หนว่ ยท่ี 13 โครงสร้างปัญหาเศรษฐกิจของ ประเทศและแนวทางแกไ้ ข Aporn On-nual
โครงสรา้ งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศและแนวทางแกไ้ ข โครงสร้าง ปัญหาและแนวทางแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจไทย 1. โครงสร้างเศรษฐกจิ ของประเทศไทย ลักษณะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้เปล่ียนแปลงไปจากอดีตมาก ตามแนวทางของระบบเศรษฐกิจ แบบทุนนิยมหรือเสรีท่ีเน้นเรื่องความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก การเร่งผลิตทาให้ต้อง พ่ึงพาการส่งออก นาเข้า และการเงินระหว่างประเทศ เกิดการใช้ปัจจัยการผลิตและ ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างไรป้ ระสิทธภิ าพ ก่อให้เกิดปญั หาการพัฒนาเศรษฐกจิ ท่ไี ม่สมดลุ และยัง่ ยืน ตามมา เกิดปัญหาการขาดแคลนเงินทุน แรงงานไร้ทักษะและฝีมือ ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมเส่ือมโทรม ขาดการวิจัยและพัฒนาเพ่ือพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสาหรับการผลิต ฯลฯ รัฐบาลจึงต้องกาหนดยุทธศาสตร์ นโยบาย และมาตรการเพ่ือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดย รบี ดว่ นกอ่ นท่จี ะเปน็ ปญั หาเรอื้ รังจนแกไ้ ขไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจของไทยได้เน้นการเจริญเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลักทาให้ต้อง พึ่งพาการส่งออก นาเข้า และการเงินระหว่างประเทศ เพ่ือเร่งการลงทุนและการผลิตในประเทศ และใช้ปัจจัยการผลิตและทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ประสทิ ธิภาพ โดยไม่มีการผลิตทดแทนทาให้ เกดิ ปัญหาการขาดแคลนตามมา ถึงแมไ้ ทยจะประสบผลสาเรจ็ ในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่ก็ประสบปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาความยากจนของประชาชนท่ีไม่ได้รับ ส่วนแบ่งในผลประโยชน์ของการพัฒนา ในระดับรัฐบาลจึงต้องเข้ามาหาแนวทางแก้ไขปัญหา เพอ่ื ให้เกดิ การพัฒนาเศรษฐกจิ แบบสมดลุ และยัง่ ยืนในระยะยาว ผลกระทบตอ่ โครงสร้างทางเศรษฐกจิ ของประเทศ ทางด้านการผลติ เม่อื โครงสร้างของประชากรเปลี่ยนไปมีสดั สว่ นผ้สู ูงอายมุ ากข้นึ ขณะที่มีวัยทางาน เท่าเดิมหรือลดลงจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการผลิต ทาให้การผลิตและกาลังแรงงานน้อยลงผลิต ภาพการผลิตลดนอ้ ยลงหรืออุปทานแรงงานลดลงซงึ่ อาจจะส่งผลทาให้คา่ แรงสงู ขน้ึ ได้หรอื เกิดการ ขาดแคลนแรงงาน ท้ังนี้อาจแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานโดยการใช้เครื่องมือเครื่องจักรหรือนา เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานคน หรือการนาเข้าแรงงานต่างด้าว ซ่ึงจะส่งผลทาให้มีการ เคลือ่ นยา้ ยแรงงานต่างดา้ วมากขน้ึ
ทางด้านการลงทุนและการออม เมื่อมีวัยผู้สูงอายุเพิ่มข้ึนทาให้ความต้องการลงทุนน้อยลง วัย สงู อายุหรือวัยเกษียณขาดรายได้หรือมีรายไดน้ ้อยลงทาให้มีการออมลดลง ในขณะทีว่ ัยทางานตอ้ ง รับภาระมากข้ึนทาให้มีการใชจ้ ่ายเพ่ิมข้ึนจึงส่งผลใหม้ ีเงินออมน้อยลงและ เงนิ ลงทุนลดลง สาหรับ ภาครัฐบาลจาเป็นต้องเพ่ิมค่าใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการมากขึ้นเพ่ือบริการสังคม ทางด้านสุขภาพ แกผ่ ู้สงู อายุ ทาใหก้ ารลงทนุ และการออมของประเทศลดลง ทางด้านผลผลิตหรือรายได้ประชาชาติ สัดส่วนผู้สูงอายุมากข้ึน ทาให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม ประชาชาติ(GNP)หรือรายได้ประชาติชาติน้อยลง และรายได้เฉล่ียต่อบุคคลลดลง ผลิตภาพการ ผลติ ลดลง ทางด้านการคลงั งบประมาณรายจ่ายเพิม่ ขนึ้ ภาครัฐจาเป็นตอ้ งเพ่ิมค่าใช้จา่ ยทางด้านสาธารณสุข การแพทย์ บริการสังคมแก่ผู้สูงอายุมากขึ้นและต้องเพ่ิมงบประมาณรายจ่ายเพ่ือสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากไร้ถูกทอดท้ิงมากขึ้น ขณะที่งบประมาณรายได้ลดลง เก็บภาษีรายได้ น้อยลงเนื่องจากมีวยั ผูส้ งู อายุซ่ึงไมม่ รี ายไดม้ ีสัดสว่ นท่มี ากขึน้ ผลของการพฒั นาเศรษฐกจิ ในประเทศไทย เศรษฐกิจไทยมรี ากเหงา้ มาจากการเกษตร เดมิ ทเี ปน็ การปลกู พืชเพ่ือบริโภคในประเทศ แตภ่ ายหลัง การเปดิ ประเทศตามสนธสิ ัญญาเบาร่ิง การปลกู ข้าวเพอื่ ส่งออกก็เรมิ่ ได้รบั ความนยิ มมากขนึ้ มูลค่าการส่งออกข้าวคิดเป็นรอ้ ยละ 70 ของมลู ค่าการสง่ ออกทง้ั หมดในทศวรรษ 2450 ก่อนจะ ลดลงมาในภายหลัง ชว่ งหลงั สงครามโลกครง้ั ทห่ี น่งึ และกอ่ นการเปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การคา้ ระหว่างประเทศเรมิ่ เตบิ โตจากอทิ ธพิ ลของพ่อคา้ ชาวจนี ทมี่ าต้ังรกรากในประเทศไทย ซ่ึงภายหลังพ่อคา้ ชาวจีนเหลา่ นก้ี ก็ ลายเป็นตระกูลนกั ธรุ กิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย สว่ นอตุ สาหกรรมในประเทศเร่ิมต้นอย่างชัดเจนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดย เปน็ การผลิตสนิ คา้ เพ่ือทดแทนการนาเขา้ และกลจักรสาคัญมาจากรฐั วิสาหกิจท่รี ฐั บาลเปน็ เจ้าของ หรอื บรษิ ัททร่ี ว่ มทนุ กับเอกชน เศรษฐกิจไทย 2500-2520 เน้นส่งออกสินค้าเกษตร-รบั เงนิ ลงทนุ จากสหรฐั จุดเปลีย่ นทส่ี าคญั ในประวัตศิ าสตรเ์ ศรษฐกิจไทยสมัยใหม่ อยใู่ นช่วงรฐั บาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต้งั แต่ พ.ศ. 2500 เป็นตน้ มา โดยรัฐบาลสหรฐั อเมรกิ าทส่ี ามารถสถาปนาอานาจนาในการเมอื งโลก หลงั สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง ตอ้ งการเข้ามาปรบั เปลีย่ นโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย ผ่านความ ชว่ ยเหลอื จากธนาคารโลกเป็นสาคัญ
รัฐบาลไทยขายบริษทั และรัฐวสิ าหกิจท่ีไม่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคให้เอกชน และตั้งหน่วยงานทเ่ี ป็น พื้นฐานสาคัญของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น สานักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจ แห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ประเทศไทยเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติมากข้ึน ปรับ ลดภาษีนาเข้าลง กดค่าแรงให้ต่า ทาให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ถึง 6 พันล้านบาท (เฉพาะท่ีผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ระหว่าง พ.ศ. 2503-2525 เศรษฐกิจไทยในทศวรรษ 2500 และ 2510 เกิดจากการส่งออกสินค้าเกษตร และการไหลเข้าของ เงนิ ทุน-เงินช่วยเหลือจากตา่ งประเทศ สว่ นภาคอตุ สาหกรรมในชว่ งแรกยังเนน้ การผลิตเพ่ือทดแทน การนาเข้าเป็นหลัก ซ่ึงช่วงหลังของทศวรรษที่ 2510 จึงเร่ิมเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการผลิตเพ่ือ ส่งออก (โดยเฉพาะหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา) แต่ก็ยัง ไม่เหน็ ผลชัดเจนนกั ปญั หาเศรษฐกิจของประเทศไทย ปญั หาทางเศรษฐกจิ ในชุมชนและแนวทางแก้ปัญหา การพฒั นาประเทศและปญั หาเศรษฐกจิ ในชมุ ชน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ช่วยสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กันประเทศ ใน ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดปัญหาในหลายๆด้าน เช่น 1.ปัญหาความไม่สมดุลของภาคเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันมีการพึ่งพาต่างประเทศมากข้ึน เช่น ต้องมีการนาเข้า เครื่องจักร วัตถุดิบและเทคโนโลยี รวมท้ังการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากข้ึน รัฐบาลได้มี การประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนเพ่ือกิจการอุตสาหกรรม พ.ศ. 2503 โดยให้สิทธิ ประโยชน์ตา่ งๆแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งมีการตง้ั คณะกรรมการส่งเสรมิ การลงทุน มีภารกิจในการสง่ เสริมให้เกดิ การลงทุนในกจิ การทเ่ี ป็นประโยชนข์ องประเทศโดยการให้สทิ ธใิ นการ ลงทุน เพ่ือเสริมสรา้ งความเข้มแข็งให้กบั ระบบเศรษฐกิจและสังคม
2.ปญั หาความยากจนและความเหล่อื มลา้ ในการกระจายรายได้ 1 ปัญหาการกระจายรายได้ กลยุทธ์การพัฒนาประเทศที่ใหค้ วามสาคัญกับภาคอตุ สาหกรรม ก่อให้ เกดความไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้ระหวา่ งภาคอตุ สาหกรรมและภาคเกษตรกรรมอยา่ งเห็น ได้ชัด แนวโน้มในปัจจุบันสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมใน ประเทศ ส่วนสัดส่วนของภาคเกษตรกรรมลดลง แต่การจ้างแรงงานของเกษตรกรรมยังคงสูงเท่า อุตสาหกรรม อีกทั้งการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร เขต ปริมณฑลและเมืองใหญๆ่ เทา่ นั้น 2 ปัญหาความยากจน แม้ปัญหาความยากจนมีแนวโน้มดีขึ้นในปัจจุบัน โดยสัดส่วนคนจนลดลง คนจนส่วนใหญอ่ าศัยในชนบทประกอบอาชพี หลกั ทางการเกษตร และหวั หนา้ ครัวเรอื นมกี ารศึกษา ชัน้ ประถมหรือไมม่ ีการศกึ ษา แต่ความเหล่ือมล้าของรายได้ระหวา่ งกลมุ่ ต่างๆของช้ันรายได้มากข้ึน นอกเหนือจากความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ระหว่างบุคคลที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ความไม่เท่าเทียม ของรายไดท้ ี่กระจายระหว่างภูมิภาคก็เพ่มิ มากขึน้ ด้วย ตวั อย่างปัญหาความยากจน ความยากจนท่ี เกิดขน้ึ ในชุมชน เช่น ปัญหาความยากจนที่มีผลสืบเนื่องมาจากสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออานวย ต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตทางเกษตรกรรมตกต่า 3 ปญั หาดา้ นคุณภาพชวี ิต ถึงแม้วา่ ปัจจบุ ันคนไทยจะมอี ายุยืนยาวข้ึนเน่ืองจากการพัฒนาทางด้าน สาธารสขุ แต่กระแสวัตถุนยิ มและบรโิ ภคนิยม รวมทั้งการเปน็ สงั คมเมืองมากข้ึน มีผลทาให้วถิ ีชวี ิต ของประชากรไทยโดยเฉพาะชุมชนเมือง เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาสุขภาพจิตมีมากข้ึน ปัญหาสารเสพติดทวีความรุนแรงเพิม่ ขนึ้ สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาสังคม 4.ปัญหาความเสอื่ มโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเท่าที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการขยายตัวด้านการผลิตสินค้าและ บริการโดยมุ่งเน้นให้ความสาคัญเรื่องความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเพิ่มรายไ ด้ของ ประชากรซ่ึงมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยในการผลิตอย่างฟุ่มเฟือยขาดการวางแผนท่ีดี ดังน้ันทรัพยากรธรรมชาติจึงเสื่อมโทรมและลดลงอย่างรวกเร็วตามปริมาณการผลิตสินค้าและ บรกิ ารทเ่ี พ่มิ มากขน้ึ
5.ปัญหาวิกฤตเศรษฐกจิ พ.ศ.2540 ในช่วง พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2538 เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเร็วมาก ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการ เจริญเติบโต คือค่าแรงงานท่ีอยู่ในระดับต่า ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่มาก รวมทั้งค่าของเงินท่ีมี เสถียรภาพ ปัญหาวกิ ฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย พ.ศ. 2540 มีสาเหตุสาคัญจาก 1) การขาดดลุ บญั ชีเดินสะพัดในสดั สว่ นที่สูงมาก ใน พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2539 บญั ชีเดนิ สะพัด ขาดดุลสูงถึง 8% และ7.9% ของมูลค่าผลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามลาดับ 2) การพึง่ พิงเงนิ กู้จากตา่ งประเทศจานวนมาก เนื่องจากมกี ารเปดิ เสรีทางการเงิน โดยการอนุญาต ให้ภาคเอกชนสามารถกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ซึ่งนาไปสู่การลงทุนจานวนมากในภาคเศรษฐกิจที่ มไิ ด้กอ่ ใหเ้ กิดรายได้หรือก่อให้เกดิ ประสทิ ธิภาพในการผลิต เช่น การเกง็ กาไรที่ดิน อสงั หาริมทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ทาให้เกิดอุปสงค์ในการเก็งกาไร มีการลงทุนเป็นจานวนมากเพื่อผลิตสินค้า สนองตอบอปุ สงคใ์ นการเก็งกาไรใหไ้ ด้มากที่สุด 3) ปัญหาหน้ีด้อยคุณภาพหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non – Performing Loan : NPLs) ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตปัญหาเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540 ระบบสถาบันการเงินไทยมีบริษัทเงินทุน หลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ถึง 91 แห่ง ซ่ึงมีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ ร้อยละ 22 ของทรัพย์สินด้านการเงินและการธนาคารท้ังหมด สถาบันการเงินเหล่านี้ ใช้เงินกู้ยืมจาก ต่างประเทศเป็นแหล่งเงินทุนในการให้สินเช่ือ อีกท้ังเงินกู้และการลงทุนของบริษัทเงินทุน หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ยงั นาไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรพั ย์และธุรกิจท่ีมคี วามเส่ียงสูงประเภทอื่นๆ เช่น การเกง็ กาไรในตลาดหลักทรพั ย์ ดังนน้ั เมอ่ื ธุรกิจอสังหาริมทรัพยข์ องไทยตกต่าลงคุณภาพและ มูลค่าสินทรัพย์ท่ีเป็นหลักประกันการกู้ยืมจึงปรับตัวลงตามไปด้วยสินทรัพย์บางส่วนกลายเป็น สินทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือหน้ีที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เนื่องจากลูกหนี้ไม่สามารถชาระคืน เงินต้นและ ดอกเบี้ย ส่งผลกระทบให้สถาบนั การเงินจานวนมากขาดกระแสเงินสดเพ่อื ใชใ้ นการดาเนนิ งานหรือ เกิดปัญหาการขาดสภาพคลอ่ ง
แนวทางการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ ของประเทศไทย แก้ปัญหาหนี้ไม่รับรู้รายได้ในระบบธนาคาร โดยการต้ังองค์กรบริหารทรัพย์สินที่แยกหนี้ต้องสงสัย ออกมาต่างหาก ใช้มาตรการกึ่งบังคับให้ธนาคารและลูกหนี้ท่ีมีปัญหาทุกรายต้องยอมรับการปรับ โครงสร้างหน้ีแบบพบกันคร่ึงทาง. การแก้ปัญหาหน้ีต้องแก้ทั้งระบบ เช่น การลดอัตราดอกเบ้ียให้ ลูกหนี้ท่ีดีด้วย เพ่ือไม่ส่งเสริมให้ลูกหน้ีดีพลอยเอาอย่างลูกหนี้ท่ีมีปัญหา คือหยุดส่งดอกเบ้ีย และ เพื่อทาใหต้ ้นทุนของธรุ กิจต่าลง ธรุ กิจโดยรวมจะไดส้ ามารถฟ้นื ฟไู ด้. รัฐควรยกเลิกนโยบายเอาภาษีจากประชาชนไปอุ้มชูเจ้าหน้ีต่างชาติธนาคาร และสถาบันการเงิน เปลี่ยนมาใช้วิธีการจัดตั้ง สถาบันประกันเงินฝากผู้ฝากรายย่อยคุ้มครองประชาชนทั่วไปในระดับ หน่ึง ที่เหลือก็เป็นเรื่องท่ีลูกหนี้เจ้าหน้ีต้องเส่ียง ต้องฟ้องร้องกันเองเหมือนกับธุรกิจอื่น ๆ ขณะเดียวกันก็ควรเปิดให้ต้ังธนาคารเพ่ิมขึ้นได้ รวมท้ังขยายบทบาทของกลุ่มออมทรัพย์ เครดิต ยูเนียน สหกรณ์ออมทรัพย์ ธนาคารเฉพาะกิจต่าง ๆ กองทุนสารองเลี้ยงชีพ, กองทุนบาเหน็จ บานาญ เพื่อเพ่ิมการแข่งขันของสถาบันการเงินให้ประชาชนมีทางเลือกในการออมและลงทุน เพิ่มข้ึน. รัฐจะต้องกล้าเข้าไปดแู ลแทรกแซงอัตราดอกเบ้ียเงินกู้ ไม่ให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มากเกนิ ไป. ปฏิรูปท่ีดินและปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบอย่างเช่ือมโยงกันเป็นองค์รวม จากัดขนาดการถือครอง ที่ดินและเก็บภาษีที่ดินและภาษีโรงเรือนในอัตราก้าวหน้า, ออกพันธบัตรเพื่อซื้อที่ดินเอกชนมา ปฏิรปู กระจายการถอื ครองที่ดนิ และกระจายสนิ เชอื่ ดอกเบ้ยี ต่า ใหเ้ กษตรกรอยา่ งทัว่ ถงึ ทดี่ นิ ทเ่ี ป็น ปา่ เส่ือมโทรมของรฐั ส่วนหนง่ึ นามาใช้ปลกู ปา่ ใหม่ อีกสว่ นหน่งึ ส่งเสรมิ การทาการเกษตรแบบยัง่ ยืน โดยให้เกษตรกรอาศยั ทากนิ แบบยังชีพได้ และห้ามเกษตรกรขายตอ่ ให้นายทนุ ไปใชท้ าอย่างอื่น แต่ ขายเกษตรกรดว้ ยกนั ได.้ ส่งเสริมการปลูกสวนป่าท้ังของรัฐและเอกชนโดยการออกพันธบัตรเพ่ือการปลูกสวนป่ า และ จัดระบบการถือครองที่ดินใหม่ ทาให้ต้นทุนการปลูกสวนป่าต่าลง เอกชนสามารถลงทุนปลูกสวน ป่าระยะยาว 20-30 ปีอย่างได้ผลคุ้มค่า และทาให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกิดผลผลิตเพิ่มข้ึนใน ระยะยาว. ปรับปรุงดินและพัฒนาแหล่งน้าโดยใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม และใช้ปัจจัยภายในประเทศเป็นด้าน หลกั พฒั นาเกษตรทางเลือกที่พงึ่ ธรรมชาติ ลดการใช้พลังงาน ปยุ๋ และยาจากตา่ งประเทศ เพ่ือลด ปัญหาหนี้สิน และลดการทาลายสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็จะทาให้เกิดการจ้างงาน เกิดการเพิ่ม ผลผลติ ภายในประเทศ.
พัฒนาระบบสหกรณ์ และการตลาด ใหม้ ปี ระสิทธิภาพ ทาใหเ้ กษตรกรได้ผลตอบแทนเพ่ิมข้นึ ทาให้ ภาคเกษตรสามารถที่จะรบั แรงงานเพ่ิมข้นึ มีผลผลติ เพิ่มข้นึ ได้ ฟ้ืนฟูการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ โดยการออกพันธบัตรเพื่อการปฏิรูปที่ดิน เพ่ือการ ปลูกสวนป่า พันธบัตรเพื่ออาคารสงเคราะห์ พันธบัตรเพ่ือการพฒั นาเทศบาล พันธบตั รเพอื่ พฒั นา อุตสาหกรรมขนาดย่อม ฯลฯ ; เพ่ือทาให้มีการนาเอา ท่ีดิน ท่ีอยู่อาศัย ทรัพย์สินต่าง ๆ ท่ีขาด ผู้ดาเนินการ และขาดสภาพคล่องถูกทอดทิ้งไว้ มาใช้สอย ทาให้เกิดการจ้างงาน การผลิตและ บริโภคเพิ่มขึ้น. คนจนท่ีเคยอยู่ชุมชนแออัดหรอื เช่าบา้ นเขาอยู่ก็จะได้มีที่อยู่อาศัยของตัวเองท่ีดีข้ึน โดยผ่อนส่งระยะยาว เสียดอกเบีย้ ตา่ เศรษฐกิจในประเทศกจ็ ะฟ้ืนตัวขนึ้ ได้. คนท่ีเลี้ยงชีพด้วยเงินออม ก็จะมีทางเลือกในการลงทุนซื้อพันธบัตรเหล่านี้ โดยได้ดอกเบ้ียสูง พอสมควร แทนท่ีจะถูกนายธนาคารกดดอกเบ้ียเงินฝากให้ต่ามากจนผู้เกษียณอายุ, มูลนิธิต่าง ๆ ลาบากไปตาม ๆ กนั . ปฏริ ูประบบภาษีอากรและการจดั สรรงบประมาณ เกบ็ ภาษีมรดก และทรัพยส์ นิ เช่น ที่ดิน ในอตั รา ก้าวหน้า เก็บภาษีการซ้ือขายเงินตราต่างประเทศ, การเดินทางไปท่องเท่ียวในต่างประเทศ เพ่ิม ภาษีสินค้าส่ังเข้าและบริการท่ีฟุ่มเฟือย ลดภาษีมูลค่าเพิ่มสาหรับสินค้าที่จาเป็น รวมท้ังการผลิต หนงั สือ และสอ่ื เพ่ือการศึกษาตา่ ง ๆ แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง ก) ด้านประสิทธิภาพคือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยมักจะพิจารณาจากการขยายตัวของ ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestio Product) ซ่ึงแสดงว่าในระยะเวลา 1 ปี ประเทศผลิตสินค้าและบริการรวมแล้วเป็นมูลค่าเท่าใด ดังน้ัน การที่ประเทศมี GDP ขยายตัว จึง หมายถึงว่าสังคมมีการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มข้ึนเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง มีทรัพยากรมากขึ้น ประชาชนโดยรวมมคี วามมัง่ คั่งมากขึ้น ซงึ่ การขยายตวั ได้ดีแสดงว่าระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ มกี ารจัดสรรทรพั ยากรท่ีดี ข) ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือ การที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สาคัญไม่เปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็ว การไมม่ ี shock ในระบบเศรษฐกิจ ท้งั นี้ ประชาชนโดยท่ัวไปย่อมไม่ชอบการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ทาให้ปรับตัวได้ยาก ในด้านเสถียรภาพน้ีมักจะมองได้หลายมิติคือ การมีเสถียรภาพ ในระดับราคาของสินค้า หมายถึง การที่ระดับราคาของสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ประชาชนสามารถคาดการณ์ราคาสินค้าและบริการได้ การมีเสถียรภาพของการมงี านทา หมายถึง การท่ีตาแหน่งงานมีความเพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การมีเสถียรภาพของอัตรา
แลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ หมายถึง การที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่มีการ เปลย่ี นแปลงอยา่ งฉับพลัน ซ่ึงจะมีผลต่อเสถียรภาพของราคาในประเทศ และทาใหว้ างแผนการทา ธรุ กรรมระหวา่ งประเทศมคี วามย่งุ ยากมากขึน้ ค) ด้านความเท่าเทียมกัน โดยท่ัวไปหมายถึง ความเท่าเทียมกันทางรายได้ เม่ือเศรษฐกิจมีการ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ปรากฏว่า รายได้ของคนในประเทศมีความแตกต่างกันมากข้ึน เร่ือยๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนเพยี งกลุ่มน้อยได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ สถานการณ์ จะเลวร้ายไปกวา่ น้ีอีก หากเศรษฐกิจมีการเปล่ียนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ปรากฏว่า มีคนจนมาก ขึน้ เรอื่ ยๆ ในช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 ประเทศไทยมีการขยายตัวทด่ี ี ท้ังด้านการส่งออก การผลติ รวมทัง้ มีการ มีการปรบั โครงสร้างการผลติ โดยมีความเป็นอุตสาหกรรมมากขึน้ สนิ ค้าอุตสาหกรรมก็เปน็ สินค้าที่ มที กั ษะการผลติ สงู ขน้ึ (ณัฏฐพงศ์ ทองภกั ดี และวิศาล บุปผาเวส 2540 หนา้ 4-6) อตั ราการขยาย ของผลผลิตมวลรวมของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ.2502-พ.ศ.2516 เฉล่ียร้อยละ 8.1 ต่อปี, ปี พ.ศ.2517-พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นช่วงท่ีเศรษฐกจิ ตกต่าทัว่ โลก อัตราการขยายของผลผลิตมวลรวมของ ประเทศยังสูงถึงร้อยละ 6.3 ตอ่ ปี และปี พ.ศ.2529-พ.ศ.2539 อัตราการขยายของผลผลติ มวลรวม ของประเทศเฉลี่ยต่อปีของไทยคือ ร้อยละ 9.1 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ก่อนเหตุการณ์วิกฤติทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีดีมาโดยตลอด แม้จะลดลงบ้างในช่วงปี พ.ศ.2539 ซงึ่ เป็นช่วงทเี่ ศรษฐกจิ ตกตา่ ท่ัวโลกก็ตาม
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: