Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 5 การให้ยาและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ

บทที่ 5 การให้ยาและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ

Published by patteera.wu, 2021-06-24 09:25:29

Description: การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ

Keywords: อาหารทางสายยาง

Search

Read the Text Version

การใหย้ าและสารอาหารทางหลอดเลือดดา การใหอ้ าหารทางสายยาง Abstract [Draw your reader in with an engaging abstract. It is typically a short summary of the document. When you’re ready to add your content, just click here and start typing.] Windows User [Email address]

1 บทท่ี 5 หลักการและเทคนิคการให้อาหาร ยา สารนา้ สารละลาย เลือดและส่วนประกอบของเลือด การใหอ้ าหารและสารนา้ ทางปาก อาหารและน้าถือเปน็ ส่ิงส้าคัญของการด้ารงชวี ิตของมนุษย์ ซ่งึ ตอ้ งไดร้ ับสารอาหารที่ครบถว้ นและเพียงพอแก่ ความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะเม่ือเกดิ การเจบ็ ปว่ ย และไมส่ ามารถรับประทานอาหารเองได้ ฉะนัน จงึ เป็นอกี บทบาทของพยาบาลทต่ี ้องให้การดูแลผู้ปว่ ยเพ่ือใหไ้ ด้รบั อาหารและนา้ อย่างเพยี งพอทงั ชนดิ ของอาหาร ประเภทของ อาหาร และวิธีการให้อาหารแก่ผู้ปว่ ย เชน่ การจัดอาหารให้ผปู้ ่วยสามารถรับประทานเองได้ การป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย ทีไ่ ม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ การเตรยี มผปู้ ่วยก่อนรบั ประทานอาหาร การเตรยี มผปู้ ่วยก่อนรบั ประทานอาหาร มีความส้าคญั ในการท่ีจะท้าให้เพิ่มความอยากอาหารได้ 1. ให้ผ้ปู ่วยขบั ถ่ายก่อน เพื่อปอ้ งกันการปวดถ่ายระหว่างรับประทานอาหาร 2. ท้าความสะอาดปาก ฟนั ล้างหนา้ และมือ 3. จดั สิง่ แวดลอ้ มให้บรรยากาศสดช่นื เช่น เปิดเพลงเบาๆ 4. กา้ จัดส่ิงทน่ี ่ารงั เกียจหรือกล่นิ ทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ เช่น หมอ้ นอน ชามรูปไตทีใ่ สส่ ง่ิ คัดหล่ัง 5. จัดทา่ ใหผ้ ูป้ ว่ ยสบายท่ีสุดและเหมาะแก่การรับประทานอาหาร ถา้ น่งั ได้ ใหน้ ่ังเก้าอหี รอื บนเตยี ง ถา้ นั่งไม่ได้ ให้ไขหัวเตียงใหส้ งู ขนึ ให้ผู้ปว่ ยพิง อาจใช้ผา้ รองใต้คางกนั อาหารเปื้อนเสือ วิธีการใหอ้ าหารผู้ป่วย 1. ตรวจสอบอาหารทีเ่ ตรียมเสรจ็ แล้วใหถ้ กู ตอ้ งแต่ละคน บอกใหผ้ ้ปู ว่ ยทราบถึงชนดิ ของอาหาร โยเฉพาะ ผูป้ ่วยท่ีมองไม่เหน็ 2. ใหผ้ ูป้ ว่ ยรบั ประทานช้าๆ ไมร่ บี รอ้ น 3. ไม่แสดงอาการรงั เกยี จท่ตี ้องปอ้ นอาหารผปู้ ว่ ย หรือจ้องปากผปู้ ่วยจนทา้ ใหผ้ ู้ป่วยอดึ อัด 4. ไม่ให้อาหารรอ้ นจดั เกินไป 5. ไม่ท้าน้าแกง เคร่ืองดื่มหกลงในอาหาร หรอื ทา้ อาหารหกเปอ้ื นถาด 6. ใหอ้ าหารทีละน้อยเปน็ ชนิดไป อยา่ ปนกันจนไมท่ ราบว่าเปน็ อาหารชนิดใดบ้าง 7. ควรใช้ช้อนตกั อาหาร ถ้าจ้าเป็นตอ้ งใชม้ ือ ควรลา้ งมือให้สะอาดและเชด็ ให้แหง้ ก่อน 8. ระหวา่ งทรี่ ับประทานอาหาร ควรให้นา้ แกงร่วมด้วย เพ่ือไม่ใหฝ้ ดื คอและกลนื สะดวกขึน 9. ระหว่างป้อนอาหารอาจใหค้ วามรู้เรอ่ื งเกยี่ วกับอาหารหรือสนทนาบ้าง 10. ส้าหรับผสู้ งู อายุและเด็ก ควรใหเ้ วลาเคยี วนานขึนและป้อนอาหารคา้ เลก็ ลง 11. ส้าหรบั ผู้ป่วยท่รี ับประทานอาหารเองไม่ได้ พยาบาลจะป้อนให้ แตต่ ้องอธบิ ายใหผ้ ู้ป่วยเข้าใจว่าถา้ ระยะที่ ชว่ ยตนเองไดค้ วรรับประทานเอง 12. จดั เวลาใหเ้ พียงพอส้าหรับผู้ป่วยทม่ี ีอาการกลนื ล้าบาก และตอ้ งมคี นอยู่ด้วยขณะรับประทานอาหาร 13. ผูป้ ่วยที่ตามองไมเ่ หน็ สามารถรบั ประทานอาหารเองได้ พยาบาลจะต้องบอกชนดิ ของอาหารและตา้ แหน่ง ท่วี างจัดอาหารให้ใกลม้ ือผู้ปว่ ย 14. ถ้าผู้ป่วยลกุ เดนิ ได้ ควรจัดโต๊ะใหร้ บั ประทานอาหารร่วมกนั 15. ถ้าผู้ป่วยเปน็ โรคติดตอ่ ควรจัดอาหารแยก เวลาปอ้ นอาหารพยาบาลควรระวังการติดเชือสู่ตนเองดว้ ย 16. ภายหลังรบั ประทานอาหารแลว้ ให้ผู้ป่วยลา้ งมือและปากใหส้ ะอาด 17. บันทึกชนดิ และจา้ นวนอาหารท่ไี ดร้ บั แตล่ ะมือ

2 การช่วยเหลือผู้ปว่ ยใหด้ ม่ื น้าหรืออาหารเหลว 1. การใหน้ มทารกจะอุม้ เด็กเพอื่ ให้เด็กรสู้ กึ อบอ่นุ และปลอดภยั ผใู้ หน้ มควรนงั่ เกา้ อีที่มีพนกั พงิ และสงู พอควร อมุ้ เด็กดว้ ยมือขา้ งที่ถนดั โดยให้ศีรษะและคอเด็กอยู่ตรงข้อพับศอก ฝา่ มือช้อนตรงขาไว้ มอื อีกข้างถือขวดนม ก่อนจะ ใหน้ มเดก็ ควรทดสอบอณุ หภูมกิ ่อน โดยหยดนมทขี่ ้อมือดา้ นในของผู้ให้ ถ้าร้อนเกนิ ไป ควรแช่นา้ ใหอ้ ุ่น แล้วยกขวดนม ให้สงู 45o ดูใหแ้ น่ใจว่าน้านมเต็มหวั นมจึงใส่ปากทารก เพื่อปอ้ งกนั เดก็ ดูดลมเขา้ ในทอ้ ง อาจทา้ ให้ทอ้ งอดื และปวด ท้องได้ และขณะให้นมต้องระวังไมใ่ ห้เตา้ นมหรอื ขวดนมปดิ จมูกเด็ก หลงั จากเดก็ ดูดนมไปประมาณครึ่งหน่ึงควรจบั ให้ เดก็ เรอ โดยให้เด็กน่งั และลูบหลัง หรือใชก้ ารอุ้มพาดบา่ โดยให้ศรี ษะอยู่ที่บา่ แล้วลูบหลังเบาๆ ในกรณีทเี ด็กปว่ ย อ้มุ ขนึ จากเตยี งไม่ได้ ใช้มือชอ้ นศีรษะเด็กใหส้ ูงและป้อนขวดนมให้ ไม่ควรน้าขวดนมใสป่ ากเด็กโยไมม่ ีใครอยู่ดว้ ย เพราะ เด็กอาจดูดอากาศเข้าไป หรือดูดเรว็ เกินไปท้าใหส้ ้าลกั จนเสียชวี ิตได้ 2. ในผ้ใู หญ่หรือเดก็ โต พยุงให้ดื่มนา้ โดยสอดมือใตบ้ ่า ให้น้าหนักผปู้ ่วยอยู่ทแี่ ขนของพยาบาล ยกศรี ษะผู้ปว่ ย จากหมอน มืออกี ข้างถือถ้วยน้าหรืออาหารเหลวป้อนให้ผู้ปว่ ย ใหผ้ ปู้ ่วยจบั ถว้ ยไดถ้ า้ ตอ้ งการ ถ้ายกศีรษะไมไ่ ด้เลยให้ รบั ประทานดว้ ยช้อน หลอดกาแฟหรอื กาที่มีพวยยาวหรือใช้แก้วนา้ อยา่ ลืมให้ผปู้ ่วยหยุดหายใจหรือพักบ้าง เพราะถ้า ดื่มรวดเดยี วหรอื เรว็ เกนิ ไปจะทา้ ให้อาเจยี นหรือส้าลกั ได้ การใหอ้ าหารและนา้ ทางสายยาง การใหอ้ าหารทางสายยางให้อาหาร (Enteral tube feeding ) หมายถงึ การให้อาหาร ( Nutrients )เข้าส่รู ะบบทางเดินอาหาร ( Gastrointestinal system ) โดย ผา่ น ทางสาย (Tube) ในผู้ปว่ ยทไ่ี มส่ ามารถรับประทานอาหารไดท้ างปาก และระบบทางเดินอาหารยังคงย่อยและดดู ซึม อาหารได้ วตั ถปุ ระสงค์ในการใสส่ ายเข้าไปในกระเพาะอาหาร 1. เพื่อให้อาหารและยาแก่ผู้ป่วยทไี่ ม่สามารถรบั ประทานอาหารทางปากได้ 2. เพื่อดดู นา้ ย่อย และกา๊ ซออกจากกระเพาะอาหารลดอาการแนน่ ท้อง (gastric suction) 3. เพอื่ ดูดนา้ ย่อยในกระเพาะอาหารออกมาตรวจ (gastric analysis) 4. เพอ่ื ใส่สารละลายในการลา้ งกระเพาะอาหารในผู้ปว่ นทรี่ บั ประทานสารพษิ หรือยาเกนิ ขนาด (gastric lavage/ Irrigation) 5. เพื่อหยุดการออกของเลือดในหลอดอาหาร (Decompress) ด้วยสายท่ีมีลูกโปร่งที่ปลายสายรับประทาน อาหารทางปากได้ ข้อบ่งชีสา้ หรับการให้อาหารทางสายให้อาหาร ผปู้ ว่ ยทไี่ ด้อาหารไมเ่ พยี งพอจากการรับประทานเต็มที่เปน็ เวลา 3 วันขึนไป จ้าเปน็ ต้องได้รับการสนับสนุน ภาวะโภชนาการโดยการใส่สายยางผา่ นทางรูจมูกเข้าสู่กระเพาะผปู้ ว่ ยท่ีมีปญั หา ได้แก่ 1. ผทู้ มี่ ีปัญหาทางระบบประสาทเปน็ เหตุใหไ้ ด้รับอาหารน้อย 2. ผูป้ ว่ ยทร่ี ับประทานไดน้ ้อยหรือไม่ยอมรบั ประทานจากสาเหตใุ ดกต็ าม 3. ผู้ทมี่ คี วามตอ้ งการอาหารเพิ่มขึนกวา่ ภาวะปกติอย่างมาก เช่น ภาวะไฟไหม้ นา้ ร้อนลวก หรอื โรคติดเชือ อย่างรนุ แรง ฯลฯ 4. ผู้ปว่ ยโรคมะเรง็ ซงึ่ ได้รับการรักษาโดยยาต้านมะเรง็ หรือการฉายรงั สีเพ่ือบ้าบัดโรค 5. ผู้ปว่ ยโรคล้าไส้ หรือมรี ูติดต่อระหวา่ งล้าไสก้ ับผวิ หนงั อาหารเหลวทใ่ี หท้ างสายยาง มีสารอาหารครบถ้วนเพยี งพอแก่ความต้องการของร่างกาย มีความหนืดพอเหมาะไมเ่ ข้มขน้ มากเกินไป ประกอบด้วยสารอาหารหลัก ไดแ้ ก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

3 สตู รอาหารเหลวทใี่ ห้ทางสายให้อาหาร แบ่งเป็น 3 ประเภท ดงั นี - สูตรน้านมผสม (milk-based formulas) มนี ้านมและ ผลติ ภณั ฑ์นมเป็นสว่ นประกอบท่ีสา้ คัญ - สตู รอาหารป่นั ผสม (Blenderized diet) เปน็ สตู รอาหารทปี่ ระกอบด้วย เนือสตั ว์ ผกั ผลไม้ ไข่ ไขมัน สตั ว์ น้ามันพืช น้าตาล และคาร์โบไฮเดรตป่นั ผสมเขา้ ด้วยกัน โดยมีอัตราส่วนซซี ตี ่อกโิ ลแคลอลี คือ 1:1, 1.5:1, 2:1 ความหมายคือ1.5:1 คือ 1 ซีซตี ่อ 1.5 กโิ ลแคลอลี - สูตรอาหารส้าเรจ็ รปู (Commercial formulas) ซ่ึงผลติ ขายโดยบริษทั ผลิตนมและอาหารสา้ เรจ็ รูปมที ัง ชนิดท่ีเปน็ ผงและเปน็ ของเหลว วิถที างทส่ี ามารถให้อาหารทางสายยาง มดี ังต่อไปนี 1. Naso – enteric tube feeding 1.1 Nasogastric tube feeding เป็นการใส่สายให้อาหารทางจมกู ผ่านหลอดอาหาร เข้าไปถงึ กระเพาะอาหาร 1.2 Nasojejunal tube feeding เปน็ การใส่สายให้อาหารทางจมูกผ่านหลอดอาหาร เข้าไปถงึ ล้าไส้ เล็กส่วน jejunum 2. Gastrostomy tube feeding เปน็ การใสส่ ายให้อาหารผ่านทางหน้าท้องเขา้ ไปถึงกระเพาะอาหาร ในราย ผปู้ ่วยที่ไม่สามารถใสส่ ายผา่ นทางหลอดอาหารได้ จมูก และท้าให้เด็กหายใจไม่สะดวก ขาดอากาศได้ 3. Orogastric tube feeding เป็นการใส่สายให้อาหารเข้าทางปาก ผ่านหลอดอาหารเข้าไปในกระเพาะ อาหาร ในผู้ปว่ ยเดก็ ทารกแรกเกิดท่ีมีน้าหนกั ตัวน้อยเพื่อให้นมผสม เน่ืองจากเด็กทารกรจู มูกจะเล็กมาก รวมทงั เยอ่ื บุ จมกู จะบางมาก ถา้ ใส่เข้าทางจมกู จะเกิดการบาดเจบ็ ต่อเจ็บต่อเยือ่ บุ ภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสาย ภาวะแทรกซ้อน จากการให้อาหารทางสายให้อาหาร ท่ีพบมีดังต่อไปนี 1. ปลายสายให้อาหารเลื่อนออกมาอย่ใู นหลอดอาหาร หรือเข้าไปในหลอดลม ถ้าพยาบาลท่จี ะให้อาหาร ทางสายไม่ได้ทดสอบปลายสายก่อนให้อาหารจะท้าใหเ้ กิดภาวะแทรกซอ้ นจากการทอี่ าหารเหลวเข้าไปในหลอดลม หรอื ถา้ ปลายสายอยใู่ นหลอดอาหารจะทา้ ให้ผ้ปู ว่ ยอาเจียนและสา้ ลกั อาหารได้ 2. อาเจยี น (Vomiting) เนอ่ื งจาก - ปลายสายเลื่อนมาอยใู่ นหลอดอาหาร - การใหอ้ าหารทางสายเร็วเกินไป เกดิ การหดเกรง็ ของกระเพาะอาหาร - มลี มเข้าไปขณะให้อาหารท้าใหผ้ ้ปู ่วยทอ้ งอืด เป็นสาเหตใุ ห้เกดิ การอาเจยี นได้ - การจัดท่าไมเ่ หมาะสม ท่าทเี หมาะสมในการให้อาหารทางสาย คอื ผปู้ ่วยอยู่ในท่าศีรษะสงู 3. ท้องเสยี (Diarrhea) เกดิ ไดห้ ลายสาเหตุ คือ - ผ้ปู ่วยทีไ่ มม่ นี ้าย่อยสา้ หรบั ย่อยนม ถ้าสูตรอาหาร เหลวมนี มผสม จะทา้ ให้ผปู้ ่วยท้องเสีย - อาหารเหลวที่ไดจ้ ากการปนเปื้อนเชือแบคทีเรีย หรอื จากการเก็บอาหารเหลวไม่ถกู ต้อง ท้าให้ อาหารเหลวบดู - การใหอ้ าหารเหลวในอัตราการไหลทเ่ี รว็ เกินไป และผู้ป่วยมปี ญั หาในการย่อยและการดูดซึม 4. ทอ้ งผกู (Constipation) ปัญหาท้องผูกเกิดขึนเน่ืองจากการ ขาดใยอาหารและได้รบั นา้ ไมเ่ พียงพอ 5. การตดิ เชือในปอด หลอดลม เกดิ จากการสา้ ลักอาหาร จากเทคนิคการใหอ้ าหารที่ไม่ถกู ต้องไม่ได้ทดสอบ ต้าแหนง่ ของสายก่อนให้อาหาร 6. ภาวะไมส่ มดลุ ของสารนา้ และอิเล็คโตรไลท์(Dehydration and Electrolyte imbalance) ผลจากทอ้ งเดินหรืออาหารเข้มขน้ เกินไปโดยเฉพาะโปรตีน

4 กรณีตวั อยา่ ง ผู้ป่วยหญงิ ไทยอายุ 67 ปี แพทย์วนิ ิจฉยั เป็น Seizure ชว่ ยเหลอื ตนเองไม่ได้ ไมส่ ามารถ พดู คุยได้ Coma score = 11 E3M6V2 pupil 2 mm react to light ไมส่ ามารถรับประทานอาหารเองได้ แพทย์ ให้ on NG tube feed Benderlize diet (1:1) 300 ml + น้าตาม 50 ml ทกุ 6 ชัว่ โมง vital signs T 37.10c, P 88 ครงั /นาท,ี R 20 ครงั /นาที BP 150/90 mmHg การใสส่ าย nasogastric tube การเตรยี มผู้ป่วย การใสส่ ายยางเขา้ ไปในกระเพาะอาหารผา่ นทางจมกู ก่อนใส่จะต้องบอกถึงวัตถปุ ระสงค์ของการใส่และวิธีการ ใส่ให้ผู้ป่วยรับทราบและเข้าใจรวมทังเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ซักถามเพ่ือความร่วมมือขณะสาสายและลดความวิตก กงั วล การเตรยี มอปุ กรณ์ - สายท่ีใส่ทางจมูก ขนาด 14 french - ถาดปผู ้าสะอาด - ผ้ากอ๊ ส 2 ผนื - Asepto syringe - สารหล่อลนื่ K-Y gelly - ไม้พนั ส้าลี - แกว้ น้า - ชามรูปไต - พลาสเตอร์ - หฟู ัง - ถุงมอื การวัดความยาวของสาย NG ที่จะใส่ ก่อนใส่สายจะต้องวัดความยาวของสายท่ีจะใส่เพ่ือให้ปลายสายอยู่ที่กระเพาะพอดี ไม่สันหรือยาวเกินไป ในกรณีม่ีเป็นผู้ใหญ่วัดจากปลายจมูกถึงต่ิงหู และจากติ่งหูถึงลินป่ี (xyphiod process) ในเด็กจะวัดจากปลายจมูก หรอื ปาก ถงึ ติง่ หู จากติ่งหูถงึ กงึ่ กลางของกระดกู sternum และสะดอื ของเด็ก ขนั ตอนการปฏบิ ัติ - ลา้ งมือ - เตรียมอุปกรณ์ในการใส่สายใหพ้ รอ้ ม ส้าหรับผูท้ ีถ่ นดั ขวาเขา้ ทางขวา ผูท้ ่ีถนดั ซา้ ยเข้าทางซา้ ย - จัดทา่ ผปู้ ่วย ( High fowler’s position) - ทา้ ความสะอาดโพรงจมูกและชอ่ งปาก - บีบสารหล่อล่นื ลงบน กอ๊ ซพอประมาณ - สวมถุงมือ - วัดความยาวของสาย NG tube ทจี่ ะใสจ่ ากปลายจมกู ถงึ ติ่งหู และจากตงิ่ หูถงึ ลนิ ปี่ ท้าเครื่องหมายไวด้ ดั สายให้โคง้ พอประมาณ เพื่อให้งา่ ยตอ่ การสายให้อาหารขณะผา่ นจากรูจมูกเขา้ ไปในหลอดอาหาร - หล่อลนื่ ปลายสาย NG tube ประมาณ 4 นวิ - สอดปลายสาย NG tube เขา้ ทางรจู มูกข้างใดข้างหนึ่งเตรียมไวแ้ ล้วประมาณว่าปลายสายถงึ คอหอยให้ ผูป้ ่วยชว่ ยกลนื พรอ้ มกบั ผู้ใสด่ ันสาย NG tube เบาๆจนถึงตา้ แหน่งทท่ี า้ เครอ่ื งหมายไว้ - ติดยึดสายไว้กับข้างแก้มชัว่ คราว - ตรวจสอบปลายสายว่าเขา้ ไปในกระเพาะอาหารโดย ใหผ้ ูป้ ่วยอ้าปากดูวา่ มสี ายขดม้วนอย่ใู นปากหรือไมแ่ ละ ใช้ Asepto syringe ดูดสงิ่ ตกคา้ งหรอื น้าย่อยจากกระเพาะอาหาร ถา้ มีแสดงว่าสายยางอยใู่ นกระเพาะอาหาร และ ตรวจสอบโดยใชห้ ูฟัง ฟงั ที่บริเวณลินปี่ของผู้ป่วย โดยใช้ Asepto syringe ดันลมประมาณ 10-30 มล.ผ่านสาย NG tube เรว็ ๆจะไดย้ นิ เสยี ง แสดงว่าปลายสายอยใู่ นกระเพาะอาหาร และใชป้ ลายสายจมุ่ น้าในแกว้ ท่ีเตรยี มมา ถ้าไม่ มีฟองแสดงว่าปลายสายอยูใ่ นกระเพาะอาหาร ถ้ามฟี องแสดงวา่ ปลายสายอาจจะอย่ใู นหลอดลม จะต้องใสใ่ หม่ - ติดพลาสเตอรย์ ดึ สาย NG tube กับสนั จมูก และจดั ให้ผปู้ ว่ ยนอนอย่ใู นท่าศรี ษะสงู เลก็ นอ้ ย

5 ขนั ตอนในการใหอ้ าหารทางสายยาง สา้ หรบั ผ้ปู ่วยท่ีคาสายอยูแ่ ล้ว ปฏบิ ตั ิดงั นี 1. ล้างมอื ใหส้ ะอาด 2. เตรียมอปุ กรณ์ในการใหอ้ าหารเหลว ไดแ้ ก่ อาหาร ยา (ถา้ ม)ี Asepto syringe แกว้ น้าและน้า หฟู ัง ถาดใสอ่ ปุ กรณ์ ชามรูปไต 3. จัดทา่ ให้ศีรษะและลา้ ตัวสูง 15-30 องศา หรืออยใู่ นท่าก่ึงนัง่ กึ่งนอน 4. เปิดจุกทป่ี ิดรู แล้ว clamp สายยาง 5. สวมปลาย syringe feed โดยใช้ syringe feed ดนั ลมเข้าไปประมาณ 3-5 มล. พร้อมกบั ฟังด้วย Stethoscope บริเวณ Xiphoid Process เพ่อื ทดสอบว่าปลายสายอยใู่ นกระเพาะอาหาร หลังจากนนั ให้ดึงลม ออกมาตามจา้ นวนทดี่ ันลมเข้าไป 6. สวมปลาย syringe feed เขา้ กับรเู ปดิ ของสายให้อาหาร แลว้ ดดู ดูว่ามีอาหารเหลวมอื กอ่ นเหลือค้างอย่ใู น กระเพาะอาหารหรือไม่ - ถ้าดูดได้อาหารเหลวมือกอ่ น (gastric content) เหลอื นอ้ ยกวา่ 1/4 ให้อาหารเหลวมือนนั ได้ - ถ้าดดู ได้อาหารเหลวมือกอ่ น (gastric content) เหลอื มากกวา่ 1/4 ให้เล่อื นเวลาอาหารเหลวมือ นนั ออกไปอกี 1 ช่วั โมง และถา้ หลังจาก 1 ชวั่ โมงไปแล้ว gastric content ยงั ไม่ลดลง ใหร้ ายงานแพทย์ ทราบเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป 7. เร่ิมใหอ้ าหารผ้ปู ่วยโดยถอดลกู สบู ของ syringe ออก สวมปลาย syringe เขา้ กับรูเปดิ ของอาหารให้แน่น ถือ syringe ใหอ้ ยู่ในระดับเดียวกบั กระเพาะอาหารผปู้ ว่ ย คอ่ ย ๆ รนิ อาหารเหลวใส่ syringe ยก syringe ขึนให้ อยเู่ หนอื ระดบั กระเพาะอาหารผู้ป่วยเลก็ นอ้ ย หรือยกให้อยู่ในระดบั ที่อาหารเหลวไหลลงช้าๆ ไม่ควรเกนิ 30 มล. ต่อ นาที ไม่ควรถือ syringe สูงกว่ากระเพาะอาหารผ้ปู ่วยเกนิ 1 ฟุตครึง่ รินอาหารเติมลงใน syringe อย่างต่อเนื่อง เพ่ือ ปอ้ งกนั อากาศเขา้ กระเพาะอาหาร 8. เมือ่ อาหารเหลวปรมิ าตรสุดทา้ ยไหลออกเกือบหมด syringe คอ่ ย ๆ รนิ นา้ 30 มล.หรอื ตามคา้ สงั่ ของ แพทย์ ลงใน syringe และเม่ือนา้ ไหล ออกเกือบหมด syringe ใหป้ ฏบิ ัตดิ ังนี 8.1 ถา้ ไม่ต้องการให้ยาพรอ้ มอาหาร รินน้าลงอีก30 มล. แล้วยก syringe ใหส้ งู ใหน้ า้ ไหลลงจนหมด เพ่ือล้างสายใหอ้ าหาร 8.2 ถา้ ต้องการให้ยาพรอ้ มอาหาร รินนา้ ลงใน syringe ประมาณ 10 มล. เทยาทบ่ี ดละเอยี ดแล้วลง ใน syringe เขย่าเบาๆ หรือผสมน้ากบั ยาในแกว้ แลว้ จึงเทลงใน syringe ยก syringe ขนึ ให้ยากับน้าไหลลง คอ่ ย ๆ รนิ น้าทีละนอ้ ยลงใน syringe เพ่อื ลา้ ง กับสายใหอ้ าหารหลายๆ ครัง จนไม่มียาเกาะติด ขา้ ง syringe และไม่ควรใช้ น้ามากเกนิ 50-60 มล. 9. พับสายให้อาหาร ปลด ออกจากสายให้อาหาร 10. ใชจ้ กุ ปดิ รูเปิดสายให้อาหาร 11. จัดให้ผปู้ ่วยนอนหงายตอ่ ไปอีก 30 นาที- 1 ชม. 12. เกบ็ อปุ กรณเ์ คร่ืองใช้ไปท้าความสะอาด 13. บันทึกปริมาณอาหารเหลวและน้าท่ีผู้ป่วยได้รับปริมาณ อาหารที่เหลือค้าง (ถ้ามี) ลงใน บันทึกการ พยาบาล พรอ้ มกบั ภาวะแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ อาเจยี น ถ่ายเหลว เปน็ ต้น การบริหารยา (Drug administration) หมายถึง การจัดการให้ผปู้ ว่ ยไดร้ บั ยาโดยคา้ นงึ ถงึ ความถูกต้อง ตามหลกั การการให้ยา และประสิทธิภาพของ ระบบการบริหารยาสอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงคข์ องหน่วยงาน

6 ขนั ตอนในการบรหิ ารยาประกอบไปด้วย 1. การรบั ค้าสงั่ การรักษา พยาบาลตรวจเช็คค้าสงั่ การให้ยาใน Doctor’s order sheet หลังจากนนั คัดลอก ก้าสงั่ การใหย้ าลงใน medication administration record (MAR) หากมีข้อสงสยั เกยี่ วกับคา้ สัง่ การรักษาให้ สอบถามกบั แพทย์โดยตรง เซ็นชื่อรบั ค้าส่งั การรักษา และท้าเบกิ ยาไปห้องยา 2. การรับยาและการตรวจสอบยา เมอ่ื ได้รบั ยามาแลว้ ต้องท้าการตรวจเชค็ ยาโดยดูข้อมูลหน้าซองยา ชนิด ของยาในซองยากับ ใบ MAR หรือ Doctor’s order sheet จากนันเกบ็ ยาของผปู้ ว่ ยแตล่ ะราย 3. การเตรยี มยาและการใหย้ าโดยแบ่งออกเป็นการบรหิ ารยารับประทานและการเตรยี มยาฉดี โดยการเตรียม ยาจะตอ้ งเตรียมดว้ ยพยาบาลสองคน และปฏบิ ัติตามหลกั 5R 4. การติดตามหลังการให้ยา ติดตามอาการผิดปกติภายหลงั ให้ยา คา้ ส่งั แพทย์ การให้ยาแกผ่ ู้ปว่ ย แพทยจ์ ะต้องรบั ผดิ ชอบในการเขยี นค้าส่ังการให้ยาเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร พยาบาล เป็น ผู้รับผิดชอบในการจดั ยา เตรียมยาและน้าไปให้ผ้ปู ว่ ยโดยตรง พยาบาลจะต้องช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาถูกต้อง ตามการ รักษาและช่วยมิให้ผ้ปู ่วยไดร้ บั อนั ตรายจากการให้ยา ในกรณีเรง่ ด่วนหรือภาวะฉุกเฉนิ แพทยอ์ าจส่ังการ รักษาด้วยปาก หรือทางโทรศัพท์หลงั จากท่ีพ้นภาวะวกิ ฤติแลว้ พยาบาลต้องให้แพทยเ์ ขียนค้าสง่ั เป็นลายลกั ษณ์ อักษรทนั ที หากเปน็ การส่งั ค้าส่ังการรักษาทางโทรศพั ท์พยาบาลจะต้องเขียนค้าส่ังด้วยตนเองพร้อมทงั เวลาและ ช่ือของแพทย์ผสู้ งั่ การ รักษาและใหแ้ พทยเ์ ซ็นช่ือก้ากับทันทเี ม่อื แพทย์มาบนหอผู้ป่วย การเขียนคา้ สง่ั แพทย์มี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ 1. ค้าส่ังครงั เดียวใช้ได้ตลอดไป (continuous order) เปน็ ค้าสั่งที่สง่ั ครงั เดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่า จะมี ค้าสั่งระงับหรือบางครงั่ แพทย์อาจระบวุ ันทรี่ ะงับยาไวเ้ ลยก็ได้ เชน่ การใหย้ า antibiotic จะใหเ้ ป็นระยะเวลาว่าให้ไป แล้วกีว่ ันจึงหยุดการใหย้ าได้เมอ่ื ครบก้าหนดตามท่ีแพทย์ระบุไว้ในใบค้าส่งั ก็ สามารถหยุดการใหย้ านนั ๆ โดยอัตโนมัติ 2. คา้ สง่ั ใชภ้ ายในวันเดียวเป็นค้าสัง่ ทใี่ ชไ้ ด้ใน 1 วัน เมือ่ ไดใ้ ห้ยาไปแล้วเม่อื ครบกร็ ะงบั ไปได้เลย เช่นการ สั่ง ยาพ่นทุก 4 ชัว่ โมงเมื่อครบ 24 ชว่ั โมงคา้ สั่งนันก็ระงับ เชน่ การใหย้ าครงั แรกที่เวลา 10.00 น ของ วันท่ี 20 พฤษภาคม 2559 จะครบรอบค้าสั่งทเี่ วลา 10.00 น ของวันท่ี 21 พฤษภาคม 2559 ค้าสงั่ Stat นับเปน็ ค้าส่งั ใช้ ภายในวันเดียวเช่นกนั คือเมื่อใหแ้ ลว้ แสดงว่าคา้ ส่ังนันหมดไปแลว้ สว่ นประกอบของคา้ ส่ังการรักษา 1. ชอ่ื ของผู้ปว่ ย จะต้องเขยี นทังช่อื และนามสกุลของผู้ปว่ ยหา้ มเขียนแต่ช่ือเพียงอยา่ งเดียวเพราะวา่ อาจ เกดิ ความผิดพลาดเกดิ ขึนไดห้ ากมีชอื่ ซ้ากัน แต่ในปจั จบุ นั จะเปน็ ปา้ ยชอ่ื สตก๊ิ เกอร์ที่พมิ พ์ออกจาก เครอื่ งพิมพ์แลว้ ปดิ แทน การเขียนเพื่อความสะดวกและปอ้ งกันการ 2. วันทีเ่ ขยี นค้าสั่งการส่ังการรกั ษา 3. ชื่อของยา 4. ขนาดของยา 5. วิถที างการใหย้ า 6. เวลาและความถใ่ี นการใหย้ า 7. ลายมอื ผ้สู ่ังยา หลกั การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รบั ยา (5 right, 5R) 1. ให้ยาถูกผู้ปว่ ย (right patient) ก่อนใหย้ าทุกครังพยาบาลตอ้ งม่ันใจว่ายาทใ่ี หน้ ันถูกคน โดยการถาม ชอ่ื - สกุลของผู้ป่วยเปรยี บเทียบกับใบ medication administration record ก่อนใหย้ าทุกครงั 2. ให้ยาถูกชนดิ (right drug) การใหย้ าถกู ชนดิ พยาบาลจะตอ้ งร้จู ักชอ่ื ของยาและรู้วา่ ยานนั ออกฤทธ์ิ อยา่ งไรเพ่ือใหผ้ ลในการรักษา 3. ใหย้ าถกู ขนาด (right dose) การให้ยาได้อยา่ งถูกขนาดนนั พยาบาลต้องมีความรอบคอบในการค้านวณ ขนาดยาท่ใี ห้แกผ่ ้ปู ว่ ยและพยาบาลจะตอ้ งมีความเขา้ ใจในมาตราวัดตวงยาอยา่ งถูกต้อง

7 การเปรยี บเทยี บมาตราตวงยาทีใ่ ช้บอ่ ย 1 g = 1,000 mg 60 mg = 1gr. 1 ml = 15 drop 5 cc = 1 ชอ้ นชา 1 ช้อนโตะ๊ = 3 ช้อนชา 30 cc = 1 ounce 4. ให้ยาถกู เวลา (right time) เปา้ หมายของการใหย้ าถูกเวลาคือการออกฤทธขิ์ องยา ตัวอยา่ งคา้ ย่อที่ใชบ้ ่อยในการใหย้ า a.c. กอ่ นอาหาร p.c. หลังอาหาร O.D. วนั ละครัง b.i.d. วนั ละ 2 ครัง t.i.d. วันละ 3 ครัง q.i.d. วนั ละ 4 ครัง h.s. ก่อนนอน PRN ใหเ้ มื่อจ้าเป็น Stat ทันทีทันใด q ทุก 5. ให้ยาถูกทางและถกู วิธี (right route and method) การให้ยาแบง่ ออกเป็นการให้ยาหลาย ๆ วิธีทาง ดงั นนั การให้ยาพยาบาลจึงต้องร้ตู วั ยอ่ ในการให้นาตามหนทางต่าง ๆ ดังต่อไปนี PO = รับประทานทางปาก IM = ทางกล้ามเนอื SC = ทางใตผ้ ิวหนัง IV = ทางหลอดเลอื ดด้า S.L. = sublingual supp. = suppository, ยาเหน็บ NPO = nothing by mouth KVO = keep vein open ตารางแสดงทางการให้ยา ทางทใี่ หย้ า ระยะเวลาที่ยาออก ข้อบง่ ใช้ ตัวอย่างยา สะดวก ง่าย ค่อนขา้ ง ปลอดภยั ฤทธ์ิ ยาสว่ นใหญเ่ กอื บ ทงั หมด เชน่ ยาแก้ ปวด ยานอนหลบั ยา ปฏิชีวนะ Oral (PO) 30-60 min Sublingual(SL) ภายในเวลาไม่กี่นาที เม่อื ต้องการใหอ้ อกฤทธ์ิ ทนั ที ยาอมใต้ลินเมือ่ บรรเทา อาการเจบ็ Rectal (p.r.) หนา้ อก เชน่ NTG, Isordil 15-30 min Transdermal ให้เมื่อผู้ปว่ ยไมส่ ามารถ รับประทานยา ยาท่ีใช้เหนบ็ เพอ่ื ระบาย หรือเป็นการ Subcutaneous (SC) 30-60 min Intramuscular (IM) ทางปาก ได้ หรอื ใหเ้ มื่อตอ้ งการ ผล ให้ยาเพื่อ บรรเทาอาการคล่นื ไส้ ภายในเวลาไม่กี่นาที Intrathecal (IT) ภายในเวลาไม่กี่นาที เฉพาะที่ อาเจียน ยากันชกั Intravenous (IV) ภายใน 1 min ให้เมื่อตอ้ งการใหย้ า คอ่ ย ๆ ออกฤทธิ์ ยาแกป้ วดพวก Nitroglycerin, ภายใน 1 min และให้ ยาอยู่ได้นาน Morphine แผน่ แปะ คุมกา้ เนดิ สา้ หรบั ยาทีถ่ ูกท้าให้ หมดฤทธิ์เม่ือผ่าน insulin ระบบ ทางเดินอาหาร ใหใ้ นกรณที ยี่ าดดู ซึมได้ ไมด่ ีในระบบ ยาแกป้ วดท่เี ขา้ สารเสพ ตดิ ยา ทางเดิน อาหาร และต้องการให้ ระดบั ปฏิชวี นะ ยาในเลือดสงู เพื่อใหอ้ อกฤทธ์ิได้เรว็ วัคซีน เพอื่ หวงั ผลเฉพาะทภ่ี ายในไขสันหลงั ยาชาทใี่ หท้ างไขสนั หลงั (spinal ใช้ในกรณีฉกุ เฉนิ เมื่อ ต้องการใหอ้ อก ฤทธ์ทิ นั ที ให้ในกรณีทต่ี อ้ งการให้ ใน anesthesia) ขนาดสูงโดยผา่ นการ หยดเขา้ ทาง หลอดเลือด ด้าแบ่งการใหอ้ อกเปน็ 2 การใหน้ า้ เกลอื สารอาหารทดแทน แบบ คอื IV push และIV drip การ ใหย้ าปฏิชีวนะ การใหย้ า เพอ่ื การ กชู้ ีวิต (resuscitative drug)

8 ทางท่ีให้ยา ระยะเวลาท่ยี าออก ขอ้ บ่งใช้ ตัวอยา่ งยา ฤทธ์ิ Inhalation เพอ่ื หวงั ผลเฉพาะท่ใี น ระบบทางเดนิ ยาต้านอาการหอบหดื ยาขยาย Topical ภายใน 1 min หายใจ หลอดลม Vaginal เพอื่ หวังผลเฉพาะที่ ท่ี ผวิ หนงั และ เป็นครมี ขีผึง สเปรย์ ภายใน 1 ชว่ั โมง เนือเยอ่ื เชน่ ที่ ตา หู จมูก ปาก เพอื่ ผลเฉพาะท่ี ยาเหน็บ 15-30 min หลกั สา้ คญั ในการให้ยา 1. การใหย้ าทางปากใชห้ ลกั สะอาด และการฉดี ยาใชห้ ลัก aseptic technique 2. ตรวจสอบคา้ สงั่ แพทย์ก่อนให้ยาทุกครัง หากมีข้อสงสยั ใหต้ รวจสอบจากใบสง่ั ยาทุกครังและหาก ไม่แน่ใจ ให้ซักถามจากแพทย์ผทู้ า้ การรักษา 3. ก่อนใหย้ าต้องทราบวตั ถุประสงคก์ ารใหย้ า การวนิ จิ ฉัยโรค ผลของยาท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดและฤทธ์ิ ขา้ งเคียง ของยา 4. ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตวั ผปู้ ว่ ยและญาตใิ นกรณที ี่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตวั และทดสอบการแพ้ ของยาบาง ชนดิ หากมปี ระวตั แิ พ้ยาต้องเขียนป้ายตดิ ท่ีแผ่นรายงานการรักษาอย่างชดั เจนเพื่อ ปอ้ งกันการส่งั ยาทผ่ี ู้ปว่ ยแพ้แก่ ผปู้ ่วย 5. ตรวจสอบวันหมดอายุของยาปกติแล้วยาเม็ดจะมีอายอุ ยู่ได้ 5 ปแี ละยาน้าจะมีอายุได้ 3 ปีแต่ หากเปดิ ขวด แลว้ นิยมใชเ้ พยี ง 6 เดือนเท่านนั เพือ่ ป้องกนั การปนเป้ือนของเชือโรคเมื่อเปดิ ขวด แล้วให้เขยี นวันทเี่ ปดิ และวันท่ี หมดอายุไว้ที่ขา้ งขวดเสมอเพ่ือให้ทราบวันทห่ี มดอายุของยา สว่ น ยาหยอดตานันเม่ือเปิดแล้วจะใชไ้ ด้เพยี ง 30 วัน เทา่ นันและต้องเกบ็ ในต้เู ยน็ หา้ มใช้ยา หยอดตารว่ มกันเพื่อปอ้ งกนั การแพร่กระจายเชือ 6. ไม่ควรเตรยี มยาคา้ งไว้ บรเิ วณทีเ่ ตรียมยาต้องสะอาดและมแี สงสวา่ งเพยี งพอ พยาบาลตอ้ งมี สมาธิในการ เตรียมยาและให้ยาแก่ผ้ปู ่วย ไม่ควรพูดคุยขณะเตรยี มยา ผ้เู ตรียมยาและผู้ใหย้ าควร เป็นคนเดียวกนั เพื่อป้องกนั ความ ผิดพลาด และต้องมีการตรวจสอบซ้าจากเจ้าหน้าท่ีอกี ท่านหน่งึ เสมอเปน็ การ double check เพ่อื ป้องกันความ ผิดพลาดท่ีอาจจะเกดิ ขึน 7. ไม่ใหย้ าทฉี่ ลากมีการลบเลือนไม่ชดั เจน หากมกี ารเทยาออกมาแลว้ ไมค่ วรเทยากลับไปในขวด เดิมอีก และ ไม่ควรเทยาท่ีเหลอื จากอีกขวดไปอีกขวดหนึง่ 8. ตรวจสอบผูป้ ่วยก่อนใหย้ าโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครงั หากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้ เร่อื งต้อง ทา้ การตรวจชอ่ื ผูป้ ่วยกบั ปา้ ยขอ้ มือก่อนให้ยาทุกครัง อย่าใช้หมายเลขหอ้ งหรือเตยี งเป็น เคร่อื งมอื ยืนยันผู้ป่วย เน่ืองจากอาจมีการสลบั หอ้ งหรือเตียงของผ้ปู ่วยได้ 9. บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงคข์ องการใหย้ าและผลขา้ งเคียงทอ่ี าจจะเกิดขึนกบั ผ้ปู ว่ ย โดยเฉพาะ ผปู้ ว่ ยทจี่ ะกลับบา้ นต้องมีการอธบิ ายให้ชดั เจนเพื่อปอ้ งกันไมใ่ ห้เกดิ การใช้ยาผดิ เช่น ยาก่อนนอนต้องบอกใหผ้ ู้ปว่ ย ทราบอย่างชดั เจน ผู้ปว่ ยบางรายอาจเข้าใจวา่ ต้องรับประทานยา ก่อนนอนทุกครงั หากเขา้ ใจผิดอาจจะรบั ประทานยา เกนิ ขนาดไดเ้ นื่องจากมกี ารรับประทานยา ทุกครังก่อนที่ตนเองจะนอน 10. ตอ้ งใหผ้ ปู้ ่วยรับประทานยาต่อหนา้ พยาบาลเพื่อป้องกันผ้ปู ่วยไมไ่ ด้รับยา ยกเว้นยาบางชนิดเช่น ยาจิบแก้ ไอเพอื่ ให้ผู้ปว่ ยไดจ้ บิ ยาเพ่ือลดอาการไอท่เี กิดขึน 11. ลงบันทึกการใหย้ าหลงั จากให้ยาทันที ยาบางชนิดจะต้องมกี ารลงข้อมูลสา้ คัญ ๆ บางอย่างด้วย เช่นการ ใหย้ าลดความดันต้องมีการบันทึกคา่ ความดนั เลือดก่อนการใหย้ า หรือการให้ยาทีม่ ผี ล ต่ออตั ราการเต้นของหวั ใจ จะต้องมกี ารบนั ทกึ อัตราการเตน้ ของหัวใจไวด้ ว้ ยอาจจะลงในแผน่ บนั ทกึ การใหย้ าหรือในบนั ทึกทางการพยาบาลก็ได้ โดยขนึ กบั แต่ละโรงพยาบาล

9 12. ประเมนิ ประสิทธภิ าพของยาทใี่ ห้ หากยาไม่มีฤทธ์ติ ามต้องการอาจต้องหาสาเหตุอ่นื เพ่อื ช่วยบรรเทา หรอื รักษาอาการนนั ๆ ดว้ ย 13. สงั เกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขนึ ต้องรีบรายงานแพทย์ทนั ที เช่น การมีผ่ืน ขนึ ท้องเสยี อาเจยี น หายใจไมส่ ะดวก 14. ในกรณที ่ีใหย้ าผิดต้องรบี รายงานใหพ้ ยาบาลหวั หนา้ เวรรบั ทราบเพื่อหาทางแก้ไข พยาบาล จะต้องสงั เกต อาการผูป้ ่วยอย่างใกล้ชดิ และลงบนั ทกึ ในแผ่นบันทกึ ทางการพยาบาลพร้อมทงั เขียนรายงานทเ่ี กิดขนึ เพ่ือวเิ คราะห์หา สาเหตุและเป็นแนวทางในการในการแก้ไขป้องกนั ไม่ให้ เกิดเหตุการณ์ซ้าอีก และเพือ่ เป็นการป้องกันอนั ตรายทจี่ ะ เกดิ ขนึ แก่ชวี ิตของผู้ป่วยได้ การให้ยาทางปาก จุดมุง่ หมายของการบริหารยาทางปาก คือต้องการใหม้ ีการดดู ซมึ ทางกระเพาะอาหารและลา้ ไสเ้ ล็ก วิถที างให้ ยาทางปากเป็นวิถที างท่ีใช้บ่อยท่สี ดุ เป็นวิถที างท่ีไมย่ งุ่ ยากและท้าให้ผปู้ ่วยสขุ สบาย หลงั รบั ประทานยา ยาจะตอ้ งใช้ เวลานานจึงจะออกฤทธ์ิ แตใ่ ห้ผลทางเคมีทีร่ นุ แรงน้อยกว่าวิถที างใหย้ าอนื่ การใหย้ าทางปากเป็นวิธที ่ี ง่าย สะดวก และประหยดั ท่ีสุด ใชใ้ นรายที่ผู้ปว่ ยสามารถกลนื ไดห้ รือไมม่ ีขอ้ ห้ามในการใหย้ าทางปาก หากเปน็ เดก็ หรือผปู้ ่วยท่มี ี ภาวะกลืนลา้ บากอาจจะต้องใชก้ ารเปล่ียนรูปแบบการรบั ประทานยาใหมโ่ ดยการบดยาแลว้ ใหท้ างสายใหอ้ าหารแทน หรือท้าละลายจะทา้ ให้กลนื ได้งา่ ยขึนแต่ต้องระมดั ระวงั เนื่องจากยาบางชนิดไม่สามารถบดได้ การเตรียมยา 1. ยาชนดิ unit dose (ยาทีจ่ ดั มาเปน็ แบบวนั ต่อวนั ) หยบิ ยาใส่ถว้ ยยาจ้านวนตามทแ่ี พทยส์ ั่ง ยาท่ี ห้มุ มา ดว้ ย foil ให้แกะยาทเ่ี ตียงของผู้ปว่ ย foil ทห่ี ่อหมุ้ ยาไว้จะใช้ในการตรวจสอบยาว่าตรงกับ แผนการรกั ษาหรือไม่ 2. ยาชนิด multidose ค่อยๆ เทยาจากซองยาหรือขวดท่บี รรจุยาหรอื foil โดยทไี่ ม่ให้มือสมั ผสั ยา เพ่ือ ป้องกันสงิ่ สกปรกจากมือปนเปือ้ น 3. ยานา้ ให้หนั ปา้ ยยาหรือฉลากยาเข้าหาฝา่ มอื เพ่ือป้องกันยาหกเปื้อนป้ายยาหรือฉลากยาทา้ ใหป้ ้ายยาหรือ ฉลากยาเลอะเลอื นได้ ถือแกว้ ยาให้อยู่ระดบั สายตา โดยวางนวิ หวั แม่มอื ไว้ที่ระดับท่ี ต้องการเพื่อให้เทยาได้ตาม จ้านวนทถ่ี กู ต้อง ก่อนรนิ ยาต้องเขย่ายาใหเ้ ข้ากันก่อน 4. ดชู ือ่ ขนาดยาใหต้ รงกับใบ MAR อีกครังก่อนเก็บยาเข้าท่ี 5. ใหผ้ ู้ปว่ ยรบั ประทานยาตรงตามเวลาในใบ MAR 6. ดูเบอรเ์ ตียง ถามชื่อ - สกุลผู้ปว่ ยให้ตรงกับใบ MAR ของผปู้ ่วยแต่ละรายตรวจดปู ้ายชอ่ื ท่ีข้อมือ เพื่อ ระบุ ตัวผปู้ ่วยเปน็ การตรวจสอบว่าผปู้ ว่ ยได้รบั ยาถูกคน เพ่ือปอ้ งกนั ความคลาดเคลอ่ื น 7. ประเมิน vital signs ของผู้ป่วยกอ่ นให้ยาในกรณีที่ยานนั มผี ลต่อการเปลี่ยนแปลงของ vital signs ประเมินระดับความปวด (pain level) ก่อนให้ยาแกป้ วด 8. ใหผ้ ปู้ ว่ ยรบั ประทานยาต่อหน้าพยาบาลอยู่กับผู้ป่วยจนกลืนยาเรยี บร้อย ไม่วางยาไว้ท่ขี า้ งเตยี งผ้ปู ่วย 9. สังเกตการเปล่ยี นแปลงหลังรับประทานยาเพ่ือให้การชว่ ยเหลือได้ทนั ทว่ งที 10. บันทกึ ในแผนการพยาบาลและในใบ MAR ทกุ ครงั หลงั ใหย้ า โดยลงบนั ทกึ วันท่ี เวลา และลายมือชื่อ ของผู้ใหย้ าลงในใบ MAR กรณียา PRN ต้องระบุ เหตผุ ลท่ีต้องให้ยา การลงบนั ทึกจะชว่ ยป้องกันการให้ยาซ้า กรณี ไมไ่ ดใ้ หย้ า เช่น ผปู้ ่วยปฏิเสธหรือแผนการรกั ษา ของแพทยใ์ หง้ ดยาตอ้ งบันทึกไวด้ ้วย ยกตวั อยา่ งในกรณี การให้ยาลด ความดนั โลหิตหากความดนั โลหติ ตา้่ กว่าที่ แพทยก์ า้ หนดในมือนนั ให้งดยา หรอื การจับชีพจรก่อนการใหย้ า Digoxin หากนอ้ ยกว่า 60 ครังต่อนาทีใหง้ ดยาใน มือนนั ยาหยอด ตา หู จมกู ยาหยอดตา 1.ล้างมอื ใหส้ ะอาด เขยา่ ขวดยา

10 2. นอนหรือน่ังแหงนหนา้ มองขึนข้างบน ใชน้ ิวดึงหนงั ตาลา่ งลง 3. หลับตาพร้อมทังใชน้ ิวกดหัวตาไว้ประมาณ 1-2 นาที ซบั ส่วนที่เกนิ ออก หา้ มขยตี า ควรกดหวั ตาเบาๆ กันยาไหลลงคอ 4. หากจ้าเปน็ ตอ้ งหยอดตาหลายตวั ในชว่ งเวลาเดยี วกนั ให้เว้นช่วงระยะเวลา 5 นาที เพอ่ื ให้ยาแต่ละชนดิ ออกฤทธ์ิได้ดี 5. ควรเก็บยาไวใ้ นทเ่ี ย็น เม่ือเปิดแล้วไมค่ วรใชน้ านเกนิ 1 เดือน เพราะยาจะไม่ปราศจากเชอื แล้ว ยาปา้ ยตา บีบยาลงในกระพุ้งตาโดยเร่ิมจากหัวตา ระวังไม่ให้ปลายหลอดแตะกบั ตาหรือเปลือกตา หลับตา กลอกไปมา หรอื ใชน้ วิ มือคลึงเบาๆ เพ่ือให้ยากระจายทั่ว ถ้าจ้าเป็นต้องใชย้ าปา้ ยตาร่วมกับยาหยอดตา ใหห้ ยอดตากอ่ นป้ายตา 5 นาที ยาล้างตา รินน้ายาล้างตาเตม็ ถ้วย ก้มศรี ษะเอาตาจุ่มลงในถ้วย ใช้มือกดถว้ ยให้แนน่ เงยหน้าขนึ โดยไมใ่ ห้น้ายาหก ลมื ตาในน้ายากลอกไปมาสักพัก แล้วกม้ ศีรษะลง ยกถว้ ยล้างตาออก ยาหยอดหู 1. ลา้ งมอื และทา้ ความสะอาดใบหดู ้วยผ้าชบุ นา้ เช็ดใหแ้ หง้ 2. เอียงหูหรอื นอนตะแคง ให้หขู า้ งทจ่ี ะหยอดอยู่ดา้ นบน ดึงใบหูขนึ และไปขา้ งหลงั หากเป็นเดก็ อายุตา้่ กว่า 3 ปี ใหด้ ึงใบหลู งล่างและไปข้างหลงั หยอดยาตามจา้ นวนหยด 3. เอียงหขู ้างนันไว้ 2-3 นาที หรอื ใช้สา้ ลอี ุดหูไว้ 5 นาที 4. หากต้องการหยอดหูทงั 2 ขา้ ง ใหท้ ้าแบบเดยี วกัน การหยอดจมูก 1. จดั ใหผ้ ูป้ ว่ ยอย่ใู นท่านงั่ พงิ พนกั และเอนศรี ษะไปด้านหลัง หรือนอนโดยใหศ้ ีรษะต่้ากว่าขอบเตยี ง 2. มอื ข้างหนงึ่ รองรับศีรษะผปู้ ว่ ย อีกขา้ งหนง่ึ ถือหลอดยา สอดเข้าไปในจมูก ลึกประมาณ 1/3 นวิ ไม่ให้ถกู ผนังจมกู และบีบยาประมาณ 2-3 หยด 3. ให้ผูป้ ว่ ยอยู่ในท่าเดมิ ประมาณ 3 นาที พร้อมทงั ใช้นิวกดจมูกข้างหนึ่ง แล้วสูดลมหายใจแรงๆ 3-4 ครัง แลว้ เปล่ียนทา้ อกี ขา้ ง การพน่ ยา 1. Nebulizer เปน็ การพน่ ยาแบบละอองฝอย ซ่งึ ต้องใช้เครื่องมือในการให้ออกซิเจนและมหี นา้ กากพ่นยา 2. Metered dose inhaler (MDI) วิธนี ตี อ้ งอาศัยทักษะในการใชอ้ ุปกรณ์ คือการกดยาต้องสมั พันธ์กบั การ หายใจเข้า 3. Dry power inhaler (DPI) ท้าใหผ้ งยาผา่ นไปยงั หลอดลมส่วนปลายดว้ ยกลไกของเคร่ือง ยาฉีดเขา้ ชันผิวหนัง ใต้ผวิ หนงั และ กล้ามเนือ การฉีดยา การฉดี สารท่เี ปน็ ของเหลวเข้าไปในเนือเยอื่ หลอดเลือด หรือช่องในร่างกาย การฉีดยาเป็นการให้ยาที่ ไดผ้ ล เร็ว แตม่ ีวธิ กี ารท่ีย่งุ ยาก สินเปลอื ง เสย่ี งตอ่ อันตราย ดังนัน การให้ยาวธิ นี ีจงึ กระทา้ เมื่อจา้ เป็นและเมื่อไม่ สามารถให้ โดยวิธีอ่ืนได้ การฉดี ยาโดยทัว่ ไปในการรักษาพยาบาล มี 4 วิธีได้แก่ 1 การฉดี ยาเขา้ กล้ามเนือ (intramuscular injection) 2 การฉีดยาเขา้ ใต้ผวิ หนัง (subcutaneous injection) 3 การฉดี ยาเข้าหลอดเลือดดา้ (intravenous injection)

11 4 การฉีดยาเขา้ ผิวหนัง (intradermal injection) อันตรายจากการฉีดยา 1 การใหย้ าผดิ (ผิดชนดิ ผิดขนาด ผดิ ตัวผู้ปว่ ย ผิดวถิ ีทาง ผดิ เวลา) 2 การทา้ ลายเส้นประสาท 3 การเปลี่ยนแปลงของเนือเย่ือ 4 การตดิ เชือ 5 การแพ้ยา 6 การไม่เขา้ กนั ของยา 7 ความกลวั และความเจ็บปวด ขนั ตอนการเตรยี มฉดี ยา วัตถุประสงค์ 1 เพ่อื ใหย้ าอยู่ในสภาพที่พรอ้ มและเหมาะสมสา้ หรับนา้ ไปฉีดได้ 2 เพอ่ื ใหผ้ ้ปู ว่ ยได้ยาฉดี ทถ่ี ูกชนิดและขนาด 3 เพ่อื ให้ผู้ปว่ ยไดย้ าฉดี ท่ีสะอาดปราศจากเชือ อุปกรณ์ 1 ยาที่ต้องการฉดี 2 กระบอกฉีดยาขนาดต่าง ๆ 3 เข็มฉดี ยาขนาดตา่ ง ๆ 4 สา้ ลชี ุบ 70% alcohol 5 ใบเล่อื ยหลอดยา 6 ถ้าเป็นยาฉดี ชนดิ ผง ต้องเตรยี มตวั ท้าละลายเพ่มิ อกี เชน่ นา้ กลนั่ , น้าเกลอื (Physiological saline solution) ยาฉีด ยาสา้ หรบั ฉีดจะบรรจอุ ยู่ในภาชนะบรรจทุ ่ีเปน็ หลอด (ampule) และขวด (vial) ยาทบ่ี รรจุในหลอดจะเป็น ยานา้ ซึงใช้ฉดี ครังเดยี ว (single dose) ถา้ ใชไ้ ม่หมดตอ้ งทิงไป เพราะเม่อื หลอดยาถูกหกั แล้วจะไมส่ ามารถรักษา ใหอ้ ยู่ ในสภาพปราศจากเชอื ได้ กระบอกฉีดยา (Syringe) สว่ นประกอบของกระบอกฉีดยาทุกชนดิ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คอื สว่ นปลายสุด (Tip) ใชต้ ่อเข้ากบั หวั เข็มฉีด ยา ตวั กระบอกฉดี ยา (Cylindrical barrel) เปน็ ส่วนทมี่ มี าตราบอกจา้ นวนยา และสว่ นของลกู สูบ (Plunger) เป็น ส่วนทส่ี วมอยูใ่ นกระบอกฉดี ยา กระบอกฉดี ยาจะมที ังชนดิ ท้าด้วยแกว้ ซง่ึ สามารถนา้ ไปท้าใหป้ ราศจากเชือ และนา้ กลบั มาใช้ได้อกี และชนิดท้าด้วยพลาสตกิ ซ่ึงใช้แล้วทิง เขม็ ฉีดยา เขม็ ฉดี ยาสว่ นมากทา้ จาก stainless steel และเปน็ ชนิดใชค้ รังเดยี ว (disposable) เข็มฉีดยา ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คอื หวั เข็ม (hub) ซงึ่ มีขนาดพอดีกับปลายกระบอกฉีดยา, ตวั เขม็ (shaft) เป็นส่วนทีต่ ่อจาก หัวเข็ม และส่วน สุดท้ายคือปลายเข็ม (bevel or slanted tip) วิธีเตรยี มยาฉดี จากยานา้ บรรจุหลอด (Ampule) 1. ทา้ ความสะอาดรอบคอหลอดยา และใบเลื่อยด้วยส้าลชี บุ แอลกอฮอล์ 70%

12 2. เล่อื ยรอบคอหลอดยาพอเปน็ รอย โดยคล่สี ้าลชี ุบแอลกอฮอลร์ องหลงั คอหลอดยา ถ้ามยี าค้างอยู่ เหนือคอ หลอดยาต้องไล่ยาลงไปอยู่สว่ นใตค้ อหลอดยา ถา้ หลอดยามแี ถบสที ี่คอหลอดยาไม่ จ้าเป็นตอ้ งเลื่อยคอหลอดยา 3. เชด็ รอบคอหลอดยาด้วยส้าลชี บุ แอลกอฮอล์ 4. คล่ีสา้ ลีหรอื กอ๊ สท่ผี ่านการฆา่ เชอื โรคแลว้ ห้มุ รอบบริเวณคอหลอดยาเพ่ือป้องกันหลอดยาท่หี ักปลาย แล้ว บาดนิวมอื แล้วท้าการหักหลอดยา วางหลอดยาทห่ี กั ปลายแล้วในบริเวณทีไ่ ม่ถกู ปนเป้ือน 5. สวมหวั เข็มส้าหรบั ดดู ยาเข้ากบั ปลายกระบอกฉีดยา บดิ หวั เข็มให้แนน่ พอประมาณ 6. ถอดปลอกเข็มออก จับหลอดยาด้วยมือขา้ งที่ไม่ถนดั ถือกระบอกฉีดยาดว้ ยมือขา้ งท่ถี นัด สอดเข็ม เข้า หลอดยา ระวงั มใิ ห้เขม็ สมั ผัสกับดา้ นนอกและปากหลอดยา 7. เอยี งหลอดยาให้ปลายตดั เข็มจ่มุ ในน้ายา ดูดยาตามจ้านวนที่ตอ้ งการ 8. ตรวจสอบชื่อยาบนหลอดยาอกี ครงั หนงึ่ ก่อนทิงหลอดยา 9. เปล่ียนเข็มใหม่ เลอื กขนาด และความยาวท่ีเหมาะสมส้าหรบั การฉดี ยานัน ๆ วธิ ีเตรียมยาฉีดจากยานา้ บรรจุขวด (Vial) 1. เขย่าขวดยาเบา ๆ ให้ยาเข้ากนั 2. ทา้ ความสะอาดจกุ ขวดยาด้วยสา้ ลชี ุบแอลกอฮอล์ 70% ปลอ่ ยให้แอลกอฮอล์แห้ง 3. แกห้ ่อกระบอกฉีดยาโดยระวงั มใิ ห้เกิดการปนเป้ือน 4. สวมหัวเขม็ สา้ หรบั ดดู ยาเข้ากับปลายกระบอกฉีดยา บิดหวั เขม็ ให้แนน่ พอประมาณ 5. ถอดปลอกเข็มออก ดูดอากาศเข้ากระบอกฉีดยาเทา่ ปริมาณยาทตี่ ้องการ 6. แทงเขม็ เข้าจุกยางใชน้ ิวหวั แม่มือดนั ลูกสบู ให้อากาศเข้าขวดยาจนหมด 7. คว่า้ ขวดยาลง โดยให้นิวดันลกู สบู อยู่ ปรบั ให้ปลายตัดเขม็ อยู่ในน้ายา 8. คอ่ ย ๆ ปลอ่ ยนิวทดี่ ันลูกสูบออก นา้ ยาจากขวดจะไหลเขา้ มาในกระบอกฉดี ยา เมื่อได้ยาครบตามปรมิ าณ ทต่ี อ้ งการ ถอนเขม็ และกระบอกฉดี ยาออกจากจุกขวดยา 9. ตรวจสอบช่ือยาบนขวดยาอกี ครังหน่งึ 10. เปล่ียนเข็มใหม่ เลือกขนาด และความยาวทเี่ หมาะสมสา้ หรบั การฉดี ยานัน ๆ วธิ เี ตรยี มยาฉดี จากยาผงบรรจขุ วด (วิธีละลายยา) 1. ตรวจดตู วั ทา้ ละลาย (นา้ กล่นั หรอื นา้ เกลอื ) วา่ มฝี นุ่ ผงหรอื ไม่ โดยควา่้ ขวดยกส่องดู หากมฝี ุ่นผง ไม่ ควร น้ามาใช้ 2. ทา้ ความสะอาดจุกขวดตัวทา้ ละลาย และจุกขวดด้วยสา้ ลีชุบแอลกอฮอล์ 70% จนถึงคอขวด ปล่อย ให้ แอลกอฮอล์แห้ง 3. ดดู ตัวทา้ ละลายตามปริมาณทตี่ อ้ งการ ด้วยวิธีเดยี วกับการเตรียมยาฉดี จากยานา้ บรรจุขวด เมอื่ ได้ ตวั ทา้ ละลายแลว้ ให้ฉดี ตัวทา้ ละลายเข้าในขวดยาผง โดยแทงเขม็ เข้าจกุ ขวดยาแลว้ ดนั ลูกสูบ ให้ตวั ทา้ ละลายเขา้ ไปในขวด ยาจนหมด หลังจากนนั ปล่อยนิวท่ดี ันลูกสบู ออก อากาศทีถ่ ูกแทนที่ดว้ ยตัว ทา้ ละลายจะเขา้ มาในกระบอกฉดี ยาจน หมด ความดันในขวดยาจะเท่ากับความดนั ในบรรยากาศ 4. ถอนเข็ม และกระบอกฉีดยาออกจากขวดยา นา้ ปลอกเข็มทถี่ อดออกมาสวมครอบเข็มไว้ 5. เขยา่ ขวด ให้ตัวท้าละลาย ละลายผงจนหมดเปน็ เนือเดยี วกัน 6. ท้าความสะอาดจุกขวดยาอีกครังด้วยส้าลชี บุ แอลกอฮอล์ ปล่อยให้แอลกอฮอลแ์ ห้ง 7. ใช้กระบอกฉดี ยาพร้อมเข็มชดุ เดมิ ดูดยาออกจากขวดตามปรมิ าณทตี่ ้องการดว้ ยวิธีเดียวกบั การ เตรียมยา ฉดี จากยาน้าบรรจุขวด

13 วธิ ีฉดี ยา ขันเตรียมการ 1.ตรวจความพรอ้ มของเครื่องใช้ 2. ถามชอื่ – สกลุ ของผู้ปว่ ย รวมถงึ ประวัติการแพ้ยา 3. อธบิ ายให้ผปู้ ่วยเข้าใจ 4. เลอื กบริเวณส้าหรับฉดี ยา ควรหลกี เลย่ี งการฉีดยาในบรเิ วณท่มี กี ารอกั เสบ ชา้ บวม เป็นแผล มกี อ้ น แข็ง หรอื เปน็ อัมพาต 5. จัดทา่ และเสือผา้ ผปู้ ว่ ย เปิดบรเิ วณที่จะฉีดยาให้กว้างพอ หากเป็นบริเวณที่ไมค่ วรเปดิ เผยควรปิด ประตู หรอื กันมา่ น วิธกี ารฉดี ยาเขา้ กลา้ มเนอื (Intramuscular injection) การฉีดยาเข้ากล้ามเนือ ยาจะถูกดูดซึมเรว็ เพราะมีเลือดมาเลยี งมาก แต่อาจจะเกดิ อนั ตรายต่อ เส้นประสาท หรอื ฉีดเข้าหลอดเลอื ดได้ เนื่องจากกลา้ มเนอื เป็นเนือเย่ือที่ทนตอ่ การระคายเคืองได้ดี ยาทีม่ คี วาม เหนียวข้น และ ระคายเคืองต่อเนือเยื่อ หรือมีสว่ นผสมของนา้ มันกส็ ามารถฉดี เข้ากล้ามเนือได้ 1. บริเวณสา้ หรบั ฉีดยา 1.1 กล้ามเนอื ต้นแขน (Deltoid muscle) บริเวณที่อยตู่ ่้ากวา่ ขอบล่างของ acromion process 3 นิว เปน็ บรเิ วณทมี่ กี ลา้ มเนอื มาก ควรฉีดบริเวณสว่ นกลางของกลา้ มเนือ ซ่ึงมี ขอบเขตเปน็ รูปสามเหล่ยี ม 1.2 กล้ามเนอื สะโพก (Glutens muscle) วิธีที่ 1 Ventrogluteal muscle (กล้ามเนอื สะโพกสว่ นหน้า) แบ่งสะโพกออกเปน็ 3 ส่วน ใช้ landmark 2 แห่ง คอื anterior superior iliac spine และ coccyx ลากเสน้ สมมตุ ริ ะหวา่ ง 2 จุด แบ่งเส้น สมมตุ ิ ออกเปน็ 3 สว่ นเท่า ๆ กัน ต้าแหนง่ ทีฉ่ ีดยาได้คือส่วนแรกนับจาก anterior superior iliac spine โดยฉดี ต่้ากวา่ ระดบั ของ iliac crest ประมาณ 2-3 นวิ มอื วธิ ีที่ 2 Dorsogluteal muscle (กลา้ มเนือสะโพกส่วนหลัง) แบง่ สะโพกออกเป็น 4 ส่วน โดยมี ขอบเขตดังนี ด้านบน มีขอบเขตตามแนวของ iliac crest ดา้ นล่าง มขี อบเขตตามแนวของก้นย้อย (gluteal fold) ดา้ นใน (medial) มีขอบเขตตามแนวแบ่งครึง่ จากกระดูก Coccyx ขนึ ไปตามแนวแบ่งครึ่ง ของ กระดูก sacrum ด้านนอก (lateral) มขี อบเขตตามแนวดา้ นข้างของต้นขาและสะโพก 1.3 กล้ามเนือ Vastus lateralis (กลา้ มเนือหนา้ ขา) แบง่ หนา้ ขาตามความยาว (จาก greater trochanter ไปยัง lateral femoral condyle) ออกเปน็ 3 สว่ น ส่วนกลางเป็นสว่ นทเี่ หมาะสมสา้ หรับฉีดยา 2. ทา้ ความสะอาดผวิ หนังบริเวณที่จะฉดี ยาด้วยส้าลีชุบแอลกอฮอล์ 70% โดยหมุนออกจากจุดทจ่ี ะแทงเขม็ ใหเ้ ป็นวงกว้างประมาณ 2-3 นวิ ปล่อยใหแ้ อลกอฮอล์แหง้ 3. ถอดปลายเข็มออก จบั กระบอกฉีดยาตงั ขึน ไล่อากาศออก 4. ถือกระบอกฉดี ยาด้วยมอื ข้างถนดั ส่วนมอื ข้างไม่ถนดั ทา้ ผิวหนงั บรเิ วณฉดี ยาใหต้ ึง โดยใชน้ ิวหัวแม่มือ และ นวิ ชกี างออกขณะกดลงบนผิวหนงั 5. แทงเขม็ ด้วยความเร็วและม่ันคง แทงเข็มท้ามุม 90 องศา (ขึนกบั รปู ร่างของผปู้ ่วย) 6. ยดึ หัวเข็มและกระบอกฉีดยาให้มน่ั คง (ไม่โยกไปมา และไมเ่ ลือ่ นขึนลง) ดว้ ยมือขา้ งถนัด และใชม้ อื ขา้ ง ถนดั ดึงลูกสูบขึนเล็กนอ้ ย เพ่อื ทดสอบว่าปลายเข็มอยูใ่ นหลอดเลือดหรือไม่ 7. ถา้ ไม่มเี ลือดเข้ามาในกระบอกฉีดยา ใหใ้ ช้นิวหัวแม่มอื ขา้ งถนัดดันลกู สบู เดนิ ยาช้า ๆ

14 8. เม่อื ยาหมดแลว้ ให้ใช้ส้าลีกดตา้ แหนง่ แทงเขม็ ขณะทถี่ อนเข็มออกดว้ ยความรวดเรว็ 9. คลงึ บรเิ วณฉดี ยาเบา ๆ เพื่อช่วยให้ยาดดู ซึมได้เร็วขนึ และลดอาการเจ็บปวดได้ดว้ ย (ยกเว้นยาท่ีมี ส่วนประกอบของโลหะหนัก) 10. ปลดเข็มออกจากกระบอกฉดี ยาทิงในภาชนะสา้ หรับทิงเข็มโดยเฉพาะเพื่อน้าไปท้าลายเข็มต่อไป 11. จดั เสือผ้าผู้ปว่ ยใหเ้ รียบรอ้ ย และขัดใหอ้ ยู่ในทา่ ที่สบาย (ถา้ เปน็ ผ้ปู ว่ ยนอก ควรให้ผปู้ ่วยพักเพื่อสงั เกต อาการประมาณ 15 นาที หมายเหตุ : จา้ นวนยาฉดี เข้ากล้ามเนอื สะโพก หรอื หน้าขาแตล่ ะครงั ได้ไม่เกนิ 5 cc. ถา้ ฉดี เขา้ กล้ามเนือตน้ แขน ฉดี ครังหนึ่งไม่เกิน 2 cc. ฉีดยาเขา้ ใตผ้ ิวหนงั (Subcutaneous injection) เปน็ การฉีดยาเข้าในชนั subcutaneous tissue ยาจะถกู ดูดซึมไดช้ ้ากว่าการฉีดเขา้ กลา้ ม ในชนั ใต้ ผวิ หนงั มี pain receptor อาจทา้ ให้ผ้ปู ่วยรสู้ กึ เจบ็ ปวดมากกว่า วิธฉี ีดยาเขา้ ใตผ้ วิ หนัง 1. หาบรเิ วณสา้ หรบั ฉีดยา 1.1 บริเวณตน้ แขนส่วนกลางดา้ นนอก (Deltoid muscle) 1.2 บริเวณส่วนกลางของหนา้ ขา (Vastus lateralis) 1.3 บรเิ วณหน้าทอ้ งท่ีอยู่ระหว่างแนวใต้ชายโครงกบั แนวของ anterior superior iliac spine ยกเว้น บริเวณรอบสะดือ 1 นิว เพราะมี pain receptor มาก 1.4 บริเวณสะบกั 2. ทา้ ผิวหนงั ให้ตงึ กอ่ นแทงเข็ม หรือใชน้ วิ มอื รวบเนือเย่ือบรเิ วณทจ่ี ะฉีดเขา้ หากนั 3. การแทงเข็ม ถ้าใชเ้ ขม็ ยาว 5/8 นิว ให้แทงเข็มท้ามุม 45 องศา ถ้าใชเ้ ขม็ ยาว ½ นวิ ใหแ้ ทงเข็มทา้ มุม 90 องศา วิธกี ารฉีดยาเข้าชนั ผวิ หนัง 1. ไล่อากาศออกจากกระบอกฉีดยาจนหมด 2. ท้าผวิ หนงั ใหต้ งึ 3. แทงเขม็ ท้ามุม 5-15 องศา โดยหงายปลายตดั ขนึ และแทงเข้าไปเพยี งใหป้ ลายตัดเข็มเลยเขา้ ผิวหนงั เพียง เลก็ นอ้ ย 4. ไมต่ อ้ งทดสอบว่าปลายเขม็ อยใู่ นหลอดเลือดหรอื ไม่ หลงั จากฉีดยาแลว้ ให้สังเกตวา่ มตี ุ่มนูนขนึ มา และไม่ ต้องคลงึ บริเวณทฉ่ี ดี ยา 5. ใชป้ ากกาลูกล่นื หมึกสนี า้ เงินหรอื ด้า วงรอบรอยนนู ท่เี กิดจากการฉดี ยา การให้สารนา้ ทางหลอดเลือดดา้ ( Intravenous infusion) การใหส้ ารน้าทางหลอดเลอื ดดา้ หมายถงึ การให้สารนา้ ท่ีมีสว่ นผสมของนา้ น้าตาล และเกลอื แรเ่ จอื จาง ในปรมิ าณมากแกผ่ ปู้ ว่ ยเขา้ ทางหลอดเลอื ดด้า โดยการใช้แรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติ วตั ถุประสงคข์ องการให้สารนา้ ทางหลอดเลือดด้า 1. เพื่อใหน้ า้ และเกลือแร่ทดแทนสว่ นที่สูญเสียออกจากร่างกาย เชน่ อาเจยี น ท้องเดนิ เสยี เลือด 2. เพ่อื ให้นา้ และเกลือแร่แก่ผู้ป่วยทไี่ มส่ ามารถใหท้ างปาก หรือไมเ่ พยี งพอแก่ความตอ้ งการของร่างกาย เช่น กอ่ นและหลงั ผ่าตัด 3. เพอื่ รกั ษาความสมดุลของกรด - ดา่ งในรา่ งกาย เช่น ผปู้ ่วยโรคไต โรคหวั ใจ ในระยะทม่ี ีความ แปรปรวนของกรด – ดา่ ง

15 4. เพ่ือเปิดทางใหย้ าฉีดเข้าทางหลอดเลือดด้า โดยต้องการให้ยาออกฤทธิ์และดูดซมึ ได้เร็ว หรอื เพอ่ื ลด การระคายเคืองและความไม่สุขสบายจากการฉดี ยาบ่อยครัง ชนดิ ของสารน้าทใี่ ห้ทางหลอดเลอื ดดา้ คุณสมบัติ ความดนั ออสโมตดิ คลา้ ยกับพลาสมา จึงซึมผ่านผนังเซลลไ์ ดด้ ี ชนดิ สารนา้ ช่วยปรับเพ่ิมปรมิ าณนา้ นอกเซลลท์ ่สี ญู เสียไป เชน่ อาเจยี น อยนู่ าน เหง่อื ออกมาก หรือเสียน้าจากระบบไหลเวียนของ 1. Isotonic solution ความดนั - Normal saline 0.9% เลอื ด เชน่ ตกเลือด แตถ่ า้ ใหม้ ากไปจะมีภาวะน้าเกนิ ในร่างกาย ออสโมติคประมาณ 310 mEq/L. - Dextrose 5% in water ได้ ความดันออสโมตคิ สูงกว่าพลาสมาจึงมกี ารดงึ น้าจากเซลล์ - Lactated Ringer’s และนา้ ระหว่างเซลลอ์ อกไปอยนู่ อกเซลล์จึงช่วยลดภาวะน้าคงั่ ในเซลล์ เช่น ผู้ป่วยท่มี เี นอื สมองบวม (cerebral edema) 2. Hypertonic solution ความ - Dextrose 5% in saline ดนั ออสโมติคมากกวา่ 375 mEq/L. - Dextrose 10% in saline ความดันออสโมตคิ น้อยกวา่ พลาสมาจึงให้น้าแก่เซลล์ ท้าให้ - Dextrose 10% in water เซลล์มีขนาดใหญข่ นึ ช่วยเพ่ิมนา้ และเกลือแร่ในอาการขาดนา้ 3. Hypotonic solution ความดนั - Dextrose 5% in ½ แตใ่ นปัจจบุ นั ไม่นิยมใช้ ออสโมตคิ น้อยกว่า 250 mEq/L. strength saline - Sodium chloride 0.45% หลกั การใหส้ ารน้าทางหลอดเลอื ดด้า 1 การเตรียมผปู้ ่วย 1.1 ดา้ นจิตใจ อธิบายเกยี่ วกับจดุ มงุ่ หมาย วธิ กี าร ระยะเวลาการใหส้ ารนา้ การเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย อาการผิดปกติที่อาจเกิดขึน ใหผ้ ้ปู ว่ ยเขา้ ใจ เพือ่ ลดความวติ กกังวลและใหค้ วามรว่ มมือ 1.2 ด้านร่างกาย - ถ้าตอ้ งใหส้ ารละลายเป็นเวลานาน ควรเลอื กหลอดเลือดจากสว่ นปลายกอ่ นแล้วค่อยเลื่อนสูงขึน ในครังต่อๆไป - ลักษณะของหลอดเลือดด้า ตอ้ งเรียบตรงและคลา้ ไดง้ า่ ย อาจเป็นหลอดเลอื ดบรเิ วณหลงั มอื (Metacarpal vein) บริเวณแขน (Cephalic, Basilic และ Accessory) - ชนดิ ของสารละลายที่จะให้เข้าหลอดเลือดด้า เช่น ต้องฉีดยาฆ่ามะเรง็ ควรเลือกหลอดเลอื ดดา้ ขนาดใหญ่ - ไมแ่ ทงเขม็ เขา้ หลอดเลอื ดด้าบรเิ วณข้อต่อหรือสว่ นโค้ง - หลกี เลยี่ งหลอดเลอื ดดา้ ทีบ่ อบช้า ทีข่ า บริเวณที่จะทา้ ผา่ ตดั แขนข้างทเ่ี คยท้าผา่ ตัดเต้านม หรือบริเวณที่เลอื ดไหลเวยี นไมส่ ะดวก 2 การเตรยี มเครื่องใชใ้ นการใหส้ ารน้าทางหลอดเลอื ดด้า 2.1 ขวดสารนา้ (IV Bottle) สารน้าจะบรรจุในขวดแกว้ หรือพลาสติกสญุ ญากาศท่ผี า่ นการฆ่าเชือแลว้ มลี กั ษณะใส มปี า้ ยบอกชนดิ สว่ นประกอบ ปริมาณ วันผลิต และวันหมดอายุการใชง้ าน ปริมาตรที่บรรจุโดยทั่วไปท่ีใชบ้ ่อย คือ 500 มล.และ 1,000 มล. การเตรียมสารน้าตอ้ งเตรยี มให้ตรงกบั แผนการรักษา โดยตรวจสอบดสู ภาพสารน้าในขวดจะต้องใส ไม่ ตกตะกอนหรือมลี ักษณะขุ่น และไมห่ มดอายกุ ารใชง้ าน โดยผทู้ เี่ ตรยี มจะต้องปิดแผน่ ฉลากข้างขวด ที่มีชอ่ื ผูป้ ่วยและ นามสกุล เตียง ชนดิ และปรมิ าณของสารน้าตามแผนการรักษา อตั รา หยดทค่ี า้ นวณได้ วนั เวลา ทเ่ี ริ่มให้ และ เวลาที่คาดว่าสารนา้ จะต้องหมด รวมทังชื่อพยาบาลทเ่ี ตรยี มก่อนจะนา้ ไปใหผ้ ูป้ ว่ ย

16 2.2 ชุดใหส้ ารนา้ (Infusion set) ต้องสะอาดปราศจากเชือ ไมช่ า้ รดุ ฉีกขาด ซงึ่ ประกอบดว้ ยส่วนต่าง ๆ ดงั นี 2.2.1 ปลายแหลม (Spike) เปน็ ส่วนทจ่ี ะแทงเข้าขวดสารละลาย ซงึ่ จะต้องดแู ลไม่ให้มีการปนเปื้อนเชือ 2.2.2 กระเปาะหยดน้า (Drip chamber) เป็นทีร่ องรบั สารละลายจากขวด - หยดใหญ่ (Macro drop) มอี ตั ราการหยด 15 – 20 หยด/มิลลิลิตร - หยดเล็ก(Micro drop) มอี ัตราการหยด 60 หยด/มิลลลิ ติ ร 2.2.3 สายพลาสติก (Plastic tubing) 2.2.4 ท่คี วบคมุ อัตราการไหลของสารละลาย (Screw clamp or Roller clamp) 2.3 สายต่อเพิ่มความยาว (extension tube) เปน็ สายพลาสติกใสขนาดใกลเ้ คียงกับชุดสายให้สารนา้ มีความ ยาว 18” และ 24” ใชต้ ่อระหวา่ งชดุ สายใหส้ ารนา้ กับเข็ม เพ่อื ให้ผปู้ ว่ ยเคลือ่ นไหวไดส้ ะดวกขนึ 2.4 เข็ม ลักษณะของเข็ม แบ่งเป็น 2 แบบ คือ เข็มโลหะ (Metal needle) เข็มพลาสติก (Plastic needle or catheters) 2.5 สายรดั หลอดเลอื ด (Tourniquet) 2.6 เสาแขวนขวดสารนา้ (stand) 2.7 สา้ ลีชุบแอลกอฮอล์ 70% 2.8 ผ้าก๊อสปราศจากเชือ 2.9 พลาสเตอรแ์ ละกรรไกรตัดพลาสเตอร์ 2.10 ชามรูปไต 2.11 กระปกุ ปากคีบเล็ก 2.12 ถงุ มอื การค้านวณสารน้า 1) การค้านวณจ้านวนสารนา้ ที่ผ้ปู ่วยต้องได้รับใน 1 ชม. ใช้สูตร จา้ นวนสารน้าทใี่ ห้ = สารนา้ ทผี่ ปู้ ่วยตอ้ งไดร้ บั ใน 1 ชม. เวลาที่ให้(ชว่ั โมง) ทังหมด เช่น 1,000 = 125 มล./ชม. 8 2) คา้ นวณอตั ราหยด/นาที ใช้สตู ร สารน้าท่ใี ห้ x หยด/มล. = อัตราการหยดต่อนาที เวลาทใี่ ห้(นาท)ี ทังหมด เชน่ 125 x 15 = 31.25 หยด/นาที 60 การพยาบาลผู้ป่วยทไ่ี ด้รบั สารนา้ ทางหลอดเลือดด้า 1 ดูแลด้านความปลอดภัย ป้องกันการติดเชือและได้รบั สารนา้ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 1) เตรยี มสารนา้ ให้ถกู ต้องตามใบค้าสงั่ การรกั ษา 2) ตรวจสอบชอ่ื -สกลุ ผปู้ ่วยก่อนใหส้ ารนา้ 3) เตรยี มและให้สารน้าแกผ่ ปู้ ่วยดว้ ยเทคนคิ ปราศจากเชือ 4) ไลอ่ ากาศออกจากชุดสายใหส้ ารนา้ ใหห้ มด 5) ตรวจสอบอตั ราการหยดของสารน้าให้หมดตามกา้ หนด 6) ตรวจสอบสัญญาณชีพทุก 4 ช่วั โมง 7) สังเกตอาการแทรกซ้อนท่อี าจเกิดขึน

17 8) เปลี่ยนขวดสารนา้ ก่อนสารนา้ หมดขวด และเปลยี่ นชุดสายให้สารน้าทุก 24 – 72 ชม. 9) บนั ทึกจ้านวนสารน้าทเ่ี ขา้ และออกจากร่างกายให้ถูกต้อง 2 การดูแลด้านความสขุ สบายของผูป้ ว่ ย 1) เชด็ ตวั ให้ผปู้ ่วยเพ่อื ให้สุขสบายและสะอาด เมื่อเชด็ ใกล้บริเวณท่แี ทงเขม็ ใหเ้ ช็ดอยา่ งแผ่วเบา ไม่ให้นา้ ถูกตา้ แหน่งทแี่ ทงเข็ม ระวังมิใหเ้ ขม็ หลุดจากปลายขอ้ ต่อของสายใหส้ ารน้า 2) ขณะถอดเปลีย่ นเสอื ผ้าให้ผ้ปู ว่ ย ให้ถอดแขนเสือข้างที่ไมไ่ ด้แทงเข็มใหส้ ารนา้ ก่อน จากนนั ปลด ขวดสารน้าจากขอแขวนถือไว้มอื หน่งึ อีกมือหนึ่งดึงแขนเสือของผู้ป่วยไว้พรอ้ มกนั นนั กล็ อดขวดสารน้าผ่านแขนเสอื อยา่ ให้แขนเสอื ดึงรังสายใหส้ ารน้า สา้ หรบั การสวมเสือตัวใหมใ่ ห้นา้ ขวดสารน้าลอดผ่านแขนเสือข้างทใี่ ห้สารนา้ ไป ก่อน แล้วจงึ ใส่แขนเสืออีกขา้ งหนงึ่ 3) การรับประทานอาหาร ถ้าผ้ปู ่วยช่วยเหลอื ตนเองไดด้ ี จะใชม้ ือและแขนขา้ งทีไ่ มไ่ ด้ใหส้ ารน้าตกั รบั ประทานอาหารไดเ้ อง 4) การเคลื่อนย้ายผู้ปว่ ย ควรใหผ้ ู้ป่วยใช้แขนข้างท่ีไม่ได้ให้สารนา้ จบั เสาแขวนขวดสารน้าเพื่อพยุง ตัวไว้ หรอื พยาบาลช่วยพยุงข้างใดข้างหนึง่ ให้ผปู้ ่วยเดินไดส้ ะดวก ควรให้ใส่รองเทา้ ที่ไม่ล่นื ซักถามและสงั เกตดวู ่า ผปู้ ว่ ยมอี าการมึนศรี ษะเดนิ เซหรอื ไม่ ถา้ มอี าการดังกล่าวไม่ควรให้เดนิ เพ่ือปอ้ งกนั อบุ ัติเหตุจากการหกลม้ 3 การใหค้ ้าแนะน้าแก่ผู้ป่วยและญาติ 1) ให้แจ้งพยาบาลเม่ือรูส้ กึ ไม่สขุ สบาย หรอื มีอาการปวดบวม บริเวณทแ่ี ทงเข็มหรืออาการผิดปกติ อน่ื ๆ 2) อธิบายให้ผู้ปว่ ยและญาติทราบระยะเวลาโดยประมาณท่ีผูป้ ่วยจะไดร้ บั สารน้าทางหลอดเลอื ดด้า 3) ให้แจง้ พยาบาลหากสารนา้ ไม่หยด /ซึมเป้ือนทน่ี อน 4) ประเมนิ ผลการใหส้ ารน้า ควรประเมนิ 3 ด้าน ได้แก่ (1) ภาวะความสมดุลของสารนา้ ในรา่ งกายของผปู้ ่วย เช่น ริมฝีปาก ผิวหนัง เสยี งแห้งลง กระหายน้า เหง่ือออกนอ้ ย ปัสสาวะนอ้ ยสีเข้ม มีไข้ ชีพจรเร็ว เบา้ ตาลึก กระสบั กระสา่ ย (2) ประเมนิ ปรมิ าณชนิดของสารน้าและยาท่ีได้รบั (3) สภาพและการใช้งานของเคร่ืองใชใ้ นการใหส้ ารน้า 4. รายงานและบันทึกสัญญาณชีพ อาการ การรักษาพยาบาลที่ผ้ปู ว่ ยไดร้ บั อยา่ งละเอียดถูกต้อง ภาวะแทรกซ้อนจากการใหส้ ารน้าทางหลอดเลือดดา้ 1 การรั่วหรอื การไหลของสารละลายออกนอกหลอดเลอื ดดา้ (Infiltration) พบสารละลายไหลช้าลงหรือไม่ ไหล บรเิ วณแทงเขม็ จะบวม ซีด เย็นและปวด ถา้ พบหยุดให้สารละลายทนั ที เปลีย่ นต้าแหน่งใหใ้ หม่ และประคบความ ร้อน 2 การอักเสบของหลอดเลือดด้า (Phlebitis) จากการชอกช้าจากเข็มเคลอื่ นไปถูกผนงั หลอดเลือด /ได้รบั ยา ทีม่ คี วามเขม้ ข้นสูง 3 การเกดิ ล่ิมเลือดท่ผี นังดา้ นในของหลอดเลือด (Thrombosis) มอี าการปวด บวม ตงึ ตรงต้าแหน่งท่ีให้/ สารละลายหยดุ ไหล ถา้ พบห้ามถนู วด เนอ่ื งจากอาจท้าให้ลมิ่ เลือดหลดุ เข้ากระแสเลอื ดเกดิ Thromboembolismได้ หา้ มดูดหรือฉีดสารน้าผ่านเข็ม เพราะลิ่มเลือดจะหลดุ เขา้ ไปในหลอดเลอื ด 4 ภาวะทม่ี ีสารละลายจ้านวนมากในกระแสเลือด (Circulatory overload) เนื่องจากใหส้ ารละลายจา้ นวน มาก/เรว็ เกินไป พบหลอดเลอื ดดา้ ทีค่ อโปง่ พอง หายใจลา้ บาก ชีพจรและความดันโลหติ เพิ่มขึน ควร control drop ของสารนา้ ทใี่ ห้ทุกครัง 5 Pyrogenic reaction เปน็ อาการไข้ทเี่ กิดจากสารละลายและเคร่ืองใช้ที่ใหป้ นเปอื้ นเชือ พบไขส้ งู ทันที หนาวสั่น ชีพจรเรว็ ปวดศรี ษะ ปวดหลัง คลน่ื ไส้ อาเจยี น หลังใหส้ ารละลาย 30 นาที – 1 ช่วั โมง ถ้าพบหยุดให้

18 สารละลายทันที ตรวจสอบสัญญาณชพี ดแู ลใหค้ วามอบอุ่น รายงานแพทย์ และสง่ สารละลาย ชุดใหส้ ารละลายไป เพาะเชือ 6 ฟองอากาศเข้าไปอยใู่ นหลอดเลือด (air embolism) มักเกดิ หลอดเลือดแฟบแบนทันที คอื อาการเขยี ว คลา้ จากการขาดออกซิเจน ชีพจรเบาเรว็ ความดันเลอื ดต้า่ ไม่รู้สกึ ตวั อาจตายได้ การให้ยาทางหลอดเลือดด้า 1.การฉดี ยาเข้าหลอดเลือดด้าโดยตรง 2. การฉีดยาเข้าหลอดเลอื ดด้าโดยผ่านชุด heparin lock 3. การฉดี ยาเข้าหลอดเลือดด้าโดยผ่านชุดใหส้ ารละลายทางหลอดเลือดด้า 4. การใหย้ าทางหลอดเลอื ดด้าเปน็ หยด การฉีดยาเขา้ หลอดเลือดดา้ โดยตรง 1. ให้ผปู้ ่วยก้ามือข้างท่ีจะฉีดยาใหแ้ น่น ใช้สายรัดห้ามเลอื ดเหนอื บรเิ วณทจี่ ะแทงเข็ม 2-3 นิว 2. ท้าความสะอาดผวิ หนังบริเวณทจ่ี ะแทงเข็มด้วยนา้ ยาฆ่าเชอื 3. ไลอ่ ากาศออกจากกระบอกฉีดยาให้หมด 4. ท้าผวิ หนงั ให้ตึง แทงเข็มเข้าหลอดเลอื ดดา้ โดยหงายปลายตัดเข็มขนึ เมอื่ เลือดเขา้ มาในกระบอกฉีดยาให้ ลดมุมในการแทงเข็มลงให้เขม็ ขนานกบั ผิวหนัง ดนั เข็มเข้าไป ปลดสายรัดหา้ มเลือด และเดินยาช้าๆจนหมด 5. ใช้ส้าลกี ดต้าแหนง่ ท่แี ทงเข็ม ถอนเข็มออกกดส้าลใี ห้เลือดหยุด การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดา้ โดยผ่าน heparin lock ทดสอบวา่ เสน้ เลือดยังใชไ้ ด้หรอื ไม่โดยดูดเลือดออกจาก medication port ออกมา วา่ มีเลอื ดหรอื ไม่ จากนนั ฉีด 0.9%NSS เขา้ ไป 2 ml. ฉดี ยาทเี่ ตรยี มมาเข้าไป และตามด้วย 0.9%NSS การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดา้ โดยผา่ นชุดให้สารละลายทางหลอดเลือดด้า 1. ท้าความสะอาดส่วนที่เปน็ ยางของชุดใหส้ ารน้าด้วย Alcohol 70% ปล่อยให้แหง้ 2. ไลอ่ ากาศออกจากกระบอกฉีดยาจนหมด แทงเขม็ เข้าสว่ นท่เี ปน็ ยาง 3. พับสายของชดุ ใหส้ ารน้าเหนอื ต้าแหนง่ ฉดี ยา แล้วเดินยาช้าๆจนหมด 4. สังเกตอาการผ้ปู ว่ ยขณะและหลังให้ยา การให้ยาทางหลอดเลือดดา้ เป็นหยด วธิ กี ารให้ยาเหมอื นกับการใหส้ ารละลายทางหลอดเลือดดา้ ท่วั ไป แต่อาจใหเ้ ป็นระยะ เช่น ทุก 4 ชั่วโมง ซ่งึ จ้าเป็นตอ้ งเปดิ เส้นค้างไว้ ให้โดยน้าขวดบรรจยุ า พร้อมชุดใหส้ ารละลายตอ่ กับชดุ ใหส้ ารน้าที่ผู้ปว่ ยไดร้ บั อย่โู ดยใช้ T- way ถ้าผู้ป่วยมี heparin lock คาไว้ก็สามารถให้ผา่ นทาง heparin lock ได้ การใหเ้ ลือด หลกั การใหเ้ ลือด 1. การประเมนิ กอ่ นการให้เลือด 1.1 ตรวจสอบคา้ ส่งั การรักษาว่าผูป้ ่วยต้องได้รับเลอื ดชนิดใด 1.2 ซักประวัตกิ ารได้รับเลือด ว่ามีประวัตกิ ารแพเ้ ลอื ดหรือปฏิกิริยาทเ่ี กดิ จากการใหเ้ ลือดหรอื ไม่ 1.3 ตรวจสอบสญั ญาณชพี หลังการให้เลือด 15 นาที และต่อไปทุก 4 ชว่ั โมง พร้อมสังเกตอาการ อยา่ งต่อเนื่อง 1.4 บันทกึ หมู่เลือด ชนิดของเลือด หมายเลขเลือด ปรมิ าณ วัน เวลา และชอื่ ผู้ใหเ้ ลอื ดเพ่ือเปน็ หลกั ฐาน 1.5 เมอื่ ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนควรหยุดให้เลือดและส่งเลือดทเี่ หลือไปตรวจสอบทีค่ ลงั เลือด

19 2. การเตรียมเลอื ด 2.1 เจาะเลอื ดส่งธนาคารเลือดเพ่ือหาหมเู่ ลือดและการเข้ากนั ได้ของเลือด 2.2 เมอื่ ไดร้ บั เลอื ดแล้ว ตรวจสอบช่ือ สกลุ HN วา่ ตรงกบั ผู้ปว่ ยหรือไมโ่ ดยตรวจใหต้ รงกับใบคลอ้ ง เลอื ดและถงุ เลอื ด 2.3 ก่อนให้เลือดให้วางถุงเลือดทีอ่ ณุ หภมู ิห้องเพื่ออุน่ เลือดก่อน 2.4 การให้เลอื ดแตล่ ะถงุ ไมค่ วรนานเกิน 4 ช่วั โมง เพื่อลดอัตราเสย่ี งต่อการติดเชือจากเลือดที่แขวน ไว้นานเกนิ ไป สรุป การให้อาหาร ยา สารน้า สารละลาย เลือดและสว่ นประกอบของเลอื ด แกผ่ ปู้ ว่ ยนัน พยาบาลตอ้ ง ประเมนิ ผปู้ ่วย และกระท้าอย่างระมดั ระวงั เพื่อไม่ใหเ้ กิดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนท่ีอาจจะเกิดขนึ ฉะนันพยาบาล จะต้องฝึกทักษะให้เกดิ ความช้านาญในการดูแลผูป้ ว่ ยอยา่ งมีสตติ ลอดเวลา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook