Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยในชั้นเรียน

รายงานวิจัยในชั้นเรียน

Published by gmyippy, 2022-09-26 13:59:39

Description: รายงานวิจัยในชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

รายงานวิจัยในช้นั เรียน เรอื่ ง การพัฒนาทักษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้ แบบรว่ มมอื เทคนิ ค STAD รว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรอื่ ง คลืน่ สาหรบั นั กเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรยี นประชาสงเคราะห์วทิ ยา ใสร่ ูป นางสาวณฎั ฐนนช มณวี รรณ์ กลุ่มสาระการเรยี นวทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรยี นประชาสงเคราะหว์ ิทยา ปีการศึ กษา สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามธั ยมศึกษาพษิ ณุโลก-อุตรดติ ถ์ 2565 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

งานวิจัยในชนั้ เรยี น เร่อื ง การพัฒนาทักษะการแกโ้ จทยป์ ญั หาวิชาฟิสิกส์โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนคิ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) เรือ่ ง คล่ืน สำหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/1 โรงเรียนประชาสงเคราะหว์ ทิ ยา โดย นางสาวณัฎฐนิช มณวี รรณ์ ตำแหนง่ ครผู ู้ช่วย กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นประชาสงเคราะห์วิทยา สังกดั สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาพษิ ณุโลก อุตรดติ ถ์

ชือ่ เร่ือง -1- ผู้วจิ ัย การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปญั หาวชิ าฟิสิกสโ์ ดยใช้การจัดการเรยี นร้แู บบ คำสำคัญ ร่วมมอื เทคนคิ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรอ่ื ง คล่ืน สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียน ประชาสงเคราะหว์ ทิ ยา ณัฎฐนชิ มณีวรรณ์ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองงานและพลงั งาน การจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ เทคนคิ STAD กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของ นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนคิ STAD ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยการใช้การจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนคิ STAD รว่ มกบั กระบวนการแก้ปัญหา ตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) หลงั เรยี นเทียบกับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 (3) เพื่อประเมินระดบั ความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 สายวิทยาศาสตร์ -คณิตศาสตร์ โรงเรียน ประชาสงเคราะห์วิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คล่ืน สำหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5/1 แบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปญั หาวิชาฟิสิกส์โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คล่ืน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แก่ คา่ เฉลยี่ ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และสถิตทิ ดสอบคา่ ที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 กอ่ นและหลงั การใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าประสิทธิภาพของเอกสาร ประกอบการเรียนสำหรับการจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแกป้ ญั หาตามแนวคดิ ของ โพลยา(Polya) เรอื่ ง คลืน่ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5/1 อยใู่ นระดบั ผ่านเกณฑ์ (2) นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น สูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนดร้อยละ 70 หรือ 14 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน (���⃑��� = 15.97) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 4.74 และคา่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.16

-2- บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและโลกอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เกีย่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ของคนทุกคนทั้งในชวี ติ ประจำวันและในอาชีพตา่ งๆเคร่ืองมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่างๆ ทม่ี นุษย์ไดใ้ ชเ้ พื่ออำนวยความสะดวกในชวี ติ และการทำงาน ลว้ นเปน็ ผลของความรูท้ างวิทยาศาสตรผ์ สมผสาน กับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก ในทางกลบั กันเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากท่ีจะทำให้การศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่ หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซ่ึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge based society) ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) เพื่อที่จะเข้าใจ โลก ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สรา้ งสรรค์ขึ้น และนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่การนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความ เข้าใจทถ่ี กู ต้องเก่ียวกบั การใช้ประโยชน์ การดูแลรักษาตลอดจนการพัฒนาสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ อย่างสมดุลและยั่งยืนและที่สำคัญอย่างยิ่ง คือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนา เศรษฐกิจสามารถแขง่ ขนั กบั นานาประเทศและดำเนนิ ชวี ติ อยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมคี วามสุข ฟิสิกส์เป็นวิทยาสาสตร์สาขาหนึ่งท่ีศึกษาหากฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับอธิบายปรากฏการณ์ในธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาสาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, 2553, หน้า 4) การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ทำได้ โดยการสังเกต การทดลองและ เก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรู้เหล่านี้ สามารถนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ธรรมชาตหิ รือทำนายสิ่งทอี าจจะเกิดขึน้ ในอนาคตได้ในการจัดการเรียนการสอนฟิสิกส์มุ่งหวังให้ ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะทั้งสามด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย ดังนั้นแนวทางการ จัดการเรียนการสอนฟสิ กิ ส์นอกจากจะมุง่ หวังให้นกั เรียนได้ศึกษาหาความรูพ้ ื้นฐานของวิชาฟสิ ิกสแ์ ล้ว ผู้เรียน ต้องได้รับการทำกิจกรรมในการเสาะแสวงหาความรู้ ความเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ หลักการ กฎและ ทฤษฎี ที่เป็นพื้นฐานของวิชาฟิสิกส์ เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่สังเกตได้จากปรากฏการณ์จริงกับ คำอธิบายทางทฤษฎี เพื่อให้เกิดทักษะในการค้นคว้า และการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถไขทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการนำหลักการทางฟิสิกส์ไปประยุกกใช้ในด้านต่างๆทั้งใน เชิง ความคิดและเชิงปฏิบัติ (สุรสิงห์ นิรชร และศิลปะชัย บูรณพานิช, 2543) แต่ในการจัดการเรียนการสอน วิชาฟิสิกส์นั้น ยังประสบปัญหาความล้มเหลวอยู่มาก เนื่องจากนักเรียนขาดทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาอย่าง เป็นระบบ การแก้โจทย์ปัญหาถอื ได้ว่า เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการเรียนการสอนวชิ าฟิสิกส์ หากขาดทักษะนี้ก็ ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากในการเรียนวิชาฟิสิกส์นั้นนักเรียนต้องทราบสิ่งที่โจทย์ กำหนดมาและทราบว่าโจทยต์ ้องการหาส่ิงใดก่อนที่จะใชส้ ูตรหรือสมการทางฟสิ ิกสใ์ นการคำนวณค่าท่ีต้องการ ออกมา ซึ่งนักเรียนบางคนยังไม่สามารถคิดวเิ คราะห์โจทย์ปัญหาได้ว่าจากสิ่งท่ีโจทย์กำหนดและไม่รู้ว่าจะต้อง เริ่มหาคำตอบจากสมการอะไร ซึ่งถ้าหากนักเรียนไม่สามารถคิดวิเคราะห์โจทยป์ ัญหาได้แล้วก็ไม่สามารถที่จะ แก้โจทย์สมการหาค่าคำตอบออกมาได้ และนักเรียนบางคนสามารถที่จะคิดวิเคราะห์โจทย์ปัญหาได้แต่เมื่อ

-3- แทนคา่ ลงในโจทย์สมการแลว้ นักเรียนไมส่ ามารถแก้โจทย์สมการนั้นๆ ได้ หรอื แกโ้ จทย์สมการด้วยวิธีการที่ไม่ ถกู ตอ้ ง ทำใหผ้ ลลัพธท์ ่อี อกมาจึงเกดิ ความผดิ พลาดไปดว้ ย จากการเรียนการสอนในรายวิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 จำนวน 44 คน โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา พบว่า นักเรียนที่มีปัญหาด้านการแก้โจทย์ปัญหาดังกล่าว นักเรียนไม่เข้าใจ ขน้ั ตอนการทำโจทย์ นักเรียนมคี ำถามมากเก่ียวกบั การทำโจทย์ นักเรียนเลอื กใช้สมการยังไม่ถูกต้อง เน่ืองจาก นักเรียนมีขั้นตอนในการทำโจทย์ที่ไม่ชัดเจนหรือการทำโจทย์ท่ีไม่เป็นลำดับขั้นตอน ส่วนสาเหตุที่นักเรียน คำนวณไม่ได้ เพราะนักเรียนจำสูตรหรือสมการที่ใช้ในการคำนวณไม่ได้ และขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาอย่างเป็นระบบ เมื่อนักเรียนจำสูตรไม่ได้ วิเคราะห์โจทย์ปัญหาไม่เข้าใจ จึงยากที่จะ เกิดทักษะการเรยี นรู้ในวชิ าฟิสิกสอ์ ย่างถูกต้องและยั่งยืน ทำให้ครูผูส้ อนต้องคิดหาวิธกี ารสอนใหม่ๆมาทดลอง ใช้ ซึ่งวิธีที่จะใช้สอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เพื่อที่จะให้นักเรียนได้รับความรู้ทางด้านเนื้อหาและทักษะทาง วิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กันนั้น การสอนฟิสิกส์ที่ดีวิธีหนึ่ง คือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ถอื เป็นอีกหน่ึงรูปแบบการจัดการเรียนรูท้ ี่จะช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ของนักเรียน การเรียนเปน็ กลมุ่ ถือ ว่าเป็นการเรียนที่ผู้เรียนสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ เด็กเก่งก็สามารถช่วยสอน ช่วยอธิบายและเสริม ความเข้าใจในเนื้อหาให้กับเด็กอ่อนได้ ซึ่งการเรียนแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน การ จัดการเรียนรู้แบบ STAD เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียน ปานกลาง 2-3 คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน 1 คน ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ขั้นนำเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพื้นฐานความรู้เดิม จากนั้นครูสอนเนื้อหาใหม่กับนักเรียนกลุ่มใหญ่ทั้งชั้น 2. ขั้นปฏิบัติ กจิ กรรมกลุ่ม โดยนกั เรียนในกลมุ่ 4-5 คน ร่วมกนั ศกึ ษากลมุ่ ย่อยนกั เรยี นเก่งจะอธิบายให้นักเรยี นอ่อนฟังและ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำกจิ กรรม 3. ขั้นทดสอบย่อย นักเรียนแตล่ ะคนจะทำแบบทดสอบด้วยตนเอง ไม่มีการช่วยเหลือกัน 4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของ นักเรียน โดยคะแนนที่นักเรียนทำได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนำคะแนนรายบุคคลไป แปลงเป็นคะแนนกลุ่ม 5. ชมเชย ยกย่อง บุคคลหรือกลุ่มที่มีคะแนนยอดเยี่ยม นักเรียนคนใดทำคะแนนได้ ดีกว่าครั้งก่อน จะได้รับคำชมเชยเป็นรายบุคคล และกลุ่มใดทำคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อนจะได้รับคำชมเชยท้ัง กลุ่ม สำหรับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) ซึ่งมีลำดับขั้นตอนในการแก้ปัญหา 4 ข้นั ตอนคือ 1) ขน้ั ทำความเข้าใจปัญหา (Understanding the Problem) หมายถงึ ขน้ั ตอนท่ใี หน้ ักเรียนบอก สิ่งที่โจทย์กำหนดมาให้สิ่งที่โจทย์ต้องการทราบ พร้อมวาดภาพประกอบใน โจทย์ปัญหาที่มีความซับซ้อน 2) ขั้นวางแผนการแกโ้ จทย์ปญั หา (Devising a Plan) หมายถึง ขน้ั ตอนทใี่ ห้นกั เรียนคน้ หาความเช่ือมโยงระหว่าง ข้อมูลที่ได้จากโจทย์กับสิ่งที่ต้องการทราบ ในรูปของทฤษฎีหรือสมการที่จะใช้ในการแก้โจทย์ปัญหา 3) ข้ัน ดำเนินการตามแผน (Carry out the Plan) หมายถึง ขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ และต้อง ตรวจสอบแต่ละขั้นที่ปฏิบัติว่าถูกต้องหรือไม่ 4) ขัน้ ตรวจสอบผลลัพธ์ (Looking Back) หมายถึง ขั้นตอนการ ตรวจสอบคำตอบที่ได้จากการแก้โจทย์ปัญหาว่าถูกต้องหรือไม่ หากมั่นใจแล้วให้สรุปคำตอบในสิ่งที่โจทย์ ตอ้ งการทราบ (นฤมล ฉิมงาม, 2558: ออนไลน์) ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยจึงอยากจะนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มาใช้ ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) ในการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชา ฟสิ ิกส์โดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรอื่ ง คลน่ื สำหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรยี นประชาสงเคราะห์วทิ ยา ซึ่งจะทำให้ผู้เรียน

-4- เกิดความเข้าใจในเนื้อหา สามารถแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีข้ึน และการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนของครูมปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งข้นึ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา การวจิ ยั คร้ังน้ี ผู้วิจยั ไดก้ ำหนดวัตถปุ ระสงค์ไว้ดังน้ี 1. เพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าฟสิ ิกส์ เรือ่ ง คลน่ื ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 กอ่ นและหลงั การใช้การจัดการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) 2. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าฟสิ ิกส์ เรื่อง คล่ืน ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5/1 โดยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) หลงั เรยี นเทียบกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70 3. เพอ่ื ประเมนิ ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5/1 จากการจดั การเรียนรู้โดยใช้ร ใช้การจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนคิ STAD ร่วมกบั กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) สมมตฐิ านของการวิจยั 1. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวิชาฟิสกิ ส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 หลังจากการใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) มี คะแนนหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรยี นหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 หลังจากการใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) มี คะแนนหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียนหลงั เรียน สูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 มีระดับความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) อยู่ใน ระดับมากขึ้นไป ขอบเขตของการวจิ ยั ในการวิจยั คร้งั น้ผี ู้วิจัยไดก้ ำหนดขอบเขตในการวจิ ัยไว้ ดังน้ี 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 193 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 สายวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ โรงเรยี นประชาสงเคราะหว์ ิทยา ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 44 คน 2. เน้อื หาท่ีใช้ในการวจิ ัยครงั้ นี้ ผวู้ ิจัยใชเ้ นอ้ื หาวิชาฟสิ กิ ส์ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 เร่อื ง คลื่น อ้างอิงมาจากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมฟิสิกส์ เล่ม 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) และตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา พุทธศกั ราช 2560 ประกอบดว้ ยเนอ้ื หา ดงั น้ี 2.1 อัตราเรว็ ของคลืน่ ในตัวกลาง 2.2 การสะท้อนของคลื่น 2.3 การหกั เหของคล่ืน

-5- 2.4 การแทรกสอดของคล่นื 2.5 การเลย้ี วเบนของคล่นื 3. ตัวแปรทใี่ ชใ้ นการวิจัยครั้งนี้ ประกอบดว้ ย 3.1 ตวั แปรตน้ ไดแ้ ก่ การใช้การจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ แกป้ ญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 3.2.1 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาฟสิ ิกส์ เรอ่ื ง คลน่ื ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5/1 3.2.2 ความพงึ พอใจของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ทมี่ ตี อ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) 4. ระยะเวลาในการวจิ ยั การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการตัง้ แต่วนั ที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ถึงวันที่ 15 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2565 รวมเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 21 ชั่วโมง นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ เพอื่ ใหเ้ กิดความเข้าใจตรงกนั ผู้วิจยั ได้กำหนดนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะทเี่ กี่ยวข้องไว้ ดังนี้ 1. เกณฑร์ อ้ ยละ 70 หมายถึง การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าฟสิ ิกส์ เรอ่ื ง คลื่น ของนกั เรยี นช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5/1 ท่ผี ้วู จิ ัยกำหนด โดยคะแนนที่ได้ต้องไม่ตำ่ กวา่ รอ้ ยละ 70 ของคะแนนเตม็ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 ไดม้ าจากการใช้แบบทดสอบวดั ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทผี่ ู้วิจัยสรา้ งและพัฒนาข้ึนมาใช้ ในการวิจัยคร้ังน้ี 3. ทักษะการแก้โจทย์ปัญหา หมายถึง ความสามารถของผูเ้ รียนในการแกไ้ ขโจทย์ปัญหา วิชา ฟิสิกส์ ตามขั้นตอนของโพลยาโดยใช้โจทย์คำถามเกี่ยวกับเนื้อหา เรื่อง คลื่น ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นมาใช้ในการ วจิ ยั ครง้ั นี้ 4. รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD หมายถงึ การเรียนตามขน้ั ตอนการเรียนแบบ กลมุ่ ร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนคิ แบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธ์ิ โดยมีนกั เรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อยกล่มุ ละ 4-5 คน ใหส้ มาชิก ในกล่มุ มรี ะดับความสามารถทางการเรียนทแี่ ตกต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน เรยี นรว่ มกัน สมาชิกของกลุ่ม จะต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ทุกคนเข้าใจบทเรียน หลังจบบทเรียนก็จะต้องทำแบบทดสอบเป็นรายบุคคล และ นำคะแนนทดสอบเทียบกับคะแนนฐานของแต่ละคน โดยเน้นให้สมาชิกพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะคะแนน ของสมาชิกแต่ละคนส่งผลต่อคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มและรางวัลที่จะได้รับ ซ่ึงคะแนนของสมาชิกแต่ละคนที่ทา ให้แกก่ ลุม่ จะได้จากคะแนนพฒั นาการ (Improvement Point) ของแตล่ ะคน 5. กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) หมายถึง กระบวนการในแนวตรง ซึ่งต้อง ดำเนินการไปทีละขั้นตามลำดับห้ามข้ามขัน้ แบ่งเป็น 4 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหา เป็นการคดิ เกี่ยวกับปัญหาและตัดสินว่าอะไรที่ต้องการค้นหา โดยผู้เรียนต้องทำความเข้าใจปัญหาและระบุส่วนที่สำคัญ ของปัญหา ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา เป็นการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและตัวไม่รู้ค่า นำ ความสัมพันธ์ที่ได้มาผสมผสานกับประสบการณ์ กำหนดแนวทางหรือแผนในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 ขั้น ดำเนินการตามแผน เป็นการลงมือปฏิบัติตามแผนหรือแนวทางที่วางไว้ ขั้นท่ี 4 ขั้นตรวจสอบผล เริ่มจากการ ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหาที่ใช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอื่นใน การแกป้ ญั หานีอ้ กี หรือไม่

-6- 6. ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สึกของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 ทีม่ ีต่อการเรียนโดยใช้การ จดั การเรียนร้แู บบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) ที่ผู้วิจัย สรา้ งขึน้ ประเมนิ ได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง คลื่น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) ใหม้ ีประสิทธภิ าพมากย่ิงข้นึ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยใช้การ จัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแกป้ ญั หาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) สงู ขึน้

-7- บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนประชาสงเคราะหว์ ิทยา ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ซึ่ง จะนำมาเสนอตามลำดับดงั น้ี 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) 2. เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกบั การจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนิค STAD 3. เอกสารที่เกย่ี วข้องกบั กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) 4. เอกสารท่เี ก่ยี วข้องกับโจทยป์ ัญหาฟิสกิ ส์ 5. เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกบั ความพงึ พอใจ 6. งานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เอกสารท่เี ก่ียวข้องกบั หลักสตู รและการสอนกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ.2560) 1.1 เป้าหมายของวิทยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ดว้ ยตนเองมากท่ีสุด เพ่ือให้ได้ท้ัง กระบวนการและความรู้ จากวิธิการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลกั การ แนวคดิ และองคค์ วามรู้ การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเปา้ หมายท่สี ำคญั ดงั นี้ 1. เพอื่ ให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎท่ีเปน็ พ้นื ฐานในวชิ าวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษาวิชา วทิ ยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทกั ษะทสี่ ำคญั ในการศึกษาคน้ ควา้ และคดิ ค้นทางเทคโนโลยี 4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล้อมในเชงิ ท่ีมอี ิทธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กันและกัน 5. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต่อ สงั คมและการดำรงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หาและการจัดการทักษะ ในการสอ่ื สารและความสามารถในการตัดสินใจ 7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์

-8- 1.2 เรียนรู้อะไรบ้างในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มที กั ษะสำคัญในการค้นควา้ และสร้างองค์ความรโู้ ดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือ ปฏิบตั จิ ริงอย่างหลากหลายเหมาะสมกับระดับชั้นโดยกำหนดสาระสำคญั ดังน้ี 1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวีติในสิ่งแวดลอ้ม องค์ประกอบของสิ่งชีวิตการดำรงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ สงิ่ มีชีวิต 2. วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรูเ้ กี่ยวกบั ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลงั งานและคลนื่ 3. วิทยาศาสตร์ โลกและอวกาศ เรยี นรเู้ กี่ยวกบั องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พนั ธ์ ภายในระบบ สุริยะเทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลยี่ นแปลงทางธรณวี ิทยากระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศ และ ผลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม 4. เทคโนโลยี 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยว กับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมท่ี มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคมและส่งิ แวดล้อม 4.2 วิทยการคำนวณ เรียนรูเ้ กี่ยวกับ การคดิเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็น ขั้นตอนและเปน็ ระบบประยุกต์ใชค้ วามร้ดู ้านวิทยาการคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร ในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจรงิ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 1.3 วิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมจัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแผนการเรียน วิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องเรียนเนื้อหาในสาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์และโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งเป็น พนื้ ฐานสำคญั และเพยี งพอสำหรบั การศึกษาตอ่ ในระดบั อุดมศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ เพ่อื ประกอบวิชาชีพใน สาขาที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐาน เช่นแพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคนิคการแพทย์ วศิ วกรรม สถาปตั ยกรรม ฯลฯโดยมผี ลการเรียนรู้ท่ีครอบคลุมด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 รวมทั้งจิตวิทยาศาสตร์ ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องมี วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมนี้ได้มีการ ปรับปรุงเพื่อให้มีเนื้อหาที่ทัดเทียมกับนานาชาติ เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ และการแกปัญหารวมทั้ง เชือ่ มโยงความรู้สกู่ ารนำไปใชใ้ นชวี ิตจริง สรุปได้ ดังนี้ 1. ลดความซ้ำซอ้ นของเน้ือหาระหว่างตัวชี้วัดในรายวิชาพื้นฐานและผลการเรียนรู้ รายวิชาเพิ่มเติม เพอ่ื ให้ผู้เรียนได้มีเวลาสำหรับการเรยี นรู้ และทำปฏบิ ตั ิการทางวิทยาศาสตร์เพ่มิ ขน้ึ 2. ลดความซำ้ ซ้อนของเน้ือหาระหวา่ งสาระชวี วิทยา เคมี ฟสิ กิ ส์ และโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ โดยมีการพิจารณาเน้อื หาทม่ี คี วามซ้ำซอ้ นกันแลว้ จัดใหเ้ รียนท่สี าระใดสาระหน่ึง 3. ลดความซำ้ ซ้อนกันระหว่างระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตอนปลาย 4. ลดทอนเน้ือหาททย่ี าก เพ่ือใหห้ มาะสมกับกล่มุ ของผเู้ รยี นในระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย

-9- 5. มีการเพิ่มเนื้อหาด้านต่าง ๆ ที่มีความทันสมัย สอดคล้องต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันและอนาคต มากขึ้นมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถอื ยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 1.4 เรียนรูอ้ ะไรบา้ งในวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ เรียนรู้อะไรบา้ งในวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตรเ์ พิม่ เติม ผ้เู รยี นจะได้เรียนรู้สาระสำคัญ ดงั นี้ 1. ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ การศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต เซลล์ของสิ่งมี ชวี ีต พนั ธกุ รรมและการถ่ายทอด ววิ ัฒนาการ ความหลากหลายทางชวี ภาพ โครงสรา้ งและการทำงานของส่วน ตา่ ง ๆ ในพชื ดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสตั ว์ และมนุษย์ และส่งิ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม 2. เคมี เรียนรู้เกี่ยวกับ ปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร ทกั ษะและการแกป้ ญั หาทางเคมี 3. ฟิสกิ ส์ เรยี นร้เู ก่ียวกับ ธรรมชาตแิ ละการค้นพบทางฟสิ กิ ส์ แรงและการเคลอ่ื นท่ี และพลังงาน 4. โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เกีย่ วกับ โลกและกระบวนการเปลย่ี นแปลงทางธรณี ข้อมูล ทางธรณีวิยาและการนำไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลก การเปลี่ยนแปลงลักษณะลม ฟ้าอากาศกับการดำรงชีวิตของมนุษย์โลกในเอกภพและดาราศาสตร์กบั มนุษย์ เอกสารที่เกีย่ วขอ้ งกับการจดั การเรยี นร้แู บบรว่ มมือเทคนคิ STAD 2. การจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD ความหมายของการจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD การจัดการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค STAD ได้มผี ้ใู หค้ วามหมายไวด้ ังน้ี สุรวทิ ย์ มลู คำ และอรทยั มลู คำ (2545, หนา้ 134) ได้กล่าววา่ การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมอื เทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรูปแบบหนึ่งคล้ายกับเทคนิค TGT ที่แบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกันออกเปน็ กลุ่มเพื่อทำงานรว่ มกัน กล่มุ ละประมาณ 4-5 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ ในเนื้อหาสาระที่ผสู้ อนจดั เตรียมไว้ แลว้ ทำการทดลองความรู้ คะแนนท่ีได้จากการทดสอบของสมาชกิ แต่ละคน จะนำมาบวกเปน็ คะแนนของทีม ผู้สอนจะตอ้ งใชเ้ ทคนิคการเสรมิ แรง เช่น ใหร้ างวัล คำชมเชย เป็นต้น ดังนั้น สมาชกิ กลมุ่ จะต้องมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อความสำเรจ็ ของกลมุ่ ภูมิพรรณ ทวีชาติ (2549,หน้า 35) กล่าวถึงวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ว่าเป็น วิธีการทีเ่ นน้ ความสำคัญของการเรียนเป็นกลุ่ม การช่วยเหลือกันภายในกลุ่มเป็นการฝกึ ทักษะทางสังคมให้กับ ผู้เรียน และทำใหม้ องเห็นคุณค่าของการร่วมมอื กันในการแสดงออกทางการเรยี นรู้มากขึน้ ซ่ึงรูปแบบการเรียน ทีม่ นักเรยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง แคทรียา ใจมูล (2550, หน้า 14) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หมายถึง การเรยี นทีจ่ ัดใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนเป็นกลุ่มคละกันในระดับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น คือ ระดบั สูง 1 คน ระดับปาน กลาง 2 คน และระดับอ่อน 1 คน จุดประสงค์หลัก คือ ช่วยให้นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ มี ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนสูงขน้ึ และมุ่งเน้นใหผ้ เู้ รียนทำงานร่วมกนั เป็นกลุ่ม จากความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ รว่ มมอื เทคนิค STAD เป็นการเรียนการสอนที่จดั โดยการแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ระหว่าง นกั เรียนท่ีเก่ง ปานกลาง และออ่ น ใหอ้ ย่รู ว่ มกัน โดยแต่ละกลุ่มต้องมีหน้าท่ีได้รบั มอบหมายรว่ มกัน ช่วยเหลือ และรับผดิ ชอบร่วมกนั เพอื่ ประโยชน์และความสำเรจ็ ของกลมุ่

- 10 - รูปแบบของการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD นักการศึกษาได้กล่าวถึงรูปแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542, หน้า 37-38) กล่าวถึงรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ใี ชก้ ารทดสอบรายบุคคลแทนการแขง่ ขนั มขี ั้นตอนดงั น้ี 1. ครูนำเสนอเนื้อหาใหม่ หรืออาจนำเสนอด้วยสื่อที่น่าสนใจใช้การสอนโดยตรงหรือตั้ง ประเดน็ ให้ผเู้ รยี นอภิปราย 2. จัดผู้เรยี นเปน็ กลุ่ม ๆ ละ 4-5 คน ให้สมาชิกมีความสามารคคละกันมีทัง้ ความ สามารถสงู ปานกลาง และต่ำ 3. แต่ละกลมุ่ รว่ มกนั ศึกษา ทบทวนเนอ้ื หาทคี่ รูนำเสนอจนเข้าใจ 4. ผู้เรียนทุกคนในกลุ่มทำแบบทดสอบ เพอื่ วดั ความรู้ความเขา้ ใจในเนอ้ื หาทเ่ี รยี น 5. ตรวจคำตอบของผู้เรยี น นำคะแนนของสมาชกิ ทกุ คนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม 6. กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด (ในกรณีที่แต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกไม่เท่ากันให้ใช้คะแนนเฉลี่ย แทนการรวม) จะไดร้ ับคำชมเชย โดยอาจตดิ ประกาศไว้ทบ่ี อร์ด หรอื ป้ายนเิ ทศของห้องเรียน ยงยุทธ กันไชยศักด์ิ (2545, หน้า 16-17) กล่าวถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD วา่ ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ตอน คอื 1. การนำเสนอบทเรียน (Class Presentation) เป็นการสอนโดยตรงจากครูที่มีการบรรยาย อภปิ ราย 2. การจัดกลุ่ม (Teams) ในแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถคละกันคือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน สมาชิกภายในกลุ่มมีการอภิปรายปัญหาร่วมกัน ช่วยกันแก้ไขข้อผิดพลาดเพื่อให้ สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจมากที่สุด ทำให้เกิดความผูกพัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่ม มีการ ยอมรับซึ่งกนั และกนั 3. การทดสอบ (Quizzes) หลังจากครูนำเสนอบทเรียน จะมีการทดสอบนักเรียนเป็น รายบุคคล โดยไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ปรึกษากันในขณะทำการทดสอบ ซึ่งเป็นสาเหตุให้นกั เรียนจะต้องมี ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง 4. คะแนนพัฒนาเป็นรายบุคคล (Individual Improvement Scores) แนวคิดหลักของการ ใหค้ ะแนนแบบนก้ี ็เพ่อื ใหน้ กั เรยี นแต่ละคนบรรลุวัตถุประสงค์ หรือเพ่ือแสดงออกถงึ ความสามารถของตนเองให้ ดีกว่าครั้งก่อน นักเรียนแต่ละคนสามารถทำคะแนนสูงสุดให้กลุ่มของตนเองได้ เพราะคะแนนพัฒนานี้ได้จาก การเปรียบเทียบคะแนนที่นักเรียนทำแบบทดสอบได้กับคะแนนพื้นฐานของตนเอง ซึ่งคิดมาจากคะแนนเฉล่ีย จากการทดสอบที่ผา่ นมา 5. การตระหนักถึงความสำเร็จของกลุ่ม (Teams Recognition) กลุ่มจะได้รับรางวัลก็ต่อเม่ือ กลุ่มนน้ั ได้รบั ความสำเรจ็ เหนือกลมุ่ อน่ื ซง่ึ ตดั สนิ กนั ด้วยคะแนนพฒั นาสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ มาเป็นคะแนนของ กลุ่ม จากรูปแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สรุปได้ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีขั้นตอนการจัดกิจกรรม 5 ขั้นตอน คือ ขั้นการนำเสนอข้อมูล ขั้นการทำงาน รว่ มกนั ขัน้ การทดสอบ ขั้นการพฒั นาการของนักเรียนแตล่ ะคน และขนั้ การตดั สนิ ผลงานของกลุ่ม

- 11 - ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนคิ STAD สุลัดดา ลอยฟ้า (2536,หน้า 8 ; อ้างอิง Slavin,1995,หน้า 71-73) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เปน็ รูปแบบการสอนแบบรว่ มมือกันเรียนรู้ท่ี Robert Slavin และคณะได้พัฒนาขน้ึ เป็นรูปแบบ ที่ง่ายทสี่ ดุ และใช้กันอย่างแพรห่ ลาย เหมาะสำหรับครูผูส้ อนท่ีเลอื กใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมอื สลาวิน (Slavin. 1989, หน้า 87) กล่าวถงึ รูปแบบการสอนแบบกลุ่มสัมฤทธ์ไิ ว้ว่า เป็นการจดั สมาชิก กลมุ่ ละ 4-5 คน แบบคละความสามารถดา้ นผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยครูจะทำการเสนอบทเรยี นให้นกั เรียน ทั้งชั้นก่อน แล้วให้แต่ละกลุ่มทางานตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอนเมื่อสมาชิกในกลุ่มช่วยกันทำแบบฝึกหัด และทบทวนบทเรียนท่ีเรียนจบแล้ว ครูจะให้นักเรยี นทุกคนทำแบบทดสอบประมาณ 15-20 นาที คะแนนท่ีได้ จากการทดสอบจะถูกแปลงคะแนนของแต่ละกลุ่ม ที่เรียกว่า กลุ่มสัมฤทธ์ิ (Achievement Division) ซึ่งการ สอนแบบรว่ มมอื กนั เรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบแบง่ กลุ่มสมั ฤทธิ์มขี ัน้ ตอนดงั น้ี ขั้นที่ 1 การนำเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น(Classroom Presentation) ประกอบด้วยการแจ้ง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แจ้งคะแนนฐานของแตล่ ะบคุ คล บอกเกณฑ์ได้ละรางวัล ทบทวนความรูแ้ ละสอนเนื้อหา ใหมข่ องบท เรยี นตอ่ นกั เรยี นท้ังห้องโดยครูผูส้ อน ซ่ึงครผู ูส้ อนตอ้ งใช้กิจกรรมการสอนท่ีเหมาะสมตามลักษณะ ของเน้อื หาบทเรยี น โดยใชส้ อื่ การเรียนการสอนประกอบคำอธิบายของครู เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจเน้อื หาบทเรียน ขั้นท่ี 2 การเรียนกลุ่มย่อย (Team Study) ซึ่งแต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ซ่ึง สมาชกิ กล่มุ จะมีความแตกตา่ งกนั เรื่องระดับสตปิ ัญญา ซง่ึ หน้าทสี่ ำคญั ของกลุม่ กค็ ือการเตรยี มสมาชิกของกลุ่ม ให้สามารถทาแบบทดสอบได้ดี กิจกรรมของกลุ่มจะอยู่ในรูปการอภิปรายหรือการแก้ปัญหาร่วมกัน การแก้ ความเขา้ ใจผิดของเพอ่ื นในกลมุ่ กลมุ่ จะต้องทำให้ดีทสี่ ดุ เพื่อชว่ ยสมาชิกแต่ละคนของกลุ่มจะต้องช่วยสอนเสริม เพื่อให้เพ่ือนในกลุ่มเข้าใจเนื้อหาสิ่งที่เรียนมาทั้งหมด ซึ่งการทำงานของกลุ่มเน้นความสัมพันธ์ของสมาชิกใน กลุ่ม การนับถือตนเอง และการยอมรับเพื่อนที่เรียนอ่อน ซึ่งสิ่งที่นักเรียนควรคำนึงถึง คือ นักเรียนช่วยเหลือ เพื่อนให้รู้เนื้อหาอย่างถ่องแท้ นักเรียนไม่สามารถศึกษาเนื้อหาจบคนเดยี วโดยที่เพื่อนในกลุม่ ไม่เข้าใจ ถ้าหาก ไม่เข้าใจควรปรึกษาเพื่อนในกลุ่มก่อนปรึกษาครู และในการปรึกษาในกลุ่มไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนกลุ่มอื่น และให้แต่ละกลุ่มย่อยศึกษาหัวข้อที่เรียนจากใบงานหรือแบบฝึกหัดที่ครูกำหนดประมาณ 2-3 ข้อโดยสมาชิก ในกลุ่มช่วยกันปฏิบัติตามใบงานและแบ่งหน้าที่การทากิจกรรมดังน้ี คะแนนของแต่ละกลุ่มที่เรียกว่าคะแนน กลุ่มผลสัมฤทธ์ิ ซึ่งในการทดสอบนักเรียนทุกคนจะทำข้อสอบตามความสามารถของตนโดยไม่มีการช่วยเหลอื ซึง่ กนั และกัน ขั้นท่ี 3 การทดสอบย่อย (Test) หลังจากเรียนไปแล้ว นักเรียนต้องได้รับการทดสอบ โดยครู ทำการทดสอบวัดความเข้าใจประมาณ 15 – 20 นาที และคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบจะถูกแปลงเปน็ คะแนน ของแต่ละกลุ่มท่ีเรียกว่า คะแนนกลุ่มสัมฤทธ์ิ ซึ่งในการทดสอบนกั เรียนทกุ คนจะทำข้อสอบตามความสามารถ ของตนโดยไม่มกี ารช่วยเหลือซึ่งกันและกนั ขั้นท่ี 4 การคิดคะแนนในการพัฒนาตนเองและของกลุ่ม (Individual Improvement Scores) ซึ่งเปน็ คะแนนทีไ่ ดจ้ ากการ เปรยี บเทียบคะแนนท่สี อบได้กบั คะแนนฐาน (Base Score) โดยคะแนนที่ ได้จะเป็นคะแนนความก้าวหน้าของผู้เรียน ซึ่งนักเรียนจะทำได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความขยันที่เพิ่มขึ้นจากครั้ง ก่อนหรือไม่ นักเรียนทุกคนมีโอกาสได้คะแนนสงู สุดเพื่อช่วยกลุม่ หรืออาจไม่ได้เลยถ้าหากได้คะแนนน้อยกว่า คะแนนฐานเกิน 10 คะแนน ในการทดสอบแต่ละครั้งนักเรียนแต่ละคนจะได้คะแนนพัฒนา จากนั้นก็จะนำ คะแนนของแต่ละคนในกลุม่ มารวมกันแลว้ คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม ถ้ากลุ่มใดไดค้ ะแนนเฉลี่ยสูงถงึ เกณฑ์ ท่กี ำหนดไว้ครจู ะใหร้ างวลั การท่ีกลมุ่ ประสบความสำเรจ็ ไดน้ ้ันตอ้ งขนึ้ อย่กู ับคะแนนของสมาชกิ ทุกคน

- 12 - จากขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกล่มุ ๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบดว้ ย นกั เรยี นท่ีเรยี นเก่ง 1 คน นกั เรยี นทเี่ รียนปานกลาง 2-3 คน และนกั เรียนทีเ่ รยี นออ่ น 1 คน ซึง่ มีขัน้ ตอนการจดั การเรยี นรู้ ดังน้ี 1. ข้ันนำเสนอเนอ้ื หา ทบทวนพ้นื ฐานความรูเ้ ดมิ จากน้ันสอนเนือ้ หาใหม่ 2. ขนั้ ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลุ่ม โดยนักเรียนในกลุ่ม 4-5 คน รว่ มกันศึกษากลุ่มย่อยนักเรียนเก่งจะ อธิบายให้นกั เรยี นอ่อนฟงั และช่วยเหลือซ่ึงกันและกนั ในการทำกจิ กรรม 3. ข้นั ทดสอบยอ่ ย นักเรียนแต่ละคนจะทำแบบทดสอบโดยไม่มีการชว่ ยเหลอื กัน 4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของนักเรียน โดยคะแนนที่นักเรียนทำได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนำคะแนนรายบุคคลไปแปลงเป็น คะแนนกลุม่ 5. ชมเชย ยกยอ่ ง บุคคลหรือกลุ่มท่ีมีคะแนนยอดเยี่ยม นกั เรียนคนใดทำคะแนนได้ดีกว่าคร้ัง ก่อน จะได้รบั คำชมเชยเป็นรายบุคคล และกลมุ่ ใดทำคะแนนได้ดีกว่าคร้งั ก่อนจะไดร้ ับคำชมเชยท้ังกลุ่ม เอกสารท่เี กี่ยวข้องกบั กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) 3. กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) การเลือกปัญหาที่เหมาะสมและการสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ยุทธวิธีคิดหลากหลายในขั้นตอนของการ แก้ปัญหา ทำใหผ้ เู้ รยี นได้เช่ือมโยงและประยุกต์ความรู้ต่างๆทางคณติ ศาสตร์และเกดิ ความเขา้ ใจอย่างลึกซึ้ง ผู้ วางรากฐานความคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ คือ โพลยา (George Polya) ท่านเกิดในประเทศ ฮังการี เมื่อปีค.ศ. 1887 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ท่านสนใจศึกษาวจิ ัย เรื่องกระบวนค้นพบ(process of discovery) อย่างมาก ซึ่งนำไปสู่ผลงานที่มีชื่อเสียง คือ กระบวนการ 4 ขน้ั ตอนของการแกป้ ัญหา ได้แก่ 1) ทำความเขา้ ใจปญั หา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) ดำเนนิ การตามแผน 4) ตรวจสอบผล โพลยาเขียนบทความเกี่ยวกับคณติ ศาสตร์และหนังสือ 3 กลา่ วถงึ คุณค่าของการแก้ปญั หา หนังสือที่มี ชือ่ เสยี งท่สี ุดชอ่ื How to Solve It ท่ถี กู แปลเปน็ ภาษาตา่ งๆถึง 15 ภาษา หนงั สอื เล่มน้กี ล่าวถึงกระบวนการ 4 ขั้นตอนและยุทธวิธีคิดที่ใช้ร่วมกับกระบวนดังกล่าว โพลยาเสียชีวิตในปี ค.ศ.1985 โดยท้ิงผลงานที่ล้ำค่าต่อ การสอนคณิตศาสตร์ คือ การสอนแก้ปัญหา ท่านได้เสนอบัญญัติ 10 ประการสำหรับครูคณิตศาสตร์ ในการ สอนโดยใช้การแก้ปญั หา ดังนี้ 1) ครตู ้องรักในวชิ าท่สี อน 2) ครตู ้องมีความรแู้ ละความเข้าใจอย่างลึกซ้งึ ในวชิ าที่สอน 3) ครูต้องเข้าใจความคิดของผู้เรียน ครูต้องสามารถอ่านสีหน้าของผู้เรียน รู้ความคาดหวังและ อุปสรรคของผูเ้ รยี น 4) ครูต้องตระหนักวา่ วิธีท่ีเหมาะสมที่สุดในการเรยี นรู้สิ่งตา่ งๆ คอื การค้นพบด้วยตนเอง 5) ครตู ้องเป็นแหล่งเรียนรขู้ องผู้เรียนทั้งในดา้ นขอ้ มูล ด้านวชิ าการ เจตคติ และนิสัยในการทำงาน 6) ครูตอ้ งให้อิสระกับผเู้ รยี นในการเรยี นร้ทู จ่ี ะคาดเดาอย่างมรี ะบบ

- 13 - 7) ครตู ้องสนับสนุนให้ผเู้ รียนเรียนรกู้ ารพสิ ูจนข์ ้อค้นพบของพวกเขา 8) ครูต้องให้ผู้เรียนค้นหาแง่มุมต่างๆ ในปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการ แกป้ ัญหา ส่งเสรมิ ให้ผ้เู รียนค้นหาแบบรปู ในรปู ท่วั ไปจากสถานการณ์รูปธรรม 9) ครอู ยา่ ใจร้อนบอกเคลด็ ลบั ในการแก้ปัญหาหนึ่งๆ ให้กบั ผู้เรียน 10) ครูตอ้ งไม่บังคบั หรือยดั เยียดความรทู้ ีเ่ กินความสามารถของผู้เรียนทจ่ี ะรับได้ โพลยาทุ่มเทเวลาสว่ นมากในการสอนของทา่ นใหก้ ับการสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ นักแกป้ ัญหาทมี่ ีคุณภาพ โดยใช้กระบวนการ 4 ข้นั ตอน ข้ันท่ี 1 ทำความเข้าใจปญั หา การทำความเข้าใจปญั หาเปน็ การพยายามหาคำตอบของคำถาม - ทา่ นเข้าใจคำทุกคำในปัญหาหรือไม่ - ทา่ นรหู้ รือไม่วา่ ส่งิ ท่กี ำหนดใหใ้ นปัญหามอี ะไรบา้ ง - ทา่ นรหู้ รือไมว่ า่ เปา้ หมายของปัญหาคืออะไร ขั้นที่ 2 วางแผนแก้ปัญหา การวางแผนแก้ปัญหาเป็นการใช้ยุทธวิธีคิดต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตาม เป้าหมายของปญั หา ยุทธวธิ คี ิดแบบต่างๆ เช่น - เดาและตรวจสอบ (Guess and test) - ใช้ตวั แปร (Use a variable) - ค้นหารูปแบบ (Look for a pattern) - แจงรายการ (Make a list) - เขยี นแผนภาพ (Draw a diagram) - แก้สมการ (Solve an equation) - คน้ หาสตู ร (Look for a formula) ขั้นที่ 3 ดำเนินการตามแผน เมื่อบุคคลใช้วิธีคิดต่างๆในการทำความเข้าใจปัญหาและวางแผน แกป้ ญั หา บางคนคิดย้อนกลบั ไปกลับมาระหวา่ งขั้นท่ี 1 และข้ันท่ี 2 จนแน่ใจว่าเหน็ ลู่ทางในการแก้ปัญหาแล้ว จงึ ลงมือปฏบิ ัติตามแนวทางท่วี างไว้ ขั้นที่ 4 ตรวจสอบผล เมื่อได้คำตอบแล้วต้องคิดอะไรแล้วกับคำตอบที่ได้ โดยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ยุทธวธิ นี ้ใี ชใ้ นการหาคำตอบถูกต้องหรือไม่ คำตอบทีไ่ ด้สอดคลอ้ งกบั เงื่อนไขของปัญหาหรือไม่ ในการนำกระบวนการแก้ปัญหา 4 ขั้นตอนของโพลยามาใช้ในการสอน ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อน ว่าต้องสอนไปตามลำดับทีละขั้น โดยเริ่มต้นจากทำความเข้าใจปัญหาแล้วตามลำดับลงมา ข้ามขั้นไม่ได้ ธรรมชาติของการแก้ปัญหาของโพลยา เป็นกระบวนการคิดในสมองของบุคคลที่มีลักษณะเป็นวงจร และไม่ ตายตัว กล่าวคือ วงจรการคิดแก้ปัญหาของแต่ละบุคคลจะไม่เหมือนกัน เพราะแต่ละบุคคลใช้ยุทธวิธีการคิด และการคาดเดา และตรวจสอบยอ้ นกลับไปกลับมาในวงจร 4 ขน้ั ตามแบบของเขาเอง วิลสัน เฟอร์นันเดซ และฮาดาเวย์ (Wilson, Fernandez, and Hadaway, 1993: 60-62) อธิบาย ธรรมชาติของการแก้ปัญหาไว้ ดงั ภาพ ภาพท่ี 1 วงจรการคดิ แกป้ ัญหา

- 14 - จากภาพที่ 1 อธิบายได้ว่า เมื่อบุคคลเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ และเขามีความต้องการที่จะ แก้ปัญหาสถานการณ์นั้น ในกระบวนการคิดของเขา เขาจะพยายามทำความเข้าใจปัญหา ในการทำความ เข้าใจปัญหา แต่ละบุคคลจะใช้ยุทธวิธีคิดต่างๆกันไป ส่วนมากใช้วิธีการวาดรูป แจงข้อมูลที่กำหนดให้ ค้นหา แบบรูป เพื่อให้เห็นลู่ทางการแก้ปัญหาแล้วเลือกยุทธวิธีคิดที่จะใช้แก้ปัญหา ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการคิด แก้ปญั หา คือ ขน้ั ทำความเขา้ ใจปัญหา บุคคลจึงใช้เวลาคิดยอ้ นกลบั ไปกลบั มาระหวา่ งข้นั ทำความเข้าใจปัญหา และขั้นวางแผน บางคนเมื่อดำเนินการแก้ปัญหาแล้วไม่ไดผ้ ลตามที่ตอ้ งการ อาจย้อนกลับไปคิดหายทุ ธวิธีใหม่ หรอื กลบั ไปทำความเข้าใจปญั หาใหม่ โพลยา (Polya 1957:16 - 17) ได้เสนอขัน้ ตอนการแกป้ ัญหาไว้ 4 ขั้นตอน ดงั นี้ ขั้นที่ 1 ทําความเข้าใจปัญหา (Understanding the problem) พิจารณาว่า อะไรคือ ข้อมูล อะไร คือสิ่งไม่รู้ อะไรคือเง่ือนไขของปัญหา ปัญหาต้องการให้หาอะไร คําตอบอยู่ในรูปแบบ ใด รวมทั้งพิจารณาถึง เงอื่ นไขทใ่ี ห้เพยี งพอจะแก้ปัญหาหรือไม่ มากเกินความจําเป็นหรอื ขัดแย้ง กันเองหรือไม่ ขั้นที่ 2 วางแผนการแก้ปัญหา (Devising a plan) เป็นขั้นตอนที่สําคัญมาก ต้อง พิจารณาว่าจะ แก้ปัญหาด้วยวิธีใด แก้อย่างไร ค้นหาความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่รู้ กับที่ไม่รู้ในปัญหา ถ้าหา ความเชอ่ื มโยงไมไ่ ด้ ก็อาศัยหลกั การวางแผนดงั น้ี 1. เคยเห็นปัญหานี้มากอ่ นหรือไม่ มลี กั ษณะคลา้ ยกับปญั หาทเ่ี คยแก้มาก่อนหรือไม่ 2. ร้วู ่าปญั หาสัมพันธก์ ับอะไรหรอื ไม่ รู้ทฤษฎีทีจ่ ะนํามาใชแ้ กป้ ัญหาน้นั หรือไม่ 3. พิจารณาสิ่งที่ไม่รู้ในปัญหา และพยายามคิดถึงปัญหาที่คุ้นเคย ซึ่งมีสิ่งที่ไม่รู้ เหมือนกัน หรอื คลา้ ยกัน โดยดวู ่าจะใชว้ ิธกี ารแก้ปัญหาท่ีคนุ้ เคยมาใช้แกไ้ ดห้ รอื ไม่ 4. ควรอา่ นปญั หาอีกครัง้ และวเิ คราะห์ดวู ่าแตกตา่ งจากปัญหาทีเ่ คยพบหรือไม่ ขั้นที่ 3 ดําเนินการตามแผน (Carrying out the plan) เป็นขั้นลงมือปฏิบัติตามแผนที่ วางไว้ ตรวจสอบความเปน็ ไปได้ของแผน ตรวจสอบในแตล่ ะข้นั ตอนทป่ี ฏิบตั ิวา่ ถกู ต้องหรือไม่ ขั้นที่ 4 ตรวจสอบผล (Looking back) เป็นการตรวจผลท่ีได้ในแต่ละขั้นตอนที่ผ่าน มาเพื่อดูความ ถูกต้องของคําตอบและวิธีการในการแก้ปัญหา พิจารณาว่ายังมีคําตอบอื่น หรือวิธีการ แก้ปัญหาวิธีอื่น ๆ อีก หรือไม่ แล้วตรวจว่าผลลัพธ์ตรงกันหรือไม่ ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาให้ กะทัดรัด ชัดเจนและเหมาะสม ตลอดจนขยายแนวคดิ ในการแก้ปัญหาให้กว้างขวางข้นึ และยังอาจ ปรับเปลี่ยนบางเงื่อนไข เพ่ือหาข้อสรุปและ สรปุ ผลการแก้ปัญหาในรปู ท่ัวไป เทราท์แมน และลิชเทนเบิร์ก (Troutman and Lithtenberg 1995 : 4 - 7 ) ได้เสนอ กระบวนการ แกป้ ญั หาหาขน้ั ตอน ซ่งึ พัฒนาจากแนวคดิ พ้ืนฐานกระบวนการแกป้ ญั หาของโพลยา มขี ั้นตอนดงั น้ี 1. ทําความเข้าใจปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องทําความเข้าใจและมีความรู้ในสิ่งต่าง ๆ ในปัญหา อยา่ งลึกซ้ึง 2. กําหนดแผนในการแก้ปัญหา ผู้แก้ปัญหาควรกําหนดหลาย ๆ แผนหรือยุทธวิธีในการ แกป้ ญั หา เพื่อเปรยี บเทยี บและเลือกแผนท่ีมีประสิทธภิ าพมากทสี่ ุดมาใช้ในการแก้ปญั หา 3. ดาํ เนนิ การตามแผน เปน็ ขนั้ ตอนที่ผ้แู ก้ปัญหาลงมือทําตามแผนทก่ี าํ หนดไว้ 4. ประเมินแผนและคําตอบ ขั้นตอนนี้ให้พิจารณาว่าคําตอบที่ได้สอดคล้องกับปัญหาและมี ความสมเหตสุ มผลหรอื ไม่ และอาจลองแก้ปัญหาดว้ ยแผนหรอื ยุทธวิธีอนื่ ๆ 5. ขยายปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องค้นหารูปแบบทั่วไปของคําตอบหรือเข้าใจโครงสร้าง ของ ปัญหาอย่างชัดเจนจงึ จะขยายปญั หาได้ การขยายปัญหาอาจทําได้โดยเขียนปัญหาที่คล้ายกับ ปัญหา เดิมหรือเสนอปัญหาใหม่

- 15 - 6. บันทึกการแก้ปัญหา เป็นการบันทึกการทํางานในทุกขั้นตอน เพื่อเป็นประโยชน์ในการ แกป้ ญั หาครง้ั ต่อไป สมวงษ์ แปลงประสพโชค (2556) กล่าวว่า กระบวนการแก้ปัญหาที่ยอมรับและนำมาใช้กันอย่าง แพร่หลาย คือ กรระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหา ในขั้นตอนนี้ข้องทำความเข้าใจปัญหาและระบุส่วนสำคัญ ของปญั หา ซ่งึ ไดแ้ ก่ ตัวไมร่ ู้ค่า ขอ้ มลู และเงอื่ นไข อาจใชว้ ิธีต่างๆชว่ ยในการทำความเขา้ ใจปญั หา เช่น การเขยี นรูป การเขียนแผนภูมิ หรือการเขียนสาระปญั หาด้วยถอ้ ยคำของตนเอง ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้เป็นการค้นหาความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลและตัวไม่รู้ค่า แล้วนำความสัมพันธ์นั้นมาผสมผสานกับประสบการณ์ในการแก้ปัญหา เพ่ือกำหนดแนวทางหรือแผนในการแกป้ ญั หา ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตามแผน ขั้นตอนนี้ต้องการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติตามแนวทางหรือ แผนทว่ี างไว้ โดยเรม่ิ จากการตรวจสอบความเป็นไปได้ของแผน เพ่ิมเตมิ รายละเอียดต่างๆของแผนให้ ชัดเจน แลว้ ลงมอื ปฏบิ ัติจนกระทั่งสามารถหาคำตอบได้ ข้นั ที่ 4 ขัน้ ตรวจสอบผล ข้นั ตอนนี้ตอ้ งการใหม้ องยอ้ นกกลับไปยังคำตอบที่ได้มา โดยเริม่ จาก การตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความสมเหตสุ มผลของคำตอบและยทุ ธวธิ ีแก้ปัญหาที่ใช้ แล้วพิจารณาวา่ มคี ำตอบหรือยทุ ธวิธีแก้ปญั หาอย่างอืน่ อกี หรือไม่ จากกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) สรุปได้ว่า กระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคดิ ของโพลยา (Polya) มี 4 ข้นั ตอนดงั น้ี ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหาเป็นการคิดเกี่ยวกับปัญหาและตัดสินว่าอะไรที่ต้องการ คน้ หา โดยผู้เรียนต้องทำความเข้าใจปญั หาและระบุส่วนท่สี ำคญั ของปัญหา ข้นั ท่ี 2 ขน้ั วางแผนแก้ปัญหา เป็นการค้นหาความเช่ือมโยงหรอื ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล และตัวไม่รู้ค่า นำความสัมพันธ์ที่ได้มาผสมผสานกับประสบการณ์ กำหนดแนวทางหรือแผนในการ แก้ปญั หา ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตามแผน เป็นการลงมือปฏิบัติตามแผนหรือแนวทางที่วางไว้ อาจ ตรวจสอบความเป็นไปได้ของแผน เพิ่มเติมรายละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ความสำเร็จ ถ้าไม่ สำเรจ็ ต้องคน้ หาและทำการแกป้ ัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้ ขั้นที่ 4 ขั้นตรวจสอบผล เป็นการมองย้อนกลับไปยังคำตอบที่ได้มา เริ่มจากการตรวจสอบ ความถกู ต้อง ความสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวธิ ีแกป้ ัญหาทีใ่ ช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอื่นในการ แกป้ ญั หานอ้ี ีกหรือไม่ เอกสารที่เกีย่ วขอ้ งกบั โจทย์ปัญหาฟิสกิ ส์ 4. โจทย์ปัญหา ความหมายของโจทย์ปญั หา นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายที่แตกต่างกันออกไปของคำ ว่า“โจทย์ปัญหา” แต่หลักใหญ่ ใจความแล้วพบว่ามีส่ิงที่ตรงกันคือปัญหาเป็นสถานการณ์ ข้อคำ ถาม ข้อสงสยั ที่เม่ือเผชิญแล้วไม่สามารถที่จะ ใช้วิธีการใดในการแก้ไขเหตุการณ์ได้ในทันที (Krulik and Rudnick,1996) สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท, 2546) ที่กล่าวถึง โจทย์ปัญหาวา่ เปน็ สถานการณ์ เหตุการณ์หรือสิง่ ที่พบ

- 16 - แล้วไม่สามารถจะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งแก้ปัญหาได้ทันที หรือ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถมองเห็น แนวทางแก้ไขได้ทันที และสำหรับการแก้ปัญหานั้นเป็นกระบวนการสำคัญในการนำความรู้ที่มีอยู่ไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากเดิม เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ จากความสำคัญ ดังกล่าวสอดคล้องกับพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติพ.ศ. 2542 ในหมวดท่ี 4 มาตรา 24 ข้อที่ 2 ให้ความ สำ คัญกับการแกป้ ัญหาโดยระบุว่า สถานศึกษาควรใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้แก้ไขปัญหาเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดกระบวนการทางความคิดที่เป็นระบบ ขั้นตอนในการแก้ปัญหาและสำหรับการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์ไม่ควรใช้วิธีโดยให้ ผู้เรียนทำ แบบฝึกหัดซ้ำ ๆ ด้วยปัญหาประเภทเดิมๆ แต่ควรใช้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยสำหรับใช้ประเมินหรือ สะท้อนความสามารถตา่ งๆ ที่มีอยู่ในตวั ผู้เรียนผา่ นวิธีการแกป้ ญั หา (Foong, 2007) สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ (2544) ได้กล่าวถึงการแกป้ ัญหาวา่ เป็นกระบวนการทำ งานที่สลับซับซ้อนของสมองที่ต้อง อาศัยสติปัญญา ทักษะความรู้ ความเข้าใจความคิด การรับรู้ ความชำนาญรูปแบบ พฤติกรรมต่างๆ ประสบการณเ์ ดิมทง้ั จากทางตรงและทางออ้ ม มโนทัศน์ กฎเกณฑ์ ขอ้ สรปุ การพจิ ารณา การสังเกต และการใช้ กลยุทธ์ทางสติปัญญาที่จะวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความรู้ความเข้าใจต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผลและ จินตนาการเพื่อหาแนวทางปฏิบัติให้ปัญหานั้นหมดสิ้นไป สอดคล้องกับหลักสูตรวิทยาศาสตร์ของรัฐนิวยอร์ก ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า (Meng andDoran , 1993) กลา่ วถึง การแกป้ ญั หาเป็นผลผลิตท่ีสำคญั ของการเรียน การสอนวิทยาศาสตร์ การแก้ปัญหาในทางวิทยาศาสตร์จะเน้นการวางแผนการทดลอง การรวบรวม และการ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจุดประสงค์ในการค้นพบและอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึง เป็นการนำเอาเน้ือหาวิชาและทกั ษะกระบวนการทเ่ี หมาะสมมาใช้ในการแกป้ ญั หา โจทยป์ ญั หาทางฟสิ กิ ส์ โจทย์ปัญหาทางฟิสิกส์จะมีความเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ต่างทางธรรมชาติ ซึ่งผู้เรียนต้องมีความ เข้าใจอย่างลึกซึ้งตั้งแต่การศึกษาสถานการณ์ ความสัมพันธ์ตัวแปรต่างๆ ในสูตรทั่วไปในแต่ละเนื้อหา โดย โจทยจ์ ะเกยี่ วข้องกับการวัด เกีย่ วกับปรมิ าณ และหน่วย มีสูตร มีการแก้สมการหาตัวแปรท่ีไมท่ ราบค่า โดย ปัญหาโจทย์สามารถจัดจำแนกตามตามเป้าหมายของการฝึกแก้ปัญหาไว้ 6 ประเภท ดังน้ี (Charies and Lester, 1982) 1) ปัญหาทีใ่ ช้ฝึก (Dill exercise) เปน็ ปัญหาที่ใช้ฝึกขั้นตอน และวธิ ีการคำนวณ 2) ปัญหาอย่างง่าย (simple translationproblem) เป็นปัญหาที่เคยเห็นมาก่อน เช่น ปัญหาใน แบบเรียน ซึ่งต้องการฝึกให้คุ้นกับการเปลี่ยนประโยคข้อความเป็นประโยคสัญลักษณ์ มักเป็นปัญหาขั้นตอน เดยี วท่ีม่งุ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและพัฒนาการคดิ คำนวณ 3) ปญั หาทซี่ บั ซ้อน (Complex translation problem) คล้ายกับปญั หาอยา่ งง่ายแตเ่ พ่ิมปญั หาท่ีมี 2 ขน้ั ตอน หรือมากกวา่ 2 ขัน้ ตอน 4) ปัญหาที่เป็นกระบวนการ (Process problem) เป็นปัญหาที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่สามารถ เปลี่ยนเป็นประโยคสัญลักษณ์ได้ทันที จะต้องจัดปัญหาให้ง่ายขึ้น หรือแบ่งเป็นตอนย่อย ๆ แล้วหารูปแบบ ทั่วไปของปัญหา ซึ่งนำไปสู่การคิดและการแก้ปัญหา เน้นการพัฒนากลวิธีต่างๆ มีการวางแผนแก้ปัญหาและ ประเมินผลคำตอบ 5) ปัญหาประยุกต์ (Applied problem) เป็นปัญหาที่ต้องใช้ทักษะความรู้และวิธีการที่ได้มาซึ่งคำ ตอบต้องอาศัยหลักการเป็นสำคัญ เช่น การแทนข้อมูลด้วยสัญลักษณ์ จัดระบบ ประมวลผล และแปลผล ปัญหาประยกุ ต์เป็นปัญหาทีเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ ูแ้ กป้ ญั หาซ่งึ จะทำ ให้ผแู้ ก้ปญั หาเหน็ ประโยชนแ์ ละคุณคา่

- 17 - 6) ปัญหาปริศนา (Puzzle problem) เป็นปัญหาที่เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ มี ความยืดหยนุ่ ในการแก้ปญั หา และเปน็ ปัญหาที่มองได้หลายแง่มุมปัญหาปริศนามกั เปน็ ปญั หาลบั สมอง ปัญหา ทา้ ทาย ผู้ทีม่ ีทักษะในการแกป้ ญั หาจะแกป้ ัญหาในลักษณะนี้ได้ดี จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ โจทยป์ ัญหาทางฟสิ ิกส์ หมายถึง ปญั หาที่พบไดโ้ ดยท่วั ไปในแบบเรียน ตามปกติ ที่ใช้สำ หรับการฝึกให้นำ ทฤษฎี หลักการและสูตรทางฟิสิกส์ไปใช้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ปัญหา ขั้นตอนเดียวที่มุ่งให้เกิดความเข้าใจและการคิดคำ นวณ และปัญหาแปลกใหม่ที่ซับซ้อนเป็นปัญหาที่ต้องใช้ ความคิดในการวิเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ทักษะความรู้การได้มาซึ่งคำ ตอบต้องอาศัยวิธี การคำนวณ 2 วธิ ีการหรอื มากกว่าน้นั โดยการไดม้ าซึง่ คำตอบหากมีกระบวนการแกโ้ จทย์ปญั หาทีด่ ี ก็จะเป็นหนทางการได้มา ซึง่ คำตอบทางฟสิ กิ ส์ทีถ่ กู ตอ้ ง เอกสารที่เกย่ี วขอ้ งกบั ความพงึ พอใจ 5. ความพงึ พอใจ 5.1 ความหมายของความพงึ พอใจ สมบัติ ยรรยง. (2533 อ้างอิงใน ประกายเพชร พรมแสง. 2553 หน้า 66) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสบายใจต่อการกระทำ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องกระทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย หรือด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง ที่ตรงต่อ วัตถปุ ระสงค์ของหนว่ ยงาน อานนท์ กระบอกโท. (2543, อ้างอิงใน นารี อินรัมย์. 2556 หน้า 56) ได้สรุปความพึงพอใจว่า ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรูส้ ึกหรือเจตคติทด่ี ีต่อการทำงานนนั้ เช่น ความรู้สึกรัก ชอบ ภูมใิ จ สุขใจ เต็มใจ และยินดี ผู้มีความพึงพอใจในการทำงานจะมีความเสียสละและอุทิศแรงกายแรงใจและสติปัญญาให้แก่งาน อยา่ งแทจ้ รงิ จรวยพร สุดสวาท และคณะ. (2545 อ้างอิงใน วิไล ปันวาละ 2554 หน้า 56)ได้กล่าวว่า ความพึง พอใจ คือ สภาพของสภาวะจิตที่ปราศจากความเครียด ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นทีความต้องการถ้า ความต้องการนั้น ได้รับการตอบสนองทั้งหมด หรือบางส่วนความเครียดจะน้อยลง ความพึงพอใจจะเกิดขึ้น และในทางกลับกัน ถ้าความตอ้ งการนั้นไมไ่ ด้รบั การตอบสนองความเครยี ดและความไม่พึงพอใจจะเกิดขึ้น ณัฐสิทธิ์ วงตลาด. (2544, อ้างอิงใน นารี อินรัมย์. 2556 หน้า 56) ได้กล่าวความพึงพอใจในการ ทำงานหมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการปฏิบัติงาน และการที่บุคคลปฏิบัติงานด้วย ความสุข จนเป็นผลให้การทำงานนั้นประสบความสำเร็จสนองนโยบาย และบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การใน องค์กรทุกองค์กรไม่ว่าองค์กรใดก็ตามถ้ามีบุคคลที่ปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ มีความพึงพอใจ มีความสุข ทุก คนในองคก์ รน้นั จะพัฒนาอยา่ งไม่มีท่ีส้ินสดุ จารุวรรณ พุ่มพิศ. (2553 อ้างอิงใน พรพิมล ประหา 2556 หน้า 45) ได้สรุปความพึงพอใจคือ ความร้สู ึกหรือเจตคตใิ นด้านบวกของบุคคลท่ีไดร้ บั การตอบสนองทางประสาทสมั ผสั ท้ัง 5 ของสงิ่ รอบข้างทั้งใน ด้านวัตถุและจิตใจ ทำให้มีผลต่อความรู้สึก นึกคิด ความรู้สึกชอบ ยินดี เต็มใจ พอใจ หรือมีเจตคติที่ดีต่อการ จัดการเรยี นรู้ จากที่ได้กล่าว ความหมายของความพึงพอใจ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกใน ทางบวกของผู้ที่ปฏิบัติต่องานนั้นๆ เช่น ความรัก ชอบ สุขใจ เต็มใจ ทำให้สามารถปฏิบัติหน้าทีที่ได้รับ มอบหมายได้อย่างเต็มความสามารถ และอุทิศต่องานอย่างเต็มกำลัง ทำให้งานๆนั้นประสบความสำเร็จ

- 18 - ความรสู้ ึกในดา้ นดขี องนกั เรียนตอ่ การเรียนโดยวดั ไดจ้ ากแบบประเมนิ ความพึงพอใจ มีลักษณะเป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ 5.2 วธิ สี ร้างความพึงพอใจ อารยี ์ พนั ธม์ ณี. (2542, อา้ งอิงใน วรรณิสา บวั เผ่อื น, 2555 หนา้ 46-47) ได้กลา่ วว่า ความพงึ พอใจ ในการเรียนรู้นั้นมีผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ครูควรส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการ เรยี นรู้โดยสรา้ งความพึงพอใจให้เกดิ แก่ผเู้ รยี น ดังนี้ 1. การชมเชยและการตำหนิ ทัง้ 2 ประการจะมผี ลตอ่ การเรียนของผู้เรยี น 2. การทดสอบบ่อยครั้ง การทดสอบเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจการเรียนมากขึ้น เพราะอาจ หมายถึง การเลื่อนชั้น การสำเร็จการศึกษา การทดสอบบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ผูเ้ รียนสนใจการเรียนอย่าง ต่อเน่ือง สมำ่ เสมอ ซ่งึ จะส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของผูเ้ รยี นสงู และเปน็ ความพึงพอใจของผเู้ รยี น 3. การค้นคว้าความรู้ด้วยตนเอง ครูควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วยการ นำเสนอหรือกำหนดหัวข้อทีผ่ ูเ้ รียนสนใจ เพื่อใหผ้ เู้ รียนค้นควา้ เพิม่ เติมดว้ ยตนเอง 4. ใช้วิธีการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ เพื่อเร้าความสนใจเพราะวิธีการที่แปลกใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่ ประสบมากอ่ น จะชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดความตนื่ ตวั และมแี รงจงู ใจในการเรยี นรู้มากข้ึน 5. ตั้งรางวัลสำหรับงานที่มอบหมายเพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความพยายามให้งานที่ได้รับมอบหมาย ประสบผลสำเร็จดว้ ยดี และเกดิ ความพงึ พอใจกับความสำเรจ็ นัน้ ๆ 6. ยกตัวอย่างจากสิ่งที่เด็กยังไม่เคยพบ หรือคาดไม่ถึง การยกตัวอย่างประกอบกิจกรรมการเรียน การสอน ควรเป็นตัวอยา่ งที่ผูเ้ รยี นคนุ้ เคย เพ่อื ให้เขา้ ใจบทเรียนไดง้ า่ ยและเรว็ ขึ้น 7. เชื่อมโยงบทเรียนใหม่กบั สิ่งที่เรยี นรู้มาก่อน การเชื่อมโยงสิง่ ใหมใ่ หส้ ัมพันธ์กับส่ิงท่ีเป็นการเสริม ประสบการณ์เดิม จะทำให้เข้าใจง่ายและชัดเจนขึ้น และจะทำให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนยิ่งขึ้น เพราะผู้เรียน คาดหวังไว้ว่าจะนำสงิ่ ทเ่ี รยี นไปใช้ประโยชนแ์ ละเป็นพ้นื ฐานตอ่ ไป 5.3 แบบประเมินความพึงพอใจ หทัยรัตน์ ประทุมสูตร. (2542 อ้างอิงใน วิไล ปันวาละ 2554 หน้า 57)กล่าวว่า การประเมินความ พึงพอใจเปน็ เรอื่ งท่เี ปรยี บเทียบกับความเข้าใจทัว่ ๆไป ซ่ึงปกตจิ ะวดั ได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะ ถามมีเครื่องมือที่ต้องการจะใช้ในการประเมินผลความพึงพอใจที่หลากหลาย อาจแยกแนวทางการวัด ได้สอง แนวคดิ ตามความเห็นของ ชาลตี คิ ต์สเทนส์ กลา่ วคือ 1. ประเมนิ ผลความพึงพอใจจากสภาพทั้งหมดของแต่ละบุคคล เชน่ ที่ทำงาน ท่ีบ้าน และทุกๆอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการศึกษาตามแนวทางนี้จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์แต่ทำให้เกิดความยุ่งยากกับการที่จะ ประเมินผลและเปรยี บเทียบ 2. ประเมินผลความพึงพอใจโดยแยกออกเป็นองค์ประกอบ เช่น องค์ประกอบที่เกี่ยวกับงาน การ นเิ ทศงาน เก่ยี วกบั นายจา้ ง มาตรวดั ความพึงพอใจสามารถกระทำไดห้ ลายวิธี ไดแ้ ก่ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็น ซึ่ง สามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจถามความพึง พอใจในด้านตา่ งๆ เช่น การบรหิ ารและเงื่อนไขต่างๆ เป็นตน้ 2. การสมั ภาษณ์ เปน็ วธิ วี ัดความพึงพอใจทางตรงทางหน่ึง ซง่ึ ต้องอาศัยเทคนคิ และวิธีการท่ีดีจึงจะ ทำใหไ้ ด้ข้อมูลที่เปน็ จริงได้

- 19 - 3. การสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน ศจี อนนั ตน์ พคุณ. (2542 อา้ งอิงใน ธนวรรณ ไทยทอง 2556 หน้า 39-40) กล่าวถึง วิธีการวดั ความ พงึ พอใจว่าสามารถใชว้ ธิ กี ารสำรวจเป็นเครอ่ื งมอื วดั กไ็ ด้ ซึง่ มีวิธีการสำคญั อยู่ 4 วธิ ี คอื 1. การสังเกตการณ์ โดยผู้บริหารสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน จากการ แสดงออก การฟงั จากการพดู สงั เกตจากการกระทำ แล้วนำข้อมูลทีไ่ ด้จากการสงั เกตมาวิเคราะห์ 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสัมภาษณ์จะต้องมีการเผชิญหน้ากันเป็น สว่ นตัวหรอื สนทนากันโดยตรง แลกเปลี่ยนข่าวสารและความคดิ เหน็ ต่างๆ ด้วยวาจา 3. การออกแบบสอบถาม เป็นวิธีทน่ี ยิ มกนั มาก โดยใหผ้ ้ปู ฏิบตั งิ านแสดงความคดิ เห็นและความรู้สึก ลงในแบบสอบถาม การสร้างคำถามต้องพิจารณาอย่างดีเพื่อจะตั้งคำถาม ให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้งหมด และลักษณะของคำถามจะต้องอยู่ในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจสมบูรณ์ครบถ้วน วิธีที่นิยมใช้ใน ปัจจุบันคอื มาตราส่วนแบบลเิ คร์ท (Likert Scales) 4. ประกอบด้วยข้อความทีแ่ สดงถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึง่ แล้วมีคำตอบที่ แสดงถึงระดับความรสู้ กึ 5 คำตอบ เช่น มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทส่ี ดุ งานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง งานวิจยั ที่เกี่ยวข้องในประเทศ กมลทิพย์ กุลกิจ (2555) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้แบบ STAD เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 การวิจัยครัง้ นีม้ วี ัตถุประสงค์ เพอ่ื พฒั นากิจกรรมการเรียนร้ทู ่ีเน้นทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์โดยใช้รปู แบบการสอนแบบรว่ มมือกันเรียนรู้แบบ STAD เรอื่ ง การบวก ลบ คูณ หารระคน โดยให้ นักเรียนจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของจํานวนนักเรียนทั้งหมดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองพอกพัฒนาประชานุสรณ์ จํานวน 28 คน ใช้รูปแบบการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ าร เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1) เครื่องมือที่ใช้ใน การปฏิบัติ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจํานวน 12 แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เครื่องมือที่ใช้ สะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน และ แบบทดสอบท้ายวงจร 3) เครื่องมือที่ใช้ใการประเมินประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ได้แก่ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.84 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ ร่วมมือกันเรียนรู้แบบ STAD เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นกั เรียน มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ ทําความเข้าใจ วางแผนเลอื กแนวทางแก้ปญั หา ดาํ เนนิ การแกป้ ัญหา และตรวจสอบผลด้วยตนเอง มที ักษะการ ทํางานเป็นกลุ่ม การแลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน ช่วยเหลือกัน กล้าแสดงความคิดเห็น ยอมรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้แบบ STAD มี ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ขั้นนําเข้าสู่บทเรียน 2) ขั้นสอน ประกอบด้วย (1) นําเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น (2) กิจกรรมกลุ่มย่อย 3) ขั้นสรุป 4) ขั้นฝึกทักษะ 5) ทดสอบย่อย 6) การคิด คะแนนความก้าวหน้า 7) กลุ่มที่ได้รับการยกย่องหรือยอมรับ 2. นักเรียนจํานวนร้อยละ 85.71 ของจํานวน

- 20 - นกั เรยี นท้ังหมดมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตงั้ แตร่ ้อยละ 70 ขน้ึ ไป และมคี ะแนนเฉลีย่ คิดเป็นร้อยละ 83.92 ซึ่ง สงู กวา่ เกณฑ์ทกี่ ําหนด ปานจติ วัชระรงั สี (2557) ได้ศึกษา เรื่อง การพฒั นาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยา การศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้การ แก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยากับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์ และทักษะการทำงานร่วมกันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โดยใช้ กระบวนการแก้ปญั หาของโพลยากับการจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ กลมุ่ ตัวอย่างเปน็ นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนเทศบาลประตูลี้ สังกัดเทศบาลเมืองลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2558 จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยากับการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือ ในเรื่องบทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 16 แผน ใช้เวลาแผนละ 1 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์ ช้ัน ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 และ 3) แบบประเมนิ ทักษะการทำงานรว่ มกันของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6 จากการ จดั การเรียนรู้การพัฒนาทักษะการแกโ้ จทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คะแนน เฉลี่ย และค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานรวมทั้งผลทดสอบสมมติฐานใช้ค่า t-test ผลการวิจัย พบว่า (1.) แผนการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 มี ประสิทธิภาพ 78.70/ 77.50 และมีลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นทำความ เขา้ ใจปญั หา 2) ขนั้ วางแผนการแก้ปัญหา 3) ขั้นดำเนนิ การตามแผน 4) ขนั้ ตรวจสอบผล สามารถพัฒนาทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์และทกั ษะการทำงานร่วมกันของนกั เรียนได้ตามเป้าหมายท่ตี ั้งไว้ (2.) ผลการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา กับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า คะแนนเฉลี่ยทักษะการแก้ โจทยป์ ญั หาประยกุ ต์ทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแกป้ ญั หาของโพลยากับการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 54.38 และ 93.00 ตามลำดับ และสูงกว่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3.) ผลการศึกษาทักษะ การทำงานร่วมกันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 จากการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ ปัญหาประยุกต์ทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยากับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ พบวา่ นักเรยี นมที ักษะการทำงานร่วมกนั อยู่ในระดับดี วรัญญา ทองหาญ (2560) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตาม กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยารว่ มกับการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ฟิสิกส์ พื้นฐานฯ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชาฟิสิกส์พื้นฐาน เรื่อง มวล แรง กฎการเคลื่อนท่ี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาค่าดัชนี ประสิทธิผลของการเรียนรูด้ ้วยแบบฝกึ ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปญั หาของโพลยาร่วมกบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD รายวิชา ว30101 ฟสิ กิ สพ์ น้ื ฐาน เรอ่ื ง มวล แรง กฎการ เคลื่อนท่ี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและ

- 21 - หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน เรื่อง มวล แรง กฎการเคลื่อนที่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 4) เพอื่ ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ีต่อการเรยี นด้วยแบบฝึกทักษะการ แก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน เรื่อง มวล แรง กฎการเคลื่อนที่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 19 จำนวน 2 หอ้ งเรยี น รวม 48 คน คอื ห้อง ม.4/5 และ หอ้ ง ม.4/6 ได้มาโดยการสุ่มอย่าง ง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลาก ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษาคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 7 แผน 2) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา ร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 4 จำนวน 7 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 4 แบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน เรื่อง มวล แรง กฎการ เคลื่อนท่ี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ ผลการศึกษา พบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตาม กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสกิ สพ์ ้นื ฐาน ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 มปี ระสิทธภิ าพเท่ากับ 89.80/87.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ 80/80 2) ดัชนีประสิทธผิ ลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปญั หาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับ การจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟสิ กิ สพ์ ื้นฐาน ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.7615 ซึ่งแสดงว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยาร่วมกบั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบรว่ มมือเทคนคิ STAD มคี วามก้าวหน้าทางการเรียน เพิ่มขึ้น 0.7615 หรือคิดเป็นร้อยละ 76.15 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ การแกโ้ จทยป์ ัญหาตามกระบวนการแกป้ ัญหาของโพลยารว่ มกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (���⃑���=4.44 , S.D.=0.61) เม่ือ พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ (���⃑���=4.47 , S.D.=0.55) รองลงมา คือ ด้านสอ่ื การเรยี นการสอน (���⃑���=4.46 , S.D.=0.61) และด้านที่มีค่าเฉล่ีย ตำ่ สดุ คอื ด้านเนอื้ หา (���⃑���=4.40 , S.D.=0.67) งานวิจยั ท่ีเก่ยี วขอ้ งในต่างประเทศ เฉิน (Chen. 2004 : 57-A) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลกระทบของวิธีการจัดการเรียนการสอน แบบร่วมมือทมี่ ผี ลสัมฤทธิ์ทางด้านวิชาการของนักเรยี น ในชัน้ เรยี นวิชาภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาต่างประเทศ ใน วิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศไต้หวัน การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ 2 แบบท่ี

- 22 - นำมาใช้กับกลุ่มทดลองคือ เทคนิคจิกซอว์และเทคนิค STAD ส่วนนักศึกษาในกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการ เรียนการสอนโดยใชว้ ธิ กี ารแบบปกตผิ ลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในกลุ่มทดลองมผี ลคะแนนสูง กว่ากลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาในกลุ่มควบคุม และกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาชายในกลุ่มที่ใช้วิธีการจัดการ เรียนการสอนแบบร่วมมือ สามารถแสดงผลการปฏิบัติที่ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาชายในกลุ่มที่ ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เป็น กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ชว่ ยพัฒนาผลการเรียนของนกั เรียนให้ดีขึ้น แล้วส่งผลใหน้ ักเรียน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นักเรียนมีความเข้าใจในบทบาทของตนเอง มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนมีความรัก ความสามัคคี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีความรับผิดชอบในการทำงาน และส่งผลให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ผู้วิจัยจึงได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังกลา่ ว มาใชเ้ ปน็ แนวทางในการพัฒนา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้สร้างและพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น เพื่อใช้ในการ จัดการเรียนรู้รายวิชาฟิสิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการ แก้โจทยป์ ัญหาวิชาฟสิ กิ ส์ใหม้ คี ุณภาพเปน็ ที่พึงประสงค์มากยิ่งข้ึน

- 23 - บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั ในการการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปที ่ี 5/1 โรงเรยี นประชาสงเคราะหว์ ทิ ยา มรี ายละเอียดขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน ดังน้ี ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัยคร้งั นี้ นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนประชาสงเคราะหว์ ิทยา ปีการศึกษา 2565 จำนวน 193 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 สายวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน โดยใช้วิธีการ ส่มุ กลุ่มตัวอยา่ งแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั ครง้ั น้ี ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 2. แบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คล่ืน สำหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5/1 จำนวน 30 ขอ้ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คล่ืน สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5/1 การสรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั 1. การสรา้ งและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวน การแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรอ่ื ง คล่ืน สำหรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 ในการสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 มีข้ันตอนดำเนนิ งาน ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิเคราะห์โครงสร้าง เนือ้ หา มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชว้ี ดั 1.2 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย เพอื่ ใชใ้ นการกำหนดตวั ชีว้ ดั

- 24 - 1.3 ศึกษาทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนประชาสงเคราะหว์ ิทยา แบ่งออกเปน็ 5 ข้ัน ดังนี้ 1. ข้นั นำเสนอเน้ือหา โดยการทบทวนพ้ืนฐานความร้เู ดมิ 2. ขั้นปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม โดยนักเรียนในกลุ่ม 4-5 คน ร่วมกันศึกษากลุ่มย่อย นักเรียนเก่งจะอธิบายให้นักเรียนอ่อนฟังและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำกิจกรรม กิจกรรมของกลุ่มจะอยู่ในรูปการอภิปรายหรือการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยใช้กระบวนการ แกป้ ญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) ตามขัน้ ตอน ดงั น้ี ขัน้ ที่ 1 ขนั้ ทำความเข้าใจปัญหา ผู้เรียนตอ้ งทำความเข้าใจปัญหาและระบุ ส่วนท่สี ำคญั ของปัญหา ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ผู้เรียนต้องหาความเชื่อมโยงหรือ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและตัวไม่รู้ค่า นำความสัมพันธ์ที่ได้มาผสมผสานกับ ประสบการณ์ กำหนดแนวทางหรอื แผนในการแก้ปญั หา ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตามแผน ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติตามแผนหรือ แนวทางทว่ี างไว้ อาจตรวจสอบความเปน็ ไปไดข้ องแผน เพมิ่ เตมิ รายละเอียด แลว้ ลง มือปฏิบัติจนได้ความสำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จต้องค้นหาและทำการแก้ปัญหาจนสามารถ แก้ปัญหาได้ ขั้นที่ 4 ขั้นตรวจสอบผล เป็นการมองย้อนกลับไปยังคำตอบที่ได้มา เริ่ม จากการตรวจสอบความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวธิ ีแก้ปัญหา ทีใ่ ช้ มคี ำตอบหรอื ยทุ ธวธิ ีอืน่ ในการแกป้ ญั หาน้อี ีกหรือไม่ 3. ขั้นทดสอบย่อย นักเรียนแต่ละคนจะทำแบบทดสอบด้วยตนเอง ไม่มีการ ช่วยเหลอื กัน 4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของ นักเรียน โดยคะแนนที่นักเรียนทำได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนำ คะแนนรายบุคคลไปแปลงเป็นคะแนนกลุม่ 5. ชมเชย ยกย่อง บุคคลหรือกลุ่มที่มีคะแนนยอดเยี่ยม นักเรียนคนใดทำคะแนนได้ ดีกวา่ ครงั้ กอ่ น จะไดร้ บั คำชมเชยเป็นรายบุคคล และกลุ่มใดทำคะแนนไดด้ ีกวา่ คร้ังก่อนจะได้ รบั คำชมเชยทง้ั กลุม่ 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ให้ข้อมูลในการสร้างและ ประเมินความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกบั กระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) สำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 5/1 เรื่อง คลื่น ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ ด้านหลักสูตรและการสอน ด้าน วิทยาศาสตร์ศึกษาและด้านวัดและประเมินผล เพื่อทำการประเมินความสอดคล้องเนื้อหา โดย คำนวณหาคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) และประเมินความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนรู้ 1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้วให้อาจารย์ที่ ปรึกษาตรวจสอบความเรยี บร้อย เพ่อื จดั ทำเป็นแผนการจัดการเรียนรูฉ้ บับสมบรู ณ์

- 25 - 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง คลื่น ที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) ไปใช้ กับนักเรยี นกล่มุ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5/1 ทีเ่ รยี นดว้ ยแผนการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรยี น 44 คน 2. การสรา้ งและพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 2.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ฟิสิกส์ 2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ จากเอกสารและ ตำราท่ีเกี่ยวข้องกับเทคนิควิธีการสร้างข้อสอบ 2.3 วิเคราะห์เนื้อหาหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง คลื่น เพ่ือเป็นข้อมูลในการสร้างแบบทดสอบ 2.4 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง คลื่น โดยสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก ให้ครอบคลุมทุกจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในตาราง วิเคราะห์เนื้อหา และจุดประสงค์ท้ังหมด 1 ฉบับจำนวน 30 ข้อ 2.5 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง คลื่น ท่ีสร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และโครงสร้างภาษาที่ใช้และความ เหมาะสมของตัวเลือก แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ 2.6 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง คลื่น ที่แก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของภาษา และพิจารณาความเที่ยงตรงเชิง เน้ือหา ( Content validity ) โดยใช้เกณฑ์กำหนดคะแนนความคิดเห็นดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าเน้ือหาข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าเนื้อหาข้อคำถามสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ -1 หมายถึง แน่ใจว่าเน้ือหาข้อคำถามไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นบันทึกผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญแล้วหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ( index of objective congruence : IOC ) 2.7 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง คลื่น ไปปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สาย วิทย์-คณิต ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 2.8 นำคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยให้คะแนนข้อที่ตอบถูกข้อละ 1 คะแนน ข้อที่ตอบผิดหรือไม่ได้ตอบให้ 0 คะแนน นำไปวิเคราะห์หาค่าความยาก (P) ระหว่าง 0.2 - 0.8 และค่า อำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไปแล้วเลือกข้อสอบที่ตรงตามเกณฑ์มากที่สุด 25 ข้อ ที่มีค่าความยากง่าย ระหว่าง 0.35 - 0.75 และค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.4 - 0.8 2.9 นำแบบทดสอบมาหาความเชื่อมั่นโดยใช้ศูนย์การหาค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบท้ังฉบับ 2.10 นำแบบทดสอบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง คลื่น ไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา

- 26 - 3. การสร้างและพัฒนาแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คล่ืน สำหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5/1 มขี ้นั ตอนการดำเนนิ การ ดงั น้ี 3.1 การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดงั นี้ ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน จากการเรียนโดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรื่อง คล่ืน ใช้แนวคิดตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) และทฤษฎีความต้องการของอัล เดอร์เฟอร์ (Alderfer) โดยแบ่งแบบวัดออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านความพึงพอใจต่อพฤติกรรมและวิธีการสอน ของครู 5 ข้อ ดา้ นความพึงพอใจต่อการรว่ มกิจกรรมกลุ่ม 5 ข้อ ดา้ นความพึงพอใจต่อพฒั นาการของตนเอง 5 ข้อ และด้านความพึงพอใจต่อการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน 5 ข้อ รวม 20 ข้อ โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนนตามระดบั ความพึงพอใจดังน้ี มากทสี่ ุด 5 คะแนน มาก 4 คะแนน ปานกลาง 3 คะแนน น้อย 2 คะแนน นอ้ ยทีส่ ดุ 1 คะแนน ผูว้ จิ ยั ไดด้ ำเนินการสร้างแบบวัดความพึงพอใจของผูเ้ รียนตอ่ การเรียนโดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรื่อง คลื่น ตาม ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ศึกษาแบบสอบถาม แบบวัด และแบบประเมินจากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการสรา้ งแบบวัดความพงึ พอใจ 2. กำหนดประเภทของความพึงพอใจ โดยจำแนกออกเป็น 4 ด้านคือ ความพึงพอใจต่อ พฤตกิ รรมและวธิ กี ารสอนของครู ความพงึ พอใจต่อการรว่ มกิจกรรมกล่มุ ความพงึ พอใจต่อพัฒนาการ ของตนเอง และความพงึ พอใจตอ่ การนำความรู้ทไี่ ด้ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน 3. สร้างแบบวัดความพึงพอใจโดยให้มีเนื้อหาครอบคลุมนิยามของความพึงพอใจทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 5 ขอ้ รวม 20 ขอ้ 4. นำแบบวัดความพึงพอใจท้ัง 20 ข้อ เสนอคณะกรรมการที่ปรึกษาวิจัยพจิ ารณาตรวจสอบ และปรับปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำ 5. นำแบบวัดที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) ของแบบวัดพฤติกรรมความพึงพอใจทั้ง 4 ด้าน โดยพิจารณาความสอดคล้อง ระหวา่ งรายการคำถามแต่ละขอ้ กบั นิยาม โดยใชเ้ กณฑก์ ารประเมินดังน้ี ให้คะแนน +1 เมอื่ แน่ใจว่าข้อนนั้ วัดไดต้ รงตามนยิ าม ให้คะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ นใ่ จว่าข้อน้นั วดั ได้ตรงตามนิยาม ให้คะแนน -1 เมอื่ แนใ่ จว่าข้อนัน้ วัดไมต่ รงนิยาม 6. คัดเลอื กข้อที่มีคา่ IOC ตง้ั แต่ 0.5 ขึ้นไปนำไปใช้วดั ความพงึ พอใจ สว่ นขอ้ ที่มีค่า IOC ตำ่ กวา่ 0.5 นำไปปรบั ปรงุ ตามคำแนะนำของผูเ้ ช่ียวชาญ และให้ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบอีกครั้งหน่ึง 7. จัดทำแบบประเมินความพึงพอใจ เพื่อนำไปใช้จริง

- 27 - รปู แบบของการวจิ ัย ในการวิจยั ครงั้ น้ใี ชร้ ูปแบบการทดลองแบบ One Group Pretest - Posttest Design (บญุ ธรรม กจิ ปรดี าบริสทุ ธ์ิ,2543: 95) ดังนี้ O1 X O1O2 เมอ่ื O1 คือ การทดสอบก่อนการทดลอง O2 คอื การทดสอบหลงั การทดลอง X คือ การจัดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้การจดั การเรยี นรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลน่ื สำหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/1 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1. ก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ผู้วจิ ยั จะดำเนนิ การทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Pretest) เร่ือง คล่ืน กบั นักเรียน ในวนั ท่ี 2 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้ ตั้งแต่วันที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 15 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 โดยใช้เวลาสอนทั้งสิ้น 21 ชว่ั โมง 3. เมอื่ สอนครบทกุ แผนการสอนแล้วจะดำเนินการทดสอบเพอื่ วัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียน (Posttest) กับกล่มุ ตัวอยา่ งโดยใช้แบบวัดชดุ เดียวกนั กับทใ่ี ชว้ ดั ก่อนเรียน 4. ตรวจผลการสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน แล้วนำคะแนนทไ่ี ดม้ าวิเคราะหท์ างสถติ ิ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 กอ่ นและหลงั การใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) โดยใช้ t-test Dependent Sample 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) หลังเรยี นเทียบกับเกณฑ์รอ้ ยละ 70 โดยใช้ t-test for One Sample 3. วเิ คราะห์ระดบั ความพงึ พอใจของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 ท่มี ตี ่อการใช้การจัดการเรยี นรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D)

- 28 - สถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล 1. สถิตพิ นื้ ฐาน 1.1 คา่ เฉลี่ย(Mean) ใช้สตู ร (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545, หน้า 102) ดงั นี้ ∑ ������ ������̅ = ������ เมื่อ ������̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลมุ่ ������ แทน จำนวนคนในกลุ่ม 1.2 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D) มีสตู รในการคำนวณดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 หน้า 106) ������. ������. = √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 ������(������−1) เมือ่ ������. ������. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ������ แทน จำนวนผูเ้ รยี นท่ีเปน็ กลุ่มตัวอยา่ ง ������ แทน คะแนน 2. สถติ ิท่ใี ช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 2.1 การหาค่าความตรงเชิงเนื้อหาของการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิสิกส์โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ด้วยวิธีการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ ลกั ษณะพฤตกิ รรมโดยใช้สตู ร (เทยี มจันทร์ พานชิ ย์ผลนิ ไชย, 2549 หน้า 181) ดงั น้ี ������������������ = ∑ ������ ������ เมอ่ื ������������������ แทน ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งจุดประสงค์กับเนอื้ หา ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนของผู้เชีย่ วชาญทงั้ หมด ������ แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญทง้ั หมด * เกณฑ์การผา่ นของข้อคำถาม ต้องไดค้ า่ IOC มากกวา่ หรือเทา่ กับ 0.5 (IOC ≥ 0.5) 2.2 หาค่าความยากงา่ ย (P) ของแบบทดสอบวัดทักษะการแกโ้ จทย์ปัญหา เรอ่ื ง คลนื่ โดย ใช้สูตร (สุรพี ร อนศุ าสนนนั ท์, 2554, หนา้ 160) ดังน้ี ������ ������ = ������

- 29 - เมื่อ ������ แทน ค่าความยาก ������ แทน จำนวนผู้ตอบถกู ������ แทน จำนวนคนในกลุ่มสงู และกลุม่ ตำ่ * เกณฑใ์ นการพิจารณาค่าความยากง่ายทพ่ี อเหมาะ คือ 0.2-0.8 2.3 การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่อง คลื่น รายขอ้ โดยประยกุ ต์ใชว้ ธิ ี Brennan มสี ูตร (เทียมจนั ทร์ พานิชย์ผลินไชย, 2549, หน้า 210) ดงั นี้ ������ = ������������ − ������������ ������������ ������������ เม่ือ ������ แทน คา่ อำนาจจำแนกของขอ้ สอบ ������������ แทน จำนวนผทู้ ผี่ ่านเกณฑ์และตอบขอ้ สอบข้อนั้นถูก ������������ แทน จำนวนที่ไมผ่ ่านเกณฑ์และตอบคำและตอบข้อสอบ ขอ้ น้นั ถกู ������������ แทน จำนวนผผู้ า่ นเกณฑท์ ั้งหมด ������������ แทน จำนวนท่ผี ทู้ ไ่ี ม่ผ่านเกณฑ์ทง้ั หมด ซง่ึ มีรายละเอียดในการประยุกตใ์ ช้สูตรของเบรนนอนดังน้ี ������������ แทน จำนวนผตู้ อบข้อสอบข้อนั้นถกู ในกลุ่มสงู นำมาประยุกตเ์ ปน็ ������������ แทนจำนวนผู้ทผ่ี ่านเกณฑ์และตอบข้อสอบข้อนั้นถูก ������������ แทน จำนวนผู้ท่ีตอบขอ้ สอบข้อน้นั ถูกในกลุม่ ต่ำ นำมาประยุกต์เปน็ ������������ แทน จำนวนผูท้ ี่ไม่ผ่านเกณฑ์และตอบขอ้ สอบข้อนน้ั ถูก ������������ แทน จำนวนผูท้ ีอ่ ยใู่ นกลุ่มต่ำ นำมาประยุกตเ์ ป็น ������������ แทน จำนวนผู้ท่ีผา่ นเกณฑ์ท้งั หมด ������������ แทน จำนวนผทู้ ่อี ยู่ในกลมุ่ ตำ่ นำมาประยุกต์เปน็ ������������ แทนจำนวนผู้ทไี่ มผ่ ่านเกณฑท์ ั้งหมด * เกณฑ์ในการพิจารณาค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.2 ข้ึนไป (r ≥ 0.2) 2.4 การหาความเชื่อมั่น (Reliabillty) ของแบบวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เรื่อง คลื่น โดยวิธีการหาค่าแบบ KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder&Richardson) มีสูตร ดังน้ี (Kbel and Frisbie, 1986:77-78) ������������������−20 = ������ [1 − ∑���������2���������] ������−1

- 30 - เมอ่ื ������������������ แทน คา่ ความเชอื่ มน่ั ของแบบทดสอบ ������ แทน จำนวนขอ้ สอบ ������ แทน สัดสว่ นจำนวนคนตอบแต่ละข้อถกู ������ แทน สดั ส่วนจำนวนคนตอบแตล่ ะข้อผดิ (1-p) ������2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทัง้ ฉบบั 3. สถติ ทิ ใ่ี ช้ทดสอบสมมติฐาน 3.1 การทดสอบคา่ ที (t- test Dependent samples) ใช้สูตร (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545,หนา้ 112) ดังนี้ ������ = ∑ ������ √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 (������−1) เม่อื ������ แทน คา่ สถติ ทิ จี่ ะใช้เปรยี บเทยี บกบั ค่าวิกฤตเพ่ือทราบความมีนัยสำคัญ ������ แทน ค่าผลตา่ งระหว่างคู่คะแนน ������ แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อย่างหรือจำนวนคู่คะแนน ∑ ������ แทน ผลรวมของความแตกต่างระหว่างคะแนนการสอบก่อน-หลังเรยี น ∑ ������2 แทน ผลรวมกำลังสองของผลต่างระหว่างคะแนนการสอบก่อน – หลังเรียน 3.2 เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเทียบกับเกณฑร์ ้อยละ 70 โดย การทดสอบคา่ ที (One sample t-test) (ชศู รี วงศ์รตั นะ, 2553, หนา้ 224) ดังน้ี เมื่อ ������ X − ������ ������ = ; ������������ = ������ − 1 (S. D. )/√������ แทน ค่าสถติ ทิ ี่มกี ารแจกแจงแบบที ������ แทน จำนวนตวั อย่าง ������. ������. แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ������ แทน ค่าจากเกณฑท์ ีก่ ำหนดรอ้ ยละ 70 ���̅��� แทน คา่ เฉลย่ี ของตวั อยา่ งทไี่ ด้

- 31 - บทท่ี 4 ผลการวิจัย ในการวจิ ัยคร้งั น้ีผู้วิจัยมจี ุดมุ่งหมาย 1. เพือ่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คล่ืน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เร่อื ง คลืน่ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยการใช้การจดั การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3. เพื่อประเมิน ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ รว่ มมือเทคนคิ STAD รว่ มกบั กระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) โดยผู้วิจัยได้เรียบเรียงการ นำเสนอผลการวิจยั ดังน้ี 1. สญั ลักษณ์ทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล 2. การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สญั ลักษณ์ทใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองและการแปรผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกัน ผูว้ จิ ัยจึงไดก้ ำหนดสัญลักษณ์ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังตอ่ ไปนี้ ������ แทน จำนวนนักเรยี นในกลุ่มตัวอย่าง ������. ������. แทน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนน ������ แทน คะแนนเฉล่ีย ������ แทน ค่าสถิตทิ ดสอบที่มีการแจกแจงแบบที ������ แทน ค่าเฉล่ียของผลต่างของคะแนนกอ่ นและหลัง ������. ������.������ แทน ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของผลตา่ งของคะแนนก่อนและหลงั เรยี น ∗ แทน มนี ัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 การเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ผูว้ จิ ยั ได้เสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยการใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกบั กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพล ยา(Polya) หลังเรียนเทียบกับเกณฑร์ ้อยละ 70

- 32 - 3. ผลการวิเคราะห์แบบประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จากการ จดั การเรียนรู้โดยใช้การจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนคิ STAD รว่ มกับกระบวนการแกป้ ญั หาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) เรอ่ื ง คลน่ื ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและแปรผลการวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ลำดับขั้นตอนการ นำเสนอขอ้ มลู ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคดิ ของโพลยา(Polya) ตารางที่ 1 ค่าร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5/1 ก่อนและหลังการใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการ แก้ปญั หาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เลขท่ี กอ่ นเรยี น หลังเรยี น คะแนน คะแนนร้อยละ คะแนน คะแนนรอ้ ยละ 1 6 30 11 55 2 6 30 14 70 3 9 45 20 100 4 5 25 15 75 5 2 10 12 60 6 4 20 16 80 7 8 40 16 80 8 8 40 17 85 9 5 25 15 75 10 13 65 20 100 11 5 25 13 65 12 5 25 17 85 13 10 50 18 90 14 6 30 19 95 15 11 55 14 70 16 5 25 14 70 17 3 15 16 80 18 6 30 17 85 19 10 50 18 90 20 6 30 16 80 21 13 65 16 80

- 33 - ตารางที่ 1 (ตอ่ ) ก่อนเรยี น หลังเรยี น เลขท่ี คะแนน คะแนนร้อยละ คะแนน คะแนนร้อยละ 22 9 45 19 95 23 24 11 55 19 95 25 26 9 45 16 80 27 28 7 35 16 80 29 30 8 40 18 90 31 32 12 60 16 80 33 34 8 40 16 80 35 36 11 55 17 85 37 38 6 30 15 75 39 40 6 30 16 80 41 42 8 40 19 95 43 44 5 25 10 50 ������⃑ 8 40 13 65 ������. ������. 5 25 12 60 10 50 19 95 5 25 15 75 10 50 18 90 6 30 16 80 13 65 16 80 11 55 14 70 5 25 14 70 8 40 17 85 5 25 15 75 7.47 37.36 15.97 79.86 2.76 - 2.50 - จากตารางท่ี 1 พบว่า โดยรวมนักเรียนได้คะแนนเฉลยี่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรยี นเทา่ กับ 7.47 คะแนน หลังเรยี นเทา่ กับ 15.97 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน หรอื คดิ เป็น ร้อยละ 37.36 และร้อยละ 79.86 ตามลำดบั โดยกอ่ นเรียนมีคะแนนระหวา่ ง 2 ถึง 13 คะแนน หรอื ระหว่างร้อยละ 10 ถึง 65 หลังเรยี นมี คะแนนอยรู่ ะหว่าง 10 ถึง 20 คะแนน หรอื ระหวา่ ง ร้อยละ 50 ถึง 100

- 34 - การศึกษาผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) มาเปรียบเทียบผลต่าง โดยใช้วิธีทางสถิติการทดสอบค่าที (t- test Dependent samples) ได้ดงั ตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ก่อนและ หลังได้รับการจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพล ยา(Polya) เรอื่ ง คล่ืน การทดสอบ ���⃑��� ������. ������. ���⃑⃑��� ������. ������.������ ������ Sig.(1- tailed) กอ่ นเรยี น 7.45 2.76 8.50 2.58 19.77** 0.0000 หลังเรยี น 15.97 2.50 ** มนี ยั สำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.45 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 37.36 ของคะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนหลังเรียนเท่ากับ 15.97 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.86 ของคะแนนเต็ม และจากการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนระหวา่ งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบทางสถิติ พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนมีค่าสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ตารางที่ 3 แสดงผล การหาค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น ของ นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5/1 โดยใช้ดชั นีประสทิ ธิผล (E.I.) ผลคูณของจำนวนนกั เรียน ผลรวมของคะแนน ผลรวมของคะแนน ดชั นีประสิทธิผล กบั คะแนนเต็ม ก่อนเรยี น หลงั เรียน (E.I.) 44×20 269 575 0.6785 จากตารางที่ 3 พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6785 แสดงว่า นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.6785 หรือคิดเปน็ ร้อยละ 67.85 สรุปได้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรายวชิ าฟิสกิ ส์ เรอ่ื ง คลื่น สูงกว่าก่อนเรียนซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่วางไว้ และค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนสำหรับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรือ่ ง คล่นื ของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/1 อย่ใู นระดบั ผ่านเกณฑ์

- 35 - 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โดยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพล ยา(Polya) หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้วิธีทางสถิติการทดสอบค่าที (One - sample t-test) ไดด้ ังตารางท่ี 4 ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาฟสิ ิกส์ เรอ่ื ง คลนื่ ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5/1 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) เทยี บกับเกณฑร์ อ้ ยละ 70 โดยใชว้ ธิ ที างสถติ ิการทดสอบค่าที (One - sample t-test) การทดสอบ ������ คะแนนเตม็ ������⃑ ������. ������. % of ������ Sig(1- Mean tailed) หลังเรยี น 36 20 15.97 2.50 79.86 4.73 * 0.0000 ** มีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 จากตารางที่ 4 พบวา่ คา่ เฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าฟิสิกส์ เรอ่ื ง คลื่น ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โดยใช้การจดั การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.97 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.87 และเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลงั เรียนของนักเรยี น พบว่า คะแนนสอบหลังเรยี นของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษา ปที ี่ 5/1 สงู กว่าเกณฑอ์ ย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 สรุปได้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกบั กระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าฟสิ ิกส์ เร่อื ง คล่นื สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 หรือ 14 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน (���⃑��� = 15.97) ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานทวี่ างไว้

- 36 - 3. ผลการวิเคราะห์แบบประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จากการ จัดการเรียนรโู้ ดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนคิ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคิดของ โพลยา(Polya) เรื่อง คล่นื โดยใช้วิธีการหาคา่ เฉล่ยี (���⃑���) และคา่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ได้ดังตารางที่ 5 ตารางท่ี 5 ผลการวเิ คราะหแ์ บบประเมนิ ระดับความพึงพอใจของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 จากการ จัดการเรียนรโู้ ดยใช้การจดั การเรยี นร้แู บบรว่ มมอื เทคนิค STAD รว่ มกับกระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิด ของโพลยา(Polya) ขอ้ รายการประเมิน ���⃑⃑��� ������. ������. แปลผล ดา้ นความพงึ พอใจตอ่ พฤตกิ รรมและวิธกี ารสอนของครู 1 ครมู กี ารเตรยี มการสอน 4.69 0.47 มากที่สดุ 2 ครูตงั้ ใจสอน ให้คำแนะนำนกั เรียนในการทำกจิ กรรม 4.69 0.47 มากที่สดุ 3 ครสู ่งเสริมให้นักเรยี นมคี วามคดิ ริเรมิ่ และรู้จกั วิพากษว์ ิจารณ์ 4.72 0.45 มากที่สดุ 4 ครูให้โอกาสนักเรยี นซกั ถามปัญหา 4.78 0.42 มากที่สดุ 5 ครใู ห้ความสนใจแกน่ ักเรยี นอยา่ งท่วั ถึงขณะสอน 4.69 0.47 มากที่สดุ ดา้ นความพงึ พอใจต่อการรว่ มกจิ กรรมกล่มุ 1 กิจกรรมกลุ่มทำให้เขา้ ใจและรจู้ กั เพื่อนมากขน้ึ 4.75 0.44 มากที่สดุ 2 กิจกรรมกลุ่มช่วยฝกึ การทำงานร่วมกบั ผูอ้ ื่น 4.69 0.47 มากที่สดุ 3 กิจกรรมกลุ่มช่วยให้มกี ารแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กนั ภายในกลมุ่ 4.78 0.42 มากทส่ี ดุ 4 กิจกรรมกลมุ่ ทำให้มกี ารชว่ ยเหลือเกื้อกลู กนั ภายในกลุม่ 4.67 0.48 มากทส่ี ุด 5 กจิ กรรมกลุ่มฝึกให้มีการรบั ฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืนมากขึ้น 4.67 0.48 มากทส่ี ุด ด้านความพงึ พอใจต่อพัฒนาการของตนเอง 1 การจดั การเรยี นรู้ชว่ ยให้นักเรียนตัดสนิ ใจโดยใช้เหตุผล 4.75 0.50 มากทส่ี ุด 2 การจดั การเรียนรทู้ ำให้นกั เรียนพัฒนาทักษะการคิดท่สี งู ข้ึน 4.72 0.45 มากทส่ี ุด 3 การจดั การเรยี นรูช้ ่วยให้นักเรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจดว้ ยตนเองได้ 4.92 0.28 มากทส่ี ุด 4 การจดั การเรียนรู้ทำใหจ้ ำเน้ือหาได้นาน 4.72 0.51 มากทส่ี ุด 5 การจดั การเรยี นรู้ทำใหเ้ ขา้ ใจเน้อื หาได้งา่ ย 4.83 0.38 มากทส่ี ุด ดา้ นความพงึ พอใจต่อการนำความรู้ทไี่ ด้ไปใช้ในชีวติ ประจำวนั 1 นกั เรยี นสามารถนำความรทู้ ่ีได้ไปใชใ้ นวิชาอนื่ ๆได้ 4.75 0.44 มากทส่ี ุด 2 นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้มาอธบิ ายปรากฏการณ์ต่างๆรอบตัวได้ 4.64 0.54 มากทส่ี ุด 3 นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ี่ได้ไปใช้ในการทำโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้ 4.75 0.50 มากท่ีสุด 4 นักเรียนสามารถนำความร้ทู ี่ไดไ้ ปสอนหรือถา่ ยทอดความรใู้ หผ้ ูอ้ น่ื ได้ 4.78 0.42 มากที่สดุ 5 นกั เรียนสามารถนำความร้ทู ี่ได้มาสร้างสิ่งประดิษฐไ์ ด้ 4.78 0.42 มากท่ีสุด

- 37 - จากตารางท่ี 5 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น โดยมีคะแนน ความพึงพอใจเฉลีย่ 4.74 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.16 สรุปได้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์ คลื่น อยู่ใน ระดับมากท่ีสดุ โดยมคี ะแนนความพงึ พอใจเฉลยี่ 4.74 และค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.16

- 38 - บทที่ 5 บทสรปุ การวิจัยในครั้งนี้เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คล่ืน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) (2) เพอ่ื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชา ฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โดยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 (3) เพ่ือ ประเมนิ ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 จากการจัดการเรยี นรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมอื เทคนิค STAD รว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya) กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา ปีการศึกษา 2565 จำนวน 193 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 สายวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ โรงเรียนประชาสงเคราะห์วิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ซึ่งได้มาโดย การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5/1 จำนวน 4 แผน ใช้เวลาในการสอน 10 ชั่วโมง (2) แบบทดสอบวัดทักษะการ แก้โจทยป์ ัญหาวชิ าฟิสกิ สโ์ ดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยาก ง่ายระหว่าง .21 - .76 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t- test Dependent samples) และ (One sample t-test) (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ เรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมือเทคนคิ STAD รว่ มกับกระบวนการแก้ปญั หาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรื่อง คลื่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 20 ขอ้ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ใชค้ ่าเฉล่ีย และ ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน จากการดำเนนิ การวจิ ยั และวเิ คราะหผ์ ลการวจิ ยั ทีไ่ ด้ทำการเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวจิ ยั เปน็ ท่ีเรียบร้อย แล้ว ทำให้ผู้วิจยั สามารถนำเสนอบทสรปุ ข้อมลู การวจิ ยั โดยมสี าระสำคัญ ดงั นี้ 1. สรุปผลการวจิ ยั 2. อภิปรายผลการวิจัย 3. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครง้ั ตอ่ ไป

- 39 - สรปุ ผลการวจิ ยั 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ก่อนและหลัง การใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าประสิทธิภาพของเอกสาร ประกอบการเรียนสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคดิ ของโพลยา(Polya) เรอ่ื ง คลื่น ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 อยูใ่ นระดับผ่านเกณฑ์ 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแกป้ ญั หาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น สูง กวา่ เกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 หรือ 14 คะแนน จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน (���⃑��� = 15.97) อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น อยู่ใน ระดับมากท่สี ดุ โดยมีคะแนนความพงึ พอใจเฉลี่ย 4.74 และคา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.16 อภิปรายผลการวิจัย จากการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา (Polya) ทมี่ ผี ลตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าฟสิ ิกส์ เร่อื ง คลื่น ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 ผู้วิจัยขอ นำเสนอการอภปิ รายผลการวจิ ัย 2 ประเด็น ดงั นี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เท่ากับ 7.47 คะแนน หลัง เรียนเท่ากับ 15.97 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 37.36 และร้อยละ 79.86 ตามลำดับ โดยก่อนเรียนมีคะแนนระหว่าง 2 ถึง 13 คะแนน หรือระหว่างร้อยละ 10 ถึง 65 หลังเรียนมี คะแนนอยู่ระหว่าง 10 ถึง 20 คะแนน หรือระหว่างร้อยละ 50 ถึง 100 และเมื่อทดสอบสมมติฐาน พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 หลังการใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) สูง กว่ากอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 ซ่งึ เป็นไปตามสมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้ อาจจะเน่ืองมาจากสาเหตุ หลายประการ ดงั นี้ 1.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยา(Polya) ที่ใช้ในการวิจัยน้ี ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือซึ่งกันและกนั ร่วมกนั คดิ วเิ คราะห์ แก้ปญั หา อยา่ งเป็นข้นั เปน็ ตอนตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพล-ยา ซึ่งจะเหน็ ไดจ้ าก 1.1.1 ขนั้ การทำความเขา้ ใจปญั หา ในขนั้ นน้ี กั เรียนจะร่วมชว่ ยกนั พิจารณาและบอกได้ ว่าโจทยก์ ำหนดอะไรมาให้ และโจทย์ต้องการทราบอะไร และเมื่อพจิ ารณาความสามารถในการแก้ปญั หาในข้ัน นี้ของนักเรียน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่สามารถวิเคราะห์และบอกได้ว่าโจทย์กำหนดอะไรมาให้ และโจทย์ ต้องการทราบอะไร แต่ก็ยังมีนักเรียนบางสว่ นไม่สามารถบอกได้ว่าโจทย์กำหนดอะไรมาให้ และโจทย์ต้องการ ทราบอะไร หรือบอกสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ สิ่งที่โจทย์ต้องการทราบไม่ครบถ้วน แต่เมื่อได้มีการเรียนรู้เป็นกลุม่ นักเรียนท่เี กง่ หรือนกั เรยี นปานกลางกค็ อยช่วย คอยให้คำแนะนำเพอื่ นทไ่ี ม่เข้าใจให้เข้าใจในโจทย์มากยง่ิ ข้นึ

- 40 - 1.1.2 ขั้นการวางแผนแก้ปัญหา หลังจากนักเรียนทราบแล้วว่าโจทย์ต้องการทราบ อะไรในขั้นก่อนแล้ว ในขั้นนี้นักเรียนจะพิจารณาและเลือกวิธีในการแก้ปัญหา ว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด และ เมื่อพิจารณาความสามารถในการแก้ปัญหาในขั้นนี้ของนักเรียน พบว่า วิธีที่ใช้ในการแก้ปัญหาส่วนใหญ่ นักเรียนชว่ ยกันเลอื กและพิจารณาสตู รสมการทตี่ รงกับความต้องการของโจทย์ 1.1.3 ขั้นการดำเนินการแก้ปัญหา ในขั้นนี้นักเรียนจะดำเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่ กำหนดไว้ และเมื่อพิจารณาความสามารถในการแก้ปัญหาในขั้นนี้ของนักเรียน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ สามารถนำวธิ ีการแก้ปญั หามาใช้ และแสดงวธิ กี ารแกป้ ัญหาอยา่ งไดถ้ ูกตอ้ ง 1.1.4 ขั้นการตรวจคำตอบ ในขั้นนี้นักเรียนจะตรวจสอบความถูกต้องและความ สมเหตสุ มผลของคำตอบ ทำใหน้ กั เรียนมองเหน็ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัญหากับคำตอบทีไ่ ด้ และเกิดการเรียนรู้ ด้วยตัวเอง และเมื่อพิจารณาความสามารถในการแก้ปัญหาในขั้นนี้ของนักเรียน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ สามารถตรวจคำตอบได้ แตใ่ นบางครัง้ ลมื ท่ีจะตรวจคำตอบ จากกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาทั้ง 4 ขั้นและการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่ นักเรียนได้เรียนรู้กันเป็นกลุ่ม คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นเป็น ตอนแล้ว ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของปรีชา เนาว์เย็นผล (2538, น.78-79) ท่ีกล่าวว่า พฤตกิ รรมการสอนของครูทช่ี ว่ ยสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการ ทำความเข้าใจปัญหา จะช่วยให้นักเรียนเกิดแนวคิดในการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาที่กำหนดให้ ส่งเสริมให้ นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการวางแผนการแก้ปัญหา ช่วยให้เกิดแนวคิดในการหาวิธีการในการ แก้ปัญหาตามลำดับขัน้ สง่ เสริมใหไ้ ด้พฒั นาความสามารถในการลงมือทำตามแผน ซง่ึ เปน็ การพฒั นาทักษะการ คิดคำนวณ การคดิ วิเคราะห์ และสามารถนำมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการดำเนินการตามแผนเพ่ือหาคำตอบ และ ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการตรวจสอบวิธีการและคำตอบ เป็นการช่วยย้ำให้นักเรียนมี ความรอบคอบและสอดคลอ้ งกับแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาของสถาบันสง่ เสรมิ การ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551, น.180-184) ได้ให้แนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการ แก้ปัญหาว่า ครูควรใช้กิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือหรือการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย กิจกรรมการเรียน แบบร่วมมือเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมมือเป็นทีมหรือกลุ่ม ได้ลงมือ แก้ปัญหาและปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ จนบรรลุจุดประสงค์ที่คาดหวังไว้ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกัน และกัน ได้สื่อสารและนำวิธีการแก้ปัญหาและกระบวนการแก้ปัญหาของตน ได้อภิปรายถึงวิธีการแก้ปัญหา และกระบวนการแกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสมและมีประสทิ ธิภาพ ไดส้ ะทอ้ นความคิดเห็นเก่ยี วกับวธิ กี ารแกป้ ัญหาและ กระบวนการแก้ปญั หาที่กระทำร่วมกนั ตลอดจนได้เรียนรู้ท่ีจะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่าน้จี ะ ชว่ ยใหน้ ักเรียนมีความม่ันใจในการแกป้ ัญหาที่เผชิญอยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน และครูควรสนับสนุน ให้นักเรียนคิดลงมือปฏิบตั แิ ก้ปัญหาตามข้นั ตอนและกระบวนการแกป้ ัญหา เพ่อื ให้นักเรยี นมปี ระสบการณ์และ ค้นุ เคยกับข้นั ตอนและกระบวนการแกป้ ัญหาทถ่ี ูกต้อง จากที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 หลังได้รับการจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแกป้ ัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) สูงกวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 ซ่งึ สอดคล้องกับผลการวจิ ัย ของสิริกร กลยนีย์ (2557) พบว่า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่ได้รับการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือ เทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05

- 41 - 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนหลังเรียน เทา่ กับ 15.97 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 79.86 และเมอ่ื ทดสอบสมมติฐานพบวา่ คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นวิชาฟสิ ิกส์ เรื่อง คล่นื ของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5/1 หลังไดร้ บั การจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแกป้ ญั หาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) สูงกว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 70 อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 ซึ่งเปน็ ไปตามสมมตฐิ านท่ีตงั้ ไว้ อาจจะเนอื่ งมาจากสาเหตหุ ลายประการ ดังน้ี 2.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยา(Polya) ที่ใช้ในการวิจัยน้ี เป็นการจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย ที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีเป้าหมาย ร่วมกัน และเพื่อให้เป้าหมายของกลุ่มสำเร็จ นักเรียนในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือสนับสนุนซึง่ กันและกัน ช่วยกัน ศึกษาเนื้อหา อีกทั้งนักเรียนที่เก่งในกลุ่มก็คอยช่วยอธิบายเนือ้ หาให้เพื่อนในกลุ่มที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจในเนื้อหา มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนทำขอ้ สอบได้ นอกจากนี้นักเรียนอ่อนในกลุ่มก็ต้องพยายามที่จะเรียนรู้ และทำความเข้าใจในเนื้อหาด้วย เพื่อที่จะสอบได้คะแนนดีๆ เพราะคะแนนของกลุ่มจะมาจากคะแนน พัฒนาการของสมาชิกในกลุ่มทุกคน ด้วยสาเหตุนี้จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของ Slavin (1995, p.6) ที่ได้กล่าวว่า วิธีสอนแบบร่วมมือเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) จะ กระตุ้นนักเรียนให้ช่วยเหลือสนับสนุนกันและกัน เห็นความสำคัญของการเรียน เกิดความสนุกสนานในการ เรยี นรู้ มกี ารอภิปรายกันถึงวิธีแก้ปญั หา ซ่งึ การอธิบายความรใู้ ห้เพ่อื นเข้าใจจะเปน็ สิ่งท่ีทำใหน้ ักเรียนเรียนรู้ได้ ดี และสอดคล้องกับแนวคิดของ Johnson, Johnson and Holubec (1994, pp.1.3-1.4) ที่กล่าวว่า การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือจะช่วยให้ผู้เรียนพยายามที่จะเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมาย เป็นผลทำให้ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนสูงขึ้น รวมถึงสอดคล้องกับคำกล่าวของวัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542, น.44 - 45) ที่กล่าวว่า การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยยกระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของทั้งห้องเรียน เมื่อผู้ที่เรียนเกง่ ช่วยเหลือผู้ที่เรียนอ่อน เขาจะเรียนรู้ความคิดรวบยอดของสิ่งที่กำลังเรียนได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่ผู้ที่เรียนอ่อน สามารถเรียนร้จู ากเพื่อนทใี่ ช้ภาษาใกลเ้ คยี งกันได้ง่ายกว่าการเรียนจากครู 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิด ของโพลยา(Polya) ในขั้นการเรียนกลุ่มย่อย นอกจากนักเรียนจะได้ฝึกการคิดคำนวณแล้ว ยังได้มีการฝึกการ แก้ปัญหาตามกระบวนการของโพลยาอีกด้วย และจากการที่นักเรียนได้ใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้นักเรียนคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน และช่วยให้นักเรียนได้ฝึกคิด วิเคราะห์ โจทยป์ ัญหา แสดงวิธีการแก้ปญั หา และสามารถตรวจคำตอบได้ดว้ ยตนเอง ซ่ึงเม่ือนักเรยี นแก้ปัญหา ด้วยตนเองได้ดี ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยของวรัญญา ทองหาญ (2560) ที่พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา ว30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน เรื่อง มวล แรง กฎการเคลื่อนท่ี ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับผลงานของปานจิต วัชระรังสี (2557) ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉล่ียทกั ษะการแก้โจทย์ปัญหาประยุกตท์ างคณิตศาสตรโ์ ดยใช้กระบวนการแกป้ ัญหาของโพลยา กับการจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนและหลงั เรียนเท่ากับ 54.38 และ 93.00 ตามลำดับ และสูงกว่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

- 42 - จากที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/1 หลังได้รับการจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนคิ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตาม แนวคิดของโพลยา(Polya) สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับ ผลงานวิจัยของกมลทิพย์ กุลกิจ (2555) พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้แบบ STAD มีนักเรียนจำนวนร้อยละ 85.71 ของ จานวนนกั เรยี นทง้ั หมดมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขนึ้ ไป และสอดคลอ้ งกับผลงานวจิ ัยของลิขิต สุเมธานุสรณ์ (2556, น.97-98) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โพลยา มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน เรอื่ ง การแก้โจทย์ปัญหาสมการ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5/1 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เรื่อง คลื่น อยู่ใน ระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 4.74 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.16 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานที่ต้ังไว้ ท้งั นอ้ี าจเนื่องมาจาก การสอนรายวิชาฟิสิกส์ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) ประกอบด้วย ขั้นตอนและกิจกรรมที่หลากหลาย ให้ นักเรียนมีสว่ นรว่ มในบรรยากาศทท่ี ้าทายความสามารถ จากสถานการณ์การแก้ปัญหาต่างๆ ดงั ตัวอย่างการให้ นักเรียนนำความรู้ เรื่อง คลื่น มานำเสนอในรูปแบบของแผนผังความคิด ทำให้นักเรียนช่วยกันเสนอความคิด เห็นและยอมรับความคิดเห็นของเพ่ือนในกลมุ่ เพ่ือให้ผลงานของกลุ่มออกมามคี วามเหมาะสมและน่าสนใจ เป็น การแสดงให้เห็นถึงการมีเหตุมีผลความเพียรพยายามและรอบคอบ นอกจากนี้เมื่อนำผลงานออกมาเสนอและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ทำให้นักเรียนได้ฝึกความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเปิดใจกว้างยอมรับ ความคิดเห็นของผู้อื่น การที่นักเรียนได้ฝกึ อย่างต่อเนือ่ ง จะทำให้เกิดเป็นนิสัยที่ตดิ ตัว และเคยชินจนสามารถ พฒั นาไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากแบบที่เคยเรียนตามปกติ ทั้งยังมีกิจกรรม และการเคลื่อนไหวทางกายท่ีทำให้นักเรยี นไดม้ ปี ฏิสัมพนั ธ์กับเพือ่ นในห้อง จะทำให้การจดั การเรยี นรู้ไม่น่าเบื่อ ต่างจากการเรียนที่ผู้เรียนต้องนั่งเรียนและเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนรายวิชา ฟิสิกส์ตามรูปแบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา(Polya) จึง นา่ จะเปน็ การสอนรูปแบบหน่ึงทค่ี รสู ามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวชิ าฟิสิกส์ได้ ซึ่งสอดคล้อง กับผลวจิ ยั ของวมิ าดา มงคลพศิ (2556) พบวา่ นกั เรียนมีความพึงพอใจตอ่ การเรียนดว้ ยวิธกี ารเรยี นรโู้ ดยผสาน แนวคิดของโพลยาและกลุ่มร่วมมือ เพื่อพัฒนาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับมากที่สุด และสอดคล้องกับผลการวิจัยของวรัญญา ทองหาญ (2560) ผลการวจิ ัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รายวิชา ว 30101 ฟิสิกส์พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลีย่ สงู สุด คือ ด้าน กจิ กรรมการเรยี นรู้ รองลงมา คอื ดา้ นสือ่ การเรียนการสอน และด้านทมี่ คี า่ เฉลี่ยตำ่ สดุ คือ ดา้ นเนอ้ื หา

- 43 - ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้ 1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เป็นวิธที ี่ชว่ ยพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งเปน็ วธิ ีท่มี ลี ำดับขนั้ ตอนในการจัดการ เรยี นรู้ ครผู สู้ อนจงึ ต้องศึกษาข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ให้ชัดเจนเพ่ือเป็นแนวทางท่ีถูกต้องในการจัดการเรียนรู้ ตามรปู แบบดงั กลา่ ว 2. การแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถของนักเรียนแบบ เก่ง ปานกลาง อ่อน ครูควรพิจารณา ความระดับความสามารถของนักเรียนจากผลการสอนในหลายๆ ครั้งก่อนหน้า เนื่องจากผลการทดสอบเพียง คร้งั เดียวอาจจะไมส่ ามารถแสดงความรู้ ความเข้าใจ ของนักเรียนทแ่ี ทจ้ ริงได้ 3. ผู้สอนจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าการที่จะแก้ปัญหาได้นั้น นักเรียนจะต้องมีความรู้พื้นฐาน ความรู้ท่ี เพียงพอ มีเวลาในการคิด ได้ใช้ความสามารถในการสร้างความเข้าใจ และอาจมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่ สามารถแกป้ ัญหาได้ ถ้าครไู มไ่ ด้คำนึงถึงเวลาและความรขู้ องนักเรยี นแต่ละคนที่แตกตา่ งกัน ข้อเสนอแนะสำหรบั การวจิ ัยครั้งต่อไป ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ โพลยา (Polya) ที่มีต่อทักษะด้านอื่นๆ ของนักเรียน เช่น ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทางฟิสิกส์ หรือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เนื่องจากในการวิจัย พบว่า นักเรียนมีทักษะในการแก้ปัญหาและการคิด วิเคราะห์ทางฟิสกิ สเ์ พิม่ ขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวคดิ ของโพลยา(Polya)

- 44 - บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2561) .กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชีว้ ดั และสาระเรียนรู้แกนกลางกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรต์ าม หลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว. กนกภรณ์ ทองระยา้ . (2557). ผลของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้รปู แบบการเรยี นรแู้ บบกลุม่ รว่ มมอื STAD เพื่อสง่ เสรมิ ผล สัมฤทธ์ทิ างการเรียนรายวชิ าคอมพิวเตอร์ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี). กัญจนา ลินทรตั นศิริกุล. (2553). เครอ่ื งมือวจิ ัยและการตรวจสอบคณุ ภาพในประมวลสาระชดุ วิชาการวจิ ัย หลกั สูตรและการเรยี นการสอน หน่วยที่ 9, หน้า 1-82. นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. กฤตนัย(สมชาติ) จันทรจตุรงค์. (ม.ป.ป.). ฟิสิกส์ เรื่องที่ 4 งานและพลังงาน. นนทบุรี: สำนักพิมพ์ธรรม บณั ฑติ . แคทรยี า ใจมลู . (2550). ผลการจดั การเรยี นร้ใู ช้เทคนคิ STAD ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรอื่ ง อัตราสว่ นและร้อยละ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2. วิทยานิพนธ์ ค.ม., มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย, เชียงราย. จกั รพนั ธ์ พริ กั ษา. (2553). การเปรียบเทียบกระบวนการแก้โจทยป์ ญั หาและผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง แรงและกฎการเคลือ่ นที่ ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ระหว่างกลุ่มทไ่ี ด้รบั การสอนแบบใช้วฏั จักรการเรียนรู้ 7 ขน้ั ร่วมกบั เทคนคิ การแกป้ ญั หาของโพลยา กบั กลุ่มท่ีไดร้ ับการสอนแบบใชว้ ัฏ จกั รการเรยี นรู้แบบ 5 ข้นั . (วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั ขอนแก่น). จำนงค์ กรพุ มิ าย. (2559). การพัฒนาความสามารถดา้ นการคดิ อน่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรียนวิชาฟิสิกส์ เรือ่ งงานและพลงั งานของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยกิจกรรมการเรยี นรู้ แบบรว่ มมอื เคนคิ STAD. วิทยานพิ นธศ์ .ม, มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม, มหาสารคาม ฉวีวรรณ แกว้ หล่อน. (2540). การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรข์ องนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เร่อื งการแก้โจทยป์ ัญหาโดยใช้รปู แบบการสอนแบบรว่ มมือกันเรียนรู้. วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน, มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . ชยั วัฒน์ สทุ ธริ ัตน์. (2552). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคญั . กรุงเทพฯ:บรษิ ัท แด เน็กซ์ อนิ เตอร์คอร์ปปอเรชน่ั . ตะวนั พันธ์ขาว. (2557). การพัฒนาหลักสตู รเสรมิ ทักษะการเรยี นวิชาฟสิ ิกส์ สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปี ที่ 4. (ปรญิ ญานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี, 2557). วารสารบัณฑิต วทิ ยาลยั พิชญทรรศน์, 2557, 115-128. สบื ค้นจาก http://www.graduate.ubru.ac.th.

- 45 - บรรณานกุ รม (ตอ่ ) ณัฏฐ์ชญา อินพลู วงษ.์ (2559). ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ เจตคติตอ่ คณิตศาสตร์และพฤตกิ รรม การทำงานกล่มุ ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 ทเี่ รยี นโดยการจัดการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ เทคนคิ STAD. วิทยานิพนธก์ ศ.ม, ทวิ าพร สกลุ ฮูฮา. (2552). การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรกู้ ารแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง บทประยุกต์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ตามแนวคดิ ทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสต์ ทเ่ี นน้ กระบวนการแก้ปัญหาของโพล ยา. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ , สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน, บณั ฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น. นภดล แกว้ เรอื ง. (2550). ผลการแชรร์ ูปแบบการแกโ้ จทยป์ ัญหาของโพลยารว่ มกับเทคนคิ การเรียนแบบ ร่วมมอื (Co-op-Co-op) ต่อความสามารถในการแกโ้ จทย์ปัญหาทางคณิตศาสตรข์ องนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4. (สารนิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลัยทักษณิ ). นาํ้ ทิพย์ ชงั เกตุ. (2547). การพัฒนาผลการเรียนรู้เรอ่ื งโจทย์ปัญหาการคณู ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โดยการจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือกันเทคนคิ STAD ร่วมกับเทคนคิ KWDL. (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญา ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต ไม่ไดต้ พี ิมพ)์ . มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. กรุงเทพฯ ประภาพร วิชญศาสตรา. (2558). การแก้โจทยป์ ญั หาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการแกป้ ัญหาของ โพลยาดว้ ยวิธกี ารสอนสบื เสาะหาความรู้ (5Es). ครศุ าสตรมหาบัณฑิต, บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์. ปานจติ วชั ระรงั ษี. (2557). การพฒั นาความสามารถในการแกโ้ จทย์ปญั หาของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ท่ีจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือกันเทคนคิ การแบ่งกลุ่มผลสมั ฤทธ์ิ รว่ มกับกระบวนการแกป้ ญั หา ของโพลยา. (วิทยานพิ นธข์ องบัณฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร) พัชรีพร จันทมา. (2555). การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนิค STAD เรอื่ ง จำนวนเต็มวิชา คณติ ศาสตร์ สำหรับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1. การศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง กศ.ม., มหาวิทยาลัยนเรศวร, พิษณุโลก. พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต.์ (2544). “การเรียนแบบรว่ มมอื ”. คุรุปรทิ รรศน.์ 1 (พฤษภาคม 2544), 36-46. พฤกษ์ โปรง่ สําโรง. (2549). ผลของการใช้รปู แบบการจดั การเรียนการสอนแบบ 7E ในวิชาฟิสิกส์ทม่ี ตี ่อ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนและความสามารถในการแกป้ ญั หาของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. (วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ). ไพรชั ศลี าเจรญิ . (2550). การเปรียบเทียบผลการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ ง โจทย์ปญั หา กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 ทีเ่ รียนโดยใช้วธิ ีสอนตามขน้ั ตอนการสอนของ โพลยากับวธิ ีสอนตามคู่มือการจดั การเรยี นรู้. (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เทพสตรี). ภัทรธินนั ท์ ลืน่ โพธ์ิกลาง. (2556). ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ วิชาฟสิ กิ ส์ เรอ่ื ง งานและพลงั งานช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้แนวคิดเมตาคอกนชิ นั ประกอบกลุ่มร่วมมอื เทคนคิ LT. วทิ ยานิพนธ์ศ.ม, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม

- 46 - บรรณานกุ รม (ต่อ) ภาวิณี คาชารี. (2550). การเปรยี บเทียบความสามารถการแกโ้ จทย์ปัญหาคณิตศาสตรเ์ รอื่ ง เศษสว่ น ทศนิยม และการคิดวเิ คราะหร์ ะหวา่ งวิธเี รยี นแบบร่วมมือเทคนิคSTAD สอดแทรกเมตาคอกนิช่นั วิธเี รยี นตามแนวทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ ิสต์วิธีเรียนตามคูม่ ือครูสสวท. ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปี ท1ี่ . วทิ ยานิพนธก์ ารศึกษามหาบณั ฑติ , สาขาวชิ าการวจิ ยั การศึกษา, คณะศกึ ษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ภพ เลาหไพบลู ย.์ (2544). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์. (พมิ พค์ ร้งั ที่ 3). กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. ระววิ รรณ ศรีคร้ามครนั . (2551). เทคนคิ การสอน (พมิ พ์ครั้งท3่ี ). กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัย รามคำแหง. รัชนี พันสเี ลา. (2556). การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ โดยใชร้ ปู แบบรว่ มมือกันเรียนรเู้ ทคนิค STAD ทเี่ นน้ กระบวนการแกป้ ัญหา เร่อื งสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1. สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ลิขติ สุเมธานสุ รณ์. (2556). การพัฒนาความสามารถในการแกโ้ จทย์ปัญหาสมการโดยจัดการเรียนร้แู บบ ร่วมมอื เทคนิคการแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธ์ิรว่ มกับกระบวนการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตรข์ องโพลยา ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6. วทิ ยานิพนธ์ (กศ.ม.), มหาวทิ ยาลยั บูรพา. วัชรา เลา่ เรยี นดี. (2550). เทคนิคและยทุ ธวิธีพฒั นาทักษะการคดิ การจัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผเู้ รียนเปน็ สาํ คญั นครปฐม คณะศึกษาศาสตร์. มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, กรุงเทพฯ. วมิ าดา มงคลพิศ. (2556). การพฒั นาวิธกี ารเรียนรู้โดยผสานแนวคดิ ของโพลยาและกลมุ่ รว่ มมอื เพอ่ื พัฒนา ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5. สาขาวิชาวิจยั และ ประเมินผลการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลางกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด. สาลินี โฮมแพน. (2558). การพฒั นาการจดั การเรียนร้วู ชิ าฟิสกิ ส์ เร่ืองงานและพลังงานและความสามารถ ในการแกป้ ญั หาทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5. วิทยานพิ นธ์ศ.ม, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาสารคาม สริ ิกร กลยนยี ์. (2557). พัฒนาความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น และเจตคตติ อ่ วิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนคิ การแบ่งกลุม่ ผลสมั ฤทธิ์ (STAD) รว่ มกบั กระบวนการแกป้ ัญหาของโพลยา. วิทยานพิ นธ์บณั ฑิตศกึ ษา สาขาวิชาการวิจัยและพฒั นาการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร. สุพรรณกิ าร์ บงกชฆรณยี .์ (2551). การศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตรข์ อง นกั เรียนประถมศกึ ษาปีท่ี 2 เรอ่ื ง สนกุ กับแมเ่ หล็กและไฟฟ้า โดยใช้การเรยี นแบบ STAD กบั การ เรยี นแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.

- 47 - บรรณานุกรม (ตอ่ ) สรุ เดช มว่ งนิกร. (2551). การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรวู้ ิชาคณิตศาสตร์ ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรัคติ- วสิ ตเ์ ร่อื ง สถติ ชิ ้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 โดยใช้รูปแบบการสอนผสมผสานระหวา่ งแบบ 5E กบั STAD. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน บัณฑิต วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . สุรางค์ วีรสเุ มธา. (2557). การศกึ ษาผลการเรยี นรู้เร่อื งการประยกุ ต์ของสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว โดยใช้ รปู แบบการเรียนรู้แบบร่วมมอื (เทคนิค stad) ของ นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2. ครุศาสตรมหา บัณฑติ , บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี. เสาวลกั ษณ์ พมุ่ สำเภา. (2549). การเปรียบเทยี บผลการเรียนร้กู ลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ เร่อื ง ทศนิยม ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธสี อนตามรปู แบบการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื ระหว่างกิจกรรม STAD กบั กิจกรรม TAI. วิทยานิพนธ์ ค.ม.สาขาหลกั สตู รและการสอน, ลพบรุ ี: มหาวิทยาลยั ราชภัฏเทพสตรี. อธชิ า อินทอง. (2557). ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณติ ศาสตร์และความสามารถในการแก้โจทยป์ ญั หาการ บวก ลบ คูณ หารระคน โดยใช้วฏั จกั รการสืบสอบความรู้ 7 ขั้น รว่ มกับเทคนิคโพลยาของ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2. (วทิ ยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ ). อรพนิ ท์ ช่ืนชอบ. (2549). การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนฟสิ กิ ส์และความสามารถในการแก้ปัญหาทาง ฟสิ ิกส์ ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยวธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรโู้ ดยเสรมิ การ แก้ปัญหาตามเทคนคิ ของโพลยา. (วทิ ยานพิ นธป์ ริญญามหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั บูรพา). Chen, Mei-Ling (2004). A study of the effects of Cooperative learning strategies on Student achievent in English as a Foreign language in Taiwan college (China). Retrieved September9, 2004, from http://www.lib.umi.com/Dissertations/fullcit/.

- 48 - ประวตั ผิ ู้วจิ ัย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook