Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สคบศ.2_Proceeding2021-update30062564

สคบศ.2_Proceeding2021-update30062564

Published by Suriya W., 2021-11-17 05:35:59

Description: สคบศ.2_Proceeding2021-update30062564

Search

Read the Text Version

การประชมุ วิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังท่ี 2) วันที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา experiences, and management skills from the lectures. They were inspired to balance between physical/mental health and knowledge/education management skills; 2) participants learned from in-country study visit to a model school, gaining direct experience and profound understanding on strengths, weaknesses, challenges, and obstacles. Through the reflection, they could apply some ideas to improve their own institutions; 3) most of the participants considered all speakers high qualified with knowledge and experiences that helped participants learn about administration skills. The discussions with speakers and other participants also helped them develop skills in thinking, summarizing, questioning, and managing. These effectively helped them for their self-development and the development of their institutions and; 4) the project managers closely and regularly monitored participants with kindness, fairness, and care. They were with the participants throughout the project. Keywords: capacity building, capacity of education leaders, sustainable, ASEAN community, global community การใชเ้ ทคนคิ Active Learning ในการพัฒนาสมรรถนะครปู ระจาการกลมุ่ สาระวิชาคณิตศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษาในสถานศึกษา สังกดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานในศตวรรษท่ี 21 The Use of Active Learning Techniques for the 21st Century Competency Development of Primary School Mathematics Teachers under the Office of the Basic Education Commission ณฐั ชนันท์ จนั ทคุปต์ บทคัดยอ่ การวิจัย เรื่อง การใช้เทคนิค Active Learning ในการพัฒนาสมรรถนะครูประจาการกลุ่มสาระวิชาคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาการใช้เทคนิค Active Learning ในการพัฒนาสมรรถนะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ ประถมศึกษาในศตวรรษที่ 21 2) เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์การเรยี นรู้ก่อนและหลังการฝึกอบรม 3) ศึกษาความพงึ พอใจ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา สังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จานวน 45 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามความ คิดเหน็ ทีม่ ตี ่อการใช้เทคนิค Active Learning ในการพัฒนาสมรรถนะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ระดับประถมศึกษา 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก่อนการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรม 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของ ผู้เข้ารับการฝกึ อบรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลย่ี และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้ ก่อนการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรม โดยการทดสอบค่าที t-test ผลการวิจัยพบว่า ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตรร์ ะดับประถมศึกษาสังกัดสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน เหน็ ด้วยต่อการนาเทคนิค Active Learning มาพัฒนาสมรรถนะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ 51

การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้งั ท่ี 2) วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การเรียนรู้ก่อนการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรม ครูมีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความ พงึ พอใจต่อการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะครูกลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา ด้วยเทคนิค Active Learning โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก คำสำคัญ: แนวคิดการเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค Active Learning ความสาคัญของการเรยี นรู้ด้วยเทคนิค Active Learning ในศตวรรษที่ 21 ABSTRACT The research on the use of active learning techniques for the 21st century competency development of primary school mathematics teachers under the Office of the Basic Education Commission aimed: 1) to study the use of active learning techniques for the 21st century competency development of primary school mathematics teachers; 2) to compare pretest and posttest learning achievement and; 3) to study trainee satisfaction. The sample group comprised 45 primary school mathematics teachers under the Office of the Basic Education Commission. The research tools were: 1) the survey on the use of active learning techniques for the 21st century competency development of primary school mathematics teachers; 2) the pretest and posttest for learning achievement and; 3) the survey on trainee satisfaction. The data were analyzed using mean, standard deviation, and t-test to compare pretest and posttest learning achievement. The research showed that primary mathematics teachers agreed on the use of active learning techniques at high level. The posttest learning achievement was statistically significantly higher than that of the pretest at .01. Trainee satisfaction was also at high level. Keywords: active learning concept importance of active learning in the 21st Century การพัฒนาหลักสูตรเชอ่ื มโยงการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานกับอาชีวศึกษา The Development of Curriculum Linking Basic Education and Vocational Education กวสิ รา ชนื่ อุรา บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจยั เชิงปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วม มีจุดมุ่งหมาย (1) ศึกษาปัญหาและความต้องการ เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรเชื่อมโยงการศึกษาข้ันพื้นฐานกับอาชีวศึกษาของผู้บริหาร ครูผู้สอน และชุมชนของ กล่มุ เปา้ หมายการวิจัย (2) พัฒนาหลกั สตู รเชือ่ มโยงการศึกษาขั้นพืน้ ฐานกบั อาชีวศึกษา ปรากฏผลดงั น้ี 1. สภาพปัญหาและความตอ้ งการเก่ียวกับการพฒั นาหลักสตู รเช่ือมโยงการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน กับอาชีวศึกษาของผู้บริหาร ครูผู้สอนและชุมชนของกลุ่มเป้าหมายการวิจัย ปัญหาท่ีเกิดขึ้น คือ (1) ปัญหาด้านการ วางแผนและนโยบาย (2) ปัญหาด้านการพัฒนาหลกั สตู ร (3) ปญั หาดา้ นการจดั สรรทรพั ยากร/งบประมาณ (4) ปัญหา ดา้ นการดาเนนิ งานตามแผน (5) ปัญหาด้านบุคลากร ซ่งึ สะท้อนวา่ การพัฒนาหลักสตู รเช่อื มโยงการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน 52

การประชมุ วิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 2) วันที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา กับอาชีวศึกษามีปัญหาท่ีต้องดาเนินการพัฒนาเพ่ือให้เกิดความชัดเจน ต่อเนื่องและดาเนินการอย่างมีขั้นตอน 2. ผลการพัฒนาหลักสูตรเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกับอาชีวศึกษา ได้กลุ่มหลักสูตรท่ีเชื่อมโยงกลุ่มอาชีพตาม นโยบายไทยแลนด์ 4.0 จานวน 6 กลมุ่ หลกั สตู ร ประกอบด้วย (1) Smart Farming: เกษตรอนิ ทรีย์ ช้ีชอ่ งทางอาชีพ ในยุค Thailand 4.0 (2) Organics Food: การแปรรูปอาหารอินทรีย์จากวิถีครัวไทยสู่ครัวโลก (3) Thai massage Spa: นวดสปาแผนไทย ใส่ใจสุขภาพที่ดี (4) Genius Mechanical: เครื่องกลอัจฉริยะสู่การสร้างสรรค์ธุรกิจยุคใหม่ (5) Global Digital: เรียนรู้โลกดิจิทัลสู่การสร้างอาชีพในยุคไร้พรมแดน (6) Creative Industry: อุตสาหกรรม สรา้ งสรรค์สกู่ ารบรกิ ารอยา่ งมืออาชพี คำสำคญั : หลกั สตู รเช่ือมโยง การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน อาชีวศกึ ษา ABSTRACT This participatory action research aimedซ (1) to study problems and needs for the development of curriculum linking basic education and vocational education among administrators, teachers, and the community of the research targets; (2) to develop the curriculum. The research findings were as follows. 1 . From the study of problems and needs, the identified problems were: (1) policy and planning; (2) curriculum development; (3) resource allocation/budget; (4) implementation and; (5) personnel. These reflected that there were problems in the curriculum development that needed to ensure clarity, continuity, and proper procedure of the development and implementation. 2. From the curriculum development, there were six courses relevant to career groups identified in Thailand 4.0 policy: (1) Smart Farming; (2) Organic Food; (3) Thai Massage Spa; (4) Genius Mechanical; (5) Global Digital and; (6) Creative Industry. Keywords: basic education, vocational education รายงานผลการพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ ด้านการจัดการเรียนร้เู ชิงรุก (Active Learning) โดยใช้การนิเทศมีสว่ นร่วม The Report on the Development of Science Teacher Capacity Building Model for Active Learning Management through Participatory Supervision อนงค์ คาแสงทอง บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ ด้านการจัด การเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยการนิเทศแบบมีส่วนร่วม 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู วิทยาศาสตร์ ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยใช้การนิเทศแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครเู ครอื ข่ายวิทยาศาสตร์ท่จี ัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 สานักงานศึกษาธิการ จังหวัดหนองคาย จานวน 20 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ ประกอบด้วย 1) คู่มือการใช้รูปแบบ 53

การประชุมวิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ท่ี 2) วนั ที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยใช้การนิเทศแบบมีส่วนร่วม 2) แบบประเมินผลการใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยใชก้ ารนิเทศแบบมสี ว่ นร่วม ผลการวิจัยพบวา่ 1) รูปแบบการพฒั นาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ ด้านการ จดั การเรียนรู้เชิงรกุ Active Learning โดยใช้การนิเทศแบบมสี ่วนร่วม ภาพรวมอยู่ในระดับมากทีส่ ุด และผลการประเมิน ด้านกระบวนการพฒั นารูปแบบการพฒั นาสมรรถนะครูวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นการจดั การเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยใช้ การนิเทศแบบมีส่วนร่วม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบ การพัฒนาสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning โดยการนิเทศแบบมีส่วนร่วม คะแนนหลังพฒั นาสงู กวา่ กอ่ นพัฒนา คำสำคัญ: สมรรถนะครูวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ Active Learning การนิเทศแบบมสี ว่ นร่วม ABSTRACT The research objectives were: 1) to develop a model for science teacher capacity building in active learning management through participatory supervision; 2) to study impacts of the model implementation. The sample group comprised 20 teachers from science teacher network with experiences in organizing science activities for sixth graders under Nong Khai Education Office, selected by purposive sampling. The research instruments were; 1) model handbook and; 2) model evaluation form. The research found that: 1) validity/appropriateness of the overall model for science teacher capacity building in active learning management through participatory supervision was at the highest level while the overall model development process was at high level and; 2) teachers’ ability in active learning management through participatory supervision after the model implementation was higher. Keywords: science teacher capacity, active learning management, participatory supervision การพัฒนาหลกั สูตรเสริมสรา้ งสมรรถนะครดู า้ นการจัดการเรียนรทู้ กั ษะการฟังและ การพดู ภาษาอังกฤษบูรณาการเนอื้ หาอาเซยี น สานกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวดั ร้อยเอ็ด The Development of Teacher Capacity Building Curriculum on Learning Management for English Listening and Speaking Skills with ASEAN Integrated Subjects by Roi-Et Provincial Education Office สทุ ัศน์ สังคะพันธ์ บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีความมุ่งหมายเพ่ือ ศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะครูและศึกษา ผลการใชห้ ลักสตู รเสริมสรา้ งสมรรถนะครภู าษาองั กฤษในการจัดการเรยี นรดู้ ้านทกั ษะการฟงั และการพูดภาษาอังกฤษ บูรณาการเนื้อหาอาเซียน สานักงานศึกษาธิการจังหวัดร้อยเอ็ด โดยดาเนินการวิจัยตามกรอบการวิจัยและพัฒนา 54

การประชมุ วิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 2) วันท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา รวม 3 ระยะ กลมุ่ เปา้ หมาย ได้แก่ ครูผสู้ อนภาษาอังกฤษ จานวน 7 คน ศึกษานเิ ทศก์ จานวน 7 คน และกลมุ่ ตัวอยา่ ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 172 คน ระยะเวลาในการวิจยั ปีการศึกษา 2560-2561 เคร่ืองมือที่ใช้ในการ วจิ ัยจานวน 7 ชนิด สถิตพิ ้ืนฐาน ได้แก่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ พบว่า ครูผู้สอนยังประสบปัญหาด้านความรู้ความสามารถ ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้และจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ทักษะการฟังและการพดู ภาษาอังกฤษบูรณาการเน้ือหา อาเซียน หลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะครูภาษาอังกฤษมี 6 องค์ประกอบ และกระบวนการพัฒนาผู้สอนตามกรอบ หลกั สตู ร ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอน และผลการใช้หลกั สตู รเสรมิ สร้างสมรรถนะครู พบว่า ครมู ีความรู้ความเขา้ ใจหลัง ไดร้ บั การพัฒนาเพ่ิมขนึ้ ครมู ีความสามารถ ในการออกแบบกจิ กรรมและมคี วามสามารถในการจัดการเรียนรู้ โดยรวม และรายบุคคลในระดับมาก และนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ ทั้งโดยรวมและรายโรงเรียน มีทักษะการฟังและ การพดู หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 คำสำคัญ: หลักสูตร สมรรถนะครดู า้ นการจดั การเรยี นรู้ อาเซียน ABSTRACT The purposes of this research were to study problems, to develop teacher capacity building curriculum on learning management for English listening and speaking skills with ASEAN integrated content by Roi-Et Provincial Education Office, and to study results of the curriculum implementation. The research and development comprised three phases. The target group consisted of seven teachers of English, seven supervisors, and 172 ninth graders. The research period covered the academic year 2017-2018. The research used seven instruments and the data were analyzed by using percentage, mean, and standard deviation. The research found that teachers still had problems in designing learning management and learning activities. The developed curriculum for English teacher capacity building had six components and the capacity building process consisted of five steps. The result of the curriculum development showed that teachers, individually and overall, gain more knowledge and understanding with ability to design activities and learning management at high level. Students, overall and by school, had higher listening and speaking skills with statistical significance at .01. Keywords: curriculum, teacher capacity in learning management, ASEAN การพฒั นารูปแบบการจัดการเรยี นการสอน Coding ตามความตอ้ งการของครแู ละนกั เรยี น โรงเรียนสหัสขันธศ์ ึกษา สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 24 The Development of Teaching and Learning Model in SHSK Coding based on the Needs of Teachers and Students at Sahatsakhansuksa School under the Secondary Education Service Area Office 24 กนก ยนต์ชยั มลฤดี ภูยิง่ 55

การประชมุ วิชาการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้งั ท่ี 2) วนั ที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา บทคดั ย่อ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาความต้องการของครูและนักเรียนโรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษา ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน Coding (2) เพ่ือเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงและสภาพท่ีควรจะเปน็ ในการพฒั นารูปแบบการจดั การเรียนการสอน Coding ของโรงเรียนสหัสขันธ์ศกึ ษา โดยใช้วธิ ีหาความตอ้ งการจาเป็น (PNI) (3) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนสอน Coding ของโรงเรียนสหัสขันธ์ศึกษาความต้องการของครูและ นักเรียน กลุ่มตัวอย่างได้จากการคัดเลือกแบบเจาะจงเป็นครู จานวน 10 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 100 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ (1) ครูและนักเรยี นโรงเรยี นสหัสขนั ธศ์ กึ ษามีความตอ้ งการพัฒนารูปแบบการจดั การเรียน การสอน Coding โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (2) สภาพท่ีเป็นจริงของรูปแบบการจัดการเรียนการสอน Coding ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (������̅ = 3.516, ������. ������. = 0.531) และสภาพที่ควรจะเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัด การเรยี นการสอน Coding ในภาพรวมอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ (������̅ = 4.654, ������. ������. = 0.483) ค่าดัชนลี าดบั ความตอ้ งการ จาเป็น (PNImodified) โดยภาพรวม มีค่าเท่ากับ 0.324 (3) รูปแบบการจัดการเรียนสอน Coding ของโรงเรียน สหัสขันธ์ศึกษาที่พัฒนาตามความต้องการของครูและนักเรียน ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 7 ขั้นตอน ได้แก่ Clarifying unfamiliar terms, Problem definition, Brainstorm, Analyzing the problem, Formulating learning issues, Self-study และ Reporting คำสำคัญ: รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โค้ดด้ิง ความต้องการจาเป็น ABSTRACT Sahatsakhansuksa School on the teaching and learning model in coding; (2) to compare the current situation and expectations for the development of teaching and learning model in coding at Sahatsakhansuksa School through PNI and; (3) to develop teaching and learning model in coding for Sahatsakhansuksa School based on the needs of teachers and students. The samples were ten teachers and 100 lower secondary school students selected by purposive sampling. The research found that: (1) teachers and students needed problem-based model; (2) the overall current situation was at high level (������̅ = 3.516, ������. ������. = 0.531) while the overall expectations of the model development was at the highest level (������̅ = 4.654, ������. ������. = 0.483) The overall PNI modified was at 0.324 and; (3) the developed model was problem-based with seven steps comprising clarification of unfamiliar terms, problem identification, brainstorming, problem analysis, development of learning issues, self-study, and report. Keywords: teaching and learning model, coding, priority needs 56

การประชุมวชิ าการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ท่ี 2) วนั ท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนารปู แบบ NSW_TFE Model ยกระดับผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ของนกั เรยี นในจงั หวัดนครสวรรค์ The Development of NSW_TFE Model to Improve Students’ Learning Achievement in Nakhonsawan สายสุนีย์ เทพสขุ เอี่ยม บทคัดยอ่ การวิจัยครง้ั น้ี วัตถุประสงค์ 1) เพอื่ สร้างรูปแบบ NSW_TFE Model 2) เพื่อศกึ ษาผลของการใช้รปู แบบฯ 3) เพ่ือนาเสนอรูปแบบฯ ข้นั ตอนการวจิ ยั แบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะท่ี 1 การศกึ ษาสภาพปจั จุบนั ปญั หา การจดั การศกึ ษา ตามวตั ถปุ ระสงค์ของแผนการศกึ ษาแห่งชาติ ระยะท่ี 2 พฒั นารปู แบบดว้ ยหลักการ แนวคิด ทฤษฎีทีเ่ ก่ยี วข้องกับการ จัดการเรยี นรู้ การมสี ่วนร่วม การทางานเป็นทมี การพฒั นารปู แบบ การนเิ ทศการศึกษา ระยะท่ี 3 ทดลองใช้รปู แบบฯ ปี 2562 หลังจากน้ันนารูปแบบฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้รูปแบบฯ เพื่อปรับปรุงและพัฒนารูปแบบ และ ปี 2563 มีโรงเรียนร่วมใช้รูปแบบเพ่ิมเติม โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการท้ังส้ิน 11 โรงเรียน ระยะที่ 4 การนาเสนอ รูปแบบฯ สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูลคอื ความถ่ี คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน การวิจัยพบว่า 1. NSW_TFE Model มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ส่วนที่ 1 ส่วนนา ได้แก่ 1. แนวคิดเกี่ยวกับ การยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบฯ ส่วนท่ี 2 เน้ือหา ได้แก่ 1) การศึกษาสภาพ ปัจจุบัน ปญั หา และความตอ้ งการ 2) การวางแผน 3) การจัดการเรยี นรู้ 4) การวดั และประเมินผล สว่ นที่ 3 เงอ่ื นไข ความสาเร็จ ได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้รูปแบบด้านความถูกต้องอยู่ในระดับถูกต้องมากท่ีสุด ความเหมาะสมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก ความเป็นไปไดอ้ ยูใ่ นระดบั เป็นไปได้มากทสี่ ุด และความเปน็ ประโยชน์อยู่ใน ระดับเป็นประโยชน์มากที่สุด 2. ผลการทดสอบทางการศึกษาข้ันพื้นฐาน(O-NET) ของโรงเรียนท่ีเข้าร่วมโครงการ ปีงบประมาณ 2562 ท่ีคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานแต่ละวิชาผ่านเกณฑ์เพิ่มข้ึน ดังนี้ วิชาภาษาไทย 4 โรงเรียน วิชาภาษาอังกฤษ 2 โรงเรียน วิชาคณิตศาสตร์ 1 โรงเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 1 โรงเรียน ปีการศึกษา 2563 สูงกว่าปีการศึกษา 2562 วิชาภาษาภาษาไทย 3 โรงเรียน วิชาภาษาอังกฤษ 3 โรงเรียน วิชาคณิตศาสตร์ 1 โรงเรียน และวิชาวิทยาศาสตร์ 1 โรงเรียน 3. ผู้เช่ียวชาญให้การประเมินรับรองรูปแบบฯ อยูใ่ นระดบั มากที่สุด คำสำคัญ: ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน การสอน การนิเทศ ABSTRACT The objectives of the research were: 1) to develop the NSW_TFE Model; 2) to study the model implementation and; 3) to present the model. The research was divided into four phases: 1) the study of current situation, problems, and education management according to the National Scheme of Education B.E. 2560-2579 (2017-2036); 2) the model development based on principles, concepts, and theories relevant to learning management, engagement, teamwork, model development, and education supervision; 3) the model implementation in 2019 and the model 57

การประชุมวิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ที่ 2) วนั ที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา improvement by experts and users. In 2020, more schools adopted the model and the total number of participating schools became 11 and; 4) the model presentation. The data were analyzed by using frequency, percentage, and standard deviation. The research showed that: 1. The NSW_TFE Model consisted of three parts: (1) the introduction which included: 1) the concept of education management improvement and; 2) the model objective; (2) the content which comprised: 1) the study of current situation, problems, and needs; 2) planning; 3) learning management and; 4) the evaluation and; (3) the evaluation by experts and users which indicated that the model had validity at the highest level, appropriateness at the high level, feasibility at the highest level, and benefits at the highest level. 2. From the O-NET test in 2019, four participating schools had higher scores than the standard in Thai language, two schools in English, one school in mathematics, and one school in science. When comparing scores between 2019 and 2020, three participating schools had higher scores in Thai language, three schools in English, one school in mathematics, and one school in science. 3. The evaluation result by experts was at the highest level. Keywords: learning achievement, instruction, education supervision ผลการใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้ฟิสกิ ส์เชิงรกุ (Active Physics) วชิ าปฏบิ ตั กิ ารฟิสกิ ส์ยุคใหม่ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 หอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ ข้มขน้ The Impacts of the Active Learning Package Used for Modern Physics Laboratory for Twelfth Graders in Intensive Science Class ณัฐวญิ ญ์ สริ เดชธราทพิ ย์ มยุรัตน์ ตงั้ วิชัย บทคดั ยอ่ การวิจัยผลชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฟิสิกส์เชิงรุก (Active Physics) วิชาปฏิบัติการฟิสิกส์ยุคใหม่ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ห้องเรียนวิทยาศาสตร์เข้มข้น มีวัตถุประสงค์เพ่ือ พัฒนาและหาประสิทธิภาพการใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฟิสิกส์เชิงรุก วิชาปฏิบัติการฟิสิกส์ยุคใหม่ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้องเรียน วิทยาศาสตร์เข้มข้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนวิทยาศาสตร์ห้องเรียนวิทยาศาสตร์เข้มข้น ภาคต้น ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนมัธยมฐานบินกาแพงแสน จานวน 40 คน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบที ผลการศึกษาพบวา่ ชดุ กิจกรรมเรียนรูฟ้ ิสกิ สเ์ ชิงรุก ประกอบดว้ ย (1) ชอื่ หนว่ ย (2) สถานการณ์ (3) ภารกจิ ของนกั เรียน (4) เกณฑ์การประเมนิ ความสาเรจ็ (5) วงจรออกแบบเชิงวิศวกรรม (6) มมุ ฟสิ ิกส์ (7) นักเรยี นเหน็ อะไร (8) สารวจตรวจสอบ (9) ข้อควรระวัง (10) คุยเร่ืองฟิสิกส์ (11) ภาษาฟิสิกส์ (12) คาถามสาคัญทางฟิสิกส์ (13) เติมเต็มความรู้ฟิสิกส์ (14) ทบทวนคาสาคัญ (15) ปัญหาฟิสิกส์ประจาหน่วย (16) ภารกิจย่อย (17) นักเรียน ได้เรียนรอู้ ะไรจากชุดกิจกรรม (18) ภารกิจประจาบท (19) การเชอื่ มโยงกบั วิทยาศาสตร์สาขาอืน่ นักเรยี นมผี ลสัมฤทธิ์ สงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีระดบั นยั สาคัญทางสถติ ิ .05 และมปี ระสิทธิภาพ 81.79/82.25 สูงกวา่ เกณฑ์มาตรฐาน 80/80. คำสำคัญ: การสอนฟิสกิ ส์ ฟิสกิ ส์เชงิ รุก ฟสิ กิ สย์ คุ ใหม่ 58

การประชมุ วชิ าการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 2) วันท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ABSTRACT The research on the impacts of the active learning package used for modern physics laboratory for twelfth graders in intensive science class aimed to develop and evaluate efficiency of the learning package. The samples consisted of 40 students in intensive science class of academic year 2019 at Mathayom Thanbin Kamphaengsaen School. The data were analyzed by mean, standard deviation, and t-test. The research found that the active learning package for physics comprised (1) unit tile; (2) situation; (3) mission; (4) success criteria; (5) engineering design process; (6) physics corner; (7) what students see; (8) investigation; (9) concerns; (10) physics talks; (11) language of physics; (12) key physics questions; (13) physics knowledge; (14) key words review; (15) questions of the unit; (16) challenges; (17) summary of the unit; (18) missions of the unit; (19) links to other branches of science. Students’ learning efficiency from the post-test was significantly higher than that from the pre-test at .05 with efficiency of 81.79/82.25 from the 80/80 standard criteria. Keywords: teaching physics, active physics, modern physics การพัฒนาหลกั สูตรฝกึ อบรมเสรมิ สร้างความสามารถการจดั การเรียนรู้ของครโู รงเรยี นมัธยมศึกษา เพือ่ พฒั นาความเปน็ พลโลกของนักเรยี น โดยจดั กิจกรรมการเรียนร้แู บบโครงงานบนฐานการบริการสังคม รว่ มกบั การสรา้ งชุมชนการเรยี นร้ทู างวิชาชีพ Training Curriculum Development to Enhance Learning Management of Secondary School Teachers to Nurture Global Citizenship through Project-based Learning Activities for Community Service and Professional Learning จกั รพงษ์ พร่องพรมราช บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) ครูโรงเรียนมัธยมศึกษา จานวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จานวน 254 คน ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบอาสาสมัคร (Volunteer Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) หลักสูตรฝกึ อบรม 2) แบบทดสอบ 3) แบบประเมินความสามารถ 4) แบบวัดความเปน็ พลโลก สถติ ิที่ใช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ยี สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจยั สรปุ ไดว้ า่ 1) ผลการศึกษาขอ้ มลู พนื้ ฐานและ หาความต้องการจาเป็น พบว่าผู้บริหารและครูต่างต้องการให้มีหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาความเป็นพลโลก โดยใช้ การจดั การเรียนรู้แบบโครงงานบนฐานการบริการสังคม เพื่อทค่ี รจู ะไดม้ ีความรู้ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานบนฐานการบริการสังคมที่เสริมสร้างความเป็นพลโลกของนักเรียน 2) ผลการออกแบบและพัฒนา หลักสตู รฝึกอบรม พบว่า หลักสูตรฝกึ อบรมฉบบั รา่ งมีความสอดคลอ้ งและความเหมาะสมในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ที่สุด 3) ผลการนาหลักสตู รไปทดลองใช้ พบว่า ก่อนอบรมได้ค่าเฉล่ียเท่ากับ (x̅ = 15.40, S.D. = 0.52) หลังอบรม 59

การประชมุ วิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังที่ 2) วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ไดค้ ่าเฉลี่ยเทา่ กบั (x̅ = 26.17, S.D. = 0.55) ความสามารถการจดั การเรียนรู้ภาพรวมมีคา่ เฉลีย่ เทา่ กบั (x̅ = 4.77, S.D. = 0.42) ความเป็นพลโลกของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ .05 4) ผลการประเมินและ ปรับปรุงหลักสูตรพบว่า หลักสูตรฝึกอบรมครูเป็นหลักสูตรท่ีสอดคล้องกบั ความต้องการของครู และนาไปใช้พัฒนา ความเปน็ พลโลกของนักเรยี นได้. คำสำคญั : หลักสูตรอบรม ความเปน็ พลโลก การจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานบนฐานการบรกิ ารสงั คม ชุมชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ABSTRACT The study was a research and development (R&D). The samples consisted of; 1) 30 secondary school teachers and 254 seventh to ninth graders under the Secondary Educational Service Area Office 31, selected by volunteer sampling. Research instruments included; 1) the training curriculum; 2) the test; 3) the competency evaluation and; 4) the test on global citizenship. The data were analyzed by mean, standard deviation, and t-test. The findings revealed that; 1) based on the study of general information and needs analysis (R1), administrators and teachers required training curriculum to nurture global citizenship through project-based learning activities for community service in order to gain understanding on the learning management; 2) from the design and development (D1), the draft training curriculum had an index of item objective congruence and appropriateness at the highest level; 3) trail results (R2) showed the average score at (x̅ = 15.40, S.D. = 0.52) before the training and at (x̅ = 26.1 7 , S.D. = 0.55) after the training. The average score for overall learning management was at (x̅ = 4.77, S.D. = 0 . 4 2 ) . Students’ global citizenship after the training was significantly higher at . 05; 4) from the curriculum evaluation and improvement (D2), the training responded to the teachers’ needs and was practically used to nurture students’ global citizenship Keywords: training curriculum, global citizenship, project-based learning management for community services, Professional learning Community การพฒั นาความสามารถในการคดิ เชิงเหตุผลของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้ตามแนวพุทธวธิ ีทีเ่ นน้ การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก The Development of Logical Thinking Ability among Twelfth Graders through Learning Management based on the Buddhist Concepts with a focus on Active Learning เมธาสิทธิ์ ธญั รัตนศรสี กุล 60

การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ท่ี 2) วันท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา บทคดั ย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวพุทธวิธีที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อน ระหว่าง และหลังจัด การเรียนรู้ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ได้แก่ ครูมัธยมศึกษา จานวน 5 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 38 คน ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวดั ซา้ ผลการวิจัยพบว่า 1) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวพุทธวิธีที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุกมีชื่อว่า “METHA” ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นสร้างความพร้อมทางจิตและเร้าความสนใจ (M) ขั้นสารวจเน้ือหา (E) ขั้นสืบสอบ อย่างเช่ือม่ัน (T) ขั้นปฏิบัติกับกลุ่ม (H) และข้ันประเมินและสรุป (A) มีความเหมาะสม ความสอดคล้องเชิงทฤษฎีและ ความเป็นไปไดใ้ นการนาไปใช้ในระดับมากที่สุด และ 2) ความสามารถในการคิดเชงิ เหตผุ ลของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 และหลังจัดการเรียนรู้ตามแนวพุทธวธิ ีที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุกสูงกวา่ ระหว่างจัดการเรียนรู้ และระหว่างจดั การเรียนรู้ สูงกวา่ ก่อนจัดการเรยี นรู้ อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05 คำสำคญั : พทุ ธวธิ ีการสอน การเรียนรู้เชงิ รกุ การคดิ เชงิ เหตุผล ABSTRACT The research aimed 1) to synthesize learning management based on the Buddhist concepts with afocus on active learning and; 2) to compare logical thinking ability of twelfth graders before and after the lesson. The key informant group comprised five secondary school teachers. The sample group included 38 twelfth graders in the second semester of academic year 2020 at Rachineeburana School, Nakhon Pathom. The research tools were assessment form, learning management plan, and test. The data were analyzed by arithmetic mean, standard deviation, and Repeated Measures ANOVA. The research found that; 1) the learning management based on the Buddhist concepts with a focus on active learning entitled “METHA” which comprised five steps; readiness of mind and interest; content exploration; Investigation with confidence; group work; assessment and; summary, had appropriateness, theoretical consistency, and practicality at the highest level and; 2) the logical thinking ability among twelfth graders during and after the implementation of the learning management was statistically significantly higher than that before the implementation at .05. Keywords: Buddhist method of teaching, active learning, logical thinking 61

การประชุมวิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ท่ี 2) วันท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาทกั ษะการแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 โดยใช้การจดั การเรยี นรแู้ บบใช้ปญั หาเป็นฐาน The Development of Mathematical Problem Solving Skills of Twelfth Graders through Problem–Based Learning (PBL) วรกมล วงศธรบุญรัศม์ิ บทคัดยอ่ การวจิ ัยน้ีมีวตั ถุประสงค์เพอื่ 1) เพอ่ื เปรียบเทียบทกั ษะในการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ เร่อื ง การวเิ คราะห์ ข้อมูลเบื้องต้น ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหา เป็นฐาน เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์ 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังการจดั การเรียนรู้โดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 12 จานวน 36 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม ได้มาจาก การสุ่มแบบเจาะจง แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มตัวอย่างเดียววัดผลก่อนและหลัง เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบทดสอบ วัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉล่ียเลขคณิต ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบทแี บบไม่อิสระตอ่ กนั ผลการวิจยั พบว่า 1. ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การวิเคราะห์ข้อมูลเบ้อื งต้น ของนักเรียน มัธยมศึกษาปีท่ี 6 หลังการจดั การเรยี นรู้โดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบปญั หาเป็นฐาน เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตรส์ ูงกวา่ ก่อนจัดการเรียนรู้อยา่ งมีนัยสาคัญที่ระดับ .05 2. ความพงึ พอใจ ของนกั เรียนมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยภาพรวมอยูใ่ นระดบั มาก. คำสำคญั : การจดั การเรียนรู้แบบปญั หาเปน็ ฐาน พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ความพงึ พอใจ ตอ่ การจดั การเรียนรู้ ABSTRACT The objectives of the research were; 1) to compare mathematical problem solving skills on basic data analysis of twelfth graders before and after the implementation of problem-based learning management to develop mathematical problem solving skills; 2) to study students’ satisfaction after the implementation. The sample group comprised 36 twelfth graders from room 12 in the second semester of academic year 2020 at Rachineeburana School, Nakhon Pathom, selected by purposive sampling. This single sample group was evaluated with pre- and post-tests. The research tools included problem-based learning management plan for the development of mathematical problem solving skills, the test for mathematical problem solving skills, and the 62

การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ที่ 2) วนั ท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา satisfaction survey form. The data were analyzed by arithmetic mean, standard deviation, and independent t-test. The research findings were as follows. 1. Mathematical problem solving skills on basic data analysis of twelfth graders after the implementation of problem-based learning management were significantly higher than that before the implementation at .0 5 level. 2 . The students’ overall satisfaction after the implementation of problem-based learning management was at high level. Keywords: problem–based learning management, mathematics problem solving skills, satisfaction on learning management ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วธิ สี อนแบบเนน้ ภาระงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ เพื่อการสอ่ื สารของผู้ตอ้ งขงั ห้องเรยี นพเิ ศษ เรือนจาจังหวดั พงั งา The Impacts of Task-based Learning Management for English Writing Skill Development of Inmates from Special Class at Phang Nga Provincial Prison บญุ ชัช เมฆแกว้ บทคดั ย่อ การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ 1. เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2. เพื่อเปรียบเทียบผล การจัดการเรยี นรแู้ บบเนน้ ภาระงานกอ่ นและหลงั การจดั การเรียนรู้ 3. เพ่ือศกึ ษาความพึงพอใจของผ้ตู ้องขังที่มตี อ่ การ จัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน ประชากร ผู้ต้องขัง ห้องเรียนพิเศษ เรือนจาจังหวัดพังงา จานวน 2 ห้อง 35 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ต้องขัง จานวน 1 ห้อง 16 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1. ชุดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน 2. แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสาร และ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test แบบไม่อิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.10/82.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ท่ีกาหนด 2) ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารของผู้ต้องขัง ห้องเรียนพิเศษ เรือนจาจังหวัดพังงา ปรากฏว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ แบบเนน้ ภาระงาน อยูใ่ นระดับมาก คำสำคญั : แบบเน้นภาระงาน ทกั ษะการเขยี น องั กฤษเพ่ือการสื่อสาร ผู้ตอ้ งขงั ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to study the impacts of task-based learning management; 2) to compare learning achievement before and after implementation of the learning management; 3) to study inmate satisfaction with the task-based learning management. The research population comprised 35 inmates from two special classes at Phang Nga Provincial prison. The 63

การประชุมวิชาการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้งั ที่ 2) วนั ท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา samples were 16 inmates from one class, selected by simple random sampling. The research tools were: 1) task-based learning package; 2) communicative English writing test and; 3) satisfaction survey on task-based learning management. The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, and t-test dependent. The research found that: 1) the learning management had efficiency at 80.10/82.50, higher than the standard; 2) the inmates’ English writing skill from the posttest was statistically significantly higher than that from the pretest at .05 and: 3) the inmate satisfaction with the task-based learning management was at high level. Keywords: task-based, writing skill, communicative English, inmates การศึกษาการจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานเพอ่ื ส่งเสรมิ ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพ เร่ือง อาหารและสารอาหาร สาหรับนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 The Study of Problems-based Learning Management to Promote Health Literacy Focusing on Food and Nutrients for Sixth Graders. อรณุ รัชช์ ศาสตร์สกุล บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้และผลการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เร่ือง อาหารและสารอาหาร เพ่ือส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โดยผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากนักเรียน จานวน 24 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนชุมชนวัดกลางท่าข้าม เคร่ืองมือการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง อาหารและสารอาหาร จานวน 3 แผน แบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม และแบบสารวจความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผู้วิจัยนาข้อมูลจาก แบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้มาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์เน้ือหาเพื่อสะท้อนแนวทางการจัด การเรียนรู้ และนาข้อมูลท่ีได้จากใบกิจกรรมและแบบสารวจ ความรอบรู้ด้านสุขภาพมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยคา่ เฉลย่ี และรอ้ ยละ เพอ่ื หาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผลการศึกษา พบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในเร่ือง อาหารและสารอาหาร เพ่ือส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ มี 6 ข้ันตอน ได้แก่ ข้ันที่ 1 กาหนดปัญหาจากสถานการณป์ ัญหาจริงท่ีนักเรียน บันทึกการรับประทานอาหารของตนเอง ข้ันที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา โดยใช้การถามคาถามเก่ียวกับปัญหาและ กาหนดหวั ขอ้ ในการสืบค้นความรเู้ ร่อื งอาหารและสารอาหาร ขน้ั ท่ี 3 ดาเนินการศึกษาค้นคว้า นักเรียนร่วมกันสืบค้น ข้อมูลท่ีใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการบริโภคอาหารจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายโดยคานึงถึงความน่าเชื่อถอื ของขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ที่กาหนด ขน้ั ที่ 4 สงั เคราะห์ความรู้ เป็นข้ันที่นกั เรียนนาขอ้ มูลทส่ี ืบค้นไดร้ ว่ มกันสรุปใหไ้ ดค้ วามรู้ ทถ่ี ูกต้อง ขนั้ ท่ี 5 สรปุ และประเมินค่าของคาตอบ เป็นข้นั ที่นกั เรยี นร่วมกันเลือกแนวทางแกป้ ัญหาที่ดีที่สุดโดยกาหนด แนวทางในการรับประทานอาหารและวางแผนการรับประทานอาหารท่ีถูกต้องเหมาะสม และขั้นท่ี 6 นาเสนอและ ประเมินผลงาน โดยนาเสนอและเผยแพร่ข้อมูลเก่ียวกับแนวทางในการรับประทานอาหารท่ีถูกต้องด้วยแผ่นป้าย 64

การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ท่ี 2) วนั ที่ 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา โฆษณา นอกจากน้ีพบว่านักเรยี นท่ีเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐานในเร่ือง อาหารและสารอาหาร คะแนนเฉล่ียของ ความรอบรดู้ ้านสุขภาพอยู่ท่ี 17.76 คะแนน และมีระดับความรอบร้ดู า้ นสุขภาพอยใู่ นระดบั ดมี าก คำสำคญั : ปัญหาเปน็ ฐาน ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ อาหาร สารอาหาร ABSTRACT The research aimed to study the implementation and the impacts of problem-based learning management on food and nutrients to promote health literacy of sixth graders. The data was collected from 24 students in the second semester of the academic year 2 0 2 0 at Wat Klang Tha Kham Community School.The research tools were three problem-based learning management plans on food and nutrients, learning reflection form, worksheets, and a survey on health literacy. The information from learning reflection were analyzed for qualitative data through content analysis while information from worksheets and a survey were analyzed for quantitative data by using mean and percentage to identify the level of health literacy. The results showed that there were six steps of problem-based learning management on food and nutrients to promote health literacy including; 1 ) problems identification from student’s records of their food; 2) understanding of the problems by asking relevant questions and assigning topics for students’ research on food and nutrients; 3) students’ research for solutions on problems under the assigned topics from reliable sources; 4) synthesis of knowledge gained through summary of research findings by students; 5) conclusion and selection of the best solution to set guidelines and plan for appropriate eating habits and; 6) presentation and dissemination of posters promoting appropriate eating habits, and project evaluation. The research showed that students who learned through problem-based learning management had average score on health literacy at 17.76 and their knowledge on health was at very good level. Keywords: problem-based learning, health literacy, food, nutrients การพัฒนาแบบฝึกทักษะกีฬาฟตุ บอลด้านความคล่องแคลว่ วอ่ งไว ด้วยชดุ บันไดลงิ 4 ทศิ สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1-3 โรงเรยี นบ้านวังเตา่ The Development of Football Agility Training by Four-Direction Agility Ladder for First to Third Graders at Banwangtao School สาธติ ดว้ งนุย้ บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน เร่ือง ชุดกิจกรรมแบบฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลด้านความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยชุดบันไดลิง 4 ทิศ ของนักเรียนระดับ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โรงเรียนบ้านวังเต่า 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ 65

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 2) วันท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ชุดกิจกรรมแบบฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลด้านความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยชุดบันไดลิง 4 ทิศ ของนักเรียนระดับ ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1-3 โรงเรียนบา้ นวังเต่า กลุ่มเป้าหมายทใ่ี ช้ในการวจิ ัยครงั้ นี้ ไดแ้ ก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-3 โรงเรียนบา้ นวงั เตา่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 จานวน 36 คน ซงึ่ ได้มาจากประชากร ทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง แบบฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลด้าน ความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยชุดบันไดลิง 4 ทิศ จานวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนละ 50 นาที 2) ชุดกิจกรรม แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ทักษะกีฬาฟุตบอลด้านความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยชุดบันไดลิง 4 ทิศ ทดสอบการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 จานวน 3 ชุด 3) แบบประเมนิ ความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมแบบทดสอบทกั ษะกีฬาฟุตบอลด้านความคล่องแคลว่ ว่องไว ด้วยชุดบันไดลิง 4 ทิศ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t ของกลมุ่ ตัวอย่างกล่มุ เดยี ววัดสองครัง้ ผลการวิจัยพบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจากแบบทดสอบที่ 1 ค่าเฉล่ียคะแนน หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี น โดยคะแนนก่อนเรยี นมคี า่ เฉลยี่ (������̅ = 3.47) คะแนนหลงั เรียนมีค่าเฉล่ีย (������̅ = 6.25) โดยมี ค่า t= 5.976 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แบบทดสอบท่ี 2 ค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย (������̅ = 3.86) คะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (������̅ = 6.61) โดยมีค่า t= 15.292 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 แบบทดสอบที่ 3 ค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยคะแนน ก่อนเรียนมีค่าเฉล่ีย ( ������̅= 2.36) คะแนนหลังเรียนมีค่าเฉล่ีย (������̅ = 4.02) โดยมีค่า t= 4.183 อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 โดยนกั เรยี นมพี ัฒนาการดขี ึ้นตามลาดบั คำสำคัญ: แบบฝึกทักษะกีฬาฟตุ บอล คลอ่ งแคล่วว่องไว ชุดบนั ไดลงิ 4 ทิศ ABSTRACT The purposes of this research were: 1) to compare students’ learning achievement before and after the training with four-direction agility ladder among first to third graders at Banwangtao school; 2) to study student satisfaction with the training. The target group included 36 first to third graders at Banwantao School, Nakhon Si Thammarat from the second semester of the academic year 2020, selected from target population. The research tools were: 1) three learning management plans for 50-minute football agility training by using four-direction agility ladder; 2) three learning achievement tests before and after the training; 3) survey on student satisfaction with the training. The data were analyzed by using mean, standard deviation and repeated-measures t-test. The result showed that, from the first test, the mean score of student achievement after the training (������̅ = 3.47) was higher than that before the training ( ������̅ = 6.25) with t= 5.976 which was statistically significance at .05. From the second test, the mean score of student achievement after the training (������̅ = 6.61) was higher than that before the training (������̅ = 3.86) with t= 15.292, which was statistically significance at .05. From the third test, the mean score of student achievement after the training ( ������̅ = 4.02) was higher than that before the training ( ������̅= 2.36) with t= 4.183, which was statistically significance at .05. Students’ skill had gradually been developed. Keywords: football agility training, four-direction agility ladder 66

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ท่ี 2) วันที่ 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ผลของการจดั การเรียนรูแ้ บบ Active learning โดยใชว้ จิ ยั เป็นฐานที่มตี ่อความสามารถ ดา้ นการอา่ นวรรณคดไี ทย เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตอนศกึ ไมยราพ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นบา้ นวงั เตา่ The Impacts of Research-based Active Learning Management on Thai Literature Reading Comprehension about Ramakien: the Battle of Miyarap for Sixth Graders at Banwangtao School สิริพกั ตร์ กฐินหอม บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ Active learning โดยใช้วจิ ัยเป็นฐาน เร่ืองรามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบ ความสามารถในการอ่านวรรณคดีของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning โดยใชว้ จิ ยั เป็นฐาน กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ3) ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยแบบ Active learning ใช้วิจัยเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นบา้ นวังเตา่ จังหวดั นครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 10 คน ซง่ึ ได้มาจากประชากร ท้ังหมด เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจดั การเรียนรู้แบบ Active learning โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่องรามเกียรต์ิ ตอนศึกไมยราพ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านวรรณคดีช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 3) แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรียน วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหาคา่ เฉล่ยี ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน คา่ รอ้ ยละ และ ทดสอบดว้ ยวิธีของวิลคอกซัน ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผ้วู ิจยั สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 82.83/88.60 เป็นไปตาม เกณฑ์ท่ีกาหนด 2) ความสามารถในการอ่านวรรณคดีไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 หลังได้รับการจัด การเรียนรู้แบบ Active learning โดยใช้วิจัยเป็นฐาน สูงกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 อย่างมี นยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 3) นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 จานวน 10 คน มีความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรู้ แบบActive learning โดยใชว้ จิ ัยเปน็ ฐาน มคี วามคดิ เห็นในภาพรวมอยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ (μ = 4.65, S.D. = 0.51) คำสำคัญ: Active learning การจัดการเรียนรโู้ ดยใชว้ จิ ยั เป็นฐาน ทกั ษะการอ่านวรรณคดี ABSTRACT The research aimed: 1) to develop research-based active learning management plan on Ramakien: the Battle of Miyarap for sixth graders with 80/80 efficiency standard criteria: 2) to compare students’ reading skills after the implementation of the plan with criteria of 80% and; 3) to evaluate student satisfaction with the learning management. The target group comprised 10 sixth graders from the second semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat, selected from target population. The research tools were: 1) the research-based active learning management plan on Ramakien: the Battle of Miyarap; 2) the literature reading test 67

การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครง้ั ท่ี 2) วนั ท่ี 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา for sixth graders and; 3) the evaluation form on student satisfaction. The data were analyzed by using mean, standard deviation, percentage, and Wilcoxon signed rank test The research found that: 1) the learning management plan had efficiency at 82.83/88.60 from the standard criteria; 2) students’ literature reading skills after the plan implementation were higher than the criteria of 80% with statistical significance at .01 and: 3) student satisfaction with the learning management was at the highest level (μ = 4.65, S.D. = 0.51). Keywords: active learning, research-based learning management, literature reading skills การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เพื่องานเคร่อื งกลและการผลติ ของนักศึกษาแผนกชา่ งกลโรงงาน ปวส.2 วิทยาลัยเทคโนโลยไี ออารพ์ ซี ี โดยใชก้ ระบวนการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ขั้น รว่ มกบั เทคนคิ การต้ังคาถาม 5W1H The Improvement of Learning Achievement and Analytical Thinking Skills in Science for Mechanical Work and Manufacturing for High Vocational Students through the Use of 7-E Inquiry-based Learning Model and 5W1H Technique สวุ ภาพ อาริยะกลุ บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์เพื่องานเครื่องกลและการผลติ ของนักศึกษาแผนกช่างกลโรงงาน ปวส.2 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของกระบวนการเรียนรู้ แบบสบื เสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกบั เทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ใี ช้ในการวจิ ัย คอื นักศกึ ษาวทิ ยาลัย เทคโนโลยีไออาร์พซี ี แผนกช่างกลโรงงาน ปวส.2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 52 คน ซ่ึงได้มาด้วยการ สุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จานวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัด การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับเทคนิคการตั้งคาถาม 5W1H 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ืองานเครื่องกลและการผลิต 3) แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าร้อยละ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และค่า t–test dependent ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการคิดวิเคราะหว์ ิชาวิทยาศาสตร์เพื่องาน เคร่ืองกลและการผลิตของนักศึกษาแผนกชา่ งกลโรงงาน ปวส.2 หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดับ .05 2) คา่ ดัชนปี ระสทิ ธิผลของกระบวนการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ข้ัน ร่วมกับเทคนคิ การต้ังคาถาม 5W1H เท่ากบั 0.73 คำสำคัญ: การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 68

การประชุมวิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครง้ั ที่ 2) วันท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to improve learning achievement and analytical thinking skills of high vocational students in science for mechanical works and manufacturing through the use of 7-E Inquiry-based Learning model and 5W1H technique and; 2) to study the effective index of 7-E Inquiry-based Learning model and 5W1H technique. The sample group comprised 52 high vocational students in Machine Shop Mechanics in one of the classes from the first semester of the academic year 2020 at IRPC Technological College, selected by cluster random sampling. The research tools were: 1) the learning management plan with 7-E Inquiry-based Learning model and 5W1H technique; 2) the learning achievement test on science for mechanical works and manufacturing and; 3) the analytical thinking skills test. The data were analyzed by using mean, percentage, standard deviation, Effectiveness Index: E.I., and t-test dependent. The research found that: 1) student learning achievement and analytical thinking skills after the implementation of the learning management plan were higher than those before the implementation with statistical significance at .05 and; 2) the effective index of the 7-E Inquiry-based Learning and 5W1H technique was at 0.73. Keywords: the 7-E Inquiry-based Learning model, 5W1H technique, analytical thinking, learning achievement ผลของการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบตั ิการโดยใช้สถานการณ์จาลองที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปญั หา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. และพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบา้ นวังเตา่ The Impacts of Simulation-based Learning Management on GCD and LCM Problem Solving Skill and Teamwork Behavior of Sixth Graders at Banwangtao อารมณ์ แกว้ เซ่ง บทคัดย่อ การวจิ ยั ครั้งน้ีมีวัตถปุ ระสงค์เพ่อื 1) เพ่อื เปรยี บเทียบความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการโดยใช้สถานการณ์ จาลองในการแก้โจทย์ปัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. กลมุ่ เปา้ หมายที่ใช้ในการวจิ ัยครั้งน้ี ไดแ้ ก่ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวงั เต่า จงั หวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 จานวน 10 คน ซง่ึ ได้มาจากประชากร ท้ังหมด เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการโดยใช้สถานการณ์จาลอง เร่ืองโจทย์ปัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ห.ร.ม.และ ค.ร.น. ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 และ 3) แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าเฉล่ยี ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และค่ารอ้ ยละ 69

การประชมุ วิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 2) วนั ท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ผลการวจิ ัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการ โดยใช้สถานการณ์จาลอง สูงกว่าเกณฑ์เม่ือเทียบกับคะแนนเฉล่ียร้อยละ 70 2) พฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียน หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติการโดยใช้สถานการณ์จาลอง ในการแก้โจทยป์ ัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. อยูใ่ นระดับมาก ( = 4.44). คำสำคัญ: การจดั การเรียนรแู้ บบปฏิบัตกิ ารโดยใช้สถานการณ์จาลอง การแกโ้ จทยป์ ัญหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ABSTRACT The purposes of this research were 1) to compare GCD and LCM problem solving skill of sixth graders before and after the use of simulation-based learning management and; 2) to study students’ teamwork behavior after the use of the learning management. The target group comprised ten sixth graders from the first semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were; 1) simulation-based lesson plan on GDC and LCM; 2) GDC and LCM test for sixth graders and; 3) evaluation form on students’ teamwork behavior. The data were analyzed by using means, standard deviation, and percentage. The research showed that; 1) students’ GCD and LCM problem solving skill after the use of simulation-based learning management was 70% higher than average and; 2) students’ teamwork behavior after the use of the learning management was at very high level ( = 4.44). Keywords: simulation-based learning management, GCD and LCM problem solving การพฒั นาเอกสารประกอบการเรียนเรื่อง เงา อปุ ราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นบา้ นวงั เต่า The Development of Science Instructional Materials in Shadow, Eclipse, and Space Technology for Sixth Graders at Banwangtao School พวงรัชต์ เพชรา บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรยี นกับหลงั เรยี นของนกั เรยี นระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 เร่อื ง เงา อปุ ราคา เทคโนโลยี อวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า กลุม่ เป้าหมายทใี่ ชใ้ นการวจิ ัยคร้ังนี้ ได้แก่ นกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นบา้ นวังเต่า จังหวดั นครศรีธรรมราช ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 10 คน ซงึ่ ไดม้ าจากประชากรทง้ั หมด เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจยั ประกอบดว้ ย 1) เอกสารประกอบการเรยี น เรอื่ ง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วชิ าวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้น 70

การประชุมวิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งที่ 2) วันที่ 22 มิถุนายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ประถมศึกษาปีท่ี 6 เร่ือง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ และ 3) แบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบด้วยวิธขี องวิลคอกซัน (The Wilcoxon Matched Pairs Signed – Ranks Test) ผลการวิจัยพบว่า 1) เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีค่าเท่ากับ 84.33/85.67 2) นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรียน เรื่อง เงา อุปราคา เทคโนโลยีอวกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และ 3) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวงั เต่า จานวน 10 คน มีความพึงพอใจต่อการเรยี นโดยใช้เอกสารประกอบการเรยี น เรื่อง เงา อุปราคา เทคโนโลยอี วกาศ วิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมากที่สุด คำสำคญั : เอกสารประกอบการเรยี น เงา อปุ ราคา เทคโนโลยีอวกาศ ABSTRACT The purposes of this research were: 1) to evaluate efficiency of instructional materials in shadow, eclipse, and space technology for sixth graders at Banwangtao School; 2) to compare pretest and posttest learning achievement and; 3) to evaluate student satisfaction with the instructional materials. The research target consisted of 10 sixth graders from the second semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were: 1) science instructional materials in shadow, eclipse, and space technology for sixth graders; 2) pretest and posttest student learning achievement and; 3) survey on student satisfaction with the instructional materials. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and the Wilcoxon matched-pairs signed rank test. The research found that: 1) the developed instructional materials had efficiency at 84.33/85.67; 2) posttest student achievement was statistically significantly higher than that from the pretest at .01 and; 3) student satisfaction with the instructional materials was at the highest level. Keywords: instructional materials, shadow, eclipse, space technology การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนการสอน เร่อื งท่ารามโนราห์ข้นั พน้ื ฐาน สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 3-6 โรงเรียนบ้านวงั เตา่ The Development of Instructional Package on Basic Manora Dance for Third to Sixth Graders at Banwangtao School นรนิ ทร์ เพง็ กลางเดือน บทคดั ย่อ การวจิ ยั ครัง้ นี้มวี ัตถุประสงค์เพ่ือ 1) หาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนการสอน เร่ือง ท่ารามโนราห์ ขั้นพ้ืนฐาน สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3-6 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับ 71

การประชุมวิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งที่ 2) วันท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา หลังเรียนของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3-6 เร่อื ง ท่ารามโนราหข์ ้นั พ้นื ฐาน และ 3) ศกึ ษาความพงึ พอใจของ นักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เร่ือง ท่ารามโนราห์ขั้นพื้นฐานสาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3-6 กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3-6 โรงเรียนบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 41 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด เคร่ืองมือ ท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง ท่ารามโนราห์ข้ันพื้นฐาน สาหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3-6 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3-6 เรื่อง ท่ารามโนราห์ขั้นพื้นฐาน และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ การเรยี นโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เร่ือง ทา่ รามโนราห์ขั้นพื้นฐาน สาหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3-6 วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยการหาคา่ เฉลยี่ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เร่ือง ท่ารามโนราห์ข้ันพื้นฐาน สาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3-6 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีค่าเท่ากับ 78.61/83.53 2) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3-6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เร่ือง ทักษะการรามโนราห์ขั้นพ้ืนฐาน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-6 จานวน 41 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นการสอน เรอ่ื ง ท่ารามโนราห์ขน้ั พนื้ ฐาน โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด คำสำคัญ: ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ทักษะการรามโนราห์ ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to study efficiency of the instructional package on basic Manora Dance for third to sixth graders; 2) to compare student learning achievement before and after the use of the instructional package and; 3) to study student satisfaction with the instructional package. The target group comprised 41 third to sixth graders from the second semester of the academic year 2019 at Banwangtao School, selected from target population. The research instruments were: 1) the instructional package on basic Manora Dance for third to sixth graders; 2) the pretest and posttest for student learning achievement and; 3) the survey on student satisfaction with the instructional package. The data were analyzed by using mean and standard deviation. The research found that: 1) the instructional package had an efficiency at 78.61/83.53; 2) the student learning achievement from the posttest was statistically significantly higher than that from the pretest at .0.01 and; 3) the overall student satisfaction with the instructional package was at the highest level. Keywords: instructional package, Manora Dance skill 72

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครง้ั ที่ 2) วนั ท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรอื่ ง การใชอ้ ัลกอรทิ มึ ในการแก้ไขปัญหา การเขียนโปรแกรมเบ้อื งตน้ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนบา้ นวังเต่า The Development of CAI on the Use of Algorithms to Solve Basic Computer Programming Problems for Fourth Graders at Banwangtao School กรรณิกา เทพดารงค์ บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพอื่ 1) หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เร่ือง การใช้ อัลกอริทึมในการแก้ไขปัญหาการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับ หลังเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เร่ือง การใช้อัลกอริทึมในการแก้ไขปัญหาในการเขียนโปรแกรม เบ้ืองต้น 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน CAI เรื่อง การใช้ อัลกอริทึมในการแก้ไขปัญหาการเขียนโปรแกรมเบ้ืองต้น กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านวังเต่า จงั หวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 10 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่อง การใช้อลั กอรทิ มึ ในการแก้ไขปัญหาการเขยี นโปรแกรมเบอ้ื งต้น 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นก่อนเรียน และหลงั เรยี นของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 และ 3) แบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี นท่มี ีต่อการเรียนโดย ใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน CAI เร่ือง การใชอ้ ลั กอรทิ มึ ในการแก้ไขปัญหาการเขยี นโปรแกรมเบ้ืองต้น วเิ คราะห์ ข้อมลู โดยการหาค่าเฉลย่ี คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบวา่ 1) บทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน CAI เร่ือง การใชอ้ ัลกอริทมึ ในการแก้ไขปัญหาการเขียน โปรแกรมเบื้องต้น สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีค่าเท่ากับ 82.95/82.10 2) นักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน เร่ือง การใช้อัลกอริทึมในการแก้ไขปัญหาการเขียน โปรแกรมเบื้องงต้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เรื่อง การใช้อัลกอริทึมในการแก้ไขปัญหา การเขียนโปรแกรมเบอื้ งต้น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก คำสำคญั : วิทยาการคานวณ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน ABSTRACT The research aimed: 1) to evaluate efficiency of computer-assisted instruction (CAI) on the use of algorithms to solve basic computer programming problems; 2) to compare student learning achievement before and after the lesson and; 3) to study student satisfaction with CAI on the use of algorithms to solve basic computer programming problems. The target group comprised 10 fourth graders from the second semester of the academic year 2019. The research tools were: 1) CAI on the use of algorithms to solve basic computer programming problems and; 2) pretest and posttest for student achievement. The data were analyzed by using mean and standard deviation. 73

การประชุมวชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ท่ี 2) วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา The research found that: 1) the developed CAI had efficiency at 82.95/82.10; 2) posttest student achievement was higher than that from the pretest with statistical significance at .0.1 and; 3) the overall student satisfaction with CAI was at high level. Keywords: computing science, computer-assisted instruction การพัฒนาชดุ การเรียนรู้เร่ือง ศาสนา สาหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นบา้ นวังเตา่ The Development of the Instructional Package on Religions for Sixth Graders at Banwangtao School พรนิวฒั น์ สงั ขโชติ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ เรื่อง ศาสนา สาหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนระดับ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 เร่อื ง ศาสนาและ 3) ศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรยี นโดยใชช้ ุดการเรยี นรู้ เรอื่ ง ศาสนาสาหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านวงั เต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 10 คน ซึ่งได้มาจากประชากรท้ังหมด เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดการเรียนรู้เรื่อง ศาสนา จานวน 6 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรโู้ ดยใชช้ ุดการเรยี นรู้ เรอื่ ง ศาสนา จานวน 6 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ก่อนเรยี นและหลงั เรยี น เรอื่ ง ศาสนาจานวน 30 ข้อ และ 4) แบบประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อการเรียน โดยใช้ชุดการเรยี นรู้เร่ือง ศาสนา วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ยี คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้ เร่ือง ศาสนาสาหรับนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มีคา่ เทา่ กบั 80.33/85.67 2) นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 มผี ลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลังเรยี น เรอ่ื ง ศาสนาสูงกว่า ก่อนเรียน และ 3) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 10 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรอ่ื ง ศาสนาสาหรับนกั เรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ (  = 4.47, =0.54) คำสำคญั : ชดุ การเรียนรู้ ABSTRACT The research aimed: 1) to evaluate efficiency of the instructional package on religions for sixth graders; 2) to compare student learning achievement before and after using the instructional package and; 3) to study student satisfaction with the instructional package. The target group comprised 10 sixth graders from the second year of the academic year 2020 at Banwantao School, Nakhon Si Thammarat, selected from target population. The research tools were: 1) six instructional packages on religions; 2) the learning management plan for the instructional package and; 3) the 74

การประชมุ วชิ าการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ที่ 2) วันท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา pretest and posttest for student learning achievement. The data were analyzed by using mean and standard deviation. The research found that: 1) the instructional package had efficiency at 80.33/85.67; 2) the student learning achievement after using the instructional package was higher and; 3) the overall student satisfaction with the instructional package was at the highest level (  = 4.47, =0.54) Keywords: instructional package ผลการพฒั นาทกั ษะการคดิ โดยใช้เทคนิคการตง้ั คาถาม เร่อื ง ตามรอยหมอยาปราจนี รายวชิ าเพ่มิ เตมิ ปราจนี บุรศี กึ ษา ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนกบนิ ทรว์ ทิ ยา จงั หวัดปราจนี บุรี The Impacts of Thinking Skill Development through Questioning Techniques for Additional Subject on Following Prachin Traditional Medicine Doctors for Twelfth Graders at Kabinwittaya School, Prachinburi ธันย์ชนก พรมภกั ดี บทคดั ยอ่ การวิจัยในครั้งนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างชดุ ฝึกทกั ษะการคิดโดยใชเ้ ทคนิคการต้ังคาถาม เรือ่ ง ตามรอย หมอยาปราจีน รายวิชาเพม่ิ เตมิ ปราจนี บรุ ีศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 (2) หาประสิทธภิ าพชดุ ฝกึ ทักษะ การคิดโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถามเร่ือง ตามรอยหมอยาปราจีน (3) เปรียบเทียบทักษะการคิดของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการตั้งคาถาม เรื่อง ตามรอยหมอยาปราจีน และ (4) ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ท่มี ตี ่อการเรียนโดยใชเ้ ทคนิคการตั้งคาถาม เร่อื ง ตามรอย หมอยาปราจีน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกบินทร์วิทยา อาเภอกบินทร์บุรี จงั หวดั ปราจีนบุรี ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ได้มาด้วยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จากประชากร 8 หอ้ งเรยี น ได้นักเรียนมา 1 ห้องเรียน ซ่ึงเป็นนักเรียนท่ีเลือกเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม ปราจีนบุรีศึกษา นักเรียนจานวน 35 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะการคิดโดยใช้เทคนิคการตั้งคาถาม (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิด และ (4) แบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การหาประสิทธิภาพชุดฝึกทักษะการคิดโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถามโดยใช้ E1/E2 และ การทดสอบค่าที ผลการวิจยั พบว่า (1) ชุดฝกึ ทักษะการคิดโดยใช้เทคนิคการตงั้ คาถาม เรอ่ื ง ตามรอยหมอยาปราจนี รายวชิ า เพิ่มเติม ปราจีนบุรีศึกษา ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นมีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (2) ชุดฝึกทักษะการคิดโดยใช้เทคนิค การตั้งคาถาม เร่ือง ตามรอยหมอยาปราจีน รายวิชาเพ่ิมเติม ปราจีนบุรีศึกษา ท้ัง 9 เรื่อง มีประสิทธิภาพ E1/E2 เทา่ กบั 83.60/81.60 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑท์ กี่ าหนดไว้ คือ 80/80 (3) ทักษะการคิดของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 หลังการเรียน เรื่อง ตามรอยหมอยาปราจีน รายวิชาเพิ่มเติม ปราจีนบุรีศึกษาโดยใช้เทคนิคการตั้งคาถาม สูงกว่า 75

การประชุมวิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ท่ี 2) วันที่ 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ (4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ท่ีมีต่อ การเรียนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม เร่ือง ตามรอยหมอยาปราจีน รายวิชาเพิ่มเติม ปราจีนบุรีศึกษา โดยรวมอยู่ใน ระดบั มาก มคี า่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.48 และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.07 คำสำคัญ: ทกั ษะการคดิ เทคนิคการตงั้ คาถาม ABSTRACT The research aimed: (1) to develop thinking exercises using questioning techniques on Following Prachin Traditional Medicine Doctors, the additional subject under Prachin Studies for twelfth graders; (2) to find efficiency of the thinking exercises; (3) to compare student thinking skill before and after the lesson and; (4) to study student satisfaction with learning through questioning techniques. The research sample group consisted of 35 twelfth graders from one of the eight classes from the second semester of the academic year 2020 at Kabinwittaya School, Kabin Buri, Prachin Buri, selected by purposive sampling. The research tools were: (1) thinking exercises using questioning techniques; (2) learning management plan; (3) thinking skill test and; (4) satisfaction survey. The data were analyzed by using mean, standard deviation, E1/E2, and t-test. The research found that: (1) quality of the developed thinking exercises was at very good level; (2) all nine chapters had efficiency E1/E2 at 83.60/81.60 in line with the 80/80 standard criteria; (3) student thinking skill from the posttest was statistically significantly higher at .05 and; (4) overall student satisfaction with the lesson was at high level. The mean score was 4.48 and standard deviation was at 0.07. Keywords: thinking skill, questioning techniques ผลของการจดั กจิ กรรมการเรียนรรู้ ปู แบบออนไลนท์ ่ีมตี ่อพฒั นาการ ดา้ นผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ของนักเรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษา The Impacts of Online Learning Activities toward Learning Achievement in Mathematics of Secondary School Students กติกร กมลรตั นะสมบตั ิ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์รูปแบบออนไลน์ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิและเปรียบเทยี บพฒั นาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณติ ศาสตร์ของนักเรียนท่ีเรียนรู้ด้วย รูปแบบออนไลน์ เป็นการวิจัยประเภทก่ึงทดลองแบบอนุกรมเวลา กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นราชวินิตบางแก้ว จานวน 101 คน ซงึ่ ไดม้ าจากการสุ่มห้องเรียนอย่างง่าย โดยวธิ กี ารจบั ฉลาก เครอื่ งมือท่ีใช้ 76

การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ท่ี 2) วันท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์รปู แบบออนไลน์และแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ สถิตทิ ี่ใชค้ อื คะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ และการวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบวดั ซ้า (repeated measures ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์มีท้ังหมด 10 แผน เวลา 10 คาบ สอดคล้องกับผล การเรียนรูข้ องหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีคา่ ดัชนีสอดคล้อง IOC เทา่ กับ 1.00 ทกุ แผน 2. ผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนด้วยแบบทดสอบฉบับท่ี 1, 2 และ 3 มีค่าเฉล่ีย แต่ละฉบับเท่ากับ 12.98, 16.04 และ 19.04 คะแนน ตามลาดับ และ 3. คะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์เฉลีย่ ของระยะที่ 3 มีค่าสูงสุดคอื 89.32 คะแนน รองลงมาคอื ระยะที่ 2 และ 1 คอื 79.61 และ 46.42 คะแนน ตามลาดับ และมีค่าเฉลย่ี คะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ ระยะท่ี 2 และระยะท่ี 3 สงู กวา่ ระยะท่ี 1 อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 แตค่ ะแนนพัฒนาการสมั พัทธ์ระยะท่ี 2 และ 3 ไม่แตกต่างกัน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติ คำสำคญั : ออนไลน์ พัฒนาการ ผลสัมฤทธ์ิ คณติ ศาสตร์ ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to develop online learning activities for mathematics and; 2) to compare student learning achievement and the progress of learning achievement. The research adopted quasi-experimental time series design. The sample group comprised 101 eight graders at Ratwinit Bangkaeo School, selected by simple random sampling (lucky draw). The research tools were the plan for online learning activities for mathematics and the learning achievement test. The data were analyzed using relative change score and repeated measures ANOVA. It was found that: 1) the ten online learning activity plans for ten hours were in line with the curriculum and with the index of item-objective congruence (IOC) at 1.00 for every plan; 2) from the first, second, and third learning achievement tests, the mean scores were 12.98, 16.04 and 19.04 respectively and; 3) the third period had the highest relative change score at 89.32, followed by the second and first periods at 79.61 and 46.42 respectively. The relative change scores of the second and the third periods were statistically significantly higher than that of the first period at .01. However, the difference between relative change scores of the second and the third periods were not statistically significance. Keywords: online, development, achievement, mathematics ผลการจัดการเรียนรตู้ ามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงท่มี ตี อ่ การพฒั นาทกั ษะชวี ติ ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรยี นบา้ นวงั เต่า The Effects of Sufficiency Economy Philosophy Based Learning Management on Life Skills Development of Kindergarten Students at Banwangtao School ปิยนุช รัตนพงษ์ สุชาดา จิตกลา้ 77

การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ที่ 2) วันที่ 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงท่ีมีต่อ การพฒั นาทกั ษะชีวติ ของเด็กปฐมวัยโรงเรยี นบา้ นวังเตา่ กลมุ่ เป้าหมายที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครั้งน้ี คือ เดก็ ปฐมวยั จานวน 30 คน ที่กาลังศึกษาอยชู่ ้ันอนุบาลปีที่ 2-3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านวังเต่า ซ่ึงได้มาจากประชากร ทั้งหมด เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนร้ตู ามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 2) แบบสังเกต พฤติกรรมทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัย และ3) แบบประเมินความพึงพอใจของเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์ข้อมูลโดย การหาคา่ เฉล่ยี คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบคา่ t ของกลุม่ ตัวอย่างกลุ่มเดยี ว ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) คา่ เฉลย่ี คะแนนการพฒั นาทกั ษะชวี ิตของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนบา้ นวงั เต่า ภาพรวมและ รายด้าน คือ ด้านการตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อ่ืน ด้านการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ ด้านการจัดการกับอารมณ์และความเครียด และการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน หลังเรียนสูงข้ึนกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และ2)เด็กปฐมวัย จานวน 30 คน มีความพึงพอใจต่อการจัด การเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (  = 2.83) และเมื่อพิจารณา ในแต่ละรายการ พบวา่ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก (2.38    2.87) คำสำคญั : เศรษฐกิจพอเพียง ทักษะชีวติ เด็กปฐมวัย ABSTRACT The research aimed to study the effects of sufficiency economy philosophy based learning management on life skills development of kindergarten students at Banwangtao School. The target group comprised 30 second and third year kindergarten students from the first semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, selected from the target population. The research tools were: 1) the learning management plan based on sufficiency economy philosophy; 2) behavior observation form on life skills of kindergarten students and; 3) the student satisfaction evaluation form. The data were analyzed using mean, standard deviation, and one sample t-test. The research found that: 1) the mean scores for students’ life skills development in general and in different areas including self-awareness and respect of others, analytical thinking and decision making, creative problem solving, emotion and stress management, and social relation were higher with statistical significance at 0.01 and; 2) all 30 kindergarten students had overall satisfaction with the learning management at the highest level (  = 2.83). Their satisfaction with each areas of the learning management was at high level (2.38    2.87). Keywords: sufficiency economy, life skills, kindergarten students 78

การประชมุ วชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 2) วันท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาชุดกิจกรรมการคูณแบบตารางตามแนวคิดเนเปียร์ แกป้ ัญหาการคณู ไม่ตรงหลกั สาหรบั นักเรียนระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นวังเตา่ The Development of Activity Package on Napier's Lattice Multiplication to Prevent Wrong Arrangement of Numbers in Columns for Third Graders at Banwangtao School จุรารัตน์ คาแหง บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการคูณแบบตารางตามแนวคิดเนเปียร์ แก้ปัญหาการคูณไม่ตรงหลัก สาหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เร่ืองการคูณ(ระหว่างจานวนท่ีมีหลายหลัก (ไม่เกิน ส่ีหลัก) กับจานวนทีม่ ีหลายหลกั ) และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการคูณ แบบตารางตามแนวคิดเนเปียร์ แก้ปัญหาการคูณไม่ตรงหลัก สาหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 จานวน 11 คน ซึง่ ได้มาจากประชากรทง้ั หมด เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัยประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการคูณแบบตารางตามแนวคิดเนเปียร์ แก้ปัญหาการคูณไม่ตรงหลัก 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ืองการคูณ และ 3) แบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรยี น โดยใช้ชดุ กิจกรรมตารางการคูณตามแนวคิดเนเปียร์ แกป้ ญั หาการคูณไม่ตรงหลัก วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน และทดสอบดว้ ยวิธขี องวลิ คอกซนั (The Wilcoxon Matched Pairs Signed – Ranks Test) ผลการวิจยั พบว่า 1) ชุดกิจกรรมการคูณแบบตารางตามแนวคดิ เนเปียร์ แก้ปญั หาการคูณไมต่ รงหลกั ทีผ่ วู้ จิ ัย สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 79.10/78.80 2) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เร่ือง การคูณ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จานวน 11 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการคูณแบบตารางตามแนวคิดเนเปียร์ แก้ปัญหา การคณู ไม่ตรงหลกั โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก คำสำคัญ: ชุดกจิ กรรมการคูณแบบตารางตามแนวคดิ เนเปียร์ การคณู ไมต่ รงหลกั ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to evaluate efficiency of the activity package on Napier's lattice multiplication to prevent wrong arrangement of numbers in columns for third graders; 2) to compare learning achievement before and after the use of activity package on multiplication (up to four digit multiplication) and; 3) to study student satisfaction with the activity package. The target group comprised 11 third graders from the second semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, Nakhon Si thammarat. The research instruments were: 1) activity package on Napier's lattice multiplication to prevent wrong arrangement of numbers in columns; 2) pretest and posttest for student learning achievement on multiplication and: 3) survey on student satisfaction 79

การประชมุ วิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ที่ 2) วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา with the activity package. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and the Wilcoxon matched-pairs signed rank test. The research found that: 1) the developed activity package had efficiency at 79.10/ 78.80; 2) student learning achievement form the posttest was higher than that from the pretest with statistically significance at 0.01 and; 3) the overall student satisfaction with the activity package was at high level Keywords: activity package on Napier's lattice multiplication, wrong arrangement of numbers in columns การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการเลน่ วอลเลยบ์ อลขน้ั พนื้ ฐาน (ลกู สองมือลา่ ง) สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5-6 โรงเรียนบ้านวังเตา่ The Development of Basic Volleyball Underhand Skill Training Exercises among Fifth and Sixth Graders at Banwangtao School ยศนนท์ อกั ษรนา บทคัดย่อ การวิจยั ครั้งนม้ี ีวตั ถุประสงค์เพ่อื 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเล่นวอลเลยบ์ อลขนั้ พืน้ ฐาน (ลูกสอง มือลา่ ง) สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5-6 2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5-6 เร่ืองทักษะการเล่นวอลเลย์บอลขั้นพ้ืนฐาน (ลูกสองมือล่าง)และ 3) ศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเล่นวอลเลย์บอลขั้นพื้นฐาน (ลูกสองมือล่าง) สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5-6 กลุม่ เป้าหมายที่ใช้ในการวจิ ัยคร้งั นี้ ไดแ้ ก่ นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 โรงเรียนบา้ นวงั เต่า จังหวดั นครศรีธรรมราช ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 20 คน ซง่ึ ได้มาจากประชากร ท้ังหมด เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1 แบบฝึกทักษะการเล่นวอลเลย์บอลขั้นพ้ืนฐาน (ลูกสองมือล่าง) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ทักษะการเล่นวอลเลย์บอลขั้นพื้นฐาน (ลูกสองมือล่าง) และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเล่น วอลเลย์บอลขนั้ พน้ื ฐาน (ลูกสองมอื ลา่ ง) วิเคราะหข์ ้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และทดสอบด้วย วิธขี องวิลคอกซัน (The Wilcoxon Matched Pairs Signed – Ranks Test) ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการเล่นวอลเลย์บอลขั้นพ้ืนฐาน (ลูกสองมือล่าง) สาหรับนักเรียน ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5-6 ทผี่ ู้วิจัยสร้างขนึ้ มคี ่าเท่ากับ 78.16/78.87 2) นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5-6 มีผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5-6 เรื่องทักษะการเล่นวอลเลย์บอล ขัน้ พน้ื ฐาน (ลกู สองมอื ล่าง) สงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.01 และ 3) นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5-6 จานวน 20 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเล่นวอลเลย์บอลข้ันพ้ืนฐาน (ลูกสองมือล่าง) โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ คำสำคญั : แบบฝึกทกั ษะ การเลน่ วอลเลย์บอลขัน้ พ้ืนฐาน(ลกู สองมือล่าง) 80

การประชุมวิชาการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ท่ี 2) วันที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ABSTRACT The research aimed: 1) to evaluate the efficiency of the basic volleyball underhand skill training exercises among fifth and sixth graders at Banwangtao School; 2) to compare student learning achievement from pretest and posttest and: 3) to study student satisfaction with the training exercises. The target group consisted of 20 fifth and sixth graders from the second semester of the academic year 2020 at Banwangtao, Nakhon Si Thammarat, selected from target population. The research instruments were: 1) the basic volleyball underhand skill training exercises; 2) the pretest and posttest on student learning achievement in volleyball underhand skills and; 3) the evaluation on student satisfaction with the training exercises. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and the Wilcoxon matched-pairs signed rank test. The research found that: 1) the training exercise had efficiency at 78.16/78.87; 2) the student learning achievement from the posttest was higher than that from the pretest with statistical significance at 0.01 and; 3) student satisfaction with the training exercises was at the highest level. Keywords: skill training exercises, basic volleyball underhand skills ผลของการจัดกิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรคท์ ่ีมตี ่อทักษะสมอง EF (Executive Functions) ของนักเรยี นช้ันอนบุ าลปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นวังเตา่ The Effects of Creative Art Activities on Executive Function (EF) Skills of the Third-Year Kindergarten Students at Banwangtao School สชุ าดา จิตกล้า บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะสมอง EF (Executive Functions) ของนกั เรยี นชั้นอนบุ าลปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านวังเตา่ ก่อนและหลังเรียน กลมุ่ เปา้ หมายที่ใช้ ในการวจิ ยั ครงั้ น้ี ได้แก่ เด็กปฐมวยั อายรุ ะหว่าง 5 – 6 ปี ที่กาลงั ศึกษาอยชู่ ัน้ อนุบาลปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านวังเต่า จานวน 12 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด ใช้เวลาในการทดลอง 2 วันต่อสัปดาห์ รวมท้ังส้ิน 8 ครั้ง คร้ังละ 45 นาที เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีทั้งหมด 8 แผน และแบบสังเกตทักษะสมอง EF (Executive Functions) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และทดสอบคา่ t ของกลุ่มตวั อยา่ งกลุม่ เดยี ว ผลการวิจัย พบว่า หลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ นักเรียนช้ันอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านวังเต่า มีทักษะสมอง EF (Executive Functions) อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( = 3.11) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า กลุ่มทักษะพื้นฐาน ( = 31.67) กลุ่มทักษะปฏิบัติ (= 31.33) และกลุ่มทักษะกากับตนเอง ( = 30.67) อยู่ใน ระดับมากท่ีสุดทุกด้าน เม่ือเปรียบเทียบผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะสมอง EF (Executive Functions) ของนกั เรียนชน้ั อนุบาลปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านวังเต่า กอ่ นและหลงั เรยี น ในภาพรวมและรายด้าน พบว่า เม่อื 81

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ที่ 2) วนั ที่ 22 มิถุนายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เดก็ ปฐมวยั มีทกั ษะสมอง EF (Executive Functions) สูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญ ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .01 คำสำคญั : ทกั ษะสมอง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เดก็ ปฐมวยั ABSTRACT The research aimed to study the effects of creative art activities on executive function (EF) skills of the third-year kindergarten students at Banwangtao School. The target group consisted of 12 third-year kindergarten students (aged between five to six) from the second semester of the academic year 2020 at Banwangtao School, selected from target population. The research covered eight periods (45 minutes for each period and two periods a week). The research instruments were eight creative art activity plans and the EF skill observation form. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and one sample t-test. The research found that, after the activities, students’ EF skills were at the highest level ( = 3.11). Considering different skill types, students had basic skills at ( = 31.67), practical skills at (= 31.33), and self-regulatory skills at ( = 30.67) – all were at the highest level. The comparison of students’ EF skills before and after the activities showed that students’ EF skills, both overall and by skill types, were higher after the activities with statistical significance at .01. Keywords: executive function skills, creative art activities, kindergarten students ความพึงพอใจของผปู้ กครองเดก็ ปฐมวยั ระดบั ช้ันอนบุ าลปีที่ 1 ทไ่ี ด้รบั การเรียนรู้จากรปู แบบการเรียนรู้ แบบ Hybrid Learning System ชดุ ปิน่ โตความรู้ (LA-OR Plus Learning Box) The First-Year Kindergarten Parent Satisfaction with Hybrid Learning System “LA-OR Plus Learning Box” กาญจนา ธรรมลงั กา ประไพพรรณ แกว้ วิเชยี ร วิชชดุ า สมนึกตน บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองเด็กปฐมวัยระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 1 ท่ีได้รบั การเรียนรู้จากรูปแบบการเรยี นรู้ แบบ Hybrid Learning System ชุด ปิน่ โตความรู้ (LA-OR Plus Learning Box) คณะผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยแบบประเมิน ความพึงพอใจของผู้ปกครองเด็กปฐมวัยระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 1 โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในระดับช้ันอนุบาลปีที่ 1 ศึกษาอยู่ในโครงการละออพลัส โรงเรียนสาธิต ละอออุทิศ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต ณ กรงุ เทพมหานคร วิทยาเขตสพุ รรณบุรี ศนู ย์การศกึ ษานอกที่ตั้ง นครนายก และ ศูนย์การศกึ ษานอกทีต่ ง้ั ลาปาง กลุม่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการศกึ ษา ไดแ้ ก่ ผปู้ กครองเด็กปฐมวัย จานวน 117 คน สถติ ทิ ใ่ี ช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีท่ี 1 82

การประชมุ วิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังท่ี 2) วนั ท่ี 22 มิถุนายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา โดยรวมมีความพึงพอใจ ชุด ปิ่นโตความรู้ (LA-OR Plus Learning Box) ในระดับมากท่ีสุด ด้าน “คู่มือ” ออกแบบ สวยงาม น่าอ่าน เป็นอันดับ 1 รองลงมา ได้แก่ ด้าน “คู่มือ” ใช้ภาษาเข้าใจง่าย นาไปใช้สอนเด็กได้ และ ด้าน “สอ่ื /กิจกรรมการเรียนรู้” น่าสนใจ ดึงดูดทาใหอ้ ยากเรียนรู้ ตามลาดับ คำสำคัญ: ความพึงพอใจของผู้ปกครอง การเรยี นรู้แบบ Hybrid Learning System ABSTRACT The research aimed to study satisfaction among parents of the first-year kindergarten students with hybrid learning system “La-Or Plus Learning Box”. It was a qualitative research using satisfaction survey as a research tool. The samples were selected by purposive sampling from parents of the first-year kindergarten students in La-Or Plus project at La Or Utis Demonstration Schools, Suan Dusit University, in Bangkok, suphanburi, Nakhon Nayok, and Lampang. The sample group consisted of 117 parents. The data were analyzed using percentage and mean. The research found that parent had the highest satisfaction with overall La-OR Plus Learning Box, followed by attractive handbook design, handbook simplicity, and interesting media/activities respectively. Keywords: parent satisfaction, hybrid learning system การพัฒนานวัตกรรมการจดั การเรยี นรูใ้ นรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารโดยใช้วงจร PAOR เพอื่ พฒั นาทกั ษะการสื่อสารภาษาองั กฤษ สาหรับโรงเรียนเอกชน ในระบบสงั กัดสานักงานการศกึ ษาเอกชนจงั หวัดสงขลา The Development of Learning Management Innovation through PAOR Circle to Improve English Communication Skills for Private Schools under the Office of the Private Education Commission, Songkhla Province ปทิตตา กนกกช ปรีดา เบ็ญคาร บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาทักษะ การส่ือสารภาษาอังกฤษ สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 2) เปรยี บเทยี บความรู้ ความเขา้ ใจในการจัดการเรยี นรู้ ของครูผู้สอน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ก่อนและหลังใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการส่ือสาร ภาษาอังกฤษ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาองั กฤษก่อนและหลังใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษ 4) ศึกษาความพึงพอใจของครูผู้สอน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีมีต่อ นวตั กรรมการจัดการเรียนรูเ้ พ่อื พฒั นาทักษะการส่ือสารภาษาองั กฤษ ผลการวจิ ัยพบวา่ 1. ประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมการจดั การเรยี นรเู้ พอื่ พัฒนาทกั ษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ สาหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ทีผ่ ู้วจิ ยั คน้ คว้าพฒั นาข้ึน มคี า่ เทา่ กบั 81.40 / 81.67 ซึง่ สงู กวา่ เกณฑ์ทก่ี าหนด คือ 80/80 2. ครูผู้สอน 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนการใช้ 83

การประชุมวิชาการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ท่ี 2) วันที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา นวัตกรรม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษ หลังการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ สูงกว่าก่อนใช้ นวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้ อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05 4. ครูผูส้ อน 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ มีคา่ เฉลี่ยของ ระดับความพงึ พอใจต่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ หลงั การใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 3.66 อยใู่ นระดบั มาก คำสำคัญ: นวตั กรรมการจดั การเรียนรู้ การวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารโดยใชว้ งจร PAOR ทกั ษะการสอ่ื สารภาษาองั กฤษ ABSTRACT The research aimed: 1) to evaluate efficiency of the learning management innovation in improving English communication skills of fourth graders; 2) to compare knowledge and understanding on the learning management of teachers in five knowledge clusters; 3) to compare student learning achievement before and after the implementation of the learning management innovation and; 4) to evaluate teacher satisfaction with the learning management innovation. The research found that: 1) The learning management innovation had efficiency at 81.40 /81.67 higher than the 80/80 criteria. 2) After the innovation implementation, teachers’ knowledge and understanding on the learning management was statistically significantly higher at .05. 3) After the innovation implementation, student learning achievement in English was statistically significantly higher at .05. 4) The mean score of teacher satisfaction with the innovation was at high level at 3.66. Keywords: learning management innovation, PAOR cycle of action research, English communication skills การพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์เกีย่ วกับกฎหมายธรุ กจิ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรยี นรู้ แบบใช้กจิ กรรมเป็นฐานสาหรบั ผู้เรยี นหลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี ชนั้ สูง The Development of Online Teaching Platform for Business Law Using Activity-based Learning Management Techniques for High Vocational Certificate Students สรุ ิยะ วชริ วงศ์ไพศาล พงษ์ศักด์ิ ผกามาศ บทคัดยอ่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัยครง้ั นี้ 1) เพ่ือพัฒนาแพลตฟอรม์ การเรียนการสอนออนไลน์เก่ียวกับกฎหมายธุรกิจ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแพลตฟอร์ม 4) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความ คิดเหน็ ของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนดว้ ยแพลตฟอร์ม กลมุ่ เป้าหมาย ไดแ้ ก่ นักเรยี นระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันสูง จานวน 33 คน เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั คือ 1) แพลตฟอรม์ การเรียนการสอนออนไลน์เกยี่ วกับกฎหมายธรุ กิจโดยใช้ เทคนคิ การจดั การเรียนรู้แบบใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน 2) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 3) แบบประเมินคุณภาพ ของแพลตฟอร์มโดยผู้เช่ียวชาญ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถติ ิทดสอบที 84

การประชุมวิชาการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครง้ั ที่ 2) วันที่ 22 มิถุนายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ผลการวิจัยพบว่า แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์เก่ียวกับกฎหมายธุรกิจโดยใช้เทคนิคการจัด การเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐานท่พี ัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.21/82.45 ซ่ึงสอดคล้องกับเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 และมีค่าดัชนีประสทิ ธิผลเท่ากับ 0.8445 ผู้เรียนที่เรียนด้วยแพลตฟอร์มดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ผลการประเมินคุณภาพของแพลตฟอร์มจากผู้เช่ียวชาญ อยู่ในระดับมาก โดยเห็นว่าแพลตฟอร์มนี้มีความน่าสนใจและเหมาะที่จะใช้กับผเู้ รยี น ผู้เรียนมีความคิดเห็นเก่ียวกับ แพลตฟอร์มอยู่ในระดับมากเช่นกัน ผลการวิจัยทาให้ได้แพลตฟอร์มสาหรับผู้เรียนหลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้ได้จริง และทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้กฎหมายธุรกิจตามท่ี ได้ออกแบบไว้ คำสำคญั : แพลตฟอรม์ การเรียนการสอนออนไลน์ กฎหมายธรุ กิจ เทคนิคการจดั การเรียนรแู้ บบใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชน้ั สงู ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to develop an online teaching platform for business law using activity-based learning management techniques for high vocational certificate students; 2 ) to evaluate the efficiency of online teaching platform using standard criteria of 8 0 / 8 0 ; 3 ) to evaluate the effectiveness index of the platform and; 4) to evaluate student learning achievement and satisfaction with the platform. The target group comprised 33 high vocational certificate students. The research tools were: 1) the online teaching platform for Business Law using activity- based learning management techniques; 2) the learning achievement test; 3) the platform quality assessment form for experts and; 4) the survey on student feedback. The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, and t-test. The research found that the platform had efficiency of 81.21/82.45 from the 80/80 standard criteria and had effectiveness index at 0 . 8 445. Student learning achievement after the platform implementation was statistically significantly higher at .05. The evaluation by experts was at high level indicating that the platform was interesting and appropriate. Feedback from students was also at high level. The research yielded the teaching platform which was efficient and practical to improve student learning on the subject. Keywords: online teaching platform, business law, activity-based management techniques, high vocational certificate 85

การประชมุ วชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 2) วันที่ 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาบทเรยี นออนไลนด์ ้วยโปรแกรม Moodle เกย่ี วกับการออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย รายวชิ าวทิ ยาการคานวณสาหรับนักเรยี นระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 The Use of Moodle Program to Develop an Online Lesson in Basic Program Design and Coding for Computing Science for Sixth Graders อดลุ ย ไชยเสนา สรุ ยิ ะ วชิรวงศไ พศาล พงษศกั ดิ์ ผกามาศ บทคัดยอ่ วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งน้ี 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ด้วยโปรแกรม Moodle เกี่ยวกับ การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายรายวิชาวิทยาการคานวณสาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีท่ี 6 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3) เพ่ือหาค่าดัชนีประสิทธิผล 4) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ 5) เพ่ือศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ กลุ่มเปา้ หมายการวิจยั ได้แก่ นกั เรียนระดับประถมศกึ ษาปีที่ 6 เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ได้แก่ 1) บทเรยี น ออนไลน์ด้วยโปรแกรม Moodle เก่ียวกับการออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายรายวิชาวิทยาการคานวณ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์โดยผู้เช่ียวชาญ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และค่าสถิตทิ ดสอบที ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนออนไลน์ท่ีพัฒนาข้ึนมีประสิทธิภาพ 81.03/82.14 ซ่ึงสอดคล้องกับเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 และมคี ่าดชั นปี ระสทิ ธิผลเท่ากับ 0.8562 นกั เรียนทเ่ี รียนดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ผลประเมินคุณภาพของบทเรียน ออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก โดยเห็นว่าบทเรียนออนไลน์มีความน่าสนใจและเหมาะที่จะใช้เป็นส่ือเสรมิ ให้กับนักเรียน และนักเรียนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนออนไลน์อยู่ในระดับมากเช่นกัน ผลการวิจัยทาให้ได้ บทเรียนออนไลน์รายวชิ าวทิ ยาการคานวณเพือ่ การเรียนรู้การออกแบบและเขียนโปรแกรมอยา่ งง่ายสาหรับนักเรยี น ระดับประถมศึกษาปีท่ี 6 ทมี่ ปี ระสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้ได้จรงิ และทาให้ผูเ้ รยี นมพี ฒั นาการดา้ นวทิ ยาการคานวณ ตามที่ได้ออกแบบไว้ คำสำคญั : บทเรยี นออนไลน์ วิทยาการคานวณ ประถมศึกษา ABSTRACT The objectives of this research were: 1) to use Moodle program to develop an online lesson in basic program design and coding for computing science for sixth graders; 2) to evaluate the lesson efficiency using 80/80 standard criteria; 3) to evaluate the lesson effectiveness index; 4) to evaluate student learning achievement and; 5) to study students feedback on the lesson. The targets were sixth graders. The research instruments were: 1) the online lesson on basic program design and coding for computing science developed by using Moodle program; 2) the learning achievement 86

การประชมุ วิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ท่ี 2) วนั ท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา test; 3) the lesson quality assessment form by experts and; 4) the survey on student feedback on the online lesson. The data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, and t-test. The research found that the online lesson had efficiency at 81.03/82.14 from the 80/80 standard criteria and effectiveness index at 0.8562. Student learning achievement after the lesson was statistically significantly higher at .05. The qualify assessment by experts was at high level indicating that the online lesson was interesting and appropriate as supplementary lesson. Student feedback on the lesson was also at high level. The research yielded the online lesson in basic program design and coding for computing science for sixth graders, which was efficient and practical. Keywords: online lesson, computing science, elementary education การศกึ ษาผลการใช้บทเรียนออนไลนด์ ว้ ย Google Site เรอ่ื งการสร้างคาในภาษาไทย สาหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 The Impacts of Online Lesson Created with Google Site on Word Formation in Thai Language for Ninth Graders เสาวณยี ์ ดงั ก้อง บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1. สร้างและหาประสิทธิภาพบทเรียนออนไลน์ด้วย Google Site เร่ือง การสรา้ งคาในภาษาไทย 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผเู้ รียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ด้วย Google Site เรื่องการสร้างคาในภาษาไทย 3. ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มตี ่อบทเรียนออนไลน์ด้วย Google Site เรื่องการสร้างคาในภาษาไทยกล่มุ ตัวอย่างในการวิจยั ครั้งนี้ ป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนนารีรัตน์จังหวัดแพร่ จานวน 42 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยคร้ังน้ีได้แก่ 1. บทเรียนออนไลน์ Google Site เร่ือง การสร้างคาในภาษาไทย 2. แบบประเมินคุณภาพ บทเรียน Google Site เร่ือง การสร้างคาในภาษาไทย 3. แบบประเมินความความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง และ สถติ ิท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้งั นี้ ได้แก่ คา่ เฉล่ีย (������̅) และคา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนออนไลน์ ด้วย Google Site เร่ือง การสร้างคาในภาษาไทยมีประสิทธิภาพ 80.05/80.95 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีกาหนดไว้ คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอยา่ งมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.5 และความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ด้วย Google Site เร่ือง การสร้างคาในภาษาไทย ด้านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (������̅= 4.27) ด้านคุณภาพสื่อ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมาก (������̅= 4.23) คำสำคัญ: กูเกิ้ลไซต์ การสร้างคาในภาษาไทย บทเรยี นออนไลน์ 87

การประชุมวิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ท่ี 2) วันท่ี 22 มถิ นุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ABSTRACT The research objectives were: 1) to develop and evaluate efficiency of an online lesson crated with Google Site on word formation in Thai language; 2) to compare student learning achievement before and after the lesson and; 3) to study sample group satisfaction with the online lesson. The target group comprised 42 sixth graders from class 3/7 from the first semester of the academic year 2020 at Nareerat School Phrae, selected by purposive sampling. The research tools were; 1) the online lesson created with Google Site on word formation in Thai language; 2) the lesson quality assurance form and; 3) the satisfaction survey. The data were analyzed using mean (������̅) and standard deviation (S.D.) The research found that the online lesson had efficiency at 80.05/80.95, higher than 80/80 standard criteria. Student learning achievement after the lesson was statistically significantly higher at .05. The sample group had satisfaction with the overall lesson at high level (������̅= 4.27) and with quality of the media at high level (������̅= 4.23). Keywords: Google Site, word formation in Thai language, online lessons การผลติ สอ่ื โมชนั กราฟกิ เพ่อื ส่งเสรมิ ความรู้ การป้องกนั ตนเองจากยาเสพติด The Production of Motion Graphic Media to Promote Knowledge on Self-protection from Drug Abuse วีระ สภุ ะ กรศรณั ย์ ปณุ บุญเรือง ชญานิศ กล่ินบวั ทอง บทคดั ยอ่ ยาเสพติดเปน็ ปัญหาใหญแ่ ละเป็นภัยคุกคามต่อประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนซ่ึงก่อให้เกิดผลเสยี หายท้งั ต่อ ผู้เสพ ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจและประเทศชาติ การส่งเสริมความรู้ด้วยสื่อโมชั่นกราฟิกเพ่ือเป็นการป้องกัน การติดสารเสพติดจงึ มีความจาเป็น ในการศึกษาคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความรู้ ในการป้องกันตนเอง จากยาเสพติดและศึกษาประสิทธิภาพของส่ือโมชันกราฟิกต่อเร่ืองดังกล่าว โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ เป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับเยาวชนท่ีเข้าใช้เพจ Facebook ตารวจภูธรภาค 1 จานวน 100 คน ผลการศึกษาพบว่า เยาวชนท่ีเข้าใช้เพจ Facebook ตารวจภูธรภาค 1 ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 66 อยู่ในช่วงอายุ 15-20 ปี ร้อยละ 59 ในด้านความคิดเห็นเก่ียวกับการผลิตสื่อโมชันกราฟิกเพ่ือส่งเสริม ความรู้ การป้องกันตนเองจากยาเสพติด มีความคิดเห็นโดยรวมท้ังหมดคือ (������̅=4.45, S.D=0.64) ซ่ึงคุณภาพอยู่ใน ระดับมาก ในด้านการเรียงลาดับขั้นตอนเน้ือหาของส่ือโมชันกราฟิก รูปแบบเทคนิคการผลิตและคุณค่าของผลงาน เยาวชนท่ีเข้าใช้เพจ Facebook ตารวจภูธรภาค 1 ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รูปแบบเทคนิค การนาเสนอมีความนา่ สนใจ เนอ้ื หามคี วามชดั เจนถูกต้อง เรียงลาดับเน้ือหาได้ดี มีความเหมาะสมในการนาไปใช้งาน โมชันกราฟิกมีความน่าสนใจ ภาพวีดีโอสีสวย เสียงบรรยายดี เน้ือหาเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนและสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ได้ 88

การประชุมวิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 2) วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คำสำคัญ: โมชันกราฟิก ยาเสพตดิ เยาวชน การปอ้ งกันยาเสพตดิ ABSTRACT Drug abuse are serious problem and threat, especially among youths, causing damages to all drug users, their families, communities, economics, and countries. It is necessary to promote knowledge on self-protection from drug abuse. The study then aimed to promote knowledge on self-protection from drug abuse and to evaluate efficiency of the motion graphic media. The study collected responses from 100 youths through an online survey on the Provincial Police Region 1 Facebook page. Among the respondents, 66% were females and 59% aged between 15-20. The overall feedback on the motion graphic media was (������̅=4.45, S.D=0.64) with sequence of the content, production technique, and value at high level. Most of the respondents thought that the presentation technique was interesting, clear, correct, and with proper sequence. It was practical with attractive graphic, colorful motion pictures, pleasant narrative voice, simple and clear content. Keywords: motion graphic, drugs, youths, drug abuse prevention การผลติ ส่ือโมชนั กราฟกิ เรื่องการปฐมพยาบาลและการเคลื่อนย้าย สาหรับผู้ปว่ ยประสบอบุ ตั เิ หตขุ องหน่วยกูภ้ ยั The Production of Motion Graphic on Fist Aid and Transportation of Accident Victims by Rescue Agencies วีระ สภุ ะ ปยิ ฉัตร เพญ็ ราตรี วรรณภรณ์ ข้องธญั ญากรณ์ บทคดั ยอ่ การศึกษาเร่ือง การผลิตส่ือโมชันกราฟิก เร่ือง การปฐมพยาบาลและการเคล่ือนย้ายสาหรับผู้ป่วย ประสบอบุ ัติเหตขุ องหน่วยก้ภู ยั มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษากระบวนการการผลิต และความพงึ พอใจของผ้รู ับชม ส่ือโมชัน กราฟิก เร่ือง การปฐมพยาบาลและการเคลอื่ นยา้ ยสาหรับผูป้ ่วยประสบอุบัติเหตุของหน่วยกภู้ ยั และส่งเสริมความรู้ เรื่องการปฐมพยาบาลสาหรับผู้ทาหน้าที่กู้ภัยมอื ใหม่ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู กบั อาสาสมัคร จานวน 30 คน ผลการศึกษาพบวา่ อาสาสมัครท่ีตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 90 อยู่ในช่วงอายุ 20-30 ปี ร้อยละ 40 ในด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลิตส่ือโมชันกราฟิก เร่ือง การปฐมพยาบาลและการเคล่ือนยา้ ยสาหรับ ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุของหน่วยกู้ภัย มีความคิดเห็นโดยรวมทั้งหมดคือ (������̅=3.99, S.D.=0.55) ซ่ึงคุณภาพอยู่ใน ระดับมาก ในด้านการเรียงลาดับข้ันตอนเนื้อหาของสื่อโมชันกราฟิก รูปแบบเทคนิคการผลิตและคุณค่าของผลงาน นอกจากนั้นอาสาสมัครที่ทาแบบสอบถามสว่ นใหญ่มีความคดิ เหน็ ไปในทิศทางเดียวกันว่า รูปแบบเทคนิคการนาเสนอ มคี วามนา่ สนใจ เนอื้ หามคี วามชดั เจนถูกตอ้ ง เรยี งลาดับเนอ้ื หาได้ดี มคี วามเหมาะสมในการนาไปใชง้ าน โมชันกราฟิก มีความนา่ สนใจ 89

การประชมุ วิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังที่ 2) วนั ที่ 22 มถิ ุนายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คำสำคัญ: โมชันกราฟิก การปฐมพยาบาลของหน่วยกู้ภัย อุบตั เิ หตุ ABSTRACT The research aimed to study the production of motion graphic on first aid and transportation of accident victims by rescue agencies, to evaluate audience satisfaction, and to promote knowledge on first aid for new rescue staffs. The data were collected through online questionnaire with 30 volunteers. The research found that 90% of the respondents were male and 40% aged between 20-30. The overall feedback on the motion graphic production was (������̅=3.99, S.D.=0.55). The quality of content sequence, technique, and value was at high level. The majority of respondents agreed that production had interesting presentation technique, clear content, appropriate sequence, attractive motion graphic, and practical. Keywords: motion graphics, first aid by rescue agency, accident การใช้รปู แบบการเรยี นรูแ้ บบ Hybrid Learning System ชุดหม้อชาบูแห่งการเรยี นรู้ ในกระบวนการเรยี นรูข้ องนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 The Impacts of Hybrid Learning System through “LA-OR Plus Knowledge Hotpot” for First Graders อาภากรณ์ ภพู่ วงไพโรจน์ ดุจเดอื น จริ านนท์ ณรงค์ศกั ด์ิ ชัยสวัสดี น้าค้าง ยินดีขันธ์ บทคัดย่อ การวิจัยในคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ของระบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Hybrid learning system) ผ่านส่ือชุด “หม้อชาบูแห่งการเรียนรู้” ของโครงการละออพลัส (LA-OR plus knowledge hotpot) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเกต พฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จานวน 118 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling technique) จากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 โครงการละออพลัส โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ 4 แห่ง คือ กรุงเทพมหานคร สุพรรณบุรี นครนายก และลาปาง มีการวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผล โดยใช้ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ Wilcoxon matched-pairs signed rank test สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทาให้นกั เรียนไมส่ ามารถมาโรงเรยี นร่วมกิจกรรมไดต้ ามปกติ โครงการละออพลสั โรงเรียนสาธิตละอออุทศิ จงึ ไดว้ าง แนวทางในการแก้ปัญหา โดยการสร้างรูปแบบการเรียนรู้ผ่านส่ือ ทาให้เกิดส่ือชุดหม้อชาบูแห่งการเรียนรู้ขึ้น โดยส่ือชุดนี้นอกจากจะทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วน้ัน ยังเป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์กับ ครอบครัวในการได้ทากิจกรรมร่วมกัน ซ่ึงผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ในภาพรวม หลังใชร้ ะบบการเรียนรู้แบบผสมผสานผ่านสอ่ื ชุดหม้อชาบูแห่งการเรียนรู้ อยใู่ นระดบั ที่นักเรียนสามารถ แสดงออก สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีประเด็นคาถามเป็นตัวกระตุ้นความคิด มีทักษะเพื่อ 90

การประชมุ วิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ที่ 2) วนั ที่ 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 จากการเรียนรู้แบบลงมือทากิจกรรมอย่างสนุกสนาน ท้าทาย ได้คิด จินตนาการ ส่งเสริมการคิดท่ีเป็นข้ันตอน การคิดสร้างสรรค์ ผ่านส่ือ และอุปกรณท์ ่ีหลากหลาย โดยครูและผู้ปกครองเปิดโอกาส ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างเต็มท่ี รวมถึงการใฃ้เทคโนโลยีมาเป็นเคร่ืองมือสนับสนุน ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการ อย่างต่อเน่ืองทุกสถานการณ์ และสามารถนาไปต่อยอดการเรียนรู้ในชีวิตประจาวันได้ ซึ่งทาให้ผลการเรียนรู้ ของนักเรียนสูงกว่าก่อนใช้สื่อชุดหม้อชาบูแห่งการเรียนรู้ โดยผลการเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ทีร่ ะดับ .05 คำสำคัญ: การเรียนร้แู บบผสมผสาน นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษา โครงการละออพลัส ผลการเรยี นรู้ ABSTRACT The quantitative research aimed to study impact of the hybrid learning system through “LA-OR Plus Knowledge Hotpot”. The research tool was the behavior observation form to evaluate student learning outcome. The sample group comprised 118 first graders under LA-OP Plus Project at La-orutis Demonstration School, Suan Dusit University, in Bangkok, Suphanburi, Nakhon Nayok, and Lampang, selected by purposive sampling. The data were analyzed and report by using mean, standard deviation, and Wilcoxon matched-pairs signed rank test. As students could not attend normal school activities during the COVID-19 pandemic, LA-OP Plus Project then solved the problem by developing the hybrid learning media “LA-OR Plus Knowledge Hotpot”. This media aimed to promote students’ self-learning while strengthening family relationship through joint activities. The research found that, after the lesson, first graders could build up knowledge by themselves through thought provoking questions. They also gained 21st century skills from fun and challenging hands- on exercises that promoted linear and creative thinking through media and various tools. Teachers and parents encouraged them to learn actively with supporting technology and tools. So, student development continuously grew in all situations and in a way that they could apply their knowledge in daily life. Student learning outcome after the lesson was therefore statistically significantly higher at .05. Keywords: hybrid learning, primary students, LA-OP Plus Project, learning outcome ******************************* 91

การประชมุ วิชาการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ที่ 2) วันท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คณะผจู้ ดั ทา 1 ผู้อานวยการสถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา ท่ีปรึกษา 2 นางสาวดวงพร เจียมอมั พร หวั หน้ากลุ่มวจิ ัยและพัฒนา หวั หนา้ คณะทางาน สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศึกษา 4 นางสาวรตั ตกิ ร ผรณสุวรรณ นกั ทรัพยากรบคุ คลชานาญการพิเศษ คณะทางาน สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศกึ ษา 5 นางสาวนพมาศ ณะมาชิต นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการพเิ ศษ คณะทางาน สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศกึ ษา 6 นางณพรชยาศลิ ป์ เจรญิ ผล นักทรัพยากรบคุ คลชานาญการพเิ ศษ คณะทางาน สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศึกษา 7 นางสาวณัฐชนันท์ จนั ทคปุ ต์ นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ คณะทางานและ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และ เลขานกุ ารคณะทางาน บคุ ลากรทางการศกึ ษา 92

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 2) วนั ท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 93

การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 2) วนั ท่ี 22 มิถนุ ายน 2564 สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 94


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook