดู นิ ลา งจะชา ลง การนาํ ไปใชป ลกู พืชจงึ ไดรับผลผลติ ต่าํ จากปญ หาตา งๆ ทก่ี ลา วมาขา งตน จึงควรมกี ารอนุรกั ษดนิ และนา้ํ ในพน้ื ท่ที ่ี นาํ มาใชประโยชนในดานเกษตรกรรมและพื้นทต่ี นนาํ้ ลาํ ธารซงึ่ การอนรุ ักษด นิ และนา้ํ แบง เปน 2 ประเภท ดนิ เสื่อมโทรม ดินไมอดุ มสมบรู ณ ดนิ มีปญ หาดินเคม็ คือ มาตรการทางวิธกี ล (Mechanical measures) และมาตรการทางพชื (Vegetative measures) การเลอื กใชมาตรการใดควรพจิ ารณาลักษณะดนิ ลกั ษณะภูมิประเทศ ปริมาณนาํ้ ฝน ตลอดจนการ ใชป ระโยชนบ นพนื้ ทด่ี นิ โดยเลือกวิธกี ารผสมผสานมาตรการใหเหมาะสมเพ่อื ใหก ารทาํ การเกษตร เกดิ ความยั่งยนื การอนรุ กั ษด นิ และนา้ํ ดว ยวธิ กี ลเปน การอนรุ ักษท ค่ี อ นขา งถาวรและมปี ระสทิ ธภิ าพ สูง แตลงทุนคอ นขางสงู ตองใชค วามชํานาญในการกอสรา ง สว นใหญร ัฐบาลจะเปนผดู าํ เนนิ การเอง สว นการอนรุ กั ษด นิ และนา้ํ โดยมาตรการทางพืช เกษตรกรสามารถปฏบิ ตั ไิ ดเอง เปน วธิ ที ่ชี ว ยในการ ปรับปรงุ บํารงุ ดินและเพมิ่ ผลผลติ พชื ไดด ี การลงทุนตาํ่ มาตรการอนรุ กั ษด นิ และนาํ้ และมาตรการ เสริมใหก ารอนุรักษดนิ และนา้ํ มีประสทิ ธภิ าพยงิ่ ข้ึนท่ไี ดร วบรวมไวในทน่ี ี้มที ้ังหมด 34 มาตรการ แต ละมาตรการมคี วามเหมาะสมในการนําไปใชแตกตางกนั ตามรายละเอยี ดที่จะกลา วตอไปดงั นี้คือ
5 มาตรการวธิ กี ล (Mechanical measures) การอนุรกั ษด นิ และนาํ้ โดยวธิ ีกล เปน การควบคุมนํ้าไหลบาหนาดิน โดยการสรางส่ิงกีดขวาง ความลาดเทของพื้นที่และทิศทางการไหลของน้ํา ชวยลดความเร็วของกระแสน้ํา โดยความยาวของ ความลาดเทจะถกู แบงออกเปนระยะๆ มาตรการวิธกี ลมหี ลายวธิ ีไดแก 1. การไถพรวนและปลูกพชื ตามแนวระดบั (Contour Cultivation) ความหมาย การไถพรวนและปลูกพืชตามแนวระดับเปนการ ไถพรวน หวาน ปลูก และเก็บเก่ียวพืชไป ตามแนวระดบั ขวางความลาดเทของพน้ื ท่ี วัตถุประสงค 1. เพื่อเพม่ิ การซาบซมึ น้ําของดิน และรกั ษาความชุม ช้ืนในดิน 2. เพือ่ ควบคุมการไหลบา ของนาํ้ และการชะลา งพังทลายของดนิ หลักเกณฑก ารนาํ ไปใช 1. การปลูกพืชตามแนวระดับขึ้นกับลักษณะของดิน ความลาดเท ลมฟาอากาศ และลักษณะการใชท่ีดิน การปลูกพืชตามแนวระดับท่ีมีประสิทธิภาพดีท่ีสุด ควรปฏิบัติบนพ้ืนท่ีท่ีมีความลาดเทต่ําประมาณ 2-7% และความยาวของ ความลาดเทไมเกนิ 100 เมตร ในพน้ื ทท่ี ีม่ ีความแหงแลง 2. ใชร ว มกับมาตรการอ่นื ๆ เชน คนั ดนิ ขน้ั บนั ไดดิน การไถพรวนและปลกู พชื ตามแนวระดบั 2. การยกรอ งปด หัวทา ย (Tied Ridging) ความหมาย การยกรองปดหัวทายเปนการปรับพื้นที่โดยการยกรองปลูกพืชเปนสองทิศทางคือ กลุมหนึ่งยกรองไปตามความลาดเทอีกกลุมหนึ่งยกรองในแนวต้ังฉากกับความลาดเททําใหเกิดเปน รูปส่เี หลยี่ มผนื ผาเล็กๆเต็มพน้ื ที่
6 วตั ถปุ ระสงค เพิ่มการกกั เกบ็ นํา้ ลดปรมิ าณนํา้ ไหลบา และลดการชะลา งพงั ทลายของดิน หลักเกณฑก ารนาํ ไปใช ใชเ สริมกบั การปลกู พชื ตามแนวระดับในพน้ื ท่ีท่ีมีความลาดเท ดินเปนดินทราย ปริมาณน้ําฝนนอยไม เกิน 800 มม. จะชวยเพ่ิมปริมาณความช้ืน ใหแกดินและใหผลผลิตพืชเพิ่มข้ึน แตมีขอเสียคือถาสรางสันรองสูงมากและมีปริมาณฝนตกมากก็ ทําใหเกิดปญหาน้ําแชขังซึ่งทําใหพืชท่ีปลูกเสียหายไดโดยเฉพาะในดินท่ีมีความสามารถอุมนํ้าไดดี แตม อี ตั ราการซาบซึมน้ําชา DWSC, China, 2000 การยกรองปด หัวทา ย 3. การยกรองตามแนวระดับ (Ridging) ความหมาย การยกรอ งตามแนวระดบั เปนการยกรอ งปลกู พชื โดยใชรองนา้ํ เปน ตัวแบงสนั ดนิ วัตถปุ ระสงค 1. ลดการชะลางพงั ทลายของดนิ 2. เพ่มิ การกกั เกบ็ นา้ํ ไวสาํ หรับการปลูกพชื หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช ใชไ ดด ใี นพน้ื ทท่ี ม่ี ีความลาดเทไมเ กนิ 12% และพน้ื ทท่ี ค่ี อ นขางแหง แลง ปรมิ าณนาํ้ ฝนนอย
7 การยกรอ งตามแนวระดับ 4. การทํารองนํ้าไปตามแนวระดบั (Contour Furrowing) ความหมาย การทาํ รอ งนํา้ ไปตามแนวระดับเปน การทํารองนา้ํ เดี่ยวๆ ทข่ี ุดขึน้ ขวางความลาดเท ของพื้นท่ี โดยมีการลดระดับรองนํ้าหรือไมลดระดับก็ไดความลึกของรองนํ้าอยูระหวาง 25-40 ซม. หรือขึ้นกับเนอื้ ดนิ สวนระยะหางของรองน้าํ ขนึ้ กบั ความลาดเทของพื้นทแ่ี ละปริมาณน้ําไหลบา วตั ถุประสงค 1. เพือ่ ตอ งการระบายนํา้ สวนท่ีเกินลงสูทางนา้ํ 2. เพอื่ ปองกนั การเกดิ การชะลา งพังทลายของดิน หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช 1. เหมาะสาํ หรับพ้นื ที่ทม่ี ปี รมิ าณนา้ํ ไหลบาหนา ดนิ ไมม ากนักและไมม ีปญหารุนแรง 2. ในบริเวณท่ีดินมีการซาบซึมและระบายน้ําดีมาก รองน้ําน้ีสามารถสรางในแนว ระดับแตถาดินมีการซึมซาบและระบายน้ําไมดีก็ควรลดระดับรองนํ้าเล็กนอย ระหวาง 0.25 – 0.5% นพิ นธ ตงั้ ธรรม, 2527 การทาํ รอ งนาํ้ ไปตามแนวระดบั
8 5. การยกแปลงและขดุ รอ งไปตามแนวระดบั (Broad – Ridging หรอื Bedding) ความหมาย การยกแปลงและขดุ รองไปตามแนวระดบั เปนการยกแปลงฐานกวา ง และขุดรอ ง แบง แยกพื้นที่ระหวางแปลงปลูกพืชไปตามแนวระดับ วตั ถุประสงค เพอ่ื ปลูกพืชผกั ในพ้นื ทค่ี อ นขา งลุม มนี ํ้าแชข งั และดนิ มีการซาบซึมนา้ํ ชา หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช 1. เหมาะสําหรับพืน้ ท่คี อ นขางราบความลาดเทไมค วรเกิน 8 % 2. ถาตองการระบายน้ําในรอ งออกไปไมค วรใหความลาดเทของรอ งนาํ้ เกนิ 0.5 % 3. ใชในพืน้ ท่ีที่ดนิ อัดตัวแนน และการซาบซมึ นาํ้ ชา 4. ไมเ หมาะสมสาํ หรับบรเิ วณท่ีเปนดนิ รว นพงั ทลายไดงา ย นพิ นธ ตัง้ ธรรม ,2527 การยกแปลงและขดุ รองไปตามแนวระดบั 6. คันดิน (Terracing) ความหมาย คนั ดินเปน สงิ่ กอ สรางทส่ี รา งขวางความลาดเทของพื้นที่โดยพน้ื ท่ีจะถูกแบงออกเปน ชวงๆ เพ่อื เก็บกักน้ําไหลบา ในแตละชว งหรอื เบนน้าํ ไหลบาออกไปจากพนื้ ที่ วัตถปุ ระสงค เพ่ือปองกนั การชะลา งพังทลายของดิน หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช 1. ใชส ําหรบั พืน้ ท่ีเพาะปลกู ท่มี ีความลาดเท 2 – 12% 2. คนั ดินแบบระดับ ความยาวไมจาํ กัด ใชใ นบริเวณที่มปี ริมาณฝนตกนอ ย
9 3. คันดินแบบลดระดับ ความยาวไมควรเกิน 300-600 เมตร หากความยาวเกินกวาท่ี กาํ หนดใหจ ดั ทาํ ทางระบายนา้ํ เปนระยะ เพอ่ื ลดความยาวของคนั ดนิ ใหอ ยูภายในพิกดั คนั ดิน 7. คันดินรับน้ํารูปคร่ึงวงกลม (Semicircular Bund) และคันดินรับน้ํารูปสี่เหลี่ยมคางหมู (Trapezoidal Bund) ความหมาย คันดินรบั นํ้ารูปครึง่ วงกลมและรูปสเ่ี หลีย่ มคางหมู เปนการทาํ คันดินใหเปน รปู ครึ่ง วงกลมและรปู สเ่ี หลีย่ มคางหมูตามแนวระดับ โดยใชแรงคนเพ่ือชว ยเก็บกักน้าํ ไหลบา จากพน้ื ที่ดา นบน วตั ถปุ ระสงค เพือ่ ตองการเก็บกักน้ําไวสาํ หรบั การปลกู พชื ในพื้นทีท่ ่มี ปี ริมาณนํา้ ฝนนอ ย หลักเกณฑการนําไปใช เหมาะสําหรับไรนาขนาดเล็กที่ปลูกไมยืนตนในพ้ืนที่ที่มีปริมาณนํ้าฝนนอยและดิน เปนดนิ ทรายหรือดนิ รว น Hudson, 1987 DWSC, China, 2000 Hudson, 1987 คนั ดนิ รบั น้ํารปู ครึง่ วงกลมและคนั ดนิ รบั น้ํารูปสี่เหลีย่ มคางหมู
10 8. คันดินเบนนํ้า (Diversion Terrace) ความหมาย คันดินเบนน้าํ เปนคนั ดินขนาดใหญท่สี รางข้ึนขวางความลาดเทของพน้ื ทโี่ ดยมีการ ลดระดับเพอื่ เบนนํา้ ที่ไหลบาลงมาจากพนื้ ทด่ี านบนไปยังทางระบายนํ้า วตั ถปุ ระสงค 1. เพื่อเบนนํ้าสวนใหญ ซ่ึงคันดินธรรมดาไมสามารถควบคุมไดออกจากพ้ืนที่ไป ยังรองนา้ํ หรือทางนํ้าธรรมชาติ 2. เพื่อปองกันพื้นที่เพาะปลูกที่อยูตํ่าลงมาจากการไหลบาของน้ําจากพ้ืนที่ ดานบนและปอ งกนั การกัดเซาะของดนิ หลักเกณฑการนาํ ไปใช 1. เปนคันดินขนาดใหญที่กอสรางตอนบนสุดของพ้ืนที่ ตองมีการคํานวณออกแบบ อยางถกู ตอ งเพื่อปอ งกันความเสยี หายทจ่ี ะเกดิ กบั คนั ดนิ สวนลาง 2. กรณีท่ีคนั ดนิ ธรรมดาไมสามารถควบคุมนา้ํ ไดก็ตอ งใชค นั ดนิ เบนนา้ํ รว มดว ย กรมพฒั นาทด่ี นิ , 2541 คนั ดนิ เบนนาํ้ 9. ข้ันบันไดดนิ (Bench Terraces) ความหมาย ขั้นบนั ไดดิน เปนการปรับพื้นทีเ่ ปนขั้นๆ ตอเนอื่ งกนั คลายขน้ั บนั ได วัตถปุ ระสงค 1. เพื่อลดความยาวและระดับของความลาดเท ชวยลดการไหลบาของนํ้าและ ควบคมุ การชะลางพงั ทลายของดนิ 2. เพ่อื สะดวกในการไถพรวน 3. เพือ่ เก็บกักน้าํ ไวใชใ นการเกษตร หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช
11 DWSC, China, 2000 1. ใชในพ้นื ที่ดินลกึ ขุดงาย 2. ข้ันบันไดดินแบบเอียงเขาใชในบริเวณที่ฝนตกมากกวา 650 มม./ป ดินลึกไม มากอัตราการซาบซึมน้ําปานกลางถงึ ตํา่ 3. ขั้นบนั ไดดินแบบลาดเอียงออก (Outward type ) ใชใ นบริเวณทม่ี คี วามลาดชัน ปานกลางฝนตกหนัก และดนิ ลกึ ถงึ ลึกมาก 4. ขั้นบันไดดินตองการคาใชจายในการกอสรางสูง ดังน้ันการนําไปใช ควรใชใน พน้ื ที่ที่ปลกู พชื แลว ใหผลผลิตไดด ี ข้นั บันไดดิน 10. ขั้นบันไดดนิ สาํ หรบั ไมผ ล (Orchard Bench Terrace) ความหมาย ขั้นบันไดดิน เปนการปรบั พน้ื ทเี่ ปน ขน้ั บนั ไดแบบแคบๆ สําหรับปลกู ไมผ ลโดยมี ความกวา งประมาณ 2 เมตรไปตามแถวไมผล วัตถุประสงค เพอื่ ลดความยาวของความลาดชันของพืน้ ท่ีออกเปน ชว งๆ สาํ หรบั ปลกู ไมผ ล หลกั เกณฑก ารนาํ ไปใช สําหรับพน้ื ท่ีทม่ี คี วามลาดชนั สงู และตองการทาํ เปน สวนไมผ ล
12 11. กาํ แพงหนิ (Stone Wall) ความหมาย กําแพงหนิ เปน การใชก อ นหนิ เรยี งขึน้ มาเปน กาํ แพงโดยมรี ะยะหา งทเี่ หมาะสมใน พน้ื ท่ที เี่ กิดการชะลางพงั ทลายของดนิ มาก วตั ถปุ ระสงค 1. เพอื่ ลดการสญู เสยี ดนิ และนา้ํ ดักตะกอนดินท่ถี ูกชะลา งจากพื้นท่ตี อนบนและ สามารถปรับตวั เปน ขนั้ บนั ไดดินตามธรรมชาตไิ ด 2. เพื่อชว ยลดระดับความลาดชันทําใหก ารปลูกพืช การไถพรวนและการใชเ ครือ่ ง จักรกลสะดวก 3. เปนการนํากอนหินทมี่ ีอยบู นพ้ืนท่ลี าดชันบรเิ วณน้ันมาใชประโยชน หลกั เกณฑก ารนําไปใช 1. ใชใ นพ้นื ทม่ี กี อ นหินและกอ นกรวดมาก 2. ใชเปนเชงิ ลาดดานนอกของขัน้ บันไดหรือครู ับน้าํ ขอบเขา หมายเหตุ : อาจใชไมโ ตเรว็ แทนหรือวสั ดุอื่นๆแทนได เชน ไมยคู าลปิ ตัส กระถินยกั ษ กระสอบทราย หรือไมห ลกั ปก ใหมคี วามสงู ตามความเหมาะสม DWSC, China, 2000 12. คูรับนํ้า กาํ แพงหนิ ขอบเขา (Hillside Ditches) ความหมาย คูรับน้ําขอบเขาเปนคูรับนํ้าที่สรางบริเวณขอบเขาตามแนวระดับหรือลดระดับ เปนรูปสามเหลี่ยมหรือรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ระยะหางของคูขึ้นอยูกับสภาพภูมิประเทศและ ส่ิงแวดลอม วัตถุประสงค
13 เพ่ือลดความยาวของความลาดเทของพ้ืนที่ท่ีมีความลาดชันสูงออกเปนชวงๆ เพ่ือ เกบ็ กกั นํ้าหรือระบายน้าํ ออกไปในทศิ ทางที่ตอ งการ ทาํ ใหน้ําไหลบาแตละชวงมีปริมาณนอย ลดการ กดั เซาะและการพงั ทลายของดิน นอกจากน้ียังใชเปน ทางลาํ เลียงได หลกั เกณฑการนําไปใช 1. คูรับน้ําขอบเขาเหมาะสมสําหรับพ้ืนท่ีท่ีมีความลาดเทนอยกวา 40% ถาใช รวมกับข้ันบันไดดินแบบลาดเทออก (outward type) หรือแถบหญาจะสามารถใชไดในพ้ืนท่ีลาดเท มากกวา 40% 2. ถาพ้ืนท่ีระหวางคูรับน้ําขอบเขามีการปลูกหญารูซี่ ( Brachiaria ruziziensis ) หญาบาเฮีย ( Paspalum notatum ) หญาคอสตอลเบอรมิวดา ( Cynodon dactylon ) และหญา เจาชู (Chrysopogon aciculatus Trin.) คูรับน้ําขอบเขานี้สามารถใชในพ้ืนที่ท่ีมีความลาดเทไดถึง 55% 3. คูรับน้ําขอบเขาสามารถขยายฐานไดกวางข้นึ ในพนื้ ที่ทมี่ คี วามลาดเทนอย สวนคู รับนํ้าขอบเขาท่มี ฐี านแคบใชใ นพนื้ ท่ีทม่ี ีความลาดชันสงู กวา 4. ควรมีการบํารุงรักษาคูรับนํ้าขอบเขาโดยการปลูกหญาบริเวณคูรับนํ้าขอบเขาท้ัง บนเชงิ ลาดดา นนอก เชิงลาดดา นใน และบนคูรับนํา้ 13. ฐานปลูกไมผ ลเฉพาะตน ( Individual Basin ) ความหมาย ฐานปลกู ไมผลเฉพาะตน เปน การปรับพื้นทเี่ ปน ฐานขนาดเล็กทีท่ ําข้นึ สําหรับปลูก ตนไมแตละตนโดยเฉพาะในพ้ืนที่ที่มีความชันสูง เสนผาศูนยกลางข้ึนกับขนาดทรงพุมของตนไมท่ี ปลูกฐานปลูกไมผลเฉพาะตน มี 2 แบบคอื ฐานรปู วงกลม และฐานรูปส่ีเหล่ยี ม วัตถปุ ระสงค 1. เพอื่ ปอ งกนั การชะลางพงั ทลายของดิน 2. เพอ่ื เกบ็ กกั นาํ้ หลกั เกณฑการนําไปใช 1. ใชกบั พืน้ ทที่ มี่ ีความลาดเทต่ําถงึ ลาดชันสงู 2. ใชร วมกับครู บั นํ้าขอบเขาและดนิ มกี ารซึมนํา้ เร็ว 3. ลงทนุ ต่ํา สามารถใชแรงงานคนขุดได 4. ใชในกรณีทตี่ องการลดตน ทุนจากการทาํ ขั้นบนั ไดดิน 5. ใชก ับพื้นท่ที ี่เปน สวนผลไมเ กา ท่ีปลูกพืชไปแลวโดยไมไดวางระดับ
14 ฐานปลูกไมผลเฉพาะตน 14. คนั ชลอความเรว็ ของน้าํ (Check Dam) ความหมาย คันชลอความเร็วของน้ําเปนส่ิงกอสรางท่ีสรางข้ึนในพ้ืนท่ีท่ีมีการชะลางพังทลาย ของดนิ แบบรองลึก โดยสรางขวางเปนชวงๆ ในรองนํ้าท่ีมีการกัดเซาะ อาจสรางดวย เศษไม เศษพืช หิน ดิน หรือคอนกรีตก็ได หรือเปนส่ิงกอสรางที่ชวยลดปญหาการกัดเซาะในทางระบายน้ําที่ ปูดวยหญา วตั ถุประสงค เพ่ือชลอความเร็วของน้ําและชวยใหเกิดการตกตะกอนทับถมในรองน้ํา ทําใหรอง น้ําตื้นเขิน และชวยใหพ ชื ตางๆ ในรองน้ําที่เพิ่งงอกใหมไมถูกนํ้าพัดพาไปสามารถเจริญเติบโตข้ึนปก คลุมรองน้ําไดเ ร็วข้ึน หลกั เกณฑก ารนําไปใช ใชกับพืน้ ท่ที ่มี ีการชะลางพงั ทลายแบบรองลกึ หรือในทางระบายนํ้า DWSC, China, 200ค0นั ชลอควาDมWเรSว็ Cข,อCงhนinํา้ aส,ร2า0ง0ด0ว ยคอนกรีต ดิน หิน
15 15. ทางระบายนาํ้ (Waterways) ความหมาย ทางระบายนํ้าเปนสิ่งกอสรางท่ีสรางขึ้นเพ่ือรับน้ําจากพ้ืนท่ีตางๆ ซ่ึงถูกเบนมา เพ่ือใหไหลไปยังแหลงที่ตองการ เชน อางเก็บนํ้า ทุงหญาเลี้ยงสัตว และ แหลงนํ้าธรรมชาติ เปนตน ทางระบายน้าํ แบง ออกเปน 2 ประเภทคอื 1. Mechanical waterways เปน ทางระบายนาํ้ ท่ีสรา งขน้ึ ดวยวัสดุถาวร เชน สรางดวย อิฐ หนิ และคอนกรตี 1.1 ทางระบายนา้ํ ท่ีกอ สรางดวยอฐิ (Brick Ditches) ความหมาย ทางระบายนา้ํ ทกี่ อสรา งดว ยอฐิ เปน ทางระบายนา้ํ ท่ีสรางดวยอิฐเพอื่ ระบายนา้ํ ท่มี ี กระแสนาํ้ แรง วัตถุประสงค 1. เพ่ือระบายนา้ํ ในพนื้ ทท่ี ม่ี ีความลาดเทสงู 2. เพ่ือปองกันการพงั ทลายของทางระบายน้าํ หลกั เกณฑก ารนําไปใช 1. เหมาะสมกับระบบระบายนาํ้ ทกุ ชนดิ ในไรน า 2. ใชไ ดดสี ําหรบั ท่ีทมี่ คี วามลาดเทไมสมํ่าเสมอ ลมุ ๆ ดอนๆ มกี ารเปลย่ี นแปลง ความลาดเทมาก และในบริเวณทีไ่ มส ามารถหากอ นหินได 3. ทางระบายนาํ้ ดว ยอฐิ นี้ หากสรา งแบบกน กวา งและตนื้ แลว อาจทาํ เปนทาง ขา มได 1.2 ทางระบายนาํ้ ท่ีกอ สรางดว ยหิน ( Stone Ditches ) ความหมาย ทางระบายนา้ํ ที่กอสรา งดวยหนิ เปน ทางระบายน้าํ ทส่ี รางดว ยหินโบกปนู หรือหนิ ฉาบทบั ดว ยซีเมนต วตั ถุประสงค 1.1 เพอ่ื เปน ทางระบายนํา้ และปอ งกันทางระบายนาํ้ ไมใ หพ งั ทลาย 1.2 เพื่อใชก อ นหนิ บริเวณนน้ั ใหเปนประโยชน หลกั เกณฑก ารนําไปใช 1. สําหรับระบายน้าํ ในไรนา ขางถนน หรอื ทอ่ี นื่ ๆ 2. ใชใ นพนื้ ทที่ ี่มคี วามจาํ เปน ตอ งสรา งทางระบายนา้ํ ท่ีมีความลาดชนั
16 3. ใชใ นบรเิ วณท่มี กี อนหนิ มากและหาไดง า ย 3. บรเิ วณท่สี รา งตดั ผานถนนควรสรา งทางระบายนา้ํ ใหก วา งพน้ื ทหี่ นาตดั ตน้ื ทง้ั นเ้ี พ่ือให เครอื่ งจกั รกลในไรนาผา นไดง า ย DWSC, China, 2000 ทางระบายนา้ํ กอ สรา งดวยหิน และคอนกรีต 2. Vegetated waterways เปน ทางระบายนา้ํ ทสี่ รา งขน้ึ ดว ยการปูแตง พน้ื รอ งนา้ํ ดวย หญาหรอื พชื ชนิดอืน่ ๆ 2.1 ทางระบายนา้ํ ทีม่ กี ารปลกู หญา ( Grass Waterways ) ความหมาย ทางระบายน้ําทม่ี กี ารปลูกหญา เปนทางระบายน้ําทม่ี กี ารปลูกหญาปกคลมุ วัตถปุ ระสงค 1. รบั น้าํ จากพืน้ ที่ดา นบนและเบนออกไป เชน รับนํา้ จากคนั ดนิ 2. ชะลอความเรว็ ของนาํ้ ท่ีไหล หลกั เกณฑการนําไปใช 1. ใชกบั ระบบระบายนํ้าทกุ ชนิดในไรน า 2. เหมาะสาํ หรบั พ้ืนท่ีที่มีความลาดเทตํา่ 3. ทางระบายนํ้าไมควรยาวเกิน 30 ม. ถาความยาวเกินควรมีอาคารลด ระดบั เปนชวงๆ 4. ไมควรใชท างระบายน้ําจนกวาจะมีพชื ขึน้ ปกคลุม
17 ทางระบายนาํ้ ทม่ี ีการปลกู หญาแฝก 16. สิ่งกอสรา งชลอความเรว็ ของนา้ํ ในทางระบายนํา้ ( Drop Structure ) ความหมาย ส่งิ กอ สรางชลอความเร็วของน้ําในทางระบายนา้ํ เปน สง่ิ กอสรางเปน ชวงๆ ในทาง ระบายนํา้ ทีก่ อ สรางขน้ึ ใหม หรือปรบั ปรงุ จากรองนา้ํ ธรรมชาติ เพอื่ ใชใ นการชลอความเรว็ ของนํ้า ไมใหกัดเซาะทําความเสียหายแกท างระบายนา้ํ วตั ถปุ ระสงค เพอื่ ปอ งกันไมใ หเกดิ การชะลา งแบบรอ งลกึ ในทางระบายนา้ํ หลกั เกณฑการนาํ ไปใช 1. ใชกับทางระบายนาํ้ ทมี่ ีความลาดชนั มีกระแสนํ้าไหลแรง และมคี วามยาวมาก 2. สามารถใชว สั ดุราคาถูกทหี่ าไดง า ยในพนื้ ท่ี เชน หนิ ทมี่ อี ยใู นธรรมชาติ กระสอบ ปุย บรรจุทรายผสมซเี มนต หรอื อิฐบลอ็ ก 17. บอดกั ตะกอน (Sediment Trap หรือ Sand Trap ) สงิ่ กอสรา งชลอความเรว็ ของนาํ้ ในทางระบายนาํ้
18 ความหมาย บอ ดกั ตะกอนเปนบอขนาดเลก็ ทส่ี รางขึ้นเพื่อดกั ตะกอนที่ไหลมาตามทางระบายนา้ํ กอนลงสบู อ นาํ้ ประจําไรน า วัตถุประสงค เพอื่ ดกั ตะกอนท่ีไหลมาตามนาํ้ ไมใหลงไปทับถมบอนํ้าประจําไรนา ทาํ ใหอ ายกุ าร ใชงานของบอนํ้ายาวนานขนึ้ และเปน การรกั ษาคณุ ภาพของนาํ้ ดว ย หลักเกณฑก ารนําไปใช สรา งเหนือพื้นที่อางเก็บนํ้ากอ นทน่ี ํา้ จะไหลลงสูอ า งเกบ็ นํา้ บอดักตะกอน 18.บอ นํ้าในไรน า (Farm Pond) ความหมาย บอน้ําในไรนาเปนพื้นที่ที่สรางข้ึนโดยการขุดหรือทําคันดินลอมรอบสําหรับเก็บกัก นํา้ ไวใ ชในพนื้ ทกี่ ารเกษตร หรือถมดนิ ขวางกน้ั ทางเดนิ น้าํ หรือรองน้ํา วัตถปุ ระสงค 1. เพื่อรับนํ้าจากคันดินเบนนํ้าลงมากักเก็บและนําน้ําไปใชในพื้นที่ทําการเกษตร ในชวงที่มีฝนทิ้งชวงและในชวงฤดูแลง นอกจากน้ียังใชเพื่อการอุปโภค บริโภค และเลีย้ งสัตว 2. เพอ่ื ลดปญหานํา้ ทวม หลักเกณฑการนาํ ไปใช 1. ใชสําหรับพน้ื ที่ท่ีเปน ท่ีลุมมนี าํ้ ขงั โดยขดุ ดินตรงจดุ ต่ําสดุ เพอื่ กกั เก็บน้าํ
19 2. กรณีที่มีคลองหรือลําธารอยูขางเคียงพื้นที่ก็ใชวิธีสูบนํ้าหรือระบายน้ํามากัก เก็บไวใ นบอ ทส่ี รา งข้ึน 3. ถาในบริเวณพ้ืนที่มีนํ้าหรือตานํ้าที่ไหลมาจากน้ําพุท่ีเปนนํ้าสะอาดก็สามารถ ขุดบอ เกบ็ กักนํ้าไวใ ชไ ด 4. พ้ืนทท่ี ี่มีนํ้าไหลมาก็ทําคันกั้นปดนาํ มากักเก็บไว บอนา้ํ ในไรน า 19. ระบบการใหน ้ําพชื แบบประหยัด ระบบการใหน้ําพืชแบบประหยัดเปนการใหนํ้าแกพืชในปรมาณที่พืชตองการคร้ังละนอย ๆ แตบอยคร้ัง เปนระบบการใหน้ําที่มีประสิทธิภาพสูงดวยอัตราการใหนํ้าท่ีตํ่า และเปนการใหน้ําแก พชื เฉพาะจดุ เปน ระบบการใหน า้ํ ท่ีมีประสทิ ธิภาพสูงจดั เปนการอนุรักษน้ําวิธีหน่ึงมีหลายวิธีการ เชน ระบบการใหน ํา้ แบบมินิสปรงิ เกอร ระบบการใหนาํ้ แบบหยด ระบบน้ําซมึ บอ น้ําในไรน า อรณุ ดรพิ 20. ถนนเช่อื มโยงในไรน า (Access Roadway) ระบบการใหน าํ้ พืชแบบนาํ้ แบบมนิ สิ ปริงเกอร และแบบหยด
20 ความหมาย ถนนเช่ือมโยงในไรนาเปนถนนเชื่อมระหวางคูรับนํ้าขอบเขาหรือทางเดินเทาบน ข้นั บันไดดนิ กับถนนซอยหรือถนนสายหลักบนพน้ื ท่เี พาะปลูกท่มี ีความสงู ชนั วัตถปุ ระสงค 1. เพื่อเช่ือมคูรับนํ้าขอบเขาหรือทางเดินเทากับระบบถนนภายในแปลงเพาะปลูก เขา ดว ยกันใหต ิดตอ เชือ่ มโยงกันไดต ลอด 2. เพอ่ื เปนทางสญั จรของเครือ่ งจกั รกลท่ใี ชป ฏบิ ัตงิ านในแปลงเพาะปลูกใหเขา สู แปลงปลูกพชื ไดต ลอดทว่ั ทัง้ แปลง 3. เพื่อทําใหระบบถนนในแปลงเพาะปลูกในพ้ืนที่ลาดชันมีประสิทธิภาพสูงติด กนั ไดห มด หลกั เกณฑการนําไปใช ใชในพื้นท่ีคูรับน้ําขอบเขา หรือทางเดินเทาที่ไมมีทางเช่ือมโยงติดตอกับถนนซอย หรือถนนสายหลักในพื้นท่ีเพาะปลูกบนพ้ืนท่ีลาดชันใหเชื่อมตอกันไดหมดเพ่ือสะดวกในการ ดําเนนิ งานในแปลง ถนนเชื่อมโยงในไรนา 21. ทางลําเลียงในไรนา (Farm Road) ความหมาย ทางลําเลียงในไรนาหมายถึงทางลําเลียงที่สรางโดยการทําคันดินใหมีขนาดใหญข้ึนสําหรับ ใชเปน ทางลาํ เลียงผลิตผลการเกษตรสูตลาด วัตถุประสงค 1. เพอื่ ความสะดวกในการขนสง ผลติ ผลจากพน้ื ทเ่ี กษตรสตู ลาด 2. เพื่อเปนถนนใหเ ครอ่ื งจักรกลเขาทาํ งานในพืน้ ที่เพาะปลูก
21 หลักเกณฑก ารนําไปใช ใชใ นพืน้ ทท่ี ําการเกษตรทม่ี ีความลาดเท 2 – 12 % ทางลาํ เลยี งในไรนา 22. การไถพรวนดินลาง ( Sub Soiling ) ความหมาย การไถพรวนดินลางเปนการทําใหดินชั้นลางแตกแยกโดยไมยกดินช้ันลางขึ้นมาบน ผิวหนาดิน โดยการใชเคร่ืองจักรกลไถพรวนดินช้ันลาง ปกติจะลึกไมนอยกวา 35 ซม. หรือในบาง ทองท่อี าจลึกกวา 60 ซม. วตั ถปุ ระสงค 1. เพื่อตองการเพิ่มอัตราการซาบซมึ น้ําและการเก็บกกั น้าํ ไวในดนิ ใหไ ดม ากทีส่ ุด 2. ชวยทาํ ลายชั้นอดั แนน บริเวณดนิ ช้ันลาง หลกั เกณฑการนําไปใช ใชใ นพนื้ ทท่ี ม่ี ปี ญ หาดนิ ช้นั ลางถกู อัดแนน การซึมซาบน้าํ ชา และดนิ ตน้ื
22 23. การปลกู พืชโดยไมไถพรวน (No-Tillage ) ความหมาย การปลกู พืชแบบไมไถพรวนเปนการปลูกพชื โดยไมม กี ารไถพรวนดนิ วัตถปุ ระสงค 1. ชว ยใหป รมิ าณธาตอุ าหารและอินทรยี ว ตั ถยุ งั คงอยูในดนิ ไมถูกชะลา ง พังทลายไป 2. เพอ่ื สงวนรกั ษาความช้นื ของดิน และควบคมุ อณุ หภูมิบรเิ วณผิวดินในตอน การไถพรวนดนิ ลา ง กลางวันไมใหร อ นจดั เกนิ ไป 3. ชว ยรกั ษาโครงสรา งทางกายภาพของดนิ เชน ความหนาแนน ของดนิ ไมใ หเ กดิ ความแนน ทึบจากการใชเ คร่อื งจกั รกลการเกษตร หลักเกณฑก ารนาํ ไปใช 1. ไมเหมาะสมสาํ หรบั ดินที่มคี วามอุดมสมบรู ณต า่ํ และดินควรมกี ารระบายนา้ํ ดี 2. ไมเ หมาะสมสาํ หรบั การปลกู พืชที่มหี วั ใตด ิน 3. ควรใชห รือมวี สั ดุคลมุ ดินจงึ จะไดผล 4. ชวงการปลูกพืช ดนิ ควรมีความชน้ื พอดีไมเ ปยกแฉะจนเกนิ ไป 24.การไถพรวนนอ ยครงั้ ( Minimum Tillage ) ความหมาย การไถพรวนนอยคร้ังเปนการไถพรวนดินที่มีจํานวนครั้งของการไถนอยที่สุดในการ เตรียมดนิ สาํ หรบั การปลูกพืช วตั ถุประสงค 1. เพ่ือปองกันการชะลา งพังทลายของดินและการอดั แนนเปน แผน แขง็ ของผิวดนิ 2. เพอ่ื ประหยดั พลงั งานและแรงงานในการเตรียมดินปลกู พืช หลักเกณฑการนําไปใช 1. เหมาะสมสําหรับพืน้ ทท่ี ่ีมีดินรวน ดินรว นปนทราย และมีการระบายนํ้าดี 2. ไมเหมาะสมสําหรับพ้ืนท่ีท่ีมีดินเนื้อละเอียด เชน ดินรวนปนดินเหนียว ดินทรายแปง และดินเหนียว ท่ีมกี ารระบายนํ้าไมด ี
23 มาตรการทางพืช ( Vegetative measures ) การอนุรักษดินและนํ้าโดยวิธีพืชเปนการใชพืชพวกตระกูลถ่ัวบํารุงดิน หญาเล้ียงสัตว หรือ หญาธรรมชาติปลูกเปนแถบขวางความลาดเทของพื้นท่ีเพ่ือดักตะกอนดินและน้ํา และชวยปรับปรุง บาํ รุงดนิ มหี ลายวิธกี ารไดแ ก 1. การปลกู พชื คลุมดิน (Cover Cropping ) ความหมาย การปลูกพืชคลมุ ดินเปนการปลกู หญา หรอื พืชตระกูลถัว่ คลมุ ดินซงึ่ เมื่อปลกู แลว จะ ปกคลมุ ผิวหนาดินชว ยควบคมุ การชะลางพงั ทลายของดินและปรบั ปรงุ บาํ รุงดนิ วตั ถุประสงค 1. ปอ งกันเม็ดฝนมิใหกระทบผิวดนิ โดยตรง และลดการชะลางผิวหนาดนิ 2. เพือ่ เพ่ิมอินทรียวัตถุในดินและปรบั ปรงุ คุณสมบตั ิทางกายภาพของดนิ 3. ควบคุมวชั พชื 4. ชวยปรบั สภาพแวดลอมบริเวณปลกู พชื ใหเหมาะสม หลกั เกณฑก ารนําไปใช 1. เหมาะสมอยา งยิง่ ในการปลูกคลุมดนิ ในสวนไมผ ล 2. เหมาะสมสาํ หรับปลูกบนพืน้ ที่ท่ีมีความลาดชันสูงเกนิ 20% และเปน ดนิ เลวใช ปลกู พชื เศรษฐกจิ ไมค มุ คาก็ควรปลกู หญาและพชื ตระกลู ถ่ัวคลมุ ดิน การปลูกพืชคลุมดนิ 2. การคลุมดิน ( Mulching ) ความหมาย การคลุมดินเปนการใชวัสดุตางๆคลุมดินเพื่ออนุรักษดินและน้ํา เชน เศษซากพืช ฟางขาว หรอื วัสดุอืน่ ๆ
24 วัตถุประสงค 1. เพื่อลดปริมาณน้ําไหลบาและลดการสญู เสียดิน 2. เพอ่ื ควบคุมวัชพชื และลดคา ใชจา ยในการกําจดั วัชพืช 3. เพอื่ ควบคมุ อณุ หภมู ดิ ิน 4. เพื่อเพมิ่ อินทรยี วตั ถใุ นดิน 5. เพ่ือลดการระเหยน้ําจากผิวดินทําใหดินสามารถเก็บความชื้นไวในดินได ยาวนานข้ึน หลักเกณฑก ารนาํ ไปใช ใชไดทุกกรณแี ลวแตว ตั ถปุ ระสงคของการนาํ ไปใช เชน ใชเปน วสั ดุคลุมดินกับพืช ผัก ไมผ ล และ พชื ไร เปน ตน หมายเหตุ : วิธีการคลมุ ดินอาจใชว สั ดอุ น่ื ๆ เชน พลาสติก กระดาษ และอ่นื ๆ การคลมุ ดิน 3. การปลกู พชื ปยุ สด ( Green manure Cropping ) ความหมาย การปลกู พชื ปยุ สดเปนการปลกู พืชตระกูลถัว่ เพอ่ื ไถกลบคลุกเคลา กบั ดิน วตั ถุประสงค 1. เพอ่ื ปรบั ปรงุ คุณสมบัตทิ างกายภาพ ทางเคมี และชีวภาพของดิน 2. เพ่ือเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน โดยเฉพาะอยางย่ิงธาตุไนโตรเจน เมื่อปลูก พชื ตระกลู ถ่วั เปน พชื ปยุ สด 3. เพ่ือลดการชะลา งพงั ทลายของดนิ หลกั เกณฑการนําไปใช ใชเ พือ่ การปรับปรุงบํารุงดนิ เชน ใชรวมกบั การปลกู พืชหมนุ เวยี น และการปลกู พืชแซม
25 การปลูกพชื ปุยสด 4. การปลูกพืชสลบั เปนแถบ (Strip Cropping) ความหมาย การปลกู พชื สลบั เปน แถบเปน การปลกู พชื ทีม่ ีระยะปลกู ถี่และหางเปน แถบสลบั กันขวาง ความลาดเทของพนื้ ท่ีตามแนวระดับหรือไมเปนไปตามแนวระดับก็ได วัตถปุ ระสงค 1. เพื่อลดปริมาณการเคล่ือนยายหนาดิน และลดอัตราการไหลบาของน้ําฝนผาน พืน้ ท่ีเพาะปลูกตามแนวความลาดเท 2. เพื่อปรบั ปรงุ บาํ รงุ ดิน 3. เพ่อื ลดความเสยี หายของพืชท่ีปลกู 4. ลดการระบาดของโรคและแมลง หลักเกณฑการนาํ ไปใช 1. ใชในพื้นที่ทม่ี ีความลาดเทไมเ กิน 15 เปอรเซน็ ต ถา พ้ืนท่มี ีความลาดเทมากกวา นี้ก็สามารถใชไดแตค วรมีมาตรการอนุรกั ษดินและน้าํ วธิ อี ื่นๆรวมดว ย 2. ชนิดของพืชท่ีปลูกควรเปนพืชที่มีระยะปลูกชิด เชน ถั่วลิสง ถ่ัวเหลืองสลับกับ แถบขา วไร ขา วโพด และ ขา วฟาง
26 การปลูกพืชสลบั เปน แถบ 5. การปลกู พชื หมนุ เวียน ( Crop Rotation ) ความหมาย การปลูกพืชหมุนเวียนเปนการปลูกพืชสองชนิดหรือมากกวาหมุนเวียนกันลงบน พืน้ ที่เดยี วกัน โดยจัดชนิดของพืชและเวลาปลกู ใหเ หมาะสม วตั ถปุ ระสงค 1. เพือ่ การอนรุ กั ษดินและนาํ้ และการใชท ่ดี นิ อยางมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. เพื่อใหดนิ มีความอุดมสมบรู ณ และมคี วามสามารถในการใหผลผลิตพชื สูงเปน ระยะ เวลานาน 3. ชวยใหเ กิดการหมุนเวียนการใชธ าตุอาหารของพืช 4. การปลูกพชื หมุนเวยี นจะมอี ตั ราการเส่ียงนอยกวาการปลกู พชื ชนิดเดยี ว 5. เพม่ิ รายไดใหกบั เกษตรกรโดยตรง เพราะวา การปลูกพชื หมุนเวียนมกี ารปลกู พืช มากกวา 1 ชนดิ 6. สามารถควบคุมและลดการระบาดของโรคแมลงและวชั พืช 7. เพ่อื ใหมงี านทาํ ตลอดป หลักเกณฑก ารนําไปใช 1. ใชพืชทมี่ รี ะบบรากลึกสลบั กับพชื ทม่ี ีระบบรากตนื้ 2. ใชพชื เศรษฐกจิ หมนุ เวยี นกบั พชื ตระกลู ถว่ั หรือพืชตระกลู หญา
27 การปลูกพืชหมนุ เวยี น 6. การปลกู พชื แซม ( Intercropping ) ความหมาย การปลูกพืชแซมเปนการปลูกพืชตั้งแต 2 ชนิด ข้ึนไปบนพื้นที่ในเวลาเดียวกัน โดย ทําการปลกู พืชทส่ี องแซมลงในระหวา งแถวของพืชแรกหรอื พชื หลัก วัตถุประสงค 1. เพ่ือการอนุรักษดินและน้ํา โดยการเพิ่มประชากรพืชที่ปกคลุมดิน ชวยลดการ ระเหยน้ําจากผวิ ดิน 2. ลดการเสย่ี งตอความเสยี หายของพืชทจ่ี ะเกิดขึ้น 3. เปน การเพม่ิ ประสทิ ธิภาพในการผลิตตอ พื้นที่ใหสูงขน้ึ 4. ทําใหโ รค แมลงและวชั พชื นอ ยลง หลักเกณฑการนําไปใช 1. พืชแซมควรมอี ายสุ น้ั กวาพชื หลกั 2. พชื แซมควรจะเปนพืชตระกูลถัว่ 3. ระบบรากของพชื หลักและพืชแซมควรมีระดบั ที่แตกตางกัน 4. ในปจจุบันระบบการปลูกพชื แซมควรเลือกพชื ที่สามารถทาํ รายไดด ี 5. พชื แซมไมควรเปน ท่ีอยอู าศัยและเปนตน กําเนดิ ของโรค
28 การปลูกพืชแซม 7. การปลูกพืชเหล่อื มฤดู ( Relay Cropping ) ความหมาย การปลูกพืชเหล่ือมฤดูเปนการปลูกพืชตอเน่ืองคาบเกี่ยวกัน โดยการปลูกพืชที่สอง ระหวา งแถวของพืชแรก ในขณะที่พืชแรกใหผลผลติ แตยังไมแกเตม็ ที่ วัตถปุ ระสงค 1. เพ่อื การอนรุ ักษด ินและนา้ํ 2. เพ่ิมรายไดตอ พื้นทม่ี ากขน้ึ 3. พืชแรกจะเปนพืชพ่ีเลี้ยงใหกับพืชที่สอง เชน ชวยเปนรมเงา เปนคางหรือเปน วสั ดคุ ลุมดนิ 4. สามารถใชพื้นท่ี เวลา ความช้ืน และปุยเคมีท่ีตกคางในดินใหเปนประโยชนกับ พืชทจ่ี ะปลูกตามมา หลักเกณฑการนําไปใช 1. พืชท่ีสองทจ่ี ะปลูกตามมาควรเปนพชื ตระกลู ถัว่ อายสุ ้นั และทนรม เงา 2. พืชแรกและพืชท่ีสองควรเปน พืชตางตระกลู เพอ่ื ขจดั ปญหาโรคและแมลงสะสม 3. ใชไ ดทุกสภาพพน้ื ที่ การปลูกพืชเหล่ือมฤดู
29 8. การปลกู พชื ระหวา งแถบไมพ ุมบาํ รงุ ดิน ( Alley Cropping ) ความหมาย การปลกู พืชระหวางแถบไมพุมบํารุงดิน เปนการปลูกพืชระหวางแถบไมพุมบํารุงดินซึ่งปลูกตาม แนวระดับ วตั ถุประสงค 1. เพอื่ ลดการชะลางพังทลายของดนิ 2. เพื่อปรบั ปรงุ โครงสรา งและความอดุ มสมบรู ณข องดิน 3. เพื่อใหสามารถผลิตพืชผลไดอยางมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อเปน การสรางมาตรการอนรุ กั ษดนิ และนํา้ ทล่ี งทนุ ต่ําแตม ีประสิทธภิ าพสูง หลักเกณฑการนาํ ไปใช สามารถนาํ ไปใชใ นพน้ื ท่ีที่มีความลาดเทต่าํ ถึงความลาดชันสูงรวมกบั มาตรการอนรุ กั ษอ่ืนๆ ได การปลูกพืชระหวา งแถบไมพ ุม บํารงุ ดนิ 9. คันซากพืช ( Contour Trash Line ) ความหมาย คันซากพืชเปนการนําซากพืชที่เกิดจากการบุกเบิกพื้นที่หรือท่ีเหลือหลังการเก็บ เกี่ยวแลวมาวางสุมใหสูงประมาณ 50 ซม. เปนคันตามแนวระดับไวเปนระยะๆ หางกัน ประมาณ 20-40 เมตร หรือตามแนวคันดนิ ก้นั นา้ํ วัตถปุ ระสงค 1. เพือ่ ชว ยลดความเรว็ ของนํา้ ไหลบา และดกั ตะกอนดิน 2. เพ่อื ใชเศษเหลือของพชื ใหเ กดิ ประโยชนในการปรับปรุงบํารงุ ดิน
30 หลกั เกณฑการนําไปใช ควรดําเนนิ การในขณะทบ่ี ุกเบกิ พื้นท่ใี หม และไมมีทุนหรือเวลาเพยี งพอในการทํา คนั ดินแบบอื่น ซ่งึ ในอนาคตสามารถเปลี่ยนคันซากพชื ใหเปนแนวคันดนิ ได คนั ซากพืช 10. ไมบ ังลม ( Windbreak ) ความหมาย ไมบังลมเปนแถบตนไมห รือหญาสูงท่ปี ลกู เปน ระยะๆโดยมรี ะยะหางของแถบที่ เหมาะสมเพ่ือปองกันการสูญเสียดิน สูญเสียนํ้า และผลเสียหายที่จะเกิดแกพืชอันเนื่องมาจาก แรงลม วัตถปุ ระสงค 1. เพื่อควบคมุ การสูญเสยี ดินเนอื่ งจากแรงลม 2. เพอ่ื ลดความเสียหายของพชื อาทิ เชน การฉีกหักของก่งิ ไมแ ละการรวงหลนของผล จากแรงลม 3. เพือ่ ลดอตั ราการระเหยของนา้ํ จากผวิ ดิน ผิวนํา้ ของอา งเกบ็ นา้ํ และจากการ คายนาํ้ ของพชื 4. เพอ่ื ลดความเสียหายอนั เนอื่ งมาจากละอองเกลอื ในพนื้ ทใี่ กลทะเล 5. เพอ่ื เสริมแถบหญา ในบริเวณท่ีมลี มแรงใหเ จรญิ เติบโตดขี นึ้ หลักเกณฑก ารนาํ ไปใช 1. บรเิ วณพ้ืนที่ท่ีมีลมแรงทั้งในพื้นท่ีราบและพ้ืนท่ีสูงและมีโอกาสเกิดการเสียหาย จากแรงลมเชน พนื้ ท่ีทีโ่ ลง ตดิ ตอ กนั เปน บรเิ วณกวางหรอื อยใู นแนวลม 2. พ้นื ท่ีท่ตี องการสงวนความชื้นไวเ ชน พ้นื ทท่ี ี่มีแหลง เกบ็ นา้ํ ขนาดเลก็ 3. พ้นื ทีใ่ กลชายทะเล
31 4. พืชทใ่ี ชเปนไมบ งั ลมควรมีระบบรากลกึ กิ่งเหนยี วแนน เชน กระถินณรงค กระถินยกั ษ สน ไมไผ และมะขาม DWSC, China, 2000 ไมบงั ลม
32 บรรณานุกรม กลมุ อนรุ ักษดนิ และนาํ้ . 2544. นยิ ามและทางเลอื กมาตรการอนรุ กั ษด ินและนาํ้ . กองอนรุ กั ษด นิ และ น้ํา, กรมพฒั นาท่ดี นิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ 96 หนา. จุฑา กฤษณามระ. 2543. การกาํ หนดวิธกี ารอนรุ ักษด นิ และนาํ้ , วารสารพัฒนาท่ดี นิ ปท ี่ 28 ฉบบั ที่ 308 มกราคม 2534 หนา 7 – 9, กรมพฒั นาท่ีดนิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ. ดเิ รก ทองอราม, วิทยา ต้งั กอ สกุล, นาวี จริ ะชีวี, อิทธิสนุ ทร นนั ทกจิ . 2543. การออกแบบและ เทคโนโลยีการใหนาํ้ แกพชื . พิมพท ีเ่ จริญรฎั การพิมพ กรงุ เทพมหานคร. มนู โอมะคปุ ต, 2533. แนวนโยบายการวางแผนการใชท ีด่ นิ ในทศวรรษหนา . วารสารพัฒนาทดี่ นิ ปท ่ี 28 ฉบับท่ี 306 พฤศจกิ ายน 2533 หนา 10 –16, กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตร และสหกรณ. ฝายเผยแพรและประชาสมั พันธ. 2530. คูมือการใชแ ผน พลิกเรื่องการอนุรักษด นิ และนาํ้ . โครงการ อนรุ ักษด ินและนาํ้ ตามแผนพัฒนาชนบท 2530 – 2534. กรมพฒั นาท่ีดนิ .
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: