รายงาน เร่อื ง เซปกั ตะกร้อ เสนอ นายณัฎฐนนั ท์ ทาชาติ นายณฐั พล นาป้อม โดย เดก็ ชาย รฐั นนั ท์ มหามงคลนสุ รณ์ ชนั้ ม.2/1 รายงานนี้เปน็ สง่ หนง่ึ ของวิชาสุขศึกษาและพลศกึ ษา (พ22102) กลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ภาคเรยี นที่ 1ปกี ารศกึ ษา 2565 โรงเรียนหนองไผ่ อำเภอหนองไผ่ จงั หวัดเพชรบรู ณ์ สำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาเพชรบรู ณ์
คำนำ รายงานเลม่ นเ้ี ป็นสว่ นหนึง่ ของรายวิชาสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ซง่ึ ได้รวบรวม ประวัตขิ องกีฬาเซปกั ตะกรอ้ วิวัฒนาการการเล่นกฬี าเซปักตะกร้อ ประเภท ของกฬี าเซปักตะกรอ้ กตกิ าการเลน่ เซปกั ตะกร้อ มารยาทของผชู้ มกฬี า เซปักตะหร้อทดี่ ี มารยาทในการเลน่ เซปกั ตะกรอ้ ที่ดี
สารบัญ หนา้ เรอื่ ง 1 3 ประวตั กิ ฬี าตะกร้อ 4 ววิ ัฒนาการการเลน่ กีฬาเซปักตะกร้อ 5 ประเภทของกฬี าตะกร้อ 9 กตกิ าการเล่นเซปกั ตะกร้อ 10 มารยาทของผชู้ มกีฬาเซปักตะกรอ้ ทด่ี ี มารยาทในการเล่นเซปักตะกร้อท่ดี ี
ประวตั ิกีฬาตะกรอ้ ตะกร้อ เปน็ การละเลน่ ของไทยมาแต่โบราณ แตไ่ ม่มีหลักฐานแนน่ อนว่ามมี า ตงั้ แต่สมยั ใด แต่คาดวา่ ราวๆ ต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ประเทศอ่นื ทใ่ี กล้เคียงก็มีการ เล่นตะกร้อ คนเล่นไมจ่ ำกัดจำนวนเลน่ เปน็ หมู่หรือเดี่ยวกไ็ ด้ ตามลานที่กว้าง พอสมควร ตะกรอ้ ทีใ่ ชเ้ ดมิ ใชห่ วายถักเปน็ ลกู ตะกร้อ ปจั จุบนั นิยมใช้ลูกตะกร้อ พลาสติก การเตะตะกร้อเป็นการเล่นทผ่ี เู้ ลน่ ได้ออก กำลงั กายทกุ สัดสว่ น ฝึกความ วอ่ งไว ความสังเกต มไี หวพริบ ทำใหม้ ีบคุ ลิกภาพดี มคี วามสงา่ งาม และการเล่น ตะกรอ้ นับไดว้ ่าเปน็ เอกลักษณข์ องไทยอยา่ งหนึง่ ในการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกบั แหลง่ กำเนดิ การกีฬาตะกร้อในอดีตนัน้ ยังไม่ สามารถหาข้อสรปุ ได้อยา่ งชัดเจนวา่ กฬี าตะกร้อนั้นกำเนดิ จากที่ใด ในสมัยโบราณน้ันประเทศไทยเรามกี ฎหมายและวิธกี ารลงโทษผกู้ ระทำความผิด โดยการนำเอานกั โทษใสล่ งไปในส่ิงกลมๆท่สี านดว้ ยหวายให้ช้างเตะ แตส่ ่ิงทช่ี ่วย สนบั สนุนประวตั ขิ องตะกรอ้ ไดด้ ี คือ ในพระราชนพิ นธ์เรอ่ื งอิเหนาของรชั กาลที่ 2 ในเรื่องมบี างตอนท่ีกล่าวถึงการเลน่ ตะกร้อ และท่รี ะเบยี งพระอุโบสถวัดพระศรรี ตั น ศาสดาราม ซึง่ เขยี นเรอื่ งรามเกยี รต์ิ ก็มภี าพการเลน่ ตะกร้อแสดงไว้ให้อนุชนรุ่นหลงั ไดร้ บั รู้ โดยภมู ิศาสตรข์ องไทยเองกส็ ่งเสรมิ สนบั สนนุ ใหเ้ ราได้ทราบประวัติของตะกร้อ คอื ประเทศของเราอดุ มไปดว้ ยไม้ไผ่ หวายคนไทยนิยมนำเอาหวายมาสานเปน็ สิ่งของ เคร่อื งใช้ รวมถึงการละเล่นพืน้ บ้านดว้ ย อกี ทัง้ ประเภทของกฬี าตะกรอ้ ในประเทศ
ไทยกม็ หี ลายประเภท เชน่ ตะกร้อวง ตะกรอ้ ลอดหว่ ง ตะกรอ้ ชิงธงและการแสดง ตะกรอ้ พลิกแพลงต่างๆ ซึง่ การเล่นตะกร้อของประเทศอืน่ ๆน้นั มีการเลน่ ไม่หลาย แบบหลายวิธีเชน่ ของไทยเรา การเลน่ ตะกรอ้ มวี ิวัฒนาการอย่างตอ่ เน่ืองมา ตามลำดับทงั้ ดา้ นรูปแบบและวตั ถดุ บิ ในการทำจากสมยั แรกเปน็ ผ้า , หนงั สตั ว์ , หวาย , จนถึงประเภทสงั เคราะห์ ( พลาสตกิ ) ความหมาย คำว่าตะกร้อ ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2525 ได้ ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า ” ลกู กลมสานดว้ ยหวายเป็นตา สำหรบั เตะ “
ววิ ฒั นาการการเล่นกีฬาตะกร้อ การเลน่ ตะกร้อได้มีววิ ฒั นาการในการเล่นมาอย่างต่อเนื่อง ในสมยั แรกๆ ก็เปน็ เพียงการชว่ ยกนั เตะลกู ไม่ให้ตกถึงพื้นตอ่ มาเมอื่ เกดิ ความชำนาญและหลกี หนีความ จำเจ ก็คงมีการเร่ิมเล่นด้วยศีรษะ เขา่ ศอก ไหล่ มีการจัดเพิ่มทา่ ให้ยากและ สวยงามขึน้ ตามลำดบั จากน้ันก็ตกลงวางกตกิ าการเล่นโดยเออื้ อำนวยตอ่ ผู้เลน่ เปน็ ส่วนรวม อาจแตกตา่ งไปตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละพน้ื ที่ แต่คงมคี วาม ใกลเ้ คียงกันมากพอสมควร
ประเภทของกฬี าตะกรอ้ 1. ตะกรอ้ วงเลก็ 2. ตะกร้อวงใหญ่ 3. ตะกรอ้ เตะทน 4. ตะกรอ้ พลิกแพลง 5. ตะกรอ้ ชิงธง 6 ตะกร้อลอดห่วง 7. ตะกร้อข้ามตาขา่ ย 8. เซปัก – ตะกร้อ
กตกิ าการเลน่ ตะกร้อ 1.ตะกร้อวงเล็ก ตะกร้อวงนับเปน็ การเริ่มแรกของรูปแบบการเลน่ ตะกร้อ ซ่ึงอาจใช้ผู้เลน่ เพยี งคนเดียว เตะหรอื เดาะลูก เล่นให้ลกู ลอยอยู่ในอากาศและใช้อวัยวะหลายๆ ส่วนท่แี ตกตา่ งกนั เตะหรอื เดาะลูก โดยใช้ทั้งเท้า เข่า ศอก ศรี ษะ ตอ่ มาอาจมีผูเ้ ล่นเพมิ่ เป็น 2 คน มีการโยนใหผ้ ้ยู นื อยู่ ตรงขา้ มเตะโตก้ นั เป็นเวลานานๆ โดยทั่วไปแล้วผูเ้ ตะมักจะเตะลูกทตี่ นถนัด เช่น ลูกแป ลูก หลงั เท้า ลกู โหม่ง เปน็ ตน้ การเล่นตะกรอ้ วงเลก็ นัน้ จะเล่นในบริเวณท่แี คบๆ เชน่ บนโตะ๊ หรือสนามซึ่งเส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 2 – 3เมตร 2. ตะกรอ้ วงใหญ่ ลักษณะและรปู แบบการเลน่ เหมอื นกับการเลน่ ตะกร้อวงเลก็ ต่างกนั ตรงท่สี ถานที่เลน่ และจำนวนผู้เล่น กล่าวคือ ตะกรอ้ วงใหญจ่ ะเลน่ ในสนามเรยี บมีขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 8 – 14 เมตร ซง่ึ อยู่กบั ผเู้ ล่นวา่ จะมจี ำนวนเทา่ ใด โดยปกแลว้ จะมีผู้เล่นต้ังแต่ 5 – 8 คน ท่าทางการเลน่ นนั้ ก็มลี ักษณะเชน่ เดียวกบั การเลน่ ตะกรอ้ วงเลก็ แตต่ ะกร้อวงใหญ่ ตอ้ งออกแรงเตะลกู หรอื สง่ ลกู มากกว่า มฉิ ะน้นั ตะกรอ้ จะไม่ถึงผรู้ ับ ผเู้ ลน่ ตอ้ งระมัดระวัง จงั หวะการเล่น ท่าทางต่างๆ ตลอดจนน้ำหนักหรอื แรงเหวย่ี งใหเ้ หมาะสม 3. ตะกร้อเตะทน ตะกรอ้ เตะทนหรอื ตะกรอ้ วงเตะทน มกั นิยมเลน่ แข่งขันกันเปน็ ทมี จงึ ควรศกึ ษาไว้เพอ่ื นำไปเล่นกันต่อไป
4. ตะกรอ้ พลกิ แพลง ตะกร้อพลิกแพลง หรือเรยี กอกี อย่างหน่งึ วา่ “การตดิ ตะกร้อ” การเล่นตะกร้อแบบน้ีผู้ เลน่ ต้องมคี วามชำนาญเปน็ อย่างดี เพราะลูกทผี่ เู้ ตะจะเตะแตล่ ะท่า ดดั แปลงมาจากท่า ธรรมดา การเล่นตะกรอ้ พลกิ แพลงนส้ี ่วนมากไมท่ ำการแข่งขนั เป็นเพยี งเลน่ กนั เพอื่ อวด ลวดลายในการเตะเพอื่ ดูกนั แปลกๆ และเพ่ือความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ กนั เทา่ นัน้ วิธเี ล่นก็ ตงั้ วงเหมือนตะกรอ้ วง แต่ไม่ต้องขดี เส้นเหมือนตะกรอ้ วง ผเู้ ล่นจะมีตงั้ แต่ 2 – 8 คน แตล่ ะ คนก็จะเตะหรอื ใช้กระบวนท่าส่งลกู ไปยงั คู่ ซึง่ คโู่ ต้กจ็ ะแสดงท่าพลกิ แพลงต่างๆ ในลักษณะ ที่เรียกกนั ว่า “ตดิ ตะกรอ้ ” สักระยะเวลาหนง่ึ แลว้ ก็จะสง่ กลับไปยงั ผู้เลน่ อ่นื บ้าง ซึ่งผู้เลน่ ร่วมวงคนอน่ื กจ็ ะแสดงทา่ พลิกแพลงทีแ่ ตกตา่ งกันออกไปอกี เช่น รบั ลกู ตะกร้อท่สี ่งมาด้วย หลงั เทา้ แล้วเตะลูกไม่ใหต้ ก จากน้ันก็เตะส่งลกู ขึ้นไปติดคา้ งกบั ส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกาย เช่น ข้อพับ ขาหนบี ซอกคอ ตน้ คอ หนา้ ขา หรอื สงบนง่ิ อยบู่ นหลงั เทา้ และเมอ่ื ไดจ้ งั หวะอีกก็เตะ ลูกใหมไ่ ปติดค้างอย่ตู ามร่างกายสว่ นอืน่ ๆ ไดอ้ กี ผเู้ ลน่ ท่ีชำนาญจะติดตะกร้อได้ตงั้ แต่หน่งึ ลกู ไปจนถึง 17 ลกู กม็ ี 5. ตะกร้อชิงธง ตะกรอ้ ชิงธงหรอื ตะกรอ้ เตะช่วงชัย เปน็ การแข่งขันตะกร้ออีกวธิ ีหนงึ่ คลา้ ยการแข่งขัน วงิ่ วัวหรือวิ่งเรว็ โดยขีดเสน้ ดว้ ยปนู ขาวลงบนพนื้ ทำเปน็ ชอ่ งทางกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร เม่ือผเู้ ข้าแข่งขนั ยนื ประจำท่ีเสน้ เรม่ิ ตน้ จากนั้นเมือ่ ไดย้ นิ สญั ญาณ ใหเ้ ลี้ยงตะกรอ้ ด้วยอวยั วะสว่ นตา่ งๆ ของร่างกาย ยกเวน้ มอื โดยพยายามพาลูกตะกรอ้ ไปยงั ปลายทาง ซึง่ มเี สน้ ชัย มธี งปกั ไวเ้ ป็นเครอื่ งหมาย ถา้ ผู้เลน่ คนใดสามารถเล้ยี งตะกรอ้ โดยไม่ ออกนอกลู่ และไม่ตกพนื้ จนกระทงั่ ถึงเส้นชัยกอ่ นจะเป็นผูช้ นะการแขง่ ขัน
6. ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อลอดหว่ ง มกั เรยี กวันหลายชื่อ เชน่ ตะกร้อลอดบ่วง ตะกร้อหว่ งชัย หลวงมงคล แมน ( สังข์ บูรณะศริ ิ ) เปน็ ผู้รเิ ริ่มคิดขน้ึ ราวช่วง พ.ศ. 2470 – 2475 เร่ิมมกี ารแขง่ ขึน้ คร้งั แรกราว พ.ศ. 2476 ตะกร้อลอดห่วงมผี เู้ ล่น 7 คน สำรอง 3 คน สนามสำหรบั สำหรับแข่ง เป็นพ้นื ราบอยใู่ นร่มหรอื กลางแจง้ ก็ได้ ในขณะทีเ่ ลน่ จะเปลีย่ นตวั ผู้เลน่ ไม่ได้ จะเปลยี่ นได้ใน คราวแขง่ ขันคราวตอ่ ไป มีลวดสปริงขึงไว้ระหวา่ งเสาท้งั สองต้นซึ่งห่างกนั ประมาณ 20 เมตร ลวดสปริงที่ขึงนั้นสูงจากพ้ืน 8 เมตร มีรอกสำหรับแขวนห่วง 1 ตวั อยกู่ ่ึงกลางลวดสปริง หว่ งชัยประกอบดว้ ยวงกลม 3 หว่ ง ขนาดเท่ากนั จะทำดว้ ยโลหะ หวาย หรอื ไม้ก็ได้ ขอบ ลา่ งของหว่ งตอ้ งได้ระดบั สงู จากพ้ืนสนาม 5.75 เมตร เวลาลูกตะกรอ้ เข้าห่วง ให้หยอ่ นลง มาเพอ่ื นะลกู ตะกร้อจากถุงหว่ งและโยนข้นึ เลน่ ใหม่ มผี ูช้ กั รอก 1 คน ใช้เวลาในการแขง่ ขัน คร้ังละ 50 นาที ไมม่ ีพกั ผู้เล่นท้งั 7 คน ยนื เปน็ วงห่างกันพอสมควร การเตะลูกตะกรอ้ เข้า หว่ งทำได้ทกุ คนจะเตะลกู ตะกร้อทา่ ใดกไ็ ด้และมคี ะแนนให้ทกุ ทา่ และทกุ ลกู ท่ีเขา้ ห่วง โดย ให้คะแนนตามความยากงา่ ยของแต่ละทา่ คณะตะกรอ้ ชดุ ใดไดค้ ะแนนมากในเวลาท่ีกำหนด เปน็ ฝา่ ย รายละเอยี ดเกย่ี วกบั กตกิ าการแขง่ ขันตะกร้อลอดห่วงศกึ ษาไดจ้ ากสมาคมกีฬาไทย พระบรมราชูปถมั ภ์ และสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย หรือที่สำนกั งานการกฬี าแหง่ ประเทศไทย ทกุ แหง่ 7. ตะกร้อข้ามตาข่าย การเล่นตะกรอ้ ข้ามตาขา่ ยแบบไทยนี้ เนื่องจากมนี กั ตะกรอ้ และนักแบดมนิ ตันบางท่าน ซงึ่ มี หลวงสำเร็จวรรณกิจ ขนุ จรรยาวิฑิต นายผล ผลาสนิ ธุ์ และนายย้ิม ศรหี งส์ เป็นคณะ ผู้ริเรม่ิ ข้ึนเป็นคร้ังแรก เม่ือ พ.ศ. 2472 โดยพยายามการเล่นตะกรอ้ กับแบดมินตันเขา้ ด้วยกันและเรียกกฬี าใหม่น้วี ่า “ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย” โดยมกี ารนับคะแนนแบบแบดมนิ ตนั
จนถึง พ.ศ. 2475 สมาคมกีฬาสยามซงึ่ เปน็ ชื่อสมาคมในสมยั นั้น บดั น้ีเปลย่ี นช่อื เป็นสมาคม กีฬาไทย ไดข้ อให้หลวงคุณวชิ าสนอง รา่ งกติกาตะกร้อข้ามตาข่ายขน้ึ และ พ.ศ. 2476 จึง จัดใหม้ ีการแข่งขนั ตะกร้อขา้ มตาขา่ ยระหวา่ งประชาชนขนึ้ เป็นครั้งแรกในงานฉลอง รฐั ธรรมนญู ประจำปี พ.ศ. 2476 ปรากฏว่าตอ่ มามีผูน้ ยิ มเลน่ กนั มากและแพรห่ ลายกนั มาก ข้ึนตามลำดบั จนถงึ พ.ศ. 2579 กรมพลศกึ ษาจงึ จัดให้มกี ารแข่งขันตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย ระหวา่ งนกั เรยี นขึ้นเป็นคร้งั แรก 8. เซปกั ตะกร้อ เซปักตะกร้อหรอื ตะกร้อขา้ มตาข่ายแบบสากล เปน็ กฬี าทไี่ ดพ้ ัฒนามาจนเปน็ ที่ แพรห่ ลายไปเกอื บทว่ั โลก ประเทศมาเลเซียเปน็ ผ้คู ิดค้นกตกิ าการเลน่ ซ่ึงลักษณะการเลน่ เซปักตะกร้อคลา้ ยกบั การเลน่ ตะกรอ้ ข้ามตาข่ายของไทย แต่ตา่ งกนั ตรงรปู แบบ สนาม การ เล่นลกู การนับคะแนน และกตกิ าการแล่น
มารยาทของผู้ชมกฬี าเซปักตะกร้อทด่ี ี 1. ปรบมอื ให้นักกฬี าและผู้ตัดสนิ เมอื่ เขาดนิ ลงสนาม 2. ปรบมอื แสดงความยนิ ดีเมอ่ื ผเู้ ล่นเลน่ ไดด้ ี หรือชนะการแข่งขนั 3. นั่งชมดว้ ยความสงบเรยี บร้อยไม่ส่งเสียงเอะอะ 4. ไม่แสดงทา่ ทางยวั่ ยุให้ผู้เลน่ ขาดสมาธิ 5. ไม่ใชเ้ สยี งเพลงทีม่ ีเน้ือหาหยาบคาย สรา้ งความแตกแยก 6. อย่าแสดงกริ ยิ าไม่สภุ าพหรอื ใช้วสั ดุส่งิ ของขว้างปาลงสนาม นักกีฬา หรือกรรมการ 7. ผู้ดูตอ้ งยอมรบั การตดั สินของผู้ตดั สิน 8. ไม่สง่ เสียงโห่ร้องหรือแสดงกิรยิ าเย้ยหยนั เมื่อผู้เล่นเล่นผิดพลาดหรอื ผตู้ ดั สินผิดพลาด 9. ผู้ดูควรเรยี นรู้กติกาการแขง่ ขันกฬี าชนดิ น้ันๆ พอสมควร 10. ใหค้ วามรว่ มมอื กับเจา้ หน้าที่ เมื่อเกดิ เหตกุ ารณ์วุ่นวายข้ึนในสนามแขง่ ขัน 11. สนับสนุนใหก้ ำลังใจและใหเ้ กยี รตนิ กั กีฬาทกุ ประเภทเพ่ือเป็นการส่งเสรมิ การกีฬาของชาติ
มารยาทในการเล่นเซปักตะกรอ้ ท่ดี ี 1. การแสดงความยินดี ชมเชยด้วยการปรบมือหรือจับมอื เมื่อเพื่อนเลน่ ได้ดี แสดงความเสยี ใจเม่ือ ตนเอง หรอื เพือ่ นร่วมทมี เลน่ ผดิ พลาดและพยามปลอบใจเพอ่ื น ตลอดจนปรบั ปรงุ การเล่นของตวั เอง ให้ดีขน้ึ 2. การเลน่ อย่างสภุ าพและเล่นอยา่ งนักกีฬา การแสดงกิรยิ าทา่ ทางการเล่นต้องให้เหมาะสมกับการ เป็นนักกฬี าทีด่ ี 3. ผู้เล่นที่ดีต้องไม่หยิบอุปกรณ์ของผู้อน่ื มาเล่นโดยพลการ 4. ไม่วา่ จะชนะหรือแพ้ตอ้ งไมแ่ สดงอาการดใี จหรอื เสยี ใจจนเกินไป 5. ผู้เล่นต้องเชอ่ื ฟังคำตดั สนิ ของกรรมการ หากไมพ่ อใจคำตดั สนิ ก็ยืน่ ประท้วงตามกตกิ า 6. ผู้เลน่ ตอ้ งควบคมุ อารมณใ์ ห้สุขุมอยู่ตลอดเวลา 7. ก่อนการแขง่ ขันหรอื หลงั การแข่งขัน ไมว่ า่ จะเป็นฝา่ ยแพห้ รือชนะกต็ าม ควรจะตอ้ งจับมอื แสดง ความยนิ ดี 8. หากมีการเลน่ ผดิ พลาด จะต้องกล่าวคำขอโทษทันทีและตอ้ งกลา่ วให้อภัยเมื่อฝ่ายตรงข้ามกล่าวขอ โทษดว้ ยความย้มิ แยม้ แจม่ ใส 9. ต้องแตง่ กายรัดกุม สภุ าพ ถูกตอ้ งตามกติกาทก่ี ำหนดไว้ 10. ไม่สง่ เสียงเอะอะในขณะเล่นหรอื แข่งขันจนทำให้ผูเ้ ล่นอน่ื เกิดความรำคาญ 11. ตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎขอ้ บังคับตามกตกิ าอยา่ งเครง่ ครดั 12. มีความอดทนต่อการฝึกซอ้ มและการเล่น 13. หลังจากฝึกซ้อมแล้วต้องเก็บอุปกรณ์ใหเ้ รยี บร้อย 14. เลน่ และแข่งขันดว้ ยชน้ั เชิงของนกั กฬี า ร้แู พ้ ร้ชู นะ รูอ้ ภัย ในการเลน่ กีฬา
บรรณานกุ รม http://thekop59.blogspot.com/2013/02/blog-post.html https://sites.google.com/site/sepaktakrxchin/rup-baeb- khxng-takrx/2-1-prapheth-khxng-takrx-1
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: