Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คอมพิวเตอร์ ม.2

คอมพิวเตอร์ ม.2

Published by วชิรวิชญ์ กวดนอก, 2021-09-19 10:27:52

Description: คอมพิวเตอร์ ม.2

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ว2๒๒01 (คอมพิวเตอร์ ๓) นายสนธยา มาทา ครูผ้สู อน ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๒ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรยี นวัดพระแกว้ ดอนเตา้ สชุ าดาราม สงั กดั สำนักงานเขตการศึกษาพระปริยัตธิ รรม แผนกสามญั ศกึ ษา เขต ๖ สำนกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตำบลเวยี งเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จงั หวดั ลำปาง

คอมพวิ เตอร์ ม.2 เอกสารประกอบการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) รายวิชา ว2๒๒01 (คอมพวิ เตอร์ ๓) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ลงชือ่ ……………………………………… (นายสนธยา มาทา) ครูผู้สอน ความคดิ เหน็ ของคณะผบู้ รหิ าร ……………………………………………  เห็นชอบ (นายณัฐพล สทุ ธนะ)  ไมเ่ ห็นชอบ เพราะ.................................... หัวหนา้ ฝา่ ยวชิ าการ .......................................................................... …………/……………../…………….  ควรอนุมตั ิ  ไม่ควรอนุมัติ เพราะ.................................. …………………………………………… .......................................................................... (พระมหาปิยพงษ์ สิริวริ ิยวํโส)  อนมุ ัติ รองผอู้ ำนวยการโรงเรียน  ไมอ่ นมุ ตั ิ …………/……………../……………. …………………………………………… (พระครสู ิรริ ตั นโสภติ , ดร.) ผอู้ ำนวยการโรงเรียน …………/……………../……………. นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 10 ความหมายและลักษณะของซอฟต์แวร์ ความหมายของซอฟตแ์ วร์ ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานใหค้ อมพิวเตอร์ทำงานตามลำดับ ขัน้ ตอนการทำงานทเี่ ขียนขึ้นดว้ ยภาษาของคอมพิวเตอร์ คำสง่ั เหล่านเี้ รยี งกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากท่ี ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัว เลขฐานสอง ซึ่งใชแ้ ทนขอ้ มูลทเ่ี ป็นตวั เลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแมแ้ ตเ่ ปน็ เสียงพูดก็ได้ การทีเ่ ราเหน็ คอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราไดอ้ ย่างหลากหลาย เพราะมีซอฟต์แวรต์ า่ งๆ ชว่ ยสนับสนุน การทำงานเหล่าน้ัน เช่น ร้านค้าอาจใชค้ อมพวิ เตอร์ในการจัดทำบญั ชีที่ย่งุ ยากซับซอ้ น บริษัทขายต๋ัวเคร่ืองบิน ใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยในระบบการจองต๋ัว ธนาคารใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยในการจัดการข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ครูและนักเรียนใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการจัดพิมพ์เอกสาร ดังนั้น ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึง โปรแกรม คอมพวิ เตอร์ทุกประเภทท่ีทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ ความสำคัญของซอฟตแ์ วร์ การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ จำเป็นตอ้ งมซี อฟต์แวรค์ วบคุมการทำงาน เชน่ การซ้ือ ของโดยใช้บัตรเครดิต ผขู้ ายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบตั ร แล้วส่งขอ้ มูลของบัตรเครดิตไปยัง ศูนย์ข้อมูลของบริษทั ผู้ออกบัตร การตรวจสอบจะกระทำกับฐานข้อมูลกลาง โดยมีกลไกหรือเงื่อนไขของการ ตรวจสอบ จากนั้นจึงให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธบัตรเครดิตใบนั้นการดำเนินการเหล่านี้เป็นไปโดย อัตโนมตั ิตามคำสัง่ ของซอฟต์แวร์ ทำนองเดียวกันเม่ือซื้อสนิ ค้าในห้างสรรพสินค้า พนกั งานเก็บเงินจะใช้เคร่ืองกราดตรวจอ่านรหัสแท่ง บนสินค้าทำให้บนจอภาพ ปรากฎชือ่ สนิ ค้า รหัสสินค้า และราคาสินค้า ในการดำเนินการนี้ต้องใชซ้ อฟต์แวร์ ซอฟตแ์ วรจ์ ึงเป็นส่ิงสำคญั ทท่ี ำใหร้ ะบบทำงานได้ การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการได้อย่างไรและก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดนั้นจึงขึ้นอยู่กับ ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถ ทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก ซอฟต์แวร์เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบ สารสนเทศเป็นไปได้ตามท่ีตอ้ งการ ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทีใ่ ช้สั่งงานคอมพวิ เตอร์จงึ เป็นซอฟตแ์ วร์ เพราะเป็นลำดบั ข้ันตอนการทำงาน ของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร ์ทำงานได้ การที่เราเห็น คอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาให้เราสั่งงาน คอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบ การจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรือ่ ง กิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพวิ เตอร์ช่วยงานพิมพ์ เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอรด์ ำเนนิ การ ให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟตแ์ วร์ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถ ทำงานได้ ซอฟต์แวรจ์ งึ เปน็ สิง่ ทจี่ ำเป็น และมีความสำคญั มาก และเปน็ ส่วนประกอบหนึ่ง ท่ที ำใหร้ ะบบสารสนเทศเป็นไป ไดต้ ามท่ตี ้องการ ซอฟต์แวรแ์ ละภาษาคอมพิวเตอร์ เมือ่ มนษุ ย์ตอ้ งการใช้คอมพิวเตอรช์ ว่ ยในการทำงาน มนษุ ย์จะตอ้ งบอกขัน้ ตอนวิธกี ารให้คอมพิวเตอร์ ทราบที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจ ให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้า เปรยี บเทียบกบั ชีวิตประจำวนั แลว้ เรามภี าษาท่ใี ชใ้ นการติดต่อซึง่ กันและกนั เช่นเดยี วกันถา้ มนุษย์ต้องการจะ ถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้และปฏิบัติตาม จะต้องมีสื่อกลางสำหรับ การติดต่อเพื่อให้ คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรยี กสอ่ื กลางน้วี ่าภาษาคอมพวิ เตอร์ เนอื่ งจากคอมพิวเตอร์ทำงานดว้ ยสญั ญาณทางไฟฟ้า ใชแ้ ทนดว้ ยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตวั เลข 0 และ 1 น้เี ปน็ รหสั แทนคำสง่ั ในการส่ังงาน คอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียก เลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่ง และใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์วา่ ภาษาเครื่อง การใช้ภาษาเครื่องนีถ้ ึงแม้ คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้าง ภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการ คำนวณ ทางคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้ส่งั งานทางดา้ นการจดั การขอ้ มูล ใน การทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะแปลภาษาระดับสูง ให้เป็นภาษาเครื่อง ดังนั้นจึงมี ผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ให้เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่ใช้ แปลภาษาคอมพิวเตอร์ ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเรียกว่า คอมไพเลอร์ (compiler) หรืออินเทอร์พรีเตอร์ (interpreter) คอมไพเลอร์จะทำการแปลโปรแกรม ท่ีเขยี นเป็นภาษาระดับสูงท้งั โปรแกรมใหเ้ ปน็ ภาษาเครื่อง กอ่ น แล้วจงึ ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ตามภาษาเครอื่ งน้นั สว่ นอนิ เทอร์พรีเตอร ์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้ว ให้คอมพิวเตอร์ ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้ว จึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่าง คอมไพเลอร์กับอินเทอรพ์ รีเตอร์จงึ อยู่ที่การแปลท้ังโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง ตัวแปลภาษาที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาเบสิก ตวั แปลภาษาโคบอล ซอฟต์แวรห์ รือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จงึ เป็นสว่ นสำคญั ที่ควบคมุ การ ทำงานของคอมพิวเตอร ์ให้ดำเนินการ ตามแนว ความคิดทไ่ี ด้กำหนดไว้ล่วงหน้าแลว้ คอมพวิ เตอร์ต้องทำงาน ตามโปรแกรมเทา่ นั้น ไม่สามารถทำงานท่ีนอกเหนือจากทีก่ ำหนดไวใ้ นโปรแกรม นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพวิ เตอร์ 3 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 สัปดาห์ที่ 11 ใบงานท่ี 10 หนว่ ยท่ี 2 ซอฟต์แวร์ ชื่อ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... ใหน้ กั เรยี นอธิบายความหมายต่อไปน้ี 1. ซอฟตแ์ วร์ (software) หมายถึง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ความจำเปน็ ของการใช้ซอฟต์แวร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ความสำคัญของซอฟต์แวร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพวิ เตอร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 11 ประเภทของซอฟตแ์ วร์ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) ซอฟตแ์ วร์ระบบ ซอฟต์แวร์ระบบ หมายถงึ ชุดคำส่ังหรือโปรแกรมทบี่ ริษทั ผู้ผลติ สร้างขึ้นมาเพอ่ื ใช้จัดการกบั ระบบ ซึ่ง จะทำหน้าที่ควบคมุ การทำงานของคอมพวิ เตอร์ และอุปกรณ์ตา่ ง ๆ เช่น การนำเข้าขอ้ มูลของอุปกรณ์นำเข้า การประมวลผลของหนว่ ยประมวลผล การจดั สรรหน่วยความจำสำรอง และการแสดงผลของอปุ กรณ์แสดงผล เป็นต้น เมื่อผู้ใช้เริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การทำงานจะเป็นไปตามชุดคำสั่งที่เขียนขึ้น ชุดคำสั่งนั้นก็คือ “ซอฟต์แวร์ระบบ” นั่นเอง ซอฟต์แวร์ประยุกต์ไม่ว่าประเภทใดล้วนแต่ต้องทำงานบนระบบปฏิบัตกิ ารทั้งสนิ้ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่ทำงานถ้าไม่มีระบบปฏิบัติการ การเริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกครั้งจึงต้องบรรจุ ระบบปฏิบัติการเข้าไว้ในหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะให้เครื่องเริ่มทำงานอย่างอื่น ซอฟต์แวรร์ ะบบที่นิยมใช้ คอื ระบบปฏิบัตกิ าร (operating system) เอม็ เอสดอส ยูนิกซ์ โอเอสทู วนิ โดวส์ ลิ นกุ ซ์ เปน็ ตน้ ซอฟต์แวรร์ ะบบปฏบิ ตั ิการ (OS:Operating System) เนื่องจากระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ แต่ด้วยเครื่อง คอมพวิ เตอรท์ ่มี ใี ชอ้ ยู่ในปจั จบุ ันมสี ถาปตั ยกรรมทแี่ ตกต่างกัน เช่น เครอ่ื งไมโครคอมพวิ เตอร์ท่ีเราใช้งานทั่วไป จะมีคุณสมบัติและการทำงานที่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็น เคร่อื งให้บริการท่ตี อ้ งคอยให้บริการและดูแลเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ที่เปน็ บรวิ ารจำนวนมาก ระบบปฏิบัติการท่ีใช้ งานกบั คอมพวิ เตอรป์ ระเภทนี้จงึ ตอ้ งมีความซบั ซอ้ นกว่าระบบปฏบิ ตั กิ ารท่ใี ช้ในเคร่ืองไมโครคอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ งระบบปฏบิ ัติการ ระบบปฏิบตั ิการดอส (Disk Operating System :DOS) เปน็ ซอฟตแ์ วร์จดั ระบบงานทพี่ ฒั นามานาน แลว้ การใช้งานจึงใช้คำสง่ั เป็นตวั อักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ทีร่ ู้จักกนั ดีในหมู่ผใู้ ช้ไมโครคอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ ง ลักษณะคำสั่ง ในระบบปฏบิ ัตกิ ารดอส เช่น C:\\>copy C:\\mydocument\\data.doc A:\\myfileคำสง่ั นี้เปน็ การใช้คำสัง่ คัดลอกแฟ้มขอ้ มลู ช่อื data.doc ทอี่ ยู่ใน Drive C Folder my document เอาไปไวท้ ่ี Drive A ใน Folder myfile นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ระบบปฏิบตั กิ ารยูนกิ ซ์ (UNIX) เปน็ ระบบปฏิบัติการทพ่ี ฒั นามาต้งั แตค่ รัง้ ใชก้ บั เคร่อื งมินคิ อมพิวเตอร์ ระบบปฏิบตั กิ ารยนู กิ ซ์เปน็ ระบบปฏิบัติการทส่ี ามารถใชง้ านไดห้ ลายงานพรอ้ มกนั และทำงานได้หลาย ๆ งาน ในเวลาเดียวกนั ยูนิกซ์จงึ ใช้ได้กบั เครอื่ งที่เช่ือมโยงและตอ่ กับเคร่อื งปลายทางได้หลายเครื่องพรอ้ มกัน ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์วินโดวส์ (Microsoft Windows) ระบบปฏิบัติการนี้พัฒนาโดยบริษัท ไมโครซอฟต์ เป็นระบบปฏิบตั ิการทีม่ ีลกั ษณะการใช้งานแตกต่างจาก 2 ระบบแรก เนื่องจากมีสว่ นติดต่อกับ ผู้ใช้ (user interface) เป็นแบบที่เรียกว่าระบบติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก (Graphical User Interface : GUI) หรือที่เรียกวา่ จียูไอ คือมีการแสดงผลเป็นรูปภาพ และใช้สัญลักษณ์ในรูปรายการเลือก (menu) หรือสัญรปู (icon) ในการสั่งงานคอมพวิ เตอร์แทนการพิมพ์คำสั่งทลี ะบรรทัด ทำใหก้ ารใชง้ านคอมพิวเตอร์ง่ายข้นึ ท้ังยังมี สีสันทำให้ซอฟต์แวร์นา่ ใช้งานมากขึ้น ระบบปฏิบัติการวินส์โดวส์น้ีเป็นระบบปฏบิ ัติการที่ได้รับความนิยมสูง มากในเครือ่ งไมโครคอมพวิ เตอร์ท่วั ไป ทัง้ นน้ี อกจากจะเปน็ ความง่ายในการใช้งานทีก่ ล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังเป็น เพราะหลังจากที่บริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิตระบบปฏิบัติการนี้ออกสู่ตลาด ก็ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ สามารถใช้งานบนระบบปฏิบตั ิการน้ีข้ึนหลายประเภท เช่น ซอฟตแ์ วร์ในกลุ่มซอฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ ซอฟต์แวร์ ตารางทำงาน หรอื ซอฟต์แวร์นำเสนอขอ้ มูล ซึ่งชว่ ยอำนวยความสะดวกในการทำงานของผใู้ ช้ในทกุ ๆ ด้าน ทำ ให้เกิดการใช้งานที่แพร่หลาย นอกจากนี้ยงั ไดม้ กี ารพัฒนาระบบปฏบิ ตั ิการรุน่ ใหม่ ๆ ทสี่ นบั สนนุ การใช้งานกับ เทคโนโลยีใหมท่ ี่พัฒนาอยา่ งต่อเนื่อง ระบบปฏิบัติการโอเอสทู (OS2) เป็นระบบปฏิบัติการแบบเดียวกับวินโดวส์ แต่บริษัท ผู้พัฒนาคือ บรษิ ทั ไอบเี อ็ม เปน็ ระบบปฏบิ ัตกิ ารที่ให้ผ้ใู ชส้ ามารถใชท้ ำงานได้หลายงานพรอ้ มกนั และ การใชง้ านกเ็ ปน็ แบบ กราฟกิ เชน่ เดยี วกับวินโดวส์ ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ (LINUX) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาโดยนักศึกษาชื่อว่า “Linus Torvalds” จากประเภทฟินแลนด์ LINUX เป็นระบบปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายกับ UNIX แต่มี ขนาดเล็ก กว่าและทำงานได้เร็วกว่า ในช่วงแรกของการพัฒนา LINUX พัฒนาขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายให้ใช้ โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย และพัฒนาขึ้นมาเพื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ในช่วงหลังความนิยมใน การเชื่อมโยง คอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายเพิ่มสูงขึน้ จึงมีผู้พัฒนาส่วนประกอบอื่น ๆ ของ LINUX เพื่อเพ่ิม ความสามารถใน การทำงานทางด้านเครอื ข่าย และผใู้ ช้ตอ้ งเสียค่าใช้จ่ายดว้ ย นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ซอฟตแ์ วร์อรรถประโยชน์ (Utility Software) เป็นโปรแกรมหรอื ซอฟตแ์ วร์ทช่ี ว่ ยสนบั สนุน เพม่ิ หรือ ขยายขีดความสามารถของโปรแกรมท่ีใชง้ านอยู่แลว้ ใหม้ ีประสิทธิภาพมากขึ้นระบบปฏิบัตกิ ารโดยส่วนใหญ่จะ มีโปรแกรมอรรถประโยชนม์ าให้ใชง้ านอย่แู ลว้ เช่น -Windows Explorer เป็นเครอ่ื งมอื แสดงไฟล์ท่ีชว่ ยให้ผู้ใช้สามารถดูภาพ และแกไ้ ของคป์ ระกอบของ ไฟล์ได้ -Uninstaller เป็นโปรแกรมอรรถประโยชน์ที่ใชใ้ นการยกเลิกโปรแกรมท่ีทำการติดต้ังไว้ในระบบ เม่ือ ผู้ใช้ทำการตดิ ตั้งโปรแกรม ระบบปฏบิ ัตกิ ารจะทำการบนั ทึกโปรแกรมน้นั ไว้ในระบบไฟล์ หากผู้ใช้ต้องการลบ โปรแกรมน้นั ออกจากเครื่องก็สามารถใช้ เคร่ืองมือยกเลิกการตดิ ต้ังโปรแกรมได้ -Disk Scannerเปน็ เคร่อื งมอื ตรวจสอบดิสก์ เป็นโปรแกรมอรรถประโยชน์ทใ่ี ช้ในการตรวจหาความ เสียหายทเ่ี กิดข้นึ กับฮารด์ ดิสก์ ผู้ใช้สามารถกำหนดให้เครื่องมือตรวจสอบดสิ กน์ ้ที ำการซ่อมสว่ นทเี่ สียหายได้ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เปน็ ซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตไดพ้ ฒั นาข้ึนมาเพื่อจำหน่าย ให้ผูใ้ ช้สามารถนำไปใช้งานได้โดยตรง โดยไม่ต้อง ไปพัฒนาเอง ซึ่งแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ ซอฟตแ์ วรส์ ำเร็จรูป เป็นซอฟต์แวรท์ ี่มีบรษิ ทั ผผู้ ลิตไดส้ ร้างขึน้ และวางขายท่วั ไป ผ้ใู ชส้ ามารถหาซื้อมา ประยุกต์ใช้งานทั่วไปได้ ซอฟต์แวร์ประเภทนีไ้ ม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะสำหรับงานใดงานหนึ่ง ผู้ใช้งานจะต้องเปน็ ผู้ นำไปประยกุ ต์กับงานของตน เช่น ครูนำมาใช้ในการผลิตสื่อการสอน นักเรียนนำมาใช้ในการทำรายงาน เป็น ต้น หรอื ผใู้ ชอ้ าจต้องมีการสร้างหรอื พฒั นาชนิ้ งานภายในซอฟตแ์ วรต์ อ่ ไปอกี ราคาของซอฟตแ์ วร์ใชง้ านทั่วไปนี้ จะไม่สูงมากเกินไป ซอฟต์แวร์ใช้งานทั่วไปซึ่งนิยมเรียกว่า ซอฟต์แวร์สำเร็จ แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตาม ลกั ษณะการใช้งาน คือ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 1) ซอฟตแ์ วรป์ ระมวลผลคำ (Word Processing Software)เป็นซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์สำหรับการพิมพ์ เอกสาร หน้าทข่ี องซอฟตแ์ วร์ประมวลผลคำคอื เป็นซอฟตแ์ วร์ใชส้ ำหรบั จดั พมิ พเ์ อกสาร จดั ทำรายงาน รวมทงั้ งานพิมพ์ตา่ ง ๆ โดยบันทึกหรือพมิ พ์ข้อความตา่ ง ๆ ลงในคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสามารถจัดเก็บเอกสารท่พี ิมพ์ แลว้ ลงในหน่วยความจำรองเพื่อใชง้ านในภายหลังได้ด้วย 2) ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน เป็นซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในงานด้านการคำนวณ หลักการทำงานของ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน คือ การให้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เสมือนกระดาษทำการหรือเวิร์คชีด (worksheet) ของผู้ใช้งานซึ่งทำงานในรูปของคอลัมน์ (column) และแถว (row) โดยนำตัวเลขที่บันทึกในแต่ละแถว หรือ คอลัมน์ มาทำการคำนวณตามสูตรคณิตศาสตร์ท่ีกำหนดไว้เชน่ การนำตัวเลขในแถวหรือคอลัมนใ์ ดมาคำนวณ เพอ่ื จัดเปน็ คา่ ของคอลัมน์ใหม่ เม่อื มคี า่ ในคอลัมน์ หรอื แถวใดเปลี่ยนไป คา่ ทีส่ มั พนั ธ์กนั จะเปล่ียนตามไปด้วย โดยอัตโนมัติจุดเด่นที่สำคัญของซอฟต์แวร์ประยุกต์นี้คือ ช่วยทำให้งานคำนวณสะดวก รวดเร็ว ซึ่งสามารถ กำหนดค่าของข้อมลู เพื่อคำนวณผลลัพธ์ในลกั ษณะต่าง ๆ ได้ รวมทั้งความสามารถในการแสดงผลลัพธ์ในรปู ของตาราง และกราฟ หรือแผนภมู ติ า่ ง ๆ ได้ซึง่ ทำให้สามารถอ่านผลลพั ธไ์ ดง้ ่ายขึน้ 3) ซอฟตแ์ วรจ์ ัดการฐานขอ้ มลู ปจั จบุ ันนม้ี ีขอ้ มูลมีบทบาทสำคัญทุก ๆ ด้าน ท้งั ในด้านการปฏบิ ตั งิ าน และการวางแผนการตัดสนิ ใจ ซอฟตแ์ วร์ประยุกต์เพือ่ ใช้งานด้านการจดั การฐานขอ้ มูลจึงนับว่าเปน็ เครือ่ งมอื สำคญั ทเ่ี ขา้ มาช่วยงานด้านการจัดเกบ็ ขอ้ มูล ให้มีประสิทธภิ าพท้ังในดา้ นการจดั เกบ็ และการเรียกข้อมลู ที่ จัดเก็บออกมาใช้ไดง้ ่าย 4) ซอฟต์แวร์นำเสนอ เป็นซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เพ่ือใช้งานด้านการนำเสนอขอ้ มูล (Presentation) ใน รูปแบบสไลด์ ซึ่งในการแสดงผลจะต้องมีรูปแบบที่น่าสนใจ ข้อความเข้าใจง่าย กระชับได้ใจความ สามารถ แสดงผลในรูปแบบกราฟ ข้อความ รูปภาพ หรือเสียงได้ ซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Microsoft Power Point เปน็ ต้น นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 5 ) ซอฟต์แวร์จัดการด้านกราฟิกซอฟต์แวร์ชนดิ นี้มีเครื่องมือสามารถปรับเปลี่ยนรูปภาพให้ได้ ตาม ความต้องการของผ้ใู ช้ เชน่ ปรับความเขม้ ของแสง ปรบั เปลีย่ นความแตกตา่ งของสีวตั ถใุ นภาพ และสามารถตัด แปะองค์ประกอบของภาพหลาย ๆ ภาพมาสร้างเปน็ ภาพใหม่ไดเ้ หมอื นการสร้างศลิ ปะ นอกจากน้ี ยงั สามารถ เปลี่ยนลักษณะของภาพ ลักษณะของสีให้มีพื้นสีแบบต่าง ๆ ได้ บางโปรแกรมสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ นำเข้า เช่น เครื่องกราดตรวจ จากกล้องดิจิทัล สามารถจัดเก็บข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลสามารถ นำมาแก้ไขได้อกี ซอฟตแ์ วรท์ ่นี ยิ มใช้ เช่น Photoshop, Paint Brush เปน็ ตน้ 6) ซอฟตแ์ วรต์ ดิ ตอ่ สอ่ื สาร ในปจั จบุ ันเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกขนาดสามารถเชื่อมโยงถึงกัน เพื่อติดต่อ สื่อสารกันได้ผ่านระบบเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศต่าง ๆ โดยใช้ซอฟต์แวร์ ชนิดน้ี ควบคุมการติดตอ่ สื่อสารทง้ั ในเครอื่ งผสู้ ่ง และในเครื่องผู้รบั ด้วย ซอฟตแ์ วร์สำเร็จรูปเพอ่ื การติดตอ่ ส่ือสาร และ การเขา้ ถงึ ขอ้ มูลบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตมหี ลายชนดิ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการใชง้ าน เชน่ ซอฟตแ์ วรส์ ำเรจ็ รูป เพื่อการรบั ส่งแฟกซ์ การสนทนา การส่งจดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ การพดู คยุ ด้วยไมโครโฟน การค้นหาข้อมูลบน เครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต ที่จะต้องใช้ซอฟต์แวรส์ ำเร็จรปู ที่เรียกว่า Web Browser หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Browser ซอฟต์แวร์เหล่านี้บางครั้งเป็นซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่มีพร้อมกับซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ เช่น Browser Internet Explorer ทมี่ าพรอ้ มกบั ระบบปฏบิ ัติการ Windows ซอฟต์แวร์เฉพาะ เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่จะต้องมีการรวบรวมความต้องการของผู้ใช้ ก่อนการ พฒั นาขึ้นมาเปน็ ซอฟตแ์ วร์ที่สามารถทำงานไดต้ ามความตอ้ งการนนั้ การพฒั นาซอฟต์แวร์ประยกุ ต์ชนิดนี้ส่วน ใหญเ่ พ่อื เป็นการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในงานด้านธุรกิจ ทผ่ี ใู้ ช้ไมส่ ามารถหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมา ใช้งานได้อย่างตรงตามวัตถุประสงค์ เช่น ระบบงานบัญชี ระบบงานคลังสินค้า ระบบงานขาย ระ บบงาน ห้องสมุด ระบบงานทะเบียนประวตั ิ ระบบบรหิ ารงานบุคคล ระบบการเรยี นการสอนทางไกลผ่านเว็บ เป็นต้น จึงจำเป็นต้องว่าจ้างนักพัฒนาระบบหรือบริษัทรับพัฒนาระบบ ให้วิเคราะห์ความต้องการ ออกแบบระบบ เขียนโปรแกรม และติดตั้งเพื่อใช้งาน ดังนั้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ได้จึงตรงตามความต้องการของผู้ใช้อย่าง แทจ้ รงิ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพวิ เตอร์ 3 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 สปั ดาห์ท่ี 11 ใบงานที่ 12 หน่วยที่ 2 ซอฟต์แวร์ ชื่อ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... ให้พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปน้ีวา่ ถกู หรือผดิ ......1.ซอฟต์แวร์ระบบเป็นซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นผู้ติดตั้งมาให้เท่านั้น ......2.ซอฟต์แวร์ระบบทำหน้าที่ประสานงานระหว่างซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และผู้ใช้งาน ......3.ภาษาคอมพิวเตอร์ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ทันที คือภาษาระดับสูง ......4.โปรแกรมแปลภาษาซี จัดเป็นภาษาระดับต่ำ ......5.เลขฐานสองเป็นรหัสแทนคำสั่งที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ ......6.คอมไพเลอร์เป็นโปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์ โดยจะแปลคำสั่งและปฏิบัติตามทีละคำสั่ง ......7.ซอฟต์แวร์ประมวลคำ เป็นซอฟต์แวร์ระบบ ......8.โปรแกรมแปลภาษาคอมพิวเตอร์เป็นซอฟต์แวร์ระบบ ......9. คุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลต่อการพิจารณาเลือกใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ด้วย ......10. ระบบปฏิบัติการเป็นซอฟต์แวร์ที่มีการติดตั้งทั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพวิ เตอร์ 3 ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 สัปดาห์ท่ี 12 ใบงานที่ 13 หน่วยท่ี 2 ซอฟต์แวร์ ช่อื ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... ตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี 1. ซอฟต์แวรม์ ีความสำคัญอย่างไรต่อคอมพวิ เตอร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………... 2. โปรแกรมแปลภาษาท้ัง 3 แบบ เหมือนหรือต่างกนั อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….… 3. โปรแกรมอรรถประโยชน์มีประโยชนอ์ ยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… 4. การใช้ซอฟต์แวรร์ ะบบชว่ ยในการทำงานมขี อ้ ดีอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… 5. ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตถ์ ูกสรา้ งหรอื พัฒนาข้ึนเพราะเหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 12 ความหมายและประโยชน์ของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ความหมายของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (computer network) คือ ระบบการสื่อสาร ระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมกี ารใชง้ านคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความตอ้ งการทจ่ี ะเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์เหล่าน้ันถึงกัน เพ่ือเพม่ิ ความสามารถของระบบใหส้ ูงขนึ้ และลดตน้ ทุนของระบบโดยรวมลง ความสำคัญของเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติมนุษย์ตอ้ งอยูร่ วมกันเปน็ กลมุ่ มกี ารตดิ ต่อสอื่ สารระหว่างกนั รว่ มกันทำงานสร้างสรรค์สงั คม เพื่อให้ ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึน้ จากการดำเนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้านครอบครัว การทำงานตลอดจนสังคม และการเมือง ทำให้ต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนขอ้ มูลระหว่างกัน เมื่อมนุษย์มคี วามจำเปน็ ที่จะตดิ ต่อสื่อสาร ระหวา่ งกัน พฒั นาการ ทางดา้ นคอมพวิ เตอรจ์ งึ ตอ้ งตอบสนองเพ่ือใหใ้ ชง้ านไดต้ ามความต้องการ แรกเร่ิมมีการ พัฒนาคอมพวิ เตอรแ์ บบ รวมศูนย์ เช่น มินคิ อมพิวเตอร์ หรือ เมนเฟรม โดยใหผ้ ใู้ ชง้ านใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรียบเสมือน เป็นสถานีปลายทาง ที่เรียกใช้ทรัพยากรการคำนวณจากศูนย์คอมพิวเตอร์และให้ คอมพิวเตอร์ตอบสนองต่อ การทำงานนั้น ต่อมามีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน ส่วนบคุ คล จนมีการเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พซี ี (Personal Computer : PC) การใช้งานคอมพิวเตอร์จึง แพร่หลายอยา่ งรวดเรว็ เพราะการใช้งานง่ายราคา ไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งาน กันมาก บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ก็ปรับปรุง และพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการที่จะ ทำงานร่วมกันเปน็ กลุ่มในรูปแบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ จึงเป็นวิธกี ารหนึ่ง และกำลังได้รับความนิยมสูงมาก เพราะทำให้ตอบสนองตรงความตอ้ งการทีจ่ ะตดิ ต่อสอื่ สาร ขอ้ มูลระหวา่ งกัน เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ได้รับการ พฒั นาเรื่อยมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญไ่ ดแ้ ก่ เมนเฟรม มนิ ิคอมพิวเตอร์ มาเปน็ ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไมโครคอมพิวเตอร์ก็ได้รับ การพัฒนาให้มีขีดความสามารถและ ทำงานได้มากขึ้น จนกระทั่งคอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ ดังนั้น จึงมีการพัฒนาให้ คอมพิวเตอร์ทำงานในรปู แบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่มาเป็นสถานี นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 บรกิ าร หรือทเี่ รยี กว่า เครื่องใหบ้ ริการ (Server) และใหไ้ มโครคอมพิวเตอรต์ ามหนว่ ยงานต่าง ๆ เป็นเคร่ืองใช้ บรกิ าร (Client) โดยมเี ครือข่าย(Network) เป็นเส้นทางเชอ่ื มโยงคอมพวิ เตอรจ์ ากจดุ ตา่ ง ๆ ในที่สุดระบบเครือข่ายก็จะเข้ามาแทนระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่เป็นแบบรวมศูนย์ได้ เครือข่าย คอมพิวเตอร์ทวีความสำคัญและได้รับความนิยมมากขึน้ เพราะสามารถสร้างระบบคอมพิวเตอร์ให้ พอเหมาะ กับงาน ในธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีกำลังในการลงทุนซ้ือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงเช่น มินิคอมพิวเตอร์ ก็ สามารถใช้ไมโครคอมพวิ เตอรห์ ลายเคร่ืองต่อเช่ือมโยงกันเป็นเครอื ข่าย โดยให้ไมโครคอมพวิ เตอร์เครื่องหนึง่ เป็นสถานีบริการที่ทำให้ใช้งานข้อมูลร่วมกันได้ เมื่อกิจการเจริญก้าวหน้าขึ้นก็สามารถขยายเครือข่ายการใช้ คอมพวิ เตอรโ์ ดยเพ่มิ จำนวนเคร่ืองหรือขยายความจขุ อ้ มูลให้พอเหมาะกับองค์กร ในปจั จุบนั องค์การขนาดใหญ่ ก็สามารถลดการลงทุนลงได้ โดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงจากกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่มรวมกันเป็น เครือข่ายขององค์การ โดยสภาพการใช้ข้อมูลสามารถทำได้ดีเหมือน เช่นในอดีตที่ต้องลงทุนจำนวนมาก เครือข่ายคอมพิวเตอร์มบี ทบาทที่สำคัญต่อหนว่ ยงาน ตา่ ง ๆ ดังนี้ ทำใหเ้ กิดการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทำงานพร้อมกนั ให้สามารถใช้ขอ้ มูลต่าง ๆ ร่วมกัน ซงึ่ ทำให้องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น ทำใหส้ ามารถใช้ทรพั ยากรได้คุ้มค่า เชน่ ใช้เครื่องประมวลผลร่วมกัน แบ่งกันใช้แฟม้ ข้อมูล ใช้เครือ่ งพิมพ์ และอุปกรณท์ ่ีมรี าคาแพงร่วมกัน ทำใหล้ ดตน้ ทุน เพราะการลงทุนสามารถ ลงทุนใหเ้ หมาะสมกับหน่วย นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพิวเตอร์ 3 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 สปั ดาห์ที่ 12 ใบงานที่ 14 หน่วยที่ 3 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ชือ่ ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเขียนแผนผงั สรุปเรือ่ ง เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 12 ชนดิ ของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1 ระบบเครือข่ายระยะใกล้หรือท้องถิ่น (Location Area Network :MAN) เป็นรูปแบบการทำงาน ของระบบเครอื ข่ายหนง่ึ ทีช่ ว่ ยให้เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ เคร่ืองพิมพ์ และอุปกรณ์ใช้งานทางด้านคอมพวิ เตอร์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงสื่อสาร ส่งข้อมูล ติดต่อใช้งานร่วมกนั ได้ การติดต่อสื่อสารของอุปกรณจ์ ะอยู่ในบริเวณแคบ โดยทั่วไปจะมีระยะการไม่เกิน 10 กิโลเมตร เช่น ภายในอาคารสำนักงาน ภายในคลังสินค้า โรงงานหรือ ระหว่างตึกใกล้ๆ เชื่อมโยงด้วยสายสื่อสารจึงทำให้มีความเร็วในการสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูงมาก และ ความผดิ พลาดต่ำ 2 ระบบเครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network :MAN) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อระบบ เครือขา่ ยทอ้ งถ่ินหลายๆ ระบบเขา้ ด้วยกันในพ้นื ทเี่ ดียวกนั เช่นภายในเมอื งเดยี วกัน เกดิ เป็นเครือขา่ ยของเมือง น้นั ระบบเครือขา่ ยนีจ้ ะใช้สื่อเชอ่ื มโยงทั้งชนดิ ใช้สายสัญญาณและชนิดไม่ใช้สายสัญญาณผสมเข้าดว้ ยกัน ตาม ลักษณะพ้นื ท่ี ความเรว็ ในการรับ-สง่ ขอ้ มลู ในระยะทางไม่เกิน 60 กโิ ลเมตร 3 ระบบเครอื ระยะไกล (Wide Area Network :WAN) เปน็ เครอื ข่ายทีต่ ดิ ต้งั ใชง้ านอยู่ในบริเวณกว้าง โดยมีการส่งข้อมูลในลักษณะเป็น Packet ซึ่งต้องเดินทางจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางไปสู่เครื่อง คอมพวิ เตอร์ปลายทาง Packet นส้ี ง่ จากเครื่องคอมพวิ เตอร์เครื่องหนึ่งไปยงั เครอื่ งคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง โดยมีสายสื่อสารหรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ในการเชื่อมต่อกัน ในลักษณะเป็นลูกโซ่ อาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ ถัดไปในเส้นทางที่สะดวกรูปแบบของเครือข่ายแตกต่างกันไปตามลักษณะอัลกอริทึมสำหรับการคำนวณ เส้นทางในการส่ง Packet โดยแบง่ ออกได้เปน็ สองประเภทใหญ่ๆ คอื แบบดาตาแกรม (Datagram) และแบบ เวอรช์ วล เซอร์กิต (Virtual Circuit) หรอื วงจรแบบเสมอื น ระบบดาตาแกรมพิจารณาแต่ละ Packet แยกจาก กัน Packet ต่างๆ ของข้อความเดียวกันอาจถูกส่งไปในเส้นทางที่ต่างกันได้ขึ้นอยู่กับ ปริมาณข่าวสารใน เครือข่าย ในแต่ละขณะเวลาที่ผ่านไป และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเครือข่ายเนื่องจากเครื่อง คอมพิวเตอร์บางตัวเสีย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแสวงหาความรู้มีหลายระบบ ในที่นี้จะ กล่าวถงึ 2 ระบบ คือ อนิ ทราเน็ตและอินเทอรเ์ นต็ โครงสร้างของระบบเครือข่าย (Network Topology) แบบ LAN ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าเป็นระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) สามารถออกแบบการ เชื่อมต่อกันของเครื่องในเครือข่าย ให้มีโครงสร้างในระดับกายภาพได้ในหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมี ขอ้ ดแี ละข้อเสียแตกต่างกันไป ดังน้ี 1) โครงสร้างแบบดาว (Star Topology)เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แต่ละตัวเข้ากับ คอมพิวเตอรศ์ ูนย์กลาง การรบั สง่ ข้อมลู ท้งั หมดจะต้องผ่านคอมพิวเตอร์ศนู ย์กลางเสมอ มขี ้อดีคือการเช่ือมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบกระเทือนกับเครื่องอื่นในระบบเลย แต่ข้อเสียคือมี ค่าใช้จา่ ยเก่ยี วกับสายสูงและถา้ คอมพวิ เตอร์ศูนยก์ ลางเสยี ระบบเครอื ขา่ ยจะหยดุ ชะงักท้งั หมดทันที นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 2) โครงสรา้ งแบบบสั (Bus Topology) เป็นโครงสร้างท่ีเชอ่ื มคอมพวิ เตอร์แต่ละตัวด้วยสายเคเบิลที่ใช้ รว่ มกัน ซ่ึงสายเคเบิลหรอื บัสนเ้ี ปรยี บเสมือนกบั ถนนท่ีขอ้ มูลจะสง่ ผ่านไปมาระหว่างแต่ละเครอื่ งได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องผ่านไปทีศ่ ูนย์กลางก่อน โครงสร้างแบบนีม้ ีข้อดีที่ใช้สายน้อย และถ้ามีเครื่องเสียก็ไม่มีผลอะไรต่อ ระบบโดยรวม ส่วนขอ้ เสียกค็ อื ตรวจหาจดุ ทเี่ ปน็ ปญั หาไดย้ าก 3) โครงสรา้ งแบบแหวน (Ring Topology) เปน็ โครงสร้างทีเ่ ชือ่ มคอมพวิ เตอร์ทง้ั หมดเข้าเป็นวงแหวน ข้อมูลจะถูกส่ง ต่อ ๆ กันไปในวงแหวนจนกว่าจะถึงเครื่องผู้รับที่ถูกตอ้ ง ข้อดีของโครงสร้างแบบน้ีคือ ใช้สาย เคเบิลน้อย และสามารถตัดเครื่องที่เสียออกจากระบบได้ ทำให้ไม่มีผลต่อระบบเครือข่าย ข้อเสียคือหากมี เครื่องทีม่ ีปัญหาอยู่ในระบบจะทำใหเ้ ครือข่ายไม่สามารถทำงานได้เลย และการเชื่อมต่อเครื่องเข้าสูเ่ ครือข่าย อาจตอ้ งหยุดระบบทั้งหมดลงก่อน โครงสร้างเครือข่ายคอมพวิ เตอรแ์ บบเมช (mesh topology) โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเมช มีการทำงานโดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมี ช่องสัญญาณจำนวนมาก เพื่อที่จะเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆทุกเครื่อง โครงสร้างเครือข่าย คอมพิวเตอร์นี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะส่งข้อมูล ได้อิสระไม่ต้องรอการส่งข้อมูลระหว่างเครื่อง คอมพิวเตอร์เครือ่ งอนื่ ๆ ทำให้การสง่ ขอ้ มลู มีความรวดเรว็ แต่ค่าใชจ้ า่ ยสายเคเบ้ิลก็สงู ดว้ ยเชน่ กนั โครงสร้างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบบผสม (hybrid topology) เป็นโครงสร้างเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ท่ีผสมผสานความสามารถของโครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หลาย ๆ แบบรวมกนั ประกอบดว้ ยเครือขา่ ย คอมพิวเตอร์ย่อยๆ หลายเครอื ข่ายทม่ี โี ครงสรา้ งแตกต่างกนั มา เช่อื มตอ่ กันตามความเหมาะสม ทำให้เกิดเครอื ขา่ ยทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพสูงในการสอ่ื สารขอ้ มลู นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพิวเตอร์ 3 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 สัปดาห์ท่ี 13 ใบงานที่ 15 หนว่ ยท่ี 3 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ช่ือ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... คำสั่ง ให้นักเรยี นพจิ ารณาเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ตอ่ ไปนี้ ว่าจดั อย่ใู นประเภทใดบ้าง ลำดบั ขอ้ ความ เครอื ข่ายแพน เครือข่ายแลน เครือข่ายแมน เครือขา่ ยแวน 1 เครือขา่ ยภายในโรงเรียน 2 เคเบิลทวี ีอำเภอเมืองลำปาง 3 ส่งรูปทางบลทู ธู 4 เครือขา่ ยทะเบยี นราษฎร์ของ กระทรวงมหาดไทย 5 เครอื ขา่ ยภายในโรงพยาบาล 6 ใชค้ ล่ืนอนิ ฟราเรดในการส่ง ขอ้ มูล 7 เครือข่ายระหว่างประเทศไทย และประเทศลาว 8 เครอื ข่ายสหกรณ์รา้ นค้า โรงเรยี น 9 เครือขา่ ยภายในอำเภอเมือง 10 กดเงินธนาคารสาขา ต่างประเทศ คำสั่ง ให้นักเรียนศึกษาขอ้ มูลประเภทของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์และทำเครอ่ื งหมาย ✓ ทีข่ ้อความนั้นถกู ทำ เครอื่ งหมายผิด × ท่ีข้อความนั้นผดิ 1……………….เครอื ข่ายแพนระยะทางเช่ือมต่อไม่เกนิ 10 เมตร 2……………….เครือข่ายแพนระยะตัวกลางในการสือ่ สารคลื่นไมโครเวฟ 3……………….เครือข่ายแลนเช่อื มโยงอย่คู นละประเทศ 4……………….เครอื ขา่ ยแลนระยะทางเชอ่ื มต่อไม่เกิน 100 เมตร 5……………….เครือข่ายแมนเชือ่ มโยงภายในจงั หวัดเดียวกนั 6……………….เครอื ข่ายแมนตัวกลางในการสื่อสาร เชน่ สายไฟเบอรอ์ อปติก และคลน่ื ไมโครเวฟ 7……………….เครือข่ายแมนระยะทางเชอ่ื มต่อไม่จำกดั 8……………….เครือขา่ ยแวนเช่ือมโยงอยู่คนละประเทศ 9……………….การสง่ รูปผ่านบลูทธู คอื เครือข่ายแลน 10………….เครือข่ายแมนและเครอื ข่ายแวนตัวกลางในการส่ือสาร เช่นสายไฟเบอรอ์ อปตกิ และคล่ืนไมโครเวฟ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 13 อุปกรณ์เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ สายคู่ตีเกลียว (Twisted-Pair Cable) เป็นสายที่มีราคาถูกทีส่ ุด ประกอบด้วยสายทองแดงท่มี ี ฉนวนหุ้ม 2 เส้น นำมาพันกันเป็นเกลียว จะใช้กันแพร่หลายในระบบโทรศัพท์ ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps สง่ ไดใ้ นระยะทาง 1 mile สายคตู่ เี กลียวสามารถแบ่งได้เปน็ 2 ชนดิ คือ 1. สายคู่ตีเกลยี วแบบไม่มีชลิ ด์ (Unshielded Twisted-Pair : UTP) เป็นสายเคเบิลทถี่ กู รบกวนจาก ภายนอกได้งา่ ย แตม่ คี วามยดื หยนุ่ ในการใชง้ านสูงและราคาไม่แพง 2. สายคู่ตีเกลียวแบบมีชิลด์ (Shielded Twisted-Pair : STP) เป็นสายที่มีปลอกหุ้มอีกรอบเพ่ือ ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก จึงทำให้สายเคเบิลชนิดนี้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อในระยะไกลได้มาก ขึ้นแตร่ าคาแพงกว่าแบบ UTP สายค่ตู กี ลียวจะใช้หัวเชอื่ มตอ่ แบบ RJ-45 ซึ่งจะมลี กั ษณะคลา้ ยกบั หวั เช่ือมตอ่ แบบ RJ-11ซึ่งเป็นหัว ที่ใชก้ ับสายโทรศพั ท์ท่วั ๆ ไป ขอ้ แตกต่างระหว่างหัวเชื่อมตอ่ สองประเภทน้ีคือ หวั RJ-45 จะมีขนาดใหญ่กว่า เลก็ นอ้ ยและไม่สามารถเสยี บเข้ากบั ปล๊ักโทรศพั ทไ์ ด้ และอกี อยา่ งหวั RJ-45จะเช่อื มสายคบู่ ดิ เลยี ว 4 คใู่ นขณะ ท่ีหัว RJ-11 ใชไ้ ดก้ ับสายเพยี ง 2 คเู่ ท่านน้ั ดังรปู จะแสดงสาย UTP และหวั เชื่อมตอ่ แบบ RJ-45 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) สายโคแอกเชียลเป็นสายสัญญาณอีกแบบหนึ่ง จะประกอบด้วย ลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มดว้ ยฉนวนพลาสตกิ 1 ชนั้ แลว้ จงึ หมุ้ ด้วยทองแดงทีถ่ กั เปน็ แผน่ แล้วหุ้มภายนอก อกี ช้นั หนง่ึ ด้วยฉนวน สามารถปอ้ งกันการรบกวนของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอ่นื ๆ ใช้ในระบบ โทรทัศน์ ความเร็วในการส่งข้อมูล 350 Mbps ส่งได้ในระยะทาง 2-3 mileส่วนแกนเป็นส่วนที่นำสัญญาณ ข้อมูล ส่วนชั้นใยข่ายเปน็ ชั้นท่ีใชป้ ้องกนั สัญญาณรบกวนจากภายนอกและเปน็ สายดินในตัว ดังนั้นสองสว่ นนี้ ตอ้ งไม่เชือ่ มตอ่ กนั มิฉะนัน้ อาจเกดิ ไฟชอ็ ตได้ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 ข้อดแี ละข้อเสยี ของสายโคแอกเชียล ขอ้ ดี - ราคาถูก - มีความยืดหย่นุ ในการใช้งาน - ตดิ ตัง้ งา่ ย และมนี ำ้ หนกั เบา ข้อเสีย - ถกู รบกวนจากสัญญาณภายนอกได้งา่ ย - ระยะทางจำกัด สายใยแกว้ นำแสง ส่วนประกอบของสายใยแก้วนำแสงประกอบด้วยส่วนสำคัญคือ ส่วนทีเ่ ป็นแกน (Core) ซง่ึ จะอยู่ตรง กลางหรือชัน้ ในแลว้ ห้มุ ดว้ ยส่วนห่อหุม้ (Cladding) แลว้ ถูกห่อหุ้มดว้ ยสว่ นป้องกัน (Coating)อกี ช้ันหนึง่ โดยท่ี แต่ละสว่ นนั้นทำดว้ ยวสั ดทุ ม่ี ีคา่ ดัชนีหกั เหของแสงต่างกนั ท้งั นกี้ ็เพราะตอ้ งคำนงึ ถึงหลักการหักเหและสะทอ้ น กลบั หมดของแสง สว่ นทเี่ หลอื ก็จะเปน็ ส่วนท่ชี ่วยในการตดิ ตง้ั สายสัญญาณไดง้ า่ ยข้ึน เชน่ Strengthening Fiber กเ็ ป็นสว่ นทีป่ อ้ งกันไม่ให้สายไฟเบอร์ขาดเม่ือมีการดึงสายในตอนติดตง้ั สายสัญญาณ ข้อดีข้อเสยี ของสายใยแกว้ นำแสง ข้อดี - ส่งข้อมูลดว้ ยความเรว็ สงู -ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟา้ - สง่ ขอ้ มลู ไดใ้ นปริมาณมาก ข้อเสีย - มรี าคาแพงกว่าสายสง่ ขอ้ มูลแบบสายคตู่ ีเกลียวและโคแอกเชยี ล - ตอ้ งใช้ความชำนาญในการตดิ ตง้ั - มีคา่ ใช้จา่ ยในการติดตั้งสงู กวา่ สายค่ตู ีเกลียวและโคแอกเชียล นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 เร้าเตอร์ (Router)คือ อปุ กรณ์ท่ีทำหน้าทเี่ ช่ือมตอ่ ระบบเครอื ขา่ ยอย่างหน่ึง ซงึ่ ถา้ แปลความหมายคำ ว่า Route ก็คือ ถนน นั่นเอง ดังนั้น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วย Router ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อ คอมพิวเตอรไ์ ดม้ ากกวา่ หนึ่งเครือ่ งในเวลาเดยี วกัน หนา้ ท่ีหลักของ Router คือการหาเสน้ ทางในการส่งผา่ นขอ้ มูลที่ดีท่ีสดุ และเป็นตัวกลางในการส่งต่อ ข้อมูลไปยงั เครือข่ายอน่ื ทง้ั นี้ Router สามารถเชอ่ื มโยงเครอื ข่ายท่ีใช้ส่ือสญั ญาณหลายแบบแตกต่างกันได้ไม่ ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของตนเองซ่ึง แตกต่างกัน คุณสมบัตขิ อง Router 1. ทำหนา้ ท่ีคล้าย Swich ทำให้เชื่อมต่อไดห้ ลายเครือ่ งพร้อมกัน 2. บางรุ่นรองรับการทำงาน Wire หรือ Wireless 3. เป็น ADSL Modem ในตัว (เฉพาะบางรุ่นเทา่ นน้ั ) 4. Firewall /IPsec VPN (รองรับการเชอ่ื มตอ่ ทางไกลแบบมี security) 5. Antivirus (ร่นุ ใหมๆ่ ของ Router บางร่นุ จะมี antivirus program ฝงั อยู่ด้วย) ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณท์ ่ที ำหน้าที่เปน็ ศูนยก์ ลางของการสอ่ื สารขอ้ มลู ระหวา่ งคอมพิวเตอรใ์ นระบบ LAN ทีต่ อ่ แบบ STAR เมื่อใดที่มีคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายต้องการส่งข้อมูล ฮับจะทำหน้าที่ในการทำสำเนาข้อมูลและ สง่ ไปยงั อปุ กรณ์ต่างๆ ภายในเครอื ข่าย ไม่ใชแ่ คค่ อมพวิ เตอร์ แตร่ วมถึงอุปกรณอ์ น่ื ๆ ด้วยเช่น เครอ่ื งพิมพ์ เป็น ตน้ เรียกว่าสง่ ขอ้ มูลไปท้ังหมด และถ้าข้อมูลน้ีเปน็ ของอุปกรณใ์ ด อปุ กรณน์ ้ันก็จะรับเองอตั โนมตั ิ และจุดด้อย ของฮบั ทคี่ วรทราบคือ เวลามีอปุ กรณใ์ ดสง่ ข้อมูลในเครอื ข่ายผา่ นฮับ อุปกรณ์อ่ืนๆ จะตอ้ งรอให้การส่งสมบูรณ์ กอ่ น เปรยี บเทยี บไดก้ บั ถนน One-Way ห้ามสง่ ขอ้ มูลสวนทางกัน นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 สวิตช์ (Switch) เปน็ อปุ กรณ์ทพ่ี ัฒนาการตอ่ จากฮับอกี ทีหนึง่ มีความสามารถมากกว่า Hub โดยการ ทำงานของสวิตชจ์ ะส่งข้อมูลออกไปเฉพาะพอร์ตที่ใช้ในการติดต่อกับเครือ่ งคอมพิวเตอร์พีซีปลายทางเท่าน้ัน ไมส่ ง่ กระจายข้อมลู ไปยังทุกพอร์ตเหมือนอย่างฮบั ทำให้ในสวติ ชไ์ ม่มปี ญั หาการชนของขอ้ มลู Hub กบั SWITCH แตกต่างกนั อย่างไร HUB กับ SWITCH นั้นจะทำหน้าที่คล้าย กันเพียงแต่ HUB นั้นเวลาส่งข้อมูลนั้นจะเป็นแบบ broadcast กระจายไปทุกเครื่องแต่ถ้าเป็น switch นั้น จะดูว่าข้อมูลนี่เป็น ของเครื่องไหนแล้วค่อยส่งไปยงั เครื่องนั้น ดังนั้นHUB จึงสามารถ LAN ได้มากกว่านอกจากนี้ความเร็วในการส่งข้อมูลก็ต่างกันคือ speed HUB คือspeed / N เครื่องเช่น LAN 100 Mbps 10 เครื่อง ทุกเครื่องได้แค่ 10 Mpbsส่วน speed switch นนั้ Lan 100 mbps ทกุ เครอ่ื งได้ 100 mbps โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และรับส่งข้อมูลกันบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตระหวา่ งเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง โดยอาศัยตัวกลางจำพวกสายโทรศพั ท์และสาย Fiber Optic ในการสง่ ผ่านขอ้ มูล หลักการทำงานโดยคร่าวของโมเดม็ ก็คือ เปลีย่ นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณ ดิจิตอลให้เป็นสัญญาณเสียงเพื่อให้สามารถส่งผ่านไปตามสายโทรศัพท์ได้ และในทางกลับกันก็รับเอา สญั ญาณเสยี งทีถ่ กู สง่ ผ่านมาตามสายโทรศัพทจ์ ากโมเด็มอีกฟากหน่งึ มาแปลงกลับให้เป็นขอ้ มูลในรูปแบบของ สัญญาณดิจิตอลแบบเดมิ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพวิ เตอร์ 3 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 สปั ดาห์ที่ 13 ใบงานที่ 16 หนว่ ยท่ี 3 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ช่ือ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายลกั ษณะสำคญั ของเทคโนโลยกี ารรบั สง่ ขอ้ มลู แบบใชส้ าย 1. สายตเี กลียวคู่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. สายตเี กลียวคู่แบบไม่ปอ้ งกนั สญั ญาณรบกวนหรือไมห่ ุม้ ฉนวน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สายตเี กลียวคู่แบบป้องกนั สญั ญาณรบกวนหรือหุ้มฉนวน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สายโคแอกซ์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. สายใยแก้วนำแสง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี 1. เครอ่ื งทวนสญั ญำณ (repeater) มปี ระโยชน์อยำ่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… 2. เพรำะเหตุใดจงึ นำสวติ ช์ (switch) มำใชใ้ นระบบเครอื ขำ่ ยคอมพวิ เตอร์ ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………….... 3. ฮบั (Hub) และสวติ ซ์ (Switch) แตกต่ำงกนั อย่ำงไร พรอ้ มยกตวั อย่ำง ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………. นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ที่ 17 ความหมายและพฒั นาการของอนิ เทอร์เนต็ ความหมายของอนิ เทอร์เน็ต อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) มาจากคำว่า Inter Connection Network หมายถึง เครอื ข่ายของเครือข่าย คอมพวิ เตอร์ ระบบตา่ ง ๆ ท่ีเช่ือมโยงกัน ลกั ษณะของระบบอนิ เทอรเ์ น็ต เปน็ เสมอื นใยแมงมมุ ท่คี รอบคลุมท่ัวโลก ในแต่ละจุดที่เชอื่ มตอ่ อนิ เทอรเ์ น็ตน้นั สามารถสื่อสารกันไดห้ ลายเส้นทาง โดยไม่กำหนดตายตัว และไมจ่ ำเปน็ ต้อง ไปตามเสน้ ทางโดยตรง อาจจะผ่านจดุ อ่ืน ๆ หรอื เลือกไปเสน้ ทางอื่นได้หลาย ๆ เสน้ ทาง ดงั รูป พัฒนาการของอนิ เทอรเ์ น็ต อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศ สหรัฐอเมริกา คือAdvanced Research Projects Agency (ARPA) ในปี1969 โครงการนี้เป็นการวิจัยเครือข่าย เพื่อการสื่อสารของการทหารในกองทัพอเมริกา หรืออาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า ARPA Net ในปี ค.ศ. 1970 ARPA Net ได้มกี ารพัฒนาเพมิ่ มากขึน้ โดยการเชอ่ื มโยงเครือข่ายร่วมกับมหาวิทยาลัยช้ันนำของอเมริกา คอื มหาวิทยาลัย ยทู าห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียทีซ่ านตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลฟิ อรเ์ นยี ท่ีลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของ มหาวิทยาลยั สแตนฟอรด์ และหลังจากน้ันเป็นต้นมากม็ ีการใช้ อินเทอรเ์ น็ตกันอยา่ งแพรห่ ลายมากขึน้ สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัย สามารถตติ อ่ ส่ือสารทาง อีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบ โทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไท ยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยงั ออสเตรเลียใน ขณะนนั้ ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ของสถาบนั การศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อวา่ เครอื ข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบัน เทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต ภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวจิ ยั ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการบรกิ ารอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแกป่ ระชาชน และภาคเอกชน ต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการ อนิ เทอรเ์ นต็ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 (Internet Service Provider: ISP) เปน็ บรษิ ัทแรก เมือ่ มคี นนิยมใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเพิ่มมากข้นึ บริษทั ท่ใี หบ้ ริการ อินเทอรเ์ นต็ จงึ ไดก้ ่อต้งั เพม่ิ ขึ้นอกี มากมาย การทำงานของอนิ เทอร์เน็ต การสอื่ สารข้อมูลดว้ ยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล (Protocol) ซ่งึ เปน็ ระเบยี บวิธีการสอื่ สารทเี่ ปน็ มาตรฐาน ของการเชือ่ มตอ่ กำหนดไว้ โปรโตคอลที่เปน็ มาตรฐานสำหรับการเช่อื มต่ออินเทอร์เนต็ คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง ที่ เรียกว่า IP Address เพื่อเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่ง IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตวั เดยี วกบั ใน TCP/IP น่นั เอง IP address ถูกจัดเปน็ ตัวเลขชุดหนงึ่ ขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดน้ี จะมตี วั เลขถูกแบง่ ออกเป็น 4 ส่วน สว่ นละ 8 บติ เท่าๆ กนั เวลาเขยี นก็แปลงให้เปน็ เลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่าย แล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด (.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนน้ีจึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เท่าน้นั นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพวิ เตอร์ 3 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 สัปดาห์ที่ 14 ใบงานท่ี 17 หนว่ ยท่ี 4 อนิ เทอร์เน็ต ชอ่ื ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... 1. อนิ เทอรเ์ น็ตมีประโยชนใ์ นดา้ นใดบ้าง จงยกตวั อยา่ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. อนิ เทอร์เน็ตหมายถงึ อะไร จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. อินเทอร์เนต็ เกดิ ขน้ึ หรอื พฒั นามาจากเครือข่ายใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. อนิ เทอรเ์ น็ตเกดิ ข้ึนครงั้ แรกท่ีหนว่ ยงานใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ประเทศไทยเริ่มใชอ้ นิ เทอร์เนต็ คร้งั เเรกท่หี น่วยงานใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 6. จงเรียงลำดบั เหตุการณฺ์ต่อไปน้จี ากเหตุการณ์ที่เกดิ ข้ึนกอ่ นเรยี งมาหลัง (3G,DARPAnet,ARPAnet,TCP/IP) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 18 การใช้งานอนิ เตอรเ์ น็ต เมื่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงเครือข่ายทัว่ โลกให้สามารถตดิ ต่อถึงกันได้หมดจนกลายเปน็ เครือขา่ ย ของโลก ดังนั้นจึงมีผูใ้ ช้งานบนเครือข่ายน้ีจำนวนมาก การใช้งานเหล่านี้เปน็ สิ่งที่กำลังได้รับการกล่าวถึงกันทัว่ ไป เพราะการเชื่อมโยงเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตทำใหโ้ ลกไร้พรมแดน ขอ้ มูลขา่ วสารตา่ งๆ สามารถสื่อสารถึงกันได้อย่าง รวดเรว็ ตวั อยา่ งการใช้งานบนอินเทอร์เน็ตที่จะกลา่ วต่อไปน้เี ป็นเพียงตวั อยา่ งท่ีแพรห่ ลายและใช้กันมากเทา่ นัน้ ยัง มกี ารประยกุ ตง์ านอื่นทไี่ ด้รับการพัฒนาข้นึ มาใหมต่ ลอดเวลา 1) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-mail) เป็นการส่งข้อความติดต่อกันระหว่างบุคคลกับ บุคคลหรือกลุ่มบคุ คลก็ได้ หากเปรียบเทยี บไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์กับไปรษณยี ์ธรรมดาจะพบว่าโดยหลักการนน้ั ไม่แตกต่างกันมากนัก ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เปลี่ยนบุรุษไปรษณีย์ให้เป็นโปรแกรม เปลี่ยนเส้นทางเป็นระบบ เครือข่าย และเปลย่ี นรูปแบบการจ่าหนา้ ซองจดหมายใหเ้ ปน็ การจา่ หน้าแบบอา้ งอิงระบบอิเลก็ ทรอนิกส์โดยใช้ท่ีอยู่ ของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (email address) การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีรูปแบบที่ง่าย สะดวก และ รวดเรว็ หากต้องการส่งข้อความถงึ ใครก็สามารถเขียนเป็นเอกสาร แล้วจา่ หน้าซองท่ีอยู่ของผรู้ บั ระบบจะนำส่งให้ ทันทีอย่างรวดเร็ว ลักษณะของที่อยู่จะเป็นชื่อรหัสผู้ใช้และชื่อเครื่องประกอบกันเช่น [email protected] การ ติดต่อบนอินเทอร์เน็ตนี้ ระบบจะหาตำแหน่งให้เองโดยอัตโนมัติ และนำส่งไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง การ รับส่งไปรษณยี ์อิเล็กทรอนิกส์กำลงั เป็นทน่ี ิยมกนั อย่างแพร่หลาย นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 2) การโอนย้ายแฟ้มข้อมูลระหว่างกัน (File Transfer Protocol : FTP) เป็นระบบที่ทำให้ ผู้ใช้สามารถ รบั ส่งแฟม้ ขอ้ มูลระหว่างกนั หรือมีสถานีให้บริการเก็บแฟ้มข้อมูลทอี่ ยู่ในท่ีต่างๆ และให้บรกิ าร ผู้ใช้สามารถเข้าไป คดั เลอื กนำแฟม้ ขอ้ มลู มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เชน่ โปรแกรม cuteFTP โปรแกรม wsFTP เป็นต้น 3) การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในทีห่ ่างไกล (telnet) การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่าย ทำให้เรา สามารถติดต่อเครือ่ งคอมพิวเตอร์ที่เป็นสถานีบริการในที่หา่ งไกลได้ถ้าสถานบี ริการนั้นยินยอม ทำให้ผู้ใช้สามารถ นำข้อมูลไปประมวลผลยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายเช่นนักเรียนในประเทศไทยส่งโปรแกรมไป ประมวลผลท่ีเครื่องคอมพวิ เตอรท์ ตี่ งั้ อยทู่ ่ีบรษิ ัทในประเทศญ่ปี ุ่นผ่านทางระบบเครอื ข่ายโดยไมต่ ้องเดินทางไปเอง 4) การเรียกคน้ ขอ้ มลู ข่าวสาร (search engine) ปัจจุบนั มฐี านข้อมลู ขา่ วสารที่เก็บไวใ้ หใ้ ช้งานจำนวนมาก ฐานขอ้ มูลบางแหง่ เก็บขอ้ มูลในรูปส่ิงพิมพ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ที่ผู้ใช้สามารถเรยี กอา่ น หรอื นำมาพิมพ์ ฐานข้อมูลนี้จึงมี ลักษณะเหมอื นเปน็ ห้องสมดุ ขนาดใหญ่อยภู่ ายในเครือข่ายที่สามารถคน้ หาขอ้ มูลใดๆ ก็ได้ ฐานข้อมูลในลักษณะน้ี เรียกว่า เวลิ ด์ไวดเ์ ว็บ (World Wide Web : WWW) ซ่งึ เป็นฐานขอ้ มลู ทเ่ี ชอื่ มโยงกนั ท่ัวโลก 5) การอ่านจากกลุ่มข่าว (usenet) ภายในอินเทอร์เน็ตมีกลุ่มข่าวเป็นกลุ่มๆ แยกตามความสนใจ แต่ละ กลุ่มข่าวอนุญาตให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่งข้อความไปได้ และหากผู้ใดต้องการเขียน โต้ตอบก็สามารถเขียนตอบได้ กลมุ่ ข่าวน้ีจงึ แพร่หลายและกระจายขา่ วไดร้ วดเร็ว 6) การสนทนาบนเครือข่าย (chat) เมื่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อถึงกันได้ทัว่ โลก ผู้ใช้จึงสามารถใช้ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลางในการติดต่อสนทนากันได้ ในยุคแรกใช้วิธีการสนทนากันด้วยตัวหนังสือ เพ่ือ โตต้ อบกันแบบทนั ทที ันใดบนจอภาพ ตอ่ มามผี พู้ ัฒนาให้ใชเ้ สียงได้ จนถึงปัจจบุ ัน ถ้าระบบสอ่ื สารข้อมูลมีความเร็ว พอ ก็สามารถสนทนาโดยทีเ่ หน็ หน้ากนั และกนั บนจอภาพได้ 7) การบริการสถานีวิทยุและโทรทัศน์บนเครือข่าย เป็นการประยุกต์เพื่อให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ปจั จบุ ันมีผู้ต้งั สถานวี ทิ ยบุ นเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตหลายร้อยสถานี ผู้ใช้สามารถเลือกสถานีทตี่ ้องการและได้ยินเสียง เหมือนการเปิดฟังวิทยุ ขณะเดียวกันก็มีการส่งกระจายภาพวีดิทศั น์บนเครือข่ายด้วย แต่ปัญหายังอยูท่ ี่ความเรว็ ของเครือขา่ ยท่ียังไม่สามารถรองรับการสง่ ขอ้ มูลจำนวนมาก ทำใหค้ ุณภาพของภาพวดี ทิ ศั นย์ งั ไม่ดเี ทา่ ท่ีควร นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพิวเตอร์ 3 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 สัปดาห์ท่ี 14 ใบงานท่ี 18 หนว่ ยที่ 4 อินเทอร์เน็ต ชอื่ ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นบอกขอดแี ละขอเสียจากการใช้งานอินเทอรเ์ น็ต ขอ้ ดกี ารใช้งานอินเทอรเ์ น็ต 1 2 3 4 5 ข้อเสยี การใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ต 1 2 3 4 5 นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 19 จริยธรรมในการใช้งานอินเทอร์เนต็ จรยิ ธรรม (Ethics) ในการใช้งานอนิ เทอร์เน็ตคือ หลักศลี ธรรมจรรยาท่ีกําหนดขน้ึ เพ่ือใช้เป็นเเนวปฏิบัติ หรอื ควบคุมการใช้งานอนิ เทอร์เนต็ ซงึ่ เป็นหลกั เกณฑท์ ป่ี ระชาชนใชใ้ นการตดั สินใจเพพอ่ื กระทาํ ในสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งเเละ หลีกเลีย่ งการกระทําความผิดต่อผอู้ นื่ ผ้ใู ช้ควรระมดั ระวังเเละปฏบิ ตั ติ ามคาํ แนะนาํ ในดา้ นต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี เลย 1.ดา้ นมารยาท ผู้ใชง้ านนนั้ ควรระลึกเสมอว่าผใู้ ช้อนิ เทอร์เน็ตเปน็ มนษุ ยม์ คี วามรสู้ กึ ต่างๆเหมือกับตน ผ้ใู ช้จึงควร ยดึ ถอื มารยาทในการปฏิบัตใิ นการดําเนินชวี ติ เช่น - ควรศึกษาเเละปฏบิ ตั ิตามกฎ กตกิ า มารยาทในการใชเ้ ว็บต่างๆ ตามที่ผุ้ใหบ้ รกิ ารกาํ หนดไว้ - ควรคํานึงถึงคุณภาพของข้อมลู ที่จะอัปโหลดไปไว้บนอินเทอร์เน็ตว่ามปี ระโยชน์หรือไม่ อยา่ งไร - ควรใช้อินเทอร์เน้ตให้เกิดประโยชน์มากกว่าการทาํ ให้เกิดความเสียหายตอ่ ตนองเเละผอู้ ื่น - ควรใชอ้ ินเตอรเ์ นต็ อย่างคุม้ คา่ เเละประหยัดเวลา - ควรมคี วามร้ใู นเรอื่ งท่เี เสดงความคิดเห็นเเละเเสดงความคดิ เหน็ อยา่ งเป็นกลาง - ไม่ควรเเอบอา้ งหรือนาํ ขอ้ มลู ของผู้อ่ืนมาใช้ก่อนได้รับอนุญาติ และหากนาํ ข้อมลู ของผอู้ น่ื มากค็ วรมี อา้ งอิงหรืระบขุ ้ออยา่ งชัดเจน - ไมโ่ กหก ไมห่ ลอกลวง ไม่หวังผลกําไร และไม่ใส่รา้ ยผอู้ ่ืน - ไม่สง่ เสริมการกระทาํ ความผิดใดๆบนอินเทอร์เน็ต - ไมส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ กิดความเเตกเเยกหรอื ทะเลาะกันบนอนิ เทอร์เนต็ - ไมใ่ ช้อนิ เทอร์เนต็ เป็นช่องทางในการทดลองความรู้ในทางทีผ่ ิด - ไมน่ ําเร่อื งของผูอ้ น่ื มาเปน็ หวั ข้อในการสนทนาทางอนิ เทอร์เน็ต - ไมส่ ร้างความเดือดร้อนหรือความลําคาญใหเ้ เกผ้ ู้อน่ื เช่น การโฆษณา 2.ด้านภาษา ภาษาทางอนิ เทอร์เนต็ เเบง่ เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ภาษาเเรก คอื ภาษาท้องถนิ่ ภาษาที่ สอง คอื ภาษาองั กฤษ ตงั อยา่ งหลกั การใช้ภาษาในอนิ เทอร์เน็ตเช่น - พมิ พ์ภาษาใหถ้ ูกตอ้ งทั้งในดา้ นตวั สะกดเเละรูปแบบ นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 - ใชภ้ าษาที่สภุ าพเเละใช้ให้ถูกตอ้ งตามกาละเทศะ - ไม่ใชภ้ าษาที่ก่อใหเ้ กิดความเข้าใจผดิ ในการสือ่ ความหมาย หรอื ความหมายกํากวมไม่หมาะสม - ควรเลือกใชภ้ าษาทส่ี ั้น ชัดเจน เเละกะทัดรัด - ก่อนการสง่ ข้อมูลผใู้ ช้ควรอา่ นทบทวนข้อมลู หรือข้อความท่ตี อ้ งการสง่ ก่อนลิส่งข้อมูลนั้น 3.ด้านความปลอดภัย เน่ืองจากอนิ เทอร์เน็ตเปน็ เครอื ขา่ ขนาดใหญท่ ม่ี ีผูใ้ ช้หลากหลาย ส่งผลใหอ้ ินเทอร์เนต็ เปน็ ช่องทางในการกอ่ อาชญากรรมหรือการกระทาํ ผดิ กฎหมายตา่ งๆ ตัวอย่างการใชง้ านอินเทอร์เน็ตเพ่ือให้เกดิ ความ ปลอดภยั เชน่ - ควรระลกึ ไวเ้ สมอว่าไม่มีความลับในอินเทอรเ์ นต็ ขอ้ มลู ทกุ อย่างมีการเช่อื มต่อผ่านเครอ่ื ข่ายคอมพิวเตอร์ ไปไม่มที ่ีสน้ิ สดุ - ผ้ใู ช้อินเทอรเ์ นต็ ทุกคนสมทารถแสดงขอ้ มูลใดๆกไ็ ด้ ดังน้นั ขอ้ มูลท่ีเเสดงอาจไม่ใช้ข้อมลู จรงิ - ควรตรวจสอบเวบ็ ไซต์หรอื ไฟลข์ ้อมูลก่อนอัปโหลดเเละดวนโ์ หลด ข้อมูลนั้นทุกครั้งก่อนใชง้ าน เพื่กนั ไวรสั เข้าคอมพวิ เตอร์ - ไมเ่ ปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนเองหรอื ผอู้ ่ืน เช่น หมายเลขบตั รประชาชน - ไมห่ ลงเช่อื ขอ้ ความหรอื ขอ้ มลู ของผอู้ ืน่ ที่ไม่มีเเหล่งขอ้ มลู ท่ชี ัดเจน - ไมเ่ ปดิ หรอื ดาวน์โหลดเวบ็ ไซต์ท่สี ่งมาจากเเหลง่ ข้อมลู ทีไ่ มน่ า่ เช่อื ถือ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพวิ เตอร์ 3 ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 สัปดาห์ท่ี 15 ใบงานท่ี 19 หนว่ ยท่ี 4 อินเทอรเ์ น็ต ชอ่ื ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... คำชีแ้ จง ให้นกั เรยี นเขียนแผนฝงั ความคิด จรยิ ธรรมในการใชง้ านอินเทอรเ์ นต็ จริยธรรมในการใช้ งานอินเทอรเ์ น็ต นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 ใบความรู้ ที่ 20 ความหมายและองค์ประกอบของการสอ่ื สารข้อมลู การสื่อสารข้อมลู (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกนั ระหว่างผูส้ ง่ และผูร้ บั โดยผา่ นชอ่ งทางสื่อสาร เช่น อุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ หรอื คอมพิวเตอรเ์ ป็นตัวกลางในการส่ง ขอ้ มูล เพื่อให้ผู้สง่ และผูร้ ับเกิดความเข้าใจซึง่ กนั และกนั เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer Network ) คอื ระบบท่ีมีคอมพิวเตอร์อย่างนอ้ ยสองเครื่องเช่ือมต่อ กันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง สามารถแลกเปล่ยี นข้อมูลซ่งึ กนั และได้และใช้ทรพั ยากรท่อี ยู่ในเครอื ข่ายร่วมกันได้ และทำใหป้ ระหยดั ค่าใช้จ่ายได้ เปน็ จำนวนมาก องค์ประกอบของการสอื่ สารขอ้ มูล 1. ผู้สง่ (Sender) เป็นอปุ กรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร (Message) เป็นตน้ ทางของการส่ือสารข้อมูลมีหน้าท่ี เตรียมสรา้ งข้อมลู เชน่ ผพู้ ูด โทรทัศน์ กลอ้ งวิดีโอ เปน็ ตน้ 2. ผรู้ บั (Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร มหี นา้ ทร่ี ับข้อมลู ท่ีสง่ มาให้ เชน่ ผู้ฟงั เคร่ืองรับโทรทัศน์ เคร่อื งพิมพ์ เป็นต้น 3. สื่อกลาง (Medium) หรือตัวกลาง เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สอื่ สง่ ข้อมูลอาจเป็นสายคู่บดิ เกลยี ว สายโคแอกเชียล สายใยแกว้ นำแสง หรอื คล่ืนที่ส่งผ่านทางอากาศ เชน่ เลเซอร์ คลนื่ ไมโครเวฟ คล่นื วทิ ยภุ าคพนื้ ดนิ หรือคล่ืนวิทยุผ่านดาวเทียม 4. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกวา่ สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดงั นี้ 4.1 ขอ้ ความ (Text) ใชแ้ ทนตวั อกั ขระตา่ ง ๆ ซง่ึ จะแทนดว้ ยรหัสตา่ ง ๆ เชน่ รหัสแอสกี เปน็ ตน้ 4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็น เลขฐานสองโดยตรง นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 4.3 รูปภาพ (Images) ขอ้ มูลของรูปภาพจะแทนดว้ ยจุดสีเรยี งกันไปตามขนาดของรปู ภาพ 4.4 เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงจะแตกต่างจากข้อความ ตัวเลข และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็น สัญญาณต่อเน่ืองกันไป 4.5 วิดีโอ (Video) ใช้แสดงภาพเคลอื่ นไหว ซ่ึงเกิดจากการรวมกนั ของรปู ภาพหลาย ๆ รปู 5. โปรโตคอล (Protocol) คือ วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่ง สามารถเข้าใจกันหรือคุยกันรู้เรือ่ ง โดยทั้งสองฝัง่ ทั้งผูร้ ับและผูส้ ่งได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ในคอมพิวเตอร์ โปรโตคอลอยู่ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงาน ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมท่ี กำหนดไว้ ตัวอยา่ งเช่น X.25, SDLC, HDLC, และ TCP/IP เป็นตน้ คณุ สมบตั ิพนื้ ฐาน 3 ประการของการสอื่ สารขอ้ มูล (Three Fundamental Char Characteristics) เมอื่ การส่อื สารข้อมลู ไดเ้ กดิ ข้นึ อปุ กรณ์การสื่อสารจะต้องถอื เป็นสว่ นหนงึ่ ของระบบการส่ือสาร ดว้ ยการ รวมส่วนของฮารแ์ วรแ์ ละซอฟต์แวร์เขา้ ไว้ดว้ ยกันเพือ่ ใหส้ ามารถทำการสื่อสารได้ ผลของระบบการสื่อสารข้อมูลจะ ข้นึ อยูก่ บั คณุ สมบตั พิ ื้นฐาน 3 ประการด้วยกัน คือ 1. การส่งมอบ (Delivery) ระบบจะต้องสามารถส่งมอบข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ข้อมลู ทส่ี ง่ ไปจะต้องไปยังอุปกรณต์ ามจดุ หมายท่ีตอ้ งการ ซงึ่ อาจเปน็ ยูสเซอร์หรืออปุ กรณก์ ไ็ ด้ 2. ความถูกต้องแน่นอน (Accuracy) ระบบจะต้องส่งมอบข้อมูลได้ถูกต้องและแน่นอน อีกทั้งยังต้อง สามารถส่งสญั ญาณเตือนใหร้ ับทราบในกรณีทกี่ ารส่งข้อมูลในขณะนน้ั ไม่ถกู ตอ้ ง สญู หาย หรือไม่สามารถใชง้ านได้ 3. ระยะเวลา (Timeliness) ระบบจะต้องส่งหมอบขอ้ มลู ในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสม เช่น ในบางระบบ เวลา อาจไม่ใช่สาระสำคัญมากนัก หากเกดิ ความล่าช้าในข้อมูลท่สี ่งก็อาจยอมรับได้ โดยขอให้ขอ้ มลู ไปถึงปลายทางก็ถือ ว่าเพียงพอ แต่ในขณะที่บางระบบโดยเฉพาะระบบเรียลไทม์ (Real-Time Transmission) ซึ่งระบบดังกล่าว จำเป็นต้องใช้เวลาที่ตอบสนองแบบทันทีทันใด จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์และสื่อส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูง เพื่อให้ สามารถส่งขอ้ มูลไปยงั จุดหมายปลายทางได้ทนั ที หากเกิดการหนว่ งเวลาเวลาหรือความล่าชา้ ในระยะเวลาที่จัดส่ง ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ดังนั้นความหมายของระยะเวลาที่เหมาะสม จึงหมายถึงข้อมูลที่ส่งไปยังจุดหมาย ปลายทางในระยะเวลาหน่ึง ๆ ทีส่ ามารถนำไปใช้เพ่ือกอ่ ให้เกิดประโยชน์ โดยปราศจากนัยสำคญั ว่าเกิดการหน่วง เวลา นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพิวเตอร์ 3 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 สปั ดาห์ที่ 15 ใบงานท่ี 20 หนว่ ยท่ี 4 การสือ่ สารขอ้ มูล ชือ่ ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... คำช้ีแจง ให้นักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปนใี้ ห้ถกู ต้อง 1. การส่ือสารขอ้ มูล (Data Communications) หมายถึง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network ) คือ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล มีอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. คุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการของการสื่อสารข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 ใบความรู้ ที่ 21 การส่อื สารโทรคมนาคม คำว่า \"การส่อื สารขอ้ มูล\" และ \"การส่ือสารโทรคมนาคม \" มกั นำมาใช้รว่ มกันเสมอ โดยคำวา่ Tele มาจาก รากศัพท์ในภาษากรีก ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษวา่ far ที่หมายความว่าไกล ส่วนคำว่า Communication หมายถึง การสื่อสาร ดงั น้นั Telecommunication ซง่ึ ตรงกบั ภาษาไทยวา่ การสอื่ สารโทรคมนาคมนัน้ จึงหมายถงึ การสอื่ สาร ระยะไกล โดย มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื แลกเปลีย่ นสารสนเทศ การส่ือสารโทรคมนาคม -โทรสาร ( Facsimile ) เครื่องโทรสารมักเรียกสั้น ๆ ว่า แฟกซ์ ใช้เทคนิคของแสงสแกนลงบนเอกสาร ต้นฉบบั ทสี่ ามารถเป็นได้ท้ังขอ้ ความและภาพ จากนั้นก็จะเปลย่ี นเปน็ สัญญาณไฟฟ้าเพอ่ื ส่งตอ่ ไปตามสายโทรศัพท์ เมื่อเครื่องฝ่ายผู้รับได้รับข้อมูลที่ส่งมา ก็จะนำข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้านั้นมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่เหมือนกับ ตน้ ฉบับ -โทรศัพท์ ( Telephone ) เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นอย่างสูง ซึ่งมักมีใช้งานตามบ้านเรือนเกือบทุก ครวั เรือน ในปัจจุบนั ชุมสานโทรศัพทน์ ้นั ไดม้ กี ารพัฒนาและเปลี่ยนมาเปน็ รปู แบบของสัญญาณดิจิตอลในบางพ้ืนที่ มากขึ้นตามลำดับ เพื่อรองรบั การสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง การใช้ชุมสายโทรศัพท์ในการสื่อสารนัน้ ราคาถูกและ เปน็ ท่ีนยิ ม ตวั อยา่ งเชน่ การใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็ ตามบา้ นเรอื นตา่ ง ๆ ด้วยการใชค้ อมพิวเตอร์เช่ือมตอ่ กับโมเด็ม ซ่ึง บางบริษัทที่บริการอินเทอร์เน็ตก็ยังคงรูปแบบการบริการแบบแอนะล็อกกบั แบบดิจิตอลความเร็วสูง โดยระบบ ดิจิตอลจะมีช่องสัญญาณหรือแบนด์วิดธ์ที่กว้างกว่า ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วโดยเฉพาะข้อมูลในรูปแบบ ของสื่อประสมหรือมลั ติมเี ดีย อีกท้ังในขณะท่ใี ชง้ านก็ยงั สามารถใชง้ านโทรศัพทไ์ ด้อีกดว้ ย เนอ่ื งจากใช้ชอ่ งความถี่ที่ ต่างกันในการสอ่ื สาร ในขณะทร่ี ปู แบบเดิมหรือแบบแอนะล็อกนน้ั เมือ่ ใชง้ านอินเทอร์เน็ตอยู่ก็จะไมส่ ามารถใช้งาน โทรศัพท์ได้ - โทรทัศน์ ( Television ) เป็นระบบทีใ่ ช้ในการแพร่ภาพกระจายในยา่ นความถ่ีสูง เช่น ที่ย่านความถี่สงู หรอื ยา่ นความถ่ีสงู มาก ซงึ่ เปน็ ยา่ นความถี่ท่ใี ช้สำหรับกิจการทางโทรทัศน์ ในอดตี การแพร่ภาพทางโทรทัศน์มักจะ ประสบกับปัญหากับพื้นที่รับสัญญาณ เช่น ตามจังหวัดที่ห่างไกล แต่ในปัจจุบันได้มีการตั้งสถานีทวนสัญญาณ โทรทัศน์ตามพืน้ ที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนตามจังหวัดต่าง ๆ สามารถรับชมการแพร่ภาพโทรทศั น์ได้ ปจั จุบนั การส่งสญั ญาณโทรทศั น์ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ระบบดว้ ยกนั คอื ระบบออกอาการท่ัวไป และอกี ระบบอีก หนึ่ง คือ ระบบเคเบิลทีวี ซึ่งระบบนี้จำเป็นต้องสมัครสมาชิกและต้องเสียค่าบริการรายเดือน โดยจะมีเสารับ สัญญาณที่แตกต่างกันกับเสาอากาศของโทรทัศน์ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีหนึ่งเรียกว่า Video on Demand ซง่ึ เปน็ ระบบโทรทัศนท์ ีผ่ ู้ชมสามารถเป็นผ้เู ลือกชมรายการได้ด้วยตนเอง นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 วิทยุกระจายเสียง (Radio) เป็นการสื่อสารที่อาศัยคลื่นวิทยุด้วยการส่งคลื่นไปยังอากาศเพื่อเข้าไปยัง เคร่อื งรบั วทิ ยุ โดยใช้เทคนคิ การกล้ำสัญญาน หรือเรียกว่าการมอดเู ลต (Modulate) การด้วยการรวมกบั คล่ืนเสียง ท่ีเปน็ ไฟฟ้าความถีเ่ สยี งรวมกัน ทำใหก้ ารสื่อสารดว้ ยวทิ ยกุ ระจายเสียงนนั้ ไม่จำเปน็ ต้องใช้สาย อีกทงั้ ยังสามารถส่ง คลื่นไดใ้ นระยะทางท่ีไกลออกไปได้ตามประเภทของคล่นื นน้ั ๆ -ไมโครเวฟ (Microwave) ไมโครเวฟเป็นคลื่นวิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่ระดับกิกะเฮิรตซ์ (GHz) และ เน่ืองจากความยาวของคลน่ื มีหนว่ ยวัดเป็นไมโครเมตร จงึ เรียกวา่ ไมโครเวฟนั่นเอง คลน่ื ไมโครเวฟเป็นคลื่นเส้นตรง ในระดับสายตา ซง่ึ หากลกั ษณะภมู ปิ ระเทศมีภเู ขาหรือตึกสงู บดบงั คล่นื แล้ว จะทำใหไ้ มส่ ามารถส่งสัญญาณไปยังที่ หมายได้ ดังน้ันจงึ จำเป็นต้องมกี ารตดิ ตงั้ จานรับสง่ บนยอดตึกหรือยอดเขา เพอ่ื ให้สญั ญานส่งทอดต่อไปอกี ได้ -ดาวเทียม (Satellite) เนอ่ื งจากคลื่นไมโครเวฟมีข้อจำกดั ในเรอื่ งของลกั ษณะภูมิประเทศทม่ี ีผลต่อการบด บังคลื่น ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาดาวเทียม โดยความเป็นจริงแล้ว ดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟนั่งเอง แต่เป็น สถานีไมโครเวฟที่ลอยอยู่บนเหนือพื้นผิวโลก มีลักษณะเป็นจานขนาดใหญ่โคจรห่างจากพื้นโลก ประมาณ 22,300 ไมล์ ทำให้สามารถติดต่อสถานีภาคพื้นดินที่อยู่บนพื้นโลกได้ เราสามารถส่งดาวเทียมท่ี เรยี กวา่ Grostationary ซง่ึ เปน็ ดาวเทยี มหมนุ โคจรด้วยความเรว็ เท่ากับโลก ทำใหด้ เู หมอื นกับไม่มีเคลอ่ื นไหว และ ด้วยการนำดาวเทียมดังกล่าวขึ้นไปโคจรเหนือพื้นผิวโลกเพียง 3 ดวง ก็สามารถครอบคลุมการสื่อสารได้ทุกหมนุ โลก โดยดาวเทียมดวงหนึ่งสง่ สญั ญาณในบริเวณกว้างเท่ากับ 1 ใน 3 ของโลก (120 องศา) ดงั น้นั ดาวเทยี ม 3 ดวง กค็ รอบคลุมบรเิ วณพนื้ โลกไดท้ ัง้ หมด (360 องศา) สว่ นการส่อื สารสามารถส่งสัญญาณแบบขาขน้ึ (Uplink) ซงึ่ เป็น การส่งสญั ญาณจากสถานีพ้ืนดนิ ไปยงั ดาวเทียม และการสง่ สญั ญาณแบบขาลง(Downlink) ซึง่ เป็นการส่งสัญญาณ จากดาวเทียมมายงั สถานภี าคพนื้ ดนิ และด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมในอนาคตก็จะสามารถสื่อสารได้ทง้ั สองทาง ไม่ วา่ จะเปน็ แบบขาขนึ้ หรือขาลงในขณะเดยี วกนั ประโยชน์ของระบบเครอื ข่าย - ใช้ทรพั ยาการ่วมกัน - ชว่ ยลดตน้ ทนุ - เพิ่มความสะดวกในการสื่อสาร - ความน่าเชื่อถือและความปลอดถยั ระบบเครือขา่ ยในชีวติ ประจำวัน ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ปัจจบุ ัไดน้ ำเข้าไปประยกุ ใช้ในงานด้านต่างๆ งานธรุ กิจ เช่น บริษทั ร้านค้า ห้างสรรพสนิ คา้ ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใชค้ อมพิวเตอร์ในการทำบญั ชี งาน ประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้ คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่นโรงงานประกอบ รถยนต์ ซงึ่ ทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขน้ึ บรษิ ัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ท่ใี หบ้ รกิ ารถอนเงินผ่านตู้ฝากถอน นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 เงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คดิ ดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกัน เป็นระบบเครอื ข่าย งานวทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการ คำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองาน ทะเบียน การเงิน สถติ ิ และเปน็ อปุ กรณส์ ำหรบั การตรวจรกั ษาโรคได้ ซึ่งจะใหผ้ ลทแ่ี ม่นยำกว่าการตรวจดว้ ยวิธีเคมี แบบเดมิ และให้การรกั ษาได้รวดเรว็ ข้ึน งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมี การเช่อื มโยงไปยงั ทุกสถานีหรอื ทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผ้เู ดินทางท่ีไม่ตอ้ งเสียเวลารอ อีกทง้ั ยังใช้ในการ ควบคมุ ระบบการจราจร เช่น ไฟสญั ญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสอ่ื สารก็ใชค้ วบคมุ วงโคจร ของดาวเทยี มเพือ่ ให้อยใู่ นวงโคจร ซ่งึ จะชว่ ยสง่ ผลตอ่ การสง่ สญั ญาณให้ระบบการสือ่ สารมคี วามชัดเจน งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกร สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทอื นของอาคารเม่ือเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณ และแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคมุ และติดตามความก้าวหนา้ ของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ บทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่าน คอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่าย Internet เพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบัน ตา่ งๆ กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเกบ็ ภาษี บนั ทึกการเสียภาษี เปน็ ตน้ การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพวิ เตอร์ทางดา้ นการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอน ในลกั ษณะบทเรียน CAI หรอื งานดา้ นทะเบียน ซึ่งทำใหส้ ะดวกตอ่ การค้นหาขอ้ มูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและ การส่งคืนหนงั สอื ห้องสมดุ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพวิ เตอร์ 3 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 สปั ดาห์ที่ 16 ใบงานท่ี 21 หน่วยที่ 4 การสือ่ สารขอ้ มูล ชื่อ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... คำชีแ้ จงใหน้ กั เรียนตอบคำถามต่อไปน้ี 1. ให้นักเรียนบอกชื่ออุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการสอื่ สารพร้อมทงั้ บอกหนา้ ที่ของอุปกรณ์นั้นๆ 1. ……………………………..หนา้ ท่ี……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ……………………………..หนา้ ที่……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ……………………………..หนา้ ท่ี……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ……………………………..หน้าที่……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. ……………………………..หนา้ ท่ี……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 6. ……………………………..หน้าท่ี……………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2 ประโยชน์ของการส่อื สารมอี ะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ที่ 22 พัฒนาการของการส่อื สารข้อมูล ธรรมชาติของมนษุ ย์ต้องการอยู่รวมกันเปน็ กลมุ่ เพ่อื ดำเนินกิจกรรมตา่ งๆ รว่ มกนั ทำให้มกี ารตดิ ตอ่ ส่ือสาร ระหว่างกัน ทำงานสร้างสรรค์สังคมเพื่อให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากการดำเนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้าน ครอบครัว ด้านการทำงาน ตลอดจนสังคมและการเมืองทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูล ขา่ วสารระหว่างกันได้ เมื่อมนุษย์มีความจะเปน็ ทต่ี อ้ งมกี ารติดตอ่ สือ่ สารระหวา่ งกนั จึงมีการพัฒนาการหลายด้านท่ี ตอบสนองเพอ่ื ใหใ้ ช้งานไดต้ ามความตอ้ งการ เชน่ 1.1 การสื่อสารด้วยรหัส จากอดีตกาล การสื่อสารต้องอาศัยคนนำสาร มีการถือเอกสารจากบุคคลหนึ่ง เดินทางส่งต่อให้กับผู้รับปลายทาง ต่อมามีการสร้างรหัสเฉพาะเพื่อรับรู้กันเฉพาะผู้รับและผู้ส่ง จนเมื่อปี พ.ศ. 2379 แซมมวล มอร์ส (Samuel Morse) สามารถส่งรหสั ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วย คลื่นวิทยุ เรียกวา่ รหัส มอร์ส ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้จุดและขีดเป็นสัญลักษณ์ในการส่งวิทยุ ทำให้เกิดการสื่อสารระยะไกล และในเวลา ต่อมาสามารถขยายผลไปใช้ในกิจกรรมวิทยุ และโทรทศั น์ นอกจากนรี้ หัส มอรส์ ยังใชใ้ นการสอ่ื สารด้วยโทรเลข เป็นระยะเวลานาน 1.2 การสื่อสารด้วยสายตัวนำ ในปี พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบล (Alexander Graham Bell) ไดป้ ระดิษฐ์ โทรศพั ท์เพือ่ การสือ่ สารดว้ ยเสยี งผ่ายทางสายตวั นำทองแดง พัฒนาการเทคโนโลยีนี้ได้ก้าวหน้า ขึ้นเป็นลำดับ จากเริ่มต้นใช้การสลับสารด้วยคน ต่อมาใช้ระบบการสลับสายแบบอัตโนมัติ ได้พัฒนาและใช้ ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันโครงข่ายตัวนำที่ใช้ในระบบโทรศัพท์เป็นโครงขา่ ยดิจิทัลจึงทำให้การส่งข้อมูล สามารถใชร้ ่วมกับแบบอ่ืนร่วมได้ นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 1.3 การส่ือสารโดยใช้คอมพวิ เตอร์ การพัฒนาการทางด้านคอมพวิ เตอร์เรม่ิ จากมกี ารประมวลผลแบบรวม ศูนย์ (centralized processing) เช่น ใช้เครื่องมินิคอมพวิ เตอร์ หรือเครื่องเมนแฟรม เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ ข่าย (host) โดยเป็นศูนย์กลางให้ผู้ใช้ใช้งานได้หลายคนพร้อมกัน แต่ละคนเปรียบเสมือนเป็นสถานีปลายทางท่ี เรยี กใช้ทรัพยากร หรอื การคำนวณจากศูนยก์ ลางและให้ คอมพิวเตอร์ตอบสนองตอ่ การทำงานน้นั โทรศัพท์ในยุค แรก ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้งานส่วนบุคคล จนเรียกเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์ว่า พซี ี (Personal Computer : PC) การใชไ้ มโครคอมพวิ เตอร์แพร่หลายอยา่ งรวดเร็ว เพราะ ใช้งานง่าย ราคาไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ง่าย เมื่อมีการใช้งานกันมากบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ ปรับปรงุ และพฒั นาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการท่ีสามารถทำงานร่วมกันเปน็ กลมุ่ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงเป็นวิธกี ารหนึ่งและกำลังได้รับความนิยมสงู มาก โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพราะสามารถตอบสนองได้ ตรงตามความต้องการในการติดตอ่ ส่ือสารขอ้ มูลระหว่างกันได้สะดวกและมกี ารประยุกต์ใชง้ านได้กวา้ งขวาง เช่น การใชไ้ ปรษณยี อ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ การโอนยา้ ยแฟ้มขอ้ มลู การสืบค้นและเรยี กดูขา่ ว ผา่ นระบบเวบ็ การพูดคุย และส่ง ขอ้ ความถงึ กนั เป็นต้น 1.4 การส่อื สารโดยใช้ดาวเทยี ม ดาวเทียมไดร้ บั การสง่ ใหโ้ คจรรอบโลกโดยมีเครอื่ งถ่ายทอดสัญญาณติดไป ดว้ ยการเคลือ่ นที่ของดาวเทยี มท่ีเคลื่อนไปพร้อมกบั การหมนุ ของโลกทำให้คนบนพน้ื โลกเห็นดาวเทียมอยู่คงที่ การ ส่อื สารผ่านดาวเทียมทำได้โดยสถานภี าคพื้นดนิ ทตี่ ้องการสอื่ สารจะสง่ ขอ้ มูลมาทีด่ าวเทยี ม และดาวก็จะส่งข้องมูล ต่อไปยงั สถานีภาคพ้นื ดินปลายทางแหง่ หนงึ่ หรือหลายแหง่ ก็ได้ การับสญั ญาณจะครอบคลุมพน้ื ท่ีที่ดาวเทียมโคจร อยู่ซึ่งจะมีบริเวณกว้างมากทำให้ไม่มีอปุ สรรคทางด้านภูมิศาสตรแ์ ละเหมาะกับพน้ื ที่ทไ่ี ม่สามารถติดตง้ั สายได้ เช่น แนวเขาบงั สัญญาณ หรอื เกาะทอี่ ยกู่ ลางทะเล เปน็ ตน้ สถานภี าคพืน้ ดินปลายทาง 1.5 การสื่อสารด้วยระบบไร้สาย การสื่อสารผ่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กำลังได้รับความนิยมเพราะโทรศัพท์ แบบ เคล่อื นทีม่ คี วามสะดวก คลอ่ งตวั การสอื่ สารแบบน้ใี ชค้ ลนื่ สญั ญาณวิทยุ โดยผใู้ ช้จะติดตอ่ กบั ศนู ย์กลางสถานี รับส่ง การสื่อสารวิธีนี้มกี ารวางเป็นเซลครอบพ้ืนทีต่ ่างๆ ไว้ จึงเรียกระบบโทรศัพท์ ไร้สายแบบนี้ว่า เซลลูลาร์ โฟน (cellular phone) พัฒนาการของระบบไร้สายยงั ได้รบั การนำมาประยกุ ต์ใช้ในดา้ นต่างๆ อกี หลายอย่าง เช่น ในระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรห์ รอื ที่เรยี กวา่ แลนไรส้ าย และระบบการสง่ ข้อความ (paging) เปน็ ต้น นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวชิ าคอมพิวเตอร์ 3 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 สัปดาห์ท่ี 16 ใบงานที่ 22 หน่วยที่ 4 การสอ่ื สารขอ้ มูล ชื่อ............................................................................นามสกลุ ...................................................เลขที่...... คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเขยี นแผนฝงั การพัฒนาการสอ่ื สารตง้ั แตอ่ ดตี ถงึ ปัจจุบนั นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 ใบความรู้ ท่ี 23 เทคโนโลยีการสื่อสาร การสื่อสาร หรือ การสื่อความหมาย (Communication) เป็นคำที่รากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า \"communius\" หมายถึง \"พร้อมกัน\" หรือ \"ร่วมกัน\" (common) หมายความว่า เมื่อมีการสื่อสารระหว่างกัน เกิดข้นึ คนเราพยายามท่ีจะสรา้ ง \"ความพร้อมกันหรอื ความร่วมกนั \" ทางดา้ นความคิดเร่อื งราวเหตกุ ารณ์ ทัศนคติ ฯลฯ กบั บคุ คลท่เี รากำลงั สื่อสารด้วยนั้น ดังน้ัน การสือ่ สารจงึ หมายถึง การถ่ายทอดเร่ืองราว การแลกเปล่ียนความ คิดเห็น การแสดงออกของความคิดและความรู้สึก ตลอดรวมไปถึง \"ระบบ\" (เช่น ระบบโทรศัพท์) เพื่อการ ติดต่อสื่อสารข้อมูลซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ การสื่อสารยังเป็นการที่บุคคลในสังคมมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันโดย ผ่านทางขอ้ มูลข่าวสาร สัญลักษณต์ ลอดจนเครื่องหมายต่าง ๆ ดว้ ย เทคโนโลยี มีความหมายคอ่ นขา้ งกว้าง โดยทว่ั ไปหมายถงึ สง่ิ ทม่ี นุษย์พฒั นาขน้ึ เพอื่ ชว่ ยในการทำงานหรือ แก้ปัญหาต่าง ๆ เข่น อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ หรือ แม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น กระบวนการต่าง ๆ เทคโนโลยี เป็นการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ ในทางเศรษฐศาสตร์ มอง เทคโนโลยีว่า เป็นความรู้ของมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ในการนำเอาทรัพยากรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑท์ ี่ต้องการ (รวมถึง ความรู้ว่าเราสามารถผลิตอะไรไดบ้ ้าง) ดงั นัน้ การเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยี จะเกิดข้นึ เมอ่ื ความรทู้ างเทคนิคของ เราเพิ่มข้ึน คำว่า “เทคโนโลยี” มคี วามสัมพันธ์กับการดำรงชวี ิตของมนษุ ย์มาเปน็ เวลานาน เปน็ สง่ิ ที่มนษุ ย์ใช้แก้ปัญหา พื้นฐาน ในการดำรงชีวิต เช่น การเพาะปลูก ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยีที่ นำมาใช้ เป็น เทคโนโลยีพื้นฐานไม่สลับซับซ้อนเหมือนดังปัจจุบัน การเพิ่มของประชากร และข้อจำกัดด้าน ทรพั ยากรธรรมชาติ รวมทง้ั มีการพฒั นาความสัมพนั ธ์กบั ตา่ งประเทศเป็นปจั จยั ด้านเหตสุ ำคัญในการนำและพัฒนา เทคโนโลยมี าใช้มากขนึ้ เทคโนโลยีกบั วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตรก์ บั เทคโนโลยีมคี วามสัมพันธ์กนั มาก เทคโนโลยเี กิด จากพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์รองรับประเทศตะวันตก ได้ศึกษาคน้ ควา้ ทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์มาอย่างต่อเน่ือง ทำ ให้การพัฒนาเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยหลักสำคัญคือ ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์คือการพยายามท่ี อธิบายว่าทำไมจึงเกิดอย่างนั้น (Why) เช่น นักฟิสิกส์ อธิบายว่า เมื่อขดลวดตัดสนามแม่เหล็กจะได้กระแสไฟฟา้ และนำ้ เกดิ จากไฮโดรเจนผสมกับออกซเิ จนเปน็ ตน้ เทคโนโลยีการสื่อสาร จึงหมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โดยการถ่ายทอด รับรู้ข่าวสารร่วมกัน ผ่านเครื่องมือเหล่านัน้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปน็ เครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักร วัสดุ เพียงอย่าง เดยี ว อาจหมายรวมถึงกระบวนการตา่ ง ทเ่ี กิดจากการประยกุ ต์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย การส่ือสารมีการพัฒนามาเร่ือยๆ จากภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ สเู่ ทคโนโลยกี ารสื่อสารในปัจจบุ ันซึง่ มปี ระสิทธิภาพ มากยงิ่ ขนึ้ และแนวโน้มในการพฒั นาเทคโนโลยีการสอ่ื สารจะขยายออกไปเรื่อยๆ เปน็ เครือข่ายการสอ่ื สารไร้สาย นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) คือเทคโนโลยีดิจิตัล (Digital Technology) ประเภทหนึ่งซึ่งได้พัฒนาตัวเพื่อเอื้อต่อการจัดการ “การสื่อสาร(Communication)” หรือ “การขนส่งข่าวสาร (Transfer of Information)” เทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภาพ (Image) เสียง (Voice) หรือ ทางด้านข้อมูล (Data) ได้รับการพัฒนาจนมนุษย์ สามารถเชื่อมโยงติดต่อกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และเป็น เครือข่ายที่ติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก เป็นยุคของสารสนเทศ (Information Age) และเป็นสังคมสาร- สนเทศ (Information Society) ทน่ี บั วนั จะมีอัตราการเตบิ โตขึ้นทกุ ที่ทง้ั ในด้านขนาดและปริมาณข่าวสารท่ไี หลเวยี นอยู่ใน สังคม หมายถงึ เทคโนโลยีในการส่อื สารยคุ ใหม่ 4 กลมุ่ ไดแ้ ก่ 1. เทคโนโลยกี ารแพร่ภาพและเสยี ง (Broadcast and Motion Picture Technology) 2. เทคโนโลยีการพมิ พ์ (Print and Publishing Technology) 3. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computer Technology) 4. เทคโนโลยสี ่ือสารโทรคมนาคม (Telecommunication Technology) บทบาทของเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ ดาวเทียมเพื่อการ สื่อสาร โครงข่าย โทรศัพท์ อุปกรณ์ ภาพและเสียง มีผลกระทบต่อ \"สื่อแบบดั้งเดิม\" (Traditional Media) ซ่ึง ได้แก่หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทำให้ เกิดสิ่งที่เรียกว่า \" การปฏิวัติแห่งระบบ ตวั เลข\" (Digital Revolution) ทำใหข้ อ้ มลู ขา่ วสารไมว่ า่ จะอยู่ในรูปลักษณ์ใด เช่น ขอ้ ความเสยี งภาพเคลื่อนไหว รูปภาพ หรืองาน กราฟิก ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เปน็ ภาษาอกี ชนิดหน่ึงเป็นรูปแบบเดียวกันท้งั หมด คือสามารถ อ่านและสง่ ผา่ นได้อยา่ งรวดเร็วดว้ ยเคร่อื งคอมพิวเตอร์ แลว้ ยังสามารถนำเสนอในลกั ษณะใดก็ไดต้ ามความต้องการ ใช้งาน ของผู้ใช้งาน ความเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเรียกขานว่า \"การทำให้เป็นระบบตัวเลข\" หรือ\"ดิจิไทเซชั่น\" (Digitization) ด้วยระบบท่มี กี ารทำใหเ้ ป็นระบบตวั เลข เป็นปจั จัยสำคัญประการหนง่ึ ที่ทำให้เกิด \"สอื่ ใหม่\" (New Media) ขึ้น เป็นสื่อที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับระบบตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบการสะท้อนกลับ หรือ \"อินเตอร์ แอคทีฟ\"(Interactive) ประเภทของเทคโนโลยีการส่อื สาร รปู แบบของการสื่อสาร แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 รูปแบบ คอื 1. การถ่ายทอดสญั ญาณแบบทศิ ทางเดยี ว นายสนธยา มาทา

คอมพิวเตอร์ ม.2 การควบคุมทิศทางการสง่ ขอ้ มูลแบบทศิ ทางเดียว (Simplex Transmission) ยอมใหม้ กี ารส่งข้อมูลจาก ผู้สง่ ไปยงั ผู้รับเท่านัน้ ทางฝั่งผูร้ ับไม่สามารถส่งข้อมูลยอ้ นกลับมายงั ผู้ส่งได้ การไหลของนำ้ ออกทางท่อประปาเป็น ตวั อยา่ งท่ชี ัดเจน ท่อประปาเปรียบเสมอื นสายสอื่ สารโดยมกี ๊อกเปน็ อุปกรณ์ส่อื สาร และนำ้ คอื ข้อมูลทถี่ กู สง่ ออกมา จากโรงงานผลิตน้ำประปา จะเห็นได้ว่าเม่อื ผู้ใชน้ ้ำประปา เปดิ กอ๊ ก นำ้ ก็จะไหลออกมาซ่ึงจะหยุดก็ต่อเม่ือปิดก็อก หรือโรงผลติ น้ำประปาหยุดส่งนำ้ สว่ นผู้ใชน้ ้ำประปาเองก็ไม่สามารถที่จะส่งน้ำกลับไปยงั โรงผลิตน้ำประปาได้ การ สง่ ข้อมลู แบบทิศทางเดยี วกม็ ีวิธกี ารทำงานเชน่ เดียวกัน อปุ กรณบ์ างชนิด เช่น จอภาพ CRT เช่ือมต่อเข้ากับโฮสต์ แบบทิศทางเดยี ว ขอ้ มูลจากโฮสต์จะถูกสง่ มาแสดงบนจอภาพได้ แตต่ วั จอภาพเองไม่สามารถส่งขอ้ มลู ใด ๆ กลบั ไป ยังโฮสตไ์ ด้ ตัวอยา่ งการส่งขอ้ มลู แบบทิศทางเดียวกันได้แก่ การถ่ายทอดข้อมลู ราคาซอื้ -ขายหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยไปยงั สมาชิกซึง่ มักจะใช้เครื่องพีซีติดต่อเข้ามาจากทีบ่ ้านหรือที่ทำงาน ข้อมูลจะถูกส่งไปเก็บไวท้ ่ี ฐานข้อมูลที่เครื่องพีซีของผู้ใช้ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกดรู าคาหุ้น ทั้งหมดหรือหุ้นบางตวั ที่สนใจได้โดยไม่ต้องส่ง ขอ้ มูลใด ๆ กลับมาทตี่ ลาดหลกั ทรัพย์ฯ และเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ตลาดหลักทรพั ย์ฯ เพียงแค่ส่งข้อมูลส่วนที่มีการ เปลี่ยนแปลงมายงั สมาชกิ เท่านั้น 2. การถา่ ยทอดสัญญาณแบบก่ึงสองทศิ ทาง การถ่ายทอดสัญญาณแบบกง่ึ สองทิศทาง (Half-duplex Transmission) ยนิ ยอมให้ผสู้ ่งสามารถส่งขอ้ มูลไป ยังผู้รับได้และผู้รับก็สามารถส่งข้อมูลกลับมายังผู้ส่งข้อมูลได้เช่นกัน แต่มีเงื่อนไขว่าทั้งผู้ส่งและผู้รับจะส่งข้อมูล พร้อมกันไม่ได้ ตัวอย่างได้แก่ การใช้วิทยุสื่อสารของตำรวจ หรือวิทยุ สื่อสารใช้งานทั่วไป ( CB Radio) ผู้พูด สามารถพูดไปอีกฝ่ายหนึง่ ได้ แต่จะพูดพร้อมกันไม่ได้ คือในขณะทีฝ่ ่ายหนึง่ เป็นผูพ้ ดู อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้ฟงั ในระบบนีไ้ มม่ กี ารบงั คับอย่างชดั เจนว่าฝ่ายใดจะพดู ดังนัน้ ในการใช้งานจริงจงึ ตอ้ งอาศัยประสบการณ์ของผู้ใช้งาน เป็นสำคัญมิฉะนั้นก็อาจจะมีแต่ผู้พูดไม่มีใครยอมเป็นผู้ฟัง ในการสื่อสารข้อมูล จะไม่เกิดการแย่งกันส่งข้อมูล เดด็ ขาดเนอื่ งจากการสือ่ สารจะต้องมโี พรโทคอลหรือกฎการสอื่ สารขอ้ มลู เปน็ ตัวบงั คบั การส่ือสารแบบกึง่ สองทางซ่ึงเปน็ ทน่ี ิยมในการนำมาใช้งานมากกว่าแบบแรกเพราะมีคา่ ใช้จ่ายน้อยกว่าแต่ ใชง้ านไดใ้ กล้เคยี งกัน ซ่ึงเครื่องพซี ีเครื่องหนึ่งสามารถส่งขอ้ มลู ไปยังพีซีอีกเคร่อื งหน่งึ ได้ สว่ นพีซที ี่เป็นฝา่ ยรับข้อมูล จะต้องรอจนกว่าพีซีผู้ส่งหยุดส่งข้อมูลและปล่อยให้สายสือ่ สารเป็นอิสระเสียก่อน จึงจะสามารถส่งข้อมูลกลับไป ได 3.การสื่อสารสองทิศทาง (Full – Duplex Communication) เป็นการสื่อสารที่ผู้สื่อสาร สามารถเป็นได้ ทงั้ ผูส้ ่งสาร และผ้รู ับสาร พรอ้ มๆ กนั ไดอ้ ย่างอิสระ เช่น ระบบโทรศัพท์ การพดู คุยปกติ เป็นต้น นายสนธยา มาทา

คอมพวิ เตอร์ ม.2 รายวิชาคอมพิวเตอร์ 3 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 สัปดาห์ที่ 17 ใบงานท่ี 23 หนว่ ยท่ี 4 อินเทอรเ์ น็ต ชอ่ื ............................................................................นามสกุล...................................................เลขที่...... ให้นักเรยี นทำเครอื่ งหมาย ✓ ลงหนา้ ข้อทเ่ี หน็ วา่ ถูกต้อง และทำเครอื่ งหมาย  ลงหนา้ ข้อท่ีเหน็ วา่ ผิด ……………………….. 1. การส่ือสารขอ้ มูล คือกระบวนการถา่ ยโอนหรือแลกเปล่ยี นข้อมูลกัน ระหวา่ งผู้ส่งและผู้รบั ……………………….. 2. อุปสรรคท่ีเกดิ ข้ึนระหว่างการสง่ ขอ้ มลู คอื ส่งิ รบกวน (Noise) ……………………….. 3. ผู้รับสาร หรือแหล่งกำเนิดข่าวสาร (Source) อาจจะเปน็ สญั ญาณตา่ งๆ เชน่ สญั ญาณภาพ ขอ้ มูล และเสยี งเป็นต้น ……………………….. 4. ถา้ ผู้สง่ สาร หรอื จุดหมายปลายทางไมไ่ ด้รับสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารน้ัน ไมป่ ระสบ ความสำเร็จ ……………………….. 5. การเข้ารหสั คือส่อื กลางหรือตวั กลางที่ขา่ วสารเดนิ ทางผ่าน ……………………….. 6. การถอดรหัส (Decoding) คอื การที่ผูร้ ับข่าวสารแปลงพลงั งานจาก ส่อื กลางให้กลบั ไปอยู่ใน รปู ขา่ วสารท่ีสง่ มาจากผู้ส่งข่าวสาร ……………………….. 7. แหล่งกำเนดิ ขอ้ มูล เป็นสว่ นหนึ่งขององค์ประกอบพื้นฐานของการส่ือสาร ……………………….. 8. วัตถุประสงคห์ ลักของการนำการสือ่ สารขอ้ มูลมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นองคก์ าร คอื การทำใหธ้ รุ กจิ ประสบความสำเร็จ ……………………….. 9. การจดั เกบ็ ข้อมูลซ่งึ อยู่ในรปู ของสัญญาณอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สามารถทำได้งา่ ย และส่อื สารได้ รวดเร็ว ……………………….. 10. การเชือ่ มต่อคอมพวิ เตอรเ์ ข้าหากนั เปน็ เครือข่าย ชว่ ยให้ราคาต้นทุนของ การใชข้ อ้ มูล ประหยดั ขึ้น นายสนธยา มาทา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook