46 การเลยี้ งกงุ้ 46 การใสอาหารในยอ ตองหวานอาหารในบอกอนแลวจึงใสอาหารในยอ จุดประสงคเพื่อตองการใหกุง ในบอกระจายกินอาหารทั่วบอกอน เม่ืออาหารที่หวานบนพ้ืนบอหมดแลว กุงบางสวนท่ียังไมอิ่มก็จะเขาไป กินอาหารในยอสําหรับบอที่การปลอยกุงอยางหนาแนนและมีการหวานอาหารเฉพาะตามริมข อบบอคือไมใช เรือหวานอาหาร ปริมาณกุงสว นใหญจะอยูบ รเิ วณขอบบอมากกวาปกติ ดงั นน้ั อาหารในยออาจจะมากกวาปกติ เชนกุงขนาด 5 กรัม อาหารที่ใสในยอท้ังหมด 2.4 เปอรเซ็นตก็เพิ่มเปน 2.6 เปอรเซ็นต แตเวลาเช็คยอก็ยัง เหมือนเดิม บอท่ีมีการระบายนํ้าหรือของเสียจากกลางบอ (Central drain) จะมีการสะสมของเลนนอยกวาบอ ท่ีไมมีการระบายของเสียจากกลางบอ ดังนั้นพื้นท่ีท่ีสะอาดจะมีมากกวา การกระจายของกุงจะไมแออัดมาก เทา กบั บอท่ีมเี ลนตรงกลางบอ มาก การหวา นอาหารกส็ ามารถกระจายไดมากกวา การเขายอของกุง โดยทั่วไปแลวแกตกตางกันออกไปจากบอหนึ่งกับอีกบอหน่ึง ตามปกติกุงจะเร่ิม ทยอยเชาขอต้ังแต 1 สัปดาห หลังจากการปลอยกุง และจะเขายอเพิ่มขั้นเร่ือยๆ ประมาณ 3 สัปดาห จะเร่ิม เขายอมากในกรณีที่กุงเขายอนอยและเขามากควรจะรอสังเกตดูประมาณ 25-30 วัน ถามีกุงเขายอประมาณ 4-5 ตัว แสดงวาอัตรารอดของกุงในบอต่ํามากกอนที่จะตัดสินใจปลอยกุงเสริมควรงดการหวานอาหารท่ัวบอ แลวใสอาหารเฉพาะในยอวางไวกระจายทั่วบอดูวามีกุงเขายอเพ่ิมข้ึนหรือไมถาการเขายอยังมีนอย แสดงวา อตั รารอดของลกู กงุ ต่ํามาก ควรจะปลอ ยเสริมลงไปอีกไมควรรอนานเกินไปจะเปนการเสียเวลาและโอกาสมากขึ้น การเช็คยอ หลังจากเริ่มคํานวณปริมาณอาหารใสในยอนั้นจะพบวาบอท่ีเคยหวานอาหารเฉพาะริม ขอบบออาหารกระจายไมกวางมากจะมีผลทําใหกุงเขายอมาก แตหลังจากใชเรือหวานอาหารกระจายทั่วบอ การเขายอของกุงจะลดนอยลง ดงั น้นั ในระยะเวลาท่ีเช็คยอถา อาหารหมดพอดี ควรจะมกี ุงประมาณ 30-40 ตวั สําหรับกุงเลก็ และไมมีอาหารเหลืออยูเลย แตมีข้ีกุงบนยอเปนจํานวนมาก แตถามีกุงในยอเปนรอยตัวและไมม ี อาหารเหลืออยูในยอเลยแสดงวา อาหารที่ใหนนั้ ไมพอสําหรับกุงทม่ี ีขนาดใหญจาํ นวนกุงท่ีอยูในยอจะมนี อยกวา กุงขนาดเล็ก เพราะกุงบางสวนจะดีดตัวหนีออกจากยอ ในขณะที่กําลังยกยอเพื่อตรวจเช็คอาหาร แตปริมาณ อาหารในยอจะตองหมดจริงๆ จึงจะเพ่ิมอาหาร ถาจํานวนยอคร่ึงหน่ึงหมดอีกครึ่งหน่ึงไมหมด แตเหลือไมมาก ก็ไมตองเพ่ิมหรือลดอาหารแตถาอาหารในยอเกือบทุกยอหมด และอีกบางยอเกือบเหมดเหลือไมมาก ก็เพิ่ม อาหารได บางคร้งั จะพบวาดานหนงึ่ ของบออาหารในยอจะมีเหลืออยูเ ปน ประจําแตอีกดานหนงึ่ หมดแทบทุกครั้ง แสดงวาอาจจะมีกุงในดานนั้นมากกวาอีกดานหน่ึง ควรใชแหสุมปริมาณกุงท้ังสองดานเพื่อเปรียบเทียบ การกระจายของกุงในบอนั้น แลว ใหอ าหารตามความเปน จริงคือ ดา นที่มกี ุงหนาแนน ก็ใหอาหารมากกวาดานท่ี มีกงุ นอยกวา การทาํ เชน นี้จะแกป ญ หาทีก่ ลา วมาแลว ได จะทําใหอาหารในบอกงุ ใชไ ปอยา งถกู ตอ งตามความเปนจริง ในการเช็คยอทุกครั้งนอกจากจะเช็ควาอาหารหมดหรือไม จะตองจับกุงมาตรวจดูวามีอาหารในลําไส เต็มหรอื เปลา ควรเลอื กดเู ฉพาะตวั ที่มีสเี ขม กวาปกติ เพราะตัวกุง ท่ีใสกวา จะแขง็ แรงกวา กุงที่มีตัวสเี ขม การหวานอาหาร สําหรับกุงขนาดเล็กตองปดเคร่ืองใหอาการทุกตัว เพราะอาหารจะถูกกระแสน้ําพัด ไปรวมกันกลางบอ ลูกกุง อาจจะกินไมทนั แตก ุงขนาดใหญ อาหารจะมขี นาดใหญก วา อาจจะเปด เคร่อื งใหอากาศ ไดบางสวนในขณะหวานอาหาร แตในบอท่ีใชเครื่องใหอากาศแบบแอรเจ็ตถาเปดเครื่องใหอากาศจํานวนมาก กระแสนํ้าจะแรงมากอาหารจะถูกน้ําพัดเขาไปรวมกันบริเวณกลางบอได แตเพ่ือความปลอดภัยในขณะหวาน อาหารโดยเฉพาะการหวานอาหารโดยใชเรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุโดยเครื่องใหอากาศแบบเคร่ืองตีนํ้าแขนยาว ทําใหเ ปนอนั ตรายไดก ับผูห วา นอาหาร ดงั นัน้ ควรจะปดเครือ่ งใหอ ากาศขณะท่ีพายเรือใหอาหาร บอขนาดเล็กที่ มีการหมนุ เวยี นของนา้ํ ไดดี ควรจะปดเครือ่ งใหอากาศขณะใหอาหารเพราะอาหารจะถูกพดั พาไปรวมกันบริเวณ กลางบอ หรืออกไปทางทอระบายของเสียกลางบอได
การเลี้ยงก้งุ 47 47 การปรับอาหารตามยอ ควรจะประเมินปริมาณกุงในบอไดแลเม่ือกุงมีน้ําหนักประมาณ 10 กรัม ลองตรวจเช็คอีกครั้งเมื่อกุงมีน้ําหนัก 15 กรัม ปริมาณอาหารที่กุงกินในขณะน้ันเม่ือคํานวณปริมาณกุงควรจะ ใกลเคียงกันหลงั จากน้ันการเพิ่มก็จะมีเพดานจํากัดโดยคํานงึ ถึงปริมาณกุงในบอ จากการประเมินดว ย ไมใชเพ่ิม อาหารเรือ่ ยๆ จนอตั รารอดของกุงในบอ สูงเกินความเปน จริงจะเปน การสิ้นเปลอื งอาหาร การสุมโดยใชแห ตามปกติจะตองสุมชั่งน้ําหนังกุงทุกๆ 7-10 วันโดยใชแห หลังจากุงในบอน้ําหนัก ประมาณ 5 กรม สําหรบั กงุ ขนาดเล็กกวา น้ีควรจะสุมช่ังนํา้ หนักจากุงท่ีเขมาในยอการสุมนาํ้ หนักกุงเพื่อตอ งการ ทราบการเจริญเติบโตและปรับอาหารใหถกู ตองตามความจริง กงุ ที่กนิ อาหารเปนปกติตัวจะใสสะอาด เนื้อแนน เมื่อบีบบริเวณลําตัว สวนกุงผอมเน้ือจะไมแนนคลายมีชองวาระหวางเปลือกกับเนื้อ ซ่ึงอาจจะมาจากการให อาหารไมพอหรือกุงเริ่มปวย ถาขากุงและตัวกุงสกปรกแตกุงยังแข็งแรง กินอาหารดี แสดงวาพ้ืนบอสกปรก อาจจะมาจากอาหารเหลือหรือข้ีเลนท่ีสะสมกันมากซึ่งอาจจะมาการการเนาของข้ีแดด หรือการวางตําแหนง เคร่อื งใหอ ากาศไมเ หมาะสม ไมสามารถทาํ ใหตะกอนในบอรวมกันเปน จุดเดียวกันไดต องรีบแกไ ขกอนที่กงุ จะปว ย การใชแหสุมกุง ควรจะสุมหลายๆจุดรอบบอเพราะการกระจายของกุงจะแตกตางกันมากบริเวณ มุมอับในบอท่ีมีเลนมาก ควรสุมดวย เพราะจะเปนตัวบงชล้ี ักษณะของพื้นบอไดดี ถาบริเวณมุมอับซ่ึงมีเลนมาก แตตัวกุงสะอาดเหงือกสะอาด แสดงวาในบริเวณอ่ืนๆ ไมมีปญหาแนนอน การสุมดวยแหทําใหผูเลี้ยงสามารถ จัดการเกี่ยวกับการใหอาหารไดอยางมีประสิทธิภาพ บริเวณท่ีพ้ืนบอไมดีก็ใหอาหารนอยกวาบริเวณที่มีพ้ืนบอ สะอาดและมีกุงหนาแนน อยางไรก็ตามการประเมินปริมาณกุงในบอจากการสุมดวยแหไมแนนอนเพราะ นํ้าหนักและชองตาของแหจะมีผลการการสุมมาก การสุมแหเพียงแตบอกใหรูถึงสภาพของกุงในบอ และ สามารถบอกไดบอไหนมีกุงมากกวา แตการประเมินผลผลิตและอัตรารอด รวมท่ังจํานวนของกุงตองคํานวณ จากอาหารที่กุงกินในขณะนั้นหรือในระยะท่ีการกินอาหารของกุงเปนปกติ ไมใชระยะที่กุงกําลังลอกคราบหรือ กําลังปวย การประเมินผลผลิตของกุงในบอ ผูเล้ียงกุงควรนะประเมินผลิตของกุงในบอไดตลอดเวลาเพ่ือท่ีจะ ทราบวา ถาจับกุงในขณะน้ันจะคุมทุนหรือไม หรือปริมาณกุงที่มีอยูควรจะเลี้ยงตอไปหรือควรจะจับขาย แลวเตรียมบอเพื่อการเล้ียงรอบใหม การคํานวณผลผลิตของกุงในบอคิดจากปริมาณอาหารที่กุงกินในขณะนั้น หรือในภาวะปกติ เชน ตามปกตกิ ินวันละประมาณ 100 กโิ ลกรัม แตกอนจับเพียง 1 วนั กินอาหารลอดลงเหลือ 80 กิโลกรัม ตองคิดจากการกินอาหาร 100 กิโลกรัม นอกจากตอนที่กินลดเหลือ 80 กิโลกรัมมีกุงตายพื้นบอ เปน จาํ นวนมาก อาจจะตองประเมนิ จากอาหารมากกวา 80 กิโลกรัมแตน อยกวา 100 กิโลกรมั ตัวอยาง กุงในบอมีน้ําหนักเฉลี่ย 20 กรัม กินอาหารเม็ดวันละ 80 กิโลกรัม ถาจะจับกุงในขณะน้ัน ควรจะมีน้ําหนักทั้งหมดกก่ี โิ ลกรมั วิธีคิด ตองทราบวากุงขนาดนํ้าหนัก 20 กรัม กินอาหารก่ีเปอรเซ็นตของน้ําหนักตัว(ดูตามตาราง การกนิ อาหาร) ในที่นกี้ ุง กุลาดําขนาดนํา้ หนัก 20 กรัมจะกนิ อาหาร 2.5 เปอรเ ซ็นตข องนา้ํ หนักตัวตอ วัน อาหาร 2.5 กิโลกรมั จะไดน าํ้ หนกั กงุ 100 กโิ ลกรัม อาหาร 1 กิโลกรัม จะไดน ้าํ หนกั กงุ 100x1 = 40 กโิ ลกรมั 2.5 อาหาร 80 กิโลกรมั จะไดน ้าํ หนกั กงุ 40x80 = 3,200 กโิ ลกรัม ดงั นนั้ ถา จะจบั กุง นํ้าหนกั เฉลย่ี 20 กรมั กินอาหารวันละ 80 กโิ ลกรมั จะไดกงุ จาํ นวน 3,200 กโิ ลกรมั สําหรับกุงขนาด 10 กรมั กินอาหาร 4.0 เปอรเซน็ ตข องนํ้าหนักตัว 15 กรัม กินอาหาร 3.0 เปอรเ ซน็ ตของนา้ํ หนกั ตัว 20 กรัม กนิ อาหาร 2.5 เปอรเ ซน็ ตข องน้ําหนักตัว 25 กรมั กนิ อาหาร 2.3 เปอรเซน็ ตข องนา้ํ หนักตวั
48 การเลี้ยงกุง้ 48 30 กรมั กินอาหาร 2.1 เปอรเซน็ ตข องนาํ้ หนักตัว 35 กรัม กนิ อาหาร 2.0 เปอรเซ็นตข องนา้ํ หนกั ตัว อาหาร 1 กโิ ลกรมั กงุ ขนาด 10 กรมั จะไดน าํ้ หนกั กุง 100/4 = ประมาณ 25 กโิ ลกรัม อาหาร 1 กิโลกรัม กุงขนาด 15 กรัมจะไดน า้ํ หนกั กุง 100/3 = ประมาณ 33 กโิ ลกรมั อาหาร 1 กิโลกรมั กุง ขนาด 20 กรัมจะไดนาํ้ หนกั กงุ 100/2.5 = ประมาณ 40 กิโลกรมั อาหาร 1 กิโลกรัม กงุ ขนาด 25 กรมั จะไดนาํ้ หนักกงุ 100/2.3 = ประมาณ 43 กิโลกรัม อาหาร 1 กโิ ลกรมั กงุ ขนาด 30 กรมั จะไดน ้าํ หนกั กงุ 100/2.1 = ประมาณ 48 กิโลกรมั อาหาร 1 กิโลกรัม กุงขนาด 35 กรัมจะไดน าํ้ หนกั กุง 100/2.0 = ประมาณ 50 กโิ ลกรัม การประเมินผลผลิตของกงุ นํา้ หนกั 10 กรัม ใช 25 คณู อาหารทก่ี ุงกนิ ในวันน้นั 15 กรมั ใช 33 คูณอาหารทีก่ งุ กินในวนั นัน้ 20 กรมั ใช 40 คูณอาหารที่กุงกนิ ในวนั น้ัน 25 กรัม ใช 43 คณู อาหารทกี่ งุ กนิ ในวนั น้ัน 30 กรัม ใช 48 คณู อาหารท่กี ุงกินในวันน้นั 35 กรมั ใช 50 คณู อาหารท่ีกงุ กนิ ในวันน้ัน การคํานวณผลผลิตจากวิธีน้ีท่ีกลาวมานี้ ถาใชกรคํานวณอาหารท่ีใสในยอ ระยะเวลาการเช็คยอตาม ท่ีแนะนํา โดยท่ีผูเลี้ยงเองตองมีประสบการณอาจจะมีการดัดแปลงบางตามความเหมาะสมของแตละฟารม การประเมินผลผลิตจะใกลเ คยี งกับความจรงิ มาก บอที่มีการใหอาหารและการจัดการเร่ืองคุณภาพน้ําไดเหมาะสมและพื้นบอสะอาด เมื่อจับกุงและ นําผลผลติ มาคาํ นวณหาอัตราแลกเน้ือสว นมากจะมีคา คอนขางตํ่า หมายถึงใหอาหารไมม ากแตไดกงุ ปริมาณมาก ตัวอยางเชน ใชอาหารไปทง้ั หมด 4,200 กิโลกรัม จบั กุงไดน ํ้าหนักรวม 3,000 กโิ ลกรมั คาอัตราแลกเน้ือเทากบั 4,200 = 1.4 3,000 คา อัตราแลกเน้อื ท่อี ยใู นเกณฑที่ดสี าํ หรับการเล้ียงกุงกลุ าดาํ คอื ถา จบั กงุ ขนาด 60 ตัวตอ กิโลกรัม คา อตั ราแลกเนอื้ ควรจะอยรู ะหวาง 1.2 – 1.3 ถาจบั กงุ ขนาด 50 ตัวตอ กโิ ลกรมั คาอัตราแลกเนอื้ ควรจะอยรู ะหวาง 1.3 – 1.4 ถาจบั กุง ขนาด 40 ตวั ตอกิโลกรมั คาอตั ราแลกเนอ้ื ควรจะอยรู ะหวา ง 1.4 – 1.5 ถาจบั กุงขนาด 30 ตวั ตอกิโลกรมั คา อัตราแลกเนื้อควรจะอยรู ะหวา ง 1.5 – 1.6 สําหรับเกษตรกรท่ีสามารถเลี้ยงกุงไดคาอัตราแลกเนื้อต่ํากวาเกณฑท่ีกลาวมาน้ีแสดงวาการให อาหารและการจัดการตางๆ ดีมากทุกขั้นตอน ตองอยาลืมวาอาหารคือตนทุนในการเลี้ยงกุงที่สูงท่ีสุด การใชอ าหารอยา งมปี ระสทิ ธิภาพจะเปนการลดตนทนุ และเปนรายไดมากขึ้นดวย ในชวงเดือนแรกใหอาหาร 3 ม้ือก็เพียงพอ แตบางฟารมอาจจะให 4 มื้อก็ได แตในชวง 30 วัน ถึง 60 วัน ควรจะให 4 ม้ือ หรือถาปลอยกุงแนน และกุงติดดีอาจจะเพ่ิมเปน 5 มื้อ แตในรายท่ีมีประสบการณ สูงควบคุมอาหารและมีการจัดการที่ดีการใหเพียง 4 ม้ือ ก็ไมแตกตางกันมากนัก ขอดีของการใหอาหาร 5 ม้ือ ดกี วาใหเพียง 4 มอื้ ในชว งเดอื นทายๆ คือผูเลี้ยงมโี อกาสเดินรอบบอดสู ภาพตางๆ ท่วั ไปไดม ากขน้ึ โอกาสที่จะ เห็นปญหาตางๆไดดกี วาแตบางฟารมในชวง 40 วันแรกใหอาหารเพียงวนั ละ 3 มื้อ พอเริ่มเช็คยอก็ปรับเปนให อาหารวันละ 4 ม้ือ ให 4 มือ้ จนกระทงั่ จับขายก็ใหผลดีและยังจะทําใหผ ูเลย้ี งมีเวลาพักผอนในระหวางแตละม้ือ อาหารไดม ากกวา โดยสรุปวาให 4 ม้อื หรอื 5 มอื้ แตล ะฟารมจะเลือกแบบไหนก็ไดข ึน้ กับวัตถุประสงคละความ สะดวกหรือลองเปรียบเทียบดวู าให 4 มอื้ และ 5 มอ้ื ผลทอี่ อกมาแบบไหนดกี วา ก็เลอื กแบบน้นั
การเล้ียงกุ้ง 49 49 จากการศึกษาโดยการสุมกุงเพื่อตรวจเช็คการลอกคราบและการกินอาหารของกุงโดยการปรับเพ่ิมลด อาหารจากยอ พอจะสรุประยะเวลาการลอกคราบของกงุ ขนาดตางๆ ไดด ังน้ี นํ้าหนกั 2-5 กรัม ชว งเวลาในการลอกคราบ 6-7 วัน น้ําหนกั 6-9 กรัม ชว งเวลาในการลอกคราบ 7-8 วนั นา้ํ หนกั 10-15 กรมั ชว งเวลาในการลอกคราบ 9-10 วัน น้ําหนกั 16-22 กรมั ชว งเวลาในการลอกคราบ 12-13 วัน น้ําหนัก 23-31 กรัม ชวงเวลาในการลอกคราบ 14-16 วนั กงุ น้นั เมือ่ เรม่ิ มกี ารลอกคราบกุงจะเรมิ่ กนิ อาหารนอยลงจากปกตินานประมาณ 2 วนั จงึ เรมิ่ กนิ เพ่ิมข้ึน จนถึงระดับเดิมใชเวลาอีก 2 วัน รวมระยะเวลาท่ีอาหารเริ่มลดลงจนถึงระดับเดมิ กินเวลานานประมาณ 4 วัน หลังจากนั้นการกินอาหารจะเพิ่มข้ึนสูงกวาในระดับสูงสุดกอนระยะเร่ิมลอกคราบและจะเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ จนถึง วงจรการลอกคราบครงั้ ตอ ไป สําหรับกุงที่มีขนาดใหญเชน ขนาดประมาณ 15 กรัม ระยะเวลาที่กินอาหารลดลง จนถึงระยะเวลา ทกี่ ารกินเทากบั ระยะกอนลอกคราบใชเวลาประมาณ 5-6 วัน ระยะเวลาของการลอกคราบ และการกินอาหารลดลงหรือเพ่ิมขึ้นในบอเกษตรกรผูเลี้ยงกุงสงั เกตหรือ บันทึกอาจจะแตกตางจากที่กลาวมาแลวบาง แตหลักการใหญๆ แลวควรจะคลายกันการเพิ่มหรือลดอาหาร ในแตละม้ืออาจจะมากหรือนอยแตกตางกันตามเทคนิคและวิธีการปรับอาหารของแตละคน แตการใหอาหาร ทีน่ อ ยกวา ปกติบาง จะดีกวา การใหอ าหารเหลอื เปอรเ ซ็นตการใหอ าหารตอน้าํ หนักตัวและปรมิ าณอาหารในยอ มีดังน้ี เบอรอ าหาร นน.กงุ เฉลย่ี (กรัม) % อาหาร/นน.ตัว % อาหารในยอ เวลาเช็คยอ 3 2 6 2.0 3 ชม. 4S 5 5 2.4 2.5 ชม. 4 10 4.0 2.8 2.0 ชม. 5 15 3.0 3.2 2.0 ชม. 5 20 2.5 3.6 2.0 ชม. 5 25 2.3 3.8 1.5 ชม. 5 30 2.1 4.0 1.5 ชม. 5 35 2.0 4.2 1 ชม. ตามตารางท่ีใหมานี้ อาจจะมีการดัดแปลงตามความเหมาะสมของแตละฟารมและขนาดของบอดวย ควรหวานอาหารใหทั่วบอกอนแลวจึงเอาอาหารใสในแตละยอ โดยทั่วไปบอขนาด 3-4 ไร จะมีบอ 4 ยอ ตําแหนงท่ีวางยอตองไมเปนที่มุมอับมีเลนเนาเสียพื้นบอมาก และตองไมอยูหนาเครื่องใหอากาศที่ทําใหอาหาร ใหยอปลิวหลุดออกมาจากยอได ควรปดเคร่ืองใหอากาศกอนหวานอาหาร ยกเวนวันที่ฟาปด ฝนตกหนัก หรือ ชวงกลางคืน จาํ เปนตอ งปด เคร่ืองใหอาการบางสวน แตตองไมท ําใหอาหารในยอปลิวออกมาได
50 การเลี้ยงกงุ้ 50 เพอ่ื ใหเ กษตรกรเขา ใจงา ยขึ้น ปริมาณอาหารทใ่ี สในแตล ะยอมีดังนี้ น้ําหนักกงุ เฉล่ีย 2 กรมั ใสอาหารในแตล ะยอ 5 กรัมตออาหาร 1 กิโลกรมั เวลาเชค็ ยอ 3 ชม. นาํ้ หนักกุง เฉล่ีย 5 กรัม ใสอาหารในแตละยอ 6 กรมั ตอ อาหาร 1 กโิ ลกรัม เวลาเชค็ ยอ 2.5 ชม. นา้ํ หนักกงุ เฉล่ยี 10 กรัม ใสอ าหารในแตล ะยอ 7 กรมั ตอ อาหาร 1 กโิ ลกรัม เวลาเช็คยอ 2 ชม. นํา้ หนักกงุ เฉลี่ย 15 กรัม ใสอ าหารในแตละยอ 8 กรัมตออาหาร 1 กิโลกรมั เวลาเช็คยอ 2 ชม. นา้ํ หนักกงุ เฉลี่ย 20 กรมั ใสอาหารในแตล ะยอ 9 กรัมตอ อาหาร 1 กโิ ลกรัม เวลาเช็คยอ 2 ชม. นํา้ หนกั กุงเฉล่ยี 25 กรมั ใสอาหารในแตละยอ 9.5 กรัมตอ อาหาร 1 กิโลกรัม เวลาเชค็ ยอ 1.5 ชม. นํา้ หนกั กุงเฉล่ีย 30 กรมั ใสอ าหารในแตละยอ 10 กรัมตออาหาร 1 กิโลกรัม เวลาเชค็ ยอ 1.5 ชม. นาํ้ หนักกงุ เฉลี่ย 35 กรมั ใสอาหารในแตล ะยอ 10.5 กรมั ตออาหาร 1 กโิ ลกรัม เวลาเชค็ ยอ 1 ชม.
การเล้ียงกงุ้ 51 51 บทปฏิบตั ิการที่ 4 เรื่องการใหอาหารกงุ การเลี้ยงกุงในปจจุบันเปนการเล้ียงแบบพัฒนา มีการปลอยกุงอยางหนาแนน ฉะน้ันตองใหอาหาร อยางเพียงพอ และเหมาะสม ซึ่งในการเลี้ยงกุงน้ัน 60% เปนตนทุนในการใหอาหารอีกอยางอาหารก็ราคาสูง เพราะฉะนั้นผูเล้ียงตองรูจัก วิธีการ รูจักขนาดเบอรอาหารที่ใชในแตละชวง ซ่ึงจะทําใหการใชอาหาร เกดิ ประโยชนต อกงุ สงู สุด จุดประสงค 1. นักเรยี นบอกชนิด เบอรอาหารทใี่ ชเ ลย้ี งได 2. นกั เรียนคาํ นวณการใชอาหารได 3. นักเรยี นรูจกวธิ กี ารใหอาหารอยางถูกตอง 4. นกั เรยี นเขาใจและคํานงึ ถึงผลกระทบจากการใหอ าหาร อปุ กรณ 1. อาหารเบอร 1,2,3,4,5 2. ตาช่ังขนาด 15 กก. 3. ยอเช็คอาหาร 4. เครือ่ งใหอาหารอตั โนมัติ 5. ถงั สาดอาหาร 6. แผนตารางการใหอาหาร 7. แห, อวน วิธีการ 1. นกั เรียนท้งั กลุมศึกษาลกั ษณะขนาดรูปรางเบอรอาหาร 2. นกั เรยี นรวมกันจดั ทาํ แผนกระดานตารางการใหอาหาร 3. นักเรยี นแบงกลุมๆละ 2-3 คน หมุนเวยี นปรบั เปลย่ี นกนั ใหอ าหารกุง 4. นกั เรยี นรว มกนั ศึกษาความสัมพันธก ารใหอาหารกงุ กับจํานวนกงุ ที่เหลอื ในแตล ะชวง 5. นกั เรียนรว มกนั ศึกษาผลการกินอาหารของกงุ ในยอโดยคํานึงผลกระทบของอาหารท่ีกุงกนิ 6. นักเรียนรว มกันศึกษาขนาดน้ําหนักไซดกงุ แตล ะชวงแลวคํานวณการใชอาหาร แบบบันทึกการใหอาหาร ว.ด.ป เบอรอาหาร ตารางการใหอ าหาร ผลการเชค็ ยอ ผรู ับผดิ ชอบ ม้ือ1 ม้อื 2 ม้ือ3 มื้อ4 มือ้ 1 มอื้ 2 มื้อ3 มื้อ4 คําถามทายบท 1. อธบิ ายลักษณะอาหารกุงเบอร 1,2,3,4 2. คาํ นวณปรมิ าณอาหารทใ่ี ชใ นการเลี้ยงกุง จากสภาพการณจ ริง
52 บทท่ี 5 การจัดการคณุ บภทาทพี่ 5น�ำ้ ในบ่อเลย้ี งก้งุ กุลาด�ำ การจดั การคณุ ภาพนํ้าในบอ เลยี้ งกงุ กลุ าดํา ปญหาท่ีเกิดข้ึนในการเลี้ยงกุงกุลาดําในปจจุบันที่สําคัญไดแกปญหาท่ีเก่ียวของกับคุณภาพน้ําที่มี คุณภาพดอยลงอันเน่ืองมาจากการขยายตัวของฟารมเลี้ยงกุงกุลาดําในประเทศไทยท่ีมีเพ่ิมขึ้นในหลายๆทองท่ี ทําใหการเลี้ยงตองมีความเส่ียงตอกุงเปนโรคตายสูงมากโดยเฉพาะในบริเวณที่มีการเลี้ยงกุงกุลาดําแบบพัฒนา มีการปลอยกุงอยางหนาแนน และขาดระบบการควบคุมปองกันของเสียท่ีปลอยออกมา แตอยางไรก็ตาม การเล้ียงกุงกุลาดําในทุกระบบไมวา จะเปน ระบบความเค็มปกติหรือระบบความเค็มต่ํา หรือระบบนํ้าหมนุ เวยี น หรือระบบปดสนิทก็ตาม การจัดการเร่ืองคุณภาพน้ําในบอเลี้ยงมีความสําคัญมาก ผูเล้ียงกุงตองมีความรูและ เขาใจถงึ การเปล่ียนแปลงตา งๆ ท่ีเกดิ ขึน้ เพอ่ื หาแนวทางในการปองกนั และแกไขเพ่ือลดปญหาตางๆที่อาจจะมี ผลตอ สุขภาพของกงุ การเจริญเติบโตและผลผลติ คณุ สมบตั ขิ องนาํ้ ท่ีมีความสาํ คัญในการเลี้ยงกุง กุลาดํามดี ังนี้ 1. ความเค็ม กุงกุลาดําเปนกุงท่ีมีความสามารถทนทานตอการเปล่ียนแปลงของความเค็มในชวงกวางและ ถาความเค็มเปลี่ยนแปลงลดลงอยางชาๆ สามารถปรับตัวอยูท่ีความเค็มเปนศูนยเปนเวลานานพอสมควร หรือ ความเค็มที่เพ่ิมขึ้นจนถึง 45 พีพีที แตความเค็มท่ีเหมาะสม และการเจริญเติบโตดีที่สุดคืออยูระหวาง 15-20 พีพีที แตในปจจุบันเราพบวาการเล้ียงกุงท่ีความเค็ม 3-10 พีพีทีจะเลี้ยงกุงไดงายเน่ืองจากมีปญหาเร่ือง ความเสียหายจากโรคกุงนอยมากโดยเฉพาะปญหาจากโรคแบคทีเรียเรืองแสงในบอกุงเปนตน เกษตรกร หลายรายจงึ ไดห นั มาเลีย้ งกุง ในระบบความเค็มต่าํ มากขน้ึ 2. พีเอช (ความเปน กรดเปน ดา ง) พีเอชของนํ้ามีความสําคัญตอการดํารงชีวิตของกุงกุลาดํามาก เน่ืองจากพีเอชของน้ํามีผล ตอคุณสมบัติของน้ําตัวอ่ืนๆ อีกเชนมีผลตอความเปนพิษของแอมโมเนียไนไตรทและไฮโดรเจนซัลไฟต เปนตน พีเอช ของน้ําที่เหมาะสมแกการเลี้ยงกุงกุลาดํา ควรอยูระหวาง 7.5-8.5 การเปลี่ยนแปลงของพีเอชในบอเลี้ยง กุงกุลาดําข้ึนกับปจจัยหลายอยางเชน คุณสมบัติของดิน คาอัลคาไลนนิต้ี การผลิตและการใชคารบอนไดออกไซด ในนาํ้ ซง่ึ สว นใหญจะขนึ้ อยกู ับปรมิ าณแพลงกตอนพืช น้ําท่ีผานบริเวณที่ดินเปนกรดหรือดินเปรี้ยวจะมีพีเอชตํ่า เนื่องจากความเปนกรดที่ละลายออกมา จากเน้ือดินจะทําใหพีเอชของนํ้าตํ่าโดยท่ัวไปแลวดินบริเวณปาชายเลนมักจะเปนดินเปร้ียว ซึ่งเกิดจากการ สะสมของไพไรท ซ่ึงเปนสาประกอบระหวางเหล็กและกํามะถันในชั้นดินในสภาพที่ขาดออกซิเจน ลักษณะดิน สวนมากมักจะมีสะสมของสารอินทรียจากพืชตางๆสูง ดินพวกน้ีเม่ือขุดขึ้นมาสัมผัสอากาศ ไพไรทจะถูก ออกซิไดซเปนกรดกํามะถัน(กรดซัลฟูริค) พีเอชของดินจะต่ํา ในบริเวณที่ดินเปนกรดเหลานี้เม่ือสูบน้ําเขาไป ในบอจะเห็นไดชัดวานํ้าจะมีสีสมและมีตะกอนสนิมเหล็กเปนจํานวนมากการแกปญหาเหลาน้ีทําไดโดยใช น้ําลางบอหลายๆครั้ง เม่ือลางจนเพียงพอแลวเติมนํ้าเขาบอใหระดับนํ้าในบอสูงกวาหรือเสมอกับบอขางเคียง แลวเติมวัสดุปูน หากน้ําในบอมีพีเอชที่ต่ํามากแพลงกตอนในบอจะเกิดขึ้นจากเกษตรกรตองปรับพีเอชน้ําใหได คาตอนเชา ประมาณ 6.00 น. สงู ประมาณ 7.5 จะชว ยใหแพลงกตอนพชื เพิ่มจํานวนไดเรว็ ข้นึ ระหวา งการเลี้ยง ตองตรวจเช็คคา พีเอชนํ้าอยเู สมอเม่อื พบวาพเี อชนํา้ เริ่มต่าํ กวา 7.5 ใหรบี เตมิ วัสดปุ ูนเพ่ือดึงคา พีเอชขึ้นมา ในบอท่ีมีแพลงกตอนพืชมากหรือในบอที่มีสีน้ําเขมจัด การเปล่ียนแปลงของพีเอชในรอบวันจะ มากข้ึนดวย โดยพีเอชของนํ้าจะตํ่าสุดในตอนเชามืด เม่ือมีการสะสมของคารบอนไดออกไซดจากการเนาสลาย ของเสียและการหายใจของกุงและแพลงกตอนรวมทั้งสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ในบอ สวนในตอนบายพีเอชของนํ้าจะสูง
การเล้ยี งกุ้ง 53 53 ท่ีสุดเน่ืองจากการสังเคราะหแสงของแพลงกตอนพืชมีการดึงคารบอนไดออกไซดไปใชในบอเ ล้ียงกุงกุลาดํา โดยทวั่ ไปพเี อชของน้ําในรอบวนั มากเกนิ ไปจะมีผลทาํ ใหก ุงเครยี ดมผี ลตอการเจรญิ เติบโตดว ย การแกไขปญหา โดยการลดปรมิ าณแพลงกตอนหรือถายนํา้ มากขน้ึ เพื่อลดความเขมของสนี ้ํา หรือในกรณที คี่ าอลั คาไลนในน้ําตํ่า จําเปนตองมีการเติมวัสดุปูน เพื่อเพิ่มระดับคาอัลคาไลน จะทําใหพีเอชของนํ้าตอนเชาและตอนบาย เปล่ียนแปลงนอยลง สวนในกรณีท่ีพีเอชในน้ําตอนบายสูงมาก เน่ืองจากมีการใชคารบอนไดออกไซดไปใน การสังเคราะหแสงมาก การเปดเคร่ืองใหอากาศแบบเคลาน้ําแทนการใชใบพัดตีน้ําจะทําใหการเพ่ิมจํานวน ของแพลงกตอนไมม ากนักซ่งึ มผี ลใหพเี อชของนาํ้ ไมส งู จนเกนิ ไป 3. คา อัลคาไลนใ นนาํ้ หรืออลั คาไลนิต้ี (Alkalinity) โดยท่ัวไปหมายถึงปริมาณหรือความสามารถในการเปนดางของน้ํา ซ่ึงจะรวมปริมาณของ คารบอเนต (CO32-)1 ไบคารบอเนต (HCO3) และไฮดรอกซี่กรุป (HO-) เรียกรวมวา อัลคาไลนรวมคาอัลคาไลน เปนปจจัยอีกอยางหน่งึ ท่ีมีความสําคัญตอคุณภาพน้ําสาํ หรับการเลี้ยงกุง โดยจะมีความสัมพันธอยางมากกับคา พีเอชซ่ึงคาอัลคาไลนจะเปนตัวรักษาระดับพีเอชน้ําในบอใหคงที่หรือมีการเปลี่ยนแปลงนอยท่ีสุดและชวยใน การรกั ษาสีนาํ้ คาอัลคาไลนในน้ําท่ีเหมาะสมกับการเล้ียงกุงกุลาดําคือ 80-150 พีพีเอ็ม โดยท่ัวไปการรักษา ระดับอัลคาไลนใหคงที่น้ัน จะใชวัสดุปูนในกลุมคารบอเนต สวนการเพิ่มอัลคาไลนอาจะใชโซเดียม ไปคารบ อเนต หรอื โซเดียมคารบ อเนตแลว แตร ะดับพีเอชของนาํ้ 4. ออกซเิ จนทลี่ ะลายในน้าํ ปริมาณออกซิเจนท่ีละลายในน้ํามีผลตอการกินอาหาร การเจริญเติบโตและสุขภาพกุงถาปริมาณ ออกซิเจนตํ่าเกินไปอาจมีผลทําใหกุงตายไดปริมาณออกซิเจนท่ีละลายในบอจะเปลี่ยนแปลงคลายกับพีเอชคือ มีคาตํ่าสุดตอนเชา มืด เน่ืองจากการใชไปในการยอยสลายของสารอินทรียโดยจุลินทรียแ ละการหายใจส่ิงมีชวี ติ ในบอ หลงั จากแพลงกต อนพืชเริ่มมีการสังเคราะหแสง ปรมิ าณออกซเิ จนจะเพิ่มขึ้นสงู สดุ ในตอนบาย ความสามารถในการละลายของออกซิเจนในน้ําข้ึนอยูกับอุณหภูมิและความเค็ม น้ําที่มีความเค็ม และอุณหภูมิมีเพ่ิมข้ึนออกซิเจนละลายไดนอยลง เชนท่ีอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส จุดอ่ิมตัวของออกซิเจน ในนํ้าจืดเทากับ 7.54 พีพีเอ็ม(มิลลิกรัมตอลิตร) แตเม่ือความเค็มเพ่ิมข้ึนเปน 35 พีพที ออกซิเจนจะอ่ิมตัวท่ี 6.22 พพี ีเอ็ม ปญ หาการขาดออกซิเจนในบอเลย้ี งกุง กุลาดาํ จะพบในบอเลี้ยงกุงที่ปลอยกุงไปในปรมิ าณมากหรือ มีกุงติดมากแตมีเคร่ืองใหอากาศไมเพียงพอโดยเฉพาะในชวงเดือนสุดทาย ในบอที่มีกุงหนาแนนเมื่อมีการให อาหารในปริมาณที่มากในแตละวัน เศษอาหารที่เหลือและของเสียที่กุงขับถายออกมามากนั้นจะมีการดึง ออกซเิ จนไปใชในการยอสลายสิง่ เหลา นี้ รวมท้ังการหายใจของแพลงกตอนท่ีหนาแนน และการหายใจของกุงที่มี ขนาดใหญข้ึนในบอ จะมีผลทําใหออกซิเจนในตอนเชาลดต่ําลงมามาก ถามีกุงในปริมาณมากและเครื่องให อากาศไมเพียงพอ กุงอาจจะลอยตามผิวน้ําต้ังแตตอนกลางคืนหลังเท่ียงคืนจนถึงตอนเชามืด เม่ือออกซิเจน ท่ีละลายในนํ้าอยูในชวง 1.7-2.0 พีพเี อ็ม ปรมิ าณออกซิเจนทส่ี ูงกวา ระดับนี้กุงจะไมล อย แตพบวา ถา ออกซิเจน ตํ่ากวา 3.0 พีพีเอ็ม กุงจะไมแข็งแรง การกินอาหารจะลดตํ่าลงกวาปกติ ในชวงที่กุงกําลังลอกคราบ ถาระดับ ออกซิเจนตา่ํ กุงอาจจะลอกคราบแลวตายได ดงั น้ันควรจะวัดคาออกซเิ จนอยางสม่ําเสมอเปนประจํา อยางนอย วันละคร้งั ในชวงเชา หรอื วันละหลายๆคร้ัง สาํ หรบั บอท่มี ีการเลี้ยงกุงอยา งหนาแนน เพอ่ื เปนขอมลู ในการเลี้ยง และเปน แนวทางในการเล้ยี งกุงในรุนตอๆไป การวดั คาออกซิเจนควรจะวดั ในปริมาณทีล่ ึกท่สี ุดของบอ หรอื กันบอ เนื่องจากกุง กุลาดาํ จะใชเ วลาสว นใหญท ่ีบริเวณพน้ื บอ
54 การเล้ยี งกงุ้ 54 ปริมาณออกซิเจนในนํ้าควรอยูระหวาง 4 พีพีเอ็ม ถึงจุดอ่ิมตัว การแกปญหาเรื่องการขาด ออกซิเจนในบอท่ีมีกุงอยางหนาแนนและกุงมีขนาดใหญ ตองมีเคร่ืองใหอากาศ และการเปล่ียนถายนํ้า อยางพอเพียง 5. สารประกอบไนโตรเจน(แอมโนเนยี และไนไตรท) แอมโมเนียและไนไตรท เปนสารประกอบไนโตรเจนท่ีเปนพิษตอกุงและสัตวนํ้าแหลงของ สารประกอบไนโตรเจนในน้ําสวนใหญมาจากสารอินทรีย ซ่ึงอาจเกิดจากขบวนการเนาสลายของเศษอาหารท่ี เหลือ แพลงกตอนที่ตาย เศษซากพืชสัตวและสารอินทรียอ ่ืนๆ โดยจุลินทรีย แลวปลอยแอมโมเนียออกมาสูนา้ํ นอกจากนี้กุงหรือสัตวน้ํายังปลอยของเสียในรูปแอมโมเนียเขาสูแหลงนํ้าโดยตรง เชนกัน ในสภาวะที่มี ออกซิเจนแบคทเี รียจําพวกไนตรไิ ฟอ้งิ แบคทีเรยี (nitrifying bacteria) จะเปลยี่ นแอมโมเนียไปเปน ไนไตรทและ ไนเตรทตามลาํ ดับ แอมโมเนียเปนสานประกอบไนโตรเจนท่ีเปนพิษตอกุงและสัตวนํ้า เชนเดียวกับไนไตรท แอมโมเนียท่ีพบอยูในนํ้าจะอยูในสองรูปแบบคือ แอมโมเนีย (NH4+) ซึ่งไมเปนพิษตอสัตวนํ้าและแอมโมเนีย อิออน (NH4+) ซึ่งไมเปนพิษตอสัตวนํ้า ในการวัดแอมโมเนียโดยท่ัวไปจะวัดรวมท้ังสองรูป แอโมเนียท้ังสอง รูปแบบน้ีจะเปล่ียนกลับไปกลับมาตามพีเอชของนํ้าและอุณหภูมิของนํ้า โดยเฉพาะพีเอชของนํ้าท่ีสูงขึ้น อตั ราสวนของแอมโมเนีย (NH3) จะสงู ขึ้น ทาํ ใหความเปน พิษตอสัตวน ้ํามมี ากข้นึ ทําใหความเปนพิษตอสัตวนํ้า ลดลง ตารางแสดงเปอรเซ็นตข องแอมโมเนยี (NH3) ทีพ่ ีเอช และ อณุ หภูมขิ องน้ําในระดับตา งๆกัน อุณหภูมิ พีเอช 18 20 22 24 26 28 30 32 7.0 0.34 0.40 0.46 0.52 0.60 0.70 0.81 0.95 7.2 0.54 0.63 0.72 0.82 0.95 1.10 1.27 1.51 7.4 0.86 0.99 1.14 1.30 1.50 1.73 2.00 2.36 7.6 1.35 1.56 1.79 2.05 2.35 2.72 3.13 3.69 7.8 2.12 2.45 2.80 3.21 3.68 4.24 4.88 5.72 8.0 3.32 3.83 4.37 4.99 5.71 6.55 7.52 8.77 8.2 5.16 5.94 6.76 7.68 8.75 10.00 11.40 13.22 8.4 7.94 9.09 10.30 11.65 13.20 14.98 16.96 19.46 8.6 12.03 13.68 15.40 17.28 19.42 21.83 24.45 27.68 8.8 17.82 20.08 22.38 24.88 27.64 30.68 33.90 37.76 9.0 25.57 28.47 31.37 34.42 37.71 41.23 44.84 49.02 9.2 35.25 38.69 42.01 45.41 48.96 52.65 56.30 60.38 9.4 46.32 50.00 53.45 56.86 60.33 63.79 67.12 70.72 9.6 55.77 61.31 64.54 67.63 70.67 73.63 76.39 79.29 9.8 68.43 71.53 74.25 75.81 79.25 81.57 83.68 85.85 10.0 77.46 79.92 82.05 84.00 85.82 87.52 89.05 90.58 10.2 84.48 86.32 87.87 89.27 90.56 91.75 92.80 93.84
การเลยี้ งกงุ้ 55 55 เมอ่ื แอมโมเนียในน้ํามปี ริมาณสูงขน้ึ จะมีผลใหก ารขบั ถา ยแอมโมเนยี ของกุงทาํ ไดนอยลงทาํ ใหเกิด การสะสมของแอมโมเนียในเลือดและเน้ือเยื่อ สงผลใหพีเอชของเลือดเพ่ิมข้ึนและมีผลตอการทํางานของ เอ็นไซม แอมโมเนียจะทําใหการใชออกซิเจนของเนื้อเย่ือสูงข้ึน แอมโมเนียจะไปทํา ลายเหงือกและ ความสามารถในการขนสง ออกซิเจน และทําใหกุงออนแอติดโรคไดงาย ระดับความเขมขนของแอมโมเนียที่ทาํ ใหสัตวนํ้าตายโดยปกติอยูในชวง 0.4-2.0 มิลลิกรัมตอลิตรในรูปของ NH3 ในการทดลองแบบพิษเฉียบพลัน ระหวาง 24-72 ชั่วโมง แตสําหรับกุงมีรายงานวา แอมโมเนียที่ความเขมขน 1.29 มิลลิกรัมตอลิตรในรูป NH3 จะทําใหกุงตายไดถ ึง 50 เปอรเ ซ็นตในระยะเวลา 48 ชั่วโมง ความเปนพิษของไนไตรทตอสัตวนํ้าเกิดจากการท่ีไนไตรทไปออกซิไดซเหล็ก ซ่ึงเปนองคประกอบ ฮีโมโกลบิน ทําใหกลายเปนเมทธีโมโกลบินซึ่งไมสามารถขนถายออกซิเจนได ทําใหเกิดการตายเนื่องจาก การขาดออกซิเจน และคาดวาขบวนการเชนเดียวกนั น้ีอาจเกิดกับฮีโมไชยานินของพวกกงุ ระดับความเปน พษิ ของไนไตรทจะเพม่ิ ข้นึ เมื่อคา ออกซิเจนทล่ี ะลายนา้ํ (DD) และคา พีเอชนํ้าลดลง นอกจากนี้ความเปนพิษของไนไตรทจะถูกยับยั้งโดยคลอไรดในนํ้า ดังน้ันในนํ้าทะเลซึ่งมีคลอไรดสูงความเปน พิษของไนไตรทต อ สตั วน ้ําจึงคอ นขางต่ํา เกษตรกรผูเ ลี้ยงกุง ทีใ่ ชน ํา้ ทะเลโดยตรงน้ันปญหาของความเปนพิษของ ความเปนพิษขอไนไตรทตอกุงจะนอย แตสําหรบเกษตรกรผูเล้ียงกุงในระบบความเค็มต่ําซ่ึงนํ้าในบอมีปริมาณ ของคลอไรดในน้ํานอย ปญหาความเปนพิษของไนไตรทในบอกุงจงึ เกิดไดงายกวา การใสเกลือหรือเติมเกลือลง ในนํา้ จึงมคี วามจาํ เปนอยา งมากหากพบวา คา ไนไตรทในบอ สูง การปอ งกนั หรอื แกป ญ หาเรอื่ งความเปนพษิ ของแอมโมเนยี และไนไตรทสูง โดยการควบคุมการให อาหารไมใหเหลือ การควบคมุ คาของพีเอชในบอ ใหอยรู ะหวาง 5-8 อีกทั้งมีการเปลีย่ นถายนาํ้ และการใหอ ากาศ ทพี่ อเพยี งปญหาความเปนพิษจากสารประกอบไนไตรเจนทงั้ สองตัวนจ้ี ะหมดไป 6. ไฮโดรเจนซัลไฟด(แกสไขเ นา) ในสภาพที่ขาดออกซิเจน แบคทีเรียบางชนิดจะสามารถใชกํามะถัน(ซัลเฟอร๗ในรูปซัลเฟต และ สารประกอบกํามะตัวอ่ืนๆ ท่ีอยูในรูปออกซิไดซและเปล่ียนสาร(ซัลเฟอร) ประกอบเหลานี้ใหอยูในรูปของ ซัลไฟด ซ่ึงจะอยูในสามรูปแบบคือ ไฮไดรเจนซัลไฟด (H2S) ,HS- ,HS= และ S= จะขึ้นอยูกับพีเอชของน้ํา นา้ํ ทม่ี พี ีเอชต่ําจะมีเปอรเซ็นตของ H2S สูง แตเมือ่ พีเอชสงู ข้ึน เปอรเ ซน็ ต H2S จะลดลง แตมี HS- และ S= มากข้ึน ความเปน พษิ ตอ สตั วนาํ้ ลดลงดวย ตารางแสดงเปอรเ ซน็ ตของไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) ท่พี เี อชตางกนั อณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซียส พเี อช เปอรเซ็นต 5.0 99.0 5.5 97.0 6.0 91.1 6.5 76.4 7.0 50.6 7.5 24.4 8.0 9.3 8.5 3.1 9.0 1.0
56 การเล้ียงกุ้ง 56 ความเปนพิษของไฮโดรเจนซัลไฟด จะมีลักษณะคลายคลึงกับการขาดออกซิเจน เน่ืองจากไปขัดขวาง ออกซิเจนภายในเซลลทําใหปริมาณแลกเตท(lactate) ในเลือดสูงข้ึน ความเปนพิษของไฮโดรเจนซัลไฟด จะรนุ แรงกวา การขาดออกซิเจน ระดับความเขมขนของไฮโดรเจนซัลไฟดสูงสุดท่ีไมเปนอันตรายตอกุงกุลาดําคือ 0.033 พีพีเอ็ม การเกิดไฮโดรเจนซัลไฟดในบอเล้ียงกุงกุลาดํา สวนใหญมาจากการใหอาหารมากเกินไป หรือแพลงกตอนพืช ตายเปนจํานวนมากแลวเกิดการเนาสลาย พื้นบอท่ีมีสีดําและมีกล่ินคลายไขเนา เปนลักษณะการเกิด ไฮโดรเจนซัลไฟด การแกปญหาทําไดโดยเพิ่มเคร่ืองใหอากาศ ดูดเลนหรือตะกอนสีดําที่เนาเสียพื้นบอออกไป (เก็บในบอเก็บเลน) และมีการถายน้ํามากขึ้นเพื่อระบายของเสียพ้ืนบอที่อาจจะฟุงกระจายในขณะท่ีดูดเลน เพ่ิมพีเอชของน้ําโดยเฉพาะในระดับพื้นบอโดยการใชวัสดุคือรักษาพื้นบอใหสะอาดและระดับออกซิเจนสูง ตลอดระยะเวลาในการเลี้ยงจะไมเ กิดปญหาเร่ืองกาชไขเ นา สนี ํ้ากับแพลงกต อนในบอกงุ สีของนํา้ ทีมองเห็นไดเ กดิ จากสารท่ีละลายไดในนํา้ สารแขวนลอยและอนิ ทรยี วัตถุที่ยอยสลายอยใู นนํา้ และแพลงกตอนชนิดตางๆ จะทําใหเ กดิ สขี องนํา้ ท่ีแตกตางกนั ออกไป การรักษาสีของนํา้ หรอื ควบคุมสีน้าํ ไดด ี คือสามารถควบคุมการเปลย่ี นแปลงตา งๆท่ีเกิดขึ้นในบอ ได ในการเลี้ยงกุงน้ัน สีน้ําในบอกุงสวนใหญคือสีของแพลงกตอนที่กระจายอยูในนํ้าซึ่งจะมีสีอะไรน้ัน ขึ้นกับชนิดและปริมาณของแพลงกตอนในบอนั้นเอง โดยสีนํ้าที่ดใี นการเลี้ยงกุงควรจะเปนสีท่ีเกิดขึ้นจากพลงก ตอนหลายๆชนดิ อยูร วมก็ไมใ ชเ กดิ จากแพลงกต อนชนิดใดหนง่ึ ชนดิ เดยี ว ประโยชนของสนี ้าํ 1. ทาํ ใหกุงสงบกนิ อาหารดีขึ้น สขี องน้ําลดความโปรงใสของนํ้าในบอ ทําใหแสงสอ งไปไมถงึ พนื้ บอกุง ทอี่ ยูตามพื้นบอจะเคล่ือนไหวนอยลดการกินกนั เอง กินอาหารดีข้นึ เจริญเติบโตดีกวา บอทนี่ ํา้ ใสซึง่ พบวา กุงวายนํ้า รอบบอเกือบตลอดเวลาเสียพลงั งานไปในการวายนา้ํ มากเกินไป การเจรญิ เตบิ โตชาการทนี่ ํ้าใสกงุ ตื่นตกใจจาก สิ่งตางๆมาก ซึง่ เปน การสิ้นเปลอื งพลงั งาน 2. ชวยคงสภาพของน้ําในบอ ในบอที่น้ําใสมีปริมาณแพลงกตอนนอย การปรับคาพีเอชของน้ํา และ คาอัลคาไลน ทําไดยาก จนกระท่ังเมื่อมีการเพ่ิมปริมาณแพลงกตอนพืชในระดับที่เหมาะสม ระดับพีเอชและ คาอัลาไลนของน้ําจะอยูในระดับท่ีดีข้ึนนอกจากนั้นแพลงกตอนยังชวยลอดปริมาณของแอมโมเนีย และสาร อืน่ ๆ ในนา้ํ ได 3. เพ่ิมปริมาณออกซเิ จนในนํา้ บอ ที่มแี พลงกตอนพืชมากหรือสีนํา้ เขม ในชว งเวลากลางวนั ทม่ี ีแสงแดด แพลงกตอนจะมีการสงั เคราะหแสงและผลติ ออกซิเจนออกมา ทําใหปริมาณออกซิเจนในนํ้าตอนกลางวันมีมาก ดงั นัน้ ในตอนกลางวนั ท่ีมแี สงแดด สามารถลดการเปด เคร่อื งใหอากาศแบบใบพัดไดค วรเปด เครื่องเคลา น้ําแทน 4. เพิ่มอาหารธรรมชาติและลดตนทุนการเลี้ยง ในระยะแรกๆ ท่ีเพ่ิงปลอยลูกกุง ถามีการเตรียมสีนํ้า ที่ดี จะมีปริมาณแพลงกตอนสัตวและพืชเปนจาํ นวนมาก สามารถเปนอาหารเสริมแกลูกกุงไดเปนอยา งดี ทําให กุงโตเร็วกวาบอที่น้ําใส จะเปนการลดตนทุนคาอาหารได อีกทั้งแพลงกตอนในบอหลายชนิดท่ีมีคุณสมบัติ เปน เสมือนสมุนไพรใหก บั กุง ไดเชนกนั ตวั อยา งเชนคลอเลลลา , สไปรูไลนา เปน ตน
การเลีย้ งกุ้ง 57 57 สีนาํ้ ในบอ บอกชนดิ แพลงกตอนไดค รา วๆอยางไร สนี ํ้าในบอกุง ชนิดแพลงกต อนในนํา้ น้ําตาลใส ไรโซโซลิเนีย (Rhizosolenia), นชิ เชยี (Nitzschia) นาํ้ ตาล ไรโซโซลิเนยี (Rhizosolenia), คอสซิโนติสคสั (Coscinodiscus) นํ้าตาลออ นจนถึงนํ้าตาลเขมปานกลาง กลมุ ไดโนแฟลกเจลเลต (Dimoflagellate) นา้ํ ตาลเขม เพอรดิ ิเนยี ม (Peridinlum), เชอราเดียม (Ceratium) นํ้าตาลเหลือง หรอื เขียวน้าํ ตาล จมิ โนดิเนียม (Gymnodinlum), นอกตลิ กู า (Noctiluca) นํ้าตาลเขียว ออสซิลาทอเรยี (Oscillatoria), คอสซิโนตสิ คัส (Coscinodicus) นํ้าตาลแดง ไดอะตอม (Diatom) กลุมพลูโรซิกมา (Pleurosigma) เขียวออ น เขียวเขม ไนโรชิกมา (Gyrosigma) เขียวเหลือง คโี ตเซอรอส(Chaetoceros), สเกลลีโตนมี า(Skeletonema) น้ําขุน ไดอะตอม, ไดโนเฟลกเจลเลต ไดอะตอม(Diatom), คลอเรลลา(Chlorella) ออสซิลาทอเรีย(Oscillatoria), ไมโครซิสทสี (Microcystis) อะนาบินา(Anabaena), โอโอซสี ทสี (Oocystis) ออสซิลาทอเรยี (Oscillatoria), นิชเซยี (Nitzschia) แพลงกตอนสัตว (Zooplankton) ตัวออ นโรติเฟอร(Rotifer) และโคพีพอด(Copepod) ชนิดของแพลกตอน แพลงกตอน(plankton) คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กท่ีอาศัยอยูในน้ํา และเคล่ือนไหวไปมาโดยลมและ กระแสน้ํา แตแพลงกต อนสตั วส ามารถเคล่ือนทไ่ี ดเองเลก็ นอ ย โดยเฉพาะการเคลือ่ นท่ใี นแนวดง่ิ แพลงกตอนพืชในบอ กุงมีหลายชนิด เชน สีเขยี วแกมนาํ้ เงิน สเี ขียว สีเหลอื ง ไดอะตอม ไดแ ก นิชเซยี (Nitzschia), คอนซิโนดิสคัส(Coscinodiscus) และคีโตเซอรอส(Chaetoceros) ไดโนแฟลกเจลเลต(Dinoflagellate) ไดแกเพอริดิเนียม (Peridinium), เซอราเตียม(Ceratium) จิมโนดเิ นยี ม(Gymnodinium), นอ กตลิ กู า(Noctiluca) เปน ตน สว นแพลงกต อนสัตว มจี าํ นวนหนาแนนมากทง้ั ชนิดและปริมาณท่ีพบบอยไดแกโ คพีพอด(Copeped) ตัวออ นหอย ลูกกงุ และเคย เปนตน แพลงก็ตอนท่ีพบบอยในบอกุง ของไทย ไมโครซีสทีส มีสีเขียวแกมน้ําเงินเซลลเดียวรูปรางกลมๆ มีขนาดเล็ก อยูรวมกันเปนกลุมแนนไมมี ระเบียบ มีวนุ ใสๆ หมุ รูปรางกลมไมแนน อน ภายในมี pseudovacuoles ออสซลิ าทอเรยี มสี ีเขียวแกมน้ําเงินซ่งึ มรี ปู รา งเปน เสน ลาย เสนมีผิวเรยี บ ไมมีรอยตอระหวา งเซลล อาจจะอยูเดีย่ วๆ หรือเปน กลุม อะนาบินา มีหลายสี อยูเด่ียวๆ เสนสายตรงหรือมวนเปนวงหรือปดเปนเกลียวในบางชนิด เชลลมี รูปรา งถงึ เบียร กลม หรอื รปู ส่เี หล่ียม โอโอซีสทีส มีสีเขียว ที่มีรูปวางหลายแบบ กลม เหลี่ยม หรือยาวรี สวนมากมีคลอโรพลาส 1 อัน จะ ปรับตัวใหล อยอยูในนาํ้ ได
58 การเลยี้ งก้งุ 58 คลอเรลลา มีสีเขียว รูปรางกลม บางชนดิ รูปรี มีคลอโรพลาส 1 อนั สืบพนั ธโุ ดยวิธีสราง autospore ไดอะตอม เปนแพลงกตอนกลุมที่มี ผนังหุม เซลลประกอบดวยธาตุซิลิกา เซลประกอบดวยฝา 2 ฝา ครอบซอนกัน การแยกชนิดนั้นเราจะใชลักษณะลายบนฝาเซลประกอบการแยก ไดอะตอมท่ีมักพบในบอกุง ไดแก คีโตเซอรอส สเกลีโตนีมา ทาลาสสิโอสิรา คลอสิโนดิสคัส โรโซโซลิเนีย นิชเซีย ไจโรซิกมา พลูโรซิกมา นาวคิ ลู า ไดโนแฟลกเจตเลต เปนสาหรายเซลลเดียว มักอยูเดี่ยวๆจะอยูรวมกลุมนอยมาก มีแฟลกเจลเลต (หนวด) 2 เสน หนวดทั้งสองเสนชวยในการเคล่ือนที่ บางชนิดไมมีผนังเซล เชน จิมโนติเนียม นอกติลูกา แต สวนใหญเซลลมีผนังหุม ผนังหุมเซลลแบงเปนช้ินเล็กๆ ซ่ึงจํานวนชิ้นของผนังหุมเซลน้ีจะไมเทากันแตกตางกัน ตามชนิด บนช้ินเล็กๆดังกลาวนี้จะมีลวดลายตางๆเชนเปนตาขาย หนามขนาดเล็ก หรือเปนแผนเยื่อบางๆ ลักษณะเชนนี้มักพบในพวกเซอราเตยี ม เพอรร ดิ เิ นียม อเล็กซานเตรียม ไดโนแฟลกเจลเลตเปนแพลงกตอนท่ี มีมากในเขตนาํ้ เค็ม แพลงก็ตอนสัตว โรตเิ ฟอร พบไดทั้งในนํ้าจืดและนาํ้ เค็ม ผิวนอกของโรติเฟอรคอนขางบางและยดื หยนุ ได แตบ าชนิดผิว นอกอาจแข็งคือมีลักษณะคลายเกราะหุม ดานบนสุดของลําตัว มีวงของขนบางซ่ึงทําหนาท่ีชวยในการกิน อาหารและเคลือ่ นที่ ปากมักอยูดา นบนสดุ ของลําตวั โคพีพอด โดยท่ัวไปลําตัวแบงออกเปน 3 สวนคือ หัว อก และทอง โดยโคพีพอดนั้นจะมีสวนหัวเช่ือม กับสวนอก ในสวนน้ีมีรยางค 5 คู สวนทองันแบงออกเปนปลอง ปลองแรกในตัวเมียพัฒนาเปนปลองที่ชวยใน การสบื พันธุ สวนปลอ งสดุ ทายจะมขี นแขง็ หลายเสน ไขอ งโคพพี อด เมือ่ ฟก ออกเปน ตัวจะวายนํา้ เปนอิสระ การ เจริญเติบโตทุกระยะโดยวิธีลอกคราบ หลังการลอกคราบทุกครั้ง ขนาดลําตัวและจํานวนรยางคจะเพิ่มข้ึนจน เจรญิ เปน ตวั เต็มวยั นอรเ พลยี สของกงุ และปตู างๆในนํ้า คอื ตวั ออนของสตั วในกลมุ ครัสเตซยี น รูท ันสนี ํ้าในบอกุง เนื่องจากสีน้ําท่ีแตกตางกันจะประกอบดวย ชนิดของแพลงกตอนท่ีแตกตางกัน ซ่ึงมีสาเหตุมาจาก ปจจยั หลายอยาง จะเห็นไดว า ในฟารมเดียวกัน บอ ท่ีอยตู ิดๆกันมกี ารใหอาหาร การจดั การถายนํา้ ทีเ่ หมือนๆกัน แตส นี ํา้ ยังแตกตางกนั ได โดยท่วั ๆ ไปแลวการจดั การสนี ํา้ หรือควบคมุ ไมใหสนี าํ้ มีการเปล่ียนแปลงมาก จะขึ้นอยู กับความเค็มของน้ํา ฤดูกาลและระบบการเลี้ยงกุงเปนสําคัญ ในชวงที่ความเค็มต่ําและเปนชวงฤดูฝน การ ควบคุมสีนํ้าทําไดงายกวาฤดูรอน ซึ่งสีน้ํามักจะเขมมากเกินไป นอกจากนั้นสีนํ้าที่แตกตางกันจําเปนตองมีการ จัดการทีแ่ ตกตางกนั ดวย สีนํ้าที่งายตอการควบคุมและการจัดการคือสีเขียวออนหรือกลุมสีนํ้าท่ีมีสีเขียว เปนหลักซ่ึงอาจจะมีสี อ่ืนๆผสมดวย สีนํ้าชนิดน้ีจะมีการเปลี่ยนแปลงนอย ถามีการถายนํ้านอยสีนํ้าจะเขมขนเรื่อยๆแตยังคงเปนสี เขียว ถาการถายน้ํายังไมพียงพอ นานไปเรื่อยๆ สีน้ําจะเปนสีเขียวคลํ้าปนนํ้าตาล หลังจากน้ันจึงจะเปนสี น้ําตาล ถามีการเปล่ียนถายนํ้าในบางชวงพอเพียงสนี ้ําจะอยูในระดับท่ีพอเหมาะ ความโปรงใสของสีน้ําที่เปน สี เขียวที่เหมาะสมแกการเล้ียงกุงกุลาดําอยูระหวาง 35-45 ซม. แตในชวงท่ีมีการถายนํ้านอยหรือในระยะท่ีกุงมี ขนาดโต ซึ่งเปนชวงสุดทายของการเล้ียงกุงสีน้ําอาจจะเขมข้ึนมากก็ไมมีปญหา แตระวังอยาใหน้ําเขมจนหนืด
การเลี้ยงกุ้ง 59 59 อาจจะทําใหเหงือกกุงสีเขมขึ้น การกิอาหารจะลดลง และเกิดการติดเช้ือโรคในเวลาตอมาได โดยเฉพาะในชวง การเลยี้ งกุง ท่ีอุณหภูมิของนา้ํ และความเค็มมีการเพ่ิมขึน้ เรื่อยๆ แตป ริมาณการถายเปลีย่ นนํ้ามจี ํากัดเทาเดมิ สีน้ําในกลุมสีน้ําตาล ในระยะแรกของการเล้ียงกุงจะมีการเจริญเติบโตดี ความโปรงใสที่เหมาะสม สําหรับสีน้ําในกลุมสีนํ้าตาลอยูระหวาง 40-50 เซนติเมตร สีนํ้าในกลุมนี้จะไมเปล่ียนเปนสีเขียวแตมีแนวโนม ที่จะเขมข้ึนเร่ือยๆ ถาปริมาณการถายน้ํามีจํากัด เวลาของการเล้ียงเม่ือเปรียบเทียบกับกลุมสีเขียวแลวจะโต ชากวา การควบคุมสีนํ้าในกลุมสีนํ้าตาล ทําไดยากกวา เนื่องจากตองใชนํ้าในปริมาณที่มากกวา เพราะแพลงก ตอนในกลุมน้ีเพิ่มจํานวนเร็วมาก หากแพลงกตอนกลุมนี้ตายจะมีฟองหรือคราบของแพลงกตอนที่ตายปกคลุม บริเวณผิวนํ้าเปนปริมาณกวาง ปญหาเหงือกกุงสีน้ําตาลหรือสีดํามีมากและแกไขไดยากโดยเฉพาะในชวง ที่อากาศรอนและความเค็มของน้าํ สงู การใชสารเคมบี างอยางเพ่ือลดปริมาณแพลงกต อนกอนจะเกิดสภาพที่น้ํา เขมเกินไปจึงเปนวิธีท่ีนิยมใชในปจจุบัน แตในชวงที่เกิดปญหาแลวนั้นหากใชสารเคมีบางชนิดเพ่ือลดปริมาณ แพลงกตอนผลท่ีไดไมแนนอน เพราะสภาพของกุงในแตละบอแข็งแรงไมเทากัน ถากุงอยูในสภาพออนแอ อยูแลว อาจจะตายได การแกไขในระยะยาวจะตองมีการวางแผนท่ีดีในฟารมท่ีมีสีน้ําเปนสีน้ําตาลมาก ตองมีแหลงนํ้าและ อุปกรณเ พือ่ ตรยี มถายหรอื ลดความเคม็ ของนา้ํ ในบอท่เี พียงพอ
60 การเลี้ยงกุ้ง 60 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 5 เรื่องคุณภาพน้ํา นํ้าใชในการเล้ียงกุงซึ่งจําเปนตองใชที่เก็บจากธรรมชาติ เมื่อผูเลี้ยงนําเขามาใชในบอเลี้ยงกุงท่ีมีการ ปลอ ยอยา งหนาแนน จําเปน อยางย่งิ ทต่ี อ งมีวัดคณุ ภาพน้าํ ตา งๆ ใหเหมาะสมใกลเคยี งกับธรรมชาติมากท่ีสดุ วัตถุประสงค 1. เพ่ือใหศ กึ ษาความสมั พนั ธข องคุณภาพน้ําท่ีสาํ คัญตอการเล้ยี งกุง 2. เพอ่ื ใหจ ัดการวางแผนการควบคมุ คณุ ภาพนาํ้ ในท่ีจาํ กดั 3. เพื่อใหร ูจกั เครื่องมือ และวธิ ีการใชในการวัดคุณภาพนํา้ อุปกรณ 1. เครื่องวดั ความเค็ม (Salinameter) 2. เคร่ืองวัดอณุ หภมู ิ (Thermometer) 3. เคร่อื งวดั พเี อส (pH meter) 4. นํ้ายาวัดอลั คาไลน (Alkalinity) 5. นํ้ายาวัดพีเอส 6. นํา้ ยาวดั แอมโมเนีย 7. เครอื่ งมอื วัดคา ออกซิเจน (DOmeter) 8. กระดาษกราฟ 9. แผน Sechi disk วธิ ีการ 1. แบงนักเรยี นออกเปนกลมุ ๆละ 2 คน ปฏิบตั ิการวดั คุณภาพนํา้ ภายในบอ เล้ียงกุง 2. นกั เรียนแตล ะกลุมจดบันทึกขอที่ไดจากการปฏิบตั ิ 3. นกั เรยี นรว มกันบนั ทกึ ขอ มูลลงในกระดาษกราฟ 4. นกั เรยี นแตละคนอธบิ ายความสัมพันธของคุณภาพนํ้าทไ่ี ดจากกระดาษกราฟ แบบรายงานการจดบนั ทึกการวัดคณุ ภาพนํา้ ว/ด/ป คณุ ภาพนา้ํ เชา บาย ผูจดบันทึก หมายเหตุ PH DO Temperqture Alkalinity Salinity Ammonia Sechi disk หมายเหตุ จะทําเปน กลมุ หรอื รวมบคุ คลตามความเหมาะสม กระดาษกราฟบนั ทกึ ขอมลู รวม
การเลี้ยงก้งุ 61 61 คาํ ถามทา ยบท 1. จงบอกคา PH และอัลคาไลน 2. จงบอกวธิ ีการวดั คา pH และอัลคา ไลน 3. อธบิ ายความสัมพนั ธของคุณภาพนาํ้ ที่ไดจากการปฏบิ ตั ิ 4. ปจจยั ที่เก่ยี วพนั กับความเขมของสีนา้ํ มีอะไรบา ง
62 บทท่ี 6 โรคและบกทาทรี่ ป6อ้ งกันรกั ษา โรคและการปอ งกันรักษา กุงปวยท่ีมีการติดเช้ือแบคทีเรียมักจะพบตลอดระยะเวลาของการเล้ียง ตั้งแตโรคตายเดือน ซึ่งอาจจะ ไมมีการอาการผิดปกติภายนอกเดนชัด จนถึงกุงตัวสีแดง หรือกุงปวยท่ีมีสีเขมกวาปกตินอกจากน้ันการติดเช้ือ แบคทีเรียที่พบบอยๆ ในชวงของการเล้ียงเดือนทายๆ กุงที่ปวยดวยการติดเช้ือแบคทีเรีย โดยเฉพาะในกลุม วิบริโอ (Vibrio) ซึ่งมีดวยกันหลายชนิด (species) อาการของกุงท่ีปวยท่ีข้ึนมาอยูตามขอบบอ หรือลอยตามผวิ น้ํามีตั้งแตกุงตัวสกปรก มีตะกอนตามผิวตัวกุงตัวสีสม จับดูตัวหลวมตามลําตัวสกปรก หางมันจะกรอน บาง ลักษณะจะพบวาตามลําตัวจะมีจุดสีดําขนาดเล็ก บริเวณแผนปดเหงือกจะบวม หรือตามเปลือกจะมีจุดขาวๆ ท่ัวไป ลักษณะของกุงปวยที่กลาวไปแลวนั้น เม่ือนํามาเขี่ยเช้ือจากตับและตับออน หรือจากนํ้าเลือด จะมีเชื้อ แบคทีเรยี เปนจาํ นวนมาก ตับและตับออนมกั จะมีขนาดเลก็ ลงกวาปกติ กุงท่ีมีการติดเช้ือแบคทีเรียในลักษณะท่ีกลาวมาแลวทั้งหมด ไมสามารถท่ีจะทําการรักษาโดยใชยา ปฏิชีวนะได เนอื่ งจากกุง ในลกั ษณะอาการเหลาน้ีมีการปวยมาเปน เวลานาน จนถึงระยะที่กุงไมกนิ อาหาร ดังนัน้ การรักษาจะไมไดผล แตการใชยาปฏิชีวนะจะชวยรักษากุงท่ีเพิ่มเร่ิมปวยหรือกุงท่ีมีการติดเชื้อในระยะแรกแต ยังกินอาหาร การรักษาโดยใชยาปฏิชีวนะจะตองควบคูไปกับการจัดการในบอดวยจึงจะไดผล กอนการรักษ า เม่ือมกี ุงในลักษณะทกี่ ลาวมาน้ีขนึ้ มาเกาะหรือตายตามขอบบอ ควรจะเร่ิมบงไปตรวจเช็คดูบริเวณรอบๆ เคร่ือง ตีนํ้า ประตูระบายนํ้าทิ้ง หรือบริเวณทอระบาย ของเสียจากกลางบอถาตรวจพบมีกุงตายมาก และการกิน อาหารลอดบงมกเชนกัน ควรจะรีบจับเพราะลักษณเชนน้ีแสดงวามีกุงกําลังปวยมาก การรักษาโดยใชยาจะไม ไดผ ลเพราะกุงสวนใหญจ ะไมก ินอาหาร การตายของกุงปว ยจะเพ่มิ ปริมาณเชื้อ และการเนา เสียของพนื้ บอ การ ตัดสินใจจับกงุ ชาจะทาํ ความเสียหายไดม าก ในกรณกี ุงยังไมลดมาก กงุ ท่ีสมุ ดจู ากการทอดแหยังแขง็ แรงและกิน อาหารเปนปกติเปนสวนใหญ การแกไขโดยการเปลี่ยนถายนํ้าหรือการจัดการอื่นๆ มักจะไดผล ถาเปนกุงที่มี ขนาดใหญพรอมท่ีจะขายไดแลวควรจะแกไขดวยการจัดการและการเปลี่ยนถายน้ําก็พอเพียง เพราะถาอาการ ไมด ขี ึ้นสามารถจบั กงุ ขายไดท ุกเวลา การใชยาจะตองรอเวลางดยานานพอสมควร ดังนน้ั ผูเล้ียงควรจะพิจารณา ใหดีกอนการตัดสินใจสวนกุงที่มีขนาดยังไมโตมาก เชนระหวาง 5-10 กรัม ผูเล้ียงมักจะพยายามรักษาจนถึง ที่สดุ เพราะกุง ขนาดนีร้ าคาไมสูง การจบั กงุ ขนาดน้ีในฟารม ใหญ หรือในรูปของบรษิ ัทจะไมมีกําไรเลย นอกจาก ผลผลติ จะสูงมาก และราคากงุ สงู ดว ย การเลือกใหยาตานจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะ ควรหาขอมูลในพ้ืนท่ีน้ันวาใชยาอะไรไดผลดีเพราะยาที่ใช กนั มาเปนเวลานานหลายปอาจจะไมไดผลแลในเขตน้นั หองปฏบิ ตั ิการท่ีมีการบริการทางวิชาการในแตละพื้นท่ี จะชวยทดสอบความไวของเชื้อแบคทีเรียตอยาชนิดตางๆ และบอกไดวาควรจะใชอะไรในขณะนั้น การใชยา ปฏิชีวนะจะตองใชใหครบโดสถูกตองตามฉลาก อยาใชเกินหรือนอยกวา นอกจากจะไมไดผลแลวอาจจะทําให แบคทีเรียดื้อยาได และตองอยาลืมวาการรักษาจะไดผลดีตองมีการจัดการเร่ืองคุณภาพนํ้าและพ้ืนบอใหดีดวย พรอ มๆ กนั โรคตายเดือน มักจะพบกับกุงอายุ 25-30 วัน หลังจากปลอยกุงลงในบอเล้ียงที่มีน้ําใส หรือมีสาหรายขึ้นบอมาก จน ในท่ีสุดเกินเปนข้ีแดด ทําใหพ้ืนบอเนาเสีย กุงเริ่มออนแอและกินอาหารนอย ในที่สุดกุงในบอเร่ิมมีอาการตาย เกิดขนึ้ ซง่ึ เมอื่ นํามาตรวจดู มกั จะพบแบคทีเรียในตบั และตับออน อาจจะพบซโู อแทมเนียมบนลาํ ตัว หรืออาจะ มีไวรสั เอ็มบีวีในตบั และตบั ออ นดวย
การเลย้ี งกุ้ง 63 63 การปองกัน ควบคมุ พ้นื บอใหส ะอาดและรักษาสีนํ้าอยาใหใสนานจนเกิดข้แี ดดกงุ จะไมเ ปนโรคนี้ การแกไ ข ใหกินยาปฏชิ ีวนะ รว มกบั การจดั การพ้นื บอ และสนี ํ้าใหดีขึน้ ดวย โรคตัวหลวม มักจะพบกับกุงอายุประมาณ 80 วัน ถึงจับขาย ผูเล้ียงกุงมักจะเรียกวา กุงกอบแกบ เนื่องจากกุงไมกินอาหาร หรือกินอาหารลดลงมากติดตอกันหลายวัน จนตัวหลวมไมแนน สาเหตุมาจากสภาพ ในบอไมดีพบมากในการเลี้ยงกุงระบบปดหรือถายนํ้านอยในชวงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงเชน ฝนตกหนัก ติดตอกันนานๆ หรือฟาปดติดตอกัน หลายวันกุงจะเขาไปหมกเลนกลางบอท่ีมีอุณหภมู ิสงู กวา ที่อ่ืนๆ ถาพื้นบอ บริเวณน้ันสกปรก มีออกซิเจนต่ํา กุงก็จะออนแอและติดเช้ือแบคทีเรียในเวลาตอมา ทําใหการกินอาหารลดลง การรักษามักจะไมค อยไดผล เพราะกงุ อาจจะอยูในระยะทต่ี ดิ เชือ้ มากเกนิ ไป อาการท่ีพบ คือกุงตัวหลวมไมแนนตับและตับออนจะมีขนาดเล็กกวากุงท่ีแข็งแรง ตามลําตัวอาจจะมี ตะกอนหรอื สงิ่ ตางๆเกาะบาง การปองกัน จัดการพ้ืนบอใหสะอาด โดยเฉพาะปริมาณออกซิเจนจะตองอยูในระดับที่สูงตลอดเวลา เพ่ือการยอยสลายพื้นบอของจุลินทรีย และเมื่อกุงเขามาหมกเลนกลางบอนานๆ จะไมติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะ บริเวณน้ันไมเนาเสีย ในชวงที่อากาศผิดปกติ ควรใหกินยาดานจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะปองกันการติดเชื้อ แบคทีเรยี (ยกเวนกงุ ไดขนาดขายไดแลว หา มใชโ ดยเด็ดขาด) อาการอื่นๆ ทพี่ บไดบ อ ยๆของโรคติดเช้อื แบคทีเรีย สําหรบั การตดิ เชื้อแบคทีเรยี แตไ มร ุนแรงในลักษณะกุงเร่มิ ออนแอ เพระสภาพในบอ ไมเหมาะสมเชนมี สาหรา ยขึน้ ตามพนื้ บอมาก หรือนํ้ามีสาหรา ยหนแนน เม่ือกุงออ นแอสาหรายก็เกาะตามตวั กุงได เชน เดียวกบั กุง ที่เล้ียงในนํ้าความเค็มสูงๆ เมื่อสภาพในบอไมเหมาะสม กุงออนแอจะติดเช้ือแบคทีเรียชนิดที่ทําใหกุงตาย อยางรวดเร็ว ตอมาเพรียงก็อาจจะเกาะตามลําตัวได ถากุงเหลานี้ยังลอกคราบไดก็สามารถฟนกลับมาเปน ปกติ แตถา พบกงุ เหลานี้ตามขอบบอ ซ่ึงอยูใ นสภาพทีอ่ อ นแอมาก ไมส ามารถลอกคราบไดจะตายในท่สี ดุ สําหรับระยะเวลาในการงดยากอนจับกุงขายน้ันตามปกติ อยางนอย 14 วัน ถามีการใหยาติดตอกัน นาน 5-7 วัน ในระดับที่แนะนํา ในกรณีท่ีมีกุงตายและรีบใหยาปฏิชีวนะเพียง 1 ม้ือ แลวตัดสินใจจะจับกุง จากการตรวจปรมิ าณยาในตัวกุง พบวา ตองใชเวลานาน 3 วัน ยาจึงจะถูกขับออกไปหมด โรคติดเช้ือแบคทเี รยี เรืองแสง โรคเรืองแสงในกุงกุลาดําเกิดจากเช้ือ วิบริโอ ฮาวีอาย (Vibrio harveyl) ซ่ึงเปนแบคทีเรียแกรมลบมี ลักษณะรปู รา งเปน ทอ นสั้นๆสามารถเคลือ่ นท่ีไดดว ยหนวด ตอ งการสานอนิ ทรียเปนแหลง คารบ อนและพลังงาน เติบโตไดทั้งในสภาวะมีออกซิเจนและไมมีออกซิเจน เชื้อนี้สามารถใหแสงสีเขียวแกรมเหลืองออกมา โดยปฏกิ ริ ิยาทางเคมีท่เี กิดจากเอ็นไซม ลูซิเฟอรเ รส(Luciferase) ซ่ึงทําใหเรืองแสงไดในที่มืดน่ันเอง เชือ้ วิบริโอ ฮาวีอาย จะเพิ่มจํานวนตัวอยางรวดเร็วในนํ้าที่มีความเค็มระหวาง 10-40 พีพีที ที่อุณหภูมินํ้าสูงประมาณ 25-35 องศาเซลเซียส และคาพีเอชน้าํ ที่เชือ้ น้เี จริญเติบโตดีคือ 7-9 ปญหาการเกิดโรคเรืองแสงของกุงในบอเล้ียงพบไดตั้งแตปลอยลูกกุงในบอ 2 สัปดาหจนถึงกุง ใหญขึน้ กับการจดั การบอและสภาพของพนื้ บอ แตท ี่พบมากกงุ มีอายปุ ระมาณ 30-60 วนั ลักษณะอาการ กุงปวยจะข้ึนมาเกยตามขอบบอหรือหรือวายอยูที่ผิวนาํ้ ซ่ึงกุงปวยเหลา นี้จะเห็นการเรืองแสงที่สวนหวั ไดอยางชัดเจนในเวลากลางคืน เม่ือนํากุงปวยมาตรวจสอบโดยนําสวนของตับและตับออน หรือนําเลือดกุง
64 การเลีย้ งกงุ้ 64 มาสองดวยกลองจุลทรรศนจะพบแบคทีเรียทอนสั้นเคล่ือนที่ไดเปนจํานวนมาก และเมื่อทําการเพาะเชื้อ ในอาหารเลี้ยงเชื้อทีซีบีเอส (TCBS agar) จะไดโคโลนีของเชื้อแบคทีเรียเปนชนิดสีเขียว เม่ือตรวจสอบทาง เน้ือเยื่อในกุงปวยพบวาสวนตับและตับออนนั้นถูกทําลายอยางรุนแรงทําใหการยอยอาหาร ไมเปนปกติและ อาหารท่สี ะสมไวในตบั ก็จะนอยลง กงุ เริม่ ออนแอและตายในทีส่ ุด นอกจากพบวา ตบั และตับออนถูกทําลายแลว พบวา ลําไสเกิดเชลลต ายและมอี าการอบั เสบอยา งชัดเจนเชน กัน การปองกัน ในชวงท่ีมีการระบาดของโรคเรืองแสงเชนในหนารอ น ผูเล้ียงกุงควรหานาํ้ ที่มีความเค็มตํ่า หรือนํ้าจืดมาเติมในบอใหปรับความเค็มน้ําในบอเหลือประมาณ 5-7 พีพีที ปญหาของโรคเรืองแสงจะนอยลง มาก ยังพบวาหากปลอยใหปริมาณแบคทีเรียรวมในน้ําอยูในระดับสูง 104 (10,000) เซลล/มิลลิลิตร เปนเวลา ติดตอกันนาน 10 วันข้ึนไป กุงในบอจะเร่ิมมีปญหาเกิดข้ึนจึงควรนําน้ําไปตรวจหาปริมาณเชื้อในน้ําอยูเสมอ เมอ่ื พบวา ในนํา้ มีเชอื้ มากก็ควรลดปรมิ าณเชอ้ื ในบอและใหกุงกินยาปองกัน นอกจากนีแ้ บคทีเรียเรืองแสงกลุมนี้ ตองการคารบอน (C) และไนโตรเจน (N) เพื่อการเจริญเติบโตดงั นั้นหากตองการลดปริมาณแบคทีเรียเรืองแสง ในบอ นอกจากการลดความเค็มแลว วิธีงายและไดผลที่สุดคือการลดปริมาณคารบอนและไนโตรเจนที่ละลาย อยใู นน้ําลง ซึง่ นั่นกห็ มายถงึ การควบคมุ ปริมาณอาหารใหอยูในระดบั ที่กงุ กนิ ไดห มดพอดนี น่ั เอง นอกจากนี้เกษตรกรผูเล้ียงกุงควรอานเทคนคิ การปองกันการเกิดโรคเรืองแสงในบอของ น.สพ.สรุ ศักดิ์ ดลิ กเกียรติ ซงึ่ ไดใหข อมลู การปอ งกันโรคดังกลา วทีเ่ กดิ ประโยชนม าก เรืองแสงจะกลับขึ้นมาใหม การใหกุงกินยาปฏิชีวนะเพ่ือปองกันการติดเชื้อในระยะท่ีมีการแพรระบาดของโรค จะตองขึ้นอยูกับความรุนแรงของโรค สําหรับบอที่ใหกุงกินแบคทีเรียที่เปนชนิดโปรไบโอติกถาจะใชยาตองงด การใหก ินโปรไบโอตกิ หามใหกินพรอมกนั การปองกันโรคเรืองแสงตามท่ี น.สพ.สุรศักดิ์ ดิลกเกียรติ ไดเคยบรรยายไวก็เปนส่ิงท่ีควรทําเชนกัน กลาวคือหากเกษตรกรตองการจะปองกันโรคเรืองแสงในบอกุงของตนเอง สามารถทําไดโดยยอมเสียกุงวันละ หนึง่ หรือสองตวั ในยอ ทําใหก งุ นน้ั ตายแลวนาํ มาใสภ าชนะเปด ที่สามารถสัมผัสกบั อากาศ เชนจานหรือถวย เปน ตนท้ิงไวในท่ีรมอุณหภูมิปกติประมาณ 5-6 ชั่วโมง แลวนํากุงตัวอยางน้ันเขาไปในหองที่มีแสงนอยหรือมีดเชน หองนํ้า หากกุงท่ีเก็บมาเกิดการเรืองแสงก็แสดงวากุงในบอเราเร่ิมจะติดเช้ือเรืองแสง ใหรีบแกปญหาทันที กอนท่ีกุงในบอสวนใหญจะเปนโรคเรืองแสงท้ังหมดซ่ึงการทดสอบโรคเรืองแสงโดยวิธีของ น.สพ.สุรศักดิ์ นั้นดี ใชไดแตควรเก็บกุงต้ังแตชวงบาย เพราะเช้ือเรืองแสงจะใชเวลานานในการเรืองแสง และเพ่ือใหทันการ เกษตรกรควรเก็บกุงตัวอยางในเวลากลางวันเชนตอนเช็คยออาหารชวงบายเพื่อที่วาเม่ือตอน 5-6 ชั่วโมง ผาน ไปแลวนาํ กุงไปสอ งในหองมืดหากกุงเรืองแสงจะไดทันใหย ากุงในม้ือกลางคนื ไดนั่นเอง การตรวจหาเชอื้ แบคทีเรยี ในกุงใหญ เทคนิคที่ใชในการศึกษาทางดานแบคทีเรีย โดยท่ัวไปสามารถนํามาใชในการตรวจหาแบคทีเรียที่ ทาํ ใหเ กิดโรคกับกุงได ในท่นี จ้ี ะขอแนะนําการหาเชื้อแบคทเี รียในกงุ แบบงายๆ และสะดวกคอื 1. ดูจากลักษณะอาการ และสไลดจากตัวอยางสด วิธีนี้สามารถบอกไดคราวๆวาอาการท่ีเกิดขึ้น นาจะเกิดเนอื่ งจากแบคทีเรีย เชน อาการตัวแดง หางบวมนาํ้ เสย้ี นดาํ ตบั ฝอ เรืองแสง มีน้ําขังบรเิ วณผวิ เปลือก ของเหงอื ก แผนปดเหงือกบวม 2. ดูจากการทํา imprint (นําชิ้นสวนหรืออวัยวะที่สงสัยนั้นไปแตะกับสไลดที่สะอาดแลวนําไปยอมแก รม) วิธีนี้สามารถบอกลักษณะของเชื้อแบคทีเรียวามีรูปรางเปนอยางไร ติดสีแกรมลบหรือบวก และมีการติด เชอ้ื แบคทเี รียในอวยั วะสว นไหนของตวั กุงบา ง
การเลีย้ งกุ้ง 65 65 3. ดูจากการเพาะหรือเล้ียงเช้ือแบคทีเรียบนอาหารเล้ียงเชื้อ อาหารเลี้ยงเช้ือบางชนิดจะมี ความจาํ เพาะกบั เช้อื แบคทีเรีย เชน อาหารเล้ียงเชื้อ TCBS จะพบวา มีแบคทเี รยี ในกลุมวิบริโอเจริญไดด ีเปนตน อุปกรณ 1. ตวั อยางกุงกุลาดาํ 2. อาหารเลีย้ งเชอื้ TCBS, NA+เกลือ 1.5%, TSA+เกลอื 1.5% 3. สไลด 4. สยี อ มแกรม 5. กลองจุลทรรศน วธิ ีการ 1. นํากุงกุลาดําติดเช้ือแบคทีเรีย นํามาตัดสวนของเหงือกวางบนสไลด สองดูวยกลองจุลทรรศน กําลงั ขยาย 400X 2. ทํา Imprint โดยการตัดสวนของตอมน้ําเหลือง หรือหัวใจ หรือตับและตับออน ตัดเปนชิ้นเล็กๆ แลวมาแตะเบาๆ บนสไลดท้ิงใหแหงแลวนํามาผานเปลวไฟ และยอมดวยสียอแกรมกลาวคือนําเช้ือที่ตองการ เขีย่ ลงบนน้าํ บนสไลดรอใหแหง แลวนาํ ไปผานเปลวไฟ 2-3 คร้งั , หยดสคี รสี ตัลไวโอเลต (Crystal vlolet) ลงให ทวมแผนกระจกเปนเวลา 1 นาที, ลางออกดวยนํ้าสะอาด, หยดไอโอดิน ใหทวมแผนกระจกเปนเวลา 1 นาที, ลางออกดวยนํ้าสะอาด, หยดดีโคโลไรเซอร (Decolorizer) ใหทวมแผนกระจกเปนเวลา 15 วินาที, ลางออก ดวยนํ้าสะอาด, หยดสีซาฟรานิน (Safranin) ใหทวมกระจกเปนเวลา 30 วินาที, ลางออกดวยน้ําสะอาด, เช็ค เบาๆดวยกระดาษหรือผานุม , ดูดว ยกลอ งจุลทรรศน ***หมายเหตุ แบคทีเรียแกรมลบจะติดสีแดง สว นแบคทเี รียแกรมบวกจะตดิ สนี ํ้าเงนิ 3. เขี่ยเช้ือบนอาหารเลี้ยงเชื้อ โดยการใชลูปเผาไฟใหรอนท้ิงใหเย็น แลวนํามาแตะสวนของตอม นํา้ เหลอื งหรือตบั ออ นหรือกลา มเนื้อ แลวนาํ ไปปา ยบนอาหารเลยี้ งเชอ้ื ทเี่ ตรียมไว นาํ ไปบมท่ี 35 องศาเซลเซียส เปนเวลานาน 18-24 ชว่ั โมง หรือบางรายอาจจะทําการเพาะเช้อื จากเลือดกุงเพราะกุงที่ปวยดวยภาวะติดเช้อื แบคทีเรยี เราสามารถ พบเช้ือแบคทีเรียไดในกระแสเลือด แตกุงที่เปนปกติมีสุขภาพดีจะไมสามารถพบเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด เลย ตาํ แหนง ทน่ี ิยมเจาะเลอื ดกงุ คอื หัวใจ แอง เลือดใตท อง (ventral sinus) ผลการตรวจสอบ 1. จากสไลดถาเปนแบคทีเรียในกลุมวิบริโอ จะเห็นเปนรูปแทงยาวเคลื่อนที่ไดจากกําลังขยาย 400-1,000 เทา ถาเปนพวกฟลาเมนทัส แบคทีเรีย (filamentous bacteria) สวนใหญจะพบบริเวณเหงือก และระยางคของตวั กงุ 2. จากการทํา imprint ถามีการติดเชื้อแบคทีเรียจะพบเซลลแบคทีเรียติดสีแดง (วิบริโอทุกตัวจะเปน แกรมลบ) และตรวจสอบไดวาอวยั วะสว นไหนของตัวกงุ มกี ารติดเชือ้ แบคทีเรียบา ง 3. แบคทีเรียเลี้ยงบนอาหารเลี้ยงเช้ือ จะพบมีการเจริญเติบโตเปนโคโลนีบนอาหารเลี้ยงเชื้อใหสังเกต ลักษณะสีของโคโลนบี นอาหารเลีย้ งเชอื้ TCBS และนาํ มายอ มแกรมดอู ีกครงั้ โรคไวรัสหัวเหลอื ง ไวรสั หวั เหลือง (Yellow-head Virus = YHV) โรคหัวเหลือง ทําความเสียหายแกผูเล้ียงกุงกุลาดําต้ังแตป 2533 ในเขตพื้นที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบรุ ี ประจวบคีรีขันธ ชลบรุ ี ระยองและในป 2534 ทําความเสยี หายอยางรุนแรงในจังหวัด ฉะเชิงเทรา จนั ทบุรี ตราด และบางจงั หวัดในเขตภาคใต จนกระทัง่ ป 2536 ทกุ จังหวัดทม่ี ีการเล้ียงกุงกลุ าดําใน ขณะน้ันมีรายงานการเกิดโรคหัวเหลือง โรคชนิดน้ีเรียกตามลักษณะของกุงท่ีปวยซ่ึงมักจะอยูตามริมขอบบอ
66 การเลย้ี งกุ้ง 66 ลาํ ตวั กงุ มีสีซีด มองเหน็ สวนหัวมสี ีเหลือง เน่อื งจากตบั และตับออน (hepatopancreas) มีสซี ดี เหลือง กงุ ท่ีเปน โคหัวเหลือง จะมีขนาดต้ังแตขนาดเล็กอายุ 25 วันข้ึนไปจนถึงประมาณ 70 วัน โดยโรคหัวเหลืองที่เกิดกับกุง อายุ 25-35 วัน มีลักษณะคลายกับโรคตายเดือนแตความรุนแรงจะมากกวา คือโรคตายเดือนเมื่อใหกินยา ปฏชิ วี นะรว มกบั การ จดั การเรือ่ งคุณภาพนาํ้ และพืน้ บอใหดขี ้ึน มักจะแกป ญ หาได แตก ุง ที่เปน โรคหวั เหลืองนั้น พบวากงุ ตายอยางรวดเรว็ โดยใชเ วลา 2-3 วัน กงุ จะตายหมดบอ สําหรับโรคหัวเหลืองที่เกิดกับกุงอายุประมาณ 50-70 วัน กอนที่จะเริ่มมีกุงตาย การกินอาหารจะ เพิ่มขึ้นมาก ติดตอกันหลายวัน หลังจากเริ่มพบมีกุงตาย อัตราการตายจะเพ่ิมขึ้นอยางรวดเร็วภายในเวลา 2-3 วัน กุงจะตายหมดบอเม่ือเปรียบเทียบความรุนแรงของโรคที่ทําใหความเสียหายในการเล้ียงกุงกุลาดําทุกชนิด พบวาโรคหัวเหลือทําใหกุงตายรวดเร็วและรุนแรงมากที่สุด และการแพรกระจายในพื้นที่การเล้ียงแตละแหลง จะรวดเร็วมาก ในระยะแรกๆท่ีมีการเล้ียงกุงโดยใชระบบเปดถายนํ้าบอยๆ แตหลังจากมีการดัดแปลงการเลีย้ ง กุงมาเปนระบบถายนํ้านอยลง หรือใชระบบปดแบบนํ้าหมุนเวียน ทําใหการแพรกระจายของโรคหัวเหลืองลด ความรนุ แรงลงไปแลว การแพรก ระจายไมกวา งขวางมก เหมือนยุคแรกๆ สาเหตุและการวนิ จิ ฉัยโรค สาเหตุของโรคเกิดจาก ssRNA, rod shaped, ehveloped,cytoplasmic virus เชื้อไวรัสหัวเหลือง (Yellow head;YHV) น้ันเปนอารเอน็ เอไวรสั (RNA) เช้อื มีขนาดความยาว 150-200 นาโนเมตรเสน ผา ศูนยก ลาง 45-50 นาโนเมตร สามารถติดเช้ือไดบริเวณเหงือกตอมน้ําเหลือง อวัยวะสรางเม็ดเลือด และเม็ดเลือด พยาธิ สภาพของกุงท่ีเปนโรคหัวเหลืองจะทําใหเกิดการตายของเนื้อเยื่อและเซลลในอวัยวะตางๆ การวินิจฉัยโรค สามารถตรวจยอมเม็ดเลือดประกอบกบั การดูอาการและอัตราการตายท่เี กดิ ขน้ึ เมอื่ วิเคราะหป ญหาการเกิดโรคหัวเหลอื งในปจ จุบนั ในพื้นทตี่ างๆ พบวาบอทม่ี กี ุงเปนโรคนมี้ ีการเตรียม สีน้ําไมดี หรือมีปญหาสีนํ้าสมบอยในระยะแรก มีการใหอาหารคอนขางมากในระยะเดือนแรก โดยเฉพาะพื้น บอมักจะมีปญหาจากแพลงกตอนท่ีตายลงไปเคลือบพื้นบอและบอที่มีเลนกระจายและเนามากโดยเฉพาะบอ ท่ีเปนดินสวนและดินทรายมีโอกาสเกิดโรคสูงกวาบอท่ีพื้นแข็งและเลนรวมอยางดี แหลงเลี้ยงท่ีมีบอเล้ียง หนาแนนแตใชแหลงนํ้าหรือน้ําจากคลองขนาดเล็กรวมกันมีโอกาสเกิดโรคหัวเหลืองสูงกวาบริเวณที่มีพื้นที่ การเลย้ี งไมหนาแนนมาก การปอ งกันโรคหัวเหลอื ง ในพื้นที่ๆมีการระบาดของโรคหัวเหลือง และการเลี้ยงรุนท่ีผานมามีกุงเปนโรคภายในฟารมดวยควร จะตองมีการฆาเช้ือ หรือทรีตน้ํา เพื่อกําจัดพาหะตางๆไดแกกุง และปูท่ีอาศัยอยูในแหลงนํ้าที่มีโอกาสติดเชื้อ ไวรัส และเปนพาหนะนําเช้ือได โดยใชคลอรีนผงหรือสารกําจัดพาหะถาไมใชสารเคมีฆาเชื้อในนํ้าหรือกําจัด พาหะ จะตองมีการพักนํ้าเปนเวลานานในบอพักน้ําและใชการกรองอยางดีเม่ือมีการสูบน้ําเขาไปเตรียมนํ้าใน บอ ท่ีจะเล้ียง เพื่อไมใหก ุง และปทู อ่ี าศัยในบอพักนํ้าติดเขาไปในบอเลีย้ ง ใชระบบปดหรือถายน้ํานอยลงโดยใชการเติมนํ้าจากบอพักน้ําท่ีเก็บไวเปนเวลานานแลว ระบบการให อากาศจะตองเพียงพอที่จะรักษาปริมาณออกซิเจนใหอยูในระดับที่สูงและเหมาะสมตลอดเวลาควบคุมสีน้ํา และพีเอชใหน ง่ิ มากท่สี ดุ หรอื อยา แกวง มาก จะทําใหกุง ไมเครียดมากโอกาสเกิดโรคนอยลง
การเลยี้ งกุ้ง 67 67 วนิ ิจฉัยโรคหวั เหลอื ง สังเกตอัตราการตายของกุงเพ่ิมขึ้นอยางรวดเร็วมากกวาโรคชนิดอ่ืน ตัวกุงมีสีซีด หัวมีสีเหลือง แตถา ตองการความแนนอนในการวินิจฉัยโรค โดยการนํากุงท่ีเริ่มเกาะขอบบอ แตยังไมตายใหนักวิชาการตรวจ โดยการยอมสดี กู ารเปล่ียนแปลงของเมด็ เลือด โรคไวรสั ดวงขาว ไวรสั ดวงขาว หรือ ตัวแดงดวงขาว (White Spot Syndrome Virus = wssv) โรคดวงขาวงหรือโรคตัวแดงดวงขาว ในกุงกุลาดําไดพบการระบาดในประเทศจีนและญ่ีปุนต้ังแตป พ.ศ. 2536-2537 ในประเทศไทยเรม่ิ มีการระบาดของโรคชนิดน้ีตงั้ แตปลายป 2537 ทางภาคตะวนั ออกและใต ต้ังแตจังหวัดชุมพร สุราษฎรธานี สงขลา นครศรีธรรมราช และปตตานี สวนภาคใตฝงตะวันตกพบที่ ตรัง การ ระบาดของโรคดังกลาวกอใหเกิดการสูญเสียอยางมากในการเลี้ยงกุงกุลาดําในประเทศไทย โดยความรุนแรง ของเชื้อและการสญู เสยี ทเี่ กิดขน้ึ ใกลเคยี งกับโรคหัวเหลืองทเ่ี คยระบาดในกุงกุลาดํา ในปจจบุ ันนโ้ี รคดวงขาวพบ ในการเลี้ยงกุงกุลาดําทุกพื้นที่ แตความรุนแรงข้ึนอยูกับฤดูกาลและพื้นท่ีการเล้ียง ในชวงปลายปต้ังแตเดือน กนั ยายนจนถึงสน้ิ ปแ ละตน ปซ ่ึงอากาศหนาวเย็นจะมกี ารตายของกงุ เปนโรคดวงขาวมากกวา ชวงอนื่ ๆ อาการของโรค กุงท่ีเปนโรคดวงขาวจะมีลักษณะจุดขาวหรือดวงขาวมีขนาดเสนผาศูนยกลาง 0.1-2 มิลลิเมตร กุงที่ เปนโรคดวงขาวน้ีจะวายอยูบริเวณผิวน้ําหรือเกยขอบบอไมมีแรงดีดตัว กินอาหารลดลง บางครั้งพบกุงที่มี อาการลอกคราบไมออก หรือลอกคราบแลวไมแข็งตัว ตัวน่ิมอัตราการตายของกุงหลังจากเกิดโรคขึ้นอยูกับ แหลงเลี้ยงและฤดูกาลในชวงที่มีอากาศหนาวหรือฝนตกหนักติดตอกันนานๆอัตราการตายของกุงสูงถึง 80- 100% ภายใน 4-5 วัน สาเหตุและการวินจิ ฉยั โรค เกิดจากเช้ือไวรัส ชนิด ดีเอ็นเอ (DNA) รูปรางของเช้ือเปนแทงมีขนาดใหญก วาเชอ้ื หัวเหลอื งประมาณ 1 เทาโดยมีความยาว 270-290 นาโนเมตร เสนผาศูนยกลางของเชื้อประมาณ 110-120 นาโนเมตร เช้ือไวรัส สามารถทําลายเน้ือเย่ือผิวใตเปลือก เหงือก อวัยวะสรางเม็ดเลือด ตอมนํ้าเหลืองและเม็ดเลือด โดยทําให นิวเคลียสของเซลลบวมโต การวินิจฉัยโรคสามารถสังเกตอาการไดโดย กุงที่เปนโรคจะมีลักษณะมีดวงสีขาว บริเวณเปลือกลักษณะดวงที่เกิดขึ้นน้ีเกิดจากความผิดปกติของการสะสมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังสังเกตไดจากอัตราการตายและไมสามารถใชยาปฏิชีวนะรักษาโรคชนดิ น้ีได การนําเหงือกและผิว ใตเปลือกของกุงปวยมายอมดวยฮีมทอกซิลินและอีโอซิน(H&E) ก็เปนวิธีหน่ึงที่สามารถใชตรวจการติดเชื้อโรค ดวงขาวในกงุ กลุ าดําไดอยางรวดเรว็ เน่อื งจากโรคดวงขาวมสี าเหตุมาจากไวรสั โดยไวรัสชนิดนจ้ี ะทาํ ใหเกิดเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพคือ นิวเคลยี สบวมโต และเกิดอินคลูช่นั ในนวิ เคลียสทีย่ อมสตี ดิ สีแดงสีนํา้ เงนิ ดว ยสี H&E ของอวัยวะตางๆไดแก เหงือก เซลลเย่ือบุผนังกระเพราะอาหาร อวัยวะสรางเม็ดเลือด ทาทางดินอาหาร สวน midgut ผนังรังไข เนอื้ เย่ือประสาท และ antennal gland วิธีวินิจฉัยโรคดวงขาวแบบงายๆ และไดผลเร็วซ่ึงสามารถทําใหในขณะนี้คือการยอมเซลล เหงือกและ เซลลเย่ือบุผวิ ใตเปลอื กดวยสยี อ ม H&E
68 การเลีย้ งกุง้ 68 การปองกนั โรคดวงขาว 1. จัดโปรแกรมการเลี้ยงเพื่อหลีกเล่ียงการปลอยลูกกุงในชวงปลายป ถาจะเลี้ยงจริงในชวงท่ีเสี่ยงไม ควรเลี้ยงเต็มพ้ืนท่ี 2. แมก งุ ทน่ี ํามาเพาะควรผานการตรวจดว ยพซี ีอาร 3. เลือกลูกกุงคุณภาพดี โดยเฉพาะลูกกุงในชวงท่ีเส่ียงตองมีการตรวจอยางละเอียดและกระบวนการ ผลิตของโรงเพาะฟก สามารถปอ งกันการตดิ เชอื้ ไวรัสดวงขาวได 4. ในแหลง ที่มีการระบาดของโรค ควรฆา เชอื้ และพาหะในน้ํา 5.มีบอพักนํ้าพอเพียงสําหรับนํ้าท่ีจะใชเติมหรือถายระหวางการเลี้ยงผานการพักมาเปนเวลานานหรือ ผา นการฆา เชื้อมาแลว 6. ปองกันไมใ หพาหะตา งๆเขา ไปในบอเล้ยี งกุงในฤดูกาลทเ่ี สย่ี ง โรคไวรสั เอ็มบวี ี และไวรสั เอชพวี ี ไวรสั เอม็ บีวี (MBV: Monodon Baculovirus) โรคไวรัสเอ็มบีวี ไดตรวจพบครั้งแรกในกุงกุลาดําจากประเทศไตหวัน เมื่อป 2524 หลังจากนั้นก็มี รายงานจากหลายประเทศทว่ั โลกและมีรายงานในกงุ ทะเลหลายชนดิ ประเทศไดตรวจพบไวรัสเอ็มบีวีในกุง กลุ าดาํ ท้งั จากลกู กุงในโรงเพาะฟก และกุงเลยี้ งในบอ อยางไรก็ตามการตายของกุงที่มสี าเหตุมาจากเชือ้ ไวรัสเอ็ม บวี ยี งั ไมมคี วามรนุ แรงมกและไมชดั เจน นอกจากจะมีสาเหตรุ วมเชน คณุ ภาพนาํ้ ไมเ หมาะสม ปลอ ยกงุ แนน พื้น บอสกปรก ประกอบกับมีเชื้อไวรัสอยูในตัวกุงอยูแลวก็อาจจะทําใหอัตราการสูญเสียเพ่ิมข้ึนได นอกจากนี้ใน ปจจุบันยอมรบั วา ไวรสั เอม็ บีวมี ีผลทาํ ใหกุงทต่ี ดิ เชื้อเจรญิ เติบโตชา อาการของโรค โรคไวรสั เอ็มบวี ีในกุงกุลาดาํ ไมม ีอาการท่ีชดั เจนท่ีบงชไี้ ดวา กงุ มีเชื้อไวรัสแตใ นลกู กงุ ระยะโพสลาวาหรือ ทเ่ี รยี กวา กุงพี(PL) อาจสังเกตเหน็ ไดถ า มาสองกบั แสงไฟจะเห็นเปนกอนกลมเล็กๆในตบั สาเหตุและการวินิจฉัยโรค เกิดจากเชื้อไรัสในกลุมแบคคิวโลไวรัส ซ่ึงเปน dsDNA รูปรางเปนแทงมีขนาดความยาว 280-300 นาโนเมตร เสนผาศูนยกลาง 70-75 นาโนเมตร การวินิจฉัยโรคไวรัสเอ็มบีวีในกุงพีทําไดโดยการนําตับและตับ ออ นกุง มาบ้ีบนสไลดแ ละหยดสารละลาลาโคทกรนี 0.1% หรอื 0.5% หรอื ยอมดวยสีฮีมาทอกซิบินและอีโอซิน แลวนําไปสองดูดวยกลองจุลทรรศจะเห็นเม็ดกลมๆซ่ึงเปน occlusion bodies (กอนโปรตีนของเชื้อไวรัส) กระจายอยู ในกรณีกุงโตหรือพอแมพันธอาจนําเอาข้ีกุงจากบอเล้ียงมาสองดูในลักษณะเดียวกันได ซ่ึงวิธีนี้ สามารถนํามาใชในการคัดเลือกลูกกุงหรือพอแมพันธุกุงท่ีปราศจากเชื้อได แตหากตองการจะตรวจหาท้ัง ไวรัสเอ็มบวีและไวรัสเอชพีวี เราจะตองใหตับและตับออนคงสภาพเปนพู เปนทออยูและจะเห็นวา occlusion bodies ของไวรสั เอม็ บวี นี ้ันจะอยูบริเวณสวนตน และสว นกลางของทอตับ ไวรัสเอชพวี ี (HPV: Hepatopancreatic Parvo-Virus) โรคไวรัสเอชพีวี ไดพบมานานแลวในกุงกุลาดําท่ีเล้ียงในประเทศไทย แตความสูญเสียของกุงกุลาดําท่ี เกิดเน่ืองจากไวรัสชนิดน้ียังไมมีการศึกษาและสรุปกันอยางชัดเจน เนื่องจากไวรัสชนิดนี้มีความรุนแรงตํา เหมือนกับเช้ือไวรัสเอ็มบีวีอีกทั้งยังพบไดในกุงปกติ สภาวะท่ีทําใหกุงเครียด สภาพการเลี้ยงไมดีก็จะทําใหกุง
การเลี้ยงกุ้ง 69 69 ปว ยและมีโรคแทรกซอนอยา งอ่นื ไดงา ยขน้ึ ปจจุบันยอมรบั วา เปน สาเหตุสาํ คญั ในการทําใหกุงในบอมีอัตราการ เจริญเตบิ โตทชี่ า กวาปกติ อาการของโรค อาการของโรคเอชพวี ี ในกงุ กลุ าดาํ จะสังเกตไดยาก ไมมอี าการเดน ชดั สวนใหญจ ะมอี าการรว มกับการ ตดิ เชือ้ ชนดิ อื่นๆ สาเหตุและการวนิ ิจฉยั โรค สาเหตุของการเกิดโรคมาจากเช้ือไวรัส ssNDA ในกลุมพาโวไวรัส ซึ่งเปนไวรัสที่มีขนาดเล็กมาก เสน ผา ศูนยก ลางของเชื้อไวรัสประมาณ 22-24 นาโนเมตร การตดิ เชื้อจะพบเฉพาะบริเวณตับและตับออนทําให เกิดการเปล่ยี นแปลงนิวเคลยี สของเซลตบั และตับออนอยางชดั เจน ซง่ึ สามารถวนิ จิ ฉัยไดงา ยโดยนาํ สวนของตับ และตับออนมายอมดวยมาลาไคทกรีน 0.1% หรือฮีมาทอกซิลินและอีโอซินแลวนํามาสองกลองจุลทรรศน (โดยท่ีเราจะตองใหตับและตับออนคงสภาพเปนพู เปนทออยู ก็จะเห็น nclusion bodies ในนิวเคลียสของ เซลลตบั และตับออนโดยมีตําแหนงอยูปลายของทอตับ (วิศณุและทินวรรธน, 2543) ซ่งึ อินคลูชัน่ ของไวรสั เอชพีวีน้ี จะมขี นาดใหญเ กือบเตม็ นวิ เคลียสและเบียดนิวเคลยี โครมาตนิ ของกุงไปยูดานขา ง ปจจุบันไดมีการพัฒนากรตรวจลูกกุงหรือตัวอยางกุงเพื่อหาไวรัสเอ็มบีวีและไว รัสเอชพีวีในข้ันตอน เดียวกันดวยวิธนี ้ีเชน กนั โดยมักจะพบ HPV Inclusion bodies ที่บริเวณสว นปลายของทอตับและตับออน และพบ MBV Occlusion ทบ่ี ริเวณสว นตนและสว นกลางของทอ
70 การเล้ยี งกุ้ง 70 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 6 เรอื่ งโรคและการปองกันรักษา โรคและพยาธิ เปนสิ่งมีชีวติ ท่ีอาศัยอยูในนํา้ ทุกหนแหง เพยี งแตวา ถาสภาพแวดลอมยังดีอยู สตั วน้ําที่ เขาเลีย้ งดยู ังคงแข็งแรง เชอ้ื โรคและพยาธิ กไ็ มส ามารถทําอนั ตรายใดๆได แตถา เมื่อไร สภาพแวดลอ มเส่ือมลง สตั วนาํ้ กย็ อมออ นแอตามไปดวย ในท่สี ุดเชอ้ื โรคตางๆก็จะแพรระบาดเขาสรู า งกายของสัตวนํ้าที่เขาดําเนนิ การ เลย้ี งอยู ซ่ึงเชอ้ื โรคและพยาธนิ ั้นมมี ากมายหลายชนดิ ท่ีอาศัยอยใู นแหลงนา้ํ ธรรมชาติ และภายในบอ เลี้ยง เชน แบคทีเรีย ไวรสั โปรโตซัว ซ่ึงจะไดศึกษาปฏิบัตจิ ากการเรยี นรู จากของจริง และภาพถาย อปุ กรณ 1. รูปภาพกุงทเี่ กดิ จากเชื้อแบคทีเรีย 2. รูปภาพกงุ ท่เี กิดจกเช้อื ไวรัส 3. รปู ภาพกงุ ท่ีเกิดจากโปรโตซัว 4. ตัวอยางกุงทีต่ ดิ เชือ้ แบคทีเรยี 5. ตวั อยางกุงท่ตี ดิ เช้อื ไวรสั 6. ตวั อยา งกงุ ทต่ี ดิ เชือ้ โปรโตซวั 7. กลองจุลทรรศน วธิ กี าร 1. นักเรยี นรว มกนั ศึกษาวธิ ีการใชกลองจุลทรรศนเ บ้ืองตน 2. นักเรยี นรว มกันศึกษาภาพประกอบของกุงทต่ี ิดเชื้อโรคชนดิ ตางๆ 3. แบง นักเรยี นออกเปน กลมุ ตามความเหมาะสมรวมกนั สาํ รวจสภาพแวดลอมท่ีทําใหเ กิดโรค แลว จด บันทกึ รายละเอียด 4. นกั เรยี นแตล ะกลุมทาํ การเก็บตวั อยางกุงจากบอเลย้ี งทําการวเิ คราะหห าสาเหตุเบื้องตนของการเกิด โรค พรอมกับเกบ็ ตัวอยางนาํ้ 5. ใหน ักเรยี นทําการเก็บตัวอยา งกุง ในบอมาทําการวิเคราะหหาชนดิ โปรโตซวั พรอ มทั้งเก็บตวั อยางน้ํา 6. นกั เรียนแตละทาํ การจดบันทึกรายละเอยี ดขอมลู ตา งๆทีไ่ ดจากการปฏบิ ตั ิ ที่เสนอผลงานหนา ชั้นเรยี น ตัวอยา งแบบรายงานผลการบันทึก ชนดิ พนั ธกุ งุ อายุ (วนั )...............วนั ลกั ษณะสนี ํ้า.......................................................................................ความลึกของนํ้า..............................ซม. คณุ ภาพนาํ้ ว/ด/ป pH Alkalinity qalinity temperat DO หมายเหตุ
1.แบคทีเรีย ชนดิ ของโรคท่พี บ การเลีย้ งก้งุ 71 2. ไวรัส 3. โปรโตซัว 71 มี ไมม ี ขอ ควรแนะนาํ ................................................................................................................................................. ................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... คาํ ถามทา ยบท 1. บอกสาเหตุของโรค 2. ยกตัวอยา งกุง ทีต่ ิดเชือ้ ไวรัส 3. ยกตัวอยางกงุ ทต่ี ิดเช้อื แบคทเี รีย 4. อธิบายความแตกตางกงุ ท่ีตดิ เช้อื โรคกับกุงทีต่ ิดพาราไซด 5. บอกวธิ ีการใชกลองจลุ ทรรศน
72 บทที่ 7 การเก็บบเกทย่ี ทวี่ 7ผลผลิต การเก็บเกยี่ วผลผลิต วธิ ีการจับกงุ เพื่อจําหนาย 1. แบงจับบางสว น (partial) 2. จบั กุง มชี วี ิต 3. จบั กุง ตาย 1. การแบงจับบางสว น (partial) เปนการแบงจับกุงโดยใชอวนลอมจับในกรณีที่มีการเลี้ยงอยางหนาแนนสูงสุด ซ่ึงจะทําการแบงจับ ตั้งแตไซดกุงขนาด 80 ตัว/กก. เพื่อใหปริมาณกุงท่ีเหลือในบอมีอัตราความหนาแนนนอย และเพิ่มจํานวนไซด ใหโ ตข้ึน หลงั จากนั้นจะแบงจบั กค่ี รัง้ ขึน้ กบั ปรมิ าณความหนาแนนจนกระท่ัวสุดทา ยจบั หมดทั้งบอ ขอดี 1. ลดปริมาณความหนาแนน 2. เพม่ิ จํานวนขนาดนํา้ หนักกุงที่เหลอื 3. ลดปริมาณคาอาหาร ขอเสยี 1. อาจทาํ ใหกุงเกดิ แผลตามลําตัวไดถ า การจัดการไมถูกตอง 2. อาจทําใหน ํ้าขุนเกดิ ตะกอนกรณีบอ ดิน 2. การจบั กุง มีชีวิต การจับกุงมีชีวิตหรือจับเปน เปนการจับกุงคร้ังเดียวหมดท้ังหมดแตเปนการจับในลักษณะกุงยังมีชีวิต โดยใชอวนลากตอนกุงใหเขาประตูจับกุง แลวนําไปนอคหรือทําใหกุงหมดสติท่ีอุณหภูมิตํ่าแลวช่ังน้ําหนักทั้ง เปยก จากน้นั ขนสงโดยรถหอ งเยน็ ปรับอณุ หภมู ิเพ่ือนําเขา โรงงาน ขอ ดี 1. ไดก ุงทส่ี ดมคี ุณภาพ 2. ไดนา้ํ หนกั เพ่มิ ขึ้นกวา จบั ตาย 3. ไดราคาสูง ขอ เสีย 1. ใชรถในการขนสง จาํ นวนมาก 2. หากสภาพพื้นบอไมไดมาตรฐานจะทําใหการเก็บเก่ียวผลผลิตเกิดการเสยี หาย 3. การจับกุงตาย เปน การจบั กุงครงั้ เดยี วหมดบอ การช่งั นํ้าหนักจะต้งั ใหน าํ้ หมดมากที่สดุ แลวขอ หาในการช่งั นํ้าหนกั จากนน้ั นําไปเขารถหองเยน็ ปรบั อณุ หภูมสิ งเขาโรงงาน
การเล้ยี งก้งุ 73 73 ขอดี 1. ไดก งุ หมดทุกตวั 2. สามารถทําไดงา ย ขอ เสยี 1. ผลผลติ ท่ีไดนา้ํ หนักไมดเี ทาที่ควรเมื่อเทยี บกับการจับกุงเปน 2. ราคาตา่ํ กวา การจับกุง เปน วธิ ีการเกบ็ เกี่ยวกุงโดยวธิ ีทยอยจับ Partial
74 การเลีย้ งก้งุ 74 บทปฏบิ ตั กิ ารท่ี 7 เรอ่ื ง การเก็บเก่ียวผลผลติ ในการเล้ียงกุงในปจจุบันนั้น บางรายบางฟารมท่ีมีพรอมในทุกดาน จะมีการปลอยกุงอยางหนาแนน ทาํ ใหไดผ ลผลิตตอไรส ูงมาก เพราะฉะนน้ั ในการเกบ็ เกี่ยวผลผลิตจาํ เปน ตองใชเทคนิควิธีการตางๆ กันขนึ้ อยูกับ อัตรารอดของกุงที่เลี้ยง เชนอาจจะบงจับขายหลายครั้ง หรืออาจจับขายครั้งเดียวซ่ึงจะจับกุงตายหรือกุงเปน ขึน้ อยูกบั ราคาของผูรบั ซ้ือ อุปกรณ 1. เคร่ืองสูบน้ํา 2. ทอ สูบน้ํา 3. อวนลากกุง 4. ประตจู บั กงุ 5. ถังนอคอุณหภูมิ 6. ออกซเิ จนผง 7. ปูนขาว 8. รถขนยา ย 9. ตาชง่ั 10. น้ําแขง็ วิธกี าร 1. นักเรียนรวมกนั เตรียมอปุ กรณท ใี่ ชใ นการเก็บเกยี่ ว 2. นักเรยี นรวมกนั ประกอบตดิ ตั้งเคร่ืองสบู น้ํา 3. ดาํ เนินการสูบน้ําลดน้ําออกจากบอเลย้ี งประมาณ 50% 4. ดาํ เนินการตดิ ตงั้ บริเวณจบั กงุ หรอื ตัง้ ......และประตเู ทยี ม 5. เมื่อระดับนํา้ ลดลงเหลอื ประมาณ 30-40% เรม่ิ ทาํ การลากอวนเพ่อื ตอ นกงุ ใหล งประตูเทยี ม 6. นักเรยี นรวมกนั จบั กงุ จากถงุ อวนแลว นําไปนอคที่อุณหภูมิตํ่า 7. เคลื่อนยา ยกุงทีน่ อคอุณหภูมแิ ลว ไปทาํ การช่งั น้าํ หนัก 8. เคล่อื นยา ยกงุ ชง่ั นํา้ หนักแลวไปยังรถหอ งเยน็ 9. เม่ือเกบ็ เกยี่ วใกลจ ะเสรจ็ ปริมาณกงุ เหลอื ในบอ นอยใหทาํ การไลกุง ที่ตกคางโดยใชปนู ขาวหวา นไลกุง 10. นักเรยี นรวมกันหวา นออกซิเจนภายในบอเพอื่ ปองกนั ไปใหก ุงออ นแอหรือตาย 11. นักเรยี นรวมกันศึกษาปฏิบัตดิ ูงานวิธกี ารจับกุงจากเอกชนรายอนื่ ๆ เพือ่ เปน แนวทางในการปฏบิ ัติ
การเลย้ี งกุง้ 75 75 แบบบันทึกจาํ นวนผลผลติ บอ ที.่ ...... นํ้าหนกั (กก) /จํานวนตะกรา แถวท1่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 นาํ้ หนัก น้าํ หนัก หกั ตะกรา รวม รวม 1 15 19 20 20 15 18 19 20 20 15 131 171 10 กก. 2 3 นํา้ หนักรวม..............................กก. นํา้ หนักตะกรา..........................กก. จํานวนตะกรา............................ใบ นาํ้ หนักกงุ สทุ ธิ.........................กก. คาํ ถามทายบท 1. บอกอปุ กรณทีจ่ ะใชในการจบั กุงจําหนา ย 2. อธบิ ายวิธีการจบั กงุ บางสวน 3. อธบิ ายขั้นตอนการจับกงุ ทง้ั บอ 4. บอกวธิ กี ารเกบ็ เกี่ยวผลผลติ มีกีว่ ธิ อี ะไรบาง
76 บทที่ 8 การบนั ทึกข้อมบลู ทแลทะ่ี 8การคำ�นวณตน้ ทุนการผลิต การบนั ทกึ ขอมลู และการคาํ นวณตน ทนุ การผลิต 1.บันทกึ ประวัตฟิ ารม ชือ่ ฟารม ................................................................................................................................................................. เจา ของ.................................................................................................................................................................. เลขทะเบียนฟารม.............................................................................................................. .................................... ที่อยู............................................................................................................................... ........................................ ชอื่ ผูจ ัดการ..................................................................... ชือ่ ผดู แู ล............................................................... ชนิดกงุ
กุงขาวแวนนาไม
กุงกลุ าดํา บอ ที่............................................................................... พื้นทบ่ี อ.............................................................ไร วันทปี่ ลอยกงุ ................................................................. จาํ นวนกุงท่ปี ลอย.............................................ตวั ราคาตัวละ...........................................................สตางค ขนาดกุงท่ปี ลอ ย(PL)............................................. แหลง พนั ธกุ งุ ................................................................. ชวงเวลาท่ีปลอยกุง............................................... วิธกี ารปลอย.......................................................................................................................................................... การอนบุ าลลูกกุง
ก้ันคอก
บอ อนบุ าลซีเมนต/ พีอี
ไมอนุบาล อาหารทใ่ี ช
อาหารเม็ด ยีห่ อ......................................
อาหารสด เชน.............................................. บอพักนํ้า
ม.ี ...................................ไร
ไมม ี แหลง น้ํา
คลอง, แมนํา้
บาดาล
ทะเล
อื่นๆ (ระบุ)................................................... เคร่ืองใหอากาศ
ไฟฟา จํานวน.......................................ตัว
นาํ้ มัน/แกส จํานวน.................................ตัว ลกั ษณพื้นดินกน บอ
ดนิ เหนยี ว
ดินเหนยี วปนทราย
ดินปา ชายเลน
อน่ื ๆ (ระบุ)................................................... 2. ขอมูลการเตรยี มบอกอ นปลอ ย 1. การเตรยี มบอ 1.1 ระยะเวลาพักบอ (หลังทาํ ความสะอาดถงึ นํานาํ้ เขา บอ)....................... วนั 1.2 การทาํ ความสะอาดในบอ
ฉดี เลน.......... วนั
ใชแ ทรกเตอรตักดิน........... วนั
ตากบอโดยอาศัยแสงแดด........ วัน
ไมไ ดทําความสะอาดบอ แตใชส ารเคมี ชนิด................................ปริมาณ...................................
อนื่ ๆ (ระบุ).................................................................................................................................. 1.3 การใชว ัสดปุ นู ในการเตรียมบอ
ปูนขาว......................กก./ไร
ปูนโดโลไมท...........................กก./ไร
ปนู มารล /แคลเซียม...................กก./ไร
อื่นๆ (ระบุ).......................................
การเลย้ี งกุ้ง 77 77 2. การเตรยี มน้ํากอ นปลอยกุง
พักนํ้าในบอพักแลวจึงนําน้าํ เขาบอเลีย้ ง
ใชน ้ําสดจากแหลง ธรรมชาติ
อน่ื ๆ (ระบุ)................................................................................................................................. 3. ระดบั นาํ้ กอ นปลอ ยกุง ....................................ซม. 4. การทําสนี ้ํากอนปลอยกุง (โปรดระบชุ นิด ปนู ,ปยุ และปรมิ าณท่ีใช)
ปลอยใหส นี ้าํ เกดิ เอง
ใชว ัสดปุ นู ....................และปุย.......................
ใชปุย......................เพียงอยา งเดยี ว
อื่นๆ (ระบุ).................................................... 5. การใชสารเคมแี ละเวชภัณฑใ นการเตรยี มนํ้า
ฟอรม าลนิ ..................ลติ ร
คลอรนี ....................กก.
บี.เค.ซี......................ลติ ร
อน่ื ๆ (ระบุ).......................
ไอโอดีน...................ลติ ร
จุลนิ ทรีย..................กก. 6. คุณภาพนา้ํ กอนปลอ ยกุง ชนิดและปริมาณแพลงกต อนเดน (Dominant)………………………………………………………………………
สีน้าํ ..........................
ความขุนใส..................ซม.
ความเคม็ ................พพี ที ี
พเี อช..........................
อลั คาไลน.......................... 7. ระยะเวลาในการเตรียมน้ํา................................วนั 8. การตรวจลูกกุงกอ นปลอย
ทดสอบความแข็งแรง....................................
PCR (กรมประมง)
อนื่ ๆ (ระบุ).................................................................................................................................. 3. บันทกึ ตนทนุ การเล้ยี ง คา พนั ธกุ งุ ............................................................................................................บาท คา อาหารเมด็ .......................................................................................................บาท คาอาหารสด........................................................................................................บาท คา เคมีภัณฑแ ละเวชภณั ฑ...................................................................................บาท -ยาฆา เชอื้ ..............................................................................................บาท -ยาตา นจลุ ชีพ........................................................................................บาท -วิตามินและอาหารเสรมิ .......................................................................บาท -จุลนิ ทรีย..............................................................................................บาท -วัสดปุ ูน................................................................................................บาท คาใชจายอน่ื ๆ -แรงงาน,นํา้ มนั ,อุปกรณต างๆ...............................................................บาท รวมตน ทุน....................................................................................................บาท
78 การเล้ียงกุ้ง 78 4. สรปุ ผลการเลี้ยง ระยะเวลาท่เี ลี้ยงทัง้ หมด......................................................................................วนั นํ้าหนกั กุง ทั้งหมดทีจ่ บั ได.....................................................................................ตัน ขนาดกงุ ที่จับได. ...................................................................................................ตวั /กโิ ลกรัม ผลผลิตตอ ไร.........................................................................................................กิโลกรมั นํ้าหนกั ตัวเฉล่ยี ....................................................................................................กรัม อตั ราการเจรญิ เติบโต (ADG)................................................................................กรัม/วนั อตั รารอด (%)....................................................................................................... อตั ราแลกเน้ือ (FCR)............................................................................................. ราคากุง ทขี่ าย.......................................................................................................บาท/กโิ ลกรัม รายได...................................................................................................................บาท รายได.....................................................................................................บาท ตนทุน.....................................................................................................บาท กําไรข้นั ตน..............................................................................................บาท วิธีการคาํ นวณตนทุนผลติ สูตรการคาํ นวณที่ใชป ระกอบการคาํ นวณตน ทนุ การผลติ 1. น้าํ หนกั กงุ ในบอ(กก.) = ปรมิ าณอาหารตอ วนั (กก.) x 100 เปอรเ ซ็นตอาหารตอนํ้าหนักกุง 2. ผลผลิตตอไร = นํ้าหนกั กุงทจี่ ับไดทง้ั หมด จาํ นวนไร 3. อตั ราการเจริญเตบิ โต (ADG) = นํา้ หนกั กุงในบอครง้ั หลัง(กก.)-นํ้าหนักกงุ คร้ังแรก(กก.) ระยะหางระหวางการสมุ คร้งั แรกและครัง้ หลัง 4. ขนาดกงุ (Size ตัว/กก.) = จาํ นวนกงุ ทจี่ บั ได (สุม ) นา้ํ หนักกงุ ที่จับได (สุม) 5. นํ้าหนกั ตวั เฉลี่ย (กรมั ) = นํา้ หนักกุงทส่ี ุม(กก.) X 1000 จาํ นวนกงุ 6. อัตรารอด (%) = จาํ นวนกงุ ในบอ x 100 จาํ นวนกุงทปี่ ลอย 7. อตั ราแลกเน้ือ (FCR) = ปรมิ าณอาหารทใี่ ชท งั้ หมดในการเลีย้ งกุง น้าํ หนักกุง ทีจ่ บั ได หมายเหตุ : การใชอาหารสดใหเ ทยี บอาหารสาํ เรจ็ รูปดงั นี้ = อาหารเมด็ 1 กก. - อาหารสดพวกปลาหรือหอยทมี่ สี เี ปลือก คิด 10 กก. = อาหารเมด็ 1กก. - อาหารสดพวกปลาหรือหอยท่ไี มมีเปลือก คิด 5 กก.
บทที่ 9 การตลาดและการจ�ำ หบนทา่ ทยี่ ต9ลาดตา่ งประเทศที่ไทยส่งออกกุง้ การตลาดและการจําหนา ยตลาดตางประเทศทไี่ ทยสงออกกุง เนื่องจากุงกุลาดําเปนสิ้นคาเพ่ือการสงออก ประมาณรอยละ 95 จากปริมาณการผลิตท้ังหมด มีการ บริโภคภายในประเทศเพียงรอ ยละ 5 เทานัน้ โรงงานผลิตผลิตภัณฑสัตวนํา้ สงออกของไทยสวนใหญมีมาตรฐาน สุขลักษณะท่ีดีตามมาตรฐานสากล ผูผลิตไทยมีความพรอมสําหรับระบบคุณภาพ HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เพือ่ ใหส ามารถแขงขนั กบั ประเทศอน่ื ได ประเทศผูนําเขาที่สําคัญ ไดแก สหรัฐอเมริกา ญ่ีปุนและสหภาพยุโรป ประเทศผูนําเขากําหนด มาตรฐานตางๆ เพื่อความปลอดภัยของผูบริโภค โดยมีการกําหนดมาตรฐานทางจุลชีววิทยา ทางเคมีและ กายภาพ หากประเทศผูนําเขาตรวจพบวาผลิตภัณฑที่นําเขาไมเปนไปตามาตรฐานก็จะมีการกีดกันสินคาไว สงกลบั หรือทําลาย แตละประเทศมีกฎระเบยี บทแี่ ตกตา งกัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เปนประเทศที่เขมงวดในเร่ืองของเอกสาร ระเบียบ คุณภาพของสินคามาก หากมีความผดิ พลาดหรอื ไมถูกตอ ง สนิ คานัน้ จะตองถูกสงกลบั หรือทําลาย ดังนั้นเพ่ือความปลอดภัยตอผูบริโภคสหรัฐฯ ประเทศคูคาจะตองปฏิบัติตามกฎของ Consumer Seafood Safely Act โดยใหกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) และสํานักงาคณะกรรมการอาหารและยา สหรฐั ฯ (USFDA) ตรวจสอบคุณภาพของสินคา ท่ีนาํ เขาไปจําหนายในสหรัฐฯ และตรวจสอบโรงงานในประเทศ ผูสงออก โดยรัฐบาลกําหนดใหอาหารทะเลจะตองผานการตรวจสอบคุณภาพในหองปฏิบัติการและ การตรวจสอบคุณภาพโดยประสาทสัมผัส การตรวจสอบการนําเขา โดย FDA (Food and Drug Administration) โดยวิธกี ารสมุ ตวั อยาง ซึ่งจะดู ช่ือ ที่อยู และประวัติของผูนําเขาหากไมเคยมีประวัติการนําเขาในทางเสียหายก็จะไมถูกตรวจ แตหากวาผูนํา เขาเคยมีประวัติของผูนําสนิ คาไมไดคุณภาพจะถูกจดั ไวในกลุมข้ึนบญั ชดี ําจะถูกตรวจอบทกุ shipment จํานวน 5 ครั้งตดิ ตอ กัน หากผานการตรวจสอบเปน ทีน่ า พอใจ ถอนช่ือออกจากบญั ชีดาํ มาใชว ิธสี ุม ตวั อยางแบบเดมิ ได FDA จะทําการตรวจโดยวิธีการดมกลิ่น (sensory) นอกจากน้ีแลวยังเขมงวดในเร่ืองของสารตกคาง ในอาหาร โดยเฉพาะตรวจหาสาร sulfide ซง่ึ เปน สารท่รี ักษาความสดของกงุ ตองไมเ กิน 100 ppm. ต้ังแตวันที่ 18 ธันวาคม 2540 เปนตนมาที่สหรัฐฯ กําหดใหประเทศผูสงออกสินคาประมงเขาสหรัฐฯ โรงงานจะตองใชร ะบบ HACCP และ USFDA ไดประกาศใหกฎหมายกําหนด Import Alert เก่ยี วกบั การกักกัน ผลิตภัณฑสัตวน้ําจากผูผลิตในตางประเทศท่ีไมไดปฏิบัติตามระเบียบของ HACCP ตามขอกําหนดของสหรัฐฯ จะนํามาตรการกดี กนั โดยอตั โนมตั ิมาใชกบั ผลติ ภัณฑท่นี ําเขาจากผผู ลติ สตั วน ้ันๆ นอกจากน้ี สหรัฐฯ ยังกําหนดใหผ ูสง ออกกุงไปยังสหรัฐตามกฎหมายอนุรักษเตาทะเล ตอ งใชเครื่องมือ TEDs (Turtle Excluder Devices) ในการจับกุงจะไดไมเปนการทําลายเตาทะเล ในวันท่ี 1 พฤษภาคม ของ ทุกป จะมีการทบทวนวาประเทศตางๆท่ีเปนผูสงออกกุงไปยังสหรัฐฯ ไดมีมาตรการการอนุรักษเตาทะเลเทา เทียมสหรัฐฯ ไดม ีมาตรการการอนรุ ักษเ ตา ทะเลเทาเทยี มสหรฐั ฯ โดยการใหก ารรับรองในป 2541 ไทยเปนหน่ึง ใน 39 ประเทศ ท่ีสหรฐั ฯใหการรับรองวา การจบั กงุ ไมเปน อนั ตรายตอ เตา ทะเล ประเทศญ่ีปุน การสงออกจะตองมีใบรับรองสุขอนามัย (Healthy Certificate) โดยหนวยงานของ รัฐบาลไทย และการนําเขากุงของญ่ีปุนจะตองปฏิบัติตามกฎหมายวาด วยสุขอนามัยของอาหาร (Food Sanitation Law) อยูภายใตการดําเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ ซ่ึงครอบคลุม การจําหนายอาหารท่ีไมถูกสุขอนามัยรวมทั้งการกําหนดมาตรฐานสินคาอาหารและการแจงขอมูลเกี่ยวกับ อาหาร เชนการอนุญาตนาํ เขา เปน ตน
80 การเลย้ี งก้งุ 80 สหภาพยุโรป หรืออียู เขมงวดทางดานคุณภาพของสินคาอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล โรงงาผลิต จะตองไดรบั การรับรองของกรมประมง (Competent Authority) และอยูใ นบญั ชีรายชอ่ื ทีส่ หภาพยโุ รปใหการ รับรอง และการสงออกจะตองมีใบรับรองสุขอนามัยจากกรมประมง รวมท้ังจะเขมงวดในเร่ืองของบรรจุภัณฑ หีบหอ การควบคุมความปลอดภยั ของอาหารและการปดฉลากของสินคา ในทาํ นองเดยี วกับของสหรัฐอเมริกา ในอนาคตสหภาพยุโรปจะใชสมุดปกขาว (White Paper) เปนเอกสารที่ใชเปนแนวนโยบายในการ จัดการดานสุขอนามัยใหกับผูบริโภค เปนนโยบายในการปองกันความเส่ียงตอโรคและใชเปนแนวทางในการ กําหนดมาตรการสรางเชื่อมั่นใหกับผูบริโภคในสหภาพยุโรปวา อาหารท่ีจําหนายในกลมุ สหภาพยุโรปจะปลอด เชื้อและสารพิษตกคางตางๆ มาตรการน้ีเปนผลมาจากการแพรระบาดของโรควัวบา (Mad Cow) หรือแมแต กระแสของผลิตภัณฑที่ไดจากการดัดแปลงทางพันธุกรรม(Genetically Modified Organism-GMOs) และ การปนเปอ นของสารไดออกซิน (Dioxin) ท่มี ีบทบทสาํ คญั ตอ ภาคอตุ สาหกรรมอาหารทนี่ ําเขา สหภาพยุโรป หลักการหรือมาตรการในการเพ่ิมความปลอดภัยของอาหารจะขยายครบคลุมไปในวงกวางต้ังแต การผลิตวัตถุดิบจนถึงผูบริโภค และเพ่ือใหเกิดประสิทธิภาพในการจัดการจึงตองมีมาตรการในการสืบ แหลงท่ีมา (Traceability) และความโปรงใส (Transparency) ของวัตถุดิบหรือสวนประกอบตางๆที่ใชใน การผลิต กลาวโดยรวมแลวมาตรการนี้จะมีผลตอผูประกอบการที่เกี่ยวของทั้งวงจรการผลิตอาหารซ่ึงเริ่มต้ังแต ผูผลิตวัตถุดิบ ผูแปรรูป ผูแทนจําหนาย จนถึงผูบริโภค ที่จะตองมีวิธีการท่ีจะกอใหอาหารถูกสุขลักษณะและมี ความปลอดภัย สามารถแสดงหลักฐานแหลงที่มาของวัตถุดิบหรือวัตถุดิบท่ีเปนปจจัยในการผลิตทั้งหมด หาก เกิดกรณีพิพาทหรือขอโตแยงในดานความปลอดภัยของอาหาร ไมวาจะเปนกรณีของวัตถุเจือปน สารตกคาง หรือสารพษิ ทป่ี นเปอนในอาหารท่อี าจตรวจสอบได ประเทศไทยในฐานะผนู ําเขาอาหารทะเลรายใหญของสหภาพยโุ รปจะตองมีการเปลี่ยนแปลงใหเ ปนไป ตามกฎขอบังคับของสหภาพยุโรป ตองมีการเตรียมพรอมในในดานการเก็บรวบรวมขอมูล ความสามารถและ ประสิทธิภาพในการวิเคราะหของหองปฏิบัติการ ระบบคุณภาพ ระบบสิ่งแวดลอมและอ่ืนๆท่ีเกี่ยวของกับ อุตสาหกรรมอาหารท้ังระบบ หนวยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจะตองมีการเตรียมพรอมเพ่ือรองรับกฎเกณฑ ตางๆ โดยเฉพาะประเด็นดานส่ิงแวดลอ ม สิทธิมนุษยชนและแรงงานสวัสดิภาพสัตว ฯลฯ เขาเชื่อมโยงกับเรือ่ ง ของการกําหนดมาตรฐานการผลิตและควบคุมการผลิตสินคาน้ัน กรณีดังกลาวอาจสงผลกระทบตอไทยในดาน การสรา งขอกดี กันทางการคา ในอนาคตการเขมงวดในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยตอผูบริโภคจะเนนมากขึ้น การเตรียมความ พรอมของโรงงานผลิต แตเพียงฝายเดียวคงจะไมเพียงพอ เกษตรกรผูเล้ียงกุงหรือโรงงานรับซื้อกุงบางแหงตอง ใหความรวมมืออยางจริงจัง อยาเห็นแกไดเล็กๆนอยๆ เชนมีการฉีดวุนเขาไปในตัวกุงเพ่ือเพ่ิมน้ําหนัก แชกุงใน สารเคมีบางอยางเพื่อทําใหเปลือกแข็งเพิ่มนํ้าหนักส่ิงตางๆ เหลานี้จะเกิดผลเสียตอสวนรวมอยางมาก และ อาจจะทําลายอตุ สาหกรรมนี้ได ผปู ระกอบการทุกฝา ยตอ งมีจติ สํานึกและจรรยาบรรณที่ดตี ออุตสาหกรรมซึ่งจะ ทาํ ใหไ ทยสามารถแขงขันกับตา งประเทศและทําใหอุตสาหกรรมน้ยี ั่งยนื ตอ ไป
การเล้ยี งก้งุ 81 81 อา งองิ https://dictionary.sanook.com/search/dict-fish http://www.thaikasetsart.com http://www.arda.orth/kasetinfo/south/shrimp/controller/index.php https://dictionary.sanook.com/search/dict-fish https://th.wikipedia.org/wiki https://www.shrimpcenter.com/t-shrimp051.html https://dictionary.sanook.com/search/dict-fishhttps://th.wikipedia.org/wiki
Search