Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore FULL-Proceeding ThaiPOD2563

FULL-Proceeding ThaiPOD2563

Published by Suriya W., 2021-11-17 05:36:26

Description: FULL-Proceeding ThaiPOD2563

Search

Read the Text Version

การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร คือ นกั ศึกษาคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั สยาม ช้ันปที ี่ 1-5 จำนวน 320 คน กลมุ่ ตวั อย่าง คือ นกั ศกึ ษาคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ชนั้ ปีที่ 1-5 จำนวน 175 คน โดยใช้สตู ร คำนวณของ Cochran, W.G. (1963) ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) จำแนกออกตาม ชัน้ ปีท่ศี ึกษาโดยแบ่งเป็นชั้นปลี ะ 40 คน และเลือกนักศึกษาท่ีทำการทดลองภายในกลุ่มย่อยดว้ ยวิธีการเลือกกลุ่ม ตัวอยา่ งตามสะดวก (convenience sampling) เครือ่ งมือวิจยั ในการวิจยั คร้ังน้ีมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังน้ี เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจยั น้ี คือ แบบสอบถามความคดิ เห็นของนักศึกษาท่ีมีต่อการเรยี นการสอนออนไลน์ ในช่วงโควทิ 19 แบง่ เป็น 5 สว่ น คือ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ลักษณะของแบบสอบถามเป็น แบบตรวจสอบรายการ (check-list) ได้แก่ เพศ ช้ันปีที่กำลังศึกษา ประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนการสอนและ การสอบออนไลน์ ขอ้ มลู การใช้อนิ เตอรเ์ นต็ เบ้ืองต้น เป็นตน้ สว่ นท่ี 2 ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควิท 19 ลกั ษณะของแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ใช้เกณฑ์ 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert’s scale) ดังนี้ 5 หมายถึง เห็นด้วยมากที่สุด 4 หมายถึง ค่อนข้างเห็นด้วย 3 หมายถึง เห็นด้วยปานกลาง 2 หมายถึง ไม่ค่อยเห็นด้วย 1 หมายถึง ไม่เห็นด้วย จำนวน 17 ข้อ เช่น ระบบการเรียนออนไลน์ทำให้มีปฏิสัมพันธ์ กับอาจารย์ผู้สอนมากยิ่งขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น ความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมในการเรียน ออนไลนเ์ มื่อเทยี บกับการเรยี นในช้ันเรยี น เปน็ ตน้ ส่วนที่ 3 ข้อมูลข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิท 19 ลักษณะของ แบบสอบถามเป็นคำถามปลายเปิด ใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถามเขยี นบรรยายคำตอบ ส่วนท่ี 4 ขอ้ มูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม เกีย่ วกบั การสอบออนไลน์ในชว่ งโควิท 19 ลักษณะ ของแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ใช้เกณฑ์ 5 ระดับของลิเคิร์ท ดังนี้ 5 หมายถึง เห็นด้วยมาก ทส่ี ดุ 4 หมายถงึ ค่อนข้างเห็นด้วย 3 หมายถึง เหน็ ดว้ ยปานกลาง 2 หมายถึง ไมค่ อ่ ยเหน็ ดว้ ย 1 หมายถึง ไม่เห็น ด้วย จำนวน 13 ข้อ เช่น ความเหมาะสมในการชี้แจ้งระเบียบในการเข้าสอบหรือการสอนวิธีการใช้แอพพลิเคช่ัน ก่อนสอบออนไลน์ ความเหมาะสมของข้อสอบในการสอบออนไลน์ (ความยากความง่าย) ความเหมาะสม ระยะเวลาในการสอบออนไลน์ เป็นตน้ ส่วนที่ 5 ข้อมูลข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบออนไลน์ในช่วงโควิท 19 ลักษณะของ แบบสอบถามเป็นคำถามปลายเปิด ใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถามเขียนบรรยายคำตอบ การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยจัดทำแบบสอบถามในรูปแบบออนไลน์โดยใช้โปรแกรมกูเกิลฟอร์ม (google form) ในการเก็บ ขอ้ มลู เนื่องจากเปน็ การเก็บข้อมูลในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิท 19 2. เก็บข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามโดยทำการกระจายแบบสอบถามออนไลน์ไปยังกลุ่มสังคมออนไลน์ ของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ กลุ่มไลน์ (Line group) และกลุ่มเฟสบุค (Facebook group) ในช่วงระหว่าง วนั ท่ี 25 พ.ค. – 6 มิ.ย. 2563 3. ผวู้ จิ ัยไดน้ ำผลของการทำแบบสอบถามออนไลน์ท่ีได้มาพิจารณาตรวจสอบถูกต้องสมบูรณ์ของคำตอบ ไดช้ ดุ ข้อมูลที่ถูกต้องและสมบรู ณ์ครบถ้วนจำนวน 180 ชดุ ท่สี ามารถนำไปใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู ต่อไปได้ 39

การประชุมวชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วิเคราะห์ข้อมลู โดยการใช้วิธีทางสถิติด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ ป็นเคร่ืองมือชว่ ยในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยมรี ายละเอียดดังน้ี 1. ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) ความถีแ่ ละรอ้ ยละ 2. ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควิท 19 วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใช้สถิตเิ ชิงพรรณนา ความถ่ี ร้อยละ และคา่ มัธยฐาน 3. ข้อมลู ความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการสอบออนไลน์ในชว่ งโควิท 19 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา ความถ่ี ร้อยละ และคา่ มธั ยฐาน 4. ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามในแบบสอบถามส่วนที่ 3 และ 5 เกี่ยวกับการเรียนการ สอนและการสอบออนไลน์ในช่วงโควิท 19 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) สรปุ ผลการวจิ ัย 1. ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม นักศึกษาส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญิงร้อยละ 77.2 ประกอบดว้ ยมีนักศึกษาช้ันปีที่ 1 จำนวน 32 คน ชั้นปที ี่ 2 จำนวน 38 คน ช้นั ปที ี่ 3 จำนวน 28 คน ชน้ั ปีท่ี 4 จำนวน 30 และชัน้ ปีที่ 5 จำนวน 52 คน (ร้อยละ 17.8, 21.1, 15.6, 16.7, 28.9 ตามลำดับ) โดยนกั ศึกษาทุกคนมีอนิ เทอร์เนต็ ในการใช้งาน นกั ศกึ ษาสว่ นใหญ่เคยเรียนและเคย สอบในรูปแบบออนไลน์ (ร้อยละ 95.6, 91.1 ตามลำดับ) อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ พบว่า นักศึกษาใช้ คอมพวิ เตอร์ แทบ็ เลต็ และโทรศัพท์เคล่ือนท่ี (ร้อยละ 86.1, 82.8, 76.1 ตามลำดบั ) ส่วนอปุ กรณ์ที่ใช้ในการสอบ ออนไลน์ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ร้อยละ 96.1, 80.0, 68.9 ตามลำดับ) ส่วนวัตถุประสงค์ในการใช้อินเทอร์เน็ต พบว่า สว่ นใหญ่ใช้สำหรับสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเรียน และ การพูดคุยทางออนไลน์ (chat) (รอ้ ยละ 93.29, 92.2) ส่วนสถานท่ีใช้ในการเรียนออนไลน์ พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็น ท่บี า้ นและหอพัก (รอ้ ยละ 96.1, 34.4) ตามลำดบั สว่ นรปู แบบการเรยี นทชี่ อบ พบวา่ สว่ นใหญช่ อบการเรียนในชั้น เรียนมากที่สุด รองลงมา คือ การเรียนออนไลน์แบบคลิปสอน การเรียนแบบผสมผสาน และ การเรียนออนไลน์ แบบสอนสด (ร้อยละ 46.7, 31.1, 16.1, 6.1 ตามลำดบั ) (ตารางที่ 1) 2. คะแนนความคิดเห็นของนักศกึ ษาท่ีมตี ่อการเรียนการสอนออนไลนใ์ นชว่ งโควิด 19 จากผลการศึกษา พบว่า นักศึกษาค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดเห็นเรื่องรู้สึกสะดวกและรู้สึกผ่อนคลาย เมือ่ เรยี นออนไลน์ (คะแนนมธั ยฐานเทา่ กบั 4 และ 3.5 ตามลำดบั ) และมีความคดิ เหน็ ปานกลาง (คะแนนมัธยฐาน เท่ากับ 3) กับความคิดเห็นในเรื่อง การเรียนออนไลน์ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้สอนมากยิ่งขึ้น กล้าแสดง ความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น เรียนรู้เนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น รู้สึกน่าเบื่อ รู้สึกเสียเวลา มีความกระตือรือร้นในการเรียนมาก ยง่ิ ขึน้ รูส้ ึกมีสมาธิในการเรียน ร้สู ึกมีแรงกระตุ้นในการเรียน ทำให้มปี ญั หากับที่บ้านหรือต้องช่วยเหลืองานท่ีบ้าน ความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมในการเรียนออนไลน์เม่ือเทียบกับการเรียนในชน้ั เรียน ร้สู ึกถึงความไม่เท่าเทียม ของการเรียนออนไลน์ อยากใหม้ กี ารปรบั การเรียนการสอนเปน็ รูปแบบผสมผสานการเรียนในชน้ั เรยี นควบคู่กับไป กับการเรียนออนไลน์ ความเหมาะสมของแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า นักศึกษาไม่ ค่อยเห็นด้วย (คะแนนมัธยฐาน 2) กับความคิดเห็นเรื่อง การเรียนออนไลน์ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากยิ่งขึ้น มีแรงกระตุ้นทางการเรียน และความเห็นเรื่องอยากให้มีการปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์แบบเต็ม รปู แบบทกุ วชิ าในอนาคต ดังรายละเอียดในตารางที่ 2 40

การประชมุ วชิ าการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ตารางท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาทม่ี ตี ่อการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วง โควทิ 19 (n=180) ขอ้ มลู ทั่วไป จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ ชาย 41 22.8 หญิง 139 77.2 ช้นั ปที ่ี 1 32 17.8 2 38 21.1 3 28 15.6 4 30 16.7 5 52 28.9 ประสบการณก์ ารเรียนออนไลน์ เคย 172 95.6 ไมเ่ คย 8 4.4 ประสบการณก์ ารสอบออนไลน์ เคย 164 91.1 ไม่เคย 16 8.9 อุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเรียนออนไลน์ (เลอื กตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ ) คอมพิวเตอร์ 155 86.1 แท็บเลต็ 149 82.8 มือถือ 137 76.1 อุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการสอบออนไลน์ (เลอื กตอบไดม้ ากกวา่ 1 ขอ้ ) คอมพิวเตอร์ 144 80.0 แทบ็ เลต็ 173 96.1 มอื ถือ 124 68.9 วัตถุประสงคใ์ นการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต (เลอื กตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ดหู นัง 156 86.7 ฟังเพลง 159 88.3 เลน่ เกม 121 67.2 สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกบั การเรียน 169 93.9 แชท 166 92.2 อื่นๆ (ซ้ือของออนไลน์, อ่านหนังสอื แบบ e-book, อ่านนยิ าย, อ่านข่าว, เรียน และสอบ) 8 4.4 สถานที่ใชใ้ นการเรยี นออนไลน์ (เลอื กตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ ) บ้าน 173 96.1 หอพัก 62 34.4 ร้านกาแฟ 16 8.9 ห้างสรรพสินคา้ 2 1.1 รูปแบบการเรยี นทีช่ อบ การเรยี นในชั้นเรยี น (lecture class) 84 46.7 การเรยี นออนไลน์แบบสอนสด (Online live session) 11 6.1 การเรยี นออนไลน์แบบคลปิ สอน (Online recorded session) 56 31.1 การเรยี นแบบผสมผสาน (Blended learning) 29 16.1 41

การประชมุ วิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ตารางท่ี 2 จำนวนและคะแนนความคิดเหน็ ของนกั ศึกษาที่มีตอ่ การเรยี นการสอนออนไลนใ์ นช่วงโควิด 19 ข้อคำถาม จำนวน (รอ้ ยละ) 1 2 3 4 5 มัธยฐาน แปลผล 1. มีปฏิสมั พนั ธ์กับอาจารยผ์ สู้ อนมากยงิ่ ขึ้น 17 54 88 12 9 3 เห็นด้วย (9.3) (29.7) (48.9) (6.6) (4.9) ปานกลาง 2. มีปฏิสัมพนั ธ์กบั เพอ่ื นมากย่ิงข้ึน 36 60 66 13 5 2 ไม่คอ่ ย (20.0) (33.3) (36.7) (7.2) (2.8) เห็นดว้ ย 3. กล้าแสดงความคดิ เหน็ มากย่ิงขน้ึ 23 40 71 29 17 3 เห็นดว้ ย (12.8) (22.2) (39.4) (16.1) (9.4) ปานกลาง 4. เรียนรเู้ น้ือหาไดด้ ียง่ิ ขึน้ 13 41 78 38 12 3 เห็นด้วย (7.2) (22.8) (42.2) (21.1) (6.7) ปานกลาง 5. รู้สกึ นา่ เบ่ือ 10 20 63 52 35 3 เห็นดว้ ย (5.6) (11.1) (35.0) (28.9) (19.4) ปานกลาง 6. รู้สกึ เสยี เวลา 23 44 77 26 10 3 เหน็ ดว้ ย (12.8) (24.4) (42.8) (14.4) (5.6) ปานกลาง 7. มีความกระตอื รอื รน้ ในการเรียนมากยง่ิ ขึ้น 35 55 61 20 9 2.5 เหน็ ดว้ ย (19.4) (30.6) (33.9) (11.1) (5.0) ปานกลาง 8. รู้สกึ ผอ่ นคลายในการเรียน 12 20 58 52 38 3.5 เหน็ ด้วย (6.7) (11.1) (32.2) (28.9) (21.1) มาก 9. รสู้ ึกมสี มาธใิ นการเรียน 36 51 51 31 11 3 เห็นดว้ ยปา (20.0) (28.3) (28.3) (17.2) (6.1) นกลาง 10. รูส้ ึกสะดวก 8 29 46 51 46 4 เห็นด้วย (4.4) (16.1) (25.6) (28.3) (25.6) มาก 11. รู้สกึ มีแรงกระตนุ้ ในการเรียน 28 66 56 18 12 2 ไม่ค่อย (15.6) (36.7) (31.1) (10.0) (6.7) เหน็ ด้วย 12. ทำให้มีปญั หากบั ท่ีบา้ นหรอื ตอ้ งชว่ ยเหลือ 43 34 51 31 21 3 เหน็ ดว้ ย งานที่บา้ น (23.9) (18.9) (28.3) (17.2) (11.7) ปานกลาง 13.ความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมในการเรียน 36 53 64 18 9 3 เห็นด้วยปา ออนไลน์เมอ่ื เทียบกบั การเรียนในช้ันเรยี น (20.0) (29.4) (35.6) (10.0) (5.0) นกลาง 14.ร้สู ึกถึงความไมเ่ ท่าเทียมของการเรยี นออนไลน์ 14 33 65 33 35 3 เหน็ ด้วย (7.8) (18.3) (36.1) (18.3) (19.4) ปานกลาง 15. อยากใหม้ ีการปรบั การเรยี นการสอนเป็นรูปแบบ 60 36 57 17 10 2 ไมค่ อ่ ย ออนไลน์แบบเตม็ รปู แบบทุกวิชาในอนาคต (33.3) (20.0) (31.7) (9.4) (5.6) เหน็ ด้วย 16. อยากใหม้ กี ารปรบั การเรยี นการสอนเปน็ รูปแบบผสม 13 28 63 44 32 3 เหน็ ดว้ ย ผสานการเรยี นในชั้นเรยี นควบคูก่ ับไปกับการเรยี นออนไลน์ (7.2) (15.6) (35.0) (24.4) (17.8) ปานกลาง 17.ความเหมาะสมของแอพพลเิ คช่นั ที่ใช้ในการเรยี น 9 26 71 52 22 3 เห็นด้วย ออนไลน์ (5.0) (14.4) (39.4) (28.9) (12.2) ปานกลาง 3. คะแนนความคดิ เหน็ ของนักศกึ ษาที่มตี ่อการสอบออนไลน์ในช่วงโควิด 19 จากผลการศึกษา พบว่า นักศึกษาเห็นด้วยมากที่สุด (คะแนนมัธยฐาน 5) กับความคิดเห็นเรื่อง มีความ กังวลในการสอบออนไลน์ เช่น กลัวเกิดปัญหาระหว่างทำข้อสอบ และค่อนข้างเห็นด้วย (คะแนนมัธยฐาน 4) กับ ความคิดเห็นเรื่อง รู้สึกว่าถูกลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวหรือความเป็นส่วนตัว เนื่องจากถูกตรวจสอบสถานที่สอบหรือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบและความเหมาะสมของการทำข้อสอบใน google form โดยที่โจทย์อยู่ใน google form ส่วนความคิดเห็นทีเ่ หลือนักศกึ ษาเหน็ ด้วยปานกลาง (คะแนนมัธยฐาน 3) ดังรายละเอียดในตาราง 3 42

การประชมุ วิชาการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 ตารางท่ี 3 คะแนนความคิดเห็นของนกั ศึกษาที่มีต่อการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควดิ 19 ข้อคำถาม จำนวน (รอ้ ยละ) 1 2 3 4 5 มธั ยฐาน แปลผล 1.ความเหมาะสมในการชแ้ี จ้งระเบียบในการเข้าสอบ 7 26 73 60 14 3 เหน็ ด้วย หรือการสอนวธิ ีการใช้แอพพลเิ คชน่ั ก่อนสอบออนไลน์ (3.9) (14.4) (40.6) (33.3) (7.8) ปานกลาง 2.ความเหมาะสมของข้อสอบในการสอบออนไลน์ 9 19 83 55 14 3 เหน็ ดว้ ย (ความยากความง่าย) (5.0) (10.6) (46.1) (30.6) (7.8) ปานกลาง 3.ความเหมาะสมระยะเวลาในการสอบออนไลน์ 26 31 71 42 10 3 เหน็ ด้วย (14.4) (17.2) (39.4) (23.3) (5.6) ปานกลาง 4.ความเหมาะสมของแอพพลเิ คชัน่ ทใ่ี ช้ในการสอบออนไลน์ 9 26 76 56 13 3 เห็นดว้ ย (5.0) (14.4) (42.2) (31.1) (7.2) ปานกลาง 5.ความเหมาะสมการทำขอ้ สอบใน google form 37 47 63 20 13 3 เห็นด้วย โดยทีโ่ จทยอ์ ยู่ใน power point (20.6) (26.1) (35.0) (11.1) (7.1) ปานกลาง 6.ความเหมาะสมของการทำข้อสอบใน google form 4 17 57 60 42 4 ค่อนขา้ ง โดยที่โจทย์อยู่ใน google form (2.2) (9.4) (31.7) (33.3) (23.3) เหน็ ด้วย 7.ปญั หาเกย่ี วการเช่ือมต่ออินเทอรเ์ นต็ ในระหวา่ งการสอบ 8 26 66 46 34 3 เหน็ ด้วย (4.4) (14.4) (36.7) (25.6) (18.9) ปานกลาง 8.ความเหมาะสมในการแก้ปญั หาหากเกิดปญั หาระหวา่ ง 10 30 93 39 8 3 เหน็ ด้วย การสอบออนไลน์ (5.6) (16.7) (51.7) (21.7) (4.4) ปานกลาง 9.ความเหมาะสมของวธิ กี ารตรวจสอบทจุ รติ กบั นักศกึ ษา 17 31 67 46 19 3 เห็นด้วย กอ่ นเริ่มการสอบออนไลน์ (9.4) (17.2) (37.2) (25.6) (10.6) ปานกลาง 10.ความเหมาะสมของวิธกี ารตรวจสอบทจุ รติ กับนกั ศึกษา 21 34 61 46 18 3 เห็นด้วย หลงั การสอบออนไลน์ (11.7) (18.9) (33.9) (25.6) (10.0) ปานกลาง 11.มีความกังวลในการสอบออนไลน์ 2 6 23 41 108 5 เห็นด้วย (เช่น กลัวเกดิ ปัญหาระหวา่ งทำข้อสอบ) (1.1) (3.3) (12.8) (22.8) (60.0) มากที่สุด 12.รู้สกึ วา่ ถูกลกุ ล้ำพน้ื ท่ีส่วนตัวหรือความเป็นสว่ นตัว 7 17 50 47 59 4 ค่อนข้าง เนื่องจากถูกตรวจสอบสถานทสี่ อบหรอื อุปกรณ์ที่ใช้ใน (3.9) (9.4) (27.8) (26.1) (32.8) เห็นด้วย การสอบซึ่งเป็นสิ่งท่จี ำเปน็ ต้องทำทุกคร้ังหากมีการสอบ 13.ความเหมาะสมโดยรวมของการสอบออนไลน์ 11 40 87 35 7 3 เหน็ ดว้ ย (6.1) (22.2) (48.3) (19.4) (3.9) ปานกลาง 4. ข้อมูลความคิดเห็นของนักศกึ ษาเกี่ยวกับการเรยี นการสอนและการสอบออนไลนใ์ นช่วงโควดิ 19 4.1 รูปแบบการเรยี นการสอนที่เหมาะสม เมื่อสอบถามนักศึกษาเรื่องรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ชอบ การเรียนในชั้นเรียน (ร้อยละ 46.7) โดยให้เหตุผลว่า การเรียนในชั้นเรียนทำให้มีสมาธิในการเรียนมากกว่า (จำนวน 26 คน) ชั้นเรียนมสี ภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเรยี นมากกว่า (จำนวน 18 คน) ในหอ้ งเรียนมีเพื่อนร่วม เรียนด้วย ทำให้มีกำลังใจในการเรียน ไม่น่าเบอ่ื และไม่รู้สึกง่วง (จำนวน 12 คน) มีการเรยี นการสอนที่เป็นไปตาม ตารางเรียน (จำนวน 12 คน) การเรียนในห้องเรียนมีความต่อเน่ืองเพราะไม่มีปัญหาเรื่องอินเทอร์เน็ต (จำนวน 12 คน) การเรียนในห้องเรียนทำให้รู้สกึ มีแรงกระตุ้นในการเรียนมากกว่า (จำนวน10 คน) สามารถซักถามอาจารย์ได้ ทันทีเมื่อไม่เข้าใจ (จำนวน 9 คน) ทำให้มีสมาธิอยู่กับอาจารย์ผู้สอนมากกว่าและเข้าใจในเนื้อหาเรียนมากข้ึน (จำนวน 7 คน) นอกจากนี้การเรียนในห้องเรียนยังทำให้จดจำสิ่งที่เรียนได้มาก มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้สอน และอาจารย์ผ้สู อนสามารถสงั เกตไดว้ า่ นักศึกษาเข้าใจหรือไมเ่ ขา้ ใจ 43

การประชุมวชิ าการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 สว่ นการเรียนออนไลน์แบบคลปิ สอน (online recorded session) มีนักศึกษาเลือกเป็นอันดับที่ 2 คือจำนวน 56 คน (ร้อยละ 31.1) โดยให้เหตุผลว่า การเรียนจากคลิปสอนทำให้สามารถทบทวนบทเรียนซ้ำได้ ตลอดเวลา (จำนวน 23 คน) มีความสะดวกในการเรียน เนื่องจากนักศึกษาสามารถจัดสรรเวลาการเรียนได้เอง ตามความต้องการ (จำนวน 19 คน) นักศึกษาสามารถหยุดคลิปได้หากจดไม่ทัน หรือย้อนกลับไปเรียนในจุดที่ยัง สงสัยหรือไม่เข้าใจได้ (จำนวน 18 คน) นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีก เช่น สามารถปรับความเร็วของคลิปให้ เหมาะสมตามต้องการ ไม่มีปัญหาเรอื่ งอินเทอร์เนต็ รู้สกึ เหมอื นได้เรยี นมากกว่าในห้องเรียน และไมจ่ ำเป็นต้องต่ืน เชา้ เพ่ือไปเรยี นท่ีมหาวทิ ยาลัย การเรียนแบบผสมผสาน (lecture and online session) เป็นวิธีการเรียนการสอนที่นักศึกษา เลอื กเปน็ อันดบั 3 มีจำนวน 29 คน (รอ้ ยละ 16.1) เน่ืองจากในสถานการณจ์ ริงในการเรยี นการสอนของคณะยังไม่ มีการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ รูปแบบการเรียนที่นักศึกษาเลือกนี้จึงเป็นความคิดเห็นที่นักศึกษาอยากให้มีการจัด ข้นึ โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความเหน็ ว่าชอบวธิ ีการเรียนในชั้นเรียนที่สามารถซักถามอาจารย์ในช้ันเรียนได้ทันที (จำนวน 11 คน) ในขณะเดียวกันการเรียนออนไลน์แบบอัดคลิปสอนก็มีประโยชน์ในเรื่องของการช่วยทบทวน บทเรียนให้งา่ ยขึ้น (จำนวน 10 คน) ลดการเดนิ ทางมาเรยี นท่ีมหาวิทยาลัย (จำนวน 5 คน) รูปแบบการเรียนที่นักศึกษาเลือกน้อยที่สุดนั้นคือ การเรียนออนไลน์แบบสอนสด (online live session) จำนวน 11 คน (ร้อยละ 6.1) โดยสาเหตทุ ่ชี อบคอื เป็นการเรยี นทเ่ี ป็นไปตามตารางเรียนจำนวน 4 คน มี ความสะดวกในการเรียนเพราะไม่ต้องเดินทาง จำนวน 4 คน เรียนเข้าใจเหมือนเรียนในชั้นเรียนจำนวน 3 คน นอกจากนย้ี ังสามารถถามอาจารยผ์ ูส้ อนได้โดยตรงหากสงสยั และสามารถดูคลปิ สอนย้อนหลังได้ในกรณีท่ีอาจารย์ ได้มีการอดั คลปิ สอนไปด้วย 4.2 ปัญหาที่พบในการเรยี นการสอนออนไลน์ในชว่ งโควทิ 19 จากการสำรวจความคดิ เห็นของนักศึกษา พบว่าอุปสรรคท่ีเกิดขนึ้ ในการเรียนการสอนออนไลน์ คือ มปี ัญหาเรอื่ งอนิ เทอร์เน็ตจำนวน 37 คน ไมม่ ีสมาธิในการเรยี นจำนวน 15 คน สภาพแวดลอ้ มไมเ่ หมาะสมต่อ การเรยี นจำนวน 11 คน ทำให้มคี วามกระตือรือร้นในการเรียนน้อยลงจำนวน 11 คน คลปิ สอนมเี วลาในการเรียน มากกว่าเวลาในตารางเรียนและอุปกรณ์ในการเรียนไม่พร้อมจำนวน 8 คน เรยี นตามไม่ทันจำนวน 7 คน อาจารย์ ไม่ได้อัดคลปิ ทสี่ อนออนไลน์ไว้จำนวน 7 คน เรียนไม่ค่อยเข้าใจจำนวน 6 คน มีการเรยี นไม่เป็นไปตามตารางเรียน มีการลงคลปิ สอนชนกนั หรือลงคลิปสอนใกล้ชว่ งสอบจำนวน 6 คน การเรยี นออนไลน์ไมเ่ หมาะกบั วิชาที่มเี นื้อหา ซับซ้อนหรือวิชาปฏบิ ัตกิ ารจำนวน 6 คน อาจารย์ผูส้ อนใช้โปรแกรมในการสอนท่ีต่างกนั จำนวน 6 คน นอกจากนี้ ยงั มปี ญั หาอื่น ๆ อกี เช่น มีงานที่ได้รบั มอบหมายมากกวา่ เรียนในห้องเรียน แจ้งเวลาเรียนแบบสอนสดกระชัน้ ชิด เป็นต้น 4.3 ปัญหาที่พบในการสอบออนไลน์ในช่วงโควิท 19 จากการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษา พบวา่ นักศกึ ษาสว่ นใหญ่มีความกังวลว่าจะเกิดปัญหา ระหว่างสอบ เช่น ปัญหาสัญญาณอินเตอร์เน็ตขาดระหว่างสอบจำนวน 50 คน ขั้นตอนการตรวจทุจริตก่อนและ หลังการสอบใช้เวลาค่อนข้างนานจำนวน 33 คน และข้นั ตอนในการตรวจสอบมีการลุกล้ำความเป็นส่วนตัวท่ีมาก เกนิ ไปจำนวน 23 คน มเี สียงดังรบกวนในเวลาสอบทำให้เสยี สมาธิจำนวน 15 คน ไมช่ อบรูปแบบการสอบท่ีโจทย์ อยู่ในโปรแกรมพาวเวอร์พอยท์ (MS power point) จำนวน 10 คน ปัญหาการทำข้อสอบในรูปแบบ google form โดยเฉพาะเกิดข้อผิดพลาดในการส่งคำตอบทำให้ต้องทำข้อสอบใหม่ทั้งหมดและไม่มีวิธีการแก้ปัญหาใน เรื่องนี้จำนวน 10 คน อุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบไม่พร้อมจำนวน 7 คน อาจารย์แต่ละคนมีวิธีการตรวจและความ เคร่งครัดในการตรวจทุจริตที่แตกต่างกันจำนวน 6 คน นอกจากนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ยังให้ความเห็นว่าการสอบ ออนไลน์สามารถทุจริตในการสอบไดง้ ่ายกว่ารูปแบบการสอบปกติ 44

การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 5. แนวทางการจดั การเรียนรู้ จากผลการประเมนิ ความคิดเห็นของนักศึกษาท่ีมีต่อระบบการเรยี นออนไลน์สามารถสรุปเป็นแนวทางใน การจดั การเรยี นการสอนในปีการศึกษาต่อไปดงั น้ี 5.1 การสอนในชั้นเรยี นโดยอัดคลิปไวใ้ ห้ทบทวนบทเรียน การสอนในชั้นเรียนเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนทน่ี ักศึกษาต้องการมากที่สุดตามผลการ สำรวจ อย่างไรก็ตามความคิดเห็นของนักศึกษาส่วนใหญ่ยังอยากให้อาจารย์อัดคลิปการสอนเพื่อให้นักศึกษา สามารถกลับไปทบทวนบทเรียนได้ ซึ่งจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิท 19 ให้อาจารย์และนักศึกษาคุ้น ชินกับระบบการสอนออนไลน์ที่สามารถอัดคลิปสอนไว้ได้ วธิ กี ารนจี้ งึ เป็นวธิ ีการทงี่ ่ายท่สี ุดในการปรับรูปแบบการ เรียนการสอนเพราะไม่ต้องปรับเนื้อหาหรือกระบวนการเดิม แค่เพิ่มการอัดคลิประหว่างสอนและนำคลิปสอนไป ลงในกลุ่มสังคมออนไลน์ของนักศึกษา โดยลักษณะของรายวิชาที่เหมาะสมกับรูปแบบนี้เป็นรายวิชาที่มีเนื้อหาที่ ยาก ซบั ซอ้ น ตอ้ งใชก้ ารอธิบายและซักถามในห้องเรียน โดยหน่วยงานอาจจะต้องมีการสนับสนุนเรื่อง อุปกรณ์ใน การบนั ทึกวดี ีทัศนแ์ ละโปรแกรมในการอดั และจดั ทำคลิป 5.2 การเรยี นแบบผสมผสาน (blended learning) การเรียนแบบผสมผสาน หมายถึง การผสมผสานระหว่างการเรียนในชั้นเรียนกับการเรียนจาก เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (ศิริรัตน์ เพ็ชร์แสงสี, 2555) โดยจากแบบสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาพบว่าการเรียน จากคลิปสอนเปน็ วธิ ีทีน่ ักศึกษาต้องการเป็นอันดับที่ 2 โดยรปู แบบการเรียนแบบผสมผสานนจ้ี ะเป็นการสอนผ่าน คลิปมากขึ้นแต่ยังคงรูปแบบการสอนในห้องเรียนไว้เป็นบางครั้ง เช่น สอนออนไลน์ผ่านคลิป 3 ครั้งสลับกับ การสอนในห้องเรียน 1 ครั้ง เพื่อให้นักศึกษาได้ซักถามข้อสงสัย หรือทำกิจกรรมในห้องเรียน โดยลักษณะของ รายวชิ าท่ีเหมาะสมกับรูปแบบนี้เป็นรายวิชาท่ีมีเน้ือหาที่ยากปานกลาง นักศกึ ษาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเป็น ส่วนใหญ่ และมีการซักถามหรือทำกิจกรรมในห้องเรียนเพื่อสรุปความเข้าใจในชั้นเรียนเป็นบางครั้ง การจัดการ เรียนการสอนด้วยวิธีการนี้อาจต้องมีการปรับในระดับของเนื้อหารายวิชาเพื่อให้สอดคล้องการวิธีการสอนท่ี เปลีย่ นแปลงไป และหนว่ ยงานต้องมีการสนับสนุนเรื่อง อุปกรณใ์ นการบันทึกวีดีทัศน์และโปรแกรมในการอัดและ จัดทำคลิปซึ่งอาจจะต้องใช้อุปกรณ์ในการเตรียมที่มากกว่าวิธีอัดคลิปในชั้นเรียนเพราะต้องสร้างสื่อการสอน ออนไลน์แบบเต็มรปู แบบ 5.3 การใช้รปู แบบของการสอนผา่ นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ออนไลน์ในระบบเปดิ เป็นการปรับการเรียนการสอนให้เป็นรูปแบบออนไลน์ทั้งหมดแบบเต็มรูปแบบ โดยอาจจะใช้ รูปแบบการเรียนรู้ออนไลน์ในระบบเปดิ มาเป็นตวั ช่วยในการจัดการระบบ (ชนินทร์ ตั้งพานทอง, 2560) ซึ่งระบบ นจี้ ะมีขอ้ ดคี อื มีข้อกำหนดในเรือ่ งการจดั ทำส่ือและกิจกรรมระหว่างเรียน เช่น การทำแบบทดสอบ รวมถงึ การออก ใบรบั รองผลเมื่อเรียนจบเน้ือหาการเรยี น ระบบการเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิดนี้จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้อาจารย์ สามารถสร้างบทเรียนออนไลน์แบบเต็มรูปแบบที่ดีได้ตัวอย่างของระบบเปิดนี้ได้แก่ Thai MOOC, Moodle เป็นต้น โดยลักษณะของรายวิชาที่เหมาะสมกับรูปแบบนี้เป็นรายวิชาที่มีเนื้อหาที่ค่อนข้างง่าย นักศึกษาสามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองทั้งหมด และหน่วยงานต้องมีการสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์ในการบันทึกวีดีทัศน์และโปรแกรม ในการจัดทำคลิปและเผยแพร่ซง่ึ อาจจะต้องใช้อุปกรณ์ในการเตรียมที่แบบเต็มรูปแบบเพราะต้องสร้างส่ือการสอน ออนไลน์ทง้ั หมด อภิปรายผลวิจัยและข้อเสนอแนะ ผวู้ ิจัยอภิปรายผลวิจัยตามผลการศึกษาท่ีไดด้ ังน้ี 1. ผลการศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนออนไลน์ พบว่า นักศึกษาค่อนข้างเห็นด้วยกับ ความคิดเห็นเรื่องรู้สึกสะดวกและรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเรียนออนไลน์ (คะแนนมัธยฐานเท่ากับ 4 และ 3.5 45

การประชมุ วิชาการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ตามลำดับ) ทั้งนี้เพราะการเรียนออนไลน์ส่วนใหญ่นักศึกษาเรียนได้จากที่บ้าน (ร้อยละ 96.1) ทำให้นักศึกษาไม่ ต้องเดินทางมามหาวิทยาลัย ทำให้ไม่ต้องตื่นเช้าหรือเจอปัญหารถติด และหากเป็นการสอนออนไลน์แบบคลิป สอนนักศึกษาสามารถเลือกเรียนตามเวลาทีต่ นเองสะดวก และการเรยี นท่บี ้านซ่ึงเป็นสถานท่ีคุ้นเคยของนักศึกษา ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรี ดวงจันทร์ และลลิตา วีระเสถียร (2556) ที่ศึกษา ประสิทธผิ ลของการเรียนการสอนโดยใชโ้ ปรแกรม ATutor ของนิสิตเภสชั ศาสตรแ์ ละพบว่า นสิ ติ รอ้ ยละ 80.5 คิด วา่ การเรียนโดยใชโ้ ปรแกรมช่วยเพิ่มความสะดวก ส่วนความคิดเหน็ เรื่อง การเรียนออนไลน์ทำใหม้ ปี ฏิสัมพันธก์ บั เพื่อนมากยิ่งขน้ึ มีแรงกระตุ้นทางการเรียน และความเห็นเรื่องอยากให้มีการปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบออนไลน์แบบเต็มรูปแบบทุกวิชาในอนาคต นักศึกษาไม่ค่อยเห็นด้วย (คะแนนมัธยฐาน 2) ในประเด็นเหล่านี้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับ เพือ่ น เนือ่ งจากในเวลาเรียนปกตินักศึกษาใชเ้ วลาเรียนรว่ มกบั เพ่ือนในชั้นเรยี นตลอดเวลาท้ังวิชาบรรยายและวิชา ปฏิบัติการ การเปล่ียนมาเรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์โควิท 19 ที่ให้ทุกคนเรียนอยู่ที่บ้านห้ามออกมาเจอกัน และมีการปิดมหาวิทยาลัย ยิ่งทำให้นักศึกษาไม่สามารถเจอกันได้เลย จึงทำให้มีคะแนนในด้านนี้น้อยกว่าด้านอืน่ ส่วนเรือ่ งแรงกระตุ้นในการเรียนและความเห็นเร่ืองอยากให้มีการปรับการเรียนการสอนเป็นรปู แบบออนไลนแ์ บบ เต็มรปู แบบทกุ วิชาในอนาคตทีน่ ักศกึ ษาให้คะแนนน้อย พบว่าสอดคล้องกบั ผลสำรวจของความคิดเห็นของงานวิจัย นีท้ ่ีชี้ใหเ้ หน็ ว่านักศึกษาส่วนใหญช่ อบวธิ ีการเรยี นในช้นั เรียนมากกวา่ เพราะสถานที่มีความเหมาะสม ทำให้มีสมาธิ ในการเรยี นและการมีเพื่อนรว่ มเรียนด้วยในชนั้ เรียนจะเปน็ แรงกระตนุ้ ทดี่ ีในการเรยี น 2. จากผลการศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบออนไลน์ พบว่า นักศึกษาเห็นด้วยมากที่สุด (คะแนน มัธยฐาน 5) กับความคิดเห็นเรื่อง มีความกังวลในการสอบออนไลน์ เช่น กลัวเกิดปัญหาระหว่างทำข้อสอบ ทั้งน้ี เพราะการสอบออนไลน์ในช่วงโควิท 19 ท่ีผา่ นมา มีขน้ั ตอนในการสอบมากและต้องใช้อุปกรณ์การสอบอย่างน้อย 2 อย่างในการสอบซึ่งนักศึกษาไม่เคยสอบออนไลน์ในลักษณะนี้มาก่อน และปัญหาที่พบในการสอบออนไลน์ส่วน ใหญ่จะเปน็ ปญั หาทีเ่ กิดจากอินเทอร์เน็ต ไมว่ ่าจะเปน็ ปญั หาจากสภาพอากาศทำให้ไฟดับระหว่างสอบซ่ึงส่งผลให้ สัญญานอนิ เตอรเ์ น็ทขาดหายไปดว้ ย หรือจากการท่บี า้ นนักศึกษาอยู่ต่างจงั หวัดทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ค่อย เสถยี ร เปน็ ตน้ โดยมนี ักศึกษา 50 คน แสดงความคิดเห็นถงึ เร่ืองนี้ ซง่ึ การที่เกิดปัญหาระหว่างสอบส่งผลต่อสมาธิ ในการสอบและสร้างความกังวลใจค่อนข้างมาก นอกจากน้ีระบบการสอบออนไลน์ยงั ไม่มีมาตรการรองรับท่ชี ัดเชน หากเกิดปัญหาระหว่างสอบดังทีก่ ลา่ วไป จึงยังส่งผลใหน้ ักศึกษามีความกังวลในการสอบตลอดเวลาถึงแม้จะไม่ได้ เกิดปญั หาระหว่างสอบกต็ าม ดงั นั้นการมีมาตรการรองรับทช่ี ัดเจนอาจเป็นวธิ ที ่ชี ว่ ยคลายความกงั วลของนักศึกษา ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้นักศึกษายังค่อนข้างเห็นดว้ ย (คะแนนมัธยฐาน 4) กับความคิดเห็นเรื่อง รู้สึกว่าถูกลกุ ล้ำพื้นที่ส่วนตัวหรือความเป็นส่วนตัว เนื่องจากถูกตรวจสอบสถานที่สอบหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ ซึ่งในการ สอบออนไลน์มีการตรวจสอบตามรูปแบบที่นักศึกษากังวลจริง โดยอาจารย์ที่ตรวจสอบแต่ละท่านมีการตรวจที่ ละเอียดแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทางคณะได้ทราบปัญหาและมีการประชุมอาจารย์ถึงรูปแบบและความละเอียด ในการตรวจและมกี ารปรับรปู แบบการตรวจที่ไมล่ ดการลกุ ล้ำความเปน็ ส่วนตัวของนกั ศึกษาที่มากจนเกินไป 3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม นักศึกษาส่วนใหญ่ยังคงชอบการเรียนการสอนในชั้นเรียนคิด เป็นรอ้ ยละ 46.7 อาจเปน็ เพราะนักศึกษายังคงปรบั ตัวกบั การเรยี นในรูปแบบออนไลน์ไม่ได้เพราะการปรับเปลี่ยน รูปแบบการสอนเกิดขึ้นกระทันหันตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศให้สถานศึกษาในสังกัดและ ในกำกับการของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนดว้ ยเหตุผลพิเศษ ทำให้ในการเรียนออนไลน์ในช่วงแรกอาจจะยังไม่ มีประสิทธิภาพที่ดีพอเพราะอาจารย์ผู้สอนเองก็ขาดการเตรียมพร้อมในการสอนแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน ทำให้ เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการเรียนในชั้นเรียนซึ่งเป็นส่ิงที่อาจารย์และนักศึกษาคุ้นเคยและมีการ เตรียมการเป็นอย่างดีกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ในช่วงโควิท 19 อาจจะทำให้นักศึกษายังคงชอบการเรียน ในห้องเรียนมากกว่า อย่างไรก็ตามนักศึกษาบางส่วนก็ชอบการสอนออนไลน์แบบใช้คลิปสอนซึ่งถูกเลือกเป็น 46

การประชุมวชิ าการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 อันดับ 2 ในรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม โดยเหตุผลหลักที่นักศึกษาชอบคือ การที่สามารถเลือกเวลา เรยี นไดต้ ามท่สี ะดวกและสามารถทบทวนได้หลายรอบ ซง่ึ ผู้วิจยั ได้นำจุดเด่นของการเรียนในห้องเรียนกบั การเรียน ออนไลน์แบบใช้คลิปสอนมาออกแบบเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ดังที่ได้นำเสนอไปแล้วในผลการศึกษา ซึ่งผล การศึกษาที่ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Dalia A., et al. (2018) ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับความคิดเห็นของ นักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่มีต่อการเรียนออนไลน์พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ร้อยละ 72 ชอบการเรียนในห้องเรียน (traditional in-class) และงานวิจัยของ อรรคเดช สุนทรพงศ์ (2559) ที่ศึกษาเรื่องการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเองผ่านทางส่ืออิเล็กทรอนิกส์ของรายวิชาออกแบบเคร่ืองเรือนและการประมาณราคาพบวา่ นักศึกษามีคะแนน ความพึงพอใจต่อการเรียนแบบออนไลน์ในระดับมากแต่เมื่อให้เลือกวิธีการเรียนที่ชอบนักศึกษาทุกคน (13 คน) ยงั คงเลอื กการเรียนในชนั้ เรียนปกติ ขอ้ เสนอแนะ จากผลการศึกษาที่ได้ สามารถนำข้อมูลไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม กับความต้องการของผู้เรียนและสถานการณ์ในปัจจุบันได้มากขึ้น โดยอาจพัฒนาเป็นงานวิจัยในรูปแบบของการ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้หรือการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์โดยเก็บข้อมูลด้านผลสัมฤทธ์ทางการเรียนและ ประสิทธภิ าพของรูปแบบการจัดการเรียนรูห้ รือหลักสูตรที่ได้มีการพฒั นาข้ึนจากผลการศึกษาของงานวจิ ยั นี้ รายการอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. 2548. หลักเกณฑก์ ารขอเปดิ และดำเนินการหลักสูตรระดบั ปรญิ ญา ในระบบการศกึ ษาทางไกล พ.ศ. 2548. ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร. กระทรวงอุดมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม. 2563. ประกาศมาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโค โรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ฉบับที่ 3 : การปฏิบัตกิ ารของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19. จาก https://www.ops.go.th/main/images/2563/muaAdmin/corona/COVID_3.pdf. ส ื บค ้ นเม ื ่ อ 4 พฤษภาคม 2563. ชนินทร์ ตั้งพานทอง. 2560. ปัจจัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนการสอน (วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร์ มหาบณั ฑติ ). กรงุ เทพ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ปัณฑิตา อินทรักษา. 2562. การจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อสังคมออนไลน์ (LEARNING MANAGEMENT WITH SOCIAL MEDIA). วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เนศวร. 21(4): 357-365. พชั รี ดวงจนั ทร์ และลลิตา วรี ะเสถยี ร. 2556. ประสทิ ธิผลของการเรยี นการสอนโดยใช้โปรแกรม ATutor ในวชิ าเภสัชเวท 1 และ ปฏิบตั กิ ารเภสัชเวช 1. วารสารไทยเภสชั ศาสตร์และวทิ ยาการสขุ ภาพ. 8(1): 24-35. พิเชฐ คูชลธารา. 2559. บทบาทของ e-Learning กับการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง. วารสารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระ เกยี รติ. 1(1): 53-61. ศิริรัตน์ เพ็ชร์แสงศรี. 2555. การเรียนผสมผสาน และการประยุกต์ใช้ (Blended Learning and ITs Applications. วารสารครุ ศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม. 11(1): 1-5. สุวัฒน์ บรรลือ. 2548. รูปแบบที่เหมาะสมของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สาย สำหรับสถาบันราชภัฏอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี. อรรคเดช สุนทรพงศ์. 2559. การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านทางส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ของรายวิชาออกแบบเครื่องเรือนและ การประมาณราคารหสั วชิ า 554341. วารสารชุมชนวจิ ยั . 10(1): 20-28.. Cochran, W.G. 1963. Sampling Techniques (2 ed.). New York: John Wiley and Sons, Inc. Dalia, A., Mohammed, G., Abdurahman, A. and Arwa, K. 2018. Pharmacy students’ perceptions towards online learning in a Saudi Pharmacy School. Saudi Pharmaceutical Journal. 26(1): 617–621. 47

การประชุมวิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 การยอมรบั การเรียนแบบออนไลนใ์ นยคุ โควดิ -19 ของนักศึกษา สาขาวชิ าการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช The Acceptance of Online Learning During The Outbreak of COVID-19 of Students of Management Program, Nakhon Si Thammarat Rajabhat University ภัทราวรรณ วงั บญุ คง1* และ เพยี งใจ คงพันธ์ บทคัดยอ่ การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ ประโยชน์และการรับรู้ความง่ายในการเรียนออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย นักศึกษาจำนวน 155 คน ใช้การวิจัยเชิง สำรวจ โดยการสุ่มตัวอย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งใช้แบบสอบถามที่ผ่านการพิจารณาความเที่ยงตรงของ เนื้อหา และความเชื่อมั่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า นักศกึ ษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 87.40 อยูช่ ้ันปที ่ี 3 รอ้ ยละ 34.19 มีความถ่ีในการใช้ อินเตอร์เน็ต 4-6 ชั่วโมง/วัน ร้อยละ 37.80 ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง ร้อยละ 46.45 และไม่เคยมี ประสบการณ์การเรียนแบบออนไลน์ ร้อยละ 72.26 ส่วนระดับการการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการ รับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบออนไลน์ ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยปานกลาง ( x =3.01 S.D = 1.20) ด้าน การรบั รถู้ ึงความงา่ ยในการเรยี นแบบออนไลน์ ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นดว้ ยปานกลาง ( x =2.91 S.D = 1.16) คำสำคญั : การยอมรับ, การเรยี นแบบออนไลน์ ABSTRACT The objective of this study was to examine the acceptance of online learning during the outbreak of COVID-19 of students of Management Program at Nakhon Si Thammarat Rajabhat University. Samples were of 155 students. Use survey research by sampling in data collection. Which uses questionnaires that have been considered for content validity and reliability. Data analyzed by Statistic program for percentage, arithmetic means, and standard deviation for describe the data. The finding were as follows: Most of students were the female. Students year 3rd. Use the internet for 4 – 6 hours per day or 37.8%. Using the internet for entertainment 46.45% and students without online learning experience for 72.26%. The level of acceptance of online learning in recognition of awareness of benefits of using online learning for overall at moderately agreeable level ( x =3.01, S.D = 1.20). In recognition of the ease of learning online for overall at moderately agreeable level ( x =2.91, S.D = 1.16). Keywords: the acceptance, online learning 1 คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 48

การประชุมวชิ าการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 บทนำ ในสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ระบาด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ที่ รวมถึง ระบบทางการศึกษาท้ังในและต่างประเทศ โดยหลายประเทศมีการประกาศมาตรปิดสถาบนั ทางการศึกษา รัฐบาล ออกมาตรการด้านการเรยี นรูม้ ารองรบั ด้วยวิธีการเรยี นทางไกลผ่านรูปแบบตา่ ง ๆ สำหรบั ประเทศไทยสถานการณ์ การระบาดเกิดขึน้ ในชว่ งต้นเดือนเมษายน ซงึ่ อยูช่ ่วงสถาบนั ทางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานปิดภาคเรียน ประเทศไทยจึง มีโอกาสทบทวนบทเรยี นจากต่างประเทศเพ่อื เตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่อันสอดรับ กับมาตรการป้องกันการระบาดของ COVID-19 รวมถึงคณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนวันเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ไป เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 และยังมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) แต่การเรียนรู้ยังคง ต้องดำเนินอยู่ถึงแม้นักศึกษายังไม่สามารถไปมหาวิทยาลัยได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดรูปแบบการเรียนการสอนโดย นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ แอปพลิเคช่ัน หรือการถ่ายทอดผ่านสัญญาณโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งจะพิจารณาจากเงื่อนไขทางความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความ พรอ้ มของผู้ปกครอง ความพรอ้ มตามช่วงวยั ของเยาวชน รวมไปถึงการยอมรับเทคโนโลยีของผู้ใช้ การยอมรับเทคโนโลยีนั้นเกิดขึน้ ได้จากทั้งภายในและภายนอกตวั บุคคล จะให้ความสำคัญกับตัวแปรทาง จิตวิทยากับตัวแปรภายนอก ได้แก่ ความเชื่อ พฤติกรรม และลักษณะส่วนบุคคล นั้นล้วนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม การใช้เทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีไปใช้ เป็นต้น ซึ่งการยอมรับในเทคโนโลยีใด ๆ ของผู้ใช้นั้น จะเกิดจากสิ่ง สำคัญสองประการ ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ความง่ายของการใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ โดยการยอมรับจะ แสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมที่แสดงแนวโน้มการใช้เทคโนโลยี (Davis, 1989 อ้างถึงใน เอกชัย อภิศักดิ์กุล, 2547) ดังนั้น ในการยอมรับเทคโนโลยีออนไลน์ได้รับอิทธิพลจากตัวแปรทางจิตวิทยาที่สำคัญ คือ การรับรู้ ประโยชน์และการรับรู้ความง่ายของการใชเ้ ทคโนโลยี จากสถานการณ์ข้างต้น ส่งผลให้มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถาบันทางการศึกษาใน ระดบั อุดมศึกษาของภาคใต้ มกี ารเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ COVID-19 โดยจัดให้ มีมาตรการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ผ่าน Google Classroom จึงทำให้เกิดรูปแบบการเรียนการสอนแบบ ใหม่ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาถึงการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษา สาขาวิชาการ จัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เพื่อประโยชน์ในการนำผลของการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลเสนอให้ ผู้บริหารและบุคลากรท่ีเก่ยี วข้อง สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจท่ีจะสนับสนุนและส่งเสริมเพื่อการพัฒนาปรับปรุง แก้ไข และเปลยี่ นแปลงระบบการเรียนการสอนให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์ของหลักสูตรและมหาวิทยาลยั ต่อไป วตั ถุประสงค์การวจิ ยั เพื่อศึกษาการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ความง่ายในการเรียน ออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษา สาขาวชิ าการจดั การ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช วิธีดำเนินการวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัยครั้งนี้ เปน็ นักศกึ ษา สาขาวชิ าการจดั การ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จำนวน 257 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie, R.V. and Morgan, D.W., 1970) ในการประมาณค่าสัดส่วนของประชากร และกำหนดให้สัดส่วนของลักษณะที่สนใจใน ประชากรเท่ากับ 0.5 ระดับความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95% สามารถคำนวณหา ขนาดของกลุ่มตวั อย่างได้ จำนวน 155 คน 49

การประชุมวชิ าการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 เคร่อื งมือวจิ ัย เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ในคร้งั น้ีเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม มีจำนวน 5 ข้อ ได้แก่ เพศ ชั้นปีที่ ศึกษา ความถี่ในการใช้อินเตอร์เน็ตต่อวัน ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อทำกิจกรรม และประสบการณ์การเรียนแบบ ออนไลน์ มีลกั ษณะเป็นแบบสำรวจรายการให้เลอื กคำตอบ ตอนที่ 2 ข้อมลู เกี่ยวกบั ระดบั การยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ประโยชน์ในการเรียนแบบ ออนไลน์ และด้านการรับรู้ความง่ายในการเรียนแบบออนไลน์ มีจำนวน 8 ข้อ แบ่งตามด้านที่กำหนดไว้ด้านละ 4 ขอ้ แบบสอบถามนี้ออกแบบเปน็ มาตราวัดแบบลิเคิร์ท (Likert Scale) แบบ 5 มาตราวัด คือ 5 หมายถงึ เห็นดว้ ยมากท่ีสดุ 4 หมายถึง เห็นด้วยมาก 3 หมายถึง เห็นดว้ ยปานกลาง 2 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยน้อย 1 หมายถงึ เห็นดว้ ยน้อยท่สี ุด ตอนที่ 3 ขอ้ มลู เกีย่ วกบั ขอ้ เสนอแนะ มีลักษณะคำถามเปน็ ปลายเปดิ ให้ความคิดเหน็ อย่างอิสระ ในการประเมินคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปทำการ ทดสอบคณุ ภาพเครื่องมือ 2 สว่ น คอื 1. ค่าความเทยี่ งตรงของเน้ือหา (Validity) นำแบบสอบถามทผี่ วู้ จิ ัยสร้างขึ้นให้ผู้เชีย่ วชาญชว่ ยตรวจสอบ ความถูกต้องและความครอบคลุมของเนื้อหาที่ต้องการ 3 ท่าน ทั้งนี้ผู้วิจยั ได้วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยเลอื กข้อคำถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 มาใชเ้ ป็นข้อคำถาม 2. ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มประชากรไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามทั้งฉบับโดยการ หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัค (Cronbach’s Alpha Coefficient) พบว่ามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.806 ซง่ึ มคี า่ มากกว่า 0.70 (Nunnally, J.C., 1978) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวิจยั คร้ังนีเ้ ป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ใชแ้ บบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการส่งแบบสอบถาม ให้กล่มุ ตวั อย่าง จำนวน 155 ชดุ ซงึ่ ในแบบสอบถามแตล่ ะชดุ ได้ชี้แจงเหตุผลและความจำเปน็ ในการศึกษา อธบิ าย รายละเอียดในการตอบแบบสอบถามเพื่อให้การตอบแบบสอบถามมีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยผู้วิจัยทำการ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 1. ข้อมูลเกยี่ วกบั ข้อมูลสว่ นบคุ คลของผู้ตอบแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์โดยหาคา่ รอ้ ยละ (Percentage) 2. ข้อมูลเกี่ยวกับระดับการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบ ออนไลน์ และด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการเรียนแบบออนไลน์ ทำการวิเคราะหโ์ ดยหาค่าเฉล่ีย (Mean) และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division : S.D.) ระดับความคิดเห็นโดยแปลความหมายคะแนนได้กำหนด ความหมายของค่าเฉลยี่ ของคำตอบตามแนวคดิ ของ บญุ ชม ศรสี ะอาด และบญุ ส่ง นลิ แก้ว (2534) ดังน้ี คา่ เฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถงึ มคี วามคิดเหน็ อย่ใู นระดบั มากท่สี ุด ค่าเฉล่ยี 3.51-4.50 หมายถึง มคี วามคิดเหน็ อยู่ในระดบั มาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถงึ มีความคิดเห็นอยู่ในระดบั ปานกลาง ค่าเฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถึง มคี วามคิดเหน็ อยู่ในระดบั น้อย ค่าเฉลยี่ 1.00-1.50 หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ อยู่ในระดบั น้อยที่สดุ 3.นำขอ้ มลู ความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ มาสรปุ เปน็ รายด้านและนำเสนอเป็นรายข้อ 50

การประชมุ วิชาการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สรุปผลการวิจยั การวิจัยเรื่อง การยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช ไดผ้ ลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้ 1. ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ข้อมูลสว่ นบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ในส่วนของ เพศ ชัน้ ปีทีศ่ ึกษา ความถี่ในการ ใช้อนิ เทอร์เน็ต ใชอ้ ินเตอร์เนต็ เพ่ือทำกจิ กรรมใด และประสบการณ์การเรียนแบบออนไลน์ โดยหาค่ารอ้ ยละในแต่ ละส่วน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาเพศหญิง จำนวน 131 คน คิดเป็นร้อยละ 87.40 และเพศชาย จำนวน 24 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 12.60 เปน็ นักศึกษาปีท่ี 2 จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ 32.90 ปีที่ 3 จำนวน 53 คน คิด เป็นรอ้ ยละ 34.19 และปที ี่ 4 จำนวน 51 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 32.90 มีความถ่ใี นการใช้อินเตอรเ์ น็ต 1-3 ช่ัวโมง/วนั จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 20.70 4-6 ชั่วโมง/วัน จำนวน 53 คน คิดเป็นร้อยละ 37.80 7-9 ชั่วโมง/วัน จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 25.30 มากกว่า 9 ชั่วโมง/วัน จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 15.30 และอื่น ๆ จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.90 ใช้อินเตอรเ์ น็ตเพื่อความบนั เทิง จำนวน 72 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 46.45 เพื่อซื้อ- ขายสินค้า จำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 13.55 เพื่อติดต่อสื่อสารสังคมออนไลน์ จำนวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 26.45 เพื่อค้นคว้าหาข้อมูล จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 12.90 และอื่น ๆ จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.65 เคยมีประสบการณ์การเรียนแบบออนไลน์ จำนวน 43 คน คิดเป็นร้อยละ 27.74 และไม่เคยมีประสบการณ์การ เรียนแบบออนไลน์ จำนวน 112 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 72.26 (ตารางท่ี 1) ตารางที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของ นักศกึ ษา สาขาวิชาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช ขอ้ มูลส่วนบคุ คล จำนวน รอ้ ยละ เพศ หญงิ 131 87.40 ชาย 24 12.60 รวม 155 100 ชน้ั ปีทศ่ี ึกษา ปที ี่ 2 51 32.90 ปีที่ 3 53 34.19 ปที ่ี 4 51 32.90 รวม 155 100 ความถี่ในการใชอ้ นิ เตอร์เนต็ ตอ่ วนั 1-3 ชัว่ โมง/วนั 34 20.70 4-6 ช่วั โมง/วนั 53 37.80 7-9 ช่ัวโมง/วนั 39 25.30 มากกว่า 9 ชว่ั โมง/วัน 28 15.30 อื่น ๆ 1 0.90 รวม 155 100 ใชอ้ ินเตอร์เน็ตเพื่อทำกิจกรรม ความบนั เทงิ 72 46.45 ซื้อ-ขายสินค้า 21 13.55 ตดิ ตอ่ สอ่ื สารสงั คมออนไลน์ 41 26.45 คน้ ควา้ หาขอ้ มลู 20 12.90 อนื่ ๆ 1 0.65 รวม 155 100 ประสบการณ์การเรยี นแบบออนไลน์ เคยมีประสบการณ์ 43 27.74 ไม่เคยมปี ระสบการณ์ 112 72.26 รวม 155 100.00 51

การประชุมวิชาการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 2. ข้อมูลเกี่ยวกับระดับการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบ ออนไลน์ และดา้ นการรับรู้ถึงความง่ายในการเรียนแบบออนไลน์ ทำการวเิ คราะห์โดยหาค่าเฉล่ีย (Mean) และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division: S.D.) พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการยอมรับการ เรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบออนไลน์ในภาพรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง ( x = 3.01, S.D. = 1.20) ด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการเรียนแบบออนไลน์ในภาพรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง ( x = 2.91, S.D. = 1.16) จะเห็นได้ว่า S.D. มีค่ามากกว่า 1 เนือ่ งมาจากข้อมลู มีการกระจายตัวน้อย (ตารางที่ 2) ตารางที่ 2 คา่ เฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับความคดิ เห็นเกี่ยวกับการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบออนไลน์ และด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการเรียนแบบ ออนไลน์ ของกลุม่ ตวั อยา่ ง ความคิดเห็นเกีย่ วกับการยอมรบั การเรยี นแบบออนไลน์ x S.D. ระดับ การรับรูถ้ ึงประโยชน์ในการเรยี นแบบออนไลน์ การเรยี นแบบออนไลนข์ ยายโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ 2.83 1.17 ปานกลาง การเรยี นแบบออนไลนช์ ่วยให้การเรียนรเู้ ทคโนโลยีควบคไู่ ปกับการเรยี นในบทเรียน 3.09 1.14 ปานกลาง การเรยี นแบบออนไลน์ช่วยใหป้ ระหยัดคา่ ใช้จ่ายในการเรียน 3.09 1.29 ปานกลาง การเรยี นแบบออนไลนท์ ำใหป้ ระหยัดเวลาในการเรยี น 3.04 1.2 ปานกลาง รวม 3.01 1.20 ปานกลาง การรบั รถู้ ึงความงา่ ยในการเรยี นแบบออนไลน์ การเรยี นร้วู ธิ ีใช้การเรยี นแบบออนไลนน์ ั้นจะเป็นเร่อื งง่าย 2.65 1.15 ปานกลาง การเรยี นแบบออนไลนน์ ัน้ จะมีความยืดหยนุ่ ในการใช้งาน 2.97 1.09 ปานกลาง ง่ายทีจ่ ะมีความชำนาญในการเรียนแบบออนไลน์ 2.95 1.15 ปานกลาง การเข้าถึงอินเทอรเ์ น็ตนน้ั จะเปน็ เรอื่ งทไ่ี มย่ ุ่งยาก 3.06 1.25 ปานกลาง รวม 2.91 1.16 ปานกลาง 3. ข้อมูลความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะอ่ืน ๆ นำเสนอเปน็ รายข้อได้ ดังนี้ 1) การเรียนออนไลน์ จะต้องควบคู่ไปกับอุปกรณ์ที่พร้อม สภาพแวดล้อมที่ดี ซ่ึงนักศึกษาโดยส่วน ใหญ่ยังไม่มีพร้อมในหลาย ๆ อย่าง เช่น อุปกรณ์ที่ใช่เรียนออนไลน์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ขาดความเสถียรภาพ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของนักศึกษาอีกด้วย 2) ไม่อยากเรียนออนไลน์ เพราะรู้สึกว่าทำให้เข้าใจยากกว่าการเรียนในห้องเรียน และทำให้เกิด ช่องว่างระหว่างครูผสู้ อนและตวั นกั ศึกษา 3) อยากให้กลับไปเรียนในห้องเรียนมากกวา่ 4) การเรียนออนไลน์ยุ่งยาก ไม่สะดวกในการเรยี น 5) ตอ้ งการเรยี นแบบปกติ เพราะผ่านวกิ ฤติโควคิ หมดแลว้ 6) ไม่อยากใหเ้ รียนออนไลน์ เพราะไมไ่ ด้ความรเู้ หมือนเรียนในห้องเรียน 7) การเรยี นออนไลน์บางคร้ังก็จะทำใหเ้ กิดการสับสน จะทำใหเ้ วลาอาจารย์สอนไม่เข้าใจ อภิปรายผลวจิ ัยและขอ้ เสนอแนะ จากการวิจัย เรื่องการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครศรีธรรมราช สามารถอภปิ รายผลการวิจยั ได้ ดงั นี้ 52

การประชุมวชิ าการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 1. ขอ้ มลู เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามสว่ นใหญ่เปน็ เพศหญิง รอ้ ยละ 87.4 อยู่ช้ันปี ท่ี 3 รอ้ ยละ 34.19 มคี วามถใ่ี นการใช้อินเทอร์เน็ต 4-6 ช่ัวโมง/วนั รอ้ ยละ 37.80 ใช้อนิ เตอรเ์ น็ตเพื่อความบันเทิง รอ้ ยละ 46.45 ไมเ่ คยมีประสบการณ์การเรยี นแบบออนไลน์ ร้อยละ 72.26 2. ข้อมูลเกี่ยวกับระดับการยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการเรียนแบบ ออนไลน์อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายละเอียด พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกเรื่อง โดยเรียงลำดับ ได้ ดังนี้ การเรียนแบบออนไลน์ช่วยให้การเรียนรู้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการเรียนในบทเรียน การเรียนแบบออนไลน์ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเรียนการเรียนแบบออนไลน์ทำให้ประหยัดเวลาในการเรียน และการเรียนแบบ ออนไลน์ขยายโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่วนด้านการรับรู้ถงึ ความง่ายในการเรียนแบบออนไลน์อยู่ใน ระดบั ปานกลาง เมอ่ื พิจารณารายละเอียด พบวา่ อยใู่ นระดับปานกลางทุกเรอ่ื งเช่นกัน โดยเรียงลำดบั ไดด้ งั นี้ การ เขา้ ถงึ อินเทอร์เน็ตนั้นจะเป็นเรื่องท่ีไมย่ ุ่งยาก การเรยี นแบบออนไลน์นัน้ จะมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ง่ายท่ีจะมี ความชำนาญในการเรียนแบบออนไลน์ และการเรียนรู้วิธีใช้การเรียนแบบออนไลน์นั้นจะเป็นเรื่องง่าย แตกต่าง จากงานวิจัย สุพจน์ อิงอาจ และอภิญญา อิงอาจ (2562) ศึกษางานวิจัยเรื่อง อิทธิพลของระบบการจัดการเรียน การสอนที่มีต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา พบว่า รับรู้ความง่ายในการใช้งาน และรับรู้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ในระดับมาก ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ นภาภรณ์ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ (2563) เรื่อง การศึกษาการยอมรับการเรียนการสอนอีเลิร์ นนิงของอาจารย์และนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่ได้อธิบายระดับการยอมรับ การเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก รวมถึงงานวิจัยของ วรวุฒิ มั่นสุขผล และปุณเชษฐ์ จนิ างศุกะ (2558) เรอ่ื ง การศึกษาพฤติกรรมและความต้องการใช้อีเลริ ์นนิงของนักศึกษาระดบั บณั ฑิตศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า ภาพรวมการใช้งานระบบอีเลิร์นนิง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เช่นกัน ทัง้ นีจ้ ะเห็นได้ว่างานวิจัยฉบับน้ีมีความแตกต่างจากงานวิจัยทผ่ี ่านมา เนอ่ื งมาจากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน นักศกึ ษายงั ไม่ไดเ้ ตรยี มความพรอ้ มกบั เหตุการณ์ดังกลา่ ว และรวมถึงพ้ืนฐานของกลุม่ ตวั อยา่ งท่ีมีความแตกต่างกนั 3. ข้อมูลความคดิ เหน็ และข้อเสนอแนะอ่ืน ๆ สรุปข้อมูลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ ยังต้องการเรียนในชั้นเรียนเหมือนเดิม ซึ่งให้เหตุผลว่า การเรียนแบบออนไลน์ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างครูผู้สอน และตัวนกั ศึกษา การเรยี นออนไลน์เข้าใจยากกว่าการเรยี นในห้องเรียน การเรียนออนไลน์เป็นเรื่องยุ่งยาก รวมถึง สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของนักศึกษา และความพร้อมของอุปกรณ์ในการเรียนไม่เท่ากัน เช่น สัญญาณ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เป็นต้น สอดคล้องกับ Thurmond, V.A. et al. (2002) ที่กล่าวว่าการควบคุมปัจจัย ด้านคณุ ลกั ษณะสว่ นบุคคลของผู้เรยี น แสดงให้เหน็ วา่ คณุ ลกั ษณะส่วนบุคคลของผู้เรียนมีความแตกต่างกันท้ังด้าน กายภาพ แนวคดิ ประสบการณ์ และความรูส้ กึ ซึ่งทำให้เกดิ ความไม่เปน็ กลางในการเรยี นรู้ ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช้ประโยชน์ 1. อาจารยผ์ ู้สอนควรส่งเสริมการใชร้ ะบบการเรียนออนไลน์ในรายวชิ าของตนเอง 2. มหาวิทยาลัยควรมีการสนับสนนุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ เพือ่ รองรับการใช้งานของนักศึกษา ข้อเสนอแนะเพอื่ การวจิ ัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษาความพงึ พอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ท้ังมหาวทิ ยาลัย 2. ควรศึกษาการยอมรับการการเรยี นการสอนของอาจารยแ์ ละนักศึกษา ทัง้ มหาวิทยาลยั 53

การประชุมวิชาการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 รายการอ้างอิง นภาภรณ์ ฉัตรมณรี งุ่ เจรญิ . 2563. การศกึ ษาการยอมรับการจดั การเรียนรูแ้ บบอีเลริ ์นนิงของอาจารยแ์ ละนสิ ิต มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. Veridian E-Journal. 5(2): 388-402. บุญชม ศรสี ะอาด และบุญส่ง นลิ แก้ว. 2534. วิธีการทางสถติ สิ ำหรบั การวิจยั . มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั ศรี นครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม. วรวุฒิ มน่ั สขุ ผล และปุณเชษฐ์ จินางศกุ ะ. 2558. การศึกษาพฤตกิ รรมและความตอ้ งการใช้อเี ลริ น์ นิงของนักศกึ ษาระดับ บัณฑติ ศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. มนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ. 8(3): 347-358. สุพจน์ องิ อาจ และอภิญญา อิงอาจ. 2562. อิทธพิ ลของระบบการจัดการเรียนการสอนที่มตี ่อการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารเพือ่ การเรยี นรขู้ องนกั ศึกษาระดบั อดุ มศึกษา. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขต ปตั ตาน.ี 29(2): 42-55. เอกชัย อภศิ ักดิ์กุล. 2547. การยอมรบั ระบบอีเลนิ นง่ิ ของอาจารย์ในมหาวทิ ยาลัยหอการคา้ ไทย. วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตร์ มหาบณั ฑติ . มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. Krejcie, R.V. and Morgan, D.W. 1970. Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measuement. 607-610. Nunnally, J.C. 1978. Psychometric Theory. New York: McGrawHill. Thurmond, V.A., Wambach, K. and Connors, H.R. 2002. Evaluation of student satisfaction: determining the impact of a web-based environment by controlling for student characteristics. The American Journal of Distance Education. 16(3): 169-189. 54

การประชมุ วิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานรว่ มกบั การสอนแบบโค้ชและสะเตม็ ศกึ ษา เพื่อส่งเสรมิ ทกั ษะดา้ นการเรียนรู้และนวตั กรรมของนกั ศกึ ษาวชิ าชพี ครู Development of Blended Learning Model with Coach and STEM Education to Enhance Learning and Innovation Skills of Pre-service Teachers มัสยา รุ่งอรณุ 1* และ อนริ ทุ ธ์ สติมนั่ 2 บทคัดยอ่ การวจิ ัยคร้งั น้ีมุง่ ประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานรว่ มกับการสอนแบบโค้ช และสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู และมีวัตถุประสงค์ งานวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การสอนแบบ โคช้ สะเต็มศึกษา เพอ่ื สง่ เสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู 2. เพอื่ พัฒนารูปแบบ การเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการสอนแบบโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้ และนวัตกรรมของนักศึกษาวชิ าชีพครู และ 3. เพอื่ ประเมินรูปแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการ สอนแบบโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู การ ดำเนินการวิจัยโดยได้ทำการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ กับกลุ่มตัวอยา่ งจากอาจารย์ผู้สอนนักศึกษาวิชาชีพครู จำนวน 10 ท่าน ซึ่งได้มาโดยวธิ กี ารสุม่ อย่างง่าย และได้ พัฒนารูปแบบขึ้นโดยผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบวา่ 1. ผลการศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการของอาจารย์ เพื่อนำไปพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอนแบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของ นักศึกษาวิชาชีพครู มีรายละเอียดการนำเสนอเป็น 5 ตอน คือ 1. ข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม 2. ข้อมลู เกยี่ วกับสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ 3. ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ปัญหาการจัดการเรียนการสอน แบบผสมผสานฯ 4. ข้อมูลเกย่ี วกบั ความต้องการการจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ 5. ข้อเสนอแนะ 2. การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ ผลการวิเคราะห์จากการประเมินสื่อในการ จัดการเรียนการสอนที่ใชใ้ นการวิจัยตามความคิดเห็นของผู้เชีย่ วชาญ ว่ามีความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามกบั หลักการ วตั ถุประสงค์ 3. ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนฯ เมื่อได้รูปแบบการเรียนการสอน แบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษา วิชาชพี ครู ผู้วิจัยนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ นำเสนอต่อผู้เชยี่ วชาญ 3 ท่าน มีความคิดเห็นว่า องค์ประกอบและขั้นตอนอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด แสดงว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่สังเคราะห์ขึ้น สามารถนำไปเป็นตน้ แบบ (Model) ในการพัฒนาเครอื่ งมือในการจดั การเรยี นการสอนได้ คำสำคญั : การเรยี นการสอนแบบผสมผสาน, การสอนแบบโคช้ , สะเตม็ ศึกษา 1 นกั ศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร 2 สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 55

การประชมุ วิชาการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ABSTRACT The purposes of this research was to development of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers with research objectives: 1. To study the condition of problems and needs of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers. 2.To development of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers, and 3. To assess of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers. Conducting research by studying the conditions, problems, and needs of blended learning model. And a sample of 10 professional teachers who were selected by simple random sampling. And developed the model through the evaluation from 3 experts. Data were analyzed by using mean, standard deviation. Results of the research were as follows: 1. The study results problems and needs of teachers in order to develop blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre- service teachers. There are 5 parts of the presentation: 1. Personal information of the respondents 2. Information about the condition of integrated teaching and learning 3. Information about the problems of integrated teaching and learning 4. Information about the need for integrated teaching and learning 5. Suggestions. 2. Development of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers. The analysis results from the media evaluation in teaching and learning management based on expert opinions. That there is consistency between the questions and the objective principles. 3. Assessment results of the suitability of blended learning model with coach and STEM education to enhance learning and innovation skills of pre-service teachers. The researcher used the blended learning model. Presented to 3 experts who agreed that the composition and steps were in the highest level of agreement. This showed the synthesized teaching model has the highest level of evaluation and can be used as a model for development of teaching and learning tools. Keywords: blended learning, coach, STEM education บทนำ ในยุคที่วัฒนธรรมได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อวัฒนธรรมการเรียนการสอนก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ผู้เรียนยุคใหม่ไม่ชอบเรียนในห้องเรียนที่มีครูคอยจ้ำชี้จ้ำไช ไม่ชอบวิธีการเรียนแบบเดิม ๆ ไม่ชอบนั่งฟังครูสอน เพียงอยา่ งเดียว เพราะผู้เรยี นคดิ ว่าตนเองสามารถคน้ ควา้ หาความร้ตู า่ ง ๆ ได้เพียงแค่ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตก็ได้รับความรู้ มากมาย แตก่ ารได้มาซง่ึ ข้อมลู เหล่านั้น จำเปน็ อยา่ งย่งิ ทผี่ เู้ รียนต้องวิเคราะห์ สงั เคราะห์ว่าเปน็ ขอ้ มูลท่ีถูกต้องและ เป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างแท้จริง มิใช่ค้นหาและทำการคัดลอกมาใช้ทันที แต่จากเสียงสะท้อนมากมายจาก ครูผู้สอน พบว่า ผู้เรียนใช้วิธีการค้นหาและคัดลอกงานหรือข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาจัดทำรายงานส่ง ผู้เรียนใช้ เทคโนโลยีเพื่อความบันเทงิ มากกว่าการเรียนรู้ เป็นต้น จากการเปล่ียนแปลงและปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดมาจากความ เปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยีและการส่ือสาร ทำให้นกั การศกึ ษาหนั มาให้ความสนใจ และได้กำหนดทกั ษะของผ้เู รียน ในยคุ ศตวรรษที่ 21 ทีเ่ ต็มไปด้วยข้อมูลขา่ วสาร (สไุ ม บลิ ไบ, 2560) 56

การประชุมวิชาการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 จากแผนพัฒนาการศกึ ษาฉบบั ที่ 11 กระทรวงศึกษาธกิ ารไดเ้ ล็งเหน็ ถึงความสำคญั ของการจดั การศึกษา โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการค้นคว้าของผู้เรียน รวมถึงเป็นตัวช่วยในการจัดการเรียนการ สอนของครูผู้สอน ดงั นน้ั รูปแบบการเรียนการสอนทส่ี นับสนุนการคิดวเิ คราะห์และแก้ปัญหา ความคดิ สรา้ งสรรค์ และการมปี ฏสิ ัมพันธ์กันของผเู้ รียน โดยใชบ้ ทเรยี นท่ีมีความยดื หย่นุ เน้นการสบื ค้น ใหก้ ารเรยี นรู้ทีม่ ีการส่งเสริม สนับสนนุ ผ้เู รียน และผู้เรยี นเคารพคุณค่าของความแตกตา่ งหลากหลาย โดยยึดผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญ คอื การเรียนรู้ แบบผสมผสาน (blended learning) ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนหลากหลาย วธิ ี โดยคำนึงถึงผู้เรียน สภาพแวดลอ้ ม เนือ้ หา สถานการณ์ เพอ่ื ตอบสนองการเรยี นรู้และความแตกต่างระหว่าง บุคคล โดยสามารถจัดการเรียนการสอนทั้งภายในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยมีการนำเทคโนโลยีทางการ ศกึ ษาแบบออนไลน์และออฟไลน์มาเป็นส่วนประกอบ ทั้งนเ้ี พอื่ ส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้สูงสุด เกิดทักษะ และเกดิ การเรยี นรู้ท่ีทำให้บรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ นักพฒั นาการศกึ ษา บคุ คลหรือหน่วยงานอน่ื ๆ ทเ่ี กย่ี วข้อง จึง ควรนำรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานเข้ามาพัฒนาการศึกษาเนื่องจากมีความสอดคล้องกับแผนการพัฒนา การศึกษา และมีความเหมาะสมกับผู้เรียนในทุกระดับชั้น โดยกำหนดแนวทางการปรับปรุงด้านการบริหาร จัดการด้านเทคโนโลยี ด้านหลักสูตร ด้านครูผู้สอน และด้านผู้เรียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนการศึกษาท่ี ต้องการให้คนไทยเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ เป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข มีภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันเวทีโลก (ปณิตา วรรณพริ ณุ , 2554) โดยที่ผู้เรียนในยุคนี้ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะการคิดเพื่อให้สามารถแยกแยะข้อมูลที่ได้นำไปใช้ ประโยชนก์ บั ตนเอง ดงั นน้ั สถาบันการศกึ ษาจึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิดให้กับผเู้ รยี น โดยท่ีครูเป็นผู้ ทม่ี ีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้ครตู อ้ งมีการปรับเปลย่ี นกระบวนการเรยี นการสอน รูปแบบการสอนแบบเดิม ๆ มาเป็นการ สอนที่เป็นการโค้ช ครูต้องเปลี่ยนผ่านเป็นครูโค้ชที่มีคุณลักษณะด้านการโค้ช (coaching) การสะท้อนคิด (reflection) โดยผา่ นกระบวนการเรียนการสอนแบบผสมผสาน เพ่ือพฒั นาสมรรถนะดา้ นการเรียนรู้และนวัตกรรม ซึ่งผู้สอนจะต้องมีทักษะการสะท้อนคิด เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมุ่งมั่นและพยายามในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นคน ชา่ งสงั เกต และตง้ั คาํ ถาม มีกระบวนการเรยี นร้เู พือ่ ให้ไดค้ ําตอบในสงิ่ ท่ีตนเองอยากเรียนรู้ ไมด่ ว่ นสรุปตดั สนิ คนอื่น มีทักษะในการฟังอย่างลึกซึ้ง การใช้สุนทรียสนทนา ตลอดจนการคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการ จดั การเรยี นรู้สำหรบั ผเู้ รียนในยุคเทคโนโลยีดจิ ิทัลในปัจจุบนั อกี ทง้ั ยังต้องมีมุมมองต่อการเรียนรู้ในลักษณะที่เป็น องคร์ วมและบูรณาการอยา่ งลงตวั บทบาทของผู้สอนจะต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยกระบวนการโค้ช (coach) โดยการนำ เนื้อหาความรู้มาเสนอผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตในช่วงวันเวลาที่กำหนดหรือเวลาที่สะดวก ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถ ทบทวนบทเรียนในสื่อมัลติมีเดีย สามารถโต้ตอบกับเนื้อหา (interactive) ได้ จึงทำให้มีความน่าสนใจมากกว่า หนงั สือ ตำรา พรอ้ มทง้ั มีสว่ นของแบบฝึกหัด และแบบทดสอบให้ผเู้ รียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจและเป็นการ ทบทวนความรู้ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล หากเกิดความสงสัยในเนื้อหาสามารถส่งคำถามในกระดาน ถามตอบไปให้ผู้สอนอธิบายนอกเหนือจากเวลาเรียนได้ ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนผ่านชอ่ งทางการส่ือสาร การ ถามตอบในกระดานขา่ ว การส่งการบ้าน ทำใหก้ ารเข้าถึงผ้สู อนงา่ ยขึ้นกว่าการเรียนในห้องเรยี น การสง่ เสริมให้การสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ควรมีผทู้ มี่ คี วามเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการสอน เป็นผู้โค้ช (coach) ซึ่งอาจเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ (expert coaching) ให้การ ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การสอนและการเป็นครูของนักศึกษาวิชาชีพครูเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากการโค้ช (coaching) เป็นการพัฒนาศักยภาพในการเป็นครูที่มีอยู่ภายในที่นำไปสู่ อนาคต ซึ่งพัฒนาได้จากความสมั พันธ์ในการทำงานรว่ มกนั กับบุคคลในอาชีพสองคนหรือมากกวา่ ในกระบวนการ มีการส่งเสริมให้นำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าที่จะดำเนินการพัฒนาไปคนเดียว (Rolfe, V., 2012) การโค้ช (coaching) เป็นการเรียนรู้และพัฒนาในวิชาชีพในสถานการณ์จริง ไม่ใช่วิธีช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นวิธีการส่งเสริม การเรียนรู้และการปฏิบตั ิงานให้เวลาแก่ครูและเพื่อนในการไตร่ตรองสะท้อนคิด (reflect) สนทนาพูดคุยเกี่ยวกับ 57

การประชมุ วิชาการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การศกึ ษา การฝึกและการพัฒนาการใช้ความคิดเก่ียวกับการสอนของตวั เอง และการเรียนรขู้ องผู้เรียน เพ่ือพัฒนา ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานการโค้ช โดยผู้ท่ีทำหน้าที่โค้ชเป็นผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน เฉพาะสาขาวิชาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ การเป็นที่ยอมรับทำหน้าที่โค้ชและได้รับการฝึกอบรม บทบาทหนา้ ทเ่ี ทคนคิ การโคช้ มาเปน็ อยา่ งดี (Joyce and Showers, 1984, อา้ งถึงใน วชั รา เล่าเรยี นดี, 2556) ปัจจุบันเป็นยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเห็นได้จากมี อุปกรณ์ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น ไอแพด สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เป็นต้น ซึ่งช่วยให้การ ตดิ ตอ่ สื่อสารระหวา่ งบุคคลสะดวกขนึ้ ผู้เรยี นสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจำนวนมากและสามารถสืบค้นข้อมูลได้ ด้วยตนเองและสะดวกรวดเร็ว และได้ข้อมูลที่ทันสมัย ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน ผู้สอนต้องเปลี่ยน บทบาทจากการเป็นผู้บอกความรู้เป็นผูโ้ ค้ช เพื่อพัฒนาผูเ้ รียนให้มีทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 ได้แก่ ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม ซึ่งประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (creativity and innovation) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (critical thinking and problem solving) การ สื่อสารและความร่วมมือ (communication and collaboration) ทักษะสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี ประกอบด้วยทักษะด้านสารสนเทศ (information literacy) ทักษะด้านสื่อ (media literacy) ทักษะด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information, communications and technology literacy) เป็นต้น (วจิ ารณ์ พานิช, 2555; Bellanca, J. and Brandt, R., 2010) การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะดังกล่าว แนวคิดหนึ่งที่ใช้ในการจัดการศึกษาคือสะเต็มศึกษา (STEM education) ซึ่งเป็นแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ 4 สาขา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) Engineering (วิศวกรรม) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ในการจัดการ เรียนรู้แบบบูรณาการตามแนวสะเต็มศึกษามีความสำคัญต่อผู้เรียนคือส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ และสร้างนวตั กรรมท่ใี ช้ความร้ใู นวชิ าวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยแี ละกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม ผู้เรียนเข้าใจสาระและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากขึ้น ทำให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการ เรียนรู้ ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดในศาสตร์ต่าง ๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มี ความหมายตอ่ ผเู้ รียน ผูเ้ รียนเห็นความสมั พนั ธ์และคุณค่าของสงิ่ ท่เี รียน สามารถเช่ือมโยงส่งิ ท่เี รยี นเข้ากบั ชวี ติ จริง (วิชัย วงษใ์ หญ่, 2554; ธีรชยั ปรู ณโชติ, 2544; สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์, 2548; สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี, 2557) สะเต็ม (STEM) เป็นคำที่ย่อมาจากวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ส่วนสะเต็มศึกษา (STEM education) เป็นแนวคิด การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้สอนจะสอนแบบแยกเป็นรายวิชา โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ต่อมามีการสอนแบบบูรณาการ โดยเพิ่มวิชาวิศวกรรม และ เทคโนโลยีเข้าไป จึงทำให้สะเต็มศึกษาเกี่ยวข้องกับ 4 วิชาดังกล่าว ในปัจจุบันสะเต็มศึกษา (STEM education) หมายถึงแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการใน 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ดังนั้นความหมายของสะเต็ม ศึกษาในปัจจุบันจะครอบคลมุ การเกษตร สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ การศึกษาและการแพทย์ (Capraro, R.M. et al., 2013; Gonzalez, H.B. and Kuenzi. J.J., 2012; Zollman, A. et al., 2011) ด้วยเหตดุ งั กล่าวจงึ มีความจำเปน็ ท่ีต้องใหม้ ีการพฒั นาความรู้ และทกั ษะความสามารถในด้านนี้ เพือ่ ใหน้ กั ศึกษาวชิ าชพี ครกู า้ วไปเป็นครใู นศตวรรษท่ี 21 ได้อยา่ งสมบูรณ์ ตามวัตถปุ ระสงคข์ องการเปน็ บุคคลแห่ง การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบไปด้วย ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และทักษะชีวติ และอาชีพ ทง้ั สามด้านเปน็ ทกั ษะท่จี ำเปน็ อย่างย่งิ และครูผูส้ อนจะต้องมคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ปฏิบัติ และเจตคติที่ดี รวมถึงสมรรถนะและความสามารถพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารท่ี จำเป็นสำหรับการศึกษา การเลือกรับ เลือกปฏิเสธ การเข้าถึงความรู้ จนกระทั่งการประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างสรา้ งสรรค์ 58

การประชุมวชิ าการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 จากแนวทางการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับการพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการสอนแบบโค้ชและสะเต็ม ศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู เพื่อให้นักศึกษาวิชาชีพครูก้าวไป เป็นครูในศตวรรษที่ 21 อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพตอ่ ไป วัตถุประสงคก์ ารวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การโค้ช สะเต็ม ศึกษา เพ่อื ส่งเสริมทักษะดา้ นการเรยี นรู้และนวตั กรรมของนักศกึ ษาวิชาชพี ครู 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริม ทักษะดา้ นการเรยี นรู้และนวัตกรรมของนกั ศึกษาวิชาชีพครู 3. เพื่อประเมินรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริม ทกั ษะดา้ นการเรยี นรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู วธิ ดี ำเนินการวิจยั การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (research and development) ดำเนนิ การวจิ ยั แบ่งออกเป็น 3 ขัน้ ตอน ดังน้ี ข้ันตอนที่ 1 การศกึ ษาข้อมลู ข้นั พืน้ ฐาน มขี นั้ ตอนดังน้ี การดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของ อาจารย์ เก่ยี วกบั การจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสาน ฯ ในขั้นตอนนผี้ ูว้ จิ ัยใช้การศึกษาเชงิ สำรวจ ดังน้ี 1. การศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องโดยการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ข้อมลู ต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับการ เรียนการสอนแบบผสมสาน การสอนแบบโค้ช และสะเตม็ ศึกษา 1.1 การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ซ่ึงประกอบด้วย องค์ประกอบ ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน แนวคิด และหลักการที่เก่ียวข้องเพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนด องค์ประกอบและขัน้ ตอนการจัดการเรยี นการสอน 1.2 การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการสอนแบบโค้ช ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ ขั้นตอนการสอน แนวคดิ และหลกั การท่เี ก่ียวข้องเพ่ือนำมาเปน็ ข้อมลู พ้ืนฐานในการกำหนดองค์ประกอบและขนั้ ตอนการจดั การ 1.3 การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสะเต็มศึกษา ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ ขั้นตอนการ เรียนรู้จากการปฏิบัติ แนวคิด และหลักการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดองค์ประกอบ และข้ันตอนการจัดกิจกรรม 1.4 กำหนดกรอบแนวคิดของการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การสอนแบบโค้ชและสะเต็ม ศึกษา แล้วนำมาใช้เป็นข้อมูลในการสร้างแบบสอบถามในการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของอาจารย์ เกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน รว่ มกบั การโคช้ และสะเต็มศึกษา 2. กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของ อาจารย์ เก่ยี วกับการออกแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกับการโคช้ และสะเต็มศึกษา 2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่จะใช้ในการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของ อาจารย์ เกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา คือ อาจารย์ท่ี ทำหน้าที่ในการสอนนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวทิ ยาลัยราชภัฏหม่บู า้ นจอมบึง จำนวน 30 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย อาจารย์ผู้สอนที่ทำหน้าที่สอนนักศึกษาสาขาวิชาวิชาคอมพิวเตอร์ ศกึ ษา ช้ันปที ่ี 4 ในภาคเรียนที่ 1/2562 จำนวน 10 ทา่ น โดยวิธีการสุม่ อยา่ งง่าย 59

การประชมุ วิชาการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 3. กำหนดและสร้างเครื่องมือวจิ ยั 3.1 เครอ่ื งมอื และวธิ กี ารสร้างเครื่องมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั สรา้ งแบบสอบถามเพื่อใชเ้ ป็นเครื่องมือในการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของอาจารย์ เกยี่ วกับการเรียน การสอนแบบผสมผสาน การโค้ชและสะเต็มศึกษา โดยมขี ัน้ ตอนในการสรา้ งเคร่ืองมือ ดังน้ี 3.1.1 นำข้อมูลท่ีได้จากข้อ 1 ซ่ึงเป็นกรอบแนวคิดของการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การโค้ช และสะเต็มศึกษา มาใช้เป็นข้อมูลในการสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาสภาพปญั หาและความต้องการของอาจารย์ เก่ยี วกบั การออกแบบการเรียนการสอนฯ แลว้ สร้างแบบสอบถามให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ โดยกำหนดกรอบการ สร้างแบบสอบถามตามกรอบแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยออกแบบเป็นแบบสอบถามแบบ เลือกตอบ (check-list) และแบบคำถามปลายเปิด และใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ตามวธิ ีของลเิ คริ ท์ (Likert) (ศิรวิ รรณ เสรีรตั น์ และคณะ, 2541) เป็นระดบั การประเมนิ ดงั น้ี 5 หมายถึง มีระดบั ความคิดเหน็ อย่ใู นระดับ มากทสี่ ุด 4 หมายถึง มีระดับความคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั มาก 3 หมายถึง มรี ะดบั ความคิดเหน็ อยู่ในระดับ ปานกลาง 2 หมายถึง มีระดบั ความคิดเห็นอยู่ในระดบั นอ้ ย 1 หมายถงึ มรี ะดับความคิดเห็นอยูใ่ นระดับ น้อยทส่ี ุด การแปลผลของความคิดเห็นพิจารณาจากค่าเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ของเบสท์ (Best, J.W., 1981) มีรายละเอียดดงั นี้ ค่าเฉลีย่ 4.50-5.00 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยมากท่สี ดุ ค่าเฉลี่ย 3.50-4.49 หมายถงึ เห็นด้วยมาก คา่ เฉล่ยี 2.50-3.49 หมายถึง เหน็ ด้วยปานกลาง ค่าเฉล่ีย 1.50-2.49 หมายถึง เหน็ ด้วยนอ้ ย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.49 หมายถึง เห็นด้วยนอ้ ยท่สี ดุ 3.1.2 นำแบบสอบถามที่สร้างเสร็จแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหา สำนวนภาษา ตลอดจนความครอบคลมุ ของข้อคำถาม 3.1.3 ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถาม เพื่อตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ ความครอบคลุมของคำถาม และความถูกต้องของภาษา จำนวน 3 ท่าน หลังจากนั้นนำข้อเสนอแนะมาปรับปรุง แก้ไข โดยมีการจัดหมวดและเรียงลำดับของข้อคำถามสภาพปัจจุบัน ความต้องการ ปัญหาให้ชัดเจน และเพ่ิม คำถามให้ครอบคลุมตัวแปรทุกตัว ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ คือ การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเน้ือหา (content validity) และนำมาหาค่าดัชนี ความสอดคล้องของเครื่องมือ (index of item–objective congruence: IOC) โดยกำหนดเกณฑ์การประเมินดังนี้ (พวงรตั น์ ทวรี ัตน์, 2543) ใหค้ ะแนน +1 เมอื่ แนใ่ จว่าขอ้ คำถามนั้นมีความตรง สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ ให้คะแนน 0 เม่ือไม่แนใ่ จว่าขอ้ คำถามน้ันมีความตรง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรอื ไม่ ใหค้ ะแนน -1 เมอ่ื แน่ใจว่าข้อคำถามน้ันไมม่ ีความตรง สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ นำคะแนนการประเมินของผเู้ ช่ียวชาญ มาคำนวณดัชนีความสอดคล้องจากสูตรได้เท่ากบั 0.90 3.1.4 ดำเนนิ การปรบั ปรงุ แก้ไขแบบสอบถาม และนำไปใชใ้ นการเก็บข้อมูลต่อไป 4. นำแบบสอบถามไปเก็บข้อมูลจากกล่มุ ตวั อย่าง 4.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง 4.2 การวิเคราะห์ข้อมูล ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่ออธิบายสภาพปัญหาและความต้องการการ ออกแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การโค้ชและสะเต็มศึกษา ของผู้ตอบแบบสอบถาม และนำข้อมูลที่ได้ จากแบบสอบถามไปใชเ้ ป็นพ้ืนฐานในการสร้างรปู แบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานฯ ตอ่ ไป 60

การประชมุ วชิ าการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ขนั้ ตอนท่ี 2 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน มขี ั้นตอนดงั น้ี การดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง (ร่าง) รูปแบบการเรียนการสอนแบบ ผสมผสาน ร่วมกบั การโคช้ และสะเต็มศึกษา เพื่อสง่ เสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพ ครู โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ 1. (ร่าง) รูปแบบการเรียนการสอน ตามข้ันตอนการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ โดยนำข้อมูลที่ได้จาก การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการการเรียน การสอนแบบผสมผสาน การสอนแบบโค้ช และสะเต็มศึกษา และข้อมลู ที่ได้จากการศึกษาสภาพปัญหาและความ ต้องการของอาจารย์ในข้ันตอนที่ 1 มาสังเคราะห์และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างรปู แบบการเรียนการสอนฯ เพื่อใหไ้ ดร้ ่างรปู แบบ 2. ออกแบบแผนการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะ ดา้ นการเรียนรูแ้ ละนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู ซง่ึ ประกอบด้วยกิจกรรมย่อย ๆ ในแตล่ ะขนั้ ตอน 3. นำ (ร่าง) รูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ ที่สร้างเสร็จแล้วให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ ความเหมาะสมของเนื้อหา สำนวนภาษา ตลอดจนความครอบคลุมขององค์ประกอบ ขั้นตอน และกิจกรรม 4. นำ (ร่าง) รูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจความ ตรงเชงิ เน้อื หา ตลอดจนความครบถ้วนสมบูรณ์ และความครอบคลมุ ของรปู แบบ โดยผทู้ รงคุณวฒุ ทิ งั้ 3 ทา่ นแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ ในด้านความเหมาะสมของรูปแบบ ทั้ง องค์ประกอบและข้ันตอน ผู้วิจัยแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ โดยได้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ ผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู ซึ่งประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ เป็นส่วนท่ีแสดงสาระสำคัญที่นำมาใช้ในการออกแบบกระบวนการเรียนการ สอน ไดแ้ ก่ ส่วนที่ 1 การจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ประกอบด้วย 1) จัดการเรียนการสอนแบบ เผชิญหนา้ 2) จัดการเรยี นการสอนดว้ ยตนเองแบบออนไลน์ ส่วนที่ 2 การจัดการเรียนการสอนแบบโค้ช หลักการของการโค้ช ประกอบด้วย 1) การกำหนด เปา้ หมาย 2) การตรวจสอบสภาพจริง 3) การกำหนดทางเลือก 4) การตดั สนิ ใจ และ 5) การประเมนิ ผล สว่ นท่ี 3 การจัดการเรยี นรู้แบบสะเต็มศึกษา หลักการของการจดั กิจกรรมสะเต็มศึกษา ประกอบด้วย 1) ระบุปัญหา 2) รวบรวมข้อมูลและแนวคิด 3) ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4) วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา และ 5) ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรงุ ส่วนที่ 4 ปัจจัยสนับสนุนการเรียนออนไลน์ คือ การเลือกใช้ระบบการจัดการเรยี นรู้ออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom เพื่อให้ผู้สอนสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้งาน เพิ่ม แก้ไข ลบกิจกรรมหรือทรัพยากรต่าง ๆ ได้ และติดตามความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนได้ และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่าน ออนไลน์ได้ ทำแบบทดสอบออนไลน์ได้ ส่วนที่ 5 เครื่องมือสนับสนุนการเรียน คือ การเลือกใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับใช้ในการ จดั การเรียนการสอน ซ่งึ ประกอบดว้ ย Google Sheet, Google Chrome, Google docs เป็นตน้ ส่วนที่ 6 การปฏิสัมพันธ์บนออนไลน์ ประกอบด้วย 1) วิธีปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และ 2) การปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผเู้ รียนกับผู้สอน ส่วนที่ 7 บทบาทของผู้เรียน สว่ นที่ 8 บทบาทของผ้สู อน 61

การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ คือ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวชิ าชีพครู 3 ด้าน คือ การคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา (critical thinking) การสื่อสารและการร่วมมือ (communication and collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) องค์ประกอบที่ 3 เนือ้ หา แบง่ ออกเปน็ 9 หน่วย องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย ขั้นเตรียมการก่อนการจัดการเรียน การสอนและขัน้ การจดั การเรียนการสอน องค์ประกอบที่ 5 การวดั และประเมินผล ประกอบด้วย 1) การทดสอบก่อนเรยี น 2) การทดสอบระหว่าง เรียน 3) การทดสอบหลังเรียน ภาพท่ี 1 รูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ร่วมกบั การโคช้ และสะเต็มศึกษา เพอ่ื ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ และนวัตกรรมของนักศึกษาวชิ าชีพครู 5. นำแบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ มา แจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ และนำเสนอข้อมูลในรูปตาราง และแปลความหมายเป็นความเรียง ส่วนคำถาม ปลายเปิด นำมาวเิ คราะห์เนื้อหา จดั หมวดหมู่ และนำเสนอในข้อมูลโดยการตีความสรุปข้อมลู 6. ดำเนินการออกแบบแผนการเรียนการสอน รายวิชาการวิเคราะห์และออกแบบระบบ โดยใช้หลักการ ออกแบบระบบการเรียนการสอนตามกระบวนการ ADDIE ขัน้ ตอนท่ี 3 การประเมนิ ความเหมาะสมของรูปแบบการเรยี นการสอนฯ มขี นั้ ตอนดงั น้ี การนำเสนอรปู แบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ มีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. สร้างแบบรับรองรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ สำหรับผู้เชี่ยวชาญประเมินและรับรอง รูปแบบ แบบประเมินและรับรองรูปแบบนี้ประกอบด้วย ประเด็นการพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับหลักการท่ี ใช้เป็นพื้นฐานในการสรา้ งรูปแบบฯ วัตถุประสงค์ของรูปแบบฯ องค์ประกอบและขั้นตอนของรูปแบบฯ วิธีการใช้ และปัจจัยแห่งความสำเร็จในการนำรูบแบบไปใช้ โดยผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณารายละเอียดของรูปแบบการเรียน การสอนแบบผสมผสานฯ ซึ่งใช้เกณฑ์แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาว่าประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อย และเห็นด้วย น้อยที่สุด ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2541) และการแปลผลของความคิดเห็น พิจารณาจากคา่ เฉลีย่ โดยใชเ้ กณฑข์ องเบสท์ (Best, 1981) มีรายละเอยี ดเหมอื นข้ันตอนที่ 1 ข้อ 3.1.1 62

การประชมุ วชิ าการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 2. นำรปู แบบการจดั การเรียนการสอนที่ได้ปรบั ปรงุ แก้ไขตามข้อเสนอแนะไปเสนอต่อผู้เชีย่ วชาญ จำนวน 3 ทา่ น ไดแ้ ก่ ดา้ นเทคนิคและวธิ ีการสอน ผู้เชีย่ วชาญการออกแบบการจัดการเรียนการสอน และผู้เช่ียวชาญด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร 3. วิเคราะห์ข้อมูล ตามหลักเกณฑ์ดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญโดยถือเกณฑ์ จึงยอมรับว่า รูปแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานฯ มีความเหมาะสม ตารางที่ 1 ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานฯ โดยผเู้ ช่ียวชาญ รายการประเมนิ x S.D. แปลผล 1. ความเป็นมาของรปู แบบ 4.45 0.40 มาก 2. แนวคดิ ที่ใชเ้ ป็นพน้ื ฐานในการพัฒนารูปแบบ 4.45 0.40 มาก 3. การกำหนดองค์ประกอบของรปู แบบ 4.89 0.08 มากที่สุด 4. องคป์ ระกอบของรปู แบบ 4.1 หลกั การ 4.75 0.18 มากทสี่ ุด 4.2 วตั ถปุ ระสงค์ 4.92 0.06 มากที่สดุ 4.3 เนอื้ หา 4.40 0.42 มาก 5. การวัดและประเมนิ ผล 4.78 0.16 มากที่สดุ รวม 4.65 0.77 มากทีส่ ดุ สรปุ ผลการวจิ ัย 1. สภาพ ปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การโค้ช สะเต็มศึกษา เพื่อ ส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู แบ่งเป็น 5 ตอน คือ 1. ข้อมูลส่วนตัวของ ผู้ตอบแบบสอบถาม มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 10 คน 2. ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ ผสมผสานฯ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 4.33, S.D. = 0.60) 3. ข้อมลู เกยี่ วกับปัญหาการจัดการเรียนการสอน แบบผสมผสานฯ ภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ( x = 2.02, S.D. = 0.78) 4. ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการการจัดการ เรียนการสอนแบบผสมผสานฯ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 4.04, S.D. = 0.87) 5. ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ ผู้สอน ได้เสนอแนะไว้ว่า ควรให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบการจัดกิจกรรม และควรเพิ่มแนวคิดการ จดั การเรียนรใู้ หส้ ัมพนั ธ์กบั ทักษะการจดั การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 อนื่ ๆ อกี 2. รูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะการ เรียนรูแ้ ละนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู ผลการวเิ คราะห์จากการประเมินรูปแบบในการจัดการเรียนการสอน ที่ใช้ในการวิจัยตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีความสอดคล้องและเหมาะสมระหว่างข้อคำถามกับ หลกั การ วัตถปุ ระสงค์ 3. ผลการประเมินรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพ่ือ ส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู ผู้วิจัยนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ ผสมผสานฯ นำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พบว่า ภาพรวมมีความเหมาะสมอยูใ่ นระดับมากท่ีสุด ( x = 4.65, S.D. = 0.77) ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) ความเป็นมาของรูปแบบ 2) แนวคิดที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนา รูปแบบ 3) การกำหนดองค์ประกอบของรูปแบบ 4) องค์ประกอบของรูปแบบ และ 5) การวัดและประเมินผล แสดงว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่สังเคราะห์ขึ้น สามารถนำไปเป็นต้นแบบ (Model) ในการพัฒนาเครื่องมือ ในการจัดการเรยี นการสอนได้ 63

การประชมุ วิชาการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 อภิปรายผลวจิ ัยและข้อเสนอแนะ 1. การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน รว่ มกบั การโค้ชและสะเต็มศึกษา เพ่ือส่งเสริม ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู พัฒนาขึ้นตามหลักการ แนวคิดและทฤษฎีของการ เรยี นการสอนแบบผสมผสาน การสอนแบบโคช้ สะเต็มศกึ ษา และการส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม และได้นำหลักการของรูปแบบการเรียนการสอนมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อสร้างแนวทางในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนร่วมกับการสอนแบบโค้ชและสะเต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมที่ พัฒนาขึ้น โดยนำแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมาเป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการ สอนแบบผสมผสาน 2. การประเมินรูปแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานร่วมกบั การโคช้ และสะเต็มศึกษา เพือ่ ส่งเสริม ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นเห็นด้วยกับ องค์ประกอบและขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบฯ เนื่องจากผู้วิจัยได้ทำการศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์จากเอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง และประเมินความคิดเหน็ จากผูเ้ ช่ียวชาญ จำนวน 3 ทา่ น เห็นด้วย กับองค์ประกอบและขั้นตอนของรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะเต็มศึกษา เพ่ือ ส่งเสริมทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู ซึ่งสอดคล้องกับ ศุภักษร ฟองจางวาง และ กอบสุข คงมนัส (2560) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือ พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิทำการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนฯ แล้วมีความ คิดเห็นวา่ รปู แบบการเรียนการสอนฯ ทพี่ ฒั นาขนึ้ มคี วามเหมาะสมอย่ใู นระดับมาก ขอ้ เสนอแนะ จากผลสรุปและการอภิปรายผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ และขอ้ เสนอแนะสำหรับการทำการวิจัยในคร้ังต่อไปดังน้ี 1. การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานร่วมกับการโค้ชและสะ เต็มศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักศึกษาวิชาชีพครู โดยมุ่งศึกษาสภาพ ปัญหาและ ความต้องการเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน การโค้ชและสะเต็มศึกษา และนำข้อมูลที่ได้จาก แบบสอบถามมาใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างรูปแบบ และประเมินรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งยังไม่ได้มีการนำ รปู แบบการเรียนการสอนไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างทเี่ ป็นนักศึกษาวชิ าชีพครู ดังน้ันในการวิจัยคร้ังต่อไปควรมี การนำรูปแบบไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างอันจะเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนท่ี ผู้วิจัยพฒั นาขึน้ ได้เปน็ อยา่ งดีต่อไป 2. ควรมีการศึกษาแนวทางการนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้นไปใช้เพื่อ ส่งเสริมทักษะและสมรรถนะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี สมรรถนะด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา เป็นต้น 3. การวิจัยครั้งนี้เป็นการเก็บข้อมูลจากอาจารย์ผู้สอนนักศึกษาวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ในการวิจัยครั้งต่อไปอาจออกแบบการวิจัยให้มีการเก็บข้อมูลจาก มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อ่นื ๆ เพิ่มเตมิ รายการอ้างองิ ธรี ะชยั ปูรณโชต.ิ 2544. การจดั การเรียนการสอนแบบบูรณาการ. หน้า 1-13. ใน: การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วทศ.9) เร่ืองนวตั กรรมเพ่อื การเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. กรุงเทพฯ: สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยศี กึ ษา กบั มหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑติ . 64

การประชมุ วชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ปณติ า วรรณพิรุณ. 2554. การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยใช้เครอ่ื งมือทางปญั ญา เพ่ือพฒั นาทักษะ การคิดอยา่ งมวี จิ ารณาญาณ. คณะครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั พระจอมเกลา้ พระนครเหนือ. ปณิตา วรรณพิรุณ. 2554. การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานโดยใช้เครอ่ื งมือทางปญั ญา เพอื่ พฒั นาทกั ษะ การคดิ อยา่ งมวี ิจารณาญาณ. คณะครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยพระจอมเกลา้ พระนครเหนือ. พวงรัตน์ ทวีรัตน.์ 2543. วิธีการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ (พิมพ์คร้ังท่ี 7). กรงุ เทพฯ: สำนักทดสอบทาง การศกึ ษาและจิตวทิ ยา มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ. วชั รา เลา่ เรยี นด.ี 2556. ศาสตร์การนเิ ทศการสอน และการโค้ช การพัฒนาวิชาชีพ: ทฤษฎกี ลยทุ ธ์สกู่ ารปฏิบตั ิ (พมิ พ์คร้ังท่ี 12). นครปฐม : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์นครปฐม. วัชรา เลา่ เรียนดี. 2556. ศาสตร์การนเิ ทศการสอน และการโคช้ การพัฒนาวิชาชีพ: ทฤษฎีกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ (พมิ พ์ครัง้ ที่ 12). นครปฐม: โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวงั สนามจันทรน์ ครปฐม. วิจารณ์ พานิช. 2555. วิถีสรา้ งการเรยี นร้เู พื่อศษิ ย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนธิ ิสดศรี-สฤษด์ิวงศ์. วจิ ารณ์ พานิช. 2555. วิถีสรา้ งการเรยี นรู้เพอ่ื ศษิ ยใ์ นศตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ: มูลนิธสิ ดศรี-สฤษดิ์วงศ์. วชิ ัย วงษ์ใหญ่. 2554. นวัตกรรมหลกั สูตรและการเรียนรู้ สคู่ วามเป็นพลเมืองดี. กรงุ เทพฯ: อาร์ แอนด์ ปริน๊ ต.์ ศริ วิ รรณ เสรีรัตน์ และคณะ. 2541. การวจิ ัยธุรกิจ. กรุงเทพฯ: เพชรจรสั แสงแหง่ โลกธุรกจิ . ศภุ กั ษร ฟองจางวาง และ กอบสุข คงมนสั . 2560. การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสาน โดยใช้การเรยี นรแู้ บบ รว่ มมอื เรือ่ ง การเขียนโปรแกรมขั้นพ้นื ฐานด้วยภาษาจาวาสคริปต์ สำหรบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3. ศภุ ักษร ฟองจางวาง และกอบสุข คงมนสั . 2560. การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน โดยใชก้ ารเรยี นรู้แบบ รว่ มมอื เรือ่ ง การเขยี นโปรแกรมข้ันพืน้ ฐานดว้ ยภาษาจาวาสครปิ ต์ สำหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี 2557. ความรเู้ บือ้ งต้นสะเต็ม. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2558. ค่มู ือจดั กจิ กรรมสะเตม็ ศกึ ษา ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1-3. กรงุ เทพฯ: องค์การค้าของ สกสค. สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี 2558. เอกสารกิจกรรมสะเต็มศกึ ษา ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4-6. กรงุ เทพฯ: องค์การคา้ ของ สกสค. สิรพิ ัชร์ เจษฎาวโิ รจน.์ 2546. การจัดการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ: บ๊คุ พอยท์. สไุ ม บิลไบ. 256. สมรรถนะ ทักษะและบทบาทของครไู ทยในศตวรรษท่ี 21. เอกสารประกอบการเรียนรายวิชานวตั กรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศ: บทบาทครูในยุคเทคโนโลยสี ารสนเทศ. มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร. สไุ ม บิลไบ. 2560. สมรรถนะ ทักษะและบทบาทของครไู ทยในศตวรรษที่ 21. เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชานวตั กรรมและ เทคโนโลยสี ารสนเทศ : บทบาทครูในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ. มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร. Bellanca, J. and Brandt, R. 2010. 21st Century Skills: Rethinking How Students Learn. Bloomington, IN: Solution Tree. Best, J.W. 1981. Research in education (4th ed.). New Jersey: Prentice Hall. Capraro, R.M., Capraro, M.M. and Morgan, J.R. 2013. STEM project-based learning: An integrated science, technology, engineering, and mathematics (STEM) approach. Rotterdam, The Netherlands: Sense. Capraro, R.M., Capraro, M.M. and Morgan, J.R. 2013. STEM project-based learning : An integrated science, technology, engineering, and mathematics (STEM) approach. Rotterdam, The Netherlands: Sense. Gonzalez, H.B. and Kuenzi, J.J. 2012. Science, technology, engineering, and mathematics (STEM) education: A primer. Congressional Research Service, Library of Congress. Retrieved from: http://fas.org/sgp/crs/misc/R42642.pdf Partnership for 21st Century Skills. P21 Framework Definitions. Retrieved from: http://www.p21.org/storage/documents/P21-Framework -Definitions.pdf. Rolfe, V. 2012. Open educational resources: Staff attitudes and awareness. Research in Learning Technology, 20. Retrieved from: https://doi.org/10.3402/rlt.v20i0.14395 Zollman, A., Smith. M.C. and Reisdorf, P. 201. Identity development: Critical components for learning in mathematics. In D. Brahier (Ed). Motivation and disposition: Pathways to learning mathematics. Seventy-third National Council of Teachers of Mathematics yearbook (pp.43-53). Reston, VA: Author. 65

การประชมุ วชิ าการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 การพัฒนาสมรรถนะด้านการบรหิ ารจดั การผ่านการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการโค้ช รว่ มกับการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน The Development of Managerial Competency Using Coaching Along with Project-Based Learning ก้องกาญจน์ วชริ พนงั 1, วรรณชร ไชยเดช2* และ ธมี า เหลืองอรณุ 3 บทคัดยอ่ งานวจิ ยั ฉบับน้มี ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาอิทธิพลของการโคช้ ทีส่ ่งผลต่อการพฒั นาสมรรถนะการบริหาร จัดการ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์การเรียนรู้ด้าน การบริหารจัดการระหว่างกลุ่มที่ใช้กระบวนการสอนปกติกับกลุ่มที่สอนด้วยกระบวนการโค้ช ผู้วิจัยได้ ทำการศึกษากับนักศึกษา 2 กลุ่มที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา GEN 351 การบริหารจัดการยุคใหม่และภาวะ ผู้นำ โดยกำหนดให้มีผลลัพธ์การเรียนรู้เป้าหมาย เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ และเกณฑ์วัดผลเดียวกัน รวมถึง คุณลักษณะทั่วไปของผู้เรียนซึ่งประกอบด้วยคณะ ภาควิชา และชั้นปีเดียวกัน โดยนักศึกษากลุ่มแรกเป็นกลุ่ม ควบคุมจำนวน 1,000 คน ทำการศกึ ษาในปีการศึกษาท่ี 1 จัดการเรยี นรโู้ ดยไม่ได้ใชว้ ธิ กี ารโค้ช และกลุ่มทดลอง ในจำนวนที่เท่ากัน ทำการศึกษาในอีก 1 ปีการศึกษาถัดไปซ่ึงคณาจารย์ได้รับการฝึกอบรมและพัฒนา กระบวนการสอน รวมถงึ ใช้รูปแบบการโคช้ ในการให้คำปรึกษาระหวา่ งการจัดทำโครงงานประจำภาคเรียน เก็บ รวบรวมข้อมูลจากคะแนนการประเมินสมรรถนะที่อาจารย์ได้ให้คะแนนตามเกณฑ์ที่สะท้อนถึงระดับสมรรนถะ ด้านการบริหารจัดการที่ได้ออกแบบไว้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (MANOVA) ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะดา้ นการบรหิ ารจัดการ ซ่ึงประกอบดว้ ย การทำงานเป็นทีม การตดั สนิ ใจ และการ บริหารโครงการ ของนักศึกษาในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในภาพรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับความเช่ือมั่น 0.05 เมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาสมรรถนะของนักศึกษารายคณะ พบว่า การโค้ช เพื่อให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการประจำภาคเรียนมีอทิ ธิพลตอ่ การพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารจัดการ ของนักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และคณะวิศวกรรมศาสตร์จำนวน 3 ด้าน ขณะที่ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเกิดการพัฒนาเพียง 2 ด้านเท่านั้น จากผล การศึกษานี้ ผู้วิจัยเห็นว่าทกั ษะการโค้ชควรเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นของอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ที่ใช้ การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อช่วยในการพัฒนาสมรรถนะด้านบริหารจัดการของผู้เรียนให้เกิด ประสิทธภิ าพและสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทความเปล่ียนแปลงในอนาคตไดต้ อ่ ไป คำสำคญั : การเรียนโดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน, สมรรถนะการบรหิ ารจัดการ, โครงงานประจำภาคเรียน, การโคช้ ABSTRACT The research aimed to study the influence of coaches on the development of managerial competencies and to compare the managerial competencies of groups using a normal teaching process versus groups that were coached. The study was conducted with two groups of 1 อาจารย์ประจำสายวชิ าสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี 2 นักพฒั นาการศกึ ษา สำนกั งานวชิ าศึกษาท่วั ไป คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี 3 นกั ศึกษาปริญญาเอก ภาควชิ าวศิ วกรรมระบบควบคมุ และเครื่องมือวดั สาขาวชิ าวิศวกรรมคอมพวิ เตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 66

การประชมุ วิชาการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 students at King Mongkut’s University of Technology Thonburi. All students were from the same faculties and departments, and all were enrolled in the GEN 351: Modern Management and Leadership course. This ensured that all students had the same learning outcomes, content, activities, and evaluation criteria. The experimental group had enrolled in the course one year after the control group, and both groups consisted of 1,000 students. The teaching team had been trained and had developed coaching skills that prepared them to provide advice during the project-based learning of the experimental group. Data were collected from competency evaluation scores that teachers had given according to criteria that reflect management competency levels. The data were analysed using Multiple Variance Analysis (MANOVA). The results revealed that managerial competency, which consists of teamwork, project management, and decision-making skills, was significantly different at the 0.05 level between the experimental group and the control group. Coaching influenced the development three of managerial competency skills of students in the Faculty of Industrial Education and Technology and the Faculty of Engineering, while students in the Faculty of Science and the Faculty of Information Technology developed two of the managerial competency skills. Based on the results of this study, the author suggests that coaching should be considered an essential skill for teachers, especially who using project-based learning. Coaching will support the development of managerial competency and be effective and consistent in the context of future changes. Keywords: project-based learning, managerial competency, term project, coaching บทนำ World Economic Forum (WEF) ได้กำหนดให้ทักษะความเป็นผู้นำและการสร้างอิทธิพลทางสังคม (Leadership and Social Influence) เป็นทักษะที่มีความจำเป็นของพลเมืองโลกในปี ค.ศ. 2020 (World Economic Forum, 2020) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงได้กำหนดคุณลักษณะบัณฑิตที่พึง ประสงคท์ ีม่ ีทักษะดา้ นความเปน็ ผนู้ ำและการบริหารจัดการไว้เป็นเปา้ หมายหน่ึงในการพัฒนาบณั ฑติ ท่ีจะเป็นกำลัง สำคัญของประเทศ (สำนักงานพัฒนาและบริการเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มจธ, 2560) โดยกลไกหนึ่งที่เป็น เครื่องมือในการพฒั นาสมรรถนะดังกล่าว ได้กระทำผา่ นรายวิชา GEN351 การบรหิ ารจดั การยคุ ใหม่และภาวะผู้นำ ซึ่งให้ความหมายของผู้นำในเชิงการบริหารจัดการไว้ว่า เป็นผู้ที่มีทักษะในการบริหารจัดการทีม การบริหาร โครงการ การบรหิ ารเชิงกลยทุ ธ์ และการตัดสินใจอยา่ งมคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม โดยรายวชิ าดงั กลา่ ว มปี รัชญาการ จัดการเรียนรูว้ ่า การเรียนรใู้ นวชิ าคือพื้นทกี่ ารฝึกอยา่ งอสิ ระ ซงึ่ นกั ศกึ ษาสามารถสร้างสรรค์ เรียนรู้ และผิดพลาด ได้ โดยมุ่งหวังให้นักศึกษาได้พัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และเจตคติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำและการบริหาร จัดการจากประสบการณ์จริง ดังนั้น ผู้วิจัยในฐานะอาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาจึงออกแบบให้การเรียนรู้ผ่าน โครงงาน (Project-based Learning, PBL) เป็นวิธีการสำคัญในการฝึกปฏิบัติในช้ันเรียน โดยให้นักศึกษาฝึกทำ โครงการจำลองเป็นกลุ่มย่อยดว้ ยจำนวนสมาชกิ 8-12 คน คละคณะ และภาควิชา ผ่านโจทย์จริงที่นักศึกษาเป็นผู้ กำหนดเป้าหมาย บทบาท วิธีการดำเนินการ และการประเมินผลความสำเร็จของงาน ขณะที่อาจารย์ที่ปรึกษา ประจำกลุ่มทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ให้คำแนะนำ และให้ความเห็นสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อการพัฒนา แก่นักศกึ ษา โดยการใหน้ ักศกึ ษาได้ลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง หรือสถานการณจ์ ำลองท่ีมีบริบทใกล้เคียงของ จริงนั้นส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของนักศึกษา (วรรณชร ไชยเดช และคณะ, 2559; Thomas, J.W., 2000; Reid, A. et al., 2020) 67

การประชมุ วชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 อย่างไรก็ตาม ในระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีการใช้เทคนิคการโค้ช (Coaching) ซึ่งมีกระบวนการท่ี ผู้สอนทำหน้าที่ช่วยกระตุ้น ชี้แนะ และค้นหาศักยภาพของผู้เรียน โดยการโค้ชเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรบั การพัฒนาศักยภาพของพนักงานในระดับบุคคล ไปจนถึงระดับองค์กรในการทำธุรกิจ (Levenson, A., 2009; Kahn, M.S., 2011) รวมถึงการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผลลัพธ์การเรียนรู้อีกด้วย (Fazel, P., 2013a, Grochalska, M., 2013; Wolf, S., 2018; Knowles, R.T. et al., 2020; Anthony, D.P. and Nieuwerburgh, CJ., 2018) จาก ความสำคัญดังกล่าว ผู้วิจัยคาดหวังว่าการปรับเปลี่ยนบทบาทของอาจารย์ จากผู้สอน และผู้สังเกตการณ์มาเป็น โค้ชอาจมีส่วนช่วยให้การพัฒนาสมรรถนะด้านการบรหิ ารจัดการของนักศึกษาสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้จัดให้มีกจิ กรรม การพัฒนาทกั ษะการโคช้ ให้แก่อาจารย์ในรายวิชา GEN351 โดยมุ่งเนน้ ทกั ษะสำคญั 3 ประการ ประกอบดว้ ย การ รับฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) (Grochalska, M., 2013; Decker, 1989 อ้างถึงใน Bauer, F.K., et al., 2010) การตั้งคำถามอย่างมีประสิทธิภาพ (Powerful Questioning) (Grochalska, M., 2013) และการให้ข้อมูล สะท้อนกลับ (Giving Feedback) (Scheeler, M.C. et al., 2004; Solomon, B.G. et al., 2012) ซ่ึงภายหลังจาก การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะให้แก่อาจารย์แล้ว ผู้วิจัยยังได้จัดทำคู่มือขั้นตอนการโค้ชซึ่งประกอบด้วย คลัง คำถามที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของรายวิชา ขั้นตอนการโค้ช และคำถามที่พบบ่อย เพื่อช่วยให้อาจารย์สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้เทคนิคการโค้ชในชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังจัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงปัญหา อุปสรรค วิธีการแก้ไขปัญหา รวมถึงแนวปฏิบัติที่ดีแก่ คณาจารยใ์ นรายวิชา เพ่อื ให้เกดิ การพฒั นาร่วมกนั อกี ด้วย งานวิจัยฉบับนี้ จึงเป็นการศึกษาอิทธิพลของการโค้ช และเปรียบเทียบผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านการบริหาร จัดการระหว่างกลุ่มที่สอนปกติกับกลุ่มที่สอนด้วยกระบวนการโค้ช ที่กระทำระหว่างการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็น ฐาน มีผลต่อการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารจัดการของนักศึกษาอย่างไร ซึ่งผลการศึกษาในครั้งนี้ จะช่วยให้ เกดิ การปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และบรบิ ทการเปลี่ยนแปลงของ สังคมไดต้ ่อไป วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการโค้ชที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการ ของนักศึกษา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2. เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการระหว่างกลุ่มที่ใช้กระบวนการสอนปกติกับ กลมุ่ ท่ีสอนด้วยกระบวนการโค้ช วธิ ดี ำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการศึกษา คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะเทคโนโลยสี ารสนเทศ ระดับปรญิ ญา ตรี ทล่ี งทะเบยี นเรียนวชิ า GEN 351 การบริหารจัดการยุคใหม่และภาวะผนู้ ำ แบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ ประกอบด้วย 1) กลุ่มควบคุม คือ นักศึกษาทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนวิชา GEN 351 ในภาคการศึกษาที่ 1 จำนวน 1,000 คน เรยี นรู้ผา่ นการสอนโดยใช้รปู แบบปกติ และไมไ่ ดใ้ ชก้ ระบวนการโคช้ 2) กลุ่มทดลอง คือ นักศึกษาทั้งหมดที่ลงทะเบียนเรียนวิชา GEN 351 ในภาคการศึกษาที่ถัดจากกลุ่ม ควบคุมเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะและภาควิชาเดียวกับกลุ่มควบคุมจำนวน 1,000 คน เรียนรู้โดยใช้ กระบวน การโคช้ ในการจัดทำโครงงานประจำภาคเรยี น ซ่ึงอาจารย์ผสู้ อน และอาจารย์ประจำกล่มุ ไดเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม การอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการดา้ นการโคช้ ผ้เู รียน และมคี ่มู ือประกอบการโค้ชสำหรับการทำโครงงานประจำภาคเรียน โดยการจัดการเรียนการสอนทั้ง 2 กลุ่มนี้ กำหนดให้มีผลลัพธ์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ รวมถงึ วิธกี ารและเกณฑ์การวัดและประเมินผลลัพธก์ ารเรียนรเู้ หมือนกนั 68

การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 เคร่ืองมือวจิ ยั เครื่องมือที่ใช้สำหรับการรวบรวมข้อมูลการวิจัย คือ แบบประเมินผลงานจากการจัดทำโครงการประจำ ภาคเรียนโดยอาจารย์ที่ปรึกษากลุ่ม โดยผู้วิจัยได้ออกแบบแบบประเมินและเกณฑ์การให้คะแนนตามระดับ สมรรถนะ (Rubric Score) ที่ระบุสมรรถนะด้านการบริหารจัดการ 4 ด้านตามลำดับขั้น ซึ่งสอดคล้องกับ คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ของมหาวิทยาลัย (สำนักงานพัฒนาและบริการเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มจธ, 2560) โดยประกอบด้วยสมรรถนะดา้ นการบริหารจัดการ 4 ดา้ น คอื 1. การทำงานเปน็ ทีม (Teamwork) 2. การตัดสินใจ (Decision Making) 3. การบริหารโครงการ (Project Management) และ 4. การจดั การเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการฝึกอบรมการใช้แบบประเมินและเกณฑ์การให้คะแนนตามระดับสมรรถนะ (Rubric Score) ให้แก่คณาจารย์ในรายวิชา จากนั้นเมื่ออาจารย์ได้ทำการประเมินระดับสมรรถนะของนักศึกษาจากการ จดั ทำโครงการประจำภาคเรียนแลว้ จึงได้เก็บรวบรวมคะแนนท่ีอาจารยท์ ี่ปรึกษากลุ่มประเมนิ จากการทำโครงงาน ประจำภาคเรียนของนักศึกษาทั้งระหว่างและจบสน้ิ การจัดทำโครงการประจำภาคเรียน การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 1. วิเคราะห์ระดับสมรรถนะด้านบริหารจัดการของนักศึกษาทั้ง 4 ด้าน โดยใช้ค่าสถิติเชิงบรรยาย จาก คะแนนโครงงานประจำภาคเรยี น ได้แก่ คา่ เฉล่ีย และ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาอิทธิพลของการโค้ชและเปรียบเทียบสมรรถนะด้านการบริหารจัดการของ นักศึกษา ท้ัง 4 ด้าน ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (Multivariate Analysis of Variance, MANOVA) สรปุ ผลการวิจัย ผลการวจิ ยั ประกอบดว้ ยการวเิ คราะห์หาค่าสถิติพ้ืนฐานของสมรรถนะด้านบริหารจัดการ และการ เปรยี บเทียบสมรรถนะด้านการบรหิ ารจัดการ ดงั นี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐานของสมรรถนะด้านบริหารจัดการ โดยผลการวิเคราะห์หาค่าสถิติ พน้ื ฐาน พบว่านกั ศึกษาในกลุ่มควบคุมมีระดับค่าเฉลี่ยสมรรถนะด้านการบริการจัดการท้ัง 4 ดา้ น อยู่ระหว่าง 2.81 – 4.28 ขณะที่ในกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนด้วยกระบวนการโค้ชมีระดับค่าเฉลี่ยของสมรรถนะด้านบริหารจัดการ ระหว่าง 3.09 – 4.43 โดยกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยสมรรถนะสูงกว่ากลุ่มควบคุมทุกด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยสมรรถนะด้าน การทำงานเป็นทีมสงู ท่ีสุด และด้านการบริหารจดั การเชงิ กลยุทธต์ ่ำที่สดุ เชน่ เดยี วกันท้ัง 2 กลุ่ม (ภาพท่ี 1) ภาพที่ 1 ค่าเฉลี่ยและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของสมรรถนะด้านการบริหารจดั การ 69

การประชุมวิชาการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ส่วนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านโครงงานประจำภาคเรียน จากการวิเคราะห์ ความแปรปรวนพหุคูณ โดยทดสอบข้อตกลงเบื้องต้นของความเท่ากันในเมตริกความแปรปรวนร่วม ผลการ ทดสอบพบว่ามีค่าสถิติ Box’M test ต่ำกว่า 0.05 ซึ่งละเมิดข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบ โดย Hakstian et al (1979) ถูกกล่าวถึงใน ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน (2551) กล่าวว่า ถ้าขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากันแล้วจะไม่สนใจการ ทดสอบ Box's M test เพราะจะมีความไม่คงที่สูง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลือกสถิติทดสอบ Hotelling's และ Pillai's ซ่ึง มคี วามแกร่งท่ีสุดในการทดสอบ โดยจากผลการตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นพบว่า สามารถใช้การวิเคราะห์ความ แปรปรวนพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมลู ชุดดังกล่าวได้ และพบว่า สมรรถนะด้านการบรหิ ารจัดการของนักศึกษาที่ เกิดข้ึนจากการโคช้ ระหว่างการทำโครงงานประจำภาคเรียนของกลุ่มทดลองท่ีได้รับการสอนด้วยกระบวนการโค้ช กบั กลมุ่ ท่ไี ด้รบั การสอนแบบปกติ มคี วามแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.01 (ตารางที่ 1) นอกจากนี้ จากการการทดสอบความแตกต่างรายสมรรถนะด้วยการทดสอบ Univariate Tests พบว่า สมรรถนะของกลุ่มทดลอง มีคะแนนที่สูงกว่ากลุ่มควบคุม 3 ด้าน ได้แก่ การทำงานเป็นทีม (Teamwork) การ ตัดสินใจ (Decision Making) และการบริหารโครงการ (Project Management) โดยมีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ขณะที่การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) ไม่พบความ แตกต่างกนั ทางสถติ ิ (ตารางที่ 2) ขณะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบอิทธิพลของการโค้ชระหว่างการจัดทำโครงการประจำภาคเรียนที่ส่งผลต่อ การพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการของนักศึกษารายด้านพบว่า ด้านการทำงานเป็นทีมนั้น นักศึกษากลุ่ม ทดลองของครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ที่เรียนด้วย กระบวนการโค้ช มีสมรรถนะสูงกว่านักศึกษาที่เรียนด้วยกระบวนการแบบปกติ อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 โดยมีความแตกต่างระหว่าง คะแนนเฉลี่ย คือ 0.22 0.10 และ 0.18 ตามลำดับ ขณะที่คะแนนเฉลี่ยของ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (ภาพที่ 2) ในส่วนของผลการศึกษาสมรรถนะ ด้านการตัดสินใจพบว่า นักศึกษาทุกคณะที่เรียนด้วยกระบวนการโค้ช มีสมรรถนะสูงกว่านักศึกษาที่เรียนด้วย กระบวนการแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ย คือ 0.59 0.82 0.42 และ 0.21 ตามลำดับคณะ (ภาพที่ 3) สำหรับผลการศึกษาสมรรถนะด้านการบริหารโครงการพบว่า นักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ท่ี เรียนด้วยกระบวนการโค้ช มีสมรรถนะสูงกว่านักศึกษาที่เรียนด้วยกระบวนการแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ย คือ 0.64 0.24 และ 0.34 ตามลำดับ ในขณะที่ คะแนนเฉล่ยี ของนักศึกษา คณะวทิ ยาศาสตร์ ไม่มคี วามแตกต่างกนั ทางสถิติ (ภาพท่ี 4) ตารางที่ 1 คา่ สถิติทดสอบการเปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนด้านโครงงานประจำภาคเรยี น Sig. Multivariate Test Value F Hypothesis df Error df 0.000 Pillai's Trace 0.027 4.552 12.000 5973.000 0.000 Wilks' Lambda 0.973 4.557 12.000 5262.691 0.000 Hotelling's Trace 0.028 4.557 12.000 5963.000 0.000 Roy's Largest Root 0.016 8.031b 4.000 1991.000 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะดา้ นการบรหิ ารจดั การ (Univariate Tests) Source Dependent Variable Type III Sum of Squares df Mean Square F Faculty * Coaching Level Teamwork 2.442 3 0.814 3.781 Decision Making 19.838 3 6.613 3.830 Project Management 24.371 3 8.124 8.902 Strategic Management 4.754 3 1.585 1.697 70

การประชมุ วิชาการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 หมายเหต:ุ EduTech = คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, FoE = คณะวศิ วกรรมศาสตร์, Fos = คณะวทิ ยาศาสตร์, SIT = คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาพที่ 2 ผลการเปรยี บเทียบสมรรถนะด้านการทำงานเปน็ ทีมจำแนกตามคณะ หมายเหต:ุ EduTech = คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, FoE = คณะวศิ วกรรมศาสตร์, Fos = คณะวทิ ยาศาสตร์, SIT = คณะเทคโนโลยสี ารสนเทศ ภาพท่ี 3 ผลการเปรียบเทยี บสมรรถนะด้านการตัดสินใจจำแนกตามคณะ หมายเหต:ุ EduTech = คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, FoE = คณะวศิ วกรรมศาสตร์, Fos = คณะวิทยาศาสตร์, SIT = คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาพท่ี 4 ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะด้านการบรหิ ารโครงการจำแนกตามคณะ 71

การประชุมวชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 อภิปรายผลวิจัยและขอ้ เสนอแนะ ในภาพรวมของการใช้เทคนิคและกระบวนการโค้ชในการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารจัดการของ นักศึกษาซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยที่ผ่านมา (Levenson, A., 2009; Kahn, M.S., 2011; Fazel, P., 2013b; Grochalska, M., 2013; Wolf, S., 2018; Knowles, R.T. et al., 2020) เมื่อพิจารณาถึงรูปแบบที่กำหนดให้ เรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาได้นำทฤษฎีที่เก่ียวข้องมาใช้ในการจดั ทำโครงการจริง ซ่ึงนักศึกษา จะต้องกำหนดเป้าหมาย ออกแบบแผนกลยุทธ์ กำหนดแผนการบริหารโครงการ การออกแบบการทำงานร่วมกัน เป็นทีม รวมถึงต้องมีการตัดสินใจทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังดำเนินโครงการ กระบวนการดังกล่าวช่วยให้ นักศึกษาฝึกประยุกต์ใช้ทฤษฎีสู่การปฏิบัติและเกิดประสบการณ์จริงจากการทำงาน โดยสำหรับกลุ่มควบคุมน้ัน อาจารย์ที่ปรึกษาจะรับฟังรายงานความก้าวหน้าและสภาพปัญหา ซักถาม และให้คำแนะนำ ผ่านมุมมองและ ประสบการณ์ของอาจารยแ์ ต่ละทา่ นเป็นหลัก แตส่ ำหรบั กลมุ่ ทดลอง อาจารย์ท่ีปรึกษาซึง่ ไดผ้ า่ นการฝึกอบรมเพ่ือ พฒั นาทกั ษะการโค้ชมาแล้วมีทักษะและเป้าหมายในการรับฟัง ตั้งคำถาม และใหข้ ้อมลู ปอ้ นกลับตามประเด็นและ ผลลัพธก์ ารเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหัวข้อการเรียนรู้แต่ละครั้งได้อย่างชัดเจน ประเดน็ น้ีสามารถสะท้อนได้จากความ คิดเห็นของนักศึกษากลุ่มทดลองที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนว่า “อาจารย์เปิดกว้าง และรับฟังความ คิดเห็นของนักศึกษา” “เวลาติดปัญหา อาจารย์มักตั้งคำถามย้อนกลับไปหาทฤษฎีเรื่องนั้น ๆ และชวนให้ นักศกึ ษาแสดงความคิดเห็นเพื่อถกเถียงกัน” “คำแนะนำของอาจารย์ไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหา แตจ่ ะเป็นการ ให้มมุ มองท่ีเราอาจยังไม่เห็น แลว้ ให้พวกเราตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาดว้ ยตัวเอง” ซึ่งผู้วิจัยมีความเห็นว่า ทักษะและกระบวนการโค้ชของอาจารย์ที่ปรึกษานั้นช่วยให้นักศึกษาพุ่งความสนใจ (Focus) ในการดำเนินการแต่ ละขั้นตอน รวมถงึ เชอ่ื มโยงทฤษฎเี ข้าสู่การจัดทำโครงการในแต่ละข้นั ตอนไดช้ ัดเจนมากย่ิงข้ึน เมอ่ื พิจารณาการพฒั นารายสมรรถนะ พบวา่ การโค้ชของอาจารยช์ ว่ ยใหน้ ักศึกษาเกิดการพฒั นาในทักษะ การทำงานเป็นทีม การบริหารโครงการ และการตดั สินใจได้ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั ผลการวิจยั ที่ผ่านมา (Anthony, D.P, and Nieuwerburgh, C.J., 2018; Shacham, M. and Yehuda, M. B., 2018) โดยเมือ่ พิจารณากระบวนการโค้ช ของอาจารย์ที่รายวิชาออกแบบไว้นั้น จะให้นักศึกษาแต่ละคนซึ่งรับผิดชอบหน้าที่ในโครงงานที่ต่างกันได้เป็น ผู้รายงานความคืบหน้าในแต่ละสัปดาห์ โดยอาจารย์จะรับฟังและตั้งคำถามที่สอดคล้องกับเป้าหมายประจำ สปั ดาหข์ องโครงงานแต่ละกลุ่มและแผนงานของแต่ละฝ่าย ซ่งึ ช่วยให้นกั ศึกษาในฐานะสมาชิกของกลุ่มโครงงานได้ เห็นภาพเป้าหมายและความคืบหน้าของงานร่วมกัน นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกทักษะการรับฟังซึ่งกันและกันอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งการรับฟังและการเห็นเป้าหมายร่วมกันนี้เป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญของการทำงานเป็นทีม (ธัชวรรณ จิระติวานนท์, 2018) ขณะเดียวกัน อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานจะต้ังคำถามเพือ่ กำหนดเงื่อนไขเพื่อให้นักศกึ ษาได้ เตรยี มแผนการบริหารโครงการในฉากทรรศน์ (Scenario) ท่หี ลากหลาย ซง่ึ อาจเกิดความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัย ภายในทีมงานและปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจควบคุมได้ อีกทั้งเมื่อเกิดปัญหาหรือสถานการณ์เฉพาะหน้า อาจารย์ที่ ปรึกษาจะให้นักศึกษาเล่าหรือบรรยายสรุปถึงสภาพปัญหานั้น ทางเลือกการตัดสินใจของนักศึกษา พร้อมทั้ง เหตุผลสนับสนุนในแต่ละทางเลือก โดยอาจารย์จะตั้งคำถามเพื่อเน้นย้ำถึงขอบเขต เป้าหมาย และความเห็นของ นักศึกษาในกลุ่มอย่างรอบด้าน รวมถงึ เน้นย้ำเป้าหมายของวิชาท่ีต้องการให้การจัดทำโครงการประจำภาคเรียนนี้ เป็นเครื่องมือการฝึกพัฒนาทักษะการบริหารจัดการโดยเปิดพื้นท่ีความผิดพลาดให้แก่นักศึกษา ผู้วิจัยมีความเห็น ว่ากระบวนการดังกล่าวน้นี อกจากจะเปน็ การฝึกใหน้ ักศึกษาไดม้ ีทักษะการบรหิ ารโครงการอย่างเป็นระบบแลว้ ยัง ชว่ ยให้นกั ศึกษาสามารถตดั สนิ ใจอยา่ งมีอสิ ระและมีประสิทธิภาพได้อีกดว้ ย นอกจากน้ี เมอ่ื พจิ ารณาจากการพัฒนาสมรรถนะของนักศึกษาแตล่ ะคณะพบวา่ นกั ศึกษาคณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และคณะวิศวกรรมศาสตร์ เกิดการพัฒนาสมรรถนะจากการทำโครงงานประจำภาค เรียนภายใต้การโค้ชของอาจารย์ที่ปรึกษาใน 3 ทักษะข้างต้น ผู้วิจัยมีความเห็นว่าการจัดการเรียนการสอนแบบ 72

การประชุมวชิ าการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 โคช้ นั้นมคี วามใกล้เคียงกับการจัดการเรยี นรู้ของคณะครุศาสตร์ฯ ท่ีเน้นการให้นักศึกษาเปน็ ศูนย์กลาง (Student- center) ขณะท่ีอาจารย์ปรับเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้บรรยายเป็นผูส้ นับสนุนการเรียนรู้ (Facilitator) ซึ่งอาจ ช่วยให้นักศึกษาคณะครุศาสตร์ฯ มีความคุ้นเคยกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคและกระบวนการดังกล่าว และ ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของนักศึกษาได้ นอกจากนีร้ ูปแบบการโค้ชทีผ่ ูว้ ิจยั เลือกใชน้ ้ัน ไดก้ ำหนดให้มีการตั้ง คำถาม และการให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างมีขั้นตอน และเป็นเหตุเป็นผลอย่างสอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ท่ี กำหนดไว้และได้แจ้งให้นักศึกษาทราบอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากการใช้ประสบการณ์ของอาจารย์แต่ละคนใน การจัดการเรียนรู้ในกลุ่มควบคุมที่ผ่านมา จึงอาจส่งผลให้นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งถูกปลูกฝังความเป็น เหตุเป็นผลจากการจัดการเรียนการสอนของคณะ มีความเข้าใจในเป้าหมาย กระบวนการ และมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ผ่านการจัดทำโครงการประจำภาคเรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าการโค้ชใน ระหวา่ งการจัดทำโครงการประจำภาคเรียนน้นั มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสมรรถนะด้านบริหารจัดการของนักศึกษา กลุม่ ทดลองคณะวิทยาศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศเพยี ง 2 ทกั ษะเท่านน้ั ขณะทดี่ ้านการบริหารจัดการ เชิงกลยุทธ์ไม่พบความแตกต่างจากวิธีการสอนที่แตกต่างกันแต่อย่างใด ซึ่งผู้วิจัยจะได้ทำการศึกษาเพื่อทำความ เข้าใจปรากฎการณด์ ังกลา่ วต่อไป ขอ้ เสนอแนะ จากผลการวจิ ยั ฉบับนี้ ผู้วิจยั มขี อ้ เสนอ 2 ประเด็น คือ 1. ควรทำการศึกษาการประยุกต์ใช้งานการสอนด้วยวิธีการ หรือกระบวนการโคช้ กับสมรรถนะดา้ นอ่ืน ๆ เพอ่ื ให้เกิดความเข้าใจและหลักฐานเชิงประจักษ์วา่ การโค้ชน้ันมีความเหมาะสมกับการพฒั นาสมรรถนะด้านใดอีก บ้าง รวมถึงการโค้ชนั้น มีความเหมาะสมที่จะใช้งานร่วมกับกระบวนการสอนในแบบอื่น ๆ เช่น การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) หรือการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-based Learning) หรือไม่ อย่างไร 2. ควรพัฒนาให้อาจารย์หรือทีมผู้สอนได้มีทักษะการโค้ช ซ่ึงประกอบด้วยการกำหนดเป้าหมาย การรับ ฟัง การต้งั คำถาม และการให้ประเด็นสะท้อนกลับท่ีสอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ เพ่อื ใหส้ ามารถจัดการเรียนรู้ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งข้ึน รายการอ้างอิง ทรงศกั ด์ิ ภูสีออ่ น. 2551. การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหคุ ูณ (MANOVA) จาก https://www.edu.tsu.ac.th/major/eva/files/ journal/Manova2.pdf. สบื คน้ 2 มถิ นุ ายน 2563. ธชั วรรณ จริ ะตวิ านนท์. 2018. การสอนการทำงานเป็นทมี โดยการ ใช้สถานการณจ์ ำลอง. Siriraj Medical Bulletin. 11(1): 34- 45. จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/simedbull/article/view/127702 วรรณชร ไชยเดช, ก้องกาญจน์ วชิรพนัง และศศิธร สวุ รรณเทพ. 2559. การพฒั นาดา้ นความรู้ ดา้ นทักษะและ ดา้ นทัศนคติผ่าน การเรยี นการสอนเชิงรกุ . วารสารปกสังคมศาสตร์มหาวทิ ยาลัยวลัยลักษณ์. 9(1): 157-178. สำนกั งานพฒั นาและบริการเทคโนโลยีเพอื่ การศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี. 2560. Our Student kMUTT QF. จาก https://www.c4ed.kmutt.ac.th/kmutt-qf. สบื คน้ 5 มิถุนายน 2563. Anthony, D.P. and Nieuwerburgh, C.J. 2018. A thematic analysis of the experience of educational leaders introducing coaching into schools. International Journal of Mentoring and Coaching in Education. 7(4): 343-356. Bauer, F.K., Motschnig R.P. and Figl, K. 2009. Introducing Active Listening to Instant Messaging and E-mail: Benefits and Limitations. IADIS International Journal on WWW/Internet. vol. 7. Pp.1-17. Fazel, P. 2013a. Teacher-coach-student coaching model: A vehicle to improve efficiency of adult institution. Procedia-Social and Behavioral Sciences. 97: 384-391. 73

การประชุมวชิ าการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 Fazel, P. 2013b. Learning theories within coaching process. In Proceedings of World Academy of Science, Engineering and Technology. World Academy of Science, Engineering and Technology (WASET). No. 80, p. 584 Grochalska, M. 2013. Not teaching, but coaching creating a self-development culture in a classroom. The Journal of Education, Culture, and Society. (2): 273-287. Kahn, M.S. 2011. Coaching on the axis: An integrative and systemic approach to business coaching. International Coaching Psychology Review. 6(2): 194-210. Knowles, R.T., Hawkman, A.M. and Nielsen, S.R. 2020. The social studies teacher-coach: A quantitative analysis comparing coaches and non-coaches across how/what they teach. The Journal of Social Studies Research. 44(1): 117-125. Levenson, A. 2009. Measuring and maximizing the business impact of executive coaching. Consulting Psychology Journal: Practice and Research. 61(2): 103. Reid, A., Cook, J., Viedge, C. and Scheepers, C.B. 2020. Developing management effectiveness: The nexus between teaching and coaching. The International Journal of Management Education. 18(1): 100334. Scheeler, M.C., Ruhl, K.L. and McAfee, J.K. 2004. Providing Performance Feedback to Teachers: A Review. Teacher Education and Special Education. The Journal of the Teacher Education Division of the Council for Exceptional Children 27(4): 396-407 Shacham, M. and Yehuda, M.B. 2018. Coaching Program for Academic Success: Promoting Equal Opportunities for Engineering Students. IEEE Global Engineering Education Conference (EDUCON). pp. 1177 Solomon, B.G., Klein, S.A. and Politylo, B.C. 2012. The effect of performance feedback on teachers' treatment integrity: A meta-analysis of the single-case literature. School Psychology Review. 41(2): 160–175. Thomas, J.W. 2000. A review of research on Project - Based Learning. Retrieved from: http://www.bobpearlman.org/ BestPractices/PBL_Research.pdf. May 13, 2020. Wolf, S. 2018. Impacts of pre-service training and coaching on kindergarten quality and student learning outcomes in Ghana. Studies in Educational Evaluation. 59: 112-123. World Economic Forum. 2020. The 10 skills you need to thrive in the fourth industrial revolution. Retrieved from: https://www.weforum.org/agenda/2016/01/the-10-skills-you-need-to-thrive-in-the-fourth- industrial-revolution/. June 3, 2020. 74

การประชุมวชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การจดั การเรียนร้เู ชงิ รุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน:์ นวตั กรรมการสอนใหมใ่ นยุคพลิกผัน Active Learning in Online Learning Environment: Innovative Teaching for Disruptive Era ชนัตถ์ พนู เดช1* บทคัดย่อ บทความวิชาการนี้ได้นำเสนอถึงประเด็นการปรับตัวของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ที่ได้รับ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ในยุคพลิกผันนี้ ด้วยการใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนแบบ ออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญ ซึ่งการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์นั้น เป็นนวัตกรรมที่นำ จุดเด่นของทั้ง 2 วิธี คือ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ มารวมเข้าไว้ ด้วยกัน เพื่อทำให้การเรียนการสอนออนไลน์นั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยนวัตกรรมนี้ จะช่วยสร้างความ น่าสนใจและสรา้ งจุดตา่ งให้แก่หลกั สูตรท่จี ะเปิดสอนออนไลน์ รวมท้ังสร้างคณุ ภาพให้แกผ่ ้เู รยี นออนไลน์อีกด้วย คำสำคญั : การจดั การเรียนรู้เชงิ รุก, การศึกษาแบบออนไลน์, การจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุกสำหรบั การศึกษาออนไลน์, นวตั กรรมการสอน, ยคุ พลกิ ผนั ABSTRACT This academic article presented the Thailand higher education's adaptation to the disruptive era, which an online teaching and learning innovation was used as a crucial tool. The active learning in online learning environment is an innovation by combining the strengths of active learning strategies with an online teaching and learning platform to improve online teaching and learning more effectively. This innovation will create points of difference, and make the online course going to start more interesting. Moreover, this innovation will enhance the quality of online learners. Keywords: active learning, online learning, active learning in online learning environment, teaching innovation, disruptive era บทนำ จากการที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงต่อคนในสังคมปัจจุบันหลายด้าน เช่น มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม การติดต่อสื่อสารสะดวก รวดเร็วและเป็นสิ่งท่ีขาดไม่ได้ มีการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ และธุรกิจหลายประเภทต้องปิดกิจการลง การทำ เกษตรกรรมในรปู แบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีมากขน้ึ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึ้นนนั้ ยอ่ มสง่ ผลกระทบต่อ สถาบันอุดมศึกษาด้วยเช่นกัน จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า จำนวนผู้ที่ศึกษาต่อใน ระดับอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน (ภาพท่ี 1) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2550) ซึ่งนอกจากสาเหตุหนึ่งที่มาจากจำนวนประชากรแรกเกิดของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ความเจริญ ทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งทส่ี ำคัญ 1 สำนักนวตั กรรมการเรยี นรู้ มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 75

การประชุมวชิ าการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 ภาพที่ 1 สถติ จิ ำนวนนิสิต นักศึกษาในระดบั อุดมศึกษาในสถานศึกษาของรฐั บาลและเอกชน ระหวา่ งปีการศึกษา 2557 - 2561 เมื่อจำนวนผู้เรียนที่เข้ามาศึกษาในระบบมีจำนวนน้อยลงอย่างต่อเนื่อง สถาบันอุดมศึกษา ท้ัง มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษา ทั้งของรัฐ ในกำกับรัฐ และเอกชน ต้องปรับตัวเพื่อให้เกิดผลกระทบ น้อยที่สุดจากจำนวนผเู้ รยี นท่ีน้อยลง แนวทางการปรบั ตัววิธีหนึง่ ของสถาบันต่าง ๆ คือ การจดั การเรยี นการสอน ผ่านระบบออนไลน์ ทั้งในรูปแบบการเปิดหลักสูตรออนไลน์ หรือการจัดอบรมระยะสั้น เพ่ือเป็นการเปิดโอกาส ขยายฐานผู้เรียนให้กว้างขึ้น และเป็นการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารให้สามารถเข้าถึง ผู้เรยี นไดโ้ ดยตรง ในช่วงทศวรรษปีที่ผ่าน การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากมีจำนวนหลักสูตรออนไลน์จากสถาบันต่าง ๆ เปิดเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นมากทั่วโลก (Palvia, S., et al., 2018) รวมทั้งประเทศไทยเองก็เช่นกัน แต่จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า แม้จำนวนวิชาที่ เปิดสอนออนไลน์จะได้รับความนิยมเปิดสอน และมีจำนวนผู้สอนออนไลน์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในแตล่ ะปี แต่ เมอื่ วิเคราะห์ลงไปในด้านของผูส้ อนนนั้ มีผ้สู อนออนไลน์เพียงจำนวนหนึ่งเท่านน้ั ท่ีมีประสบการณ์สอนออนไลน์ หรือผ่านการอบรมเทคนคิ การจัดการเรยี นการสอนในสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ รวมทั้งตัวผู้สอนเองก็อาจไม่ เคยเรียนออนไลน์ในฐานะเป็นผู้เรียนเองด้วยเช่นกัน (Bonk, C.J. and Zhang, K., 2008) ดังนั้นการเตรียม ผู้สอนให้พร้อมสำหรับการจัดการสอนในสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และเป็น เร่อื งเรง่ ด่วนที่สถาบนั การศกึ ษาต้องรีบดำเนินการ การจัดการเรยี นรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน:์ นวตั กรรมการสอนใหมใ่ นยุคพลกิ ผัน ในการจัดการศึกษาแบบชั้นเรียนปกติในปัจจุบันนั้น ผู้สอนมักใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เนื่องจากผลการศึกษาวิจัยนั้นพบว่า การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน เป็นอย่างมาก เช่น ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีอิสระทางด้านความคิด เกิดกระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และ ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันผู้สอนส่วนใหญ่มักมีความคุ้นเคยต่อ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้เชงิ รุก เนอื่ งจากสถาบันการศึกษาทุกแห่งมุ่งเน้นและให้ความสำคัญเปน็ อยา่ งมาก รวม ทั้งหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการศึกษา ต่างเปิดอบรมเทคนิคการสอนรูปแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ เมื่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากที่กล่าวไว้ข้างต้น สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญต่อการเปิดสอน ออนไลน์ ผสู้ อนตอ้ งเปลีย่ นรปู แบบการสอนจากเดิมท่สี อนในชั้นเรยี นปกติ เปน็ การจัดการสอนในสภาพแวดล้อม แบบออนไลน์ ซึ่งทำให้การใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกที่เป็นจุดเด่นของการจัดการศึกษาใน ปัจจุบันหายไป กลายเป็นการจัดการศึกษาแบบการสือ่ สารทางเดียวเพยี งเทา่ นั้น และยังส่งผลตอ่ ความคงทนใน 76

การประชุมวิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การเรียนของผู้เรียนเชน่ กัน ดังจะเหน็ ไดจ้ ากผลงานวิจยั ที่เกยี่ วข้องกับการศกึ ษาผา่ นระบบออนไลนน์ ั้นระบุว่า มี ผู้ทลี่ งทะเบยี นเรยี นในรายวชิ าต่าง ๆ ไม่ถึงร้อยละ 13 ที่ยังคงเรยี นต่อเนื่องจนจบตามหลักสูตร (Gupta, S. and Sabitha, A.S., 2019) ซง่ึ แสดงให้เหน็ ว่าการจัดการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ในปัจจุบันนนั้ มีปัญหาทส่ี ำคัญ คือ มอี ตั ราการเลิกเรียนก่อนจะจบหลักสูตร (Dropout) อยใู่ นระดับทีส่ งู มาก ดังนั้น สถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาซึ่งถือว่าเป็น แหล่งสร้างองค์ความรู้ที่สำคัญของประเทศ ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา โดยพัฒนารปู แบบการสอนผ่านระบบ ออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ แนวทางหนึ่ง คือ การสร้างนวัตกรรมการสอนออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่เป็นการนำ จุดเด่นของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผนวกรวมกับข้อดีของการจัดการสอนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งอาจ เรียกนวัตกรรมดังกล่าวนี้ว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์ (Active learning in online learning environment) ทั้งนี้นวัตกรรมดังกล่าว จะช่วยสร้างทางเลือกให้แก่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับการจัดการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสามารถดึงดูด ผู้เรยี นให้เข้ามาเรยี นมากย่ิงข้นึ ได้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active learning) แนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก เป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี สว่ นมากรบั ร้วู า่ คอื แนวการสอนรปู แบบใหม่ที่เปลย่ี นไปจากการสอนแบบดั้งเดิม (Traditional instruction) โดย มีแนวคิดหลักคือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ ผ่านการลงมือปฏิบัตินอกเหนือจากการฟังบรรยายการสอนจากผู้สอน (Passive learning) เพียงอย่างเดียว (Bonwell, C.C. and Eison, J.A., 1991) ผ้สู อนจะเปน็ ผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเปน็ ผู้คอยให้ความชว่ ยเหลือ ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หลักคิดของวิธีการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เชิงรุกนั้นส่วนหนึ่งมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Adult learning theory) ซึ่งเป็น ศาสตร์และศิลป์ในการสอนผู้ใหญ่ โดยมีแนวคิดหลักว่า ผู้สอนจะไม่เป็นผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่จะมีบทบาท เปน็ ผอู้ ำนวยความสะดวกในการเรียน หรือเป็นผูร้ ่วมกิจกรรม (ปยิ ะ ศักด์ิเจรญิ , 2558) การสอนด้วยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกนั้น มีส่วนช่วยพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้เรียนให้เกิด การคิดและได้ลงมือปฏิบัติ ตลอดจนช่วยพัฒนาความคิดและทักษะของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นจาก การศึกษาวิจัยทีผ่ ่านมาพบว่า ผู้เรียนส่วนมากชอบเรียนด้วยวธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นรูเ้ ชิงรุกมากกวา่ วิธีแบบ ดั้งเดิม ซึ่งการสอนด้วยวิธีนี้มสี ่วนช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนในชั้นเรียนให้ดียิง่ ขึ้น ช่วยสร้างแรงจูงใจในการ เรยี นใหผ้ เู้ รยี นรู้สกึ อยากเรียนมากขน้ึ และท่สี ำคัญมสี ่วนชว่ ยใหผ้ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของผู้เรยี นสงู ขน้ึ มากกว่า การจัดการเรียนแบบการฟังบรรยายการสอนจากผู้สอน อย่างมีนัยสำคัญ (เช่น Freeman, S. et al., 2014; Michael, J., 2006; Morable, L., 2000) 1.1 ตัวอยา่ งรูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนร้เู ชิงรกุ หลักสำคัญของการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้เชิงรุกนั้นคือ การเนน้ ผ้เู รียนเปน็ ศนู ย์กลาง การเรียนรู้ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง ผู้สอนคือผู้กำหนดกิจกรรม และคอยช่วยเหลือระหว่างการทำ กิจกรรมการเรียน ปัจจุบันแนวคิดนี้ได้ถูกนำไปออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ดัง ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1) การระดมสมอง (Brainstorming) 2) การจัดการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหา/โครงงาน เป็นฐาน (Problem/Project-Based Learning) 3) การแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) 77

การประชมุ วิชาการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 4) การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เช่น กิจกรรมกลุ่ม (Group discussion) แลกเปล่ียนความคดิ เปน็ คู่ (Think-Pair-Share) เทคนคิ จิ๊กซอว์ (Jigsaw technique) ฯลฯ 5) การเรยี นรผู้ ่านการเล่นเกม (Game-Based Learning) 6) การจดั การเรียนรู้ท่ียดึ การสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-Based Learning) 7) การเรียนรู้แบบเพ่ือนสอนเพื่อน (Peer teaching) 8) การเรยี นรโู้ ดยใชส้ ถานการณจ์ ำลองเสมือนจริง (Simulation-Based Learning) 1.2 ขอ้ ดีและข้อจำกัดของการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เชิงรกุ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกในชั้นเรียนนั้น ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการเรียน การสอนหลายประการ เช่น 1) สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนแสวงหาความรู้ และสรา้ งองค์ความรดู้ ้วยตนเอง 2) สร้างบรรยากาศการเรียนแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน หรือระหว่างผู้เรียนด้วย กันเอง 3) ฝึกทักษะสำคัญต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน นอกเหนือจากเนื้อหาในวิชาที่เรียน เช่น ทักษะสื่อสาร ทักษะการคดิ ทกั ษะการทำงานรว่ มกับผู้อื่น เป็นตน้ 4) เป็นกระบวนการท่ีเนน้ ทักษะการคิดขั้นสูง เชน่ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมนิ 5) ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ที่ แตกตา่ งกนั ของผู้เรียนเช่นกัน 6) สร้างความคงทนในการจดจำเนื้อหาทเ่ี รยี น 7) สร้างแรงจูงใจและความผูกพันในการเรียน ซึ่งทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนใจ ใส่ใจ และอยากเรียน มากข้นึ จากที่ระบุมาขา้ งต้น ถงึ แม้วา่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ดู ว้ ยวธิ ีนี้ จะกอ่ ให้เกดิ ประโยชน์ในหลาย ประการ แตใ่ นอีกดา้ นหนึง่ วิธีน้ีกม็ ขี ้อจำกัดที่ผสู้ อนจำเปน็ ต้องพจิ ารณาดว้ ยเช่นกนั ดังนี้ 1) ก่อนการสอนผู้สอนต้องจัดเตรียมกิจกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้พร้อม นอกเหนือจากเน้ือหาการสอน ซง่ึ อาจตอ้ งใชเ้ วลามากข้ึนในการเตรียมการสอน 2) กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกในบางรูปแบบ ต้องใช้เวลามากเพื่อทำกิจกรรม อาจทำให้ผู้เรียน ตอ้ งใชร้ ะยะเวลาการเรยี นเพิม่ มากข้นึ 3) หากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ต้องใช้เครื่องมือ หรือวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อดำเนิน กิจกรรม อาจทำใหต้ น้ ทนุ สำหรับการจดั การสอนเพ่ิมข้ึน 4) ผ้สู อนตอ้ งควบคุมกำกบั ดูแลการทำกจิ กรรมของผู้เรยี นตลอดเวลา ดงั นั้นทำให้ผู้สอนต้องใช้ ความพยายามในการสอนมากขน้ึ กลา่ วโดยสรุปการจดั กิจกรรมการเรยี นร้เู ชิงรุกในชั้นเรียนนน้ั จะช่วยยกระดบั การเรียนรู้ของผู้เรียนให้มี ประสทิ ธภิ าพมากย่ิงขึน้ ผูเ้ รยี นได้เรียนรู้ผา่ นการลงมือปฎบิ ตั ิ ทัง้ นหี้ น่วยงานการศกึ ษาต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญ และสง่ เสริมผสู้ อนใหน้ ำแนวคดิ นไ้ี ปประยกุ ต์ในการสอนของตน 2. การเรียนการสอนออนไลน์ (Online learning) ดว้ ยความเจริญกา้ วหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ทำให้ยคุ สมัยของการศึกษากำลัง เปล่ยี นไป ทส่ี ำคญั คือมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในด้านการเรียนการสอนมากข้ึน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการสื่อสาร ได้ทำให้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนเปลี่ยนไป ผู้เรียนและผู้สอนไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานทีเ่ ดียวกัน อาศัย เทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นเคร่อื งมือติดต่อส่ือสารระหวา่ งกัน (Distance learning) (Simpson, O., 2018) 78

การประชุมวิชาการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การเรียนการสอนออนไลน์เป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาทางไกล ซึ่งมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย แต่สามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า เป็นรูปแบบของการเรียนการสอนที่ได้ออกแบบไว้อย่างเป็นระบบ มีการจัด กิจกรรมการสอน และถา่ ยทอดการสอนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือ ในปัจจุบันจะ ใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางหลักในการถ่ายทอด ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยไม่มีข้อจำกัด ด้านสถานที่และเวลา ผู้ออกแบบการสอนส่วนใหญ่มักเลือกใช้ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System: LMS) ทำหน้าทเี่ ปน็ เครอ่ื งมอื บรหิ ารจัดการการจัดกจิ กรรมต่าง ๆ ในวชิ า 2.1 ข้อดขี องการเรยี นการสอนแบบออนไลน์ 1) ผ้เู รยี นสามารถเรียนไดโ้ ดยไม่จำกัดสถานที่ และเวลา (ยกเว้นกิจกรรมการสอนท่ีเป็นรูปแบบ ประสานเวลา (Synchronous Learning Methods) เปน็ การเรียนการสอนท่ีมผี ู้ส่งและผู้รับ อยู่ในเวลาเดียวกัน ต้องปฏิสัมพันธ์แบบทันทีทันใด เช่น การประชุมผ่านวีดิทัศน์ (Video Conference) เปน็ ตน้ 2) สามารถขยายฐานผเู้ รยี นได้กว้างมากข้นึ เนื่องจากไมม่ ีข้อจำกดั ดา้ นการเดินทาง 3) สรา้ งความเทา่ เทียมกันในการศกึ ษา 4) สามารถลดต้นทุนในการจัดการเรียนการสอนได้ เช่น ลดต้นทุนด้านอาคารสถานที่ที่ใช้ใน การสอน เปน็ ตน้ 5) ผเู้ รยี นและผสู้ อนสามารถตดิ ต่อสื่อสารกันได้โดยง่าย 6) ผู้สอนสามารถผสมผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ได้ โดยง่าย 2.2 ขอ้ จำกัดของการเรยี นการสอนแบบออนไลน์ 1) ผเู้ รยี นและผู้สอนต้องมที ักษะในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร 2) ผู้เรยี นและผู้สอนต้องมีความพรอ้ มในดา้ นอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ 3) เนื่องจากการเรียนการสอนออนไลน์ส่วนมาก ให้อิสระแก่ผู้เรียนในการเรียน ดังนั้นผู้เรียน จำเป็นต้องมรี ะเบียบวินัยในการเรยี น 4) วิชาที่เปิดสอนออนไลน์ในปัจจุบัน ส่วนมากเป็นรูปแบบกระบวนการเรียนรู้แบบตั้งรับ (Passive learning) 5) ขาดบรรยากาศการเรียนแบบอย่รู ่วมกันในช้นั เรียน 6) อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับการจัดกิจกรรมการ เรียนรแู้ บบออนไลน์ การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลนน์ ้ัน ถอื วา่ เป็นรปู แบบการสอนแห่งอนาคต สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญ และทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ของตนเป็นจำนวนมาก แต่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงคุ้นชินกับการสอนในชั้นเรียนแบบปกติ การพัฒนาผู้สอนให้มีความ ชำนาญในการสอนออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สถาบันการศึกษาต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพ ของการเรียนการสอนออนไลนไ์ มแ่ ตกตา่ งจากการสอนในชน้ั เรียนปกตมิ ากนัก 3. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์ (Active learning in online learning environment) ปญั หาสำคัญประการหน่ึงท่ีพบบ่อยสำหรับการจัดการเรยี นการสอนแบบออนไลน์คือ การสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้เรียนสนใจอยากเรียน และอยู่เรียนจนกระทั่งจบเนื้อหาของการเรียน สาเหตุหนึ่งมาจากการที่หลักสูตร ออนไลน์สว่ นใหญม่ ักออกแบบการสอนในลักษณะเน้นการบรรยายถ่ายทอดองค์ความรู้จากผสู้ อนไปสผู่ ู้เรียนเป็น 79

การประชมุ วชิ าการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 หลกั ทำให้การเรยี นรู้ของผเู้ รียนจึงเน้นการฟังบรรยายจากผสู้ อนผ่านการชมคลิปวิดโี อการสอนท่ผี ู้สอนบันทึกไว้ หรืออ่านจากเอกสารประกอบการสอนเพียงอย่างเดียว แนวทางหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาได้คอื การ นำเทคนิคการจัดการเรียนรู้เชิงรุกท่ีผู้สอนใช้ในชั้นเรียนปกติ ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการสร้างแรงจูงใจในการเรียน และส่งเสริมผู้เรียนในการใช้ทักษะการคิดขั้นสูงผ่านการลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ผู้สอนได้ ออกแบบไว้ ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์นั้น ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับการ ถ่ายทอด (passive) เพยี งอย่างเดียว เปน็ ผูท้ ่ตี อ้ งมีสว่ นร่วมในการเรียนและมปี ฏสิ ัมพันธผ์ ่านเคร่ืองมือต่าง ๆ ของ ระบบบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ท่ผี สู้ อนได้ออกแบบไว้มากข้ึน ในขณะท่ผี ู้สอนเองกจ็ ะต้องเปลย่ี นบทบาทจากผู้ผลิต หรือผู้ถ่ายทอดบทเรียนเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ (Facilitator) หรือผู้ฝึก (Coach) ดังนั้นสภาพแวดล้อมของกระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์จะเปลี่ยนไป จากการใช้ระบบออนไลน์ เป็นเพียงเคร่ืองมือเพื่อส่งต่อเน้ือหาการเรียน (Content-driven presentations) เป็นสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ท่ี เกิดบรรยากาศของการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การถามตอบเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง ผ้เู รยี นและผสู้ อนหรือผู้เรยี นดว้ ยกนั เอง การลงมอื ปฏิบัติในกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น (Phillips, J.M., 2005) การออกแบบการจัดการเรียนร้เู ชงิ รุกสำหรับการศึกษาแบบออนไลน์นน้ั นอกจากผู้สอนจะต้องออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวคิดของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยปกติแล้ว ยังต้องคำนึงถึงแหล่งทรัพยากรและเครื่องมือ ออนไลน์ต่าง ๆ ทจ่ี ะสามารถนำมาใชเ้ พื่อดำเนินกิจกรรมอีกดว้ ย รวมทั้งตอ้ งศึกษาว่าผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายนั้น มี ความพร้อมทางด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ในระดับใด ทั้งนี้สิ่งสำคัญสำหรับผู้สอนคือ ผู้สอนควรต้องมี ทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในระดับหนึ่ง และต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียน ตัวอย่างของ รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ สำหรับการศึกษาแบบออนไลนน์ ้ัน แสดงดงั ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 ตัวอยา่ งรปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนร้เู ชิงรุกสำหรับการศึกษาออนไลนแ์ ละเคร่อื งมือที่สามารถนำมาใช้ ลกั ษณะของกจิ กรรม เคร่อื งมือท่สี ามารถนำมาใช้ การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้รว่ มกัน ▪ หอ้ งสนทนาออนไลน์ (Chat room/ Web board) ▪ การประชุมออนไลน์ (VDO Conference) ▪ กระดานออนไลน์ (Online whiteboard) การสำรวจความคดิ เห็น/การถามคำถาม/ก ▪ แบบสำรวจออนไลน์ (Online survey) ารประเมินผลการเรยี นรู้ ▪ แบบทดสอบออนไลน์ (Online quiz) การนำเสนอผลงาน ▪ การประชมุ ออนไลน์ (VDO Conference) ▪ การสรา้ งและตัดต่อคลปิ วิดโี อ การเรยี นรู้ผา่ นการเขยี นเลา่ เรอ่ื ง ▪ การสร้างเวบ็ บล็อก/เว็บไซต์ การเรยี นรู้ผา่ นการเป็นผู้ประเมิน ▪ การประเมินผลงานโดยผเู้ รยี นด้วยกนั (Peer assessment / Peer feedback) การเรยี นรู้ผา่ นสถานการณจ์ ำลอง ▪ โปรแกรมจำลอง (Simulator software) ▪ โปรแกรมสร้างโลกเสมอื นจริง (Virtual Reality software) จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสำหรับการศึกษาแบบ ออนไลน์นั้น ผู้สอนตอ้ งพฒั นาตนเองให้มที ักษะทางด้านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ และพร้อมท่ีจะต้องเปลี่ยน บทบาทของตนเองจากผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และผูเ้ รียนเองจะตอ้ งรับผดิ ชอบตนเอง พรอ้ มทั้งมีส่วนร่วมในการเรยี นมากยิง่ ขน้ึ ซงึ่ จะมีสว่ นชว่ ยทำใหก้ ารเรียน การสอนออนไลน์ประสบความสำเรจ็ มากยิง่ ขึ้น 80

การประชมุ วิชาการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 บทสรุป ในยุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันที่ส่งผลกระทบในหลายองค์กร หลายองค์กรต้องปรับตัวเพื่อความ อยู่รอดในอนาคต สถาบนั การศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นหน่ึงในองค์กรท่ีไดร้ ับผลกระทบอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ จากจำนวนประชากรในวัยเรียนที่ลดลง และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ทำให้ สถาบันการศึกษาหลายแห่งประสบปัญหาด้านจำนวนผู้เรยี นทีล่ ดลงอย่างมาก การเปดิ สอนในหลักสูตรออนไลน์ เพอื่ ขยายฐานกลมุ่ ผ้เู รียนเป็นหน่ึงในนโยบายท่สี ถาบันการศึกษาหลายแหง่ เลือกพิจารณา แต่เพียงแค่การเปิดหลักสูตรออนไลน์เพื่อสร้างโอกาสเปิดรับผู้เรียนได้มากขึ้นนั้น อาจยังไม่ใช่แนว ทางการแก้ปัญหาที่เพียงพอนัก เมื่อสถาบันการศึกษาทั่วโลกต่างก็มีแนวทางเดียวกัน ทำให้จำนวนหลักสูตร ออนไลน์ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนเองก็มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการสร้างความ แตกต่างเพ่ือเพ่ิมโอกาสและความสนใจให้ผูเ้ รียนเลือกเรยี นจึงเป็นส่ิงท่ีสำคัญ นวตั กรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สำหรับการศึกษาแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นการนำข้อดีของทั้งการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและการจัดการเรียนการสอน แบบออนไลน์ เป็นแนวคดิ หนง่ึ ท่สี ามารถช่วยสร้างความแตกต่างให้แก่ผ้ทู ่จี ะเลือกเรยี นได้ รายการอา้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธิการ, ส. 2550. กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551-2565). จาก http://www.qa.ku.ac.th/photo_forweb/new%20web/education/docedu/d9.pdf. สบื ค้นเมอื่ พฤษภาคม 2563. ปยิ ะ ศกั ดเิ์ จรญิ . 2558. ทฤษฎกี ารเรียนรผู้ ู้ใหญ่และแนวคดิ การเรยี นร้ดู ว้ ยการช้นี ำตนเอง: กระบวนการเรียนร้เู พื่อการสง่ เสรมิ การ เรียนรู้ตลอดชีวติ . วารสารพยาบาลทหารบก. 16(1): 8-13. Bonk, C.J. and Zhang, K. 2008. Empowering Online Learning: 100+ Activities for Reading, Reflecting, Displaying, and Doing: Wiley. Bonwell, C.C. and Eison, J.A. 1991. Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. 1991 ASHE-ERIC Higher Education Reports: ERIC. Freeman, S., Eddy, S.L., McDonough, M., Smith, M.K., Okoroafor, N., Jordt, H. and Wenderoth, M.P. 2014. Active learning increases student performance in science, engineering, and mathematics. Proceedings of the National Academy of Sciences. 111(23): 8410-8415. doi:10.1073/pnas.1319030111 Gupta, S. and Sabitha, A.S. 2019. Deciphering the attributes of student retention in massive open online courses using data mining techniques. Education and Information Technologies. 24(3): 1973-1994. Michael, J. 2006. Where's the evidence that active learning works? Advances in Physiology Education. 30(4): 159-167. doi:10.1152/advan.00053.2006 Morable, L. 2000. Using Active Learning Techniques. Techniques to Enhance Adult Learning (TEAL) Compendium: Texas Higher Education Coordinating Board. Technical Education Division, Richland College, Dallas, Texas. Palvia, S., Aeron, P., Gupta, P., Mahapatra, D., Parida, R., Rosner, R. and Sindhi, S. 2018. Online Education: Worldwide Status, Challenges, Trends, and Implications. Journal of Global Information Technology Management. 21(4): 233-241. doi:10.1080/1097198X.2018.1542262 Phillips, J.M. 2005. Strategies for active learning in online continuing education. The Journal of Continuing Education in Nursing. 36(2): 77-83. Simpson, O. 2018. Supporting Students in Online, Open and Distance Learning: Taylor & Francis. 81


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook