Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore GESTALT PSYCHOLOGY

GESTALT PSYCHOLOGY

Published by patipol2399, 2020-03-27 03:58:37

Description: เนื้อหาดังกล่าวจัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา......

Keywords: GESTALT PSYCHOLOGY

Search

Read the Text Version

กลุ่มเกสตลั ท์ (GESTALT PSYCHOLOGY)

แมกซ์ เวอร์ ไธเมอร์ (Max Wertheimer) เคอรท์ เลอวิน (Kurt Lewin) เคอรท์ คอฟพก์ า (Kurt Koffka) วอล์ฟแกง โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)

หลกั การเรยี นรูข้ องกล่มุ เกสตลั ท์ กลุ่มเกสตัลท์ เช่ือว่าการเรียนรู้ที่เห็นส่วนรวม มากกว่าส่วนย่อยน้ันจะต้องเกิด จากประสบการณ์เดิม และการเรียนรยู้ ่อมเกดิ ขึน้ 2 ลักษณะคือ

1. การรบั รู้ (Perception) 2. การหยั่งเหน็ (Insight) การรบั รหู้ มายถึง การแปลความหมายหรือ หมายถึง การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง โดยจะเกดิ การตคี วามตอ่ สิง่ เรา้ ของ อวยั วะรบั สมั ผัส แนวความคิดในการ เรียนรู้หรือการ สว่ น ใดสว่ นหนงึ่ หรอื ทัง้ หา้ สว่ น ได้แก่ หู แกป้ ญั หา ข้ึนอยา่ งฉบั พลนั ทนั ทีทนั ใด (เกดิ ตา จมูก ล้นิ และผิวหนงั และการตีความน้ี ความคิดแวบขึ้นมาในสมองทันท)ี มองเหน็ มักอาศัย ประสบการณ์เดมิ ดังน้ัน แตล่ ะคน แนวทาง การแกป้ ญั หาตง้ั แต่จุดเริ่มตน้ เปน็ อาจรับรูใ้ นสิง่ เร้าเดียวกันแตกตา่ งกนั ได้ ข้ันตอนจนถงึ จดุ สุดทา้ ยท่ีสามารถจะ แล้วแต่ประสบการณ์ แกป้ ญั หาได้

การหย่ังเห็น (Insight)

โวล์ฟกัง โคหเ์ ลอร์ (Wolfgang Kohler) นกั จติ วทิ ยาชาวเยอรมนั คือ ผทู้ พี่ ฒั นาทฤษฎีน้ี โดยมี แนวคดิ ทว่ี ่า “เมอ่ื บคุ คลประสบกับสงิ่ เรา้ หรือปญั หาบุคคลกจ็ ะเห็นโครงสรา้ งของปัญหาใน ภาพรวมก่อนแลว้ จงึ มองเห็นความสมั พันธส์ ่วนยอ่ ยๆทมี่ าประกอบกนั ท้งั หมดจนเกดิ ความ เข้าใจอยา่ งแจ่มแจง้ ในวธิ ีการท่ี จะจดั การกบั สง่ิ เร้าหรอื ปัญหานน้ั ได้ในทนั ทีทนั ใด” ซึง่ โคห์เลอร์เรยี กปรากฏการณ์เช่นนว้ี ่า “การหยง่ั รู้” (Insight) จากนน้ั บคุ คลจึง แสดงพฤติกรรมตอ่ สงิ่ เร้าน้นั ตามการหยั่งรู้ของตน ซึ่งแสดงวา่ บคุ คลนน้ั ได้เกิดการ เรียนรูข้ ึน้ แล้ว และ เปน็ การเรยี นรู้ทีเ่ กดิ ข้ึนอย่างคอ่ นขา้ งถาวร

เรื่องของการหยง่ั เหน็ น้ี วอล์ฟแกง โคห์เลอร์ ไดท้ าการทดลองอยหู่ ลายการทดลอง แต่ ขอยกตัวอย่างพอสรุปสน้ั ๆ สกั การทดลองหน่งึ คอื เขาไดน้ าลิงตวั หน่งึ ชอื่ สุลตา่ น มาอด อาหารจนหิวจดั แล้วนาไปขงั ไว้ ในกรง แขวนกลว้ ยหวีหนง่ึ ไวใ้ นท่สี งู ในกรง ในระดับท่ีลงิ ไม่สามารถเอื้อมถงึ แล้ว นากลอ่ งไม้ 3 กล่อง ไวใ้ นกรงด้วย กะวา่ เมื่อนากลอ่ งไม้ 3 กลอ่ ง มาตั้ง ตอ่ ๆ กนั ลงิ ก็สามารถหยบิ กลว้ ยได้

ผลการทดลองปรากฏว่า เมอ่ื ลิงหิวจดั กห็ าวธิ ที จี่ ะหยิบกลว้ ยให้ได้ ในที่สดุ ลิงก็มองเห็นกล่องไม้ ได้กล่าว ไว้ตอนต้นแลว้ ว่า โคหเ์ ลอร์ ไดเ้ น้นว่า “การเรียนรู้เกิดจากการหย่ังเหน็ (Insight) โดยอาศัยประสบการณ์เดิม ทค่ี ล้ายคลงึ กนั มาแก้ปัญหาใหมท่ ี่ประสบ”

ทฤษฎสี นามของเลวิน (Lewin’s Field Theory)

Kurt Lewin นักจติ วิทยาชาวเยอรมนั มีแนวคิดเกีย่ วกบั การเรยี นรู้เช่นเดียวกบั กล่มุ เกสตัลท์ ทีว่ า่ การ เรียนรู้ เกิดขน้ึ จากการจัดกระบวนการรบั รู้ และกระบวนการคดิ เพื่อการแกไ้ ขปัญหาแต่เขาได้นาเอาหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ มารว่ มอธิบายพฤติกรรมมนษุ ย์ เขาเชือ่ วา่ พฤตกิ รรมมนุษยแ์ สดงออกมาอยา่ งมีพลังและทิศทาง (Field of Force) สิ่งท่ีอย่ใู น ความสนใจและต้องการจะมพี ลงั เป็นบวก ซง่ึ เขาเรยี กว่า Life space สิ่งใดทอี่ ยนู่ อกเหนอื ความสนใจจะมีพลงั เป็นลบ

Lewin กาหนดว่า สิง่ แวดลอ้ มรอบตัวมนษุ ย์ จะมี 2 ชนดิ คือ 1. สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ (Physical environment) 2. สง่ิ แวดลอ้ มทางจติ วทิ ยา (Psychological environment) เปน็ โลกแห่งการรับรตู้ ามประสบการณข์ องแต่ละบคุ คลซ่ึงอาจจะเหมือน หรือแตกต่างกับสภาพทีส่ ังเกตเหน็ โลก หมายถงึ Life space น่ันเอง Life space ของบคุ คลเปน็ สิง่ เฉพาะตวั ความสาคัญท่ีมตี ่อการ จดั การเรียนการสอน คือ ครูตอ้ งหาวธิ ที าให้ตัวครูเข้าไปอยูใ่ น Life space ของผเู้ รยี นใหไ้ ด้

กฎการเรยี นรขู้ องเกสตัลท์ Gestalt Theory

การเรียนรูข้ องกลุ่มเกสตลั ท์ ที่เนน้ “การรับรเู้ ปน็ สว่ นรวมมากกวา่ สว่ นยอ่ ย” นัน้ ได้สรุปเป็น กฎการเรียนรู้ของ ทง้ั กลุม่ ออกเป็น 4 กฎ เรียกวา่ กฎการจดั ระเบยี บเข้าดว้ ยกนั (The Laws of Organization) ดังนี้ 1. กฎแหง่ ความแนน่ อน 2. กฎแหง่ ความ หรือชัดเจน คล้ายคลึง (Law of Pregnant) (Law of Similarity) 3. กฎแห่งความใกล้ชิด 4. กฎแหง่ การสนิ้ สดุ (Law of Proximity) (Law of Closure)

1. กฎแหง่ ความแนน่ อนหรือชัดเจน (Law of Pragnanz) ซ่งึ กลา่ วว่าเม่ือตอ้ งการใหม้ นุษย์เกดิ การรับรู้ ในสิง่ เดียวกัน ตอ้ งกาหนดองค์ประกอบข้นึ 2 ส่วน คอื A. ภาพหรือข้อมูลทีต่ ้องการใหส้ นใจ เพ่ือเกิดการเรียนรูใ้ นขณะนนั้ (Figure) B. ส่วนประกอบหรือพน้ื ฐานของการรบั รู้ (Background or Ground)

บางครง้ั Figure อาจเปล่ียนเปน็ Ground และ Ground อาจเปลี่ยนเปน็ Figure กไ็ ด้ ถา้ ผูส้ อนหรือผ้นู าเสนอ เปลยี่ น ส่ิงที่ตอ้ งการใหผ้ ู้เรยี น หรือกล่มุ เปา้ หมายเบนความสนใจไปตามท่ตี นต้องการ โปรดดูภาพตอ่ ไปน้ี ดูภาพข้างบนนี้ เพือ่ นๆเหน็ ว่าเปน็ “นางฟ้า” หรือวา่ “ปศี าจ” ถา้ มองสีดาเป็นภาพสขี าวเปน็ พ้นื จะเหน็ เปน็ รปู อะไร แต่ถ้ามองสสี ีขาวเปน็ ภาพสีดาเป็นพนื้ จะเห็นเป็นรปู อะไร ลองพิจารณาดู

2. กฎแหง่ ความคล้ายคลงึ (Law of Similarity) กฎนี้เป็นกฎที่ Max Wertheimer ต้งั ข้ึนในปี ค.ศ. 1923 โดยใชเ้ ป็นหลกั การในการวางรปู กลมุ่ ของการรับรู้ เชน่ กลุ่มของ เสน้ หรอื สี ทค่ี ล้ายคลึงกนั หมายถึงส่ิงเรา้ ใด ๆ กต็ าม ที่มีรปู รา่ ง ขนาด หรือสี ทค่ี ลา้ ยกัน คนเราจะรับร้วู ่า เป็น ส่งิ เดียวกัน หรอื พวกเดยี วกัน จากภาพขา้ งบนน้ี เราจะเหน็ วา่ รปู ส่ีเหล่ียมเลก็ ๆ แตล่ ะรูป ท่ีมีสเี ข้ม เป็นพวกเดียวกัน

3. กฎแหง่ ความใกล้ชิด (Law of Proximity) สาระสาคัญของกฎนี้ มีอยูว่ ่า ถ้าสง่ิ ใด หรอื สถานการณใ์ ดทเ่ี กิดขน้ึ ในเวลาต่อเนือ่ งกัน หรือในเวลา เดยี วกนั อินทรยี จ์ ะเรียนรู้ วา่ เป็นเหตแุ ละผลกัน หรือ สิง่ เรา้ ใดๆ ท่ีอยใู่ กล้ชิดกัน มนษุ ย์มแี นวโน้มท่จี ะรบั รู้ สง่ิ ต่างๆ ท่ีอยใู่ กล้ชดิ กนั เปน็ พวกเดียวกัน หมวดหมู่เดยี วกัน

4. กฎแหง่ การสิน้ สุด (Law of Closure) สาระสาคัญของกฎนม้ี ีอยู่ว่า “แมว้ ่าสถานการณ์หรอื ปญั หายงั ไมส่ มบูรณ์ อนิ ทรีย์กจ็ ะเกิดการเรยี นรู้ ได้จากประสบการณ์เดมิ ต่อสถานการณ์น้นั ” ภาพต่อไปนก้ี ็เชน่ กัน แม้จะไม่ใช่ภาพทเ่ี ขียนข้ึนอยา่ งสมบรู ณ์ แตค่ นทม่ี ีประสบการณเ์ ดมิ ก็พอจะรวู้ ่า เปน็ ภาพอะไร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook