ไตรสิกขา [๔๔๙] ท่านพระอานนทต์ อบว่า “มาณพ พระผ้มู พี ระภาคตรัสสรรเสรญิ และทรงให้ ประชาชนสมาทานต้งั ม่นั อยู่ในขนั ธ์ ๓ แล ขนั ธ์ ๓ อะไรบ้าง คือ อรยิ สลี ขันธ์ อริยสมาธิขันธ์ และ อริยปัญญาขันธ์ พระผ้มู ีพระภาคตรัสสรรเสริญและทรงให้ประชาชนสมาทานต้งั ม่นั อยู่ในขนั ธ์ ๓ น้แี ลŽ สลี ขันธ์ [๔๕๐] เขาถามว่า “อริยสลี ขนั ธ์ท่ที ่านพระโคดมตรัสสรรเสรญิ และทรงให้ประชาชน สมาทานต้งั ม่นั อย่เู ป็นอย่างไร ทา่ นอานนท”์ ท่านพระอานนทต์ อบว่า “มาณพ พระตถาคตเสดจ็ อุบตั ขิ ้นึ มาในโลกน้ี เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพยี บพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ฯลฯ พระองคท์ รงร้แู จ้งโลกน้ี พร้อมทง้ั เทวโลก มารโลก ฯลฯ ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมท้งั อรรถและพยัญชนะบริสทุ ธ์ิ บรบิ รู ณค์ รบถ้วน คหบดี บตุ รคหบดีหรอื อนุชน(คนผ้เู กดิ ภายหลงั )ในตระกูลใดตระกลู หน่งึ ได้ สดบั ธรรมน้นั แล้วเกดิ ศรัทธาในพระตถาคต เม่ือมีศรัทธาย่อมตระหนักว่า “การอย่คู รองเรอื นเป็น เร่ืองอดึ อัด เป็นทางแห่งธุลี การบวชเป็นทางปลอดโปร่ง การทผ่ี ้คู รองเรือนจะประพฤติ พรหมจรรย์ให้บรสิ ทุ ธ์บิ ริบูรณโ์ ดยส้ินเชงิ ดุจสังขข์ ัด ไม่ใช่ทาได้ง่าย ทางทด่ี ี เราควรโกนผมและ หนวดนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตรอ์ อกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชติ ” ต่อมาเขาละท้งิ กองโภคสมบัติ น้อยใหญ่และเครอื ญาตนิ ้อยใหญ่ โกนผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสาว-พสั ตร์ออกจากเรอื นไปบวช เป็นบรรพชิต เม่ือบวชแล้วอย่างน้ี สารวมด้วยการสังวรในพระปาติโมกข์ เพยี บพร้อมด้วย มารยาทและโคจร(การเท่ยี วไป) เห็นภัยในโทษแม้เพียงเลก็ น้อย สมาทานศึกษาอย่ใู นสิกขาบท ประกอบด้วยกายกรรมและวจีกรรมอันเป็นกศุ ล มอี าชีวะบรสิ ุทธ์ิ สมบรู ณ์ด้วยศลี ค้มุ ครองทวาร ในอินทรยี ์ท้งั หลาย สมบรู ณด์ ้วยสตสิ มั ปชัญญะ(และ) เป็นผ้สู ันโดษ [๔๕๑] ภิกษุช่อื ว่าสมบรู ณด์ ้วยศีลเป็นอย่างไร คือ ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยน้ลี ะเว้นขาดการ ฆ่าสตั ว์ วางทณั ฑาวุธและศสั ตราวุธ มีความละอาย มคี วามเอน็ ดู ม่งุ ประโยชน์เก้ือกูลต่อสรรพสตั ว์ อยู่ ข้อน้จี ัดเป็นศลี ของภกิ ษอุ ย่างหน่งึ (ต่อจากน้พี ึงขยายศลี ทกุ ข้อให้พสิ ดาร)๑ ภิกษุเว้นขาดจากการเล้ยี งชพี ผิดทางด้วยเดรัจฉานวชิ า เช่นทส่ี มณพราหมณ์ผ้เู จรญิ บาง พวกฉันโภชนาหารท่เี ขาให้ด้วยศรทั ธาแล้วยงั เล้ียงชพี ผิดทางด้วยเดรัจฉาน-วชิ าอย่างน้ี คือ ทาพธิ ี บนบาน พธิ แี ก้บน ร่ายมนตรข์ ับผี ต้งั ศาลพระภมู ิ ทากะเทยให้เป็นชาย ทาชายให้เป็นกะเทย ทา พธิ ีปลกู เรือน พิธีบวงสรวงพ้นื ท่ี พ่นนา้ มนตร์ รดนา้ มนตร์ พธิ ีบชู าไฟ ปรุงยาสารอก ยาถา่ ย ยา แก้โรคลมตีข้นึ เบ้ืองบน ยาแก้โรคลมตีลงเบ้ืองต่า ยาแก้ปวดศรี ษะ นา้ มนั หยอดหู นา้ มันหยอดตา ยานตั ถุ์ ยาหยอดตา ยาป้ ายตา เป็นหมอตา หมอผ่าตดั หมอรกั ษาเดก็ (กุมารเวช) การให้ สมุนไพรและยา การใส่ยาแล้วล้างออกเม่อื โรคหาย ข้อน้จี ดั เป็นศีลของภกิ ษอุ ย่างหน่งึ [๔๕๒] ภิกษผุ ้สู มบรู ณ์ด้วยศลี อย่างน้ี ย่อมไม่ประสบภยั อันตรายจากการสารวมในศลี เลย เปรียบเหมอื นกษัตรยิ ์ผู้ได้รบั มูรธาภิเษกเป็นพระราชา กาจัดข้าศึกได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย
อันตรายจากข้าศึกเลย ภกิ ษผุ ้สู มบรู ณด์ ้วยอริยสีลขนั ธ์ อย่างน้ี ย่อมเสวยสุขอันไม่มีโทษในภายใน มาณพ ภกิ ษุช่อื ว่าสมบูรณด์ ้วยศลี เป็นอย่างน้แี ล [๔๕๓] มาณพ อรยิ สลี ขนั ธท์ พ่ี ระผ้มู ีพระภาคตรสั สรรเสรญิ และทรงให้ประชาชน สมาทานต้งั ม่นั อย่เู ป็นอย่างน้ี แต่ในพระธรรมวนิ ัยน้ยี งั มีกรณียกจิ ท่ตี ้องปฏบิ ตั ิย่งิ ข้นึ ไปกว่าข้นั อริ ยสลี ขนั ธน์ ้อี กี Ž เขากล่าวว่า “น่าอัศจรรย์จรงิ ไม่เคยปรากฏ อรยิ สลี ขันธบ์ รบิ ูรณ์แล้ว ไม่ใช่ไม่บริบรู ณ์ ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ อริยสีลขนั ธ์ท่บี รบิ รู ณอ์ ย่างน้ี ในสมณพราหมณเ์ หล่าอ่นื นอกพระศาสนาน้เี ลย สมณพราหมณ์เหล่าอ่นื นอกพระศาสนาน้ี เหน็ อริยสลี ขันธ์ทบ่ี ริบรู ณอ์ ย่างน้ใี นตน กจ็ ะพอใจว่า “เพียงแค่น้พี อแล้ว เพียงแค่น้สี าเรจ็ แล้ว เราได้บรรลสุ ามญั คณุ แล้ว ไม่มีกรณยี กจิ ทต่ี ้องปฏิบัติ ย่ิงข้นึ ไปกว่าข้นั น้อี ีก” แต่ท่านยังบอก ว่า “ในพระธรรมวินัยน้ยี ังมกี รณียกจิ ทต่ี ้องปฏบิ ัติย่งิ ข้นึ ไป กว่าข้นั อรยิ สลี ขนั ธ์น้อี กี ” สมาธิขนั ธ์ [๔๕๔] อริยสมาธิขันธท์ ่ที ่านพระโคดมตรัสสรรเสริญและทรงให้ประชาชน สมาทานต้งั ม่นั อย่เู ป็นอย่างไร ทา่ นอานนทŽ์ ทา่ นพระอานนทต์ อบว่า “มาณพ ภกิ ษุช่อื ว่าค้มุ ครองทวารในอินทรยี ท์ ง้ั หลาย เป็น อย่างไร คอื ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั น้เี หน็ รูปด้วยตาแล้วไม่รวบถอื ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบตั เิ พ่อื สารวมในจกั ขนุ ทรีย์ ซ่งึ เม่อื ไม่สารวมแล้วกจ็ ะเป็นเหตใุ ห้ถูกบาป อกุศลธรรมคอื อภิชฌาและ โทมนัสครอบงาได้ จึงรักษาจักขุนทรยี ์ ถงึ ความสารวมในจกั ขนุ ทรยี ์ ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ ดมกล่นิ ด้วยจมกู ฯลฯ ล้มิ รสด้วยล้นิ ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ รู้ธรรมารมณด์ ้วยใจแล้วไม่ รวบถอื ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบตั เิ พ่อื สารวมในมนินทรยี ์ ซ่งึ เม่อื ไม่สารวมแล้วกจ็ ะเป็นเหตุให้ถูก บาปอกศุ ลธรรมคอื อภิชฌาและโทมนสั ครอบงาได้ จงึ รกั ษามนนิ ทรยี ์ ถงึ ความสารวมในมนินทรยี ์ ภิกษผุ ้ปู ระกอบด้วยความสารวมอินทรียอ์ ันเป็นอรยิ ะน้ี ย่อมเสวยสขุ ทไ่ี ม่ระคนกับกิเลสในภายใน มาณพ ภกิ ษชุ ่อื ว่าค้มุ ครองทวารในอินทรียท์ ง้ั หลายเป็นอย่างน้แี ล [๔๕๕] มาณพ ภิกษชุ ่อื ว่าประกอบด้วยสติสมั ปชัญญะเป็นอย่างไร คือ ภกิ ษใุ นพระธรรม วินัยน้ที าความรู้สึกตวั ในการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลยี วดู การค้เู ข้า การเหยียด ออก การครองสงั ฆาฏิบาตรและจวี ร การฉนั การด่มื การเค้ยี ว การล้มิ การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การเดิน การยนื การน่งั การนอน การต่นื การพูด การน่งิ มาณพ ภิกษชุ ่อื ว่าประกอบด้วย สตสิ มั ปชญั ญะเป็นอย่างน้แี ล [๔๕๖] มาณพ ภกิ ษชุ ่อื ว่าผ้สู นั โดษเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยน้สี นั โดษด้วย จวี รพอค้มุ ร่างกายและบณิ ฑบาตพออ่มิ ท้อง จะไป ณ ท่ใี ด ๆ กไ็ ปได้ทนั ทีเหมือนนกบินไป ณ ท่ี ใด ๆ กม็ แี ต่ปี กเป็นภาระ มาณพ ภกิ ษชุ ่อื ว่าผ้สู นั โดษเป็นอย่างน้ีแล [๔๕๗] ภกิ ษุน้นั ประกอบด้วยอรยิ สีลขนั ธ์ อรยิ อนิ ทรียสังวร อรยิ สติ- สมั ปชัญญะ และ อรยิ สนั โดษอย่างน้แี ล้ว พกั อยู่ ณ เสนาสนะเงยี บสงดั คือ ป่ า โคนไม้ ภเู ขา ซอกเขา ถา้ ป่ าช้า ป่ า
ชัฏ ทแ่ี จ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบณิ ฑบาต ภายหลังฉันอาหารเสรจ็ แล้ว น่งั ขัดสมาธิต้งั กายตรง ดารงสตเิ ฉพาะหน้า [๔๕๘] เธอละอภชิ ฌา(ความเพ่งเลง็ อยากได้ของเขา)ในโลก มีใจปราศจากอภชิ ฌาอยู่ ชาระจติ ให้บรสิ ทุ ธ์จิ ากอภิชฌา ละความม่งุ ร้ายคอื พยาบาท มีจิตไม่พยาบาท ม่งุ ประโยชน์เก้อื กลู ต่อสรรพสตั วอ์ ยู่ ชาระจติ ให้บรสิ ทุ ธ์ิจากความม่งุ ร้ายคือพยาบาท ละถีนมทิ ธะ(ความหดหู่และ เซ่อื งซมึ ) ปราศจากถีนมิทธะ กาหนดแสงสว่าง มีสตสิ มั ปชญั ญะอยู่ ชาระจิตให้บรสิ ทุ ธ์ิจากถนี มทิ ธะ ละอทุ ธัจจกุกกุจจะ(ความ ฟ้ งุ ซ่านและราคาญใจ) เป็นผ้ไู ม่ฟ้ งุ ซ่าน มีจิตสงบอย่ภู ายใน ชาระจิตให้บริสทุ ธ์จิ ากอทุ ธัจจกุกกุจจะ ละวิจกิ ิจฉา(ความลงั เลสงสยั ) ข้ามวจิ กิ ิจฉาได้แล้ว ไม่มี วิจิกจิ ฉา ในกุศลธรรมอยู่ ชาระจิตให้บริสทุ ธ์จิ ากวจิ กิ ิจฉา อปุ มานวิ รณ์ ๕ [๔๕๙] เปรียบเหมอื นคนก้หู น้มี าลงทนุ จนประสบผลสาเรจ็ ใช้หน้เี ก่าทเ่ี ป็นต้นทนุ จน หมด เกบ็ กาไรท่เี หลอื ไว้เป็นค่าเล้ยี งดูบตุ รภรรยา เขาคิดว่า “เม่อื ก่อนเราก้หู น้มี าลงทุน การงาน สาเรจ็ ผลดี ได้ใช้หน้เี กา่ ทย่ี มื มาลงทนุ หมดแล้ว กาไรกย็ งั มเี หลอื ไว้เป็นค่าเล้ยี งดูบตุ รภรรยา” เพราะความไม่มีหน้สี ินเป็นเหตุ เขาจึงได้รบั ความเบิกบานใจและความสุขใจ [๔๖๐] เปรียบเหมอื นคนไข้อาการหนัก บรโิ ภคอาหารไม่ได้ ไม่มีกาลัง ต่อมา หายป่ วย บรโิ ภคอาหารได้ กลบั มีกาลัง เขาคิดว่า “เม่อื ก่อนเราป่ วยอาการหนกั บริโภคอาหารไม่ได้ ไม่มี กาลงั เวลาน้หี ายป่ วย บริโภคอาหารได้ มกี าลังเป็นปกติ” เพราะการหายจากโรคเป็นเหตุ เขาจงึ ได้รบั ความเบิกบานใจและความสขุ ใจ [๔๖๑] เปรียบเหมือนคนต้องโทษถูกคมุ ขังในเรือนจา ต่อมา พ้นโทษออกจากเรือนจา โดยสวัสดภิ าพ ไม่ต้องเสยี ค่าใช้จ่ายใด ๆ เขาคิดว่า “เม่อื ก่อนเราต้องโทษถูกคุมขงั ในเรือนจา เวลาน้พี ้นโทษออกจากเรอื นจาโดยสวสั ดภิ าพไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ” เพราะการพ้นจากเรอื น จาเป็นเหตุ เขาจึงได้รับความเบกิ บานใจและความสขุ ใจ [๔๖๒] เปรียบเหมอื นคนท่ตี กเป็นทาส พ่งึ ตัวเองไม่ได้ ต้องพ่งึ ผ้อู ่ืน จะไปไหนตามใจ ชอบกไ็ ม่ได้ ต่อมา พ้นจากความเป็นทาส พ่งึ ตัวเองได้ ไม่ต้องพ่งึ ผู้อ่นื เป็นไทแก่ตวั เอง จะไป ไหนกไ็ ด้ตามใจชอบ เขาคิดว่า “เม่อื ก่อนเราเป็นทาส พ่งึ ตวั เอง ไม่ได้ ต้องพ่งึ ผู้อ่นื จะไปไหน ตามใจชอบกไ็ ม่ได้ เวลาน้พี ้นจากความเป็นทาส พ่งึ ตัวเองได้ ไม่ต้องพ่งึ ผ้อู ่นื เป็นไทแกต่ ัวเอง จะ ไปไหนกไ็ ด้ตามใจชอบ” เพราะความเป็นไทแกต่ ัวเองเป็นเหตุ เขาจงึ ได้รบั ความเบิกบานใจและ ความสุขใจ [๔๖๓] เปรียบเหมอื นคนมีทรัพย์สมบตั ิ เดินทางไกลกันดาร หาอาหาร ได้ยาก มภี ัย เฉพาะหน้า ต่อมา ข้ามพ้นทางกนั ดารถงึ หม่บู ้านอันสงบร่มเยน็ ปลอดภยั โดยสวสั ดิภาพ เขาคิดว่า “เม่อื กอ่ นเรามที รัพย์สมบัติ เดนิ ทางไกลกนั ดาร หาอาหารได้ยาก มภี ยั เฉพาะหน้า เวลาน้ขี ้ามพ้น ทางกันดารถงึ หม่บู ้านอนั สงบ ร่มเยน็ ปลอดภยั โดยสวัสดภิ าพ” เพราะการพบภมู ิสถานอนั ร่มเยน็ เป็นเหตุ เขาจงึ ได้รับความเบิกบานใจและความสุขใจ
[๔๖๔] มาณพ ภิกษพุ จิ ารณาเหน็ นวิ รณ์ ๕ ท่ตี นยงั ละไม่ได้ เหมือนหน้ี โรค เรอื นจา ความเป็นทาส และทางไกลกันดาร [๔๖๕] มาณพ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ นวิ รณ์ ๕ ทต่ี นละได้แล้ว เหมือนความไม่มีหน้ี ความ ไม่มีโรค การพ้นโทษจากเรือนจา ความเป็นไทแก่ตัวเอง และภมู สิ ถาน อนั สงบร่มเยน็ [๔๖๖] เม่อื ภกิ ษุน้ันพิจารณาเหน็ นวิ รณ์ ๕ ท่ตี นละได้แล้ว ย่อมเกิดความเบิกบานใจ เม่อื เบกิ บานใจกย็ ่อมเกดิ ปีติ เม่อื ใจมีปีติ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบย่อมได้รบั ความสุข เม่อื มี ความสขุ จิตย่อมต้งั ม่นั ปฐมฌาน [๔๖๗] ภกิ ษนุ ้นั สงัดจากกามและอกุศลธรรมทง้ั หลายแล้ว บรรลปุ ฐมฌาน ทม่ี ีวิตก วจิ าร ปีตแิ ละสขุ อันเกิดจากวิเวกอยู่ เธอทากายน้ใี ห้ช่มุ ช่นื เอบิ อ่มิ ด้วยปีติและสขุ อันเกดิ จากวิเวก รู้สกึ ซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายท่ปี ีตแิ ละสุขอนั เกิดจากวิเวกจะไม่ถูกต้อง เปรยี บเหมือนพนกั งานสรงสนานหรือลูกมอื พนักงานสรงสนาน ผ้ชู านาญ เทผงถูตวั ลงใน ภาชนะสมั ฤทธ์แิ ล้วเอานา้ ประพรมให้ตดิ เป็นก้อน พอตกเยน็ ก้อนถตู ัวท่ยี างซึมไปจับกต็ ดิ กัน หมด ไม่กระจายออก ฉนั ใด ภิกษุทากายน้ใี ห้ช่มุ ช่นื เอบิ อ่มิ ด้วยปีติและสุขอนั เกดิ จากวเิ วก รู้สึก ซาบซ่านอยู่ ไม่มสี ว่ นไหนของร่างกายท่ปี ีติและสุขอนั เกดิ จากวเิ วกจะไม่ถูกต้อง ฉันน้นั ข้อน้ี จดั เป็นสมาธอิ ย่างหน่งึ ของภิกษุ ทตุ ยิ ฌาน [๔๖๘] ยงั มอี กี มาณพ เพราะวิตกวจิ ารสงบระงบั ไป ภิกษบุ รรลทุ ตุ ยิ ฌานมคี วามผ่องใส ในภายในมีภาวะท่จี ติ เป็นหน่งึ ผุดข้นึ ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มแี ต่ปีติและ สขุ อันเกิดจากสมาธิอยู่ เธอ ทากายน้ใี ห้ช่มุ ช่นื เอบิ อิ่มด้วยปีตแิ ละสขุ อันเกดิ จาก สมาธิ รู้สึกซาบซ่านอยู่ ไม่มสี ว่ นไหนของ ร่างกายท่ปี ีติและสขุ อันเกดิ จากสมาธจิ ะไม่ถกู ต้อง เปรยี บเหมือนห้วงนา้ ลกึ เป็นวังวน ไม่มีทางท่กี ระแสนา้ จะไหลเข้าได้ ทง้ั ด้านตะวันออก ด้านใต้ ด้านตะวันตก และด้านเหนือ ฝนกไ็ ม่ตกตามฤดูกาล แต่กระแส นา้ เยน็ พุข้นึ จากห้วงนา้ น้นั แล้วทาห้วงนา้ น้นั ให้ช่มุ ช่นื เอิบอาบเนอื งนองไปด้วยนา้ เยน็ ไม่มสี ว่ นไหนของห้วงนา้ น้ันท่นี า้ เยน็ จะไม่ถูกต้อง ฉนั ใด ภิกษุทากายน้ใี ห้ชุ่มช่นื เอบิ อิ่มด้วยปีติและสุขอนั เกดิ จากสมาธิ รู้สึก ซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายทป่ี ีติและสขุ อนั เกิดจากสมาธิจะไม่ถกู ต้อง ฉันน้ัน ข้อน้ี จัดเป็นสมาธิอย่างหน่งึ ของภิกษุ ตติยฌาน [๔๖๙] ยังมีอีก มาณพ เพราะปีติจางคลายไป ภกิ ษุมีอเุ บกขา มีสติ- สัมปชัญญะ เสวย สขุ ด้วยนามกาย บรรลตุ ตยิ ฌานทพ่ี ระอริยะทง้ั หลายสรรเสรญิ ว่า ผ้มู อี เุ บกขามสี ติ อยู่เป็นสุข เธอ ทากายน้ใี ห้ช่มุ ช่นื เอิบอม่ิ ด้วยสขุ อนั ไม่มีปีติ รู้สกึ ซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายทส่ี ขุ อนั ไม่มี ปีตจิ ะไม่ถูกต้อง เปรยี บเหมอื นในกอบวั เขียว(อบุ ล) กอบวั หลวง(ปทมุ )หรือกอบวั ขาว(บณุ ฑรกิ ) ดอกบัว เขียว ดอกบัวหลวงหรือดอกบวั ขาวบางเหล่าทเ่ี กดิ เจรญิ เตบิ โตในนา้ ยงั ไม่ พ้นนา้ จมอย่ใู ต้นา้ มี
นา้ หล่อเล้ยี งไว้ ดอกบวั เหล่าน้นั ชุ่มช่นื เอบิ อาบซาบซึมด้วยนา้ เยน็ ต้งั แต่ยอดถงึ เหง้า ไม่มีสว่ นไหน ท่นี า้ เยน็ จะไม่ถูกต้อง ฉนั ใด ภิกษุทากายน้ใี ห้ชุ่มช่นื เอบิ อมิ่ ด้วยสขุ อันไม่มปี ีติ รู้สึกซาบซ่านอยู่ ไม่ มีสว่ นไหนของร่างกายทส่ี ขุ อันไม่มีปีติจะไม่ถกู ต้อง ฉันน้นั ข้อน้จี ัดเป็นสมาธิอย่างหน่งึ ของภกิ ษุ จตตุ ถฌาน [๔๗๐] ยังมอี กี มาณพ เพราะละสุขและทกุ ข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนสั ดบั ไปก่อน ภิกษุบรรลุจตุตถฌานท่ไี ม่มที ุกข์ไม่มสี ขุ มสี ติบริสทุ ธ์เิ พราะอเุ บกขาอยู่ เธอมใี จอันบริสุทธ์ผิ ุดผ่อง น่งั แผไ่ ปท่วั กายน้ี ไม่มสี ว่ นไหนของร่างกายท่ใี จอนั บรสิ ุทธ์ผิ ุดผอ่ งจะไม่ถกู ต้อง เปรียบเหมือนคนน่งั ใช้ผ้าขาวคลมุ ตวั ตลอดศรี ษะ ไม่มีส่วนไหนของร่างกาย ท่ผี ้าขาวจะ ไม่ปกคลุม ฉนั ใด ภกิ ษมุ ีใจอันบรสิ ุทธ์ิผดุ ผอ่ ง น่งั แผ่ไปทว่ั กายน้ี ไม่มี สว่ นไหนของร่างกายทใ่ี จ อันบริสุทธ์ผิ ดุ ผ่องจะไม่ถูกต้อง ฉันน้นั ข้อน้ีจดั เป็นสมาธอิ ย่างหน่งึ ของภิกษุ [๔๗๑] มาณพ สมาธิขนั ธ์ท่พี ระผ้มู ีพระภาคตรัสสรรเสริญและทรงให้ประชาชนสมาทาน ต้งั ม่นั อยู่เป็นอย่างน้ี แต่ในพระธรรมวนิ ัยน้ยี งั มกี รณียกิจท่ตี ้องปฏิบตั ยิ ่งิ ข้นึ ไปกว่าข้นั อริยสมาธิน้ี อีกŽ เขากล่าวว่า “น่าอัศจรรยจ์ ริง ไม่เคยปรากฏ อรยิ สมาธขิ ันธบ์ รบิ รู ณ์แล้ว ไม่ใช่ไม่บรบิ รู ณ์ ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ อริยสมาธขิ นั ธท์ บ่ี ริบูรณ์อย่างน้ใี นสมณพราหมณ์เหล่าอ่นื นอกพระศาสนาน้เี ลย สมณพราหมณ์เหล่าอ่นื นอกพระศาสนาน้ี เหน็ อรยิ สมาธิขนั ธท์ ่บี รบิ รู ณอ์ ย่างน้ใี นตน กจ็ ะพอใจว่า “เพยี งแค่น้พี อแล้ว เพยี งแค่น้สี าเรจ็ แล้ว เราได้บรรลุสามญั คณุ แล้ว ไม่มีกรณยี กิจทต่ี ้องปฏิบัติ ย่ิงข้นึ ไปกว่าข้นั น้ี อกี ” แต่ท่านยงั บอกว่า “ในพระธรรมวินัยน้ยี ังมีกรณียกิจท่ตี ้องปฏิบตั ิย่งิ ข้นึ ไป กว่าข้นั อริยสมาธิขนั ธน์ ้อี ีก” ปัญญาขันธ์ [๔๗๒]อรยิ ปัญญาขนั ธ์ ท่ที า่ นพระโคดมตรสั สรรเสรญิ และทรงให้ประชาชนสมาทานต้งั ม่นั อยู่เป็นอย่างไร ทา่ นอานนท”์ วชิ ชา ๘ ประการ ๑. วปิ ัสสนาญาณ ทา่ นพระอานนทต์ อบว่า “เม่ือจติ เป็นสมาธิบริสทุ ธ์ิผดุ ผอ่ ง ไม่มกี ิเลสเพียงดังเนนิ ๑ ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหว อย่างน้ี ภิกษุน้นั น้อมจิต ไปเพ่อื ญาณทสั สนะ๒ รู้ชดั อย่างน้วี ่า “กายของเราน้คี ุมกันเป็นรปู ร่าง ประกอบข้นึ จากมหาภตู รปู ๔ เกดิ จากบิดามารดา เจริญวยั เพราะข้าวสกุ และขนมสด ไม่เท่ยี งแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟ้ น มีอัน แตกกระจดั กระจายไปเป็น ธรรมดา วญิ ญาณของเราอาศัยและเน่ืองอยู่ในกายน้ี” เปรียบเหมือนแก้วไพฑรู ยอ์ ันงดงามตามธรรมชาติ มแี ปดเหล่ยี ม ท่เี จยี ระไนดีแล้ว สุกใส เป็นประกายได้สดั ส่วน มีด้ายสีเขียว เหลือง แดง ขาวหรอื สีนวลร้อยอยู่ข้างใน คนตาถงึ หยบิ แก้ว ไพฑรู ยน์ ้นั วางไว้ในมอื แล้วพิจารณาร้วู ่า “แก้วไพฑูรย์อันงดงามตามธรรมชาติ มแี ปดเหล่ยี ม ท่ี เจียระไนดีแล้ว สุกใสเป็นประกายได้สัดสว่ น มีด้ายสเี ขยี ว เหลือง แดง ขาวหรอื สนี วลร้อยอยู่ข้าง ใน” ฉนั ใด เม่ือจิตเป็นสมาธิบริสทุ ธ์ิผุดผอ่ ง ไม่มีกิเลสเพียงดงั เนิน ปราศจากความเศร้าหมอง
อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้อมจิตไปเพ่อื ญาณทสั สนะ รู้ชัดอย่างน้ี ว่า “กายของเราน้คี มุ กันเป็นรปู ร่าง ประกอบข้ึนจากมหาภตู รูป ๔ เกดิ จากบดิ ามารดา เจรญิ วัย เพราะข้าวสกุ และขนมสด ไม่เทย่ี งแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟ้ น มอี ันแตกกระจัดกระจายไปเป็น ธรรมดา วิญญาณของเราอาศยั และเน่อื งอย่ใู นกายน้”ี ฉันน้นั ข้อน้ีจดั เป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของ ภิกษุ ๒. มโนมยิทธิญาณ [๔๗๓] เม่อื จิตเป็นสมาธิบรสิ ุทธ์ผิ ุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดงั เนิน ปราศจากความ เศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้นั น้อมจิตไปเพ่อื เนรมติ กายท่เี กดิ แต่ใจ คือ เนรมิตกายอ่นื จากกายน้ี มีรปู ทเ่ี กดิ แต่ใจ มอี วยั วะครบถ้วน มอี นิ ทรีย์ไม่ บกพร่อง เปรียบเหมือนคนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาเหน็ ว่า “น้คี อื หญ้าปล้อง น้คี ือ ไส้ หญ้า ปล้องเป็นอย่างหน่งึ ไส้กเ็ ป็นอีกอย่างหน่งึ แต่ไส้ถูกชกั ออกมาจากหญ้าปล้องน่นั เอง” เปรยี บ เหมอื นคนชักดาบออกจากฝัก เขาเหน็ ว่า “น้คี ือดาบ น้คี ือฝัก ดาบเป็นอย่างหน่งึ ฝักกเ็ ป็นอกี อย่างหน่งึ แต่ดาบถูกชักออกมาจากฝักน่นั เอง” หรอื เปรียบเหมอื นคนดงึ งอู อกจากคราบ เขาเหน็ ว่า “น้คี ืองู น้คี อื คราบ งเู ป็นอย่างหน่งึ คราบกเ็ ป็นอีกอย่างหน่งึ แต่งูถูกดึงออกจากคราบน่นั เอง” ฉนั ใด เม่ือจติ เป็นสมาธบิ รสิ ุทธ์ิผุดผอ่ ง ไม่มีกเิ ลสเพียงดงั เนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่ การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้อมจิตไปเพ่อื เนรมติ กายทเ่ี กิดแต่ใจ คอื เนรมติ กายอ่นื จากกายน้ี มีรูปท่เี กดิ แต่ใจ มอี วัยวะครบถ้วน มีอินทรียไ์ ม่บกพร่อง ฉันน้นั ข้อน้ี จัดเป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของภกิ ษุ ๓. อทิ ธิวิธญาณ [๔๗๔] เม่อื จิตเป็นสมาธบิ ริสทุ ธ์ิผดุ ผ่อง ไม่มกี ิเลสเพยี งดังเนนิ ปราศจากความเศร้า หมอง ออ่ น เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่ัน ไม่หว่ันไหวอย่างน้ี ภิกษนุ ้นั น้อมจิตไปเพ่อื อทิ ธวิ ิธญาณ แสดงฤทธ์ิได้หลายอย่าง คือ คนเดยี วแสดงเป็นหลาย คนกไ็ ด้ หลายคนแสดงเป็นคนเดยี วกไ็ ด้ แสดงให้ปรากฏหรอื ให้หายไปกไ็ ด้ ทะลุฝา กาแพง(และ)ภเู ขาไปได้ ไม่ตดิ ขดั เหมือนไปในท่วี ่างก็ ได้ ผดุ ข้นึ หรือดาลงในแผ่นดินเหมือนไปในน้ากไ็ ด้ เดนิ บนนา้ โดยทน่ี า้ ไม่แยกเหมือนเดนิ บน แผน่ ดินกไ็ ด้ น่งั ขดั สมาธเิ หาะไปในอากาศเหมือนนกบินไปกไ็ ด้ ใช้ฝ่ามอื ลบู คลาดวงจันทร์ดวง อาทติ ย์อนั มีฤทธ์ิมากมีอานุภาพมากกไ็ ด้ ใช้อานาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกกไ็ ด้ เปรยี บเหมอื นช่างหม้อหรือลกู มือช่างหม้อผ้ชู านาญ เม่อื นวดดินเหนยี วดีแล้ว พึงทา ภาชนะท่ตี ้องการให้สาเรจ็ ได้ เปรียบเหมือนช่างงาหรอื ลูกมอื ช่างงาผ้ชู านาญเม่ือแต่งงาดีแล้ว พึง ทาเคร่ืองงาชนดิ ท่ตี ้องการให้สาเรจ็ ได้ เปรยี บเหมอื นช่างทองหรือลกู มอื ช่างทองผ้ชู านาญ เม่อื หลอมทองดแี ล้ว พงึ ทาทองรูปพรรณชนิดทต่ี ้องการให้สาเรจ็ ได้ ฉันใด เม่ือจิตเป็นสมาธิบริสุทธ์ิ ผดุ ผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแกก่ ารใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่ หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้อมจิตไปเพ่อื อทิ ธิวิธญาณ แสดงฤทธ์ไิ ด้หลายอย่าง คอื คนเดยี วแสดงเป็น หลายคนกไ็ ด้ หลายคนแสดงเป็นคนเดยี วกไ็ ด้ แสดงให้ปรากฏหรือให้หายไปกไ็ ด้ ทะลุฝา กาแพง (และ)ภเู ขาไปได้ ไม่ติดขดั เหมือนไปในทว่ี ่างกไ็ ด้ ผดุ ข้นึ หรือดาลงในแผน่ ดนิ เหมอื นไปในนา้ กไ็ ด้
เดินบนนา้ โดยท่นี า้ ไม่แยกเหมือนเดนิ บนแผน่ ดินกไ็ ด้ น่งั ขัดสมาธิเหาะไปในอากาศเหมอื นนกบนิ ไปกไ็ ด้ ใช้ฝ่ามือลูบคลาดวงจันทร์ดวงอาทติ ยอ์ ันมีฤทธ์ิมากมีอานุภาพมากกไ็ ด้ ใช้อานาจทางกาย ไปจนถึงพรหมโลกกไ็ ด้ ฉนั น้ัน ข้อน้ีจัดเป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของภิกษุ ๔. ทพิ พโสตธาตญุ าณ [๔๗๕] เม่อื จิตเป็นสมาธบิ ริสุทธ์ผิ ุดผอ่ ง ไม่มกี ิเลสเพียงดงั เนิน ปราศจากความเศร้า หมอง อ่อน เหมาะแกก่ ารใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่ันไหวอย่างน้ี ภิกษนุ ้ันน้อมจิตไปเพ่อื ทพิ พโสตธาตุ ญาณได้ยนิ เสียง ๒ ชนิด คือ เสยี งทพิ ยแ์ ละเสยี งมนุษย์ ทง้ั ทอ่ี ยู่ไกลและใกล้ด้วยหูทพิ ยอ์ ันบริสทุ ธ์ิ เหนอื มนุษย์ เปรียบเหมอื นคนเดนิ ทางไกล (มปี ระสบการณ์มาก) ได้ยินเสยี งกลอง เสยี ง ตะโพน เสียงสงั ข์ เสยี งบัณเฑาะว์ เสยี งเปิงมาง กเ็ ข้าใจว่า น่นั เสยี งกลอง เสยี ง ตะโพน เสยี งสงั ข์ เสยี ง บณั เฑาะว์ เสียงเปิงมาง ฉนั ใด เม่ือจิตเป็นสมาธิบรสิ ุทธ์ิ ผดุ ผอ่ ง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนนิ ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้ังม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภกิ ษุน้อมจิตไปเพ่อื ทิพพ โสตธาตุญาณได้ยินเสียง ๒ ชนิด คอื เสียงทพิ ย์และเสยี งมนุษย์ ทง้ั ทอ่ี ย่ไู กลและใกล้ด้วยหูทิพย์ อันบรสิ ุทธ์ิเหนือมนุษย์ ฉนั น้นั ข้อน้ีจดั เป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของภกิ ษุ ๕. เจโตปริยญาณ [๔๗๖] เม่ือจิตเป็นสมาธบิ ริสุทธ์ผิ ุดผอ่ ง ไม่มกี ิเลสเพยี งดงั เนนิ ปราศจากความ เศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภกิ ษุน้อมจติ ไปเพ่อื เจโตปริย ญาณ กาหนดรู้จิตของสัตว์และคนอ่ืนด้วยจิตของตน คือ จิตมีราคะ กร็ ู้ว่ามรี าคะ หรอื ปราศจาก ราคะกร็ ู้ว่าปราศจากราคะ จิตมโี ทสะกร็ ู้ว่ามีโทสะ หรอื ปราศจากโทสะกร็ ู้ว่าปราศจากโทสะ จิตมี โมหะกร็ ู้ว่ามีโมหะ หรอื ปราศจากโมหะกร็ ู้ว่าปราศจากโมหะ จิตหดหู่กร็ ู้ว่าหดหู่ หรอื ฟ้ ุงซ่านกร็ ู้ว่า ฟ้ งุ ซ่าน จติ เป็นมหัคคตะ๑ กร็ ู้ว่าเป็นมหัคคตะ หรอื ไม่เป็นมหัคคตะกร็ ู้ว่าไม่เป็นมหัคคตะ จิตมี จิตอ่นื ย่ิงกว่ากร็ ู้ว่ามีจิตอ่นื ย่ิงกว่า หรือไม่มีจิตอ่ืนย่ิงกว่ากร็ ู้ว่าไม่มจี ิตอ่นื ย่ิงกว่า จิตเป็นสมาธิกร็ ู้ว่า เป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธกิ ร็ ู้ว่าไม่เป็นสมาธิ จิตหลดุ พ้นกร็ ู้ว่าหลดุ พ้น หรือไม่หลุดพ้นกร็ ู้ว่าไม่ หลุดพ้น เปรยี บเหมือนชายหนุ่มหญิงสาวท่ชี อบการแต่งตวั เม่ือสอ่ งดเู งาหน้าของตนในกระจกใส สะอาดหรอื ในภาชนะนา้ ใส หน้ามีไฝฝ้ ากร็ ู้ว่ามีไฝฝ้ า หรอื ไม่มไี ฝฝ้ ากร็ ู้ว่าไม่มีไฝฝ้ า ฉนั ใด เม่ือจิต เป็นสมาธิบรสิ ุทธ์ผิ ุดผอ่ ง ไม่มกี ิเลสเพยี งดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้ งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภกิ ษนุ ้อม จิตไปเพ่อื เจโตปริยญาณ กาหนดรู้จิตของสัตว์และคน อ่นื ด้วยจิตของตน คือ จติ มีราคะกร็ ู้ว่ามีราคะ หรือปราศจากราคะกร็ ู้ว่าปราศจากราคะ จิตมีโทสะ กร็ ู้ว่ามโี ทสะ หรอื ปราศจากโทสะกร็ ู้ว่าปราศจากโทสะ จติ มีโมหะกร็ ู้ว่ามีโมหะ หรอื ปราศจากโมหะ กร็ ู้ว่าปราศจากโมหะ จิตหดหู่กร็ ู้ว่าหดหู่ หรือฟ้ งุ ซ่านกร็ ู้ว่าฟ้ งุ ซ่าน จติ เป็นมหัคคตะกร็ ู้ว่าเป็น มหคั คตะ หรือไม่เป็นมหัคคตะกร็ ู้ว่าไม่เป็นมหัคคตะ จิตมีจิตอ่ืนย่งิ กว่ากร็ ู้ว่ามจี ิตอ่นื ย่งิ กว่า หรือไม่มจี ิตอ่นื ย่ิงกว่ากร็ ู้ว่าไม่มีจติ อ่ืนย่งิ กว่า จิตเป็นสมาธิกร็ ู้ว่าเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิกร็ ู้ว่า
ไม่เป็นสมาธิ จติ หลุดพ้นกร็ ู้ว่าหลุดพ้น หรือไม่หลุดพ้นกร็ ู้ว่าไม่หลุดพ้น ฉนั น้นั ข้อน้จี ัดเป็น ปัญญาอย่างหน่งึ ของภิกษุ ๖. ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ [๔๗๗] เม่อื จิตเป็นสมาธิบริสุทธ์ิผดุ ผ่อง ไม่มีกิเลสเพยี งดงั เนิน ปราศจากความ เศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้ัน น้อมจติ ไปเพ่อื ปุพเพนิ วาสานุสสติญาณ ระลึกชาตกิ อ่ นได้หลายชาติ คือ ๑ ชาติ บ้าง ๒ ชาตบิ ้าง ๓ ชาติบ้าง ๔ ชาติบ้าง ๕ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๒๐ ชาตบิ ้าง ๓๐ ชาตบิ ้าง ๔๐ ชาตบิ ้าง ๕๐ ชาติบ้าง ๑๐๐ ชาตบิ ้าง ๑,๐๐๐ ชาติบ้าง ๑๐๐,๐๐๐ ชาตบิ ้าง ตลอดสังวฏั ฏกัปเป็นอนั มากบ้าง ตลอดววิ ฏั ฏกัปเป็นอนั มากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกปั และววิ ฏั ฏกปั เป็นอันมากบ้าง ว่า “ในภพโน้นเรามีช่อื อย่างน้นั มีตระกลู มวี รรณะ มีอาหาร เสวยสขุ ทกุ ข์ และมอี ายุอย่างน้นั ๆ จุตจิ ากภพน้นั กไ็ ปเกิดในภพโน้น แม้ใน ภพน้นั เรากม็ ีช่อื อย่างน้นั มีตระกูล มวี รรณะ มีอาหาร เสวยสขุ ทกุ ข์ และมีอายอุ ย่างน้นั ๆ จุติจาก ภพน้นั จึงมาเกดิ ในภพน้ี” เธอระลกึ ชาติก่อนได้หลายชาติพร้อมทง้ั ลักษณะท่วั ไปและชีวประวัติ อย่างน้ี เปรียบเหมือนคนจากบ้านตนไปบ้านอ่นื แล้วจากบ้านน้นั ไปยังบ้านอ่นื อีก เขาจากบ้านน้นั กลบั มายังบ้านเดิมของตน ระลึกได้อย่างน้วี ่า “เราได้จากบ้านตนไปบ้านโน้น ในบ้านน้นั เราได้ยืน น่งั พดู น่งิ เฉยอย่างน้นั ๆ เราได้จากแม้บ้านน้ันไปยังบ้าน โน้น แม้ในบ้านน้นั เรากไ็ ด้ยนื น่งั พดู น่งิ เฉยอย่างน้ัน ๆ แล้วกลบั จากบ้านน้นั มา ยงั บ้านเดิมของตน” ฉันใด เม่ือจิตเป็นสมาธิบริสทุ ธ์ิ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพยี งดงั เนนิ ปราศจากความเศร้าหมอง ออ่ น เหมาะแกก่ ารใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่ หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษนุ ้อมจิตไปเพ่อื ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ ระลกึ ชาติก่อนได้หลายชาติ คอื ๑ ชาตบิ ้าง ๒ ชาติบ้าง ฯลฯ ตลอดสังวฏั ฏกปั และวิวฏั ฏกัปเป็นอนั มากบ้าง ว่า “ในภพโน้น เรามชี ่อื อย่างน้นั มตี ระกลู มวี รรณะ มอี าหาร เสวยสุขทุกข์ และมีอายอุ ย่างน้นั ๆ จุตจิ ากภพน้นั กไ็ ปเกิด ในภพโน้น แม้ในภพน้นั เรากม็ ีช่อื อย่างน้นั มีตระกูล มีวรรณะ มีอาหาร เสวยสขุ ทุกข์ และมอี ายุ อย่างน้นั ๆ จุตจิ ากภพน้นั จงึ มาเกิดในภพน้ี” เธอระลึกชาติกอ่ นได้หลายชาติพร้อมลกั ษณะท่วั ไป และชวี ประวัติอย่างน้ี ฉันน้นั ข้อน้ี จัดเป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของภกิ ษุ ๗. ทพิ พจักขุญาณ [๔๗๘] เม่อื จิตเป็นสมาธิบรสิ ทุ ธ์ิผดุ ผ่อง ไม่มกี ิเลสเพยี งดงั เนิน ปราศจากความ เศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่ัน ไม่หว่ันไหวอย่างน้ี ภิกษุน้ัน น้อมจิตไปเพ่อื จุตปู ปาตญาณ เหน็ หม่สู ตั ว์ผ้กู าลังจุติ กาลังเกิด ท้งั ช้นั ต่าและช้นั สูง งามและไม่งาม เกิดดแี ละ เกดิ ไม่ดี ด้วยตาทพิ ยอ์ นั บริสทุ ธ์ิเหนอื มนุษย์ รู้ชัดถงึ หม่สู ตั ว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า “หม่สู ตั วท์ ่ี ประกอบกายทุจริต วจที ุจริต และมโนทจุ ริต กล่าวร้ายพระอริยะ มคี วามเหน็ ผิด และชกั ชวนผู้อ่นื ให้ทากรรมตามความเหน็ ผิด พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก แต่หมู่สัตว์ท่ปี ระกอบกายสุจรติ วจสี ุจริต และมโนสจุ ริต ไม่กล่าวร้ายพระอริยะ มคี วามเหน็ ชอบ และชกั ชวนผู้อ่นื ให้ทากรรมตามความเหน็ ชอบ พวกเขาหลงั จากตายแล้วจะไปบังเกดิ ในสุคติโลก
สวรรค์” เธอเหน็ หม่สู ตั ว์ผู้กาลงั จุติ กาลังเกิด ท้งั ช้นั ต่าและช้นั สงู งามและไม่งาม เกิดดีและเกดิ ไม่ดี ด้วยตาทพิ ยอ์ ันบริสทุ ธ์เิ หนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหม่สู ัตวผ์ ้เู ป็นไปตามกรรมอย่างน้ีแล เปรียบเหมือนปราสาทต้งั อยู่ท่ที างสามแพร่งกลางเมอื งหลวง คนตาดียืนบนปราสาทน้นั เหน็ หมู่ชนกาลังเข้าไปสูเ่ รอื นบ้าง ออกจากเรอื นบ้าง สัญจรอย่ตู ามถนนบ้าง น่งั อย่ทู ท่ี างสามแพร่ง กลางเมอื งหลวงบ้าง กร็ ู้ว่า “คนเหล่าน้เี ข้าไปสู่เรอื น คนเหล่าน้อี อกจากเรือน คนเหล่าน้สี ญั จรอยู่ ตามถนน คนเหล่าน้นี ่งั อยู่ท่ที างสามแพร่งกลางเมืองหลวง” ฉันใด เม่อื จิตเป็นสมาธบิ ริสุทธ์ผิ ุด ผอ่ ง ไม่มีกิเลสเพยี งดงั เนนิ ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่ หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษนุ ้อมจิตไปเพ่อื จุตปู ปาตญาณ เหน็ หม่สู ตั วผ์ ้กู าลงั จุติ กาลงั เกดิ ท้งั ช้นั ต่าและ ช้นั สงู งามและไม่งาม เกดิ ดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทพิ ย์อนั บริสทุ ธ์ิเหนือมนุษย์ รู้ ชัดถงึ หม่สู ตั ว์ผู้ เป็นไปตามกรรมว่า “หม่สู ตั ว์ทป่ี ระกอบกายทจุ รติ วจีทุจริต และ มโนทุจรติ กล่าวร้ายพระอรยิ ะ มีความเหน็ ผดิ และชักชวนผู้อ่นื ให้ทากรรมตามความเหน็ ผดิ พวกเขาหลังจากตายแล้วจะไป บงั เกิดในอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก แต่หม่สู ตั ว์ท่ปี ระกอบกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสจุ รติ ไม่ กล่าวร้ายพระอรยิ ะ มีความเหน็ ชอบ และชักชวนผ้อู ่นื ให้ทากรรมตามความเหน็ ชอบ พวกเขา หลังจากตายแล้วจะ ไปบงั เกิดในสุคติโลกสวรรค์” เธอเหน็ หม่สู ัตว์ผ้กู าลังจุติ กาลังเกดิ ท้งั ช้นั ต่า และช้นั สูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทพิ ยอ์ นั บริสุทธ์เิ หนือมนุษย์ รู้ชดั ถึงหม่สู ัตว์ ผ้เู ป็นไปตามกรรมอย่างน้แี ล ฉันน้นั ข้อน้ีจัดเป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของภิกษุ ๘. อาสวกั ขยญาณ [๔๗๙] เม่ือจิตเป็นสมาธบิ รสิ ุทธ์ผิ ดุ ผ่อง ไม่มกี เิ ลสเพยี งดังเนนิ ปราศจากความเศร้า หมอง อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่หว่นั ไหวอย่างน้ี ภกิ ษุน้นั น้อมจติ ไปเพ่อื อาสวกั ขย ญาณ รู้ชดั ตามความเป็นจรงิ ว่า “น้ที กุ ข์ น้ที ุกขสมุทยั น้ี ทกุ ขนโิ รธ น้ที ุกขนิโรธคามินปี ฏิปทา น้ี อาสวะ น้อี าสวสมุทยั น้อี าสวนโิ รธ น้ี อาสวนโิ รธคามินีปฏิปทา” เม่อื เธอรู้เหน็ อยู่อย่างน้ี จิตย่อม หลดุ พ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เม่ือจติ หลดุ พ้นแล้วกร็ ู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า “ชาตสิ ้นิ แล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทากิจทค่ี วรทาเสรจ็ แล้ว๑ ไม่มกี ิจอ่ืนเพ่อื ความเป็นอย่างน้ีอีก ต่อไป”๒ เปรยี บเหมือนสระนา้ ใสสะอาดไม่ขนุ่ มวั บนยอดภเู ขา คนตาดยี ืนท่ขี อบสระน้นั เหน็ หอย โขง่ และหอยกาบ ก้อนกรวดและก้อนหนิ หรือฝูงปลากาลงั แหวกว่ายอย่บู ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระ น้นั กค็ ิดอย่างน้วี ่า “สระนา้ น้ใี สสะอาดไม่ขุ่นมวั หอยโข่งและหอยกาบ ก้อนกรวดและก้อนหิน และฝงู ปลาเหล่าน้กี าลงั แหวกว่ายอย่กู ม็ ี หยุดอย่กู ม็ ี ในสระน้นั ” ฉันใด เม่ือจติ เป็นสมาธบิ รสิ ทุ ธ์ิ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพยี งดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง ออ่ น เหมาะแก่การใช้งาน ต้งั ม่นั ไม่ หว่นั ไหวอย่างน้ี ภิกษุน้อมจติ ไปเพ่อื อาสวกั ขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจรงิ ว่า “น้ที ุกข์ น้ที ุกข สมุทยั น้ที กุ ขนโิ รธ น้ที กุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา น้อี าสวะ น้อี าสวสมทุ ยั น้อี าสวนิโรธ น้อี าสวนโิ รธ- คามนิ ีปฏปิ ทา” เม่อื เธอรู้เหน็ อยู่อย่างน้ี จิตย่อมหลดุ พ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ เม่อื จิตหลุดพ้นแล้วกร็ ู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า “ชาติส้นิ แล้ว อย่จู บพรหมจรรย์แล้ว ทากจิ ทค่ี วร ทาเสรจ็ แล้ว ไม่มีกิจอ่นื เพ่อื ความเป็นอย่างน้ีอกี ต่อไป” ฉันน้นั ข้อน้จี ดั เป็นปัญญาอย่างหน่งึ ของ ภกิ ษุ
สภุ มาณพประกาศตนเป็นอุบาสก [๔๘๐] มาณพ อริยปัญญาขนั ธ์ทพ่ี ระผ้มู พี ระภาคตรัสสรรเสรญิ และทรงให้ประชาชน สมาทานต้งั ม่นั อยู่เป็นอย่างน้ี ในพระธรรมวินัยน้ี ไม่มีกรณยี กจิ ท่ตี ้องปฏบิ ตั ยิ ่งิ ข้นึ ไปกว่าข้นั อริย ปัญญาขนั ธ์น้อี กี แล้วŽ เขากล่าวว่า “น่าอศั จรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ อริยปัญญาขนั ธบ์ ริบรู ณแ์ ล้ว ไม่ใช่ไม่บรบิ ูรณ์ ข้าพเจ้าไม่เคยเหน็ อรยิ ปัญญาขันธ์ทบ่ี ริบูรณอ์ ย่างน้ใี นสมณพราหมณเ์ หล่าอ่นื นอกพระศาสนาน้ี เลย ไม่มีกรณยี กจิ ทต่ี ้องปฏิบัติย่งิ ข้นึ ไปกว่าข้นั อรยิ ปัญญาขันธ์น้อี กี แล้ว ท่านอานนท์ ภาษติ ของ ท่านอานนทช์ ัดเจนไพเราะย่งิ นัก ทา่ นอานนท์ ภาษิตของท่านอานนทช์ ดั เจนไพเราะย่ิงนกั ท่าน อานนทป์ ระกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่าง ๆ เปรยี บเหมอื นบุคคลหงายของทค่ี ว่า เปิดของท่ี ปิด บอกทางแก่ผู้ หลงทาง หรือตามประทปี ในท่มี ืดโดยต้งั ใจว่า คนมีตาดจี ักเหน็ รปู ได้ ข้าพเจ้าน้ี ขอถงึ ท่านพระโคดม พร้อมทง้ั พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านอานนทโ์ ปรดจาข้าพเจ้าว่า เป็นอบุ าสกผ้ถู ึงสรณะต้งั แต่วันน้ีเป็นต้นไปจนตลอดชีวติ Ž สภุ สูตรท่ี ๑๐ จบ หมวดสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คอื ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี ๑. พิจารณาเหน็ กายในกายอยู่ มีความเพยี ร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ กาจดั อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกได้ ๒. พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาท้งั หลายอยู่ มีความเพยี ร มีสัมปชัญญะ มสี ติ กาจัด อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได้ ๓. พิจารณาเหน็ จติ ในจติ อยู่ มีความเพียร มสี ัมปชัญญะ มสี ติ กาจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้ ๔. พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่ มีความเพยี ร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ อทุ เทส จบ กายานุปัสสนา (การพิจารณากาย) หมวดลมหายใจเข้าออก [๓๗๔]ภิกษุพิจารณาเหน็ กายในกายอยู่ อย่างไร คอื ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ีไปสู่ป่ ากด็ ี ไปสโู่ คนไม้กด็ ี ไปส่เู รือนว่าง๑กด็ ี น่งั ค้บู ลั ลังก๒์ ต้งั กายตรง ดารงสติไว้เฉพาะหน้า๓ มสี ตหิ ายใจเข้า มีสติหายใจออก เม่อื หายใจเข้ายาว กร็ ู้ชดั ว่า “เราหายใจเข้ายาว” เม่อื หายใจออกยาว กร็ ู้ชดั ว่า “เราหายใจออกยาว”
เม่อื หายใจเข้าส้นั กร็ ู้ชดั ว่า “เราหายใจเข้าส้นั ” เม่อื หายใจออกส้นั กร็ ู้ชัดว่า “เราหายใจออกส้นั ” สาเหนียกว่า “เรากาหนดรู้กองลมทง้ั ปวง หายใจเข้า” สาเหนียกว่า “เรากาหนดรู้กองลมท้งั ปวง หายใจออก” สาเหนยี กว่า “เราระงับกายสังขาร๑ หายใจเข้า” สาเหนียกว่า “เราระงับกายสังขาร หายใจออก” ภกิ ษุทง้ั หลาย ช่างกลึง หรือลกู มอื ช่างกลึงผ้มู ีความชานาญ เม่อื ชักเชือกยาว กร็ ู้ชัดว่า “เราชกั เชือกยาว” เม่อื ชักเชอื กส้นั กร็ ู้ชดั ว่า “เราชกั เชือกส้นั ” แม้ฉนั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ ันน้ันเหมือนกนั เม่อื หายใจเข้ายาว กร็ ู้ชดั ว่า “เราหายใจเข้ายาว” มรรคมอี งค์ ๘ [๔๐๒] ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นอย่างไร คอื อรยิ มรรคมีองค์ ๘ น้นี ่นั แล ได้แก่ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) ๒. สัมมาสงั กปั ปะ (ดารชิ อบ) ๓. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สมั มากมั มันตะ (กระทาชอบ) ๕. สมั มาอาชวี ะ (เล้ยี งชีพชอบ) ๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) ๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) ๘. สมั มาสมาธิ (ต้งั จิตม่นั ชอบ) สมั มาทฏิ ฐิ เป็นอย่างไร คอื ความรู้ในทุกข์ (ความทุกข์) ความรู้ในทุกขสมทุ ยั (เหตุเกดิ แห่งทุกข์) ความรู้ใน ทุกขนิโรธ (ความดบั แห่งทกุ ข์) ความรู้ในทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา (ข้อปฏิบตั ิ ให้ถงึ ความดบั แห่ง ทุกข์) ภิกษทุ ง้ั หลาย น้เี รยี กว่า สัมมาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กัปปะ เป็นอย่างไร คือ ความดาริในการออกจากกาม ความดารใิ นการไม่พยาบาท ความดารใิ นการไม่ เบยี ดเบยี น ภกิ ษุท้งั หลาย น้เี รียกว่า สัมมาสงั กัปปะ สมั มาวาจา เป็นอย่างไร คอื เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเทจ็ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพดู สอ่ เสียด เจตนาเป็นเหตงุ ดเว้นจากการพดู คาหยาบ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ ภกิ ษุทง้ั หลาย น้เี รียกว่า สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ เป็นอย่างไร คอื เจตนาเป็นเหตงุ ดเว้นจากการฆ่าสตั ว์ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของท่ี เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤตผิ ิดในกาม ภิกษทุ ้งั หลาย น้เี รยี กว่า สมั มากมั มนั ตะ
สัมมาอาชวี ะ เป็นอย่างไร คือ อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ลี ะมิจฉาอาชีวะแล้ว สาเรจ็ การเล้ยี งชพี ด้วยสมั มา-อาชวี ะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย น้เี รยี กว่า สมั มาอาชีวะ สมั มาวายามะ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ๑. สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจิต ม่งุ ม่นั เพ่อื ป้ องกนั บาป อกุศลธรรมท่ยี ังไม่เกิดมิให้เกดิ ข้นึ ๒. สร้างฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจติ ม่งุ ม่นั เพ่อื ละบาปอกุศล ธรรมท่เี กดิ ข้นึ แล้ว ๓. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ม่งุ ม่ัน เพ่อื ทากุศลธรรมท่ี ยังไม่เกิดข้นึ ให้เกิดข้นึ ๔. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ม่งุ ม่นั เพ่อื ความดารงอยู่ ไม่เลือนหาย ภญิ โญภาพ ไพบลู ย์ เจริญเตม็ ท่ี แห่งกุศลธรรมทเ่ี กิดข้นึ แล้ว ภกิ ษทุ ้งั หลาย น้เี รียกว่า สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นอย่างไร คอื ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี ๑. พจิ ารณาเหน็ กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสมั ปชัญญะ มสี ติ กาจดั อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกได้ ๒. พิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยู่ ฯลฯ ๓. พิจารณาเหน็ จติ ในจติ อยู่ ฯลฯ ๔. พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยู่ มคี วามเพยี ร มีสัมปชัญญะ มสี ติ กาจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ภิกษทุ ง้ั หลาย น้เี รียกว่า สัมมาสติ สมั มาสมาธิ เป็นอย่างไร คือ ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทง้ั หลาย บรรลปุ ฐมฌานทม่ี ีวติ ก มีวจิ าร มีปีติ และ สุขอนั เกดิ จากวเิ วกอยู่ ๒. เพราะวติ กวจิ ารสงบระงบั ไป บรรลทุ ตุ ยิ ฌานทม่ี ีความผอ่ งใสภายใน มีภาวะท่จี ติ เป็นหน่งึ ผดุ ข้นึ ไม่มวี ิตก ไม่มวี ิจาร มีแต่ปี ติ และสขุ อันเกดิ จากสมาธิอยู่ ๓. เพราะปีตจิ างคลายไป มีจิตเป็นอุเบกขา มสี ติ มสี ัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วย กาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานทพ่ี ระอรยิ ะทง้ั หลาย กล่าวสรรเสรญิ ว่า “ผ้มู อี ุเบกขา มสี ติ อยู่ เป็นสขุ ” ๔. เพราะละสขุ และทกุ ขไ์ ด้ เพราะโสมนสั และโทมนสั ดบั ไปกอ่ นแล้ว บรรลจุ ตตุ ถ ฌานท่ไี ม่มที กุ ขไ์ ม่มีสขุ มีสตบิ ริสุทธ์ิเพราะอุเบกขาอยู่
ภิกษทุ ง้ั หลาย น้เี รียกว่า สมั มาสมาธ๑ิ ภิกษุท้งั หลาย น้เี รยี กว่า ทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทาอริยสจั [๔๐๓] ด้วยวิธีน้ี ภิกษพุ ิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายภายใน๒อยู่ พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายภายนอก๓อยู่ หรือพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม ท้งั หลายทง้ั ภายในทง้ั ภายนอกอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเป็นเหตเุ กิดในธรรมท้งั หลายอยู่ พจิ ารณาเหน็ ธรรมเป็นเหตดุ ับใน ธรรมท้งั หลายอยู่ หรือพิจารณาเหน็ ท้งั ธรรมเป็นเหตุเกดิ ท้งั ธรรมเป็นเหตุดบั ในธรรมทง้ั หลายอยู่ หรือว่า ภกิ ษนุ ้นั มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “ธรรมมอี ยู่” กเ็ พียงเพ่อื อาศัยเจริญญาณ เจริญสตเิ ท่าน้นั ไม่อาศยั (ตัณหาและทฏิ ฐิ) อยู่ และไม่ยดึ ม่นั ถือม่นั อะไร ๆ ในโลก ภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษพุ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมท้งั หลาย คือ อรยิ สจั ๔ อยู่ อย่างน้ีแล หมวดสจั จะ จบ ธมั มานุปัสสนา จบ ทรงเปรยี บมรรค๘ เป็ นเช่น รถ ๔. ชาณสุ โสณพิ ราหมณสตู ร ว่าด้วยชาณสุ โสณพิ ราหมณ์ [๔] เร่ืองเกิดข้นึ ท่กี รุงสาวตั ถี คร้ันในเวลาเช้า ท่านพระอานนท์ครองอันตรวาสก ถือบาตรและจวี ร1เข้าไปบิณฑบาตยัง กรุงสาวตั ถี ได้เหน็ พราหมณช์ ่อื ชาณสุ โสณอิ อกจากกรุงสาวตั ถีด้วยรถเทยี มด้วยม้าขาวล้วน นยั ว่า ม้าทเ่ี ทยี มเป็นม้าขาว เคร่ืองประดบั ขาว ตวั รถขาว ประทนุ ขาว เชอื กขาว ด้ามประตกั ขาว ร่มขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว และพัดวาลวชี นี (พัดหรอื แส้ขนจามรี) กข็ าว ชนทง้ั หลายเหน็ ทา่ นแล้วพากันพูดอย่างน้วี ่า ทา่ นผู้เจริญ ยานประเสรฐิ หนอ รูปของยานกป็ ระเสริฐหนอ ต่อมา ทา่ นพระอานนทเ์ ท่ยี วบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี กลับจากบณิ ฑบาต ภายหลังฉนั ภัตตาหารเสรจ็ แล้วจงึ เข้าไปเฝ้ าพระผ้มู พี ระภาคถึงทป่ี ระทบั ถวายอภิวาทแล้ว น่งั ณ ทส่ี มควร ได้กราบทลู พระผ้มู พี ระภาคดงั น้วี ่า ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจรญิ ขอประทานวโรกาส ในเวลาเช้า ข้า พระองคค์ รองอันตรวาสก ถือบาตร และจวี รเข้าไปบิณฑบาตยงั กรงุ สาวัตถี ได้เหน็ ชาณุสโสณิ พราหมณอ์ อกจากกรงุ สาวตั ถีด้วยรถเทยี มด้วยม้าขาวล้วน นยั ว่า ม้าทเ่ี ทยี มเป็นม้าขาว เคร่ืองประดับขาว ตวั รถขาว ประทนุ ขาว เชือกขาว ด้ามประตกั ขาว ร่มขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว และพัดวาลวีชนกี ข็ าว ชนทง้ั หลายเหน็ ท่านแล้วพากันพูดว่า ทา่ นผ้เู จริญ ยาน ประเสรฐิ หนอ รปู ของยานกป็ ระเสริฐหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทรงบญั ญตั ยิ านอนั ประเสริฐในพระธรรมวนิ ัยน้ไี ด้หรอื หนอ พระผ้มู ีพระภาคตรสั ว่า อานนท์ อาจบญั ญัตไิ ด้ คาว่า ยานอันประเสริฐน้นั เป็นช่ือของ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ น้เี อง เรียกว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงครามอันยอดเย่ยี มบ้าง 1 คาวา่ ครองอนั ตรวาสก ถือบาตรและจีวร น้มี ิใชว่ า่ กอ่ นหน้าน้ี พระอานนทม์ ไิ ด้น่งุ สบง มิใช่ว่า พระอานนท์ถอื บาตรและจวี รไปโดยเปลือยกายสว่ นบน แต่คาว่า “ครองอันตรวาสก” หมายถึงทา่ นผลดั เปล่ยี นสบง หรอื ขยบั สบงทน่ี ุ่งอยู่ให้กระชบั คาวา่ “ถือบาตรและจวี ร” หมายถงึ ถือบาตรด้วยมอื ถอื จีวรด้วย กาย คอื ห่มจวี รแล้วอ้มุ บาตรนนั่ เอง ดเู ทยี บ วิ.อ. ๑/๑๖/๑๘๐, ท.ี ม.อ. ๑๕๓/๑๔๓, ม.ม.ู อ. ๑/๖๓/๑๖๓, ขุ.อ.ุ อ. ๖/๖๕
สมั มาทฏิ ฐิท่บี ุคคลเจรญิ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมกี ารกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะเป็น ท่สี ดุ สัมมาสังกัปปะท่บี คุ คลเจรญิ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมกี ารกาจัดราคะ โทสะ และโมหะ เป็นทส่ี ุด สมั มาวาจาทบ่ี ุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะเป็น ท่สี ุด สัมมากมั มันตะท่บี ุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะ เป็นทส่ี ุด สัมมาอาชวี ะท่บี คุ คลเจรญิ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะ เป็นท่สี ุด สัมมาวายามะทบ่ี คุ คลเจริญ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะ เป็นทส่ี ุด สมั มาสตทิ ่บี ุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมกี ารกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะเป็น ทส่ี ดุ สมั มาสมาธิทบ่ี ุคคลเจรญิ ทาให้มากแล้ว เป็นธรรมมกี ารกาจดั ราคะ โทสะ และโมหะเป็น ทส่ี ดุ คาว่า ยานอนั ประเสรฐิ น้นั เป็นช่ือของอริยมรรคมีองค์ ๘ น้เี อง เรยี กว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพชิ ัยสงครามอนั ยอดเย่ยี มบ้างน้นั พงึ ทราบโดยปรยิ ายน้แี ล พระผ้มู พี ระภาคผ้สู คุ ตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษติ น้แี ล้ว จงึ ได้ตรัสคาถา-ประพนั ธ์ ต่อไปอีกว่า รถ2ใดมีธรรมคือศรทั ธาและปัญญาเป็นแอกทกุ เม่อื มหี ริ เิ ป็นงอน มใี จเป็นเชือก มีสตเิ ป็นนายสารถีผ้คู อยควบคมุ รถน้มี ศี ีล3เป็นเคร่ืองประดบั มฌี าน4เป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ มีอุเบกขาเป็นทูบ5 มคี วามไม่อยากได้เป็นประทนุ กลุ บตุ รใดมีความไม่พยาบาท มคี วามไม่เบียดเบยี นและมวี ิเวก6เป็นอาวธุ มคี วามอดทนเป็นเกราะหนัง 2 รถ ในทน่ี ้หี มายถงึ อริยมรรคมอี งค์ ๘ (ส.ม.อ. ๓/๔/๑๘๔) 3 ศีล ในทน่ี ้หี มายถึงปาริสทุ ธศิ ีล ๔ ได้แก่ (๑) ปาติโมกขสงั วรศีล (๒) อนิ ทรยี สังวรศลี (๓) อาชวี ปารสิ ุทธศิ ลี (๔) ปัจจยสันนิสติ ศลี (ส.ม.อ. ๓/๔/ ๑๘๔) 4 ฌาน ในทน่ี ้หี มายถึงฌาน ๕ (ปฐมฌาน, ทุตยิ ฌาน, ตติยฌาน, จตตุ ถฌาน, ปัญจมฌาน) ทส่ี มั ปยตุ ด้วยวปิ ัสสนา (ส.ม.อ. ๓/๔/๑๘๔) 5 ทบู แปลมาจากคาว่า ธุรสมาธิ (ทย่ี ึดแอก) หมายถงึ ส่วนทที่ าให้แอกหยุดขยับไปมา (ส.ม.อ. ๓/๔/๑๘๔) 6 วิเวก ในท่ีน้หี มายถึงวิเวก ๓ มกี ายวเิ วกเป็นต้น (ส.ม.อ. ๓/๔/๑๘๕)
กุลบุตรน้นั ย่อมประพฤติเพ่อื ความเกษมจากโยคะ พรหมยานอันยอดเย่ียมน้ี เกดิ แล้วในตนของบคุ คลเหล่าใด บคุ คลเหล่าน้นั เป็นนกั ปราชญ์ มีชยั ชนะ ย่อมออกไปจากโลกโดยแท้ ชาณุสโสณพิ ราหมณสตู รท่ี ๔ จบ ๕. กิมตั ถยิ สูตร ว่าด้วยคาถามเก่่ยี วกับประโยชน์ของการประพฤตพิ รหมจรรย์ [๕] เร่ืองเกิดข้นึ ทก่ี รงุ สาวัตถี คร้ังน้นั ภกิ ษุหลายรูปเข้าไปเฝ้ าพระผ้มู ีพระภาคถึงท่ปี ระทบั ถวายอภวิ าท แล้ว น่งั ณ ท่ี สมควร ได้ทูลถามพระผ้มู ีพระภาคดงั น้วี ่า ข้าแต่พระองค์ผ้เู จรญิ ขอประทานวโรกาส พวกอญั เดยี รถีย์ปริพาชกถามข้าพระองค์ทง้ั หลายอย่างน้ีว่า ผ้มู ีอายุท้งั หลาย พวกทา่ นอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ในพระสมณโคดมเพ่อื ประโยชน์อะไร ข้าพระองค์ทง้ั หลายถกู ถามอย่างน้แี ล้ว จึง ตอบอญั เดียรถีย์ปรพิ าชกเหล่าน้นั อย่างน้วี ่า ผู้มอี ายทุ ้งั หลาย พวกเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ใน พระผ้มู ีพระภาคเพ่อื กาหนดรู้ทุกข์ ข้าพระองคท์ ้งั หลายถูกถามอย่างน้ีแล้ว ตอบอย่างน้ี ช่อื ว่าพดู ตรงตามท่พี ระผ้มู ีพระภาคตรัสไว้ ไม่ช่อื ว่ากล่าวต่พู ระผ้มู พี ระภาคด้วยคาเทจ็ หรอื ช่อื ว่ากล่าวแก้ อย่างสมเหตุสมผลหรือ ไม่มบี ้างหรอื ท่คี าเช่นน้นั และคาทก่ี ล่าวต่อ ๆ กันมาจะเป็นเหตุให้ถูก ตาหนิได้ พระผ้มู ีพระภาคตรัสตอบว่า เอาเถิด ภิกษทุ ้งั หลาย เธอท้งั หลายถูกถามอย่างน้นั แล้ว ตอบอย่างน้นั ช่อื ว่าพดู ตรงตามคาทเ่ี รากล่าวไว้ ไม่ช่อื ว่ากล่าวต่เู ราด้วยคาเทจ็ ช่อื ว่ากล่าวแก้อย่าง สมเหตุสมผล ไม่มีคาเช่นน้นั และคาท่กี ล่าวต่อ ๆ กนั มาท่จี ะเป็นเหตุให้ถกู ตาหนไิ ด้ เพราะเธอ ทง้ั หลายอย่ปู ระพฤตพิ รหมจรรย์ในเราเพ่อื กาหนดรู้ทกุ ข์ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ถ้าอญั เดยี รถียป์ รพิ าชก พึงถามเธอท้งั หลายว่า ผ้มู ีอายทุ ้งั หลาย มมี รรค มีปฏปิ ทาเพ่อื กาหนดรู้ทุกข์น้นั อย่หู รอื เธอ ท้งั หลายถูกถามอย่างน้ีแล้ว พึงตอบอญั เดยี รถียป์ ริพาชกเหล่าน้นั อย่างน้วี ่า ผ้มู ีอายทุ ้งั หลาย มี มรรค มปี ฏิปทาเพ่อื กาหนดรู้ทุกข์น้นั อยู่ มรรค เป็นอย่างไร ปฏิปทาเพ่อื กาหนดรู้ทุกข์น้นั เป็นอย่างไร คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ น้แี ล ได้แก่ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ ๘. สัมมาสมาธิ น้คี อื มรรค น้ีคอื ปฏปิ ทาเพ่อื กาหนดรู้ทุกข์ ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอท้งั หลายถูกถามอย่างน้แี ล้ว พงึ ตอบอญั เดยี รถยี ป์ ริพาชกเหล่าน้นั อย่าง น้ี กิมัตถิยสตู รท่ี ๕ จบ ส.ุ สงั ม. ๑๙/๔-๕/
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: