Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมุดแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม

สมุดแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม

Published by patiya y, 2021-12-19 07:06:52

Description: สมุดแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม

Search

Read the Text Version

1 เอกสารเผยแพร่ ฉบับท่ี กธส. 16/2564

2

3

4

คำนำ ดินถล่ม เกิดจากการเคลื่อนท่ีของมวลดิน มวลหิน ลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้นหรือตัวเร่ง เช่น ปริมาณน้าฝนท่ีตกหนักอย่างต่อเน่ือง ท้ังน้ีปรากฏการณ์ดินถล่มสามารถเกิดข้ึนได้จากการกระท้าของมนุษย์ เชน่ การตัดถนน หรือการตดั หน้าเพ่อื สรา้ งทอ่ี ยู่อาศยั เป็นต้น “ดินถล่ม” เป็นภัยธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนบ่อยครั้งพบทั้งในพื้นที่ที่เกิดซ้าซากหรือแม้แต่พ้ืนท่ีท่ียังไม่เคยเกิดขึ้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและมีความรุนแรง เน่ืองจากการขยายตัวของชุมชนเข้าไปต้ังถิ่นฐานในพ้ืนที่เส่ียงภัย หรือการ เปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ท่ีดินจากพ้ืนท่ีเกษตรสู่พื้นท่ีเมืองและการรุกล้าพื้นที่ป่า ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้น หรือตวั เร่งมากข้ึน ซ่ึงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจากภัยดังกล่าวที่พบได้บ่อย คือ เหตุการณ์น้าป่าไหลหลาก เหตุการณ์ดินไถลหรือหิน ร่วงทบั บ้านเรือนประชาชนในพ้นื ท่เี สยี่ ง เป็นต้น เหตุการณเ์ หลา่ ทา้ ให้เหน็ ว่าผลกระทบทเี่ กดิ ขนึ้ ส่งผลตอ่ พ้ืนท่ีขยายเป็นวงกว้าง กรอปท้งั การรอรับมือภัยดนิ ถล่มเมอื่ เกิดขึ้นแลว้ ในอดีตไม่เพียงพอในการสร้างความม่ันใจให้กับประชาชน หน่วยงานภาคธุรกิจ ตา่ ง ๆ หรอื หน่วยงานของภาครฐั เอง กรมทรัพยำกรธรณี ได้ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดกับราษฎรที่อาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีเส่ียงธรณีพิบัติภัย จึงได้ ท้าการศึกษาและวิเคราะห์พ้ืนท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มด้วยแบบจ้าลองทางสถิติและการให้ค่าน้าหนัก โดยพิจารณา ร่องรอยดนิ ถลม่ ทเี่ กิดขึ้นร่วมกับร่วมกับปัจจัยท่ีควบคุมการเกิดดินถล่ม พบว่า ประเทศไทย มีพ้ืนท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม จ้านวน 2,845 ต้าบล ครอบคลุม 54 จังหวัด โดยผลการวิเคราะห์พ้ืนที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มจากแบบจ้าลองทางสถิติ สามารถแบ่งระดับความอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มตามวิธี Standard deviation ได้ 5 ระดับ เพื่อเป็นข้อมูลส้าคัญท่ีมุ่งเน้น การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางแผนและปฏิบัติเพ่ือลดความ เสยี่ งดังกล่าว “สมุดแผนที่พ้ืนท่ีอ่อนไหวต่อกำรเกิดดินถล่ม มำตรำส่วน ๑:๑,๐๐๐,๐๐๐” เล่มนี้จะประกอบด้วย ภาพแผนทแี่ ละขอ้ มูลพ้ืนเสีย่ งภัยดนิ ถลม่ ในประเทศไทย นยิ ามของดินถลม่ การจ้าแนกชนดิ ของดินถล่ม ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของ การเกิดดินถล่ม และการด้าเนินงานด้านธรณีพิบัติภัยดินถล่มของกรมทรัพยากรธรณี ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “สมุดแผนที่ พื้นที่ออ่ นไหวต่อการเกดิ ดินถลม่ มาตราส่วน ๑:๑,๐๐๐,๐๐๐” จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามนโยบายของกรมทรพั ยากรธรณี

1 ระดบั ควำมออ่ นไหวต่อกำรเกิดดินถลม่ (Landslide susceptibility levels) ต่ำมำก พืน้ ทีร่ ะดับความออ่ นไหวดนิ ถลม่ ต่้ามาก พืน้ ท่มี คี วามลาดเอยี งต้่า มเี สถยี รภาพความมน่ั คงสงู มโี อกาสเกิดดนิ ถล่ม นอ้ ยมาก These areas are assumed to be stable due to less evidence of landslide susceptibility and overall stable slope conditions. ต่ำ พืน้ ท่ีระดบั ความออ่ นไหวดินถล่มต้่า พื้นทีม่ ีเสถียรภาพ ความมั่นคงและมโี อกาสเกดิ ดนิ ถล่มน้อย แตส่ ามารถเกิด ปำนกลำง ดนิ ถล่มได้ในพ้นื ที่ชันที่เกดิ จากขดุ เจาะ เช่น การกอ่ สรา้ งถนน Areas in this zone appear conditionally stable showing fewer indications of landslide susceptibility. Landslide events are rarely possible but may occur at slopes, which are undercut, e.g. by road construction. พืน้ ท่รี ะดับความออ่ นไหวดินถลม่ ปานกลาง ดินถลม่ อาจเกิดขน้ึ ได้บา้ งตามลกั ษณะของฤดูกาล โดยมกี ารกระตนุ้ จาก อิทธิพลภายนอก เช่น ฝนตกหนัก แผน่ ดินไหว หรอื อาจเกดิ จากการเพม่ิ ความชนั ใหพ้ ืน้ ที่ เชน่ การกอ่ สร้างถนน Landslide events may occasionally happen in these areas, either triggered by strong rainfall, earthquakes or caused by inadequate landuse in steep slopes and by slope undercutting associated with road construction. พื้นทรี่ ะดับความออ่ นไหวดินถล่มสูง และมีความเปน็ ไปได้ ในการเกิดดินถลม่ ใหม่ๆ หรอื เกิดข้นึ ซา้ ในพื้นทีด่ ินถล่มเดิม พบการกระจายตวั มีความสัมพันธก์ ับทางน้าสายรอง และการตัดถนนผ่าน สงู This zone defines areas with a high susceptibility. New landslide events may occur or older ones may be reactivated. The distribution is mainly linked to the flanks of the second order streams and road cuts. สูงมำก พื้นทีร่ ะดบั ความออ่ นไหวดินถลม่ สูงมาก และมีความเป็นไปได้ในการเกดิ ดินถลม่ ในอนาคตบ่อยมากขึน้ และสามารถ เกิดขึ้นซ้าในพน้ื ทด่ี ินถล่มเดมิ พบการกระจายตวั ในพ้ืนท่ีมคี วามสงู ชันใกลก้ ับแนวรอยเลอ่ื น This zone defines areas with a very high susceptibility. New landslide event may occur frequency or older ones may be reactivated. The distribution of the very high landslide susceptibility zones is predominantly in the steep areas adjoining the shear zone. !R!R!R!R คำอธิบำยสัญลักษณ์ (LEGEND) £¤£¤!H!HH!!H!R รอยเลอื่ น Fault £¤444H!001111 จงั หวดั £¤401 Province ถนน Roads ทางรถไฟ Railroad ขอบเขตจงั หวัด Province boundary ขอบเขตประเทศ (ไมถ่ อื ก้าหนดเปน็ ทางการ) International boundary (Must not be necessarily authoritative) ทางนา้ Drainage แหล่งนา้ Waterbody

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

ดนิ ถลม่ 27 1.ควำมหมำยของดินถล่ม ดนิ ถลม่ (landslide) เกดิ จากการเคลอื่ นทขี่ องมวลดนิ มวลหนิ ลงมาตามลาดเขาดว้ ยอทิ ธพิ ลของแรงโนม้ ถว่ งของโลก (Cruden and Varnes, 1996) สามารถเกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาตโิ ดยมปี จั จยั ภายนอกเปน็ ตวั กระตนุ้ หรอื ตวั เรง่ (triggering fators) เชน่ ปรมิ าณน้าฝนทตี่ กหนกั อย่างตอ่ เนอื่ งทา้ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงของชนั้ น้าใตด้ นิ สง่ ผลใหช้ นั้ ดนิ และหนิ เสยี สมดลุ จนถงึ ขาดเสถยี รภาพ กลา่ วคอื กลไกและกระบวนการควบคมุ การเคล่อื นทีข่ องมวลดนิ ทเ่ี ปน็ ผลจากน้าฝนเปน็ ตวั เรง่ และการ เปลยี่ นแปลงของระดบั น้าใตด้ ินเปน็ สาเหตุ นอกจากนป้ี รากฏการณ์ดนิ ถล่มสามารถเกิดขนึ้ ไดจ้ ากการกระท้าของมนุษย์ เชน่ การตัดถนน ตนี เขาถูกทา้ ให้ขาดเสถยี รภาพ การตดั ไมท้ ้าลายปา่ ขาดพชื พรรณปกคลมุ และยดึ เกาะดนิ ท้าใหง้ า่ ยต่อการเกดิ การพงั ทลายและดนิ ถล่ม 2.กำรจำแนกชนดิ ของดินถลม่ เกณฑ์ในการจ้าแนกชนิดของดินถล่ม และการพังทลายของลาดเขา สามารถอธิบายได้จาก 3 หลักพื้นฐาน ได้แก่ 1.ชนิดของการเคล่ือนที่ (Type of movement) 2.ชนิดของมวลเคลื่อนที่ (Type of material) และ 3.อัตราเร็วใน การเคลื่อนที่ (Movement velocity) การจ้าแนกชนิดของดินถล่มที่ใช้กันแพร่หลายในเชิงวิศวกรรม ได้แก่ การจ้าแนกโดย Varnes, 1978 และ Cruden & Varnes, 1996 (ตารางที่ 1) นอกจากนี้ประเภทของดนิ ถล่มสามารถอธิบายได้ดังน้ี (รปู ท่ี 1) 1) ดินถล่มชนิดกำรร่วงหล่น ( Falls) เป็นการเคล่ือนที่ที่เกิดอย่างรวดเร็วมาก ( Extremely rapid) เปน็ การหลุด ร่วง กระดอน และกล้ิงอย่างเป็นอิสระภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก จากหน้าผาหรือพ้ืนที่ลาดชันที่มีมุมเอียงเทสูง มักเกิดตามระนาบพื้นผิวท่ีมีการเคลื่อนที่ด้วยแรงเฉือนน้อยหรือไม่มีเลย เช่น รอยแตกหรือรอยแยกในช้ันหิน ตะกอนดินหรือ หินท่หี ลดุ ร่วงจะกองสะสมกันอยูบ่ รเิ วณเชงิ เขา สามารถจา้ แนกได้เป็น 3 แบบตามชนิดของวัสดุ คือ ตะกอนที่ส่วนมากหลุดมา จากระนาบหินตกลงมา ถ้ามีตะกอนหินเป็นส่วนประกอบหลัก เรียกว่า “Rock fall” ถ้าส่วนประกอบเป็นตะกอนเม็ดหยาบ เรยี กว่า “Debris fall” และถ้าตะกอนท่ีตกลงมาส่วนใหญ่เป็นตะกอนเม็ดละเอยี ดจะเรียกวา่ “Earth fall” 2) กำรลม้ คว่ำ (Topples) เปน็ การเคลอื่ นที่ในลักษณะล้มคว้่ามาข้างหน้า (forward rotation) ภายใต้แรงโน้มถ่วง ของโลก โดยมจี ุดหมุนหรือแกนของการหมุนอย่ทู ฐี่ านของระนาบรอยชนั้ ความไมต่ ่อเนื่อง (basal discontinuities) 3) ดินถล่มชนิดไถลลื่น (Slides) คือการเคลื่อนที่ของมวลบนระนาบการเฉือน (shear or rupture surfaces) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของระนาบการเคล่ือนที่ ได้แก่ การเลื่อนไถลบนระนาบโค้ง (rotational slide or slump) และการเล่อื นไถลบนระนาบเรียบ (translational slide) การเลอ่ื นไถลบนระนาบโคง้ มีจุดเด่นคือ ระนาบของการ เคลื่อนที่จะมีลักษณะโค้งคล้ายช้อน (spoon-like shape) หรือรูปประทุนหงาย (concave-upward failure surfaces) ส่วน การเลอื่ นไถลบนระนาบเรียบ (planar rupture surface) มวลวัสดุมักจะเคล่ือนท่ีบนระนาบที่ค่อนข้างขนานกับความลาดชัน หรือตามระนาบรอยแตก และทิศทางการวางตัวของชน้ั หิน 4) ดินถล่มชนดิ กำรแผ่กระจำยออกด้ำนข้ำง (Lateral spread) เป็นลักษณะการแตกและยืดออกด้านข้างของช้ัน หิน (coherent rocks) หรือชั้นดินที่มีความเชื่อมแน่น (cohesive soils) เน่ืองจากแรงดึง (tension) หรือแรงเฉือน (shear) ส่วนใหญ่มักเกดิ สมั พนั ธก์ บั แผน่ ดินไหว และปรากฎการณด์ นิ ไหล (liquefaction) บนพนื้ ราบหรอื พน้ื ทที่ มี่ คี วามลาดชนั นอ้ ย หรอื เกดิ จากการท่มี หี ินหรอื ดนิ ที่แขง็ และไมอ่ มุ้ น้าวางตวั ทับอยู่บนชั้นดินท่ีอุ้มน้า เมอื่ ชน้ั ดินที่อุ้มน้าถกู ทับด้วยน้าหนกั ท่มี ากก็จะไหล ออกดา้ นขา้ ง ท้าใหช้ นั้ ดนิ ช้นั หินท่อี ยู่ดา้ นบนแตกออกและยบุ ตวั 5) ดินถล่มชนิดไหล (Flows) เปน็ การเคล่ือนทีใ่ นลักษณะคล้ายของไหล (flow-like movement) ของวัสดุแห้งหรือ วัสดทุ ่อี ิม่ ตัวไปดว้ ยน้าลงมาตามความลาดชนั และแรงโนม้ ถ่วงของโลก สามารถแบง่ ออกเป็นชนดิ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี - หินไหล (rock flow: deep creep) หรือ หินถล่ม (rock avalanche) เป็นการไหลอย่างรวดเร็วท่ีสุด (extremely rapid) ของเศษหิน (fragmented rocks) จากกองหินที่เลื่อนไถล (rock slide) หรือถล่ม (rock fall) มาก่อน

28 - เศษวัสดุธรณีไหล (debris flow) เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมาก (very rapid) ของเศษหินและ ตะกอนดินทอ่ี ิม่ ตวั ไปด้วยน้าบนเสน้ ทางการไหลทม่ี อี ยเู่ ดิม (established paths) เช่น รอ่ งธาร (gullies) และร่องน้าล้าดับท่ี หนึ่งหรือสอง (first-or second-order drainage channels) ปกติการไหลของเศษดินหินมักจะมาจากดินถล่มประเภทอื่น ๆ ทเี่ กิดข้นึ บนทางลาดชัน โดยมนี ้าเป็นตวั กลางพดั พาเอาเศษหินและตะกอนดินไหลรวมถงึ ซากต้นไม้ก่อนที่จะไหลลงมากอง ทบั ถมบรเิ วณท่รี าบเชิงเขาในลกั ษณะของเนินตะกอนรูปพดั หน้าหุบเขา - การถลม่ ของเศษวัสดุธรณี (debris avalanche) เป็นการไหลอย่างรวดเร็วมากถึงมากท่ีสุด (very rapid to extremely rapid) ของเศษหินและตะกอนดินทม่ี คี วามชืน้ หรืออิ่มตัวไปด้วยน้า (partially or fully saturated debris) สามารถพบไดท้ ั่วไปบนพน้ื ทท่ี ่มี ีความลาดชันสงู - ดินไหล (earth flow) เป็นการเคลื่อนที่ของชั้นดินหรือชั้นหินท่ีมีตะกอนขนาดละเอียดหรืออนุภาคของ ดินเหนียวเป็นองค์ประกอบหลัก (fine-grained materials or clay-bearing rocks) มักเกิดบนพื้นที่ที่มีความลาดชันไม่สูง นัก (moderate slopes) โดยอัตราความเร็วในการไหลจะแปรผนั ตรงกับปริมาณความชน้ื ในดนิ - โคลนไหล (mud flow) หรือ ดนิ ไหลแบบเร็วมาก (rapid earth flow) เป็นการไหลอย่างรวดเร็วมากถึง มากทสี่ ดุ (very rapid to extremely rapid) ของตะกอนดินทีป่ ระกอบไปดว้ ยอนภุ าคของทราย, ทรายแป้ง และดินเหนียว ไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 50 และมีคา่ ความชืน้ ในสถานภาพพลาสติกของดนิ (plastic index) > ร้อยละ 5 - การคบื ตัว (creep) เป็นการคบื หรือไหลคลานอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราความเร็วคงท่ี ไปตามการเอียงเทของ ชน้ั ดนิ หรอื หนิ 6) แผ่นดินถล่มแบบซับซ้อน (complex landslide) เป็นการเคล่ือนที่ของมวลดินมากกว่าหน่ึงชนิด ใน ธรรมชาติมวลดินที่เกิดการเคล่ือนที่ก่อนมักไปกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนที่ในรูปแบบอื่นตามมา เช่นการเลื่อนไถลบนระนาบ โค้งของชั้นดินบนไหลเขาสามารถไถลลงมาสู่ตีนเขาและมวลดนิ สามารถไหลต่อไปไดข้ ึ้นอยู่กับปริมาณความชื้นในดนิ ตำรำงท่ี 1 แสดงการจา้ แนกชนิดของดินถล่ม (Varnes, 1978) ชนดิ ของกำรเคล่อื นท่ี ชนดิ ของมวลเคล่ือนท่ี (Type of material) (Type of Movement) ดินในเชงิ วศิ วกรรม (Engineering soil) กำรรว่ ง (Falls) ชน้ั หิน Predominately coarse Predominately fine กำรล้มควำ่ (Topples) (Bedrock) > 20% gravel and coarse grain < 20% gravel and coarse grain การร่วงหลน่ ของหนิ (Rock fall) การรว่ งหลน่ ของดินและหิน การรว่ งหลน่ ของดิน (Debris fall) (Earth fall) การล้มคว่้าของหิน (Rock Topple) การลม้ คว่้าของดินและหิน การลม้ คว้่าของดิน (Debris topple) (Earth topple) ระนำบโคง้ การไถลลนื่ ของหิน การไถลลื่นของดินและหิน การไถลลน่ื ของดิน (Earth slide) กำรไถลล่นื (Rotational) (Rock slide) (Debris slide) (Slides) ระนำบแบบแผน่ (Translational) กำรแผ่กระจำยออกดำ้ นข้ำง การแผ่กระจายออกด้านข้างของหนิ การแผ่กรจายออกด้านข้างของดินและหนิ การแผ่กระจายออกด้านขา้ งของดนิ (Lateral spreads) (Earth spread) (Rock spread) (Debris spread) กำรไหล (Flows) การไหลของดิน การไหลของหนิ การไหลของดนิ และหิน ( Earth flow) (Rock flow, Deep creep) Debris flow) กำรเคลื่อนท่แี บบซบั ซอ้ น มีชนิดการเคลือ่ นท่ีต้งั แต่ 2 ชนิดขึน้ ไป (Combination of two or more principle type of movements) (Complex)

29 รปู ท่ี 1 แสดงประเภทของดนิ ถลม่ จ้าแนกโดยอาศัยชนดิ ของการเคลื่อนทีช่ นิดของมวลเคลอ่ื นท่ี ธรรมชาตขิ อง การเคลื่อนที่ อตั ราการเคลื่อนท่ี และความชื้น (ดดั แปลงมาจาก Varnes, D. J. 1978)

30 3.ปจั จยั ทีเ่ ป็นสำเหตขุ องกำรเกิดดนิ ถลม่ จากการศึกษาเร่ืองธรณีพิบัติภัย เนื่องมาจากดินถล่มที่บ้านกะทูนเหนือ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันท่ี 22 พฤศจิกายน 2531 พบว่ามีปัจจัยท่ีส้าคัญ 3 ประการ (วรวุฒิ ตันติวนิช, 2535) ที่เป็นสาเหตุของการเกิดดินถล่ม คือ 1) ลักษณะของดินท่ีผุพังจากหินแกรนิต จะมีลักษณะเป็นดินปนทรายเป็นส่วนใหญ่ และมีอัตราของการซึมผ่านเร็วถึงปาน กลาง ซึ่งเป็นชนิดของดินที่ไม่ค่อยมีเสถียรภาพบนลาดเขา ลักษณะดังกล่าวมีความแตกต่างจากดินท่ีผุพังจากหินทรายและ หินชนวน 2) ลาดเขาส่วนมากในพื้นที่ท่ีมีความชันมากกว่า 30% นอกจากน้ันรูปร่างของลาดเขายังมีลักษณะเป็นแบบโค้ง ออกด้านนอกและมีลาดเขาท่ีมีความชันสูงอยู่ด้านล่าง ซึ่งท้าให้เป็นจุดท่ีเกิดดินถล่มได้ง่าย 3) การเปลี่ยนแปลงการ ใช้ประโยชน์ท่ีดินจากสภาพป่าถูกเปลี่ยนเป็นสวนยางพารา ซง่ึ มรี ะบบรากฝอย ขาดรากแกว้ ยดึ เกาะชน้ั ดนิ เปน็ ปจั จยั สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การขาดเสถยี รภาพงา่ ยขนึ้ เม่ือถูกกระตุ้นด้วยปริมาณน้าฝน จากปัจจัยที่ส้าคัญดังกล่าว สามารถจ้าแนกปัจจัยพื้นฐาน ท่ีท้าใหเ้ กดิ ดินถลม่ ดงั น้ี 3.1 สภำพภมู ปิ ระเทศ (Topography) ลักษณะภูมิประเทศที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงและความยากง่ายต่อการเกิดดินถล่ม คือ ความลาดชัน (Slope) ความยาวของความลาดชัน (Slope length) ทิศทางของความลาดชัน (Aspect of slope) ระดับความสูงของพ้ืนท่ี (Elevation) และภมู สิ ณั ฐาน (Landform) วา่ เปน็ ลกั ษณะสนั เขายอดเขาแหลม ยอดเขามน หน้าผา เชิงเขา เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ี จะมีบทบาทต่อการเคลื่อนที่หรือการเล่ือนไหลของมวลดินตามลาดเขา จากหลาย ๆ งานวจิ ยั พบวา่ ปจั จยั ความลาดชนั และ ความสงู ของพน้ื ทมี่ ผี ลตอ่ ระดบั ความรนุ แรงของการเกดิ ดนิ ถลม่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีความลาดชันน้อยกว่า 5 องศา และความ สูงน้อยกว่า 100 เมตร จะให้ความรุนแรงต่อการเกิดดินถล่มต่้า (Anbalgan, 1992; Kingsbury et al., 1991) หรือความ รุนแรงต่อการเกิดดินถล่มสูงเมื่อมีความลาดชันมากกว่า 45 องศา และความสูงมากกว่า 300 เมตร (Anbalgan, 1992) อย่างไรก็ตามยังมีงานวิจัยท่ีพบว่าพื้นที่ท่มี ีความลาดชันระหว่าง 21-40 องศา มีโอกาสเกิดดินถล่มมากที่สุด (Lessing et al., 1983; Mehrotra et al., 1991) และในกรณีศึกษาท่ีบ้านกะทูนเหนือ อ้าเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่ารอยดิน ถลม่ ท่ีไดจ้ ากการแปลภาพถา่ ยทางอากาศ (1,826 รอยดินถลม่ ) สว่ นมากประมาณรอ้ ยละ 70 พบอยู่ในบรเิ วณทมี่ คี วามลาดชนั มากกวา่ 30 องศา แตไ่ มเ่ กนิ 60 องศา (วรวฒุ ิ ตนั ตวิ นชิ , 2535) ความสงู ของพื้นท่เี ปน็ ปจั จยั หนงึ่ ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดดินถล่ม เน่ืองมาจากพ้ืนท่ีท่ีมีความสูงมากย่อม มีการกดั เซาะพังทลายรุนแรง ตามหลกั การของการปรบั ตัวของพ้ืนโลก พ้ืนที่ท่ีอยู่ในท่ีสูงก็จะมีการกร่อน (Erosion) มากตาม ไปด้วย เช่น การศึกษาของ Anbalgan (1991) ได้จ้าแนกระดับความสูงต่้าของภูมิประเทศตามระดับความรุนแรงท่ีเกิดดิน ถล่มเปน็ 3 ระดับ คือ ระดับต้่า (นอ้ ยกว่า 100 เมตร) ระดับปานกลาง (100-300 เมตร) และระดับสูง (มากกว่า 300 เมตร) อย่างไรก็ตามพนื้ ทีท่ ี่สูงชนั มาก เชน่ หน้าผาหิน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยช้ันหินมากกว่าชั้นดิน จึงมีความคงทนมากกว่าบริเวณ ท่ีเป็นไหล่เขาหรือลาดเขา ดังตัวอย่าง เช่น ศูนย์วิจัยป่าไม้ (2537) ได้รายงานผลการศึกษาการเกิดดินถล่มในพื้นที่ภาคใต้ว่า ต้าแหน่งที่พบดินถล่มในระดับความสูงต้ากว่า 20 เมตร พบเพียง 14 แห่ง ระดับความสูง 200-500 เมตร พบ 1,050 แห่ง ระดบั ความสงู 500-800 เมตร พบ 744 แห่ง และระดับความสูงมากกวา่ 800 เมตร พบ 187 แหง่ 3.2 สภำพธรณีวทิ ยำและปฐพวี ิทยำ (Geology and Pedology) สภาพธรณีวิทยาที่แตกต่างกันให้ช้ันดินต่างชนิดกัน และให้ความหนาที่ต่างกัน เช่น หินแกรนิตท่ีแสดง ลักษณะความไม่เป็นเนื้อเดียวกัน (Heterogeneous) มีอัตราการผุพังสูง แร่ที่เป็นองค์ประกอบเม่ือผุพังแล้วจะให้ช้ันดินเป็น ตะกอนทรายหรือตะกอนทรายปนดินเหนียว ส่วนหินตะกอน จ้าพวก หินดินดาน หินโคลน เมื่อผุพังจะให้ช้ันดินเหนียว เป็นส่วนใหญ่ จากการศึกษาของ Mehrotra et al. (1991) พบว่าหินแปร เช่น หนิ ชนวน (Slate) หนิ ควอรต์ ไซต์ (Quartzite) มโี อกาสเกดิ ดนิ ถลม่ ไดง้ า่ ยกวา่ หนิ ตะกอน จ้าพวก หนิ ปนู /หนิ โดโลไมต์ (Limestone/Dolomite) และหินทราย (Sandstone) นอกจากน้ีการพิจารณาจากอัตราการผุพังอาจจะสามารถ บง่ บอกถึงโอกาสการเกิดดินถลม่ ได้ เช่น Anbalgan (1991) ได้

31 พิจารณาจากปัจจัยการผุพังสลายตัวของหิน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 หินที่มีการผุพังสลายตัวเร็ว แต่โอกาส เกิดดนิ ถลม่ ต่้า ไดแ้ ก่ หินควอรต์ ไซต์ หนิ ปูน หินแกรนติ หินแกบโบร และหินไนส์ กล่มุ ที่ 2 หินที่มีการผุพังสลายตัวปานกลาง มีโอกาสเกิดดินถล่มปานกลาง ได้แก่ หินดินดาน หินทรายแป้ง กลุ่มท่ี 3 หินท่ีมีการผุพังสลายตัวช้า แต่มีโอกาสเกิด ดินถล่มสูง ได้แก่ หินชนวน หินฟิลไลต์ และหินชีสต์ นอกจากน้ียังพบว่าโครงสร้างทางธรณีวิทยา มีผลต่ออัตราการผุพัง ของหนิ โดยเฉพาะหนิ ทอ่ี ยใู่ นเขตรอยเล่อื น มรี อยแตก/รอยแยกมาก ส่งผลให้อัตราการผุพังสูงตามมาด้วย เนื่องจากลักษณะ ภายในของเนอื้ ดนิ มีชอ่ งว่างให้นา้ และอากาศผา่ นเขา้ ไปทา้ ปฏิกริ ิยาทางเคมีได้ง่ายขึ้น การเกิดดินถล่มระดับตื้น (Shallow landslide) พบว่ามีความหลากหลายทางชนิดของดิน ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ ชนดิ ของดินทเี่ ปน็ ผลมาจากการผพุ งั ของชน้ั หนิ ตน้ กา้ เนิด ในปี 2533 พิสุทธ์แิ ละคณะ ได้ศึกษาดินท่ีเกิดจากการผุพังสลายตัว ของหินแกรนิต บรเิ วณทเ่ี กดิ ดนิ ถลม่ ในอ้าเภอพปิ นู จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าดินส่วนใหญ่เป็นดินทราย สามาถแบ่งเป็น 2 ช้ัน คือ ดินช้ันบนเป็นดินร่วนเหนียวปนทราย (Sandy clay loam) ซ่ึงประกอบด้วยอนุภาคขนาดทรายร้อยละ 50-65 ส่วนดินช้ันล่างเป็นดินเหนียวปนทราย (Sandy clay) ซ่ึงประกอบด้วยอนุภาคขนาดทรายร้อยละ 30-45 จากข้อมูลน้ี จะเห็นว่าดินทรายมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเม็ดดินน้อย ท้าให้เกิดการพังทลายได้ง่าย โดยปกติแล้วถ้าดินแห้งสนิทจะไม่มีแรง ยึดเหนี่ยวเกิดขึ้นเลย ซงึ่ ดินจะมีแรงยดึ เหนยี่ วเพม่ิ ขนึ้ เมอ่ื ดินได้รับความชน้ื เพม่ิ ข้นึ และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อดินได้รับความชื้น มากข้ึนเรื่อย ๆ จนเกินขีดจ้ากัดพลาสติก (Plastic Limit : PL) ดินแทบจะไม่มีแรงยึดเหน่ียวหรือไม่มีเลย และเมื่อดินได้รับ ความชื้นมากขึ้นจนถึงขีดจ้ากัดความเหลว (Liquid Limit : LL) ท้าให้ดิน อยู่ในสภาพเหลวหรือไหลได้ ค่าท่ีได้จากผลต่าง ระหว่างขีดจ้ากัดความเหลวกับค่าขีดจ้ากัดพลาสติก เรียกว่า ดัชนีพลาสติก (Plastic Index : PI) ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ ปริมาณความช้ืนที่สามารถเพิ่มในดินได้ โดยดินไม่เปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว ซ่ึงดินแต่ละชนิดมี ค่าดัชนีพลาสติกไม่เท่ากัน ดินที่มีค่าดัชนีพลาสติกต่้า (PI=5) เช่น ดินทรายแป้ง เม่ือได้รับความชื้นเพียงเล็กน้อย จะเปล่ียนสภาพเป็นของเหลวได้ง่าย กว่าดนิ ท่ีมีคา่ ดัชนีพลาสติกสงู (PI=20) เชน่ ดนิ เหนียวตอ้ งไดร้ ับความชืน้ เขา้ ไปมากกว่าจงึ จะเปลี่ยนสภาพเปน็ ของเหลว 3.3 สภำพพืชพรรณและกำรใช้ประโยชน์ท่ดี ิน (Vegetation and Landuse) พืชพรรณและสิ่งปกคลุมดินมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงพ้ืนที่ เช่น พื้นที่เกษตรกรรม พื้นท่ีป่าที่มีความ หนาแน่นมาก พ้ืนท่ีที่มีพืชพรรณหนาแน่นปานกลาง พ้ืนที่ท่ีมีพืชพรรณปกคลุมน้อย และพ้ืนท่ีท่ีไม่มีสิ่งปกคลุม (Anbalgan, 1991) เนื่องจากพืชชว่ ยท้าใหด้ นิ ร่วนซุย เม่ือฝนตกลงมานา้ ฝนจะแทรกซมึ และไหลผ่านลงสู่ดินช้ันล่างได้ดี นอกจากน้ีรากพืช ยังช่วยยึดอนุภาคดินไม่ให้แตกหลุด และเล่ือนไหลได้ง่าย คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2540) ไดร้ ายงานการศกึ ษาสภาพดินถล่มในบรเิ วณไหลเ่ ขาของเทอื กเขาหลวงในจังหวดั นครศรีธรรมราช พบว่าบริเวณที่เกิดดินถล่ม ส่วนใหญ่ เป็นบริเวณลาดไหล่เขาที่มีการถางป่าเพื่อปลูกยางพารา แม้ว่าบางแห่งมีความลาดชันไม่มากนัก แต่รอยแผลที่เกิด ดินถลม่ จะเปดิ กว้าง สว่ นบรเิ วณทีเ่ ปน็ ป่าซงึ่ มสี ภาพคอ่ นข้างสมบรู ณ์มีการเกิดดินถล่มบ้าง แต่รอยแผลของการถล่มจะเกิดใน บริเวณท่มี ีความลาดชนั สงู มากเทา่ นน้ั นอกจากนอ้ี ัตราการแทรกซึมของนา้ ยังเป็นปัจจัยเสริมในการเกิดดินถล่ม เช่น บริเวณ ป่าผลัดใบ (Deciduous forest) อัตราการแทรกซึมของน้ามีค่ามากกว่า 1,270 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ส่วนป่าสน (Pine for- est) มีค่าระหว่าง 36-1,270 มิลลิเมตรต่อช่ัวโมง (Hornbeck and Reinhart, 1964) ยังพบว่าในดินช้ันฮิวมัสหรือโอ (O horizon) อัตราการแทรกซึมของน้ามีค่าสูงถึง 5,994 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ดินชั้นเอ (A horizon) มีค่าระหว่าง 1,600- 3,353 มิลลเิ มตรต่อชั่วโมง และดนิ ชน้ั บี (B horizon) มคี า่ ระหวา่ ง 230-432 มิลลิเมตรต่อชวั่ โมง (Trimble et al., 1951) กรณีศึกษาในประเทศไทย บริเวณพื้นท่ีป่าต้นน้าภาคเหนือซ่ึงเป็นป่าดิบเขา ก็พบเช่นเดียวกัน ว่าแทบไม่มี น้าไหลบ่าบนผิวหน้าดินเลย (นิวัติ, 2513) เปรียบเทียบกับพื้นท่ีไร่ร้าง ปรากฏว่าปริมาณน้าไหลบ่าบนผิวหน้าดินมีมากกว่า พื้นท่ีป่าดิบเขาถึง 2 เท่า (นิพนธ์ และคณะ, 2516) โดยภายใต้สภาพป่าที่ปกคลุมด้วยเน้ือดินปนทรายหรือเน้ือดินเหนียวท่ี ปกคลมุ ไปดว้ ยฮิวมัสและเศษซากพืชจะมีอตั ราการแทรกซึมนา้ ไม่แตกตา่ งกนั มากนกั โดยให้เหตุผลว่าช่องว่างของดินในระดับ ความลึกประมาณ 60 เซนติเมตร จากผวิ ดนิ แทบจะไม่แตกตา่ งกัน (Hoover, 1950) หมายความว่าบริเวณพื้นท่ีลุ่มน้าท่ีมีป่า ไม้ปกคลุมจะไม่มีน้าไหลบ่าบนผิวหน้าดิน น้าในล้าธารท่ีเห็นเป็นน้าที่ไหลผ่านดินล่าง ( Subsurface Flow) เท่านั้น ที่ลงสู่ล้าธาร (นิวัติ, 2513; Hursh, 1943; Hewlett and Hibbert, 1967; Muller, 1966; Tsukamoto, 1966; และ

32 Hesmer and Feldmann, 1953) อีกท้ังประเภทของป่ายังพบ ความแตกต่างของปริมาณน้าท่ีพืชดูดซับไว้ในดิน เช่น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณผสมป่าไม้สัก และป่าเต็งรัง มีค่าประมาณ 30%, 9%, 19%, 39%, และ 62% ของปริมาณฝนตามล้าดับ จะเห็นว่าพื้นท่ีป่าดิบเขามีน้าที่ถูกพืชดูดซับไว้น้อยท่ีสุด เนื่องจากลักษณะของใบเป็นมัน มีขนาดเล็กเป็นสว่ นใหญ่ นอกจากนส้ี ภาพของบรรยากาศยงั เตม็ ไปดว้ ยเมฆหมอกและมคี า่ ความชืน้ สมั พทั ธส์ งู ในขณะทปี่ า่ ชนดิ อนื่ ๆ มีน้าทีถ่ กู พชื ดูดซบั ไว้ประมาณ 40% ถึง 60% (Tangtham, 1999) 3.4 ปริมำณน้ำฝน จากปัจจัยส้าคัญข้างต้นดังท่ีได้กล่าวมาแล้วนั้น ปริมาณน้าฝน ยังเป็นปัจจัยภายนอกท่ีมากระตุ้นให้ระบบ และกลไกลการพังทลายของดิน หรือการเคล่ือนท่ีของมวลดินเกิดข้ึนเร็วขึ้น เช่นเมื่อมีฝนตก น้าฝนจะซึมลงไปในดินด้วย อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ระยะแรกการแทรกซึม (Infiltration) ของน้าฝนลงไปในดินจะค่อนข้างเร็ว เนื่องจากความช้ืนในดิน ยังมีน้อย เม่ือมีฝนตกเป็นเวลานานท้าให้ในดินจะมีความชื้นมากขึ้น อัตราการแทรกซึมจะช้าลง ท้ังนี้ข้ึนอยู่กบั ประเภทของ เนื้อดินด้วย ถ้าเป็นดินเน้ือหยาบอัตราการแทรกซึมของน้าลงไปในดินก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว (เช่นดินทราย) แต่ถ้าเป็น ดินเน้ือละเอียด (เช่นดินเหนียว) อัตราการแทรกซึมค่อนข้างช้า ปริมาณน้าท่ีแทรกซึมลงไปในดินจะไปกักเก็บไว้ในช่องว่าง ในดิน (Soil pore) ถ้าปริมาณน้ามีมากกว่าช่องว่างในดินจะกักเก็บไว้ได้ก็จะไหลผ่านลงสู่ชั้นน้าบาดาลหรือช้ันน้าใต้ดิน (Groundwater) ปริมาณน้าฝนที่ตกลงมายังพ้ืนดินแทรกซึมลงไปในดินข้ึนอยู่กับอัตราการแทรกซึม (Infiltration Rate) ถ้าปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมาในอัตราน้อยกว่าอัตราการแทรกซึม น้าฝนจะแทรกซึมลงไปในดินทั้งหมด แต่ถ้าปริมาณน้าฝนท่ี ตกลงมาในอัตราท่ีมากกว่าอัตราการแทรกซึม น้าฝนท่ีเหลือจากการแทรกซึมลงในดินก็จะเกิดการไหลบ่าผ่านผิวดิน (Surface Runoff) ลงสู่ท่ีต้่า กรณีพืชพรรณหรือป่าไม้ข้ึนปกคลุมพื้นดิน ปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมาบางส่วนจะถูกยึดไว้โดยใบ กิ่ง ก้าน และล้าต้น จะมีมากหรือน้อยก็ข้ึนอยู่กับชนิดของพืชพรรณหรือประเภทของป่าไม้ เมื่อน้าฝนท่ีตกแทรกซึมลงในดิน ดินกจ็ ะไดร้ บั ความช้ืนเพิ่มขนึ้ ทา้ ใหด้ นิ มีน้าหนักมากขึ้น มีผลท้าให้แรงยึดเหน่ียวระหว่างมวลดินด้วยกันหรือระหว่างมวลดิน กับหินลดลง ขณะเดียวกันแรงต้านต่อการยึดเหน่ียวหรอื แรงผลักดันมีเพ่ิมมากขนึ้ ประกอบกับสภาพพน้ื ท่ีตามลาดไหลเ่ ขามี ความลาดชัน และมีแรงโนม้ ถ่วงของโลก จึงเป็นสาเหตุให้ดินและหินแตกหลุดออกจากกันและเกิดการถล่มลงมา ดังตัวอย่าง ของการศึกษาของปริญญาและวันชัย (2532) พบว่าเมื่อมีปริมาณฝนตกตั้งแต่ 260 มิลลิเมตรขึ้นไปภายในเวลา 24 ช่ัวโมง จะเกิดดินถล่มตามลาดไหล่เขาหลายสิบหลายร้อยแห่ง อย่างไรก็ตามนอกจากปริมาณน้าฝนท่ียังต้องศึกษาเพิ่มเติมแล้ว ยังมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ของความถี่และปริมาณน้าฝน ดังตัวอย่างของ Kimet et al. (1991) ได้รายงานผล การศึกษาในปี 1977-1978 ที่ประเทศเกาหลี พบว่าจ้านวนของการเกิดดินถล่มมีความสัมพันธ์กับความถ่ีและปริมาณน้าฝน กล่าวคือ ในระดับรุนแรงมากต้องมีปริมาณฝนตกสะสมมาแล้ว 2 วัน มากกว่า 140 มิลลิเมตร และความหนาแน่น (intensity) ของฝนมากกว่า 35 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ในระดับรุนแรงต้องมีปริมาณฝนตกสะสมมาแล้ว 2 วัน ปริมาณน้าฝน ระหว่าง 80-140 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝนมากกว่า 15 มิลลิเมตรต่อช่ัวโมง และระดบั ความรนุ แรงน้อยต้องมี ปรมิ าณฝนตกสะสมมาแลว้ 2 วนั ปรมิ าณน้าฝนมากกว่า 40 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝนมากกว่า 10 มิลลิเมตรต่อ ชั่วโมง และ Nianxue และ Zhuping (1991) ได้รายงานผลการศึกษาจากการคาดคะเนปริมาณและความหนาแน่นของฝน เป็น 3 ระดับ กล่าวคือ ระดับรุนแรงน้อย ต้องมีฝนตกติดต่อกันมากกว่า 3 วัน มีปริมาณน้าฝนระหว่าง 270-300 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝน ระหว่าง 90-100 มิลลิเมตรตอ่ วัน ระดับปานกลางต้องมีฝนตกติดต่อกนั มากกว่า 2 วัน มีปริมาณ น้าฝนระหว่าง 280-300 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝนระหว่าง 140-150 มิลลิเมตรต่อวัน ระดับความรุนแรงต้องมี ฝนตกติดต่อกันมากกว่า 6 วัน มีปริมาณน้าฝนระหว่าง 480-500 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝนระหว่าง 80-85 มลิ ลเิ มตรตอ่ วัน อยา่ งไรก็ตามการศกึ ษาปรมิ าณน้าฝนทมี่ ผี ลตอ่ การเกดิ ดนิ ถลม่ ยังต้องพิจารณาร่วมกับการเปล่ียนแปลงของ ระดบั น้าใตด้ นิ ซงึ่ มวี งจรการเปลยี่ นแปลงแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะฤดกู าลและเปน็ สาเหตหุ ลกั ในการเคลอื่ นตวั ของมวลดนิ

33 4.กำรดำเนนิ งำนดำ้ นธรณพี บิ ตั ภิ ยั ดนิ ถลม่ ของกรมทรพั ยำกรธรณี กรมทรัพยากรธรณีได้จัดท้าแผนที่แสดงพ้ืนท่ีที่มีโอกาสเกิดดินถล่มประเทศไทย แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2546 ท้าการวเิ คราะห์และประมวลผลข้อมูล ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม เพื่อจ้าแนกพื้นท่ีท่ีมี โอกาสเกิดดินถล่มทั่วประเทศ มาตราส่วน 1:250,000 โดยวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยต่างๆท่ีท้าให้เกิดดินถล่ม พบพ้ืนทเ่ี สย่ี งภัย ทงั้ ส้ิน 1,084 ต้าบล 311 อ้าเภอ 54 จงั หวดั และเริ่มจัดต้ังเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องดินถล่มข้ึนเป็นคร้ังแรกท่ี จังหวัดเพชรบูรณ์ เม่ือ 9 สิงหาคม พ.ศ.2546 และวันท่ี 30 กันยายน พ.ศ.2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบความก้าวหน้า การจัดทา้ ขอ้ มลู พน้ื ท่เี สียงภยั ดินถล่มของ กรมทรัพยากรธรณี ประกอบด้วยข้อมูลแผนท่ีพ้ืนท่ีท่ีมีโอกาสเกิดดินถล่ม และข้อมูล หมู่บ้านเส่ียงภัยดินถล่มท่ัวประเทศ และเห็นชอบในหลักการในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเรื่องดินถล่ม ของกรมทรัพยากรธรณี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และได้ท้าการปรับปรุงแผนที่แสดงพ้ืนท่ีท่ีมี โอกาสเกดิ ดินถลม่ ประเทศไทย ฉบบั ปี พ.ศ. 2553 และฉบับปี พ.ศ. 2559 แผนทีแ่ สดงพื้นที่ทม่ี ีโอกาสเกิดดนิ ถล่ม แผนท่ีแสดงหมบู่ ้านเสี่ยงภัยดินถล่ม ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2546 ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2546 แผนท่ีแสดงพื้นท่ีที่มีโอกาสเกิดดินถล่ม แผนที่แสดงพ้ืนทท่ี ี่มโี อกาสเกิดดนิ ถลม่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559

34 ปี พ.ศ.2563 กรมทรัพยากรธรณีได้จัดท้าแผนที่พื้นท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มระดับภูมิภาค ในพ้ืนท่ีเสี่ยง ภัยดินถล่ม 54 จังหวัด เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลและปรับปรุงข้อมูลให้มีความทันสมัย ถูกต้องและครบถ้วนตามหลักวิชาการมาก ย่ิงขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ด้วยแบบจ้าลองทางคณิตศาสตร์ด้วยวิธีทางสถิติ Bivariate Probability โดยพิจารณารอ่ งรอยการเกิดดินถล่มในอดีตร่วมกบั การพิจารณาปัจจัยท่ีควบคุมการเกิดดินถล่ม จ้านวน 7 ปัจจัย ได้แก่ 1) วทิ ยาหิน 2) ธรณวี ทิ ยาโครงสร้าง 3) ทศิ ทางการไหลของนา้ 4) ความลาดชัน 5) หนา้ รับน้าฝน 6) ระดับความสูง และ 7) ดัชนพี ชื พรรณ สามารถสรุปผลจากการวิเคราะหไ์ ดว้ ่า พื้นท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มระดับภูมิภาค พบพื้นที่ที่มีโอกาสเกิด ดินถลม่ ครอบคลุม พืน้ ท่ี จา้ นวน 2,833 ต้าบล 518 อา้ เภอ 54 จงั หวัด ตารางที่ 2 แสดงแหล่งท่ีมาของปจั จัย Data type Year Sources (ชนดิ ของข้อมูล) (ปี ค.ศ.) (แหล่งท่มี ำของขอ้ มูล) วิทยาหนิ (Lithology) 2011 Department of Mineral Resources 2011 ALOS PALSAR (DEM) หน้ารบั น้าฝน (Aspect) 2011 ALOS PALSAR (DEM) ทิศทางการไหลของน้า 2011 ALOS PALSAR (DEM) (Flow Direction) ALOS PALSAR (DEM) ระดับความสูง (Elevation) 2019 Department of Mineral Resources Landsat 8 ความลาดชนั (Slope) ธรณวี ิทยาโครงสร้าง (Geological Structure) ดชั นพี ืชพรรณ (NDVI)

35 แผนทแี่ สดงพน้ื ท่ีที่มีโอกำสเกดิ ดินถลม่ ประเทศไทย ฉบับปี พ.ศ. 2564

36

37

38

39

40

41

42

43

ตำรำงระดบั ควำมออ่ นไหวต่อกำรเกิดดินถล่ม 5 ระดับ จำแนกตำมวิธี Standard deviation 44 ระดบั ควำมออ่ นไหวต่อกำรเกดิ ดินถลม่ เปอร์เซน็ ต์ ระดับควำมออ่ นไหวต่อกำรเกดิ ดนิ ถล่ม เปอร์เซน็ ต์ จงั หวัด พื้นที่ (ตร.กม.) จังหวดั พน้ื ที่ (ตร.กม.) 8.14 2.76 (Landslide susceptibility level) 26.51 (Landslide susceptibility level) 9.60 44.96 36.73 เชยี งใหม่ ระดับสงู มาก (very high) 1,620.04 19.69 เพชรบูรณ์ ระดับสงู มาก (very high) 197.71 47.05 ตำก ระดบั สูง (high) 5,274.56 0.69 อตุ รดติ ถ์ ระดบั สูง (high) 688.59 3.86 ระดบั กลาง (moderate) 8,945.78 5.86 ระดบั กลาง (moderate) 2,633.75 3.08 แม่ฮ่องสอน ระดบั ตา้่ (low) 3,917.90 19.24 แพร่ ระดับตา้่ (low) 3,373.90 12.70 นำ่ น ระดับต่้ามาก (very low) 137.74 43.83 ยะลำ ระดบั ต้่ามาก (very low) 276.51 40.73 ระดับสงู มาก (very high) 893.56 28.63 เพชรบรุ ี ระดบั สงู มาก (very high) 178.58 37.30 กำญจนบุรี ระดับสงู (high) 2,934.75 2.44 พษิ ณุโลก ระดับสูง (high) 737.19 6.19 เชยี งรำย ระดับกลาง (moderate) 6,683.63 8.96 อทุ ยั ธำนี ระดบั กลาง (moderate) 2,363.66 4.59 ลำปำง ระดบั ตา้่ (low) 4,365.31 27.19 ชัยภูมิ ระดบั ต่้า (low) 2,164.80 15.18 สุรำษฎร์ธำนี ระดบั ตา้่ มาก (very low) 372.73 46.90 นครรำชสมี ำ ระดบั ตา้่ มาก (very low) 359.16 40.20 ระดบั สงู มาก (very high) 1,121.94 16.80 ระดบั สงู มาก (very high) 236.06 39.17 เลย ระดบั สูง (high) 3,405.28 0.15 ระดับสูง (high) 781.57 0.86 ระดบั กลาง (moderate) 5,873.91 6.72 ระดบั กลาง (moderate) 2,069.18 9.66 ระดบั ตา้่ (low) 2,104.05 20.63 ระดับตา้่ (low) 2,016.62 39.72 ระดบั ต้า่ มาก (very low) 18.88 48.03 ระดบั ต้่ามาก (very low) 44.40 35.21 ระดบั สงู มาก (very high) 765.81 24.32 ระดบั สงู มาก (very high) 351.02 15.07 ระดบั สงู (high) 2,349.66 0.29 ระดบั สงู (high) 1,443.02 0.34 ระดบั กลาง (moderate) 5,470.45 5.14 ระดับกลาง (moderate) 1,279.19 13.46 ระดบั ตา้่ (low) 2,769.95 15.44 ระดับตา้่ (low) 547.62 24.47 ระดับต่้ามาก (very low) 32.91 35.63 ระดับต่้ามาก (very low) 12.37 33.16 ระดับสูงมาก (very high) 753.18 36.13 ระดบั สูงมาก (very high) 557.53 24.55 ระดับสูง (high) 2,259.97 7.66 ระดบั สงู (high) 1,013.88 4.36 ระดับกลาง (moderate) 5,216.05 5.99 ระดบั กลาง (moderate) 1,373.72 2.31 ระดับตา้่ (low) 5,288.78 23.83 ระดบั ตา้่ (low) 1,016.90 9.27 ระดับตา้่ มาก (very low) 1,121.32 49.31 ระดับต่้ามาก (very low) 180.62 37.39 ระดับสงู มาก (very high) 454.82 20.69 ระดบั สูงมาก (very high) 135.62 46.92 ระดับสงู (high) 1,807.88 0.18 ระดบั สูง (high) 543.51 4.10 ระดับกลาง (moderate) 3,741.72 4.43 ระดับกลาง (moderate) 2,191.97 5.47 ระดับต่้า (low) 1,569.98 15.41 ระดับตา้่ (low) 2,750.37 19.31 ระดับต่้ามาก (very low) 13.73 35.64 ระดบั ตา้่ มาก (very low) 240.45 45.47 ระดบั สูงมาก (very high) 448.33 42.44 ระดับสงู มาก (very high) 205.64 27.76 ระดบั สูง (high) 1,557.91 2.08 ระดบั สงู (high) 725.73 1.99 ระดบั กลาง (moderate) 3,603.47 6.49 ระดบั กลาง (moderate) 1,709.14 2.49 ระดบั ตา้่ (low) 4,290.57 32.34 ระดบั ตา้่ (low) 1,043.37 6.63 ระดับต่้ามาก (very low) 209.80 33.94 ระดับตา้่ มาก (very low) 74.70 35.97 ระดบั สงู มาก (very high) 392.19 26.22 ระดับสูงมาก (very high) 143.81 53.43 ระดับสูง (high) 1,953.46 1.00 ระดับสูง (high) 382.68 1.48 ระดับกลาง (moderate) 2,049.99 2.29 ระดับกลาง (moderate) 2,076.84 0.80 ระดับต่้า (low) 1,583.54 9.97 ระดับต่้า (low) 3,085.46 3.94 ระดบั ต้า่ มาก (very low) 60.46 39.84 ระดบั ต่้ามาก (very low) 85.52 42.89 ระดับสูงมาก (very high) 169.53 47.67 ระดบั สงู มาก (very high) 43.54 51.58 ระดบั สูง (high) 738.52 0.23 ระดบั สูง (high) 213.56 0.79 ระดบั กลาง (moderate) 2,952.11 ระดับกลาง (moderate) 2,322.73 ระดับต่้า (low) 3,532.42 ระดับตา้่ (low) 2,793.27 ระดับตา้่ มาก (very low) 17.07 ระดบั ต้่ามาก (very low) 42.71

จังหวดั . ระดบั ควำมออ่ นไหวต่อกำรเกดิ ดินถล่ม เปอรเ์ ซ็นต์ ระดบั ควำมออ่ นไหวต่อกำรเกดิ ดนิ 45 พ้ืนที่ (ตร.กม.) จังหวัด ถล่ม พ้ืนท่ี (ตร.กม.) 4.37 เปอร์เซน็ ต์ (Landslide susceptibility level) 24.05 (Landslide susceptibility level) 35.95 3.35 ระดบั สูงมาก (very high) 172.60 32.61 ระดับสงู มาก (very high) 84.38 13.16 3.02 40.62 ระดับสูง (high) 949.99 3.06 ระดบั สูง (high) 331.74 41.62 12.33 1.25 ประจวบครี ีขันธ์ ระดบั กลาง (moderate) 1,419.93 45.06 จนั ทบุรี ระดบั กลาง (moderate) 1,024.39 7.96 39.05 21.89 ระดับต่้า (low) 1,287.93 0.50 ระดบั ต่า้ (low) 1,049.47 37.19 16.93 28.87 ระดบั ตา้่ มาก (very low) 119.21 30.85 ระดบั ต่้ามาก (very low) 31.62 4.09 26.36 2.39 ระดบั สูงมาก (very high) 127.89 24.72 ระดบั สงู มาก (very high) 159.71 12.16 1.14 37.36 ระดบั สูง (high) 514.44 2.60 ระดบั สูง (high) 439.10 43.99 23.27 4.11 พะเยำ ระดับกลาง (moderate) 1,880.58 43.25 กำแพงเพชร ระดับกลาง (moderate) 746.07 4.80 30.07 15.20 ระดบั ตา้่ (low) 1,629.78 0.81 ระดบั ตา้่ (low) 579.20 33.91 5.20 40.85 ระดับตา้่ มาก (very low) 21.07 32.19 ระดบั ต่า้ มาก (very low) 81.99 5.24 45.30 2.49 ระดับสงู มาก (very high) 551.43 17.04 ระดับสงู มาก (very high) 59.29 6.63 0.28 35.97 ระดบั สงู (high) 1,004.54 3.93 ระดับสงู (high) 301.68 53.43 13.34 1.48 นครศรธี รรมรำช ระดับกลาง (moderate) 858.41 32.92 สโุ ขทัย ระดับกลาง (moderate) 926.92 0.53 41.46 3.55 ระดับต่้า (low) 804.82 8.35 ระดบั ต่้า (low) 1,091.34 51.53 4.00 42.02 ระดบั ตา้่ มาก (very low) 37.05 15.84 ระดับต่า้ มาก (very low) 101.87 2.37 34.85 3.04 ระดับสูงมาก (very high) 84.52 44.10 ระดับสงู มาก (very high) 113.18 23.75 1.20 36.80 ระดับสูง (high) 755.32 0.96 ระดับสงู (high) 358.83 35.28 16.61 1.13 ชมุ พร ระดบั กลาง (moderate) 1,403.75 44.30 รำชบุรี ระดบั กลาง (moderate) 800.22 3.93 35.95 13.34 ระดบั ตา้่ (low) 975.83 2.18 ระดบั ต้่า (low) 964.13 32.92 12.69 41.46 ระดับตา้่ มาก (very low) 26.25 34.75 ระดับต่้ามาก (very low) 123.68 8.35 33.14 1.85 ระดับสงู มาก (very high) 125.90 18.29 ระดับสูงมาก (very high) 143.81 12.37 1.13 35.56 ระดับสูง (high) 779.47 ระดับสูง (high) 382.68 48.16 2.05 ระนอง ระดับกลาง (moderate) 1,097.04 ตรัง ระดบั กลาง (moderate) 2,076.84 ระดับต้่า (low) 412.55 ระดบั ต่า้ (low) 3,085.46 ระดับตา้่ มาก (very low) 6.79 ระดับตา้่ มาก (very low) 85.52 ระดบั สูงมาก (very high) 41.24 ระดบั สูงมาก (very high) 8.51 ระดับสงู (high) 139.97 ระดบั สูง (high) 57.13 พงั งำ ระดับกลาง (moderate) 345.56 ปรำจนี บุรี ระดบั กลาง (moderate) 829.76 ระดับตา้่ (low) 435.20 ระดับต่้า (low) 676.62 ระดบั ต่้ามาก (very low) 87.61 ระดบั ต่้ามาก (very low) 38.09 ระดบั สูงมาก (very high) 135.23 ระดับสงู มาก (very high) 41.56 ระดับสูง (high) 535.13 ระดบั สูง (high) 324.30 ลำพนู ระดบั กลาง (moderate) 1,176.85 สตลู ระดับกลาง (moderate) 502.37 ระดับตา้่ (low) 1,489.37 ระดับตา้่ (low) 481.70 ระดับต่้ามาก (very low) 40.69 ระดับตา้่ มาก (very low) 15.45 ระดับสูงมาก (very high) 26.92 ระดับสูงมาก (very high) 41.24 ระดบั สงู (high) 465.36 ระดับสูง (high) 139.97 สงขลำ ระดบั กลาง (moderate) 1,241.02 อุบลรำชธำนี ระดับกลาง (moderate) 345.56 ระดบั ต่้า (low) 1,007.23 ระดับต่้า (low) 435.20 ระดับต่้ามาก (very low) 60.99 ระดบั ตา้่ มาก (very low) 87.61 ระดบั สงู มาก (very high) 266.61 ระดบั สงู มาก (very high) 26.63 ระดับสูง (high) 730.26 ระดบั สงู (high) 177.64 นรำธิวำส ระดบั กลาง (moderate) 696.53 กระบี่ ระดบั กลาง (moderate) 510.58 ระดับตา่้ (low) 384.47 ระดบั ต่้า (low) 691.52 ระดบั ต่้ามาก (very low) 23.85 ระดบั ต่า้ มาก (very low) 29.49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook