5. ทีห่ าดทรายรมิ ฝัง่ แมน่ ้ำนัมมทา อย่างไรกต็ าม เรอื่ งเกยี่ วกบั รอยพระพทุ ธบาทน้ันบุคคลไม่ควรไปติดใจในประเด็นวา่ เปน็ รอยท่ี ทรงเหยียบไวห้ รอื ว่าเปน็ รอยพระพทุ ธบาทจำลอง เพราะหากทรงเหยียบไว้ก็เปน็ บรโิ ภคเจดยี ์ หาก จำลองไวก้ เ็ ปน็ อทุ เทสกิ เจดีย์ ซึง่ อำนวยผลใหเ้ กิดขนึ้ แกผ่ ู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ผู้ได้กระทำการ สักการบชู า ด้วยความน้อมรำลกึ ถึงพระพุทธคณุ เป็นอารมณแ์ ลว้ ย่อมไดร้ บั อานิสงสแ์ หง่ การบชู านน้ั โดยไม่ต้องสงสยั เพราเจดยี ์ทุกประเภท เป็นปูชนยี วัตถุ ปูชนียสถาน คือวตั ถุที่ควรแก่การบูชา และ สถานทีค่ วรแกก่ ารสกั การบูชา เพื่อน้อมรำลึกถงึ คุณพระรตั นตรีย อนั พทุ ธศาสนิกชนได้ประกาศตนถงึ เป็นสรณะทีพ่ ง่ึ ที่ระลกึ ถงึ อนงึ่ การยอมรบั ว่าพระรูปกายของพระพทุ ธเจา้ นน้ั ไมไ่ ดใ้ หญโ่ ตเกินคนสามัญทัว่ ไปมากนัก แต่ ทรงใหญโ่ ตกวา้ งลึกด้วยพระพทุ ธคุณ อยา่ งทีเ่ ราสวดกนั ในเวลาทำวตั รเช้าวา่ \"พระพทุ ธเจา้ พระองค์ใด เป็นผู้หมดจดดีแลว้ มพี ระกรณุ าอุจห้วงมหรรณพ มีพระปญั ญาจกั ษุ หมดจดดีแล้ว โดยส่วนเดยี ว ทรงทำลายบาปและอปุ กิเลสแห่งโลก\" การยอมรับความจรงิ เชน่ นี้ จะไดไ้ หวพ้ ระพทุ ธรูปโดยไมต้ องติดท่ีอิฐที่ปูน แต่จะไหวด้ ว้ ยความ รำลึกถงึ คุณดังกล่าว และชว่ ยลดการแข่งขนั กนั สรา้ งพระพุทธรปู ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ ในโลกลงไปบา้ ง เพราะ นอกจากจะเป็นมหาอามสิ ท่ีทำลายเศรษฐกจิ ของชาตแิ ลว้ พระพทุ ธรปู ใหญท่ ่สี ุดในโลกจะมไี มไ่ ดจ้ ริง ๆ ในเมอื่ ยงั มีการแข่งขนั กนั อยเู่ ช่นน้ี การนำเอาพระพทุ ธปฏิมาอันเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ห่งพระพทุ ธองคม์ า สร้างข้ึนใหอ้ ยูใ่ นท่ามกลางสายลมแสงแดดสายฝน โดยไม่มเี คร่อื งมงุ บังถวายชว่ ยให้สลดใจมากกว่า ศรทั ธา การสร้างพระพุทธรปู องค์ใหญ่ไวก้ ลางแจง้ ท่ไี ด้ผลจริง คือ \" การสนองตัณหาของพวกอยาก สร้างพระใหญ่ในโลกแข่งขนั กันเทา่ นน้ั เอง\" 13. ขอความกรณุ าท่านไดก้ รุณาอธิบายวา่ ใครเป็นผู้เขา้ ถึงนพิ พาน เพราะพุทธศาสนาปฏิเสธ อตั ตา ตัวตน อยากทราบเพราะไดฟ้ ังพระเทศน์แล้วยังงง ๆ อยู่ ขอทา่ นได้โปรดอธิบายให้เขา้ ใจดว้ ย? - การบรรลุนิพพานนน้ั เป็นผลท่ีเกิดขึ้นจากการปฏิบตั ิท่ีไดผ้ ่านข้ันตอนมาโดยลำดบั เมอ่ื ได้ปรับ จิตมาจนยอมรบั ความเป็นจริงตามพระไตรลกั ษณ์แล้ว ความเปลี่ยนแปลงภายในจิตจะเกิดขึ้น ตามลำดับดังท่ที รงแสดงไวใ้ นพระสูตรตา่ งๆ ความวา่ \"อรยิ สาวก เมอ่ื ไดส้ ดับแล้วเหน็ อย่อู ยา่ งน้ี ยอ่ มเบื่อหนา่ ยท้งั ในรปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ เมอ่ื เบอ่ื หน่ายย่อมคลายกำหนดั เพราะคลายกำหนดั จิตจงึ หลดุ พน้ เมือ่ จิตหลดุ พน้ แลว้ ก็เกิดญาณข้ึนรู้ว่า เราหลุดพ้นแล้วดงั น้ี ชาตสิ นิ้ แล้ว พรหมจรรยไ์ ด้อยู่จบแลว้ กิจท่ีควรทำไดท้ ำเสร็จแลว้ กิจอน่ื อีกเพือ่ ความเป็นอย่างนี้มิได้มี\" จากพระพทุ ธภาษติ น้เี ป็นการชี้ใหเ้ ห็นวา่ การบรรลนุ พิ พานนน้ั เกิดขนึ้ จากจติ ที่บริสุทธิ์ จากกิเลส โดยเกิดปญั ญาขน้ึ ทำหน้าที่ขจัดสิ่งเหลา่ น้นั ออกไป ในขน้ั ของการสมมติบญั ญตั ิ ผบู้ รรลุคือท่านผู้นั้น นั่นเอง เช่น บอกว่าพระสารบี ุตรหลงั จากบวชแล้วได้ 15 วนั ได้ฟงั พระธรรมเทศนาบรรลอุ รหัต ความ แตกตา่ งกนั คือการบรรลนุ ิพพานตอ้ งอาศัยขนั ธ์ 5 เพือ่ การบรรลุ เพื่อการเรียนรู้ เพือ่ ละความยึดถือ
และเมอ่ื บรรลุแล้วกย็ งั อาศัยขนั ธ์ 5 อยู่ แต่ความยึดถือด้วยอำนาจตัณหาว่าของเรา ดว้ ยอำนาจมานะ ว่าเราเป็นอยา่ งนั้นอย่างน้ี หรือด้วยอำนาจทิฐิวา่ เป็นตัวเปน็ ตนของเราไม่มอี กี ต่อไป และเมอื่ ขนั ธแ์ ตก สลายไปกไ็ มม่ ีอะไรท่ีจะพึงสมมติว่าขาดสญู เพราะเป็นแตเ่ พียง \"ขนั ธ์ 5 อนั ไม่เทีย่ ง สิ่งใดไมเ่ ที่ยง สงิ่ นน้ั เป็นทกุ ข์ สิ่งน้ันก็ดับ ถึงความตงั้ อยู่ไม่ได้ และไดด้ บั ไปแล้ว\" นพิ พาน จึงเป็นเรอื่ งของจติ โดยเฉพาะ อย่างท่ที า่ นแสดงไวว้ ่า \"จติ ของภิกษุปญั จวคั คีย์ หลุดพน้ แลว้ จากอาสวะท้ังหลาย ไม่ถือมนั่ ด้วยอุปาทานแล\" หลงั จากที่ทา่ นไดบ้ รรลนุ พิ พานแล้ว ความ เกี่ยวขอ้ งทางโลกของทา่ นกย็ ังมีอยู่ และยอมรับสมมติบัญญตั ติ า่ ง ๆ ทเ่ี รยี กวา่ โลกบัญญตั ิ โลกนิรุตติ โลกสมัญญา โลกโวหาร แต่ที่สำคญั เพราะท่านไมม่ อี ุปาทาน จึงไมม่ คี วามยดึ ม่นั ในสรรพส่ิงดงั กล่าว แล้ว เร่ืองของอนตั ตาน้ัน ทา่ นแปลว่าไม่ใชต่ วั ใช่ตน ซึง่ จำแนกออกเป็น - ไมม่ ใี ครอาจบงั คบั บญั ชาใหเ้ ปน็ ไปตามที่ตนตอ้ งการได้ - ตรงกันข้ามกบ้ ความเช่ือเรื่องอัตตา - ไม่มใี ครเปน็ เจ้าของอะไรอยา่ งแทจ้ รงิ - เป็นสภาพท่ีวา่ งจากตัวเรา ของเรา กิเลสปรุงแต่งในรูปแบบต่าง ๆ สภาวะของนิพพานจงึ อยูใ่ นความหมายท่ี 4 คือ \"จิตปราศจากเครื่องปรงุ แตง่ เพราะความส้นิ ไป แหง่ ตณั หา\" นิพพานจึงเปน็ สภาพที่ว่าง ออกจากกเิ ลส ดบั หยุด เย็น ดงั ท่ีท่านแสดงไวว้ า่ นิพพฺ านํ ปรมํ สุญญฺ ํ นิพพานเปน็ สภาพทว่ี ่างอย่างยง่ิ เป็นตน้ เมอื่ กล่าวโดยสรปุ จะไดห้ ลกั ที่ควร กำหนด 2 ระดบั คอื 1. ในข้ันของสมมตสิ ัจจะ อยา่ งคาถาของพระราหุลเถระตอนหนึ่งว่า \"เราถอนกามนัน้ ขน้ึ ได้แลว้ ตัดเครือ่ งผกู ของมารไดแ้ ลว้ ถอนตัณหาพรอ้ มทัง้ รากขนึ้ แล้ว เป็นผ้มู ีความเยอื กเย็น นิพพานแลว้ \" 2.ในข้นั ของปรมตั ุสัจจะ ท่านกล่าวว่า \"การบรรลุนิพพานนน้ั มีอยู่ แต่ผบู้ รรลไุ ม่ม\"ี อย่างไรกต็ าม ในฐานะของปถุ ุชนน้นั การเพียรพยายามเพื่อดบั เพลิงกเิ ลส เพลงิ ทกุ ข์ที่เกดิ เพราะ เหตตุ ่างๆ ในสงบระงบั ลงไปไดใ้ นขณะนั้น ๆ ย่อมใหเ้ ข้าใจการบรรลนุ พิ พานท่ีเตม็ รูปไดด้ ียง่ิ ขน้ึ 14. พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมครั้งสดุ ทา้ ยแกใ่ คร ทีไ่ หน ใจความวา่ อย่างไร? - ทรงแสดงธรรมครัง้ สุดท้าย กอ่ นเขา้ อนบุ พพวหิ ารสมาบัตเิ พ่อื เปน็ ปรินพิ พาน แกภ่ กิ ษุทั้งหลาย ผ้ปู ระชุมกัน ณ สาลวโนทยาน ของ
มลั ลกษตั ริย์ เมอื งกุสินารา อนั ถือวา่ เป็นปัจฉิมพุทธพจน์ มใี จความว่า \"หนฺททานิ ภิกขฺ เว อามนตฺ ยามิ โว วยธมฺมา สงขฺ ารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ แปลวา่ ดกู รผเู้ ห็น ภยั ในสังสารวฎั ทั้งหลาย บดั นี้เราขอเตอื นเธอทงั้ หลายให้ทราบไว้ สงั ขารท้ังหลายมคี วามเสือ่ มไปเป็น ธรรมดา เธอทงั้ หลายจนทำประโยชน์ตนและประโยชนเ์ พื่อบุคคลอ่นื ใหส้ มบรู ณ์ ดว้ ยความไมป่ ระมาท เถิด.\" 15. พระพุทธเจา้ ตรสั สอนพระโมคคลั ลานะเกย่ี วกบั วธิ แี ก้ง่วงข้อหนง่ึ วา่ \"ถา้ งว่ งใหค้ ดิ ถึงเร่ืองท่ีทำให้ งว่ งใหม้ ากจะหายได้ แต่จริง ๆ แล้วถา้ เราคดิ ถงึ เรอื่ งท่ที ำให้เรางว่ ง เราก็ยิ่งง่วง อยากทราบวา่ จะ ปฏิบตั ติ ามคำสอนของพระพทุ ธเจา้ ได้อย่างไร? ก็จำคำสอนมาผิดน่ีนา จึงได้งว่ งกนั ไปใหญ่ ทำอยา่ งนนั้ มากเข้ากห็ ลับสบายไปเท่านัน้ เอง คำสอน เรือ่ งอุบายวธิ ีแกง้ ่วงนน้ั ทรงสอนให้ทำไปตามลำดับ ดังนี้ 1. เมอื่ ทำการกำหนดหมายเรอ่ื งอะไรอยู่ ความง่วงเกิดข้ึนครอบงำ ใหก้ ำหนดหมายเรอื่ งนนั้ ๆ ให้ มาก ขอ้ น้ีแหละท่นี ักเรียนจำมาผิด หรอื อยา่ งนอ้ ยกเ็ ขา้ ใจผดิ คอื เมอื่ เราทำอะไรอยกู่ ็ตามหากเกดิ งว่ ง ขึน้ มาก ให้ทำการนน้ั ใหจ้ ริง ๆ จงั ๆ ขึน้ ไม่ใช่คิดเร่อื งทช่ี วนให้งว่ งมากข้นึ เมื่อทำอย่างน้ีแลว้ ยงั ไม่ หายง่วงให้ 2. ตรึกตรองพจิ ารณา ถึงสิ่งที่ตนไดเ้ รียนได้ฟงั มากดว้ ยใจ หากยงั ไมห่ ายอีก 3. ให้ท่องสิ่งที่ตนเรยี นจำได้นน้ั ใหพ้ ิสดารออกไป ก็จะหายงว่ งได้ หากยังไม่หาย 4. ให้ใช้ขนนกเปน็ ต้น ยอนหู ลูบตัวด้วยฝ่ามือ ก็จะหายงว่ งได้ หากยงั ไม่หาย 5. ให้ลกุ ขึ้นยืนเอาน้ำลา้ งหน้า มองไปในทิศทั้งหลาย มองดูดาวในท้องฟา้ หากยงั งว่ งอยู่ 6. ใหก้ ำหนดในใจว่าขณะนเ้ี ป็นกลางวนั น้อมนกึ ถงึ แสงสวา่ ง ก็จะหายง่วงได้ หากยงั ไมห่ ายง่วง อีก 7. ใหอ้ ธิษฐานจงกรม คือเดินกลับไปกลบั มา สำรวมอินทรีย์ ไม่คิดไปในเรือ่ งอนื่ กจ็ ะหายงว่ งได้ เมื่อทำมาถงึ 7 วธิ ีแลว้ เช่นน้ี และแต่ละวธิ นี ัน้ เมอื่ ทำใหม่ ๆ ความง่วงจะหายไประยะหนง่ึ ซ่งึ เม่ือใช้ ครบ 7 วธิ ี เวลาคงผ่านไปมากแลว้ ถา้ เป็นนักเรียนนกั ศกึ ษาก็ควรจะนอนพกั ได้ แต่พระพุทธดำรัสขอ้ น้ที รงสอนพระผบู้ ำเพญ็ เพียรทางจิต ซึ่งใชเ้ วลายามแรก 4 ช่ัวโมง กับยามสดุ ท้าย 4 ช่วั โมงบำเพ็ญ เพยี ร ให้หลับนอนเพียงยามกลาง 4 ชว่ั โมง จงึ ทรงเพ่ิมข้อท่ี 8 ลงไปวา่ 8. หากยังไมห่ ายง่วง ใหน้ อนแบบสหี ไสยาสน์ คอื นอนตะแคงขวา ซอ้ นเท้าเหลื่อมกัน กำหนดไว้ ในใจก่อนจะนอนว่าเมือ่ ตืน่ ข้ึนจะต้องลุกขึน้ ทำความเพยี ร พอตนื่ ต้องลกุ ข้นึ ทันที โดยสอนตนเองว่าเรา จะไมห่ าความสขุ ดว้ ยการนอน ดว้ ยการเคลม้ิ หลับ หรอื การเอนหลงั แลว้ ให้บำเพ็ญเพียรตอ่ ไปจนรุ่ง
สำหรับนักเรยี นนักศึกษา ซึง่ อายุยังน้อย ปฏบิ ตั ิตามเพียงขนั้ 4 ก็นา่ จะพอ เพราะเม่อื เกิดงว่ ง ในขั้นน้ีคงดึกมากแล้ว ควรนอนหลับให้สบายเพ่อื รา่ งกายจะไดพ้ กั ผอ่ นเต็มท่ี ถ้าเปน็ ท่านทีบ่ ำเพ็ญ เพียรทางจิต เม่อื ถกู ความงว่ งครอบงำบ่อย ๆ จะใช้ครบทงั้ 8 ข้นั ก็เป็นการดี 16. พระพทุ ธเจ้าปกครองพระสาวกของพระองคแ์ บบประชาธปิ ไตยอย่างไร ไมใ่ ช่แบบพ่อปกครองลกู หรือ? - การบริหารปกครองคณะสงฆข์ องพระพทุ ธเจ้า เราเรียกว่า พุทธัตจรยิ า คือทรงทำหน้าทข่ี อง พระองคใ์ นฐานะทีท่ รงเป็นพระพทุ ธเจ้า หากจะจัดเป็นแบบประชาธปิ ไตยก็ได้ แต่ไม่ใชป่ ระชาธิปไตย แบบไทย ๆ นะ คอื 1. ในดา้ นนิติบัญญตั ิ คอื การทรงบญั ญัตกิ ฎหมายหรอื วนิ ยั นั้น ทรงฟังเสยี งชาวบ้าน ความเช่ือถือ คตินิยม ขนบธรรมเนยี มของชาวบ้าน และการยอมรบั ว่า การบัญญตั ิเชน่ น้นั เปน็ การดีจากสงฆ์ พระ วินยั หรอื กฎหมายของพระจึงบัญญตั ิในท่ามกลางสงฆ์ พระสงฆย์ อมรบั เปน็ มตเิ อกฉันท์ แตไ่ ดอ้ าศัย เร่อื งตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วเข้าประกอบในการทรงบญั ญตั ดิ ว้ ย 2. ฝ่ายบริหาร ทรงกำหนดหน้าท่ีผู้รับผดิ ชอบในการปกครองลดหล่นั กันลงไป จากการวา่ กลา่ วตักเตอื นกนั เองไปจนถึงอาจารย์ อุปัชฌาย์ เจา้ อาวาส พระมหาเถระตา่ ง ๆ พระองคเ์ องทรงอยู่ ในฐานะของสังฆบิดา คอื เป็นเหมอื นพระบดิ าของพระทงั้ ปวง ทรงกอปรดว้ ยพระมหากรุณาอยา่ งสูง ตอ่ พระสาวกและทรงเปลีย่ นพระองค์ไปตามเหมาะควรแก่บุคคลนั้น ๆ คือ อาจเปน็ กลั ยาณมิตร พ่อ สหาย ครู ศาสดา โดยทรงยดึ หลักวา่ - ยกย่องคนทีค่ วรยกยอ่ ง ในเรอ่ื งท่คี วรยกย่อง - ตำหนคิ นทค่ี วรตำหนิ ในเร่อื งทคี่ วรตำหนิ 3. ฝ่ายตลุ าการ ทรงกำหนดขึน้ เปน็ คณะวินยั ธร สำหรบั ทำหนา้ ท่พี ิจารณา สอบสวน ตดั สิน ปัญหาทางพระวินยั โดยท่านผู้รบั ตำแหนง่ น้ีจะตอ้ งประกอบด้วยความรอบรู้ ความประพฤติ เข้าใจ งานอันเปน็ หน้าทีข่ องตนดี ไมม่ อี คตติ ่อใคร ๆ ตอ้ งให้ความสำคญั แก่การกระทำ มากกว่าผู้กระทำ บาง เร่ืองก็ทรงวนิ จิ ฉัยตดั สินด้วยพระองคเ์ อง หากจะกลา่ วให้ถกู ตอ้ งตามความเป็นจริง การบรหิ ารปกครองคณะสงฆข์ องพระพุทธเจ้า เป็น \"ระบอบธรรมาธปิ ไตย คอื ทกุ อยา่ งจะตอ้ งมจี ดุ นดั พบกนั ที่ความถูกตอ้ งตามธรรม\" แทนที่จะ เป็นประชาธปิ ไตย เพราะถึงจะฟงั เสยี งชาวบ้านด้วย แตจ่ ะฟงั และยอมรบั เฉพาะเสยี งทเี่ ป็นธรรม เทา่ นน้ั ไม่ได้ทำไปตามจังหวะทใ่ี คร ๆ เคาระให้เต้นไปอย่างการปกครองบางระบบ. 17. การที่พระพทุ ธเจา้ เสด็จไปโปรดพระพทุ ธมารดาท่ีดาวดึงส์ ท้ัง ๆ ทไี่ ม่ปรนิ พิ พาน ทา่ นขนึ้ ไป
สวรรคไ์ ด้อย่างไร? ถ้าพระองค์เสด็จไปจริง กต็ ้องเสด็จไปเมอ่ื ยังไมป่ ริพพานสิ เพราะพระพุทธเจา้ พระอรหันต์ทที่ า่ น ปรพิ พานแล้วไมไ่ ดม้ กี ารเกดิ เป็นอะไร ๆ จะไปได้อย่างไรเลา่ เร่อื งการเสด็จไปโปรดพระพทุ ธมารดาทีด่ าวดึงสน์ น้ั ปรากฎหลักฐานในคมั ภีร์ชน้ั หลัง ไม่เคยพบ ในพระไตรปฎิ ก ซง่ึ อาจจะเป็นเพราะยังอ่านไม่จบโดยละเอยี ดก็ได้ สำหรับการไปนน้ั อาจไปได้ 2 วิธี คือไปด้วยญาณหรืออภิญญา อนั ได้แก่ 1. อิทธิวธิ ี ทรงไปด้วยฤทธ์ทิ างกาย อันเปน็ การไปได้เรว็ ยิง่ กวา่ จรวดหลายรอ้ ยหลายพันเทา่ แล้วปราฏพระองค์ข้ึนที่ดาวดงึ สเ์ ลย เร็วขนาดคแู้ ขนเข้าแลว้ เหยียดแขนออก ฉะนน้ั เร่อื งนี้เปน็ ความสำเร็จทางใจ จงึ ไปไดไ้ วเหมอื นความคดิ 2. มโนมยิทธิ เป็นการไปดว้ ยพระกายทส่ี ำเร็จด้วยใจ คอื พระองคเ์ องคงประทบั อยทู่ ี่เดิม แต่มี กายอันสำเร็จขน้ึ ด้วยใจไปปรากฏในทน่ี ้ัน ๆ เรว็ เหมอื นความคดิ เช่นเดยี วกัน แต่ตามเรอื่ งยมกปาฏิหารยิ ท์ ี่ท่านไดแ้ สดงไว้ ปรากฏวา่ ทรงเสด็จไปด้วยวธิ แี รก แต่ทบ่ี อกวา่ ประทับอยทู่ ีด่ าวดึงส์ 3 เดือนน้ัน นับ 3 เดอื นโลกมนษุ ยน์ ะ ไมใ่ ช่ 3 เดือน ดาวดงึ ส์ ถา้ นบั 3 เดอื น บนสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ ป่านนีพ้ ระพทุ ธเจ้าก็ยงั ไม่เสร็จกลับลงมาหรอก เพราะท่านบอกวา่ วันหน่งึ กบั คนื หนึง่ บนสวรรคช์ น้ั ดาวดึงส์ เวลาในโลกมนุษยผ์ ่านไป 100 ปี แสดงว่าถ้าสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ เป็น ดวงดาวใดดวงหนงึ่ ขนาดของดวงดาวนั้นคงใหญน่ ้อง ๆ ดาวพลโู ตทีเดียว ทีฝ่ รัง่ เขาขน้ึ ไปเหยยี บดวงจนั ทร์กัน ไม่คอ่ ยมีใครสงสัย แต่พอเร่ืองอะไรท่เี กย่ี วกบั อทิ ธิฤทธิ์ของ พระพุทธเจ้า ชอบสงสยั กนั จริง ๆ แปลกไหม ? 18. เพราะเหตุไร ประวตั ขิ องพระพทุ ธเจ้า จงึ เป็นแตเ่ รื่องอภินหิ าร ซ่งึ เป็นไปไมไ่ ด้ ทำไมจึงไมเ่ อา เรอื่ งทีเ่ ป็นไปได้มาแนะนำส่งั สอนกนั ? รู้ไดอ้ ย่างไรวา่ เป็นไปไม่ได้ละ เพราะขนาดอภนิ หิ ารคอื อะไรยังไม่รู้เลย สามารถตดั สนิ เร่ืองกอ่ น เกิดตั้ง 2,500 กวา่ ปีวา่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ ไม่รู้สึกวา่ จะเก่งมาไปหนอ่ ยหรอื ? ปัญหาทำนองน้ถี ามมากจรงิ ๆ มากจนคนถามเองไม่ทราบความหมายของคำทใ่ี ช้ คอื แยกกันไม่ ออก ระหว่างอภินหิ าร ปาฏหิ ารยิ ์ อิทธฤิ ทธ์ิ เลยไม่ร้วู า่ ท่ีคิดวา่ เป็นไปได้นนั้ คอื อะไร เรอ่ื งอภนิ ิหารนน้ั ได้ตอบมาแลว้ จะพบว่าไมม่ ีเรือ่ งอะไรเลยทีเ่ ปน็ ไปไมไดใ้ นความหมายน้ี อ้ันทีจ่ รงิ พระประวตั ขิ อง พระพทุ ธเจ้าเป็นประวตั ิแบบคน ๆ หนึง่ เท่านนั้ เอง พเิ ศษกว่าสามญั ชนหน่อยตรงที่ทรงเปน็ มหาบรุ ุษที่ ประกอบด้วยบุญญาภนิ ิหาร อันเกิดจากบารมธี รรมที่อบรมมาเปน็ พเิ ศษเท่าน้ัน แตเ่ รากอ็ าจหา ตวั อย่างบคุ คลระดบั ท่เี รยี กว่าอัจฉรยิ ะทลี่ ดหลัน่ ลงมาเทยี บเคียงได้ และอัจฉริยบคุ คลเหล่านนั้ มีให้ นำมาเทยี บเคยี งได้ทกุ ยคุ ทกุ สมยั ส่วนประวัตกิ ารศึกษาการออกบวช การตรัสรู้เป็นเรื่องของคนท่มี ี ความเช่ือมนั่ ในตนเองสูง มคี วามคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ทำอะไรทำจริง ๆ แต่ไมล่ ืมใช้ปญั ญาพจิ ารณา ตรวจสอบในเรอ่ื งนัน้ ๆ จะทรงปฏิเสธอะไรกต็ ่อเมอ่ื ได้พสิ จู น์แล้วว่าอะไรเปน็ อะไร
พระประวตั ขิ องพระพุทธเจา้ จงึ เป็นประวัตขิ องบคุ คลตัวอย่างผู้มีปณิธานอันแนว่ แน่ ท่จี ะทำ ตนเองให้หลดุ พน้ จากความทุกข์ และช่วยคนอนื่ ให้หลุดพน้ ดว้ ย เมื่อทรงทราบวา่ การหลุดพ้นจาก ความทุกข์จะมีได้ด้วยวธิ ีใด ก็ทรงดำเนนิ ชีวติ ไปโดยวธิ ีน้นั บนเสน้ ทางแหง่ การศึกษาคน้ คว้ามีทัง้ ผิดทัง้ ถูกแต่ไมยอ่ ทอ้ ต่ออปุ สรรคเหล่านั้น เพยี รพยายามใชป้ ญั ญาพิจารณาหาเหตุผล แก้ไขเปลีย่ นแปลงไป ดว้ ยสตปิ ัญญา การกำหนดสังเกตพจิ ารณาของพระองคเ์ อง ไม่รอคอยอำนาจการดลบันดาลจากปจั จยั ภายนอก ความสำเรจ็ ทุกอยา่ งทเ่ี กิดข้นึ ในชีวติ ของพระองค์จงึ เป็นผลท่ีเกิดมาจากเหตุ อนั พระองคไ์ ด้ ประกอบกระทำดว้ ยพระองคเ์ องทง้ั ส้นิ และหลงั จากไดต้ รัสรู้เปน็ พระพุทธเจา้ แลว้ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 45 ปี ทรงใช้เวลา เหลา่ นัน้ เพ่อื คนอื่นตลอดไป อันท่านจัดไว้โดยสรปุ ว่า พุทธจรยิ า คอื 1. ในฐานะท่ีทรงเปน็ หนว่ ยหนง่ึ ของสงั คม และโลก พระองค์ได้เสด็จจาริกไปแนะนำชี้แจงธรรม ที่ พระองค์ทรงตรัสร้มู าแก่ชาวโลก เพ่อื ประโยชน์ เพอื่ เกือ้ กลู เพ่อื ความสุขแกช่ าวโลกทั้งหลาย งานของ พระองค์ที่ทรงกระทำเพ่ือโลกนน้ั อยา่ งท่ีเคยสวด กันเมือ่ สมยั เป็นนักเรยี นวา่ ชท้ี างบรรเทาทุกข์ และช้ีสขุ เกษมศานต์ ช้ีทางพระนฤพาน อันพน้ โศกวิโยคภยั ทรงกระทำงานเหล่าน้ีเพอ่ื อะไร ? เพื่อ .. กำจดั นำ้ ใจหยาบ สนั ดานบาปแหง่ ชายหญงิ สัตวโ์ ลกได้พงึ่ พิง มละบาปบำเพ็ญบุญ ลองศกึ ษาค้นควา้ ดเู ถิด บนโฉมหน้าประวัติศาสตรข์ องโลกอนั ยาวนานนน้ั มีคนอ่นื อีกบา้ งไหมที่ สละราชสมบัตทิ ง้ั ปวงออกไปอยูก่ ลางดินกนิ กลางทราย เพอื่ ค้นควา้ หาหลกั ธรรมและทำหน้าท่ี ช่วยเหลอื ชาวโลก และทำงานได้ในระดับเดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกับพระองค์ มีคนเชน่ นี้อีกไหม? 2. ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกแห่งราชตระกลู ศากยะ ทรงอนุเคราะหพ์ ระญาตขิ องพระองค์ ทำให้ พระญาตทิ ัง้ มวลอย่างนอ้ ยท่ีสุดรกั ษาศีล 5 ได้ จนถงึ บรรลุมรรคผลเปน็ พระอริยบคุ คลระดับต่าง ๆ 3. ในฐานะเปน็ ศาสดาผ้มู ีน้ำพระทัยเอ็นดูต่อพระสาวก ทรงวางกำหนดกฎเกณฑ์ ต้ังขน้ึ เปน็ รปู สถาบันบุคคลคือ กลมุ่ พระสงฆ์ อั้นไดน้ ามว่าบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกา เพื่อทำ หน้าท่ศี ึกษาปฏิบัติธำรงรักษาพระศาสนา เพ่อื ให้เป็นประโยชนแ์ ก่คนท้งั หลายในยคุ ตอ่ มา จนถึง ปจั จุบนั คนเราน้นั หากไมม่ ีโมหาคติ คือมคี วามร้สู ึกลำเอียงเพราะเขลาจนเกนิ ไปแล้ว ต้งั ใจศกึ ษาพิจารณา ไปก็จะพบความจรงิ วา่
\"พุทธประวัตเิ ปน็ เรอ่ื งท่ีเปน็ ไปได้ ในฐานะทเ่ี ป็นพระประวัติของอจั ฉรยิ ะบุคคล อนั เป็นพุทธวิสัย คอื ขอบเขตหรือลักษณะท่ีเปน็ อยู่ ของท่านผู้สร้างบารมเี พื่อเปน็ พระพทุ ธเจา้ บรรลุความเปน็ พระพุทธเจา้ และทรงดำรงฐานะของพระพทุ ธเจา้ \" การยอมรบั และเช่ือถอื เรื่องนี้ ในชัน้ ของปรยิ ตั คิ อื การศกึ ษานัน้ ตอ้ งผ่านขัน้ ตอนตามลำดับดงั น้ี 1. ได้ผ่านการศึกษาคมั ภีร์ท่ีเปน็ หลักมากพอสมควร ไม่ใช่อา่ นเพยี งเล่มสองเล่มแล้วคิดเอาเองว่า เป็นไปไม่ไดเ้ พราะตนทำไมไ่ ด้หรอื ตนเป็นไมได้ เพราะเราไมใ่ ชค่ นระดบั พระพทุ ธเจ้า 2. จดจำเรือ่ งตา่ ง ๆ อนั อาจนำมาพิจารณา เทยี บเคียงวินจิ ฉัย ดว้ ยเหตุผลและหลักฐาน หลักวชิ า สอดส่องเรื่องนน้ั ๆ ดว้ ยอบุ ายวธิ อี ันมเี หตผุ ลเป็นตน้
Search