Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรเดินด้วยเท่้าก้าวด้วยบุญ

หลักสูตรเดินด้วยเท่้าก้าวด้วยบุญ

Published by wi.kuntarn, 2020-06-24 11:18:56

Description: หลักสูตรเดินด้วยเท่้าก้าวด้วยบุญ

Search

Read the Text Version

ปี ๒๕๖๑ ร่นุ ที่ ๑ เฉลิมพระเกียรติโครงการบรรพชา อุปสมบท บวชเนกขมั มจารณิ ี “เดินดว้ ยเท้ากา้ วด้วยบญุ ” วดั ทุ่งสว่าง (บา้ นเย้ยสะแก) ต.เสมด็ อ.เมืองบรุ ีรัมย์ จ.บรุ ีรัมย์

ก คำนำ สภาพสังคมไทยในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า มีความเจรญิ กา้ วหนา้ ในการพัฒนาประเทศด้วย เทคโนโลยี ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ท้ังทางด้านเศรษฐกิจสังคม และการเมือง ประชาชนสว่ นหน่ึงได้รับความสะดวกสบายทางวัตถุมากขึ้น ในขณะเดียวกันความเสื่อมทางจิตใจก็ทวี ขึ้นจนเป็นทนี่ ่าวติ ก ดงั จะเห็นได้จากปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนอย่างสลับซับซ้อน เช่น ผู้คนท่ีไม่เคารพ ตอ่ ศลี ธรรม วัฒนธรรม ประเพณี ขาดระเบียบวินยั มคี ่านิยมในทางฟงุ้ เฟ้อ ฟุ่มเฟือย เห็นแก่ตัวจน กล่าวได้ว่า “พัฒนาแต่ไมเ่ จรญิ ” หรอื พัฒนาแตว่ ัตถุไม่พัฒนาทางด้านจติ ใจ สภาพสังคมท่ัวไปจึงอยู่ใน ข้นั วิกฤต โครงการบรรพชา อุปสมบท บวชเนกขัมมจาริณีได้พิจารณาเห็นว่า “การสร้างคนให้มี คุณธรรมนั่นแหละคือการสร้างชาติ” เป็นการฟ้ืนฟูจิตใจเยาวชน หรือผู้เข้ารับการอบรมให้กล้าแข็ง รู้เท่าทันตอ่ สิ่งท่เี กิดขึ้น โดยนาเอาหลกั ธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันให้รู้จัก ลด ละ เลิก สิ่ง ชวั่ ร้าย จนเกิดความปลอดภัย นาความสงบเย็นมาสู่ชวี ิตโดยใช้วิธีการอบรมตามแนวเข้าค่าย ดังนั้น โครงการบรรพชาฯ จึงเกิดขึ้น เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรม มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมของศาสนา เท่าท่ีจาเป็นต่อการดาเนินชีวิตอย่างถูกต้องและเพียงพอ ให้ผู้เข้ารับการอบรม นาหลักธรรมนั้นมา ปฏบิ ตั ิในชีวติ ประจาวัน จนเกดิ เป็นคุณธรรมประจาชวี ิต ไมต่ กเปน็ ทาสของความช่วั ร้ายทง้ั ปวง มีชีวิต อยู่อย่างปลอดภัยและสงบเย็น ดาเนินชีวติ เปน็ แบบอย่างที่ดีงามแก่ผู้อ่ืน ทั้งในทางด้านมีระเบียบวินัย ขยัน อดทน ซื่อสัตย์-สุจริต รับผิดขอบ และกตัญญูกตเวที เป็นต้น มีส่วนรวมในการสืบทอดอายุ พระพุทธศาสนา และประเพณีวฒั นธรรมอนั ดงี ามของชาติ ไวเ้ ป็นมรดกอนั ล้าคา่ ของสงั คมไทยสบื ไป พระมหาวิเชยี ร คณุ ธาโร ผชู้ ว่ ยเจ้าอาวาสวัดกลางพระอารามหลวง ประธานดาเนินงาน

ข สำรบญั เรือ่ ง หนา้ คำนำ........................................................................................................................................... ก สำรบัญ........................................................................................................................................ ข การเตรียมงาน ................................................................................................................. ๑ หนา้ ทก่ี รรมการฝา่ ยตา่ ง ๆ.................................................................................................๓ รายนามพระวทิ ยากร........................................................................................................๖ ตอนท่ี ๒ รำยละเอยี ดหลกั สตู ร.....................................................................................................๗ ศีล ๑๐...........................................................................................................................๗ ศาสนพธิ ีทค่ี วรรู้ ...............................................................................................................๘ มารยาทชาวพุทธ ...........................................................................................................๑๑ การเข้าถงึ พระรตั นตรัย ...................................................................................................๑๓ การมรี ะเบียบวินัย..........................................................................................................๑๕ ความรบั ผิดชอบ.............................................................................................................๑๖ ประเพณีวฒั นธรรมของชาวพุทธ.......................................................................................๑๗ วธิ ีทาบญุ ในพระพทุ ธศาสนา.............................................................................................๑๘ 5 ดสี ่คู วามเปน็ มนษุ ยท์ ่ีสมบรู ณ์........................................................................................๑๙ การเป็นบตุ รทดี่ ขี องพ่อแม่ ..........................................................................................๑๙ การเป็นศษิ ยท์ ดี่ ขี องครูอาจารย์....................................................................................๒๑ การเปน็ เพ่อื นทด่ี ีของเพ่ือน..........................................................................................๒๒ การเปน็ พลเมืองทดี่ ีของประเทศชาติ.............................................................................๒๓ การเป็นสาวกทีด่ ี .......................................................................................................๒๔ ตอนท่ี ๓ ภำคปฏบิ ัติ ................................................................................................................. ๒๕ วิปสั สนาชีวิต.................................................................................................................๒๕ กรรมฐาน.................................................................................................................๒๕ คาสมาทานก่อนปฏบิ ัติ ...............................................................................................๒๗ การเดนิ จงกรม..........................................................................................................๒๘ การนัง่ สมาธิ .............................................................................................................๓๓ การนอนเจรญิ วปิ ัสสนาสมาธิ.......................................................................................๓๔ การเจริญสตปิ ัฏฐาน ๔ ...............................................................................................๓๔ โยคะผอ่ นคลายยามเช้า ..............................................................................................๓๖ ตอนท่ี ๓ ภำคผนวก.................................................................................................................. ๔๐ คาขอบวช .....................................................................................................................๔๐ กฎระเบียบวนิ ัยสาหรับสามเณรฤดรู อ้ น..............................................................................๔๔ กฎระเบียบขอ้ ห้ามสาหรับสามเณรภาคฤดรู ้อน ...................................................................๔๕ บทอนโุ มทนาคาถา (แปล) ...............................................................................................๔๖ กติกา-สญั ญาใจ .............................................................................................................๔๗ ธรรมะพทุ ธบตุ ร.............................................................................................................๔๙

ค สันตภิ าพของโลกในยคุ นี้ .................................................................................................๔๙ ชอ่ื โครงการ : โครงการบรรพชา อปุ สมบท บวชเนกขัมมจารณิ ี เฉลมิ พระเกยี รติ......................๕๐ คาสัง่ โรงเรยี นปรยิ ัติธีรวิทยา.............................................................................................๕๔ กาหนดการ ...................................................................................................................๕๘ ตารางอบรมโครงการบรรพชา อปุ สมบท บวชเนกขัมมจารณิ ี เฉลิมพระเกยี รติ .........................๕๙ บรรณานุกรม ................................................................................................................๖๐

๑ ตอนท่ี ๑ แผนการจัดกิจกรรม กำรเตรยี มงำน ๑. เตรยี มเขยี นโครงกำร ๒. เตรียมงบประมำณ ๓. เตรียมแต่งตัง้ คณะกรรมกำรฝ่ำยต่ำง ๆ เช่น ๓.๑ คณะกรรมการอานวยการ ๓.๒ คณะกรรมการดาเนินงาน มี ๑๔ ฝ่าย ดังน้ี ๓.๒.๑ คณะกรรมการฝ่ายประสานงาน ๓.๒.๒ กรรมการฝา่ ยท่ีปรึกษาประจากลุม่ ๓.๒.๓ กรรมการฝ่ายวิชาการและธุรการ ๓.๒.๔ กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ๓.๒.๕ กรรมการพิธกี าร ๓.๒.๖ กรรมการฝ่ายเตรยี มการและจดั หาอุปกรณ์ ๓.๒.๗ กรรมการฝ่ายเหรัญญิก ๓.๒.๘ กรรมการฝ่ายปฏิคม ๓.๒.๙ กรรมการฝ่ายสถานท่ีและบริการ ๓.๒.๑๐ กรรมการฝ่ายโภชนาการ ๓.๒.๑๐ กรรมการฝ่ายโสตทัศนูปกรณ์ ๓.๒.๑๒ กรรมการฝา่ ยพยาบาล ๓.๒.๑๓ กรรมการฝ่ายรกั ษาความปลอดภยั ๓.๒.๑๔ กรรมการฝ่ายประเมนิ ผล ๔. เตรียมเดก็ ท่ีจะเข้ำรับกำรอบรม ๔.๑ แจง้ ใหเ้ ดก็ ทราบ ๔.๒ ทาหนงั สอื แจ้งให้ผปู้ กครองเด็กได้ทราบ ๔.๓ แจง้ ให้เดก็ เตรียมอุปกรณ์และเคร่อื งใชท้ ีจ่ าเปน็ ๕. เตรยี มจัดรำยช่ือเดก็ เป็นกลุ่ม ๆ ๘ กลุ่ม จำนวนเทำ่ ๆ กนั และทำปำ้ ยชอื่ เดก็ กลุม่ ละ สี เชน่ ๑. กลมุ่ เมตตา สเี หลือง ๕. กลมุ่ ฉันทะ สฟี า้ ๒. กลมุ่ กรุณา สีนา้ เงิน ๖. กลุ่มวริ ิยะ สเี ขียว (แก)่ ๓. กล่มุ มุทิตา สีแดง ๗. กลุ่มจิตตะ สีขาว ๔. กลุ่มอเุ บกขา สีชมพู ๘. กลุ่มวมิ ังสา สีม่วง ถำ้ เดก็ มีจำนวนมำกอำจเพมิ่ เปน็ ๑๐ หรือ ๑๒ กลุ่ม โดยเพมิ่ กล่มุ ๙. กลุม่ ศรทั ธา สสี ้ม ๑๑. กลมุ่ ขันติ สเี ทา สีครีม ๑๐. กลุ่มปัญญา สเี ขยี ว (อ่อน) ๑๒. กลมุ่ โสรจั จะ ๖. เตรยี มสถำนท่ี ๖.๑ เตรยี มหอ้ งประชมุ -ทาความสะอาด -ตกแตง่ เวที

๒ -เขียนปา้ ยตามตวั อยา่ งดังน้ี โครงกำรบรรพชำ อปุ สมบท สลี จำรณิ เี ฉลิมพระเกียรติ วนั ท่ี ๒-๑๓ เดอื น เมษำยน พ.ศ. 25๖๑ - ติดตั้งเครือ่ งเสยี งพรอ้ มใช้ใหไ้ ด้ยนิ ทว่ั บรเิ วณ - ดแู ลไฟฟา้ ใหพ้ อใชส้ าหรับกจิ กรรมภาคกลางคืน ๖.๒ เตรยี มที่วางอาหาร -เตรียมทว่ี างอาหารใหค้ รบตามจานวนกลุ่ม -จดั ทว่ี างอาหารใกลห้ ้องประชมุ (ถา้ รบั ประทานทห่ี ้องประชุม) จัดทวี่ างคลู เลอร์น้าดม่ื ตามจดุ ทรี่ ับอาหาร ๖.๓ เตรียมท่ีลา้ งจาน -ตั้งโตะ๊ เปน็ แถวยาว พอตัง้ กะละมังได้ตามจานวนกลุม่ -จัดที่ล้างจานในสถานท่ีเหมาะสม (ถา้ ท่ีลา้ งจานมีอยู่แลว้ กไ็ ม่ต้องจัด) ๖.๔ เตรียมท่ีเก็บจาน -ใชโ้ ตะ๊ ต้ังเปน็ แถวเท่าจานวนกล่มุ นักเรยี น -เขียนปา้ ยช่อื กล่มุ ตดิ ไว้ท่โี ต๊ะ ๖.๕ เตรยี มท่ีวางรองเท้า -เลือกสถานทที่ ี่เหมาะสมสาหรบั วางรองเท้าเดก็ -เขียนป้ายชอ่ื กลมุ่ ตดิ ไว้ ให้เดก็ วางรองเท้าเป็นกลมุ่ ที่หอ้ งประชมุ , โรงอาหาร,ที่หอ้ งนอน ๖.๖ เตรียมท่ีจาวัดพระสามเณร-ท่ีนอนสีลจาริณี ๖.๗ เตรยี มที่สรงน้าพระสามเณร-สลี จาริณี ๖.๘ เตรยี มราวตากผ้าชาย-หญงิ ๖.๙ เตรียมสถานทแี่ บง่ ฐานอบรม ๔ หรอื ๘ ฐาน เท่ากลมุ่ ผ้อู บรม -ทาความสะอาดสถานท่ี -ติดตงั้ เครื่องเสยี งขนาดเลก็ -จัดเตรียมน้าดมื่ สาหรับพระวิทยากรในแต่ละฐาน -ตง้ั โต๊ะเกา้ อี้สาหรับพระวิทยากรน่งั ๗. เตรียมอุปกรณ์ ๗.๑ เตรียมเสื่อปหู ้องประชมุ ๗.๒ เตรยี มเสื่อปูห้องพักพระวิทยากร ๗.๓ เตรยี มเสือ่ ปหู ้องพกั ครทู ปี่ รกึ ษา,หอ้ งนอนเดก็ ๗.๔ เตรยี มภาชนะใสน่ ้าลา้ งจานใช้กะละมังขนาดกลางหรอื ใหญ่ กลมุ่ ละ ๓ ใบ ๗.๕ เตรยี มภาชนะใส่เศษอาหาร จานวน ๔ ใบ หรอื เทา่ กลุ่มผ้อู บรม ๗.๖ เตรยี มนา้ ยาล้างจาน และสก๊อตซ์ไบรต์ ๗.๗ เตรยี มเหยือกนา้ จานวน ๑ โหล ๗.๘ เตรยี มคูลเลอรข์ นาดใหญ่ ๔ ใบ หรอื เท่ากลมุ่ ผูอ้ บรม ๗.๙ เตรียมแกว้ น้าเท่าจานวนผู้อบรม, ครู, พระวทิ ยากร ๗.๑๐ เตรยี มจานขนาด ๘ น้ิว (หรอื ถาดหลุมก็ได้) และซอ้ น เทา่ จานวนผู้อบรม, ครู, พระวิทยากร

๓ ๘. เตรียมอปุ กรณเ์ สรมิ กิจกรรม ๘.๑ พธิ ขี อขมาพอ่ แม่ -เตรียมดอกไม้ (พวงมาลยั ข้อมอื ) เทา่ จานวนแถวเด็กทีน่ ่งั ในห้องประชมุ ถ้านงั่ ๘ แถว ก็ใช้ ๘ พวง ๘.๒ พธิ มี อบตัวเปน็ ศษิ ย์ -เตรียมเทียนขนาด ๖ น้ิว เท่าจานวนพระวทิ ยากร, ครู, นักเรียน ๙. เตรียมบคุ คลเสริมกจิ กรรม ๙.๑ พธิ เี ปิดการอบรม -เตรยี มบุคคลเปน็ พธิ ีกรเชญิ ประธานจดุ ธปู เทียนบูชาพระรัตนตรัย -เตรียมบุคคลจุดเทยี นชนวนส่งให้ประธาน ๙.๒ พิธีมอบตวั เปน็ ศษิ ย์ -เตรียมเด็กนากล่าวคามอบตัวเปน็ ศิษย์ จานวน ๑ คน (หญิง) -เตรียมเดก็ อ่านกลอน “คามัน่ สัญญา” จานวน ๒ คน (ชาย-หญิง) ๙.๓ กจิ กรรมเดินด้วยเท้ากา้ วดว้ ยบุญสรา้ งสรรค์ -เตรยี มตัวแทนสามเณรกล่าวแสดงความรู้สกึ -เตรยี มตัวแทนสีลจาริณีแสดงความรู้สกึ ๙.๔ พธิ อี ธษิ ฐานจดุ เทยี นเพื่อชวี ิตใหม่ และปิดการอบรม -เตรียมประธานกลา่ วปราศรยั และปิดการอบรม -เตรียมตวั แทนครฝู ่ายโภชนาการกล่าวแสดงความรสู้ กึ ๑ คน -เตรยี มตวั แทนอา่ นเรยี งความ “.......................................” ๑ คน -เตรียมตัวแทนครูหรือพระอาจารยก์ ล่าว “.....................................” ๑ รูป/คน หนำ้ ทกี่ รรมกำรฝ่ำยตำ่ ง ๆ ๑. กรรมกำรอำนวยกำร มหี น้ำท่ี ดงั น้ี ๑.๑. ให้คาปรึกษาแนะนา แก้ปัญหา อานวยความสะดวก ๑.๒. ควบคมุ การอยู่ค่ายใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยความเรียบรอ้ ยทุกประการ ๒. กรรมกำรดำเนนิ งำน ๒.๑. กรรมกำรฝำ่ ยประสำนงำน มีหน้ำท่ี ดงั น้ี ๒.๑.๑. ประสานงานกับพระวทิ ยากร ครู อาจารย์ท่ปี รึกษาประจากลุ่มกรรมการฝา่ ยตา่ ง ๆ ๒.๒. กรรมกำรท่ปี รึกษำประจำกลุ่ม มหี นำ้ ที่ ดงั น้ี ๒.๒.๑. รับรายงานตัวนักเรยี น แจกปา้ ยชอ่ื นักเรยี น ให้นักเรียนนากระเป๋าไปเกบ็ ในท่ีซึ่งจดั ไวเ้ ปน็ กลมุ่ ๒.๒.๒. ดาเนนิ การให้นักเรยี นเลอื กประธานกลมุ่ อธบิ ายความหมายช่ือกลุ่มดแู ลใหน้ กั เรยี นติดป้ายช่ือ ให้เรียบร้อย ๒.๒.๓. ดูแลใหน้ กั เรียนปฏบิ ตั ิตามระเบียบของการอยู่คา่ ย มคี วามสามัคคีตอ่ กนั ตรงตอ่ เวลา เข้าห้อง ประชมุ อยา่ งสงบ ๒.๒.๔. ให้นักเรียนทาความรจู้ ักกันใหม้ ากที่สดุ ๒.๒.๕. สารวจจานวนนักเรียนในกลุ่ม ทุกกิจกรรมและก่อนนอนทกุ กคืน ๒.๒.๖. ชว่ ยจัดเล้ียงอาหาร น้าดม่ื นา้ ปานะ ตามเวลาท่ีกาหนด

๔ ๒.๒.๗. สารวจกระเปา๋ นกั เรยี นเพอื่ ดคู วามเรยี บร้อยมิใหม้ ี อาวธุ สิ่งเสพตดิ และรบั ฝากของมีค่าของ นกั เรียน ๒.๒.๘. ประสานงานกบั พระวิทยากรในการอบรมนักเรียน ๒.๒.๙. รว่ มกจิ กรรมกับนักเรียนทกุ กจิ กรรม ๒.๒.๑๐. เป็นวทิ ยากรเสรมิ รบั ทราบปญั หา และเป็นทป่ี รกึ ษาของนักเรยี น ๓. กรรมกำรฝำ่ ยวิชำกำรและธรุ ะกำร มีหนำ้ ท่ี ดังนี้ ๓.๑. จัดเตรยี มเอกสารตา่ ง ๆ ทจี่ าเปน็ ต่อการอบรม ๓.๒. จดั รายชื่อนกั เรียนทเ่ี ขา้ รับการอบรมใหเ้ ปน็ กลมุ่ โดยคละกนั ๘ กลุ่ม ๓.๓. จัดทาป้ายช่ือนักเรียน ปา้ ยชอื่ ครแู ยกไวเ้ ป็นกลมุ่ ๆ ละสี ๓.๔. เขียนปา้ ยชื่อกล่มุ ทาเปน็ กลอ่ งสามเหลีย่ มวางไว้ท่หี นา้ แถวในหอ้ งประชมุ ๓.๕. เขยี นปา้ ยช่ือกลมุ่ ท่วี างรองเท้า ทห่ี ้องนอน ท่ีล้างจาน ทีต่ ักอาหาร. ๔. กรรมกำรฝำ่ ยประชำสัมพันธ์ มีหนำ้ ท่ี ดงั น้ี ๔.๑. ประชาสัมพนั ธโ์ ครงการ เช่น จัดส่งโครงการไปให้สอ่ื มวลชนต่าง ๆ ๔.๒. จัดส่งโครงการไปใหส้ มาคม, ชมรม, หา้ งรา้ น เพือ่ ขอความอปุ ถัมภ์โครงการ ๔.๓. เขยี นป้ายประชาสัมพนั ธท์ ้ังภายนอกและภายในสถานทนี่ นั้ ๆ ๕. กรรมกำรฝ่ำยพิธีกำร มีหน้ำที่ ดังนี้ ๕.๑. จดั ดอกไม้ธปู เทยี น จัดโตะ๊ หมู่บูชา จดั เตรียมเวที ๕.๒. จดั เตรยี มอปุ กรณ์สาหรับพิธตี า่ ง ๆ เช่น พิธีเปิดการอบรม, พิธปี ดิ , พธิ มี อบตัวเป็นศษิ ย์, พธิ ีสู่ความเปน็ พทุ ธบุตร และพธิ ีอธิษฐานจติ เพอ่ื ชีวิตใหม่ เปน็ พธิ กี ารตลอดงาน. ๕.๓. ดูแลอานวยความสะดวกแกพ่ ระวิทยากรในทุก ๆ ดา้ น ๖. กรรมกำรฝ่ำยเตรยี มกำรและจัดหำอุปกรณ์ มีหนำ้ ท่ี ดังน้ี ๖.๑. จัดหาอปุ กรณท์ ่จี าเป็นตอ่ การอยู่คา่ ยมาเตรยี มไว้ใหพ้ ร้อม โดยประสานงานกับกรรมการฝ่ายอ่ืน ๆ ๗. กรรมกำรฝ่ำยเหรัญญกิ มีหน้ำท่ี ดังนี้ ๗.๑. รับเงนิ ทีผ่ มู้ ีจติ ศรัทธาบรจิ าค ควบคมุ การใช้จ่ายเงิน ๗.๒. จัดทาบญั ชี รบั -จา่ ย ให้เรียบร้อย ๘. กรรมกำรฝำ่ ยปฏิคม มหี นำ้ ท่ี ดังนี้ ๘.๑. ตอ้ นรบั แขกผ้มู เี กียรติ, ผ้ปู กครองนกั เรยี น, ท่านประธานหรอื ผู้ที่มาเก่ยี วขอ้ งกับงานในโครงการ ๘.๒. บรกิ ารน้าดื่ม แนะนาให้ร้จู กั สถานท่ี เปน็ ต้น ๙. กรรมกำรฝำ่ ยสถำนท่ีและบรกิ ำร มีหน้ำท่ี ดังนี้ ๙.๑. จดั เตรียมหอ้ งประชมุ จดั ชุดรับแขก ๙.๒. สถานท่ีวางอาหาร, ที่ล้างจาน, ที่อาบนา้ , ห้องนอน, ราวตากผ้า ๙.๓. สถานท่แี บ่งฐานอบรม ๑๐. กรรมกำรฝำ่ ยโภชนำกำร มีหน้ำที่ ดังน้ี ๑๐.๑.จดั ปรุงอาหาร นา้ ด่มื ใหเ้ พยี งพอกบั จานวนผูท้ เ่ี ข้าร่วมการอบรม ให้ทนั ตามเวลาทกี่ าหนด ๑๑. กรรมกำรฝำ่ ยโสตทศั นปู กรณ์ มหี นำ้ ท่ี ดงั น้ี ๑๑.๑. จัดแสง, เสียง ใหเ้ พียงพอทกุ จุดทจี่ าเป็น ๑๑.๒. บนั ทึกเทป, บันทึกภาพ ตลอดการฝึกอบรม ๑๒. กรรมกำรฝ่ำยพยำบำล มีหน้ำที่ ดังน้ี

๕ ๑๒.๑. ดแู ลช่วยเหลอื ผู้เข้ารว่ มการอบรมที่เจ็บไข้ไดป้ ว่ ย ตลอดเวลาจนเสร็จส้นิ โครงการ ๑๓. กรรมกำรฝำ่ ยรักษำควำมปลอดภัย มหี น้ำท่ี ดังนี้ ๑๓.๑. รักษาความปลอดภัยในชีวติ และทรพั ย์สนิ ของผู้รว่ มอบรม ๑๓.๒. ดูแลมใิ ห้มีเร่อื งทไ่ี ม่เหมาะสมเกิดข้ึนในการอบรม ๑๔. กรรมกำรฝำ่ ยประเมินผล มีหนำ้ ท่ี ดังนี้ ๑๔.๑. จดั ทาแบบสอบถามและแบบประเมนิ โครงการ

๖ รำยนำมพระวิทยำกร 1. พระมงคลสุตกจิ ผู้อานวยการโครงการฯ 2. พระมหาวิเชียร คณุ ธาโร ฝ่ายกจิ กรรมและเลขานกุ าร 3. พระครูสังฆรกั ปรญี าวฒั น์ จนั ทะสาโร ฝ่ายปกครอง 4. พระมหาสพุ จน์ เขมจติ โต ฝ่ายปกครอง 5. พระ.. ฝ่ายโสตทศั นูปกรณ์ 6. พระ.. ฝ่ายวชิ าการ 7. พระ.. ฝ่ายสวัสดิการ 8. พระ.. ฝา่ ยโสตทศั นูปกรณ์ 9. พระ.. ฝา่ ยเหรญั ญกิ 10. พระ.. ฝา่ ยสวัสดิการ 11. พระ.. ฝา่ ยประชาสมั พนั ธ์

๗ ตอนท่ี ๒ รำยละเอียดหลกั สตู ร ศลี ๑๐ วตั ถุประสงค์ ๑.เพอื่ ให้เข้าใจความหมายของคาวา่ \"ศีล\" ๒.เพือ่ ใหส้ ามารถกล่าวศีล ๑๐ ได้ท้ังภาษาบาลีและภาษาไทย ๓.เพือ่ ให้เข้าใจองค์ประกอบของศีล ๔.เพอ่ื ใหร้ จู้ ักอานสิ งสข์ องศลี ๕.เพื่อให้สามารถนาศีลมาปฏิบัติในชวี ติ ประจาวันได้ ศีลมหี ลายประเภทแบง่ อย่างละเอยี ด เชน่ ศลี คฤหัสถ์ สาหรับอบุ าสก, อุบาสิกา เช่น ศีลห้า (เบญจศีล) ศีล สามเณร สามเณรี เช่น ศีล 10 (ทศศีล) ศีลสิกขมานา ศีลภิกษุณี (210 ขอ้ ) และศีลของภกิ ษุ (227 ข้อ) ถ้าแบง่ ศลี อย่าง ย่อก็แบ่งเป็นสองประเภทคือ ศีลคฤหัสถ์ และศีลบรรพชิต ศีล ๑๐ ๑. เวน้ จากทาลายชวี ิต ๒. เวน้ จากถอื เอาของท่เี ขามไิ ด้ให้ ๓. เว้นจากประพฤตผิ ิดพรหมจรรย์ คือเว้นจากร่วมประเวณี ๔. เวน้ จากพดู เท็จ ๕. เว้นจากของเมา คอื สุราเมรัยอันเปน็ ที่ตงั้ แห่งความประมาท ๖. เว้นจากบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล คือเท่ียงแลว้ ไป ๗. เวน้ จากฟอ้ นรา ขบั ร้อง ฯลฯ ๘. เว้นจากการทดั ทรงดอกไม้ ฯลฯ ๙. เวน้ จากท่ีนอนอันสูงใหญ่ ฯลฯ ๑๐. เวน้ จากการรับทองและเงนิ อาราธนาศลี 10 (ถา้ คนเดยี วเปลยี่ นจากคาวา่ \"มะยัง\" เปน็ \"อะหงั \" และ \"ยาจามะ\" เป็น \"ยาจามิ\") มะยงั ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ ทะสะ สีลานิ ยาจามะ (วา่ 3 ครั้ง) ข้าแต่ท่านผเู้ จรญิ ข้าพเจา้ ทัง้ หลาย ขอสมาทานศีล ๑๐ พร้อมดว้ ยไตรสรณคมน์ เพือ่ ประโยชนแ์ หง่ การรกั ษา เปน็ ขอ้ ๆ คาสมาทาน ว่า ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทยิ ามิ (ขา้ พเจา้ สมาทานซ่งึ สกิ ขาบท คอื เว้นจากการฆ่าสัตวด์ ้วยตนเองและไมใ่ ช่ให้ผู้อื่นฆา่ ) ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซง่ึ สิกขาบท คอื เวน้ จากการลกั ,ฉ้อ ของผู้อน่ื ด้วยตนเอง และไม่ใช่ใหผ้ ้อู ืน่ ลกั ฉอ้ )

๘ ๓. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ (ขา้ พเจา้ สมาทานซง่ึ สกิ ขาบท คือ เว้นจากอสัทธรรม กรรมอนั เปน็ ขา้ ศกึ แก่พรหมจรรย์) ๔. มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ (ขา้ พเจ้าสมาทานซ่งึ สกิ ขาบท คือ เว้นจากการพดู เทจ็ คาไม่เปน็ จรงิ และคาลอ่ ลวง อาพรางผอู้ ่นื ) ๕. สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏฺฐานา เวรมณี สกิ ฺขาปท สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซง่ึ สิกขาบท คอื เวน้ จากการดม่ื สรุ า เมรัย เครื่องดองของทาใจให้คลง่ั ไคล้ตา่ ง ๆ) ๖. วิกาลโภชนา เวรมณี สิกขฺ าปท สมาทยิ ามิ (ขา้ พเจ้าสมาทานซ่งึ สกิ ขาบท คอื เว้นจากบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล) ๗. นจฺจคตี วาทิตวสิ ูกทสฺสนา เวรมณี สิกขฺ าปท สมาทิยามิ (ขา้ พเจ้าสมาทานซึง่ สกิ ขาบท คอื เวน้ จากพูด ฟงั ฟอ้ นรา ขบั ร้องและประโคมเคร่ืองดนตรีต่าง ๆ และดกู ารเล่น ทีเ่ ปน็ ขา้ ศกึ แก่กุศล) ๘. มาลาคนฺธวเิ ลปน ธารณมณฺฑนวภิ ูสนฏฐฺ านา เวรมณี สกิ ขฺ าปท สมาทยิ ามิ (ข้าพเจา้ สมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการทดั ทรงดอก การใช้ของหอมเครอื่ งประทนิ ผิว) ๙. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทยิ ามิ (ขา้ พเจ้าสมาทานซ่ึงสิกขาบท คอื เวน้ จากน่งั นอน เหนือเตียง ตง่ั มีเทา้ สงู เกนิ ประมาณ และทีน่ ่งั ท่ีนอนอันสูง ใหญ่ ภายในใส่น่นุ และสาลี อาสนะอันวจิ ติ รไปด้วยลวดลายงามด้วยเงนิ ทองต่าง ๆ) ๑๐. ชาตรปู รชตปฏิคฺคหณา เวรมณี สกิ ขฺ าปท สมาทิยามิ (ขา้ พเจ้าสมาทานซง่ึ สิกขาบท คอื เวน้ จากการรบั เงินทอง) อมิ านิ ทะสะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทิยามิ (ว่า 3 ครง้ั ) ศำสนพิธีที่ควรรู้ จุดประสงค์ ๑. เพอื่ ให้ร้คู วามหมายของคาว่า \"ศาสนาพิธี\" ๒. เพ่อื ใหส้ ามารถประกอบพิธตี ่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง ๓. เพ่อื ให้สามารถแนะนาผอู้ ืน่ ให้ประกอบพิธตี ่าง ๆ ไดอ้ ย่างถูกต้อง ๔. เพื่อใหเ้ ห็นคุณคา่ และความสาคัญของศาสนพธิ ี ความหมาย \"ศาสนพธิ ี\" คอื แบบอยา่ ง หรอื แบบแผนตา่ ง ๆ ท่ีดีงาม ท่ใี ชป้ ระกอบกจิ กรรมในทางพระพทุ ธศาสน เรียกว่า \"ศาสนพิธี\" ความสาคัญ ศาสนพิธี มีความสาคญั มาก เม่ือปฏิบัติใหถ้ ูกตอ้ งทกุ ขน้ั ตอนแล้วจะทาใหพ้ ธิ ีกรรมต่าง ๆ ที่ประกอบนน้ั เปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ยสวยงาม เปน็ ที่ต้ังแห่งความเล่อื มใสของผทู้ พี่ บเห็น ทาให้เกดิ ศรทั ธาในการประกอบคณุ งามความดี และเปน็ การแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางจติ ใจของผู้นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เป็นเครื่องเชดิ ชเู กียรติและศกั ด์ิศรขี อง ชาวพุทธ ฉะนั้นจาเป็นอย่างยงิ่ ทีช่ าวพทุ ธทกุ คนจะตอ้ งศึกษาเรียนรู้

๙ พิธโี ดยสรุป ศาสนพิธมี ีมากมาย ซึง่ ล้วนแต่น่าศึกษาเรียนรู้ทัง้ สิ้น แต่เมอื่ กลา่ วโดยสรปุ มอี ยู่ ๔ หมวดดงั น้ี ๑. หมวดกศุ ลพธิ ี วา่ ด้วยพิธีบาเพ็ญกุศล ๒. หมวดบุญพิธี วา่ ดว้ ยพธิ บี าเพ็ญบุญ ๓. หมวดทานพิธี วา่ ดว้ ยพธิ ีถวายทาน ๔. หมวดปกณิ ณกะ วา่ ด้วยพธิ เี บ็ดเตลด็ บุญพิธที ่จี ำเป็น พิธที าบญุ ในพระพทุ ธศาสนา แบง่ ออกได้ ๒ ประเภทดงั นี้ ๑. ทาบญุ งานมงคล คือ ปรารภเหตุดีแลว้ ทาบญุ เช่น ข้นึ บา้ นใหม่ แต่งงาน ประสบความสาเร็จตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๒. ทาบุญงานอวมงคล คือ ปรารภเหตุสูญเสีย เช่น ทาบญุ อทุ ศิ ใหผ้ ู้ตาย เปน็ ตน้ ผเู้ ก่ยี วขอ้ ง การทาบุญทง้ั สองประเภทน้ี จะมผี ูม้ าเกี่ยวขอ้ งอยู่ ๓ ฝา่ ยด้วยกนั คือ ๑. ฝา่ ยเจา้ ภาพ คือเจ้าของงานบาเพญ็ บุญ ๒. ฝ่ายแขก คือผมู้ ีเกียรติทม่ี ารว่ มทาบญุ ๓. ฝา่ ยพระสงฆ์ คอื พระสงฆท์ ี่เจา้ ภาพนมิ นต์มาเปน็ ปฏคิ าหก หนำ้ ท่ีของเจำ้ ภำพ -จัดเตรยี มสถานท่ปี ระกอบพธิ ี -นมิ นตพ์ ระสงฆ์ตามจานวนที่ต้องการ -ต้งั โตะ๊ หมู่บูชา พร้อมอุปกรณค์ รบชุด -ปูอาสนะและเตรียมเครอ่ื งต้อนรบั พระ -เม่อื พระสงฆ์มาถงึ คอยลา้ งและเชด็ เท้า -เม่ือพระสงฆ์นงั่ เรยี บร้อยแลว้ ถวายเครื่องรับรอง -จดุ เทยี น ธปู บชู าพระรัตนตรยั แลว้ กราบ ๓ ครั้ง -กลา่ วคาบชู าพระรตั นตรัย -อาราธนาศลี รบั ศลี อาราธนาพระปริตร -นงั่ ฟังพระสงฆ์ (สวด) เจริญพระพทุ ธมนตจ์ นจบ -ถวายภัตตาหารและเครอ่ื งไทยธรรม -พระสงฆอ์ นโุ มทนา เจ้าภาพกรวดน้า รบั พร -เสรจ็ พิธสี ่งพระสงฆก์ ลับ หนำ้ ทขี่ องแขก -มาถงึ งานให้ตรงเวลาทเ่ี จ้าภาพกาหนดไว้ -มาถึงแลว้ เข้าไปทกั ทายเจา้ ภาพก่อน -เลือกนงั่ ในสถานท่เี หมาะสมกับตน -มคี วามสารวมตนดว้ ยดี ไมส่ ง่ เสียงดงั รบกวนสมาธิผ้อู นื่ -ร่วมบริจาคทาน และร่วมพธิ ีกรรมทุกขน้ั ตอนจนเสรจ็

๑๐ -แตง่ กายสุภาพเรยี บร้อย สมควรแก่งานนั้น ๆ -ไม่นาสุราหรือของมึนเมาเข้ามาดื่มในงานทาบุญ -ไมเ่ ลน่ การพนัน หรอื รบกวนเจา้ ภาพเพ่ือเปิดบ่อนการพนนั คำอำรำธนำศลี ๕ มะยัง ภันเต, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สลี านิ, ยาจามะ, ทุติยัมปิ มะยงั ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สลี านิ, ยาจามะ ตะตยิ ัมปิ มะยัง ภนั เต, ติสะระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สีลานิ, ยาจามะ คำสมำทำนศลี ๕ ๑. ปาณาตปิ าตา, เวระมะณี สกิ ขาปะทงั , สะมาทิยามิ, ๒. อะทนิ นาทานา, เวระมะณี สกิ ขาปะทงั , สะมาทยิ ามิ, ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา, เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ, ๔. มุสาวาทา, เวระมะณี สิกขาปะทัง, สะมาทยิ ามิ, ๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา, เวระมะณี สขิ าปะทัง, สะมาทยิ ามิ, พธิ ปี ระเคนของพระ การถวายปจั จยั ต่าง ๆ แกพ่ ระสงฆ์ ตอ้ งถวายดว้ ยความเคารพ เพราะพระสงฆ์ตง้ั อยใู่ นฐานะ ปชู นยี บุคคล เรานาสิง่ ของไปถวายทา่ นเพ่ือบชู าในคณุ ธรรมของท่าน จึงต้องน้อมกาย นอ้ มใจ เข้าไปถวายทา่ น การ กระทาดงั น้ี เรียกวา่ \"ประเคน\" องคป์ ระเคนมี ๕ ดังน้ี ๑. สง่ิ ของทีป่ ระเคนต้องไมใ่ หญโ่ ตและหนักเกินไป ๒. ผปู้ ระเคนตอ้ งอยใู่ นหัตถบาส (คือช่วงแขนหนง่ึ ) ๓. ผปู้ ระเคนนอ้ มส่ิงของนนั้ เขา้ มาให้ด้วยอาการเคารพนอบน้อม ๔. การนอ้ มสง่ิ ของเข้ามานั้น จะสง่ ด้วยมือก็ได้ หรือสง่ิ ท่เี น่ืองดว้ ยกายกไ็ ด้ ๕. พระภิกษผุ ู้รบั ประเคนจะรบั ด้วยมือกไ็ ด้ ถา้ ผู้ประเคนเป็นชาย ถา้ ผปู้ ระเคนเปน็ หญงิ พระตอ้ งใชผ้ า้ รับ พิธีกรวดน้ำ รับพร การกรวดนา้ เป็นพธิ กี รรมอยา่ งหนง่ึ ทชี่ าวพทุ ธนิยมกระทา เพอ่ื อทุ ศิ สว่ นกุศลใหแ้ ก่ผู้ล่วงลบั ซ่งึ เปน็ ส่ิงท่ชี าว พทุ ธไทยนับถอื กนั มาก นา้ ที่ใสบรสิ ุทธิ์ เปรียบเหมือนน้าใจใสบรสิ ุทธิ์ ท่ีตัง้ ใจอุทิศส่วนบญุ กศุ ลแก่ผู้ทลี่ ่วงลบั ไปแล้ว เปน็ การแสดงกตญั ญูกตเวทตี อ่ ทานเหล่าน้ัน คำกรวดนำ้ โดยย่อ อิทัง โน ญาตีนงั โหตุ สุขติ า โหนตุ ญาตโย ขอให้ทานของข้าพเจา้ จงสาเรจ็ แก่ญาติ ขอใหญ้ าติของข้าพเจ้าจงมีความสุขเถิด.

๑๑ มำรยำทชำวพทุ ธ จุดประสงค์ ๑. เพอื่ ให้รคู้ วามหมายของคาว่า \"มารยาท\" ๒. เพือ่ ใหเ้ ข้าใจความสาคัญของมารยาท ๓. เพื่อให้รแู้ ละเข้าใจขอบขา่ ยของ \"มารยาทชาวพุทธ\" ๔. เพ่ือให้รู้ถงึ อานสิ งสข์ องการมมี ารยาทท่ีดี ๕. เพอ่ื ฝึกปฏิบัติมารยาทชาวพทุ ธให้สามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ๖. เพอ่ื ใหส้ ามารถนาไปช้ีนาผูอ้ ืน่ ให้ปฏิบัตติ ามมารยาทชาวพทุ ธไดใ้ นโอกาสอันควร มำรยำทชำวพุทธ ๑. ความหมาย คาว่า \"มารยาท\" หรอื \"มรรยาท\" หมายถึงความประพฤติท่แี สดงออกมาทางกายทางวาจา ซึง่ บณั ฑติ ทงั้ หลายยอมรบั วา่ เรียบร้อย อยใู่ นระเบียบแบบแผนหรือขอบเขตทด่ี งี าม เป็นการส่อให้เห็นถงึ อัธยาศัยท่ีดี ของชาวพุทธ ๒. ความสาคญั การมีมารยาททด่ี ตี ่อกันของคนในสงั คม นับเปน็ สง่ิ สาคัญมากประการหนงึ่ ทาให้คนเราอยู่ รว่ มกันอย่างสงบสขุ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเปน็ ผมู้ ีวฒั นธรรมและคุณธรรม ทั้งยงั เปน็ กาประกาศศกั ดิ์ศรขี องความเป็น มนษุ ย์อยูใ่ นตัววา่ \"มนษุ ย์เปน็ ผมู้ ีใจสงู มกี ารประพฤติที่ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน\" มารยาทยังเป็นเครอื่ งวดั คุณธรรมของคนอกี ดว้ ย ดงั คาโคลงท่วี ่า.- สายบวั บอกลึกต้นื ชลธาร มารยาทส่อสันดาน ชาตเิ ช้ือ โฉดฉลาดเพราะคาขาน พึงทราบ กอหญ้าเหยี่ วแห้งเร้อื บอกรา้ ย แสลงดนิ . ๓. มารยาทชาวพุทธท่คี วรศกึ ษาและปฏบิ ตั ิ ก. มารยาทในการไปวดั -การแต่งกายไปวัด -การนาเด็กไปวัด -การปฏิบตั ติ นในวัด ข. มารยาทในการยืน -การยืนตอ่ หนา้ พระสงฆ์ -การยนื ตอ่ หน้าผใู้ หญ่ -การยนื ตามลาพงั ค. มารยาทในการน่ัง -การนั่งสนทนากบั พระสงฆ์ -การนงั่ ตอ่ หน้าผ้ใู หญ่ -การนง่ั ตามลาพงั -การน่ังฟงั พระธรรมเทศนา -การเปลยี่ นทา่ นัง่ ง. มารยาทในการไหว้-การกราบ -การไหว้-การกราบพระรตั นตรัย -การไหว้-การกราบมารดาบิดา

๑๒ -การไหว้-การกราบครูอาจารย์ -การไหว้-การกราบผู้ใหญ่ -การไหวบ้ คุ คลเสมอกนั -การไหว้-การกราบศพ จ. การแสดงความเคารพต่อสถานที่ -อโุ บสถ -ศาลาการเปรยี ญ -ตน้ โพธ์ิและตน้ ไม้ท่ีเก่ียวกับพทุ ธประวัติ -หอไตรหรอื หอสมุดของวดั -กุฏิของพระสงฆ์ หรือ ทน่ี ัง่ -ทน่ี อนของพระสงฆ์ ช. การแสดงความเคารพตอ่ พระสงฆ์ -ลกุ ขนึ้ ยนื รับพระสงฆ์ -การตามส่งพระสงฆ์ -การหลีกทางให้พระสงฆ์ ๔. อานสิ งสข์ องความมมี ารยาทดี -ตนเองมคี วามภูมใิ จในตนเอง -ผรู้ ู้ใคร่ครวญแลว้ สรรเสรญิ -ชอ่ื เสยี งเกยี รติคุณยอ่ มฟงุ้ ไป -คนดตี ้องการคบหาสมาคมด้วย -ไม่เป็นทร่ี ังเกยี จของสังคม -เปน็ แบบอย่างท่ดี ีของอนุชน -เป็นที่เคารพของผู้นอ้ ย เปน็ ทร่ี กั ของผใู้ หญ่ เปน็ ท่ีเกรงใจของเพ่อื น -เปน็ เครอ่ื งเชดิ ชูเกียรตขิ องชาติและศาสนาของตน -จิตใจสงบสขุ ไม่วติ กกงั วลเพราะเสยี มารยาท -เป็นพ้นื ฐานให้บรรลคุ ุณธรรมชน้ั สูง

๑๓ กำรเข้ำถงึ พระรัตนตรยั จุดประสงค์ ๑. เพ่ือให้เขา้ ใจคาว่า \" พระรตั นตรัย \" ๒. เพอ่ื ให้ร้ซู ง้ึ ถึงคุณของพระรัตนตรยั ๓. เพื่อให้รจู้ ักวิธีทาความเคารพพระรัตนตรยั ๔. เพื่อใหร้ จู้ กั ข้อปฏบิ ัติตนให้เข้าถงึ พระรตั นตรัย ๕. เพ่ือให้รูจ้ ักประโยชน์ทพ่ี งึ ไดร้ บั จากการเขา้ ถงึ พระรตั นตรัย พระรตั นตรัย ๑. ความหมาย คาวา่ พระรัตนตรยั แปลว่า \"แก้วอันประเสริฐสามดวง\" ในท่ี นหี้ มายเอา \"พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ \" ซงึ่ เป็นส่งิ ท่ที าใหเ้ กดิ ความชนื่ ชมยนิ ดแี ก่ชวี ิต เปน็ สงิ่ ทพ่ี ่ึงที่ระลกึ ถึงอนั สูงสุดของชีวติ เป็นสงิ่ ทย่ี ึดเหนี่ยว ชีวติ ไม่ให้ตกต่า เปน็ เกราะปอ้ งกนั ชีวติ ให้เดินไปบนเส้นทางทถ่ี ูกตอ้ ง ดงี าม และพน้ จากทกุ ข์ท้งั ปวง ๒. พระรัตนตรัยทีค่ วรรู้จกั ๒.๑ ท่านผสู้ อนให้ประชมุ ชน ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั เรยี กว่า \" พระพทุ ธเจา้ \" ๒.๒ พระธรรมวินัยทเี่ ปน็ คาสัง่ สอนของท่านเรยี กวา่ \"พระธรรม\" ๒.๓ หม่ชู นท่ีฟงั คาสั่งสอนของทา่ นแลว้ ปฏบิ ัติตามพระธรรมวินยั เรียกว่า พระสงฆ์\" ๓. คุณของพระรตั นตรยั ๓.๑ พระพุทธเจา้ รดู้ ีรชู้ อบด้วยพระองค์เองกอ่ นแลว้ สอนผอู้ ื่นใหร้ ู้ตามด้วย. ๓.๒ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบตั ิไม่ใหต้ กไปสูท่ ่ีช่วั . ๓.๓ พระสงฆป์ ฏิบัติชอบ ตามคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า แลว้ สอนผู้อนื่ ให้กระทาตามด้วย. ๔. การแสดงความเคารพตอ่ พระรัตนตรยั ๔.๑ การทาความเคารพในพระพทุ ธเจา้ -มีศรัทธาปสาทะในพระพทุ ธเจ้าอยา่ งมั่นคงไม่เปลยี่ นแปลง -แสดงตนเป็นพุทธามามกะรับเอาพระพทุ ธเจ้ามาเปน็ ของตน -ตัง้ ใจปฏบิ ัติตามาคาสงั่ สอนใหเ้ ตม็ ความสามารถ -ศึกษาพระพุทธจรยิ าใหเ้ ข้าใจ แล้วดาเนินชีวิตาของตนตามรอยบาทพระศาสดา -ไม่นาเรือ่ งพระพทุ ธเจา้ มาเลน่ เป็นตลกเพ่ือความสนุกสนาน -เขา้ ไปในปชู นยี สถาน แสดงความเคารพ ยาเกรง ๔.๒ การทาความเคารพพระธรรม -ตั้งใจศึกษาเรียนรูพ้ ระธรรมจนเข้าใจถูกตอ้ งตามความเปน็ จรงิ -ตั้งใจนาเอาพระธรรมท่ศี กึ ษาดีแล้วนน้ั มาปฏิบัติจริง ทีก่ าย วาจา ใจ ของตนจนสุดความสามารถ -ชว่ ยประกาศเผยแผพ่ ระธรรม ให้แพร่หลายดว้ ยวธิ ีตา่ งๆ เชน่ พมิ พห์ นงั สือแจก สนทนา ให้การอบรมสั่ง สอน สนบั สนนุ กิจกรรมที่เกยี่ วกบั การศกึ ษาและปฏบิ ัติธรรม -เมื่อมีผูก้ ล่าวธรรม ต้ังใจฟงั ด้วยความเคารพเอ้ือเฟื้อ ไมเ่ บอ่ื ไม่อม่ิ ในถ้อยคาทีเ่ ปน็ สุภาษิต -แม้จะประสบปญั หาชีวิตอยา่ งแสนสาหัสเจียนตายเพยี งใดก็ตาม จะไม่ทิง้ \"พระธรรม\"เปน็ อันขาด ๔.๓ การทาความเคารพพระสงฆ์ -ระลึกถงึ คณุ ความดขี องพระสงฆต์ ามบทสวด \"สงั ฆคุณ\"

๑๔ -แสดงความเคารพ ไหว้ กราบ นอบนอ้ ม ยาเกรง -ทาอะไรๆประกอบดว้ ยเมตตา -พูดจาอะไรๆประกอบด้วยเมตตา -คิดอะไรๆประกอบด้วยเมตตา -ไมป่ ิดประตูบา้ นยนิ ดตี ้อนรบั เสมอ -ให้อามิสทานคอื ถวายปัจจัย๔ -เอื้อเฟ้อื เช่อื ฟังคาตกั เตอื นส่งั สอน ๕. การเขา้ ถงึ พระรตั นตรยั ๕.๑ การเข้าถึงทางศีล -พดู จาถูกตอ้ ง เว้นวจีทุจริตทัง้ ปวง -การทางานถกู ต้อง เว้นการทุจริตทั้งปวง -ประกองอาชีพถูกตอ้ ง เว้นมจิ ฉาอาชีวทงั้ ปวง ๕.๒ การเข้าถึงทางสมาธิ -มคี วามเพียรถกู ตอ้ งตามปธาน ๔ -มีความระลกึ ถกู ตอ้ งตามสติปฏั ฐาน๔ -มีจิตตง้ั มนั่ ถกู ตอ้ งตามรูปฌาน๔ ๕.๓ การเขา้ ถึงทางปัญญา -มีความเหน็ ถกู ต้อง เห็นตามอริยสัจจ์ ๔ -มีความดารถิ ูกต้อง ดารติ ามกศุ ลวติ ก ๓ ๖. อานิสงส์ของการเข้าถงึ พระรตั นตรัย ๖.๑ ผลระดบั ต้น -ทาให้มีชีวติ อยา่ งสงบสุขไม่มเี วรภยั -ทาให้ฐานะทางครอบครวั มีความมัน่ คง -ได้ชือ่ ว่าเปน็ คนดี ใครๆก็อยากคบหาสมาคม -เป็นคนมคี า่ มเี กยี รติ ไมต่ กเป็นทาสอบายมุข ๖.๒ ผลระดบั กลาง -บาปหรอื ความชวั่ ไม่เผาลนจิตใจ -ปดิ ประตอู บายภูมิได้ -ย่อมเกดิ ในภพภมู ิท่ีดี มโี อกาสพฒั นาตนเองใหส้ งู ขน้ึ ๖.๓ ผลระดบั สูง -ทาให้จติ ใจ สะอาด สวา่ ง สงบ -ดับกเิ ลสและกองทกุ ข์ทัง้ ปวงได้ -เข้าถงึ พระนพิ พาน จติ สงบเยน็ ไมม่ ีเครอื่ งเสียบแทง -ตดั เสยี ซึ่งวฏั ฏะทุกขท์ งั้ ปวง.

๑๕ กำรมรี ะเบยี บวนิ ยั จุดประสงค์ ๑.เพ่ือให้รู้ความหมายของคาว่า \"ระเบยี บวนิ ัย\" ๒. เพอื่ ใหเ้ ข้าใจถึงความสาคญั ของการมีระเบยี บวนิ ัย ๓. เพื่อใหร้ ู้ขอบข่ายของระเบยี บวินัยทพ่ี ึงปฏบิ ัตใิ นการอยู่อบรม \"โครงการบรรพชาฯ\" ๔. เพือ่ ใหร้ ถู้ ึงอานสิ งสข์ องการมรี ะเบยี บวินัย ๕. เพื่อให้สามารถนาไปใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ประจาวนั ได้อย่างเหมาะสม การมีระเบียบวนิ ยั ๑.ความหมาย คาวา่ \"ระเบียบวนิ ัย\" หมายความว่า \"ความสารวมกาย วาจา เรยี บร้อย ซ่งึ เป็นเหตนุ าไปส่คู วาม เป็นผู้วิเศษ\" ๒.ความสาคัญ การมรี ะเบยี บวินยั ทาให้หมู่คณะมีระเบียบเรียบร้อยอยูร่ ว่ มกันได้อย่างสงบสุข ทาใหค้ วาม ประพฤตขิ องผทู้ ีอ่ ยูร่ ว่ มกนั เป็นไปในทางเดยี วกัน ไม่รงั เกียจกันดว้ ยชาติสกลุ เรยี บร้อยสวยงามเหมือนดอกไม้หลากสี ทน่ี ายช่างเกบ็ มารอ้ ยเปน็ พวกมาลัย และเปน็ การแสดงใหเ้ หน็ ถึงความเจรญิ มนั่ คงกลมเกลยี วก้าวหน้าของชนในชาติ ๓.ระเบยี บวนิ ัยที่พงึ ปฏิบัติในการอบรม \"โครงการบรรพชาฯ\" -ไป-กลบั หอ้ งประชุมเดินเปน็ แถว วางรองเท้าเรียบร้อยทัง้ ทหี่ อ้ งประชุมและที่พัก -วางของในหอ้ งนอนอย่างมรี ะเบยี บเรยี บร้อย -ไม่พดู คุยสง่ เสียงดังในห้องประชมุ -ออกไปรบั อาหารเปน็ แถวตามลาดับ -วางแก้วนา้ เปน็ แถวตรงกันหมดดสู วยงามเวลารบั ประทานอาหาร -ออกไปล้างจานเปน็ แถวอย่างมีระเบยี บตามลาดับ -อาบน้าอยา่ งมีระเบยี บ ไม่ส่งเสยี งดัง ไมส่ าดนา้ ใส่กนั -ใช้ห้องนา้ ห้องสว้ มอย่างเรียบร้อยและรกั ษาความสะอาด -นอนอยา่ งมรี ะเบียบ นอนและต่ืนตรงเวลา -ไม่คยุ และส่งเสียงรบกวนผ้อู ่นื ในเวลานอน -แต่งกายสุภาพเรยี บร้อย -ปฏิบตั ิตามกฎระเบยี บและความนิยมของทีน่ ้นั ๆ ๔. อานิสงสข์ องการมรี ะเบยี บวินยั -ไดร้ บั ความแช่มช่ืนมปี ีตปิ ราโมทย์ และภมู ใิ จในตนเอง -ไม่ถกู ตาหนิโทษ หรอื ถกู ลงทัณฑ์กรรม -เป็นผ้อู งอาจกลา้ หาญในการปรากฏตัวในทช่ี มุ นุมชน -จิตใจสงบสขุ ไม่วติ กกงั วลถึงความผิดท่ตี วั กระทา -เป็นพ้ืนฐานให้บรรลคุ ุณธรรมชัน้ สูง

๑๖ ควำมรบั ผิดชอบ จุดประสงค์ ๑. เพอื่ ใหร้ ู้ความหมายของคาว่า \"รบั ผิดชอบ\" ๒. เพอ่ื ใหร้ ู้และตระหนักในรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง ๓. เพื่อใหร้ ู้และตระหนักในรับผิดชอบต่อวงศต์ ระกลู ๔. เพอ่ื ให้รแู้ ละตระหนักในรบั ผิดชอบต่อสถาบนั การศึกษา ๕. เพื่อใหร้ ู้และตระหนักในรบั ผดิ ชอบต่อสถาบันสูงสดุ ความรบั ผิดชอบ ๑. ความหมาย คาวา่ \"รบั ผดิ ชอบ\" หมายถึง ความสานกึ ในการทาหนา้ ท่ขี องตน โดยไม่ตอ้ งมีใครคอยบงั คบั หรอื ควบคุม ๒. ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง ๒.๑ ตั้งใจศกึ ษาหาความรู้ ๒.๒ ฝกึ ฝนตนให้มีความสามารถในการทางาน ๒.๓ ประพฤติตนเป็นคนดีมคี ุณธรรม ๒.๔ รักษาสุขภาพของตนให้แข็งแรงสมบูรณ์ ๓. ความรบั ผดิ ชอบต่อวงศ์สกลุ ๓.๑ คานงึ ถงึ ความรู้สกึ ของพอ่ แม่ ๓.๒ ช่วยเหลือการงานแบ่งเบาภารกิจทางบ้าน ๓.๓ คานงึ ถึงรายรบั รายจ่ายของครอบครวั ๓.๔ รักษาเกียรติของวงศ์สกุล ๔.ความรบั ผิดชอบตอ่ สถาบันการศึกษา ๔.๑ ปฏิบตั ติ ามระเบยี บของโรงเรียน ๔.๒ ทาตวั เปน็ ตวั อยา่ งทีด่ แี ก่ผอู้ ื่น ๔.๓ สร้างชอ่ื เสยี งเกยี รตคิ ุณใหก้ ับโรงเรยี น ๔.๔ รกั โรงเรียนเหมือนบา้ นเกิดของตน ๔.๕ รว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของโรงเรยี นด้วยความเตม็ ใจ ๔.๖ เคารพครอู าจารย์เหมือนพ่อแมข่ องตน ๕. ความรับผิดชอบต่อสถาบันสูงสดุ ๕.๑ ความรบั ผดิ ชอบต่อสถาบนั ชาติ ๕.๑.๑ ศรัทธาการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์เปน็ ประมขุ ๕.๑.๒ เคารพกฎหมายบ้านเมอื ง ๕.๑.๓ ร้จู กั ใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างถูกตอ้ ง ๕.๑.๔ เสยี ภาษอี ากรบารงุ รฐั ๕.๑.๕ ซอื่ สัตย์สุจริต ๕.๑.๖ ขยนั หม่ันเพยี ร ประกอบอาชีพสุจรติ ๕.๑.๗ ไม่ตกเปน็ ทาสยาเสพติดและอบายมุขมกุ ชนิด ๕.๑.๘ รักษาประเพณแี ละวฒั นธรรมของชาติ ๕.๑.๙ รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชาติ

๑๗ ๕.๑.๑๐ เสยี สละไม่เห็นแกต่ วั ๕.๒ ความรับผดิ ชอบตอ่ สถาบนั ศาสนา ๕.๒.๑ มศี รทั ธามนั่ คงในพระรตั นตรยั ๕.๒.๒ เอาใจใส่ศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยให้เข้าใจถกู ต้อง ๕.๒.๓ ฝกึ ฝนอบรมตนเองให้เคร่งครดั ในศีล สมาธิ ปญั ญา ๕.๒.๔ รู้จกั บาเพ็ญบุญ คอื บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ๕.๒.๕ ประพฤติสจุ ริตดว้ ยกาย วาจา ใจ ไม่ตกเป็นทาสอบายมขุ ๕.๒.๖ ชว่ ยเผยแผ่คาส่งั สอนของศาสนาแก่ผู้อ่ืน ๕.๒.๗ ช่วยปกป้องสถาบนั ศาสนาไมใ่ หใ้ ครทาลาย ๕.๒.๘ ชว่ ยบารุงและพัฒนาศาสนาสถาน ๕.๓ ความรับผิดชอบตอ่ สถาบนั มหากษัตริย์ ๕.๓.๑ ถวายความจงรักภกั ดีดว้ ยความจรงิ ใจ ๕.๓.๒ ไมก่ ลา่ ววาจาลว่ งละเมิด ๕.๓.๓ ประพฤติตนเป็นพลเมอื งดี ๕.๓.๔ รบั สนองพระบรมราชโองการ ๕.๓.๕ ปกปอ้ งสถาบนั ไมใ่ ห้ใครล่วงละเมิด ๕.๓.๖ ปฏิบัตติ ามพระบรมราโชวาทโดยเคร่งครดั ประเพณีวัฒนธรรมของชำวพุทธ จดุ ประสงค์ ๑.เพอ่ื ให้รคู้ วามหมายของคาวา่ \"ประเพณี\" และ \"วัฒนธรรม\" ๒.เพื่อใหร้ ู้และช่นื ชอบประเพณวี ฒั นธรรมชาวพุทธ ๓.เพื่อให้รู้ถึงผลดขี องประเพณีวัฒนธรรมของชาวพทุ ธ ๔.เพ่อื ให้นาเอาประเพณีวฒั นธรรมของชาวพทุ ธ ไปปฏิบตั เิ ป็นกจิ นิสัยในชวี ติ ประจาวนั ได้ ความหมาย ๑.คาวา่ \"ประเพณี\" หมายถงึ ข้อกาหนด กิจกรรม แบบอยา่ งท่ปี ระพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา แบ่งเปน็ ๓ คอื จารตี ประเพณี ขนบประเพณี ธรรมเนียมประเพณี ๒.คาวา่ \"วฒั นธรรม\" หมายถึง ลกั ษณะท่ีแสดงออกช้ใี ห้เหน็ ถึงความเจรญิ ก้าวหน้า พฤตกิ รรมท่แี สดงออกเป็นไป เพือ่ ความเจริญ ความสงบสขุ ของสงั คม ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ๑. ไหวพ้ ระสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา กอ่ นนอนทกุ คนื ๒. ทาบุญตกั บาตรทกุ เช้า ๓. เข้าวดั ทาบญุ บริจาคทาน รักษาศลี ฟงั ธรรม เจริญภาวนาทกุ วนั พระ ๔. แสดงความเคารพ เอ้อื เฟ้ือ ยาเกรงต่อพระสงฆ์ ๕. รจู้ กั ทาบุญทบี่ ้านตามโอกาสต่างๆ ๖. เข้ารว่ มกจิ กรรมในวนั สาคญั ทางศาสนา ๗. แสดงความเคารพต่อปชู นียสถาน

๑๘ ๘. รว่ มพัฒนาและบารงุ ศาสนาสถาน ๙. มคี วามกตญั ญตู ่อผู้มพี ระคณุ ๑๐.รจู้ กั บาเพ็ญบุญทกั ษณิ านปุ ระทาน ๑๑.บวชสืบอายพุ ระพุทธศาสนา ผลดขี องประเพณีวัฒนธรรม ๑. ตนเองมคี วามสขุ ท่ีได้ทาความดเี ชน่ นนั้ ๒. บัณฑิตสรรเสรญิ ผ้มู วี ฒั นธรรม ๓. ชอ่ื เสยี งเกยี รตคิ ุณฟุง้ ขจรไป ๔. แสดงถงึ ความก้าวหน้าของชาติ ๕. ก่อให้เกิดความสามัคคขี องคนในชาติ ๖. แสดงออกถึงเอกลกั ษณ์ชองชาติเป็นพเิ ศษ ๗. เป็นการเชิดชูเกยี รติของชาติ ๘. เป็นเครอื่ งขัดเกลาอุปนสิ ยั ให้ออ่ นโยน ๙. เปน็ ฐานรองรบั คณุ ธรรมท่ีสงู ยง่ิ ๆข้นึ ไป วธิ ีทำบุญในพระพุทธศำสนำ จุดประสงค์ ๑. เพื่อใหร้ ู้ความหมายของคาว่า \"บุญ\" ๒. เพ่อื ใหร้ ู้และเขา้ ใจวธิ ีทาบญุ ในพระพุทธศาสนาทงั้ ๑๐ วธิ ี ๓. เพอื่ ใหน้ าไปปฏิบัตใิ นการดาเนินชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๔. เพอ่ื ให้สามารถช้ชี วนผอู้ ื่นให้ทาบญุ ไดถ้ กู ต้องตามวธิ ีการของพระพทุ ธศาสนา วิธที าบุญในพระพทุ ธศาสนา ๑.ความหมาย คาวา่ \"บุญ\" หมายถึง -คณุ ชาตทิ ่ีชาระจติ ให้สะอาดบริสทุ ธ์ิ -การทาความดีดว้ ย กาย วาจา ใจ -ความสขุ กาย สบายใจ ๒.วิธีทาบุญ ในพระพทุ ธศาสนามีวิธีการทาบุญอยู่ ๑๐ วิธี คือ.- ๒.๑ ทานมัย บุญสาเร็จด้วยการบรจิ าคทาน ๒.๒ สลี มัย บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศีล ๒.๓ ภาวนามัย บุญสาเร็จด้วยการเจรญิ ภาวนา ๒.๔ อปจายนมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการประพฤตอิ ่อนนอ้ มถ่อมตน ๒.๕ เวยยาวจั จมัย บญุ สาเรจ็ ด้วยการชว่ ยขวนขวายในกจิ ทช่ี อบ ๒.๖ ปตั ตทิ านมยั บุญสาเร็จด้วยการให้สว่ นบญุ แก่ผอู้ ื่น ๒.๗ ปัตตานโุ มทนามัย บญุ สาเรจ็ ด้วยการอนุโมทนาสว่ นบุญ ๒.๘ ธัมมสั สวนามยั บญุ สาเร็จดว้ ยการฟังธรรม ๒.๙ ธัมมเทสนามยั บุญสาเรจ็ ดว้ ยการแสดงธรรม ๒.๑๐ ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสาเรจ็ ด้วยการทาความเหน็ ใหต้ รง ๓.อานสิ งส์ของการทาบญุ

๑๙ ๓.๑ ตนเองมีความปล้มื ปตี ิยนิ ดี อ่มิ ใจ สขุ ใจ ๓.๒ บณั ฑิตใครค่ รวญแล้วสรรเสรญิ ๓.๓ เกยี รตคิ ณุ ฟุ้งขจรไป ๓.๔ มคี วามสขุ สงบเยน็ ในชวี ิต ๓.๕ ไมห่ ลงทากาลกริ ยิ า ๓.๖ เบ้ืองหน้าแตต่ ายเพราะกายแตก ยอ่ มเข้าถงึ สุคติ 5 ดสี ู่ความเปน็ มนษุ ยท์ ี่สมบูรณ์ 1. เปน็ บตุ รที่ดขี องบิดามารดา คือ เป็นผู้ท่สี ามารถทาใหบ้ ิดามารดา ได้รบั ความสบายใจตลอดกาล 2. เป็นศิษย์ท่ีดีของครูอาจารย์ คอื เป็นผู้ที่ครอู าจารย์ สามารถนาไปสูจ่ ุดหมายปลายทางได้ 3. เป็นเพือ่ นท่ดี ขี องเพอ่ื น คือเป็นผทู้ ่ีสามารถอยู่รว่ มกนั ได้ ดว้ ยความสุขสวัสดี 4. เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ คอื เป็นผู้ท่ีสามารถดารงชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ได้ 5. เปน็ สาวกที่ดีของพระศาสดา คอื เป็นผูท้ ี่สามารถดาเนนิ ตามพระศาสดาได้ กำรเป็นบตุ รที่ดีของพอ่ แม่ จดุ ประสงค์ ๑.เพือ่ ใหร้ คู้ วามหมายของคาวา่ \"พ่อแม่\" และ \"บุตรท่ีดี\" ๒.เพื่อใหร้ ขู้ อบข่าย \"หน้าท่ีของพ่อแม่ที่มตี ่อลูก\" ๓.เพื่อให้รแู้ ละเขา้ ใจถงึ \"คุณธรรม\" และ \"ความประเสรฐิ \" ของพ่อแม่ ๔.เพื่อให้รู้และเข้าใจถงึ \"ประเภทของบตุ ร\" ๕.เพอ่ื ให้รู้ \"หนา้ ท่ขี องบุตรท่ดี ีอนั พงึ มตี อ่ พ่อแม่\" แลว้ นาไปปฏิบตั ิในชวี ติ จรงิ ได้ ๖.เพือ่ ใหร้ ู้ถงึ อานิสงสท์ เ่ี กิดจากการเปน็ บตุ รที่ดี กำรเปน็ บตุ รท่ีดีของพอ่ แม่ ๑.ความหมายของคาวา่ \"พ่อแม\"่ ๑.๑ คาวา่ พ่อ หมายความว่า ผคู้ มุ้ ครองป้องกนั อนั ตรายแก่บุตร ๑.๒ คาวา่ แม่ หมายความวา่ ผยู้ งั บุตรใหเ้ จรญิ ยิง่ ๆ ข้ึนไป ๒.หนา้ ทข่ี องพ่อแมท่ ม่ี ีตอ่ ลูก ๒.๑ สอนใหล้ กู เวน้ จากความช่ัว ๒.๒ แนะนาลกู ให้ทาความดี ๒.๓ สง่ เสรมิ ลกู ให้ไดร้ ับการศึกษาเลา่ เรียนศลิ ปวทิ ยา ๒.๔ เลอื กคู่ครองทเ่ี หมาะสมให้ลูก

๒๐ ๒.๕ แบง่ ทรัพย์ใหใ้ นสมัยอนั สมควร ๓.คุณธรรมของพ่อแม่ ๓.๑ เมตตา ปรารถนาให้ลกู มีความเจริญยิ่ง ๆ ขนึ้ ไป ๓.๒ กรุณา มีความเอน็ ดูช่วยเหลือลูกใหพ้ ้นทุกข์ ๓.๓ มทุ ติ า ชนื่ ชมยินดเี มอื่ ลกู ประสบความสาเร็จในชีวิต ๓.๔ อเุ บกขา เฝ้าดูความเป็นอยแู่ ละความเป็นไปของลกู อย่เู สมอ ๔.ความประเสรฐิ ของพอ่ แม่ ๔.๑ เป็นครูคนแรกของลูก ๔.๒ เป็นพระพรหมของลกู ๔.๓ เป็นพระอรหนั ต์ของลกู ๔.๔ เปน็ ผมู้ ีอุปการะมากและแสดงโลกนี้แก่บุตร ๕.บุตรมีอยู่ ๓ ประเภท ๕.๑ อวชาตบตุ ร คอื บุตรท่ีมีคณุ ธรรมตา่ กว่าพ่อแม่ ๕.๒ อนชุ าตบุตร คอื บุตรทมี่ ีคณุ ธรรมเสมอกับพอ่ แม่ ๕.๓ อภชิ าตบุตร คือบตุ รท่ีมคี ุณธรรมสงู กวา่ พ่อแม่ ๖.ความหมายของบุตรที่ดี ๖.๑ บุตรทดี่ ี คอื บุตรทีส่ ามารถทาใหพ้ ่อแมอ่ ิม่ ใจ สบายใจ สุขใจ ๗.ขอ้ วัตรปฏิบัตขิ องบุตรทีด่ ี ๗.๑ ยกยอ่ งสรรเสรญิ คุณงามความดีของพอ่ แม่ ๗.๒ บารุงพอ่ แมด่ ว้ ยปัจจัย ๔ ๗.๓ สรา้ งเกียรตแิ ละช่ือเสียงใหว้ งศส์ กลุ ๗.๔ สืบทอดเจตนารมณ์ของพอ่ แม่ ๗.๕ ประพฤติตนเป็นคนดี ทาตัวให้กา้ วหนา้ อยเู่ สมอ ๗.๖ ส่งเสรมิ ให้พอ่ แมม่ คี ุณธรรมยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป ๗.๗ เมอื่ ท่านลว่ งลับไปแลว้ หมัน่ ทาบุญอุทศิ ให้ ๘.ผลดอี นั เกดิ จากการเปน็ บตุ รที่ดี ๘.๑ ทาใหพ้ อ่ แม่สบายใจ สขุ ใจ ๘.๒ ไดร้ ับการยกยอ่ งสรรเสริญจากบณั ฑติ ๘.๓ เป็นท่รี ักของคนทัว่ ไป ๘.๔ ใคร ๆ อยากคบหาสมาคม ๘.๕ เป็นผมู้ ีความเจรญิ สุขในชวี ติ

๒๑ กำรเป็นศษิ ย์ที่ดีของครอู ำจำรย์ จุดประสงค์ ๑. เพ่อื ให้รูค้ วามหมายของคาวา่ \"ครู\" และ \"ศิษยท์ ดี่ ี\" ๒. เพ่อื ให้รู้ขอบขา่ ย \"หนา้ ท่ีของครูทม่ี ีต่อศิษย์\" ๓. เพ่ือใหร้ ู้ \"หนา้ ท่ีของศษิ ย์ท่ีดที ่ีพงึ ปฏิบตั ิตอ่ ครู\" ๔. เพื่อให้รู้ \"ผลเสยี ทีไ่ มส่ ามารถเปน็ ศิษย์ท่ีดีได้\" ๕. เพ่ือใหร้ ู้ \"ผลดอี ันเกิดจากการเป็นศษิ ย์ที่ดี\" การเป็นศษิ ยท์ ี่ดขี องครอู าจารย์ ๑.ความหมายของคาว่า \"ครู\" ๑.๑ ครู คอื ผู้สั่งสอนศษิ ย์ ๑.๒ ครู คือ ผนู้ าศษิ ย์ไปสู่ความเจริญ ๑.๓ ครู คือ ผทู้ ี่ศษิ ยค์ วรทาความเคารพ ๑.๔ ครู คือ ผนู้ าทางวญิ ญาณ ๑.๕ ครู คือ ผ้ยู กระดับวิญญาณให้สูงขึ้น ๑.๖ ครู คอื ผูเ้ ปดิ ประตู ๑.๗ ครู คือ ผนู้ าสัตว์ออกจากวัฎฎะสงสาร ๒.หน้าท่ขี องครูท่มี ตี ่อศษิ ย์ ๒.๑ แนะนาสง่ั สอนดี ๒.๒ ให้เรียนดี ๒.๓ บอกศลิ ปวิทยาให้โดยส้นิ เชงิ ไมป่ ดิ บงั อาพราง ๒.๔ ยกย่องให้ปรากฏในหมูเ่ พือ่ นฝงู ๒.๕ ทาความปอ้ งกันในทิศทงั้ หลาย ๓.ความหมายของศษิ ยท์ ี่ดี ๓.๑ ศษิ ยท์ ดี่ ี คือ ศิษยท์ ่ีครสู ามารถนาไปสู่เป้าหมายได้ ๔.ศษิ ยท์ ด่ี ีพงึ ปฏบิ ตั ติ ่อครดู ังน้ี ๔.๑ ลกุ ข้ึนยนื ตอ้ นรับ ๔.๒ เขา้ ไปยืนคอยรบั ใช้ ๔.๓ เช่อื ฟังคาสั่งสอน ๔.๔ อปุ ฏั ฐากรับใช้ใกล้ชดิ ๔.๕ ตั้งใจเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๕.โทษทไี่ มส่ ามารถเปน็ ศษิ ยท์ ่ีดีได้ ๕.๑ ทาให้เปน็ คนโงเ่ ขลาเบาปญั ญา ๕.๒ ทาให้ครูอาจารย์เดอื ดร้อนใจ ๕.๓ ถูกติเตยี นจากบัณฑติ ๕.๔ เป็นที่เกลียดชังของคนทว่ั ไป ๕.๕ ใคร ๆ ไมอ่ ยากจะคบเปน็ เพอ่ื นด้วย ๕.๖ ไม่เป็นผเู้ จรญิ สุขในชวี ิต ๖.ผลดีอันเกิดจากการเปน็ ศษิ ย์ที่ดี

๒๒ ๖.๑ ทาให้เป็นคนมีปญั ญาดี ๖.๒ ทาให้ครอู าจารย์สขุ ใจ สบายใจ ๖.๓ ได้รับยกยอ่ งสรรเสรญิ จากบัณฑิต ๖.๔ เป็นทรี่ ักของคนทั่วไป ๖.๕ ใคร ๆ ก็อยากคบหาสมาคมด้วย ๖.๖ เป็นผู้มคี วามเจรญิ สขุ ในชวี ติ กำรเป็นเพอ่ื นที่ดขี องเพอ่ื น จุดประสงค์ ๑.เพอ่ื ใหร้ ู้ความหมายของคาว่า \"เพือ่ น\" กบั คาว่า \"มติ ร\" และ \"เพื่อนท่ดี ี\" ๒.เพ่อื ใหร้ ู้ถึงคณุ สมบัตขิ องเพือ่ นทีด่ ี แลว้ นาไปปฏิบตั ใิ นชีวติ จริงได้ ๓.เพ่อื ใหร้ ู้ถึง \"ผลเสียท่เี กดิ จากการไม่เป็นเพ่อื นท่ดี ี\" ๔.เพื่อใหร้ ู้ \"ผลดอี ันเกิดจากการเปน็ เพอ่ื นทีด่ ี\" กำรเปน็ เพอื่ นท่ดี ขี องเพอื่ น ๑.ความหมายของเพือ่ น ๑.๑ เพอื่ น คือ ผู้รว่ มธุระ ผู้ชอบพอรักใคร่กนั ผู้อยใู่ นสภาพหรือลกั ษณะเดียวกนั เชน่ เปน็ เพ่อื นมนษุ ย์ ด้วยกนั ๑.๒ มิตร คือ เพือ่ นรกั ใครค่ ้นุ เคยกัน ๒.ความหมายของเพอ่ื นทดี่ ี เพ่อื นท่ดี ี คือ เพอื่ นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อยา่ งสงบสุข ๓.คุณสมบัตขิ องเพื่อนท่ดี ี ๓.๑ แบง่ ปันลาภที่ตนหามาได้แกเ่ พอ่ื น ๓.๒ เจรจากับเพอื่ นดว้ ยถอ้ ยคาท่ีไพเราะอ่อนหวาน ๓.๓ ปอ้ งกันเพ่ือนผูป้ ระมาทแลว้ ๓.๔ ปอ้ งกันทรพั ย์ของเพอื่ นผ้ปู ระมาทแลว้ ๓.๕ เม่ือเพื่อนมภี ัยเป็นทีพ่ ง่ึ พานกั ได้ ๓.๖ เพ่อื นมีธุระช่วยออกทรพั ยใ์ ห้เกินกวา่ ทอี่ อกปาก ๓.๗ ช่วยปกปิดความลับของเพื่อนไม่ใหแ้ พรง่ พราย ๓.๘ ไมล่ ะทิง้ เพ่ือนในยามวบิ ัติ ๓.๙ ประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย ๓.๑๐รกั เพ่ือนดว้ ยความบริสุทธใ์ิ จ ๔.โทษของการไม่เป็นเพอ่ื นท่ีดี ๔.๑ เปน็ ทเ่ี กลยี ดชงั ของเพอื่ น ๔.๒ เป็นคนโดดเดีย่ วว้าเหว่ ๔.๓ ไมม่ ใี ครช่วยเหลอื เม่ือมีทกุ ขม์ ีปญั หา ๔.๔ จะถูกประทษุ ร้าย ๔.๕ ประสบความสาเรจ็ หรือเจริญก้าวหนา้ ได้ยาก

๒๓ ๕.ผลดอี ันเกดิ จากการเปน็ เพอื่ นทด่ี ี ๕.๑ เปน็ ที่รกั ใคร่นบั ถือของเพอื่ น ๕.๒ มคี วามสขุ อบอ่นุ ใจ เพราะใคร ๆ กอ็ ยากเป็นเพอื่ นดว้ ย ๕.๓ มผี ู้ชว่ ยเหลือเม่อื มที กุ ข์มีปญั หา ๕.๔ มีความปลอดภัยในชีวิตไม่มากไปด้วยเวร ๕.๕ มคี วามสาเร็จและเจรญิ กา้ วหนา้ ไดร้ วดเร็ว กำรเป็นพลเมอื งท่ดี ขี องประเทศชำติ จุดประสงค์ ๑.เพอ่ื ใหร้ ู้ความหมายของคาวา่ \"พลเมอื ง\" ๒.เพอื่ ใหร้ ู้และเกดิ ความตระหนกั ในหน้าทีข่ องพลเมอื งท่ดี ี แลว้ นาไปปฏบิ ัตใิ นชีวติ จรงิ ได้ ๓.เพ่อื ให้รู้โทษของการไมเ่ ป็นพลเมอื งทีด่ ี ๔.เพ่ือใหร้ ูแ้ ละชืน่ ชอบผลดอี นั เกิดจากการเปน็ พลเมอื งทดี ี กำรเปน็ พลเมืองทดี่ ีของประเทศชำติ ๑.ความหมายของคาว่า \"พลเมือง\" ๑.๑ พลเมือง หมายความวา่ ประชาชนซึ่งเป็นกาลงั อันสาคญั ของประเทศชาติ ๑.๒ พลเมืองดี หมายความวา่ ประชาชนท่มี คี ุณสมบตั สิ ามารถดารงชาติไว้ได้ ๒.หน้าท่ีของพลเมืองทด่ี ี ๒.๑ มคี วามรกั ชาติ เคารพศาสนา เทดิ ทูนพระมหากษัตรยิ ์ ๒.๒ ศรทั ธาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์เปน็ ประมุข ๒.๓ เคารพกฎหมายบ้านเมือง ๒.๔ เสยี ภาษีบารงุ รฐั ๒.๕ ซือ่ สัตย์สุจริตต่อหน้าท่ีการงาน ๒.๖ ขยันหมัน่ เพียรประกอบอาชีพสุจรติ ๒.๗ ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติดและอบายมุขทุกชนิด ๒.๘ พัฒนาตนเองใหส้ มบรู ณแ์ ละกา้ วหน้าอยู่เสมอ ๒.๙ ช่วยสร้าง ป้องกัน รักษา สาธารณสมบตั ิของชาติ ๒.๑๐ เสียสละไม่เหน็ แกต่ วั เมอื่ ชาติมภี ัยก็สามารถเสยี สละชีวิตเพือ่ ปกปอ้ งชาตไิ ด้ ๓.โทษของการไม่เป็นพลเมอื งทด่ี ี ๓.๑ ถกู เพ่งโทษ ๓.๒ ถกู ประณามว่าเปน็ คนเห็นแกต่ ัว ทาลายชาติ ๓.๓ เปน็ ท่ีเกลยี ดชังของคนท่ัวไป ๓.๔ จะไมม่ แี ผ่นดนิ อยู่ ๓.๕ ไม่มที ีพ่ ่ึงทางใจ ๓.๖ ไมเ่ ป็นศนู ยร์ วมใจของชนในชาติ ๓.๗ ถว่ งความเจริญในการพฒั นาประเทศชาติ ๔.ผลดอี ันเกิดจากการเปน็ พลเมืองที่ดี ๔.๑ มคี วามเป็นอยูป่ ลอดภยั

๒๔ ๔.๒ เปน็ ทน่ี ิยมรักใครข่ องคนทั่วไป ๔.๓ เปน็ ที่ตอ้ งการของสังคม ของชาติ เพราะเป็นคนมปี ระโยชน์ ๔.๔ ช่วยสง่ เสริมการพฒั นาประเทศใหก้ ้าวหน้าไปไดร้ วดเรว็ ๔.๕ คนในชาตอิ ยู่ร่วมกันดว้ ยความรม่ เยน็ เป็นสุข ๔.๖ สามารถดารงชาตไิ ว้ได้ กำรเปน็ สำวกทด่ี ี จุดประสงค์ ๑.เพอ่ื ใหบ้ อกความหมายและลกั ษณะการเป็นสาวกทดี่ ีได้ ๒.เพ่อื ใหบ้ อกผลดีทีเ่ กิดจากการเป็นสาวกท่ีดีได้ ๓.เพ่ือให้บอกวิธกี ารปฏิบัติตนในการเปน็ สาวกที่ดีได้ ๔.เพ่อื ให้บอกโทษของการไม่สามารถเป็นสาวกท่ีดีได้ กำรเป็นสำวกที่ดี ๑.ความหมาย สาวกท่ดี ี หมายถงึ ผู้ท่สี ามารถเดนิ ตามทางของพระศาสดา ๒.วธิ ปี ฏบิ ัติเพอ่ื เปน็ สาวกท่ดี ี ๒.๑ ต้งั ใจศึกษาพระธรรมวินัยใหเ้ ข้าใจถูกต้อง และเพียงพอแก่สถานะของตน ๒.๒ มีศรัทธามัน่ คงในพระรตั นตรยั ๒.๓ มศี ีลบริสุทธิ์ และไมต่ กเปน็ ทาสอบายมขุ ๒.๔ ไม่เชือ่ มงคลตื่นขา่ ว คอื เชือ่ กรรมไมเ่ ชอื่ มงคล ๒.๕ ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกพระพุทธศาสนา ๒.๖ ทาบญุ แตใ่ นพระพทุ ธศาสนา ๓.ผลดีอันเกิดจากการเป็นสาวกท่ีดี ๓.๑ มีชวี ิตทส่ี งบเยน็ อยู่ด้วยความถกู ตอ้ ง ๓.๒ เปน็ คนมคี วามมนั่ คง เพราะมที ี่พ่ึงทางใจอันถูกต้อง ๓.๓ สามารถแกป้ ญั หาของชีวิตทเี่ กดิ ขึ้นดว้ ยปัญญาอันถูกต้อง ๓.๔ ผู้ที่เกย่ี วขอ้ งมคี วามสุขสงบเยน็ ไปด้วย ๓.๕ เปน็ ผสู้ ามารถได้รับประโยชน์สูงสุดที่มนษุ ย์ควรได้รบั ๓.๖ เป็นตวั อย่างอนั ดีแก่ผู้ท่พี บเห็น ใหเ้ กิดความปรารถนาจะทาตาม ๓.๗ เปน็ การสืบอายพุ ระพุทธศาสนาให้สถาพร ๓.๘ เป็นการส่งเสรมิ ความเจริญ และความมัน่ คงของชาติ ๔.โทษของการไมเ่ ปน็ สาวกท่ดี ี ๔.๑ มชี ีวิตความเปน็ อยูด่ ้วยความทุกขเ์ ร่ารอ้ นใจ ๔.๒ เปน็ คนเปลา่ ประโยชน์ เพราะขาดที่พ่ึงทางใจอนั ถูกตอ้ ง ๔.๓ ไม่สามารถแก้ปญั หาของชวี ติ ท่ีเกิดขน้ึ ได้ ๔.๔ ทาให้ตนเองขาดประโยชน์ทพี่ ึงได้รับ ๔.๕ ทาให้ผู้ทเี่ ก่ยี วขอ้ งมคี วามทกุ ขเ์ ร่ารอ้ นใจไปด้วย ๔.๖ เป็นการทาลายศาสนาโดยไม่รู้ตัว หรือรูเ้ ท่าไมถ่ งึ การณ์ ๔.๗ บ่ันทอนความเจริญและความม่นั คงของชาติ

๒๕ ตอนที่ ๓ ภำคปฏิบัติ วิปัสสนำชวี ิต กรรมฐำน กรรมฐาน หรอื กัมมัฏฐาน มี 2 อยา่ ง คอื 1.สมถกรรมฐาน คอื กรรมฐานที่ทาให้ใจสงบงา่ ย 2.วิปสั สนากรรมฐาน คือ กรรมฐานท่ที าให้เกิดปญั ญา กรรมฐานท้งั 2 อยา่ งนี้ ต้ององิ อาศัยซ่ึงกนั และกัน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในการพจิ ารณาสภาวธรรมต่างๆ ในการ ปฏบิ ตั ิวิปัสสนากรรมฐานขั้นสูง ต้องอาศัยสมถกรรมฐานเป็นพ้นื ฐาน เปน็ พลงั ในการเจริญปญั ญา การปฏิบตั เิ พอ่ื ให้ สมาธติ ั้งมน่ั ได้เร็วและงา่ ย ๑. ต้องมอี งคภ์ าวนา เช่น พองหนอ- ยบุ หนอ พุทโธ หรอื สมั มาอะระหงั เปน็ ตน้ เสียก่อน ตวั อย่างเชน่ การ ภาวนา “พทุ โธ” ขนั้ แรก สติของเราตอ้ งอยู่ทคี่ าว่า “พุทโธ” โดยเอาสติมาจับอยทู่ ่ีปลายจมูก ให้ร้ตู รงท่ีลมกระทบเวลาหายใจเขา้ และหายใจออกอย่างชัดเจนและละเอียด ขนั้ ท่ีสอง คอื การตามลมเข้า ตามลมออก โดยการภาวนา “พุท” เวลาหายใจเขา้ และ “โธ” เวลาหายใจออก ให้ เอาจิตไปจดจอ่ อย่ทู ี่ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา โดยไม่ใสใ่ จกับสง่ิ ทีม่ ากระทบจากภายนอก หรือ ภายใน จติ จึงจะเปน็ สมาธไิ ด้เรว็ ต่อจากน้ันไมว่ า่ จะเกิดอะไรขนึ้ ก็ตาม ถ้ามุง่ ไปทางฌานหรือญาณสมาบัติ กใ็ ห้ภาวนาพทุ โธ อย่างต่อเนอ่ื ง ตลอดไป พร้อมกาหนดจิตลงสู่สภาวธรรมที่กาลงั เกิด ทีก่ าลังเหน็ ในขณะนัน้ ขณะที่จติ ดง่ิ ลงสู่องคฌ์ าน ก็มีสตริ ู้ และ ปล่อยลงไปตามองคฌ์ าน เพื่อใหเ้ ปน็ ไปตามธรรมชาตขิ องพลังอานาจสมาธิ จนกวา่ จะไม่มคี วามรูส้ ึกทางกาย ว่า รา่ งกายเรามีอยู่ เราจะเห็นแตด่ วงจิตเปน็ อยา่ งเดียว ไมม่ ีอารมณอ์ ืน่ แทรก นเี้ รยี กวา่ “องค์ฌาน” ๒. วธิ กี ารยกจติ ขนึ้ สู่องค์ฌาน ให้ผปู้ ฏิบัติกาหนดรูเ้ สมอว่าขณะนี้เรากาลังทาอะไรอยู่ (กล่าวคอื อยู่ในสมาธิ) เพอ่ื ไม่ใหจ้ ติ สัดส่ายออกไปขา้ งนอก ถ้าจิตสัดส่ายออกไปข้างนอกเมือ่ ใด ให้กาหนดภาวนาอยา่ งมสี ติ โดยค่อยๆ ดงึ จติ มาดทู ีฐ่ านของจิต คือทหี่ วั ใจ ทีเ่ รยี กว่า “หทยั วัตถุ” แลว้ กาหนดองค์บรกิ รรมตอ่ ไปวา่ “พทุ โธ พทุ โธ” หรอื คาบรกิ รรม อย่างใดอย่างหนงึ่ อยา่ งรวดเร็วและถ่ี โดยไม่เวน้ ใหม้ ชี ่องว่าง เพ่อื ปอ้ งกันไมใ่ ห้มีความคิดอ่นื มาแทรก และขณะทผี่ ู้ปฏิบัตกิ าลังจะออกจากองค์ฌานใดองคฌ์ านหนง่ึ เมอื่ กาหนดไดแ้ ลว้ ใหก้ าหนดจติ จาสภาวะของ ขณะจิตน้ันว่าอย่ใู นอาการใด แล้ว จงึ คอ่ ยผ่อนลมหายใจยาวออกมาเบาๆ พรอ้ มกบั ถอยจิตออกจากองค์ฌานนัน้ ๆ และ ให้จาสภาวะนนั้ ใหไ้ ด้ กลา่ วคือ เม่ือผู้ปฏบิ ัตจิ ะเข้าส่สู มาธิในบัลลงั ก์ต่อไป ให้กาหนดลมหายใจยาวๆ ทง้ั เขา้ และออก พรอ้ มกบั นอ้ มจิตเข้าสูอ่ งคฌ์ านทอี่ อกมาในคร้ังกอ่ น นเ้ี รยี กว่า การตอ่ องค์ฌาน หรือ ต่อสภาวฌาน ๓. การยกจติ ขน้ึ สู่สภาวญาณหรอื ฌาน ผู้ปฏบิ ตั ิจะต้องอาศัยพ้ืนฐานของสมถะเป็นกาลงั เพื่อนาไปพจิ ารณา สภาวะธรรมทีเ่ กิดขนึ้ ในปัจจุบันขณะน้ันใหไ้ ด้อยา่ งต่อเนอ่ื ง แจ่มแจ้ง ชดั เจน หากสมาธิออ่ น ผู้ปฏบิ ัตจิ ะไม่สามารถ อดทนต่อสภาวะของเวทนาได้ การพจิ ารณาสภาวธรรมทเี่ กิดข้นึ ไมว่ า่ จะเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนาจะต้องอาศัย สมาธทิ ต่ี ัง้ มนั่ เป็นองคฌ์ านมาเปน็ กาลังอย่างมาก นอกจากนใี้ นการเข้าไปพิจารณาอาการต่างๆ ทเ่ี กิดขน้ึ กับฐานต่างๆ ที่กระทบ ที่บบี คัน้ ท้งั สภาวะภายนอกและภายใน จะตอ้ งอาศยั องคฌ์ านเป็นพืน้ ฐาน เปน็ กาลงั ของจติ เพอ่ื เข้าไป พจิ ารณาสภาวธรรมท้ังหลายท้ังปวงในขณะนนั้ ๆ

๒๖ ๔. การภาวนาในการท่ีจะใหเ้ กดิ สมาธิอยา่ งรวดเร็ว และมีสภาวะท่ชี ดั เจน แจ่มแจง้ ผปู้ ฏบิ ตั ิจะตอ้ งมีสมาธทิ ต่ี ้งั ม่นั แนว่ แน่เปน็ “เอกัคคตารมณ์” (เปน็ อารมณ์เดยี ว) ไม่หวัน่ ไหวต่อสภาวะเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ตวั อย่างเช่น ในการภาวนา “พองหนอ-ยุบหนอ” ผปู้ ฏบิ ัตจิ ะตอ้ งกาหนดรู้ และมีความรสู้ กึ ท่อี าการพอง และอาการยุบของท้องเพยี งอย่างเดยี ว โดย ไม่เผลอสติ ต้องมีความรทู้ ี่ชัดเจนเหมอื นกับการน่ังดูทวี ี หรอื นัง่ มองดนู กบินในทอ้ งฟา้ หรือ มองดคู นปว่ ยหายใจ ระรัวๆ อยู่บนเตียงพยาบาล ให้เหน็ ภาพชดั เจน คือ เหน็ อาการทีท่ อ้ งพอง ทอ้ งยุบ อยา่ งแนช่ ัดเสยี ก่อน อย่าไปใสใ่ จกับ สภาวะอารมณ์เลก็ ๆ น้อยๆ ท่เี กดิ ขึ้นภายในจิต หรอื ทีม่ ากระทบจากภายนอก ถา้ หากผู้ปฏบิ ัติไปใสใ่ จกาหนดตามสภาวะทก่ี ระทบ หรือ สิ่งท่มี ากระทบ และส่งิ ท่ีเกิดขึน้ ภายในจิต อารมณ์ กรรมฐานของเรา กจ็ ะรวั่ และไหลไปตามสภาวะเล็กๆ น้อยๆ น้ัน ทาให้ไม่เกดิ สมาธิท่ีตัง้ ม่นั ไม่มีพลังของสติทจ่ี ะไป กาหนด ทาใหผ้ ู้ปฏิบัตเิ กิดความทอ้ แท้เหนื่อยหนา่ ยต่อการปฏบิ ตั ิ ท้ังนีเ้ ปน็ เพราะผปู้ ฏิบตั ไิ มเ่ ข้าใจชัดเจนในองค์ภาวนา หรือฐานท่จี ติ ไปกาหนดดู จงึ ทาให้หลายตอ่ หลายคนไมส่ ามารถปฏบิ ัตไิ ด้ และเบือ่ หนา่ ยตอ่ การปฏิบัติ และบอกว่าไมไ่ ด้ อะไรเลย บางครงั้ ก็กล่าวว่า ตนเองไม่มีบุญ หรือ มบี ุญนอ้ ย นคี้ ือความเขา้ ใจผิดของผู้ปฏบิ ัติ หากท่านใดอยากปฏิบัติ กรรมฐานไม่วา่ จะเปน็ สมถะหรอื วปิ สั สนา กต็ อ้ งอาศยั ฐานท่ีต้ังเป็นจดุ ยืนใหไ้ ด้เสยี ก่อน ดังนน้ั ไมว่ า่ จะภาวนาอะไร จะตอ้ งทาเชน่ นเ้ี สมอ จติ จงึ จะเกิดสมาธิ เมอื่ สมาธติ ง้ั มัน่ มจี ดุ ยนื และรู้ฐานของ การปฏิบัติดีแล้วเรากจ็ ะสามารถกาหนด พจิ ารณาไปตามสภาวะได้อยา่ งงา่ ยดาย เปรยี บเหมือนลมพดั ตน้ ออ้ และพอ ลมหยดุ พัด ตน้ ออ้ กต็ ้งั ตรงข้ึนมา ฉนั ใดก็ฉันนน้ั เมอ่ื พลังสมาธมิ น่ั คงแล้ว สภาวะทม่ี ากระทบกระทัง่ จากภายนอกและ ภายใน จติ กไ็ ม่หว่นั ไหว สามารถกาหนดพจิ ารณาได้ รู้เท่าทันได้ ต่อสภาวะอารมณ์ท่เี กิดข้ึน และเมอื่ เรากาหนดตาม ฐานตา่ งๆ ได้อยา่ งสะดวกสบายเวลามีอารมณ์มากระทบ สภาวธรรมและฌาน ก็เกิดข้นึ ไดง้ า่ ยในระยะเวลาอนั ส้ัน เหมอื นกับท่านพระโกญทญั ญะทีม่ จี ุดยืนตง้ั มนั่ ดแี ล้ว กก็ าหนดรู้สภาวะตามท่ีเกิดขึน้ ได้ ไดร้ ้แู ละได้เห็นอย่างแจม่ แจ้ง พิจารณาจนเกิดปญั ญา สามารถยกฐานะตนเองเป็นอริยะบุคคลไดโ้ ดยง่าย ทาไมถงึ ตอ้ งมีองค์ภาวนา เพราะองคภ์ าวนามคี วามสาคญั เป็นอย่างมากต่อการปฏบิ ัติ อุปมา เหมือนดังเรอื ท่ี วิง่ อยู่ในแมน่ ้าเจ้าพระยา แต่ถ้ามเี ฉพาะเรอื แต่ไมม่ ีคนขบั เรือก็ไมส่ ามารถทจี่ ะว่ิงไปถึงจดุ หมายปลายทางได้ สติท่ี กาหนดองค์ภาวนาก็เปรียบเสมอื นคนจบั หา้ งเสือ หรอื เหมอื นกบั รถท่ีจาเป็นจะต้องมีคนขบั ท่ีร้จู กั ทางรจู้ กั วธิ ขี ับรถให้ เดนิ ทางไปถงึ เส้นชัยใหไ้ ด้ แต่ถ้าไมม่ ีคนขบั จับพวงมาลัยทีเ่ ข้าใจท่เี ก่งก็ไมส่ ามารถท่จี ะไปถงึ เส้นชยั ได้เลย รถหรอื เรอื ก็ จะออกนอกเส้นทางหรอื เดินทางไปได้ไมไ่ กลกจ็ ะเกิดปัญหาข้ึนภายหลัง การปฏบิ ัติท่จี ะให้ได้ผลดีรอ้ ยเปอร์เซ็นน้ันผู้ ปฏบิ ัติจะต้องมี วิริยะ มสี ติ มีสมาธิ มีความอดทนและมีปัญญารูเ้ ท่าทนั ตามความเปน็ จรงิ ทีเ่ รยี กว่า รู้อริยะสัจส่ี ร้ตู าม ความเปน็ จรงิ ในปัจจุบนั อารมณ์นั้นๆ ๕. การกาหนดจติ ขน้ึ สูว่ ปิ ัสสนา เมอื่ จิตตงั้ มั่นแลว้ จะตอ้ งกาหนดภาวนาตามฐานที่กระทบ เชน่ ตา เหน็ รปู กาหนดทีต่ าวา่ “เหน็ หนอ” โดยกาหนดท่กี ระทบ หู ไดย้ นิ เสียง กาหนดที่หวู ่า “ยนิ หนอ”จมกู ไดก้ ล่นิ กาหนดที่จมกู ว่า “กลน่ิ หนอ” ลน้ิ รูร้ ส กาหนดท่ลี น้ิ วา่ “รหู้ นอ” คือ รรู้ ส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ตา่ งๆ กาย สมั ผัส กาหนดวา่ “รู้ หนอ” คอื ร้สู มั ผสั เยน็ ร้อน ออ่ นแข็งใจ กาหนดวา่ “รหู้ นอ” รูว้ ่าปรุงแต่งหรือไม่ปรงุ แต่ง กาหนดที่ตน้ จิต คือ ท่ีหัวใจ นีค่ ือข้นั ตอนของการกาหนดวิปสั สนากรรมฐาน คือ กาหนดตามฐานทก่ี ระทบ หรอื ฐานท่ีเกดิ โดยตรงปจั จบุ นั ขณะทันที พอกาหนดไดท้ นั หรอื รเู้ ท่าทนั ต่อสภาวะอาการท่มี ากระทบท้ังภายในและภายนอก ผู้ปฏิบตั ติ ้องมสี ตริ ะลึก รูอ้ ย่เู สมอ โดยไม่เผลอ นคี้ อื การกาหนดฐานท่เี กิดของจิต หรอื วิปัสสนากรรมฐาน ซงึ่ มีอยู่ ๔ ฐานใหญ่ๆ คือ การ กาหนดที่กาย กาหนดท่ีเวทนา กาหนดทจ่ี ิต และกาหนดท่ธี รรมารมณ์ เช่น พอใจ ไมพ่ อใจ ชอบ ไม่ชอบ เป็นตน้ ขณะท่ภี าวนา หรอื ปฏิบตั อิ ยู่ ไม่วา่ จะยืน เดิน นงั่ นอน กิน ดืม่ ทา พดู คดิ ก็ใหม้ สี ติรู้อยู่ตลอด นี้ เรียกวา่ เจริญสติปฏั ฐาน ๔ โดยไมใ่ หจ้ ิตออกนอกตัว จงึ จะทาให้เกิดปญั ญาวิปสั สนา หรือวปิ ัสสนาภูมิ

๒๗ ก้าวยา่ งแรกท่ียากยิ่ง ทกุ สงิ่ ชา่ งสับสน นักปฏบิ ัติทกุ ทกุ คน นอ้ มตนรบั เอาขันตธิ รรม ง่วง ฟงุ้ และไมพ่ อใจ บางคร้ัง “นึกเสยี ใจสะกิดตาม” สงสยั เกียจคร้านโหมซ้า ไม่น่าถลามาเลยนะ มันมใิ ช่เรื่องง่ายนกั ทจ่ี กั ได้ลงมอื ทา สิง่ ลา้ ค่า ฝึกฝน ปฏิบัติ ภาวนา นาพาจิตพสิ ุทธ์ิ...พุทธธรรม คำสมำทำนก่อนปฏบิ ัติ คำบูชำพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธงั ภะคะวนั ตงั อภิวาเทมิ. (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมงั นะมัสสามิ. (กราบ) สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สังฆัง นะมามิ. (กราบ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพทุ ธัสสะ (๓ จบ ) อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สมั มาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคโต โลกะวิทู, อนตุ ตะโร ปุรสิ สะทัมมะ สาระถ,ิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ ภะคะวาติ (กราบ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, สนั ทฏิ ฐิโก, อะกาลโิ ก, เอหปิ สั สโิ ก, โอปะนะยโิ ก, ปัจจัตตัง เวทติ พั โพ วิญญหู ี ติ (กราบ) สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อุชปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง, จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหเุ นยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย, อญั ชะลกี ะระณีโย, อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบ) สมาทานพระวปิ ัสสนากัมมัฏฐานกล่าวคาถวายตวั กบั พระพุทธเจา้ อิมาหงั ภันเต ภะคะวา อัตตะภาวงั ตุมหากัง ปะริจจะชามิ ฯ ทุติยมั ปิ อมิ าหัง ภนั เต ภะคะวา อตั ตะภาวงั ตุมหากัง ปะริจจะชามิ ฯ ตะติยัมปิ อมิ าหัง ภนั เต ภะคะวา อตั ตะภาวงั ตมุ หากัง ปะรจิ จะชามิ ฯ ขา้ แตพ่ ระผูม้ พี ระภาคเจ้าผเู้ จริญ ข้าพเจา้ ขอมอบอตั ภาพร่างกายชวี ติ เพื่อเป็นพทุ ธบูชา ธรรมบูชา สังฆบชู า ที่ จะปฏบิ ตั พิ ระกัมมฏั ฐานโดยการตง้ั สติกาหนดไวท้ ่ีลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเขา้ ก็รู้ ลมหายใจออกกร็ ู้ ๓ หน และ๗ หน ๑๐๐ หน และ ๑,๐๐๐ หน นบั แต่บดั นี้เปน็ ต้นไป ขอขณกิ สมาธิ อปุ จารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ จงบังเกิดในขนั ธ์ สันดานของขา้ พเจ้าตัง้ แต่บัดนีเ้ ป็นตน้ ไป เทอญฯ

๒๘ สมำทำนวิปัสสนำกมั มฏั ฐำน อะหงั วปิ ัสสนากัมมฏั ฐานัง สะมาทยิ ามิ ทุตยิ มั ปิ อะหงั วิปัสสนากมั มฏั ฐานัง สะมาทยิ ามิ ตะตยิ ัมปิ อะหัง วิปัสสนากมั มฏั ฐานัง สะมาทิยามิ นพิ พานสั สะ เม ภันเต สจั ฉกิ ะระณัตถายะ กัมมัฏฐานัง เทห.ิ ข้าพเจ้าขอสมาทาน พระวิปัสสนากัมมัฏฐาน แม้ในคร้ังท่ีสอง แม้ในครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอสมาทาน พระ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้ ซ่ึงพระกรรมฐาน แก่ข้าพเจ้า เพื่อทาให้แจ้งซึ่ง มรรค ผล นิพพาน ตอ่ ไป กำรเดินจงกรม การปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนาสมาธิ ของพระพุทธเจา้ นน้ั ต้องเดินจงกรมกอ่ นนั่งสมาธทิ ุกครัง้ ถา้ จะนง่ั สมาธิ ๕ นาที ต้องเดนิ จงกรมก่อน ๕ นาที ถ้าจะนงั่ สมาธิ ๑๕ นาที ต้องเดินจงกรมกอ่ น ๑๕ นาที ถา้ จะน่ังสมาธิ ๓๐ นาที ตอ้ งเดินจงกรมกอ่ น ๓๐ นาที ถ้าจะนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ต้องเดนิ จงกรมก่อน ๑ ชั่วโมง ทปี่ ระเทศอนิ เดีย มีทเ่ี ดนิ จงกรมอยู่ใกล้คันธกฎุ ีของพระพุทธเจา้ ในวดั เชตวนั มหาวิหาร ซง่ึ แสดงว่าวิชาวปิ ัสสนาสมาธมิ ี การเดนิ จงกรมแน่นอน และข้างๆเจดีย์พุทธคยาก็มีทเี่ ดนิ จงกรมของพระพุทธองค์ ประโยชน์ของกำรเดนิ จงกรม พระพุทธเจา้ ตรสั ไว้ในคัมภรี พ์ ระไตรปฎิ กวา่ การเดินจงกรมมีประโยชน์ ๕ ประการ คือ ๑. ทาใหก้ ารเดินทางอดทนมาก ๒. ทาใหม้ ีความพากเพยี รดี ๓. ทาใหม้ ีอาพาธแต่น้อย ๔. ทาให้ชว่ ยย่อยอาหาร ๕. ทาให้สมาธิต้ังม่นั อย่ไู ดน้ าน กอ่ นเดนิ จงกรม ให้ยืนตวั ตรง อยา่ กม้ หนา้ ดูเท้า ๑. ให้ทอดสายตาไปขา้ งหน้าประมาณ ๔ ศอก ๒. มอื ทงั้ สองไขว้ขา้ งหนา้ หรอื ไขวไ้ ว้ข้างหลงั ตามแต่สะดวก ดภู าพ

๒๙ ๓. ให้ภาวนาในใจวา่ “ยนื – หนอ” (๕ ครง้ั ) ใหห้ ลับตา ทาความรูส้ ึก มโนวาดภาพรา่ งกายของเรากาลงั ยืนอยู่ ๓.๑ เรม่ิ จากทาความรูส้ ึกที่กลางกระหม่อมศรี ษะกาหนด ภาวนาว่า \"ยืน...\" ลงมาถงึ ฝ่าเท้า เมอ่ื สุดฝ่าเท้า ภาวนาว่า \"หนอ...\" ๓.๒ ต่อมากาหนดที่ฝ่าเท้า ภาวนาวา่ \"ยืน...\" กลับข้นึ ไปศรี ษะ ภาวนาวา่ \"หนอ...\" ๓.๓ ภาวนากลับไปมาอยา่ งนี้ ๕ ครง้ั ๔. จากนัน้ ใหภ้ าวนาในใจว่า “อยากเดิน – หนอ” (๕ คร้ัง) ๕. เร่ิมเดินจงกรมระยะท่ี ๑ โดยภาวนา ขวายา่ งหนอ – ซ้ายยา่ งหนอ เดนิ ตามทเี่ รากาหนดเวลาไว้ การเดนิ จงกรมระยะท่ี ๑ \"ขวา\" \"ย่าง\" \"หนอ\"

๓๐ การเดินมีจังหวะ ๑ มี ๑ หนอ - เมื่อจะกา้ วเท้าขวา ใหจ้ ติ มาสัมผัสท่ีฝ่าเทา้ ขวา ใหภ้ าวนาในใจวา่ “ขวา” เตรยี มตวั ไว้ยังไมก่ ้าว - เมอื่ ก้าวเท้าขวาออกไป ให้ภาวนาในใจวา่ “ย่าง” เมอ่ื วางแผน่ เท้าขวาจดพ้ืน ใหภ้ าวนาว่า “หนอ” (ให้กาหนด จิตตามฝา่ เท้าขวาที่ กาลังย่างและเหยียบ ตลอด) - เมอ่ื จะกา้ วเท้าซา้ ย ให้จติ มาสัมผัสที่ฝ่าเท้าซ้าย ใหภ้ าวนาในใจวา่ “ซ้าย” เตรียมตัวไว้ยังไมก่ ้าว - เม่อื ก้าวเท้าซ้ายออกไป ให้ภาวนาในใจว่า “ย่าง” เมือ่ วางแผน่ เท้าซ้ายจดพน้ื ใหภ้ าวนาในใจว่า ”หนอ” - เมอ่ื เดนิ ไปสุดฝาหอ้ ง หรอื สุดระยะทางทก่ี าหนดไว้ใหห้ ยดุ แลว้ ภาวนาว่า “ยืน – หนอ” (๕ คร้ัง) ตามด้วย “อยากกลับ – หนอ” (๕ ครั้ง) จากนั้นใหก้ ลับตัว โดยภาวนาว่า \"กลับหนอ\" ดงั น้ี ก. การกลบั ตวั ใหห้ มุนกลับทางขวา ข. โดยยกปลายเท้าขวาแลว้ หมนุ ตัวด้วยส้นเทา้ ขวาพรอ้ มกบั ภาวนาในใจวา่ “กลับ...” ใหจ้ ิตมาสัมผัสทฝี่ ่าเท้า ขวาตลอด ค. หมุนเทา้ ขวาไปหยุดในระยะประมาณ ๑ ฝ่ามอื วางเท้าสมั ผัสพ้ืน ภาวนาว่า “หนอ” ง. ต่อมากาหนอใหจ้ ติ มาสมั ผัสท่ีฝา่ เทา้ ซ้าย ยกเท้าซา้ ยเพื่อมาชดิ กับเท้าขวา พรอ้ มกบั ภาวนาในใจว่า “กลับ...” จ. วางเทา้ ซ้ายลงพ้นื พร้อมกับภาวนาในใจวา่ “หนอ” ฉ. ใหท้ าการกลับ ไปเรื่อย ๆ ได้ ๔ คู่ ๘ ครัง้ ไปจนกวา่ จะหมนุ กลบั ไปตรงกบั ทิศทางทเ่ี ราเดินมา รูปตวั อยา่ งการกลบั คร้งั ท่ี ๑ ๑. รูส้ ึกทฝี่ ่าเทา้ ขวา พร้อมกับภาวนาว่า \"กลบั ...\" ๒. หมุนเทา้ ขวาไปหยุดในระยะประมาณ ๑ ฝา่ มือ ๓. วางเท้าสัมผัสพื้น ภาวนาวา่ “หนอ”

๓๑ คร้ังที่ ๒ ๑. รสู้ กึ ท่ฝี ่าเท้าซ้าย พร้อมกับภาวนาวา่ \"กลับ...\" ๒. ยกเท้าซา้ ยเพือ่ มาชดิ กับเทา้ ขวา ๓. วางเท้าซ้ายลงพื้น พร้อมกบั ภาวนาในใจว่า “หนอ” ครั้งที่ ๓ ๑. รสู้ ึกทฝ่ี ่าเทา้ ขวา พรอ้ มกับภาวนาว่า \"กลับ...\" ๒. หมุนเทา้ ขวาอีก ไปหยุดในระยะประมาณ ๑ ฝ่ามอื ๓. วางเท้าสมั ผัสพนื้ ภาวนาว่า “หนอ” ครั้งที่ ๔ ๑. รสู้ ึกทีฝ่ ่าเทา้ ซ้าย พรอ้ มกับภาวนาว่า \"กลบั ...\" ๒. ยกเทา้ ซ้ายเพอื่ มาชิดกับเท้าขวา ๓. วางเท้าซา้ ยลงพื้น พรอ้ มกบั ภาวนาในใจวา่ “หนอ” ครงั้ ที่ ๕ ๑. รสู้ ึกทฝี่ ่าเทา้ ขวา พร้อมกบั ภาวนาวา่ \"กลับ...\" ๒. หมนุ เทา้ ขวาอีก ไปหยุดในระยะประมาณ ๑ ฝ่ามอื ๓. วางเท้าสมั ผสั พืน้ ภาวนาวา่ “หนอ”

๓๒ ครง้ั ท่ี ๖ ๑. ร้สู ึกที่ฝา่ เทา้ ซ้าย พร้อมกบั ภาวนาว่า \"กลับ...\" ๒. ยกเท้าซา้ ยเพื่อมาชิดกบั เท้าขวา ๓. วางเท้าซ้ายลงพื้น พรอ้ มกับภาวนาในใจว่า “หนอ” ครง้ั ที่ ๗ ๑. รู้สกึ ที่ฝ่าเท้าขวา พรอ้ มกบั ภาวนาว่า \"กลับ...\" ๒. หมนุ เทา้ ขวาอีก ไปหยดุ ในระยะประมาณ ๑ ฝ่ามอื ๓. วางเท้าสมั ผสั พน้ื ภาวนาว่า “หนอ” ครั้งท่ี ๘ ๑. รู้สกึ ทฝ่ี า่ เทา้ ซ้าย พร้อมกบั ภาวนาว่า \"กลบั ...\" ๒. ยกเทา้ ซา้ ยเพื่อมาชดิ กบั เท้าขวา ๓. วางเท้าซ้ายลงพ้ืน พรอ้ มกบั ภาวนาในใจว่า “หนอ” เมอื่ กลบั มาได้แลว้ ก่อนจะเดินจงกรม ใหภ้ าวนาวา่ “ยนื – หนอ” (๕ ครั้ง) ตามดว้ ย “อยากเดิน – หนอ” (๕ ครัง้ ) จากนนั้ กใ็ หเ้ ดินจงกรมกลบั ไปมาจนครบเวลาทก่ี าหนดไว้ ระยะทางการเดินยาว ๖ ก้าวกพ็ อ หรอื ระยะจากฝา หอ้ งถึงฝาห้อง หรือระยะจากหัวเตียงถึงปลายเตียงก็พอ การเดินจงั หวะ ๑ จึงภาวนาในใจวา่ “ขวายา่ ง – หนอ” “ซ้ายยา่ ง – หนอ” การเดนิ จงกรมไม่เดนิ เฉพาะกายตอ้ งเดนิ ใหพ้ ร้อมกนั ทง้ั กายและใจ ขณะที่เดินจิตของผู้เดินจะตอ้ งอยทู่ ่เี ทา้ เสมอจิตก็ ตามการย่างไปด้วย

๓๓ กำรนั่งสมำธิ เม่ือเดนิ ครบกาหนดเวลาแล้ว ใหเ้ ดินช้าๆ มาหยุดบนผ้าปูน่ังแล้วภาวนาในใจวา่ “ยืน – หนอ” ๆ (๕ ครงั้ ) “อยากนั่ง – หนอ” ๆ (๕ ครง้ั ) “นงั่ – หนอ” ๆ (๕ ครั้ง) แล้วคอ่ ยๆ หยอ่ นตัวลงช้าๆ ปล่อยมอื ท้งั สองออก เมอื่ มือถูกพ้ืนใหภ้ าวนาในใจวา่ “ถกู หนอ” เม่ือก้นถูกพ้ืน ให้ภาวนาใน ใจวา่ “ถูก – หนอ” จนกวา่ จะน่ังสมาธเิ รยี บร้อย ให้นั่งหลบั ตา ต้งั ตัวตรงตามแบบพระพทุ ธรูป ให้เทา้ ขวาทับเท้าซ้าย มอื ขวาทบั มือซา้ ย ในลักษณะแบมือ เลื่อน มอื ให้หัวแม่มอื ทงั้ สองชนกนั เบาๆ ใหก้ าหนดจติ สัมผสั ท่ีหน้าท้องระหวา่ งสะดอื กับลน้ิ ปี่ เม่อื หายใจเข้าท้องจะพอง เม่อื หายใจออกทอ้ งจะยบุ เม่ือไมร่ ู้สึกพอง ไม่รู้สึกยบุ ใหท้ ่านยกมอื ขวามาจับดู จนรู้สกึ วา่ มีพองจรงิ มียบุ จริง เมื่อหายใจ เขา้ ท้องพองให้ภาวนาวา่ “พอง” เมื่อพองไปจนสุดพอง ให้ภาวนาวา่ “หนอ” เม่ือหายใจออกท้องยุบใหภ้ าวนาว่า “ยบุ ” เมอ่ื ท้องยุบไปจนสดุ ยุบ ให้ภาวนาวา่ “หนอ” การนง่ั สมาธิ จึงภาวนาในใจว่า “พอง – หนอ” “ยุบ – หนอ” ตลอดเวลา อย่าหยุดภาวนา ใหภ้ าวนาไปจนครบ เวลาทีก่ าหนดหรือตามที่อาจารย์ส่งั ข้อสาคญั ต้องน่ังให้ได้ปัจจุบันอารมณ์กับทอ้ งพองและท้องยุบ เมือ่ ท้อง “พอง” ตอ้ งภาวนาว่า “พอง” ทันที เมอ่ื สดุ “พอง” ใหภ้ าวนา “หนอ” ทันที ให้เป็นปัจจบุ นั อารมณ์ จิตจงึ จะเสพสมาธิ (เปน็ สมาธิ) ถา้ ท้องพองไปนานแลว้ เพิง่ ภาวนาว่า “พอง” ต่อภายหลังเชน่ น้ี เป็นอดีตอารมณ์ หรือท้องยังไม่ทนั พอง ท่าน ภาวนา “พอง” ล่วงหน้าไปกอ่ น เช่นน้ีเป็นอนาคตอารมณ์ เมอ่ื เป็นอดีตอารมณ์ หรืออนาคตเป็นอารมณ์ จติ ไม่เสพสมาธิ ตอ้ งภาวนาจริงๆ ตอ้ งภาวนาใหเ้ ปน็ ปจั จบุ ันอารมณ์จริงๆ และตอ้ งให้จิตสัมผัสอยู่หน้าทอ้ งจริงๆ ครบ ๓ จงั หวะ จรงิ น้ี จิตเสพสมาธิ แม้ทา่ นจะปฏบิ ตั ิเพียง ๕ นาที จติ กเ็ สพสมาธิ (เปน็ สมาธิ)

๓๔ กำรนอนเจรญิ วิปัสสนำสมำธิ ๑. พองหนอ ๒. ยบุ หนอ ๓. นอนหนอ ๔. ถกู หนอ กำรเจริญสตปิ ัฏฐำน ๔ ๑. กายานปุ สั สนาสติปัฏฐาน คอื การพจิ ารณาร่างกายวา่ เปน็ ของไมส่ วยไมง่ าม และมีการเส่ือมสลายไปอยูต่ ลอดเวลา ถา้ ปฏิบตั นิ านๆวนั พอง ยบุ อาจหายไป จิตไมร่ ับร้พู อง ไม่รบั รู้ยบุ เชน่ นใี้ หจ้ ติ ไปสัมผัสท่หี วั ใจ แล้วภาวนาว่า “รู้ – หนอ” “รู้ – หนอ” ตลอดเวลา ถ้าถามวา่ “รู้ – หนอ” นัน้ รู้อะไร? ตอบวา่ รวู้ ่า พอง ยบุ ไมม่ ี จิตไมร่ บั รู้ พองก็ดี ยุบกด็ ี เป็น “รูป” จิต (สิ่งท่ี รับรู้) เปน็ “นาม” เมื่อ พอง ยบุ หายไป แสดงวา่ “นาม” ไมร่ บั รู้ “รปู ” แยกรปู แยกนามออกจากกนั ได้ ต้ังแต่เรายังไม่ ตาย พอง ยบุ เกดิ ข้ึน เรารู้ พอง ยบุ ยงั มอี ยู่ เรารู้ พอง ยบุ หายไป เรารู้ เชน่ นี้ เรยี กวา่ เรามีสตริ ู้เห็น “กายในกาย” ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ความจริง พอง ยบุ ยงั มี อยู่ แต่จิตไมร่ บั รู้ พอง ยบุ เม่อื พอง ยบุ หายไป จัดเป็นอารมณ์ของวิปสั สนา เขาเขา้ มาแสดง ๓ ประการ :- ๑. แสดงว่า จิตเสพสมาธสิ งู มาก ๒. แสดงวา่ จิตกาลังเดิน ญาณ อันเป็นสภาวธรรม ของวิปสั สนาญาณ ๓. แสดงให้เราเกดิ ปญั ญาเห็นไตรลกั ษณข์ องพระพุทธเจ้า (อนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา) เมอื่ จิตเสพสมาธสิ ูง จติ ก็ไมเ่ สพอยา่ งอนื่ แม้แต่ท้องพองหรอื ทอ้ งยุบ จติ กับวัตถุกม็ ลี กั ษณะเหมอื นกนั ตามหลกั วิทยาศาสตรก์ ล่าวว่า “ส่งิ สองส่งิ ในเวลาเดยี วกนั จะอย่ทู ี่เดียวกันไม่ได้” ตวั อย่างเชน่ ในห้องนา้ เล็กๆ เรามตี มุ่ นา้ พอดี กับห้องน้า มเี พ่อื นนาตุ่มนา้ ขนาดเดยี วกนั มาให้ เราจะนาต่มุ ใหม่นน้ั ใส่ในห้องน้าไม่ได้ ถ้าจะใส่ให้ได้ ตอ้ งยกตุม่ เกา่ ออก กอ่ นจงึ จะใสต่ ่มุ ใหม่ได้ เพราะว่า “สิ่งสองส่ิงในเวลาเดยี วกันจะอยทู่ ่เี ดียวกนั ไม่ได้” จิตเรานเี้ หมือนกนั เมอื่ จติ เสพสมาธิแลว้ จิตไมเ่ สพอย่างอ่นื แม้แตท่ ้องพองท้องยบุ จติ ก็ไมร่ บั รู้ ทอ้ งพองและ ท้องยุบ ยงั มอี ยตู่ ามเดิม แตม่ นั ละเอียดมาก เม่ือจิตกาลงั รอ้ งไห้ ในเวลาเดียวกันน้ันจติ จะหัวเราะไม่ได้ หรือ จติ กาลงั หวั เราะอยใู่ นเวลาเดยี วกนั จิตนั้นจะ รอ้ งไหไ้ ม่ได้ มันคนละวาระจิตกนั จะเกิดขึ้นพร้อมๆกันไมไ่ ด้ จิตกบั วัตถุ จงึ เหมอื นกนั ฉนั ใดก็ฉันน้นั ๒. เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน

๓๕ คือการพจิ ารณา ถงึ สิง่ ที่พอใจสงิ่ ท่ีไมพ่ อใจ ท้งั ส่ิงที่สขุ และทุกข์ ใหร้ ้ทู ันปัจจบุ ัน น่ังสมาธิ ๕ นาที อาจไม่เกิด เวทนา แต่ถ้าน่งั นานๆ ๓๐ นาที หรือ ๑ ชวั่ โมง จะเกิดเวทนาขน้ึ เช่นปวดก้นกบ ปวดเอว ปวดหัวเขา่ ปวดกา้ นคอ ปวดศรี ษะ เปน็ ตน้ จะทาอยา่ งไร? ทา่ นให้เอาจิตจากหน้าท้อง มาสมั ผัสที่เวทนา แล้วภาวนาตามอาการของเวทนา เฃน่ “ปวดหัว เข่า” ให้เอาจิตจากหน้าท้องมาสัมผัสท่ีหัวเข่า แล้วภาวนา “ปวดหนอ” ภาวนาตลอดเวลาจนกว่าความปวดจะหายไปตอ่ หน้า ความปวดเกิดขน้ึ เรารู้ ความปวดยังมอี ยู่ เรารู้ ความปวดหายไปแลว้ เรารู้ เชน่ นี้เรามีสติรู้ “เวทนาในเวทนา” ซึง่ ตรงกับภาษาบาลีว่า “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” (จติ คดิ อะไรใหก้ าหนด อยา่ งนน้ั ว่าคิดหนอๆ จนความคิดหยดุ คิด) เม่ือความปวดหายไปแลว้ ให้นาจิตไปสมั ผัสหนา้ ท้องแลว้ ภาวนา “พอง – หนอ” “ยุบ – หนอ” ต่อไปใหม่ ๓. จติ ตานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน นั่งนานๆ ไม่มเี วทนา แต่บางครัง้ จติ เกิดฟงุ้ ซ่าน ท่านใหน้ าจิตจากหนา้ ท้องไปสมั ผัสทห่ี วั ใจ แล้วภาวนาในใจวา่ “ฟงุ้ ซ่าน – หนอ” ภาวนาตลอดจนกวา่ จิตจะหายฟุ้งซ่าน จติ ฟงุ้ ซ่าน เรารู้ จิตกาลงั ฟ้งุ ซา่ น เรารู้ จติ สงบไมม่ ฟี ุง้ ซา่ นแล้ว เรารู้ เชน่ นี้ เรามีสติรู้ \"จติ ในจติ \" ซึง่ ตรงกับภาษาบาลีว่า “จิตตานปุ สั สนาสติปัฏฐาน” (จติ คิดอะไรใหก้ าหนดอย่างน้นั วา่ คิดหนอๆ จนความคิดหยุด) เมอ่ื จิตหายฟุง้ ซา่ นแล้ว ให้จิตไปสมั ผัสทีห่ น้าทอ้ ง แลว้ ภาวนา “พอง – หนอ” “ยบุ – หนอ” ตอ่ ไปใหม่ ๔. ธรรมานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน นงั่ นานบางทไี ม่มีเวทนาและไมม่ ฟี ้งุ ซ่าน แตเ่ กิดธรรมารมณ์ เช่น ตาเหน็ รปู รูปารมณ์ หูได้ยนิ เสียง สทั ธารมณ์ จมกู ได้ ลน้ิ ล้มิ กลิ่น เกดิ คนั ธารมณ์ กาย รส รสารมณ์ ใจกระทบ สัมผสั โผฏฐัพพารมณ์ ธรรม ธรรมารมณ์ ใหน้ าจิตไปสัมผสั ตามอาการ แล้วภาวนาตามอาการทเ่ี กิดขน้ึ เชน่ ตาเหน็ รปู นิมิต (ขณะนัง่ หลับตาก็เห็นรปู นิมิตภายใน ได้ จัดเป็นรปู ารมณ์) ให้นาจิตจากหน้าท้องมาสมั ผัสที่ตา แล้วภาวนาว่า “เห็น – หนอ” ภาวนาตลอดเวลา จนกวา่ รูปา รมณจ์ ะหายไป ตาเหน็ รูปนิมติ เรารู้ ตายงั เหน็ รปู นมิ ิตมีอยู่ เรารู้

๓๖ ตาไม่เหน็ รปู นมิ ติ แลว้ เรารู้ รูปนมิ ติ เป็นธรรมารมณ์ เกิดทางตา ธรรมารมณ์ เกิดขึ้น เรารู้ ธรรมารมณ์ ยังมีอยู่ เรารู้ ธรรมารมณ์ หายไปแลว้ เรารู้ เรยี กวา่ เรามีสตริ ู้ \"ธรรมในธรรม\" ซ่ึงตรงตามภาษาบาลวี า่ “ธรรมานุปสั สนาสติปฏั ฐาน” เมอ่ื รูปนมิ ิตหายไปแล้ว ให้จิตมา สมั ผัสที่หนา้ ท้องแลว้ ภาวนา “พอง – หนอ” ตอ่ ไปใหม่ โยคะผ่อนคลำยยำมเชำ้ ๑. สมำธิเพชร (ปัทมำสนะ) การนั่งขดั สมาธิเพชร ปัทมาสนะ หรอื ท่านงั่ ดอกบวั ใช้ในการนั่ง เพ่ือปฏิบตั ิโยคะ หรือเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน ทา่ น่งั สมาธิเพชรนี้จะทาไดย้ าก ตอ้ งอาศยั การฝึกที่ตอ่ เน่ืองและ สม่าเสมอ ถึงจะมีความชานาญและเชี่ยวชาญ เราควรจะฝึกอยา่ งสบายๆ อยา่ จริงจงั หรือเครง่ เครียด ฝึกเท่าท่ีเราทาได้ ฝกึ อย่างมีความสุขท้งั กาย และใจ จติ ใจสงบ มีสติ มีสมาธิ การเคล่ือนไหวอย่างช้าๆ คอ่ ยๆเป็น ค่อยๆไป อย่างสมา่ เสมอแลว้ จะประสพความสาเร็จและความสขุ ๒. โยคะท่ำดอกบวั ผกู พัทธปทั มำสนะ (Bound Lotus Pose) โยคะทา่ ดอกบวั ผูก พัทธปัทมาสนะ (Bound Lotus Pose) ทา่ นีม้ ปี ระโยชนท์ าใหก้ ล้ามเนอ้ื บริเวณทรวงอก กระชบั ปอดทางานได้ดีขึ้น ช่วยให้เลอื ดไปเลีย้ งต่อม ไทรอยด์และอวยั วะชอ่ งทอ้ งท้ังหมดได้ ช่วยลดไขมัน บรเิ วณเอว นวดกล้ามเนอ้ื บริเวณข้อเท้า ทาให้ ประสาทกลา้ มเนือ้ ต้นขาแขง็ แรง วิธปี ฏิบัติ ๑. น่ังขัดสมาธเิ พชร หลังตั้งตรง หนา้ ตรง ส่วนเท้านั้น เทา้ ขวาทับเทา้ ซ้ายกไ็ ด้ หรอื เทา้ ซ้ายทบั เท้าขวาก็ได้ ๒. นาแขนซา้ ยไขว้ไปด้านหลัง และอ้อมมาให้ มอื ซ้ายจบั เทา้ ซ้ายซงึ่ อย่ดู า้ นหนา้ ไว้ และนาแขนขวา ไขว้ไปดา้ นหลงั อ้อมมาใหม้ ือขวาจับขาขวา ซ่ึงอยู่ดน้ หนา้ เชน่ กัน ๓. ค้างทา่ ประมาณ 30 วินาที หรอื ประมาณ 1นาที

๓๗ ๓. ท่ำบดิ ลำตัว ลดไขมันเอวและสะโพก ทา่ บิดลาตวั ท่านช้ี ว่ ยบริหารกลา้ มเนือ้ เอว สะโพก กลา้ มเนอื้ หลงั ลดไขมนั และกระชบั กล้ามเนอื้ บรเิ วณแผน่ หลัง สะโพก เอว ทาให้ลาคอสวยไม่เหย่ี วยน่ และบริหารหนา้ อก วธิ ปี ฏบิ ตั ิ ๑. นัง่ เหยยี ดขาตรง หลงั ตรง เอามือทง้ั สองวางไวข้ า้ ง ลาตวั โดยนิว้ มือหนั ออกด้านนอกลาตวั ตามรปู เอนตวั ไปด้านหลงั เล็กนอ้ ย หนา้ ตรง ๒. หายใจเขา้ ให้ลกึ ยกขาขา้ งขวาข้ามไปวางข้างเข่า ด้านซา้ ย (ดา้ นนอก) ลากขาข้างซ้ายงอเขา้ มาใหอ้ ย่ทู ่ีโคนขาข้างขวา ๓. หายใจเขา้ เอามือข้างซ้ายไขวไ้ ปจับเท้าขวา หายใจออก ๔. หายใจเข้า ใช้หลังมอื ขวาเก่ยี วเอวขา้ งซ้ายไว้ หายใจออก ๕. หายใจเขา้ พรอ้ มกับบดิ ลาตวั ไปทางขวา หายใจออก คา้ งไว้ นบั 1-10 นาที ๔. ทำ่ ตน้ ไม้ Vriksasana (Tree Pose) ท่าตน้ ไม้ถอื เป็นทา่ โยคะเบ้ืองต้นท่มี ปี ระโยชนม์ าก ๆ เลยค่ะ เพราะท่านชี้ ่วยยดื กล้ามเน้อื ตน้ ขา น่อง และหลัง ลดอาการปวดหลัง แถมยงั ชว่ ยลดอาการเครียดและไปช่วยระบบย่อยอาหารอกี ดว้ ย เพราะฉะนัน้ ทา่ นีช้ ว่ ยให้เชา้ วันใหมข่ องทกุ คนสดใสไดแ้ น่นอน วธิ ฝี ึก - ยืนเท้าชิด แขนแนบลาตัว ยกขาขวาข้ึน งอเขา่ ขวา ยกส้นเทา้ ขวาไปที่ด้าน ในของตน้ ขาซา้ ย ปลายเทา้ ขวาชีล้ ง เปดิ เข่า เปดิ สะโพก ทรงตวั ดว้ ยขาข้างซ้าย - ยกแขนทง้ั สอง ข้างขึน้ เหนือศีรษะ ขนานลาตัว หรือจะเอามือประกบกนั ก็ ได้ อยา่ ให้ข้อศอกงอ คงทา่ นไี้ วข้ ณะคอ่ ย ๆ หายใจ ประมาณ 10 ช่วงหายใจเข้าออก - ลดแขนและขาขวาลง กลับไปส่ทู ่าแรก คือยืนเท้าชดิ แขนแนบลาตวั หยดุ พักสกั ครู่ และทาซ้าดว้ ยขาอีกข้างหน่งึ

๓๘ ทำ่ อฐู Ustrasana (Camel Pose) ทา่ อูฐสามารถทาได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะทาเปน็ ท่าเร่ิมต้นในตน้ เช้า ๆ เพ่อื ยืดหยุ่นร่างกายให้ทาทา่ อื่น ได้ง่ายข้ึนนนั่ เอง วธิ ฝี ึก - คุกเขา่ นัง่ บนสน้ เทา้ ปลายเท้าเหยียดตรง - เอามือซ้ายจับเขา้ เท้าซา้ ย มือขวาจบั เข้าเท้าขวา (หรอื อาจจะ วางฝา่ มือบนฝา่ เทา้ ทัง้ สองข้าง) - ขณะหายใจเข้าก็ยกก้นขึ้นจากสน้ เท้า แอน่ หลัง ยืดหนา้ ทอ้ งไป ขา้ งหนา้ และเงยศรี ษะไปด้านหลงั ใหม้ ากที่สุด - คา้ งอย่ใู นทา่ นใี้ หน้ านจนกระทงั่ หายใจออก จึงกลบั ไปน่ังบน ส้นเท้าเหมือนท่าเริม่ ตน้ - หากคุณจะหายใจขณะฝกึ กใ็ ห้ค้างท่านีไ้ ว้ 1-2 นาที ๕. ทำ่ นัง่ บดิ ตัว (Seated Pose) ยดื ไหละ่ สะโพก และแผน่ หลงั ขึ้นตรง น่งั ลงบนพน้ื จากนัน้ ไขวเ้ ทา้ ขวาออกไปดา้ นนอกตน้ ขาซ้าย งอเข่าซา้ ย และชี้เข่าขวาขนึ้ ไปท่เี พดาน ใหว้ างขอ้ ศอกซ้ายไว้ดา้ นนอก ของเข่าขวาและแขนขวาบนพื้นดา้ นหลังตดิ กับตวั พยายาม บิดไปทางขวาใหม้ ากที่สุดเท่าทจี่ ะทาได้ เกร็งกน้ ใหต้ ิดกบั พืน้ ทาเชน่ น้ีค้างไว้ 1 นาที เสรจ็ แล้วให้เปลย่ี นไปทาอีกข้าง ท่า โยคะท่าน้จี ะช่วยในเรอื่ งของการไหลเวียน ช่วยใหก้ ล้ามเนอ้ื และหนา้ ทอ้ งแขง็ แรง ๖. ทำ่ ศพ (Savasana) ทา่ ศพจะช่วยสร้างสมดุลให้แกร่ ่างกาย ผ่อนคลายกลา้ มเนื้อ ลดอาการปวดเม่ือยจากการนอนไม่หลบั ทาให้มี พลังงานท่ีดใี นตอนเช้าได้ และท่านยี้ ังสามารถทาใหจ้ ติ ใจสงบ ไมเ่ ครียด และลดความดันโลหติ อีกด้วยค่ะ วิธฝี กึ - นง่ั บนพนื้ ชันเขา่ ใช้มือสองขา้ งยนั พน้ื ทาง ดา้ นหลัง แล้วยกสะโพกเคล่ือนไปทางดา้ นหลงั แลว้ คอ่ ย ๆ เหยียดขาขวาออกตามด้วยขาซ้าย - ใชม้ อื ประคองต้นคอ แลว้ ค่อย ๆ นอน หงายลงทีพ่ ้นื สามารถหาหมอนใบเล็ก ๆ มาหนุน ศรี ษะได้ แต่ตอ้ งดูให้ศรี ษะสมดุล โดยจะตอ้ งให้หูท้งั สองขา้ งอยู่หา่ งจากไหล่เท่า ๆ กัน - ยกแขนขน้ึ ต้งั ฉากกบั พน้ื แลว้ ปลอ่ ยแขน ลง ท่ขี า้ งตวั หงายมอื ออก เหยยี ดแขนและขาตรงทข่ี ้าง

๓๙ ลาตัว โดยมือห่างสะโพกเล็กนอ้ ย - หลบั ตา แล้วกาหนดลมหายใจเข้า-ออกตามหลกั การฝึกลมปราณ - เกรง็ กล้ามเนือ้ แต่ละส่วนของรา่ งกาย โดยเริ่มท่นี ้วิ เท้า เกร็งคา้ งไว้ 5-6 วินาทแี ล้วปลอ่ ย จากน้ันเลือ่ นข้นึ มา เกร็งกลา้ มเนือ้ ขา เข่า ตน้ ขา สะโพก หน้าทอ้ ง ทรวงอก แขน มือ นวิ้ มือ หวั ไหล่ คอ หนา้ และสมองตามลาดับ ส่วนละ 5-6 วินาทแี ลว้ ปล่อย - จากนั้นผ่อนคลายสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายและจติ ใจ ปล่อยวางความคิดต่าง ๆ เพง่ สมาธทิ ่กี ารกาหนดลม หายใจเพียงเท่าน้นั

๔๐ ตอนท่ี ๓ ภำคผนวก คำขอบวช วิธบี รรพชำอปุ สมบทแบบอกุ ำสะ กลุ บตุ รผ้มู ีศรทั ธาม่งุ บรรพชา อุปสมบท พงึ รับผา้ ไตรอมุ้ ประนมมือเข้าไปในสงั ฆสันนิบาตวางผ้าไตรไว้ข้างตัว ด้านซ้าย รบั เคร่ืองสักการถวายพระ, อุปัชฌายะ แล้วกราบดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครงั้ แลว้ อมุ้ ผ้าไตรประนมมอื ยนื ขึน้ เปล่งวาจาขอบรรพชา หยดุ ตามจดุ จุลภาค วา่ อุกาสะ วันทามิ ภันเต, สพั พงั อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภนั เต, มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทติ พั พัง, สามิ นา กะตงั ปุญญงั มยั หงั , ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนโุ มทามิ ฯ อกุ าสะ การญุ ญงั กัตวา, ปพั พชั ชงั เทถะ เม ภนั เต, ( นง่ั ลงคกุ เข้าประนมมอื วา่ ) อะหงั ภันเต, ปพั พชั ชงั ยาจามิ, ทตุ ิยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพชั ชัง ยาจามิ, ตะติยมั ปิ อะหัง ภันเต, ปพั พัชชงั ยาจามิ, สัพพะทกุ ขะ, นสิ สะระณะนิพพานะ, สจั ฉกิ ะระณตั ถายะ, อิมัง กาสาวัง คะเหตวา, ปพั พาเชถะ มัง ภันเต, อะ นกุ มั ปัง อปุ าทายะ ฯ ( ตงั้ แต่ สัพพะทุกขะ มา ว่า ๓ หน พระอปุ ชั ฌายะรับผา้ ไตร แลว้ ว่าต่อไป) สัพพะทกุ ขะ, นสิ สะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ, เอตัง กาสาวงั ทัตวา, ปพั พาเชถะ มงั ภันเต, อะ นุกัมปงั อปุ าทายะ ฯ ( ต้งั แต่ สพั พะทกุ ขะ มา ว่า ๓ หน ) ในลาดบั น้นั พระอปุ ัชฌายะใหโ้ อวาทและบอก ตะจะปญั จะกะกัมมฏั ฐำน ให้ว่าตามไปทลี ะบท โดยอนุโลมและปฏโิ ลม ดังน้ี เกสำ โลมำ นะขำ ทนั ตำ ตะโจ ( อนโุ ลม) ตะโจ ทนั ตำ นะขำ โลมำ เกสำ ฯ ( ปฏโิ ลม) พระอปุ ชั ฌายะชกั อังสะออกจากไตรสวมให้แล้ว ส่ังให้ออกไปครองผา้ ครบไตรจวี รตามระเบยี บ คร้ันเสรจ็ แลว้ รบั เคร่ืองไทยทานเข้าไปหาพระอาจารย์ ถวายท่านแลว้ กราบลง ๓ หน ยนื ประนมมือเปลง่ วาจาขอสรณะ และศีลดังน้ี อกุ าสะ วนั ทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภันเต, มะยา กะตัง ปญุ ญงั สามินา อะนโุ มทติ พั พัง, สามิ นา กะตงั ปญุ ญงั มยั หัง, ทาตัพพงั สาธุ สาธุ อะนโุ มทามิ ฯ, อุกาสะ การุญญงั กัตวา, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, สีลานิ เท ถะเม ภนั เต, ( นง่ั ลงคกุ เขา่ ขอสรณะและศลี ดงั ต่อไปน้ี) อะหงั ภันเต, สะระณะสลี งั ยาจามิ, ทุติปยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสลี งั ยาจามิ, ตะติยมั ปิ อะหัง ภนั เต, สะระณะสลี งั ยาจามิ, ลาดับน้ัน พระอาจารยก์ ลา่ วคานมสั การนาให้ผู้มุ่งบรรพชาว่าตามไปดงั นี้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสมั พุทธธสั สะ ฯ( ว่า ๓ หน)

๔๑ แตน่ ัน้ ท่านจะสั่งด้วยคาวา่ เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหงั วะทำมิ ตัง วะเทหิ พึงรับว่า อำมะ ภนั เต ครน้ั แลว้ ท่านนาให้เปล่งวาจาวา่ สรณคมน์ พงึ ว่าตามไปทีละพากยด์ งั น้ี พทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ ธมั มงั สะระณัง คจั ฉามิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ทุติยัมปิ พทุ ธัง สะระณงั คัจฉามิ ทุติยมั ปิ ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ ทุติยมั ปิ สงั ฆัง สะระณัง คจั ฉามิ ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ ตะตยิ ัมปิ สังฆงั สะระณงั คจั ฉามิ เมื่อจบแลว้ ทา่ นบอกวา่ ตสิ ะระณะคะมะนงั นิฏฐติ งั พึงรบั ว่า อำมะ ภันเต ลาดับนนั้ พระอาจารย์จะบอกใหร้ ู้ว่า การบรรพชาเป็นสามเณรสาเรจ็ ด้วยสรณคมน์เพยี งเทา่ นี้ ตอ่ แต่น้ันพึงสมาทานสกิ ขาบท ๑๐ประการ ว่าตามทา่ นไปดังนี้ ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ๓. อะพรหั มะจะริยา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ ๕. สรุ าเมระยะมัชชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ ๖. วกิ าละโภชะนา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ ๗. นัจจะคตี ะวาทิตะวิสกู ะทสั สะนา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ๘. มาลาคันธะวเิ ลปะนะธาระณะมณั ฑะนะวิภสู ะนฏั ฐานาเวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ๙. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ๑๐. ชาตะรูปะระชะตะปะฏิคคะหะณา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ ฯ อิมานิ ทะสะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทิยามิ ฯ ขอ้ อิมำนิ น้ีว่า ๓ จบ แลว้ กราบลง ๑ หน ยืนขึ้นว่า วนั ทามิ ภันเต, สพั พงั อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภันเต, มะยา กะตัง ปุญญงั สามินา อะนุโมทิตพั พงั , สามิ นา กะตัง ปุญญงั มัยหัง, ทาตัพพงั สาธุ สาธุ อะนโุ มทามิ ฯ (คกุ เข่ากราบ ๓ หน) ในลาดบั นนั้ สามเณรพงึ รบั บาตรอมุ้ เขา้ ไปหาพระอปุ ชั ฌายะในสงั ฆสนั นิบาต วางไว้ข้างตวั ซา้ ยรบั เครือ่ งไทยทานถวายท่านแลว้ กราบลง ๓ หน ยนื ปะนมมือกลา่ วคาขอนิสยั วา่ ดังนี้ อกุ าสะ วันทามิ ภนั เต, สัพพงั อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต, มะยา กะตงั ปญุ ญงั สามนิ า อะนุโมทติ ัพพงั , สามิ นา กะตัง ปุญญงั มยั หงั , ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนโุ มทานิ ฯ, อกุ าสะ การญุ ญงั กัตวา นิสสะยัง เทถะ เม ภนั เต, ( นัง่ คกุ เข่า) อะหัง ภนั เต, นิสสะยัง ยาจามิ, ทตุ ิยัมปิ อะหัง ภนั เต, นิสสะยัง ยาจามิ

๔๒ ตะติยมั ปิ อะหงั ภนั เต, นิสสะยัง ยาจามิ ฯ อปุ ชั ฌาโย เม ภนั เต โหหิ ฯ วรรคน้ีว่า ๓ หน เมือ่ พระ อุปชั ฌายว์ ่า โอปำยกิ ัง, ปะฏริ ูปงั ปำสำทิเกนะ สัมปำเทหิ, แล้วสามเณรพงึ กลา่ วรบั วา่ อุกำสะ สมั ปะฏิจฉำมิ ฯ ในระหวา่ ง ๆ ๓ หน แล้ววา่ ต่อ อัชชะตคั เคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร, อะหมั ปิ เถรสั สะ ภาโร วรรคนวี้ ่า ๓ หน แล้วกราบลง ๑ หน ยนื ขึ้นวา่ ตอ่ วันทามิ ภนั เต, สพั พัง อะปาราธัง ขะมะถะ เม ภันเต, มะยากะตงั ปุญญงั สามินา อะนโุ มทิตัพพัง, สามินา กะตัง ปญุ ญงั มัยหัง ทาตพั พัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ ฯ, คุกเข่ากราบ ๓ หน ตั้งแต่ อุปชั ฌำโย ฯลฯ เถรสั สะ ภำโร ๓ วรรค น้ี พระอปุ ัชฌายะบางองค์ให้วา่ รวดเดยี วตามแบบนั้นกม็ ี ใหว้ า่ เป็นตอน ๆ ดังนคี้ อื เมื่อสามเณรว่า อปุ ชั ฌำโย เม ภันเต โหหิ ๓ หน แล้วพระอปุ ชั ฌายะกลา่ วรบั วา่ โอปำยกิ ัง ปะฏิรู ปัง ปำสำทิเกนะ สัมปำเทหิ,บทใดบทหนึง่ พงึ รบั วา่ อกุ ำสะ สมั ปะฏจิ ฉำมิ ทกุ บทไปแลว้ สามเณรพงึ กล่าวรบั เปน็ ธรุ ะ ให้ท่านว่า อชั ชะตคั เคทำนิ ฯลฯ ภำโร ๓ หน ฯ ก็มี ลาดับนั้น พระอุปัชฌายะหรอื พระกรรมวาจาจารยเ์ อาบาตรมีสายโยคคลอ้ งตวั ผู้ มงุ่ อุปสมบทแลว้ บอกบาตร และจวี ร ผมู้ ุง้ อปุ สมบทพงึ รบั วา่ อำมะ ภนั เต, ๔ หน ดงั น้ี ปะฐะมัง อปุ ัชฌัง คาหาเปตพั โพ อปุ ชั ฌัง คาหาเปตวา ปัตตะจวี ะรัง อาจกิ ขิตัพพงั คาบอกบาตรจีวร คารบั อะยันเต ปตั โต อามะ ภนั เต // อะยัง สงั ฆาฏิ อามะ ภนั เต // อะยัง อตุ ตะราสงั โค อามะ ภนั เต // อะยงั อนั ตะระวาสะโก อามะ ภันเต // ตอ่ จากนัน้ พระอาจารย์ทา่ นบอกใหอ้ อกไปขา้ งนอก ว่า คัจฉะ อะมมุ หิ โอกำเส ตฏิ ฐำหิ พึงถอยออกลุกขนึ้ เดิน ไปยืนอย่ใู นทท่ี กี่ าหนดไว้ พระอาจารย์ท่านสวดสมมติตนเป็นผู้สอนซ้อม แล้วออกไปสวดถามอันตรายิกธรรม พงึ รับ วา่ นตั ถิ ภนั เต ๕ หน อำมะ ภนั เต ๘ หน ดงั น้ี ถำม ตอบ กุฏฐงั นตั ถิ ภันเต // คณั โฑ นัตถิ ภันเต // กิลาโส นัตถิ ภนั เต // โสโส นัตถิ ภนั เต // อะปะมาโร นัตถิ ภันเต // มนุสโสส๊ิ อามะ ภนั เต// ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต// ภชุ ิสโสสิ๊ อามะ ภันเต// อะนะโณส๊ิ อามะ ภันเต// นะส๊ิ ราชะภะโฏ อามะ ภนั เต// อะนญุ ญาโตส๊ิ มาตาปิตหู ิ อามะ ภนั เต// ปะรปิ ณุ ณะวีสะตวิ ัสโสส๊ิ อามะ ภันเต//

๔๓ ปะริปณุ ณันเต ปัตตะจวี ะรัง อามะ ภนั เต// กินนาโมสิ อะหงั ภนั เต ..........................นามะ// โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เม ภนั เต/ อายสั มา.........................นามะ// ช่องที่.............. ไว้ พระอปุ ชั ฌายะ หรืออาจารย์ท่านจะตั้งชือ่ ของอุปสมั ปทาเปกขะกรอกลงช่องใหไ้ วก้ ่อนวัน บวชและช่องที่ ........ ไว้ในชอ่ งชอื่ ของพระอุปัชฌายะก็เช่นเดียวกนั ใหก้ รอกตามช่อื ของพระอปุ ชั ฌายะ ซ่งึ ทา่ นจะบอก และกรอกใหไ้ ว้ก่อนวนั บวช ครน้ั สวดสอนซอ้ มแลว้ ทา่ นกลับเขา้ มาสวดขอเรียกอุปสมั ปทาเปกขะเขา้ มา อปุ สัมปทาเปกขะ พึงเขา้ มาในสงั ฆ สนั นิบาต กราบลงตรงหนา้ พระอุปัชฌะ ๓ หน แล้วนัง่ คกุ เข่าประนมมอื เปล่งวาจาขออปุ สมบทว่าดังนี้ สังฆมั ภันเต, อปุ ะสมั ปะทงั ยาจามิ, อลุ ลุมปะตุ มัง ภนั เต,สงั โฆ อะนุกัมปัง อปุ าทายะ ทตุ ยิ ัมปิ ภันเต, สังฆงั อปุ ะสัมปะทงั ยาจามิ, อลุ ลุมปะตุ มัง ภนั เต, สงั โฆ อะนุกัมปงั อุปาทายะ, ตะตยิ ัมปิ ภนั เต, สังฆงั อปุ ะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มงั ภนั เต, สังโฆ อะนกุ มั ปงั อุปาทายะ, ในลาดับนนั้ พระอุปชั ฌายะกล่าวเผดยี งสงฆ์แล้ว พระอาจารย์สวดสมมตติ นถามอนั ตรายิกธรรม อุปสัมปทา เปกขะพึงรับวา่ นตั ถิ ภันเต ๕ หน อำมะ ภนั เต ๘ หน บอกช่ือตนและชอื่ พระอปุ ชั ฌายะรวม ๒ หน เหมอื นท่กี ลา่ ว แล้วในหนหลงั ฯ แต่นัน้ พึงนง่ั ฟงั ทา่ นสวดกรรมวาจาอปุ สมบทไปจนจบ ครนั้ จบแล้วท่านเอาบาตรออกจากตวั แล้วพึงกราบลง ๓ หน แต่น้ันพึงนงั่ พับเพียบประนมมอื ฟงั พระอุปัชฌายะบอกอนศุ าสนไ์ ปจนจบ แลว้ รบั วา่ อำมะ ภนั เต เป็นเสรจ็ พธิ ี อุปสมบท แล้วกราบพระอุปัชฌายะ ๓ หน ถ้ามีไทยทายถวายก็ใหร้ บั ไทยทานถวายพระอันดับ เสรจ็ แล้วคอยฟงั พระทา่ นอนุโมทนาต่อไป เมอ่ื พระอนุโมทนา พงึ กรวดนา้ ตัง้ ใจอทุ ิศบญุ กุศลส่วนนีใ้ ห้แกท่ ่านผมู้ พี ระคณุ เมือ่ พระวา่ ยะถำ จบ กเ็ ทนา้ โกรกลงใหห้ มด ตอ่ น้นั ประนมมอื ฟงั อนโุ มทนาไปจนจบเป็นอนั เสรจ็ พิธี. จบพิธอี ปุ สมบทแบบอุกำสะ

๔๔ กฎระเบยี บวนิ ัยสำหรับสำมเณรฤดูร้อน ๑. ห้ามนาหรอื เสพสงิ่ เสพติดทกุ ชนิด ๒. หา้ มมีเงินหรอื ของมีค่าเกบ็ ไวส้ ่วนตวั ๓. ไมเ่ ลน่ คะนองหรอื ปล้าชกกัน ขวา้ งปากัน ๔. ห้ามออกนอกบริเวณวัด หรือสถานทอ่ี บรม โดยมิได้รบั อนุญาต ๕. หา้ มเก็บของกนิ ไวใ้ นครอบครองหลังเท่ียงวัน. ๖. การขบฉนั ตลอดถึงการดื่มนา้ ตอ้ งนงั่ ใหเ้ รยี บรอ้ ยกอ่ นทกุ คร้ัง ๗. ห้ามทงิ้ เศษขยะในท่ีอันไมค่ วร ๘. เม่อื มีปัญหาให้ปรกึ ษาสอบถามจากพระอาจารย์-พระอาจารยพ์ ่ีเลยี้ ง ๙. สามเณรจะตอ้ งเคารพเช่อื ฟังพระอาจารยแ์ ละสามเณรพ่เี ลีย้ งทกุ รูป. ๑๐. ในการประชมุ -การทาวัตรสวดมนต์-การบิณฑบาตหรือในทส่ี าธารณะ ไมค่ วรพดู คยุ กันเด็ดขาด เวน้ แตจ่ ะ พูดคุยกนั แตส่ ิ่งท่ีจาเป็นเทา่ น้นั . ๑๑. ในกรณีทเ่ี กิดการทะเลาะววิ าทกัน ถงึ กบั ใช้กาลังกนั หรือมีการลักขโมย ซง่ึ ถอื วา่ มโี ทษหนัก. ๑๒. ใหท้ กุ คนพงึ ทราบว่านไ่ี มใ่ ชเ่ ป็นการบงั คบั แต่เป็นการกระทาใหถ้ ูกต้องตามพระธรรมวนิ ับของ พระพุทธเจา้ เป็นไปเพ่ือ การบังคบั ตนเอง บงั คบั อานาจฝา่ ยต่าอานาจกเิ ลส เพอ่ื ความถูกต้องทั้งกาย วาจาและจิตใจ ถ้าหวังบุญกุศลในการบวชและหวงั ความเจรญิ กา้ วหน้าในชีวติ ต้องบวชจริง เรียน จรงิ ปฏบิ ัตจิ ริง ฉะนนั้ ต้องอดทนอดกลัน้ เพยี รพยายามอยเู่ สมอ. โทษของกำรไมม่ รี ะเบยี บวนิ ยั ๑. ทาให้จิตใจเศร้ามอง. ๒. ถกู ตาหนโิ ทษหรอื ถูกลงทัณฑ์ ๓. เป็นคนข้ขี ลาดไมก่ ล้าปรากฏตัวในที่ชมุ ชน. ๔. เป็นคนวติ กกังวลสะดุ้งหวาดผวาถงึ ความผิดทีต่ ัวกระทา ๕. ไม่สามารถบรรลุคุณธรรมขน้ั สูงได้ ๖. ทาให้สงั คมวุน่ วายระสา่ ระส่าย เกดิ โจรผู้เกดิ การทะเลาะวิวาท ขาดความสงบสขุ ในสงั คม.

๔๕ กฎระเบียบข้อหำ้ มสำหรับสำมเณรภำคฤดูร้อน  ๑ หำ้ มสามเณรนั่งหรือนอนบนอาสนะหรอื บนเก้าออี้ นั เดยี วกันกับผหู้ ญงิ แมจ้ ะเป็นมารดา หรือพ่ีสาวก็ไม่ไดฯ้ ๒ หำ้ มสามเณรถูกต้องหรอื เดินเบยี ดเสียดกับผู้หญงิ แม้แตช่ ายจวี รสบดั ไปถูกผหู้ ญิงก็ไมไ่ ด้ ถ้ามผี ู้หญิงถวายของให้เอาผา้ รับฯ ๓ ห้ำมสามเณรยนื ฉันอาหารหรือผลไม้ หรอื นมกลอ่ งหรือน้าสม้ ขวด และเครือ่ งด่ืมอน่ื ๆ ทุกชนดิ เวลาฉันตอ้ งหาที่เหมาะสมแลว้ นง่ั ฉัน ฯ ๔ หำ้ มสามเณรฉนั อาหารทกุ ชนดิ ตั้งแต่เทย่ี งวันไปแลว้ จนกวา่ จะถงึ วันใหม่ เว้นไวแ้ ต่ กาแฟโอวนั ติล นมกล่อง น้าส้มขวดนา้ โค้ก น้าแป๊บซ่ี หรือน้าปานะทพี่ ระอาจารย์ หรอื พ่เี ล้ียงจัดใหเ้ ทา่ นน้ั ฯ ๕ ห้ำมสามเณรเดนิ ออกไปซอื้ ของฉนั หรือของใชท้ กุ ชนดิ นอกสถานทเ่ี ป็นอนั ขาด ฯ ๖ หำ้ มสามเณรว่ิงเล่นหรอื หยอกลอ้ กัน เชน่ เล่นชกมวยกันหรือกอดปล้ากัน หรอื เอาสิ่งของขวา้ งปากนั เปน็ อนั ขาดฯ ๗ หำ้ มสามเณรถือเอาส่ิงของทกุ ชนดิ ของเพ่ือนสามเณรดว้ ยกัน โดยอาการแห่งขโมยเด็ดขาด ฯ ๘ ห้ำมสามเณรก่อการทะเลาะวิวาทกนั หรอื กอ่ กวนทาความราคาญให้ผอู้ ่นื เป็นอันขาด ฯ ๙ ห้ำมสามเณรใช้คาพดู แทนตัวเองวา่ “ก”ู และใช้คาพูดแทนสามเณรด้วยกันว่า “มงึ ” หรือด้วยคาหยาบคายอย่า อน่ื เปน็ อนั ขาด ควรใช้คาพดู แทนตวั เองว่า “ผม” และแทนสามเณรด้วยกนั ว่า “เณร” หรือ “พเ่ี ณร” ตาม อายทุ ี่เท่ากันหรอื มากกวา่ ฯ ๑๐ หำ้ มสามเณรไปบา้ นหรอื ไปในที่อ่นื โดยมิไดร้ ับอนุญาตจากพระอาจารยฝ์ ่ายปกครอง หรอื โดยไมม่ ีมารดาบิดาหรือ ญาตมิ าเซ็นชอ่ื รับไปเป็นอนั ขาด ฯ ๑๑ หำ้ มสามเณรเอาปากกา ชอล์ก หรอื ของมคี มขีดเขยี นตามโต๊ะ เกา้ อี้ หรอื ตามบานประตกู ระจกหรือฝาผนงั หรือตามเสาศาลาเปน็ อันขาด ฯ ๑๒ ห้ำมสามเณรนาส่งิ ของมีค่า เช่น เงิน ทอง เป็นตน้ หรือโทรศัพท์มอื ถอื (Smartphone) เกมออนไลน์บนมือทกุ ชนดิ เกมสก์ ด หนงั สือการต์ ูน หรอื ของเลน่ อืน่ ๆ ติดตวั มาขณะท่ีบรรพชาเปน็ สามเณรอยเู่ ปน็ อันขาด ฯ บทลงโทษ สาหรบั สามเณรท่ีฝ่าฝนื ไมป่ ฏิบัติตามกฎจะถูกลงโทษ หรือให้ลาสิกขา ฯ

๔๖ คำลำขำ้ วพระพุทธ เสสงั มังคะลงั ยาจามิ. **************** บทพิจำรณำอำหำรก่อนฉัน (แบบปฎสิ ังขำโย) (หนั ทะ มะยัง ตงั ขะณกิ ะปัจจะเวกขะณะปำฐัง ภะณำมะ เส) ปะฏิสังขา โยนโิ ส ปิณฑะปาตงั ปะฏเิ สวามิ, เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันบิณฑบาต เนวะ ทวายะ, ไมใ่ หเ้ ปน็ ไปเพ่ือความเพลินเพลดิ สนกุ สนาน นะ มะทายะ, ไม่ให้เป็นไปเพ่อื ความเมามัน, เกิดกาลงั พลังทางกาย นะ มัณฑะนายะ, ไมใ่ ห้เป็นไปเพือ่ ประดับ นะ วภิ ูสะนายะ, ไมใ่ ห้เป็นไปเพื่อตกแต่ง ยาวะเทวะ อมิ สั สะ กายัสสะ ฐิติยา, แต่ใหเ้ ป็นไปเพียงเพอ่ื ความต้งั อยู่ได้แหง่ กาย, ยาปะนายะ, เพ่อื ความเปน็ ไปได้ของอตั ตภาพ, วหิ งิ สปุ ะระติยา, เพ่ือความสนิ้ ไปแห่งการลาบากทางกาย พรัหมะจะริยานุคคะหายะ, เพอ่ื อนเุ คราะห์แกก่ ารประพฤติพรหมจรรย์, อติ ิ ปรุ าณญั จะ เวทะนัง ปะฎหิ ังขามิ, ด้วยการทาอยา่ งนี้, เราย่อยระงับเสียได้ ซง่ึ ทกุ ขเวทนาเกา่ ,คอื ความหวิ นะวญั จะ เวทะนัง นะ อปุ ปาเทสสามิ, และไม่ทาทุกขเวทนาใหมใ่ ห้เกิดให้เกิดขึน้ , ยาตรา จะ เมา ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสวุ ิหาโร จาติ, อนง่ึ , ความเปน็ ไปโดยสะดวกแหง่ อัตตภาพนีด้ ้วย, ความเปน็ ผูห้ าโทษมิได้ดว้ ย, และความเปน็ อยู่ โดยผาสกุ ด้วย, จกั มีแก่เรา ดังน้ี บทอนุโมทนำคำถำ (แปล) ยะถา วารวิ าหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง, ห้วงนา้ ทีเ่ ต็มย่อมยังสมทุ รสาครใหบ้ ริบูรณ์ได้ฉนั ใด เอวะเมวะ อิโต ทินนงั เปตานัง อุปะกัปปะติ, ทานทอ่ี ุทิศใหแ้ ลว้ ในโลกน้ี, ย่อมสาเร็จประโยชน์แด่ผทู้ ล่ี ะโลกนไี้ ปแล้ว ฉนั น้นั อจิ ฉิตงั ปัตถิตัง ตุมหัง, ขออฏิ ฐผิ ลท่ที ่านปรารถนาแล้วต้งั ใจแล้ว, ขิปปะเมวะ สะมชิ ฌะตุ, จงสาเรจ็ โดยฉับพลัน, สพั เพ ปูเรนตุ สงั กัปปา ขอความดาริท้งั ปวงจงเต็มท่,ี จันโท ปัณณะระโส ยะถา, เหมือนพระจนั ทร์ในวันเพญ็ , มะณิ โชติระโส ยะถา. เหมือนแกว้ มณีอนั สวา่ งไสวควรยินดี, สพั พีติโย วิวัชชนั ตุ, ความจญั ไรท้งั ปวงจงบาราศไป, สัพพะโรโค วินัสสะตุ, โรคทงั้ ปวงของท่านจงหาย, มา เต ภะวัตวันตะราโย อนั ตรายอยา่ มีแกท่ ่าน, สขุ ี ทฆี ายุโก ภะวะ, ท่านจงเปน็ ผ้มู ีความสขุ , มีอายุยืน,


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook