-MEDITATION- SUBMITTED BY GROUP 5
หนังสือเรื่อง อาการสมาธิเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของสมาธิ การบริกรรม และการต่อต้าน สมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตลอดเวลา แต่ทำไมคนกลับไม่เคยเห็นสิ่งนี้เลย ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี การพั ฒนา และความสะดวกสบาย ทำให้การดำรงชีวิต ของคนเมือง เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เกิดการทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน จนบางครั้งไม่มีสติกับสิ่งที่ อยู่ตรงหน้า ทำเพี ยงเพราะความเคยชิน เราจึงจัดทำหนังสือ E-book เล่มนี้ขึ้น เพื่ อเป็นการแบ่งปัน การพั ฒนาชีวิต โดยเริ่มจากตัวเอง เปิดมองสิ่งเดิมๆ ในมุมมองใหม่ๆ เพื่ อให้เห็นความแตกต่าง และ ช่วยพั ฒนาคุณภาพในชีวิต ทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเรื่อง อาการสมาธิเล่มนี้ จะมอบความรู้ใหม่ๆ มอบ แนวทางหรือแนวคิดในการพั ฒนาคุณภาพชีวิตที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้ผู้อ่านเห็นความต่างในการใช้ ชีวิตหลังการอ่านหนังสือ E-book เล่มนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย
หน้า 1 การทำสมาธิ และการบริกรรม หน้า 4 การวัดผลของการบริกรรม และลักษณะอาการต่อต้านสมาธิ หน้า 8 ลักษณะของสมาธิ หน้า 14 ประโยชน์ของสมาธิ หน้า 17 แหล่งที่มาของข้อมูล
จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง ก า ร ทำ ส ม า ธิ การทำสมาธิ และการบริกรรม คือ จุดประสงค์ ของการทำสมาธิ วิธีทำสมาธิในอิริยาบถสี่ จุดเริ่มต้น จุดประสงค์ของการทำสมาธิ คือ การสร้างพลังจิต เพราะ ของการทำสมาธิ ลักษณะของการบริกรรม และ การ เป็นสิ่งสำคัญในการทำสมาธิ ตั้งแต่ขั้นแรกจนถึงขั้นสุดท้ายจำเป็น วางจิตในธรรมะบริกรรม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เราจะ ที่จะต้องอาศัยพลังจิต และเมื่อมีพลังจิตที่เพี ยงพอก็จะสามารถทำ ต้ อ ง ท ร า บ ต า ม สิ่ ง ที่ ต้ อ ง ก า ร ใ ห้ ส ม ป ร า ร ถ น า ไ ด้ 1. ผลิตพลังจิต วิธีการผลิตพลังจิต คือ การกรองอารมณ์ หรือ การย่ออารมณ์ การบริกรรมพุ ทโธเป็นการกรองอารมณ์ หากเรา มีอารมณ์มากมาย จิตก็จะไม่เป็นสมาธิ ทำให้ผลิตพลังจิตไม่ได้ แล้วก็ยังไปทำลายพลังจิตเก่า ซึ่งเราต้องทำการย่ออารมณ์ทัั้ง หมดเหล่านั้นให้เหลือสั้นเข้าไว้ ย่อให้เหลือหนึ่ง หรือเรียกว่า เอกัคตา เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้วก็จะทำให้เกิดสมาธิและทำให้ผลิต พ ลั ง จิ ต ไ ด้ ใ น ที่ สุ ด 2. สะสมพลังจิตไว้ที่ฐานของจิต เมื่อจิตผลิตพลังจิตได้แล้ว ก็นำ สะสมไว้ที่ฐานของจิตที่เอาไว้ตั้งฐานของจิต ซึ่งจะตั้งไว้ที่หน้าผาก หัวใจ หรือ สะดือ ตั้งไว้ที่ตรงไหนแล้วก็ให้ตั้งไว้ที่ตรงนั้นที่เดียว เท่านั้น และจิตก็จะสะสมอยู่ที่นั้นตลอดชีวิต 1
จุ ด เ ริ่ ม ต้ น ที่ จ ะ เ ป็ น ส ม า ธิ วิธีทำสมาธิในอิริยาบถ 4 จุดเริ่มต้นที่จะเป็นสมาธิ คือ ความเป็นหนึ่ง การเริ่มต้น 1. สมาธิในอิริยาบถนอน ในเวลาที่จะนอนให้บริกรรม การทำสมาธิให้เกิดขึ้นมา ต้องกรองอารมณ์ก่อนที่จะเข้าไป สองสามนาที แล้วจึงหลับไปก็จะเป็นการทำสมาธิให้กับ คลื่นสมอง (Wave) และความสั่นสะเทือนของสมอง เราได้ (Vibration) แต่จะกรองทีเดียวให้หมดก็คงไม่ได้เพี ยงแต่ ทำให้อารมณ์นั้นเบาลง แต่ถ้าไม่ได้กรองก็จะทำให้ความสั่น 2. สมาธิในอิริยาบถเดิน หรือเรียกว่า เดินจงกรม การเดินจงกรมให้เอา สะเทือนของสมองทำงานหนักเมื่อทำงานหนักก็จะล้า การใช้ มือขวาจับมือซ้าย วางมือไว้ที่หน้าท้อง แล้วเดินไปเดินมาการเดินจงกรม อิริยาบถ 4 ในการทำสมาธิ จะช่วยให้อารมณ์ในสถานการณ์ ควรทำวันละประมาณ 30 นาทีก็เพียงพอ เวลาเดินก็บริกรรมไปด้วย ต่างๆถูกกรองก่อน หากกรองอารมณ์ไม่ได้ก็จะเกิดการสะสม ทำให้กลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ไม่มีเมตตา ไม่รู้จักถูกไม่รู้จัก ผิด อยู่อยู่ก็มาตีกัน ด่ากัน หาเรื่องขัดแย้งกัน 3. สมาธิในอิริยาบถนั่ง ควรที่จะเดินจงกรมก่อนมานั่งสมาธิ เพราะทำให้เลือดลมในร่างกายกระจายออกไปได้สะดวก การเดิน ของเลือดลมต่างๆ สะดวกสบาย ทำให้สามารถนั่งสมาธิได้ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 4. สมาธิในอิริยาบถยืน หากเราหยุดยืนที่ไหนก็ให้บริกรรมให้ 2พอเป็นพิ ธีท ำให้สามารถนั่งสมาธิได้ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
ลักษณะของการบริกรรม 1. การบริกรรมคือการนึกพุ ทโธเพื่ อการกรองอารมณ์ การบริกรรม คือ การนึกพุ ทโธ การนึกพุ ทโธไม่ค่อยยาก การทำ บริกรรมครั้งแรกนั้นอาจจะติดขัดแต่เมื่อทำหลายๆครั้งแล้วก็จะ กลายเป็นเรื่องธรรมดา เปรียบเหมือนกับการไปเรียน เมื่อเรียนไป เรียนครั้งแรกจะรู้สึกว่ายากลำบากแต่เมื่อไปเรียนแล้วหลายๆครั้งก็ จะรู้สึกว่าไม่ได้ลำบากอะไร เมื่อเราจะทำสมาธิก็จะบริกรรมหลับตา นึกพุ ทโธและคิดว่าการนึกพุ ทโธแต่ละครั้งเป็นการกรองอารมณ์ 2. การบริกรรมที่เป็นจิตตะ การบริกรรมเพื่ อกรองอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ความสนใจของคน เราเรียกว่า จิตตะ คำว่า จิตตะในอิทธิบาท 4 คือสมาธิ ซึ่งคำ บริกรรมมีความสำคัญอย่างมากในการทำให้อารมณ์ลดลง ก า ร ว า ง จิ ต ใ น ธ ร ร ม ะ บ ริ ก ร ร ม แนวทางของการบริกรรมถือว่าเป็นบริกรรมสวนะที่จะต้องมีการใช้อยู่ตลอดเวลาของการทำสมาธิ ให้นึกพุ ทโธไว้ในใจ ซึ่งการนึกพุ ทโธคือวางจิตได้แล้ว การวางจิตที่ถูกต้อง ในครั้งแรกจะไม่เร็วต้องอาศัยเวลา เมื่อเวลา ผ่านไปก็จะเริ่มชำนาญ ซึ่งเมื่อชำนาญแล้วก็จะทำให้รู้ขั้นตอนในการทำสมาธิ เวลาทำทุกขั้นตอนก็จะเกิดรวดเดียวไป เลยไม่ต้องวิตกกังวลแต่ละขั้นตอน ซึ่งการทำสมาธิก็จำเป็นต้องมีครู อาจารย์ให้คำแนะนำด้วย เพื่ อให้คนได้เกิดความ 3 สนใจ เกิดความที่จะอยากทำเมื่อเรารู้แล้วก็นำไปสอนคนอื่นต่อ
การวัดผลของการบริกรรม 2. ผู้วัดผลของการบริกรรม 1. ผลของการบริกรรม ผู้ ป ฏิ บั ติ ส ม า ธิ แ ต่ ล ะ ค น จ ะ รู้ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ ตั ว เ อ ง การทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่ทราบผลที่ทำแล้ว เราก็ทำงานนั้นไม่สำเร็จ ในขณะที่ปฏิบัติสมาธิ ผู้ปฏิบัติสมาธิจึงเป็นผู้วัดผลการ การทำสมาธินั้นผลออกมาจะต้องเกิดความสบาย เกิดความเย็นใจ เกิดความซาบซึ้ง เกิดความประทับใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่วัดผลให้รู้ว่า บริกรรมของตน การทำสมาธิแต่ละครั้ง เมื่อเราจะเริ่ม เราได้สมาธิแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดพลังจิต ต้น เราต้องบริกรรม เราจะไปนั่งเฉยๆ ให้สมาธิเกิดมัน การวัดผลของการปฏิบัติบริกรรมคือ เมื่อเกิดความเบากาย เบาใจ เกิดความสงบขึ้นแล้วคำบริกรรมก็ไม่มีความจำเป็นนั่งเฉยๆ ก็เกิดได้ แต่ว่าไม่ดีเท่าที่เราบริกรรมแล้วเกิดสมาธิขึ้น ก็มีการผลิตพลังจิตไปในตัว บางทีเมื่อเราได้สมาธิที่เรียกว่าความ สบายใจแล้ว คำบริกรรมจะละไปเอง เมื่อละไปเองแล้ว ปล่อยให้จิต เมื่อบริกรรมแล้วมันหายไปเองก็ต้องปล่อย สามารถ ผลิตพลังจิตไป เราก็จะต้องปล่อยให้จิตพั ฒนาตัวมันเองขึ้นไป เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ผลแล้ว คำบริกรรมจึงไม่จำเป็นที่จะต้อง บริกรรมตามความต้องการ เพราะคำบริกรรมนั้นถือ บริกรรมต่อไป เป็นเพี ยงแนวทางที่ทำให้จิตสงบเท่านั้น 4
ตอนที่พระพุ ทธเจ้าได้ทำความเพี ยรอดอาหาร เวลาที่ทำผิดหมายความว่าทำทุกกริยาไม่เห็น มีมารไปผจญ แต่ พอมานั่งสมาธิเพื่ อความหลุดพ้ นที่จะเป็นพระพุ ทธเจ้า ตอนที่พระองค์นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ก็มีมารแล้ว สิ่งนี้เรียกว่าสิ่ง ต่อต้าน ตัวของเราก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มาต่อต้านเรา จึงตามเราไปตลอด ความอดทน ความเพี ยร ความ อุตสาหะ ความตั้งใจมั่น สิ่งเหล่านื้จะสามารถทำตัวของเราให้เกิดมีสมาธิขึ้น เมื่อเกิดสมาธิขึ้นแล้ว ชีวิตของเราจะ ก้าวหน้าตลอดไป สามารถพั ฒนาจากสมองทึบให้เป็นสมองดี มีกระแสจิตที่จะไปช่วยกรองอารมณ์ต่างๆ เพื่ อจะให้ 5 เป็นเครื่องแก้ไขอุปสรรค
6 วิจิกิจฉา เป็นตัวการหนึ่งในนิวรณ์ 5 ประการที่มีอยู่ วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยเป็นตัวการที่มีความรุนแรงกว่าความ ต่อต้านอื่นๆ ความต่อต้านอื่นๆ มันก็ต่อต้านแต่ยังพอสู้ไหวไม่ ยาก แต่การต่อต้านที่จะสู้ความสงสัยที่มันต่อต้านนั้นยากมาก ผู้มีอายุก็มีผู้มี อายุน้อยก็มี ผู้ที่เป็นนักศึกษาก็มี พวกที่ไม่คิดว่า สมาธิจะทำอะไรให้เราได้ก็มีมาก ก็หาเรื่องปั่ นป่วน มาพู ดอย่าง โน้นอย่างนี้ ทำให้ไขว้เขว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่ควรที่สุดนั้น เราก็จะต้องฟังท่านผู้รู้ เมื่อมันเป็นขึ้นมาแล้ว เราก็มีสติเพราะการสร้างพลังจิตเท่ากับการ สร้างสติ เมื่อสร้างสติแล้วก็จะเกิดปัญญา การทำสมาธิเบื้องต้น จึงมีสิ่งสารพั ดมาต่อต้าน เราต้องมีความอดทนมีความเพี ยรมี ค ว า ม พ ย า ม ย า ม มี ค ว า ม ตั้ ง ใ จ ม น แ ล ะ ต้ อ ง มี ปั ญ ญ า ที่ จ ะ แ ก้ ไ ข ไ ม่ ห ล ง ใ ห ล ไ ป ต า ม สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น
7 เวลาทำสมาธิ บางคนไม่พอดี อยากจะพ้ นทุกข์ให้มัน เร็วๆ เข้าใจว่าเราต้องพยายามเอาให้สำเร็จในชาตินี้ให้ได้ ทรมานร่างกาย ข้าวก็ไม่ต้องฉัน เดินจงกรมก็ห้าชั่วโมง สิบ ชั่วโมง มันเกินพอดี ไปๆ มาๆ ร่างกายก็อาจกลายเป็นโรค เหน็บชา โรคกระเพาะอาหาร โรคเส้นประสาท โรคอัมพาต ใน การทรมานตน พวกนี้จึงตกอยู่ในความโลภอยากได้เร็วเท่านั้น ไม่เป็นกลาง เมื่อไม่พอดี เลยทาให้สิ่งที่ต้องการจะทำนั้นสำเร็จ ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราทาสมาธิเราจะทาพอดีเราไม่โลภ อ ย า ก ไ ด้ เ ร็ ว แ ต่ ก ลั บ ไ ด้ เ ร็ ว
ลักษณะของสมาธิ สมาธิ คือ การที่จิตตั้งมั่น สงบ แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ซัดส่าย ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบเป็นการ กำหนดจิตแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น มีสมาธิในการอ่าน หนังสือ เป็นการกำหนดจิตแน่วแน่อยู่กับข้อความในหนังสือ สมาธิจึงเป็นความตั้งมั่นอยู่ในเรื่องที่ต้องการให้ตั้งไว้เพี ยง เรื่องเดียว ไม่ให้ฟุ้งซ่าน 8
เมื่อเราเริ่มคำบริกรรม ความกังวลของเราก็จะเริ่มจางหาย ไป อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะเริ่มสงบลงจนจิตของเราว่าง เปล่า เมื่อทำไปเรื่อยๆ สมาธิก็จะเกิดขึ้นและเราก็จะสามารถ ปรับตัวเข้ากับสมาธิที่เกิดขึ้นนั้นได้ จิตของเราจะเริ่มรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อารมณ์ ความ นึกคิดที่เคยสับสนจะเริ่มหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง เกิด เป็นความสงบ และหากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จิตเราจะ เ ริ่ ม มี ค ว า ม ส ง บ ม า ก ขึ้ น แ ม้ ว่ า จ ะ เ ลิ ก ทำ คำ บ ริ ก ร ร ม ไ ป แ ล้ ว เรียกว่า จิตละเอียด 9
เมื่อเราทำสมาธิซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง มันจะ ทำ ใ ห้ จิ ต ข อ ง เ ร า เ กิ ด ค ว า ม เ ค ย ชิ น แ ล ะ มี ก า ร ป รั บ ตั ว ที่ ดีขึ้น เกิดการพั ฒนาทางจิต เราจะสามารถปรับตัว รู้ถึงจุดปัญหาและวิธีแก้ไขในสิ่งต่างๆได้ดี ทำให้เกิด ค ว า ม ชำ น า ญ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ ส บ ค ว า ม สำ เ ร็ จ เป็นการเปลี่ยนสภาพของจิตและความคิด ก่อนหน้าที่ จะทำสมาธิ เราอาจยังไม่มีความคิดถี่ถ้วนในการทำสิ่ง ต่างๆ ทว่าเมื่อเราทำสมาธิแล้ว อารมณ์สับสนจะสงบลง ทำให้เรามองเห็นปัญหา มองเห็นภาพรวมได้อย่างชัดเจน คิดวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดและสามารถควบคุมจิต ความ นึกคิดของตนได้ 10
1 . ค ว า ม ขี้ เ กี ย จ 2 . ก า ร ไ ม่ เ ห็ น ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง ส ม า ธิ 3.การผจญกับมาร 4.ความประมาท เราสามารถวัดได้จากการสังเกตเฉพาะตัว เช่น การเปลี่ยนแปลงทางด้านของ พฤติกรรม จากที่เคยนอนไม่หลับเพราะมักจะคิดฟุ้งซ่านกลับสามารถนอนหลับได้อย่าง สบายเพราะจิตสงบ การเปลี่ยนแปลงทางด้านของอารมณ์ จากที่เคยโมโห ฉุนเฉียว 11 บ่อยครั้งกลับใจเย็น สงบสติอารมณ์ ควบคุมตนเองได้
การผลัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยปละละเลย ไม่มีความ ตั้งใจหรือความแน่วแน่ในการทำสมาธิ ส่งผลให้จิตที่ เราเคยสงบก็จะเริ่มหายไป อารมณ์ที่เคยสับสนจะ เริ่มกลับคืนมาและทำให้เราไม่สามารถควบคุมจิตได้ การผลัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยปละละเลย ไม่มีความตั้งใจ หรือความแน่วแน่ในการทำสมาธิ ส่งผลให้จิตที่เราเคยสงบ ก็จะเริ่มหายไป อารมณ์ที่เคยสับสนจะเริ่มกลับคืนมาและ ทำให้เราไม่สามารถควบคุมจิตได้ 12
มาร กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ อุปสรรคในการทำสมาธิ ความ ปวดเมื่อยในการเริ่มฝึกสมาธิอาจทำให้ใครหลายคนท้อใจ จนเลิกฝึก เป็นอุปสรรคที่ใครต่อหลายคนได้พบเจอกันมา ทว่าหากเราสามารถอดทนจนผ่านพ้ นออุปสรรคนั้นไปได้ ก็ เท่ากับว่าเราสามารถเอาชนะมารในตัวได้ การประมาทในสมาธิด้วยความคิดที่ว่า นานๆครั้งค่อย กลับมาทำสมาธิได้ หรือสมาธิเรานั้นมีมากอยู่แล้ว ห่าง กายไปนานคงไม่เป็นอะไรนั้น เป็นความประมาทที่ส่ง ผลให้ตัวเราอาจถูกอารมณ์ความนึกคิดครอบงำจิต โดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้เราอาจขาดสติ ขาดปัญญาในบาง 13 ครั้ง ล่วงเลยจนกระทั่งเกิดเป็นความฟุ้งซ่าน
สมาธิสามารถที่จะไปพั ฒนา สองดีความดีของมนุษย์ 2 ประการ ที่เรียกว่าสองดี ดีที่หนึ่งคือความสามารถ ดีที่ สอง คือความเป็นเลิศ 2อย่างนี้ต้องมีประจำ แต่ว่าบุคคลที่ จะพั ฒนาความสามารถและ ความเป็นเลิศ จะทำอย่างไรให้ สองดีนี้ เกิดความสมบูรณ์แบบขึ้น ทางเดียวก็คือสมาธิ ส ม า ธิ ทำ ใ ห้ เ กิ ด ส ติ แ ล ะ ปั ญ ญ า ถ้ า ไ ม่ มี ส ม า ธิ ค น เ ร า ก็ เ ป็ น บ้าทันทีนั่น คือความที่ไม่สมประกอบ เนื่องจากว่าสมาธิไม่มี สติก็ไม่มีปัญญาก็หมด ชีวิตก็หมดหวังเมื่อเป็นเช่นน้ัน ส ม า ธิ จ ะ ทำ ใ ห้ ค น ส ม ห วั ง ใ น ก า ร ที่ เ ร า ต้ อ ง ก า ร อ ยู่ ร่ ว ม กั น ด้ ว ย ความอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่คนที่คนหลายพั นคนมอง ข้ า ม จุ ด นี้ สมาธิทำ ให้เกิดการพั ฒนาสมอง สมาธิสามารถที่จะไป ทำสมองของคนเราให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจาก อารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในสมองของคน 14
1. กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นวิธีที่ง่ายมากๆ อาทิเช่น นั่งทำงานอยู่ ก็เพี ยงนั่งหลัง ตรง มีสมาธิกับการทำงานด้วยการ กำหนดลมหายใจเข้า และออก อย่างช้าๆ เพื่ อให้จิตเราอยู่กับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่อง อื่น ๆ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปบังคับการหายใจ เพี ยงแค่เราปล่อยให้ มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างช้าๆ 2. ฟังธรรมะก่อนนอน ก่อนนอนเพี ยงแค่เปิดซีดีธรรมะฟัง ฟังพระธรรมเทศนา เป็นการฝึกสมาธิไปพร้อมกับเสียงดนตรีเบาๆ เพื่ อช่วยให้ร่างกาย ได้ผ่อนคลาย และได้นอนหลับอย่างสนิท 15
การทำสมาธิจะช่วยให้การเรียน และการงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การทำสมาธิเป็นการสะสมทุน เพื่ อ นำไปใช้ในการเรียนและการงาน ในการที่เราจะใช้สมาธิ กับการงาน ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว เท่ากับ ว่าเราได้ทุน ได้เงินใส่กระเป๋าไว้แล้ว ทำยังไงๆ เงินในกระเป๋า ก็จะต้องช่วยเราแน่นอน การทำสมาธิจะไม่ทำให้เกิดความ ประมาท ความสะเพร่าในการเรียนและการงาน 16
รูปภาพประกอบ : www.canva.com หนังสือสมาธิเพื่ อพั ฒนาชีวิต สมาธิกับชีวิตประจำวัน : https://www.shorturl.asia/bFtM1 17
-MEDITATION- \" . . เ ร า ดี ใ จ ที่ ไ ด้ เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ใ น ก า ร ทำ ส ม า ธิข อ ง คุ ณ . . \" มี ชี วิ ต ที่ ดี แ ล ะ ส ง บ สุ ข
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: