การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา The research found that the participatory supervision model for local curriculum and instructional management in eco-friendly careers comprised five steps: 1) ignite thinking (Enthusiastic) ; 2) increase knowledge (Capability) ; 3) work collaboratively (Obviously learning); 4) develop skills for eco-friendly products ( Friendly) and; 5) move towards eco-friendly careers ( Career). Stakeholder satisfaction on the developed model and instructional management was at the highest level. The overall students’ behavior on resources and energy consumption in the production process of eco-friendly products was at the high level. Keyword: participatory supervision model, local curriculum, eco-friendly careers การพัฒนาแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษาในพน้ื ทอี่ าเภอโนนดนิ แดง จงั หวดั บุรีรมั ย์ The development of Internal Supervision Guidelines in Schools in Non Din Daeng, Buriram นายชูศกั ด์ิ ช่นื เยน็ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษา ตามสภาพจริงและตามที่ คาดหวัง 2) เสนอแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษา โดย ข้ันตอนท่ี 1 ศึกษาสภาพความต้องการจาเป็นในการ นิเทศ ในสถานศึกษา 19 โรง โดยใช้แบบสอบถาม ขั้นตอนท่ี 2 การพัฒนาแนวทางการนิเทศ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ในสถานศึกษา 3 โรง ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของแนวทางการนิเทศ จากผู้เช่ียวชาญจานวน 7 ท่าน ในประเด็น ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้อง ข้ันตอนท่ี 4 การนาแนวทาง การนิเทศที่พัฒนาข้ึนไปทดลองใช้ในสถานศึกษา 3 โรง ผลการวิจัยพบว่า 1.) สภาพความต้องการจาเป็นเรียงลาดับ จากมากไปหาน้อย คือ การใหค้ วามรใู้ นสิ่งทจ่ี ะทาการประเมินผลผลติ ของการดาเนินงาน การปฏบิ ัตงิ าน การวางแผน การนิเทศ การสร้างขวัญและกาลงั ใจ 2.) แนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษา มีขั้นตอน (1) การวางแผนการนิเทศ มีการทาการ SWOT เพ่ือการวางแผนการนิเทศภายในสถานศึกษา (2) การให้ความรู้ในสิ่งที่จะทา มีการสร้างความ เข้าใจท่ีตรงกัน มีการหาความรู้เพ่ิมเติมโดยการพูดคุยกันกับครูท่ีมีความรู้ความถนัดเฉพาะด้าน (3) การปฏิบัติงาน มีการนิเทศภายในช้ันเรียน การนิเทศจะเป็นการสังเกตการสอนเปน็ หลัก (4) การสร้างขวญั และกาลงั ใจ การยอมรับ ซงึ่ กนั และกนั การนิเทศเปน็ แบบกัลยาณมติ ร (5) การประเมนิ ผลผลิตของการดาเนินงาน คำสำคญั : แนวทางการนิเทศ นิเทศภายในสถานศึกษา Abstract The purposes of this research were: 1) to study actual and expected internal supervision practices in schools; 2) to propose internal supervision guidelines developed by: 1. the study of 51
การประชมุ วิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้งั ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา needs relevant to internal supervision of 19 schools through questionnaire; 2. the development of internal supervision guidelines through interviews in three schools; 3. quality assessment on the developed guidelines by seven experts in terms of usefulness, feasibility, appropriateness, and correctness and; 4. the guidelines tryout in three schools. The research found that: 1) There were needs, in prioritized order, for knowledge and understanding on the tasks, output evaluation, operation, supervision planning, and morale boosting and encouragement; 2) The internal supervision guidelines included: (1) supervision planning through SWOT; (2) knowledge on the tasks for mutual understanding with additional information from specialized teacher; (3) actual classroom supervision mainly through observation; (4) morale booting and encouragement with mutual respect through supportive supervision and; (5) output evaluation. Keywords: supervision guidelines, internal supervision การพัฒนาครูเพอ่ื เสริมสรา้ งสมรรถนะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 Teacher Development to Enhance 21st Century Competencies เจริญ ภูวิจติ ร์ บทคัดยอ่ การพฒั นาครใู ห้มสี มรรถนะแหง่ ยุคศตวรรษท่ี 21 มีความสาคญั เปน็ อยา่ งย่ิงเพ่ือนาส่กู ารขับเคล่อื นคุณภาพ การศกึ ษา การศึกษาครัง้ น้ีใชว้ ิธีการศึกษาจากวรรณกรรมทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การพฒั นาครทู ้ังในและต่างประเทศ โดยการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเน้ือหา (Content Analysis) และนาข้อมูลมาสังเคราะห์เพ่ือค้นหาสมรรถนะหลักของครูแห่ง ศตวรรษที่ 21 และรูปแบบ/แนวทางในการพัฒนาครูที่เหมาะสมในบริบทของประเทศไทย จากการศึกษาพบว่า กระทรวงศึกษาธิการเป็นองค์กรนาในการกาหนดระบบและกลไกการขับเคล่ือนการพัฒนาครูท่ีมคี วามเชื่อมโยงเป็น เครือข่ายบูรณาการพัฒนา บนฐานของความต้องการในการพัฒนาของครูและบุคลากรทางการศึกษา และเพ่ือให้มี แนวทางรปู แบบความก้าวหนา้ ในวิชาชพี ครู ให้ครูเกดิ ความเชื่อม่ันกับโอกาสความกา้ วหน้าของตนเองในวิชาชพี และ พบว่า ครูแห่งยุคศตวรรษที่ 21 ควรมีสมรรถนะสาคัญหลัก 12 สมรรถนะ คือ 1) มุ่งผลสัมฤทธิ์ 2) รู้งานในวิชาชีพ 3) ใช้งานวิจัยเป็นฐานในการปฏิบัติงาน 4) จัดการเรียนการสอนอย่างสร้างสรรค์ 5) วัดและประเมินผลการเรียนรู้ อย่างมีคุณภาพ 6) เสริมสร้างคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของผู้เรียน 7) ตระหนักม่ันในคุณธรรม จริยธรรม และ จรรยาบรรณวิชาชีพ 8) ใชภ้ าษาต่างประเทศอย่างมีประสิทธภิ าพ 9) ใช้เทคโนโลยีดิจิทลั อยา่ งรู้เท่าทัน 10) ออกแบบ สถานศึกษาบนฐานของโครงการและการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม 11) สร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับชุมชน อย่างสมานฉนั ท์ 12) พฒั นาตนเองอย่างต่อเนือ่ ง คำสำคญั : การพัฒนาครู สมรรถนะครู ศตวรรษท่ี 21 52
การประชุมวชิ าการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ที่ 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา Abstract Teacher development to enhance 21st century competencies is the key towards quality education. This study used content analysis and data analysis for the review of related literatures locally and internationally to identify core competencies of 21st century teachers as well as pattern/model for teacher development in accordance with Thai context. The research found that the Ministry of Education played the major role in setting up system and mechanism to push forward teacher development with integrated development network based on the need of teachers and educators. This would promote teacher career path ensuring teachers on the possible advancement in their profession. The study also found that there were 12 core competencies for 21st century teachers: 1) achievement oriented; 2) professional skills; 3) research based actions; 4) creative teaching management; 5) quality assessment and evaluation; 6) promotion of desirable quality learners; 7) virtue, morality and ethics for teachers; 8) foreign language efficiency; 9) digital literacy; 10) school designed by participatory development; 11) harmonious community collaboration and; 12) constant self-development Keywords: Teachers development, teacher competency, 21st century การพฒั นาสมรรถนะครูกลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ระดบั ประถมศึกษา ในศตวรรษท่ี 21 สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน The Development of 21st Century Competencies for Elementary Mathematics Teachers under the Office of the Basic Education Commission ณัฐชนันท์ จนั ทคปุ ต์ บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะท่ีจาเป็นของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ ประถมศึกษาในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อสร้างหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะครูกลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ ประถมศึกษาในศตวรรษที่ 21 และ 3) เพ่ือประเมินหลักสตู รการพฒั นาสมรรถนะครกู ลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ผลการวิจยั พบว่า 1) สมรรถนะทจ่ี าเป็นของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 4 ด้าน ดังนี้ 1. สมรรถนะที่จาเป็นต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชา คณิตศาสตร์ 2. สมรรถนะทีจ่ าเป็นในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย 3. สมรรถนะท่เี กยี่ วข้องกบั จรรยาบรรณวิชาชีพ 4. สมรรถนะด้านอื่น ๆ ท่ีจาเป็น 2) หลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับ ประถมศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วย ความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ สื่อ และนวัตกรรมที่ใช้ในการ จดั การเรยี นรู้ของครูสู่การสอนในศตวรรษท่ี 21 หลักสูตรและการสอนวิชาคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาในศตวรรษ ที่ 21 การออกแบบการจัดการเรียนรวู้ ิชาคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาในศตวรรษท่ี 21 การจัดสภาพแวดลอ้ มเพื่อ 53
การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การเรียนรู้คณิตศาสตร์ในศตวรรษท่ี 21 การใช้ชุมชนวิชาชีพเพ่ือการจัดการเรียนรู้ ทักษะการสอนคณิตศาสตร์ ในศตวรรษที่ 21 การจดั กจิ กรรมทางคณติ ศาสตร์เพอ่ื ให้นักเรียนไดเ้ รยี นรู้ร่วมกนั การวัดและประเมินผลคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษาในศตวรรษท่ี 21 การพัฒนาตนเองให้เป็นความเป็นมืออาชีพ การทางานเป็นทีม ความรู้และ หลักการจัดการศึกษา จิตวิญญาณความเป็นครู วิชาชีพครูในศตวรรษท่ี 21 การบริหารจัดการชั้นเรียน และการวิจัย เพอ่ื พฒั นาผ้เู รยี น ผลการประเมินผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม พบว่า ผเู้ ข้ารับการอบรมทุกคน มีคะแนนความรู้ในเน้ือหาหลังการฝึกอบรมมีระดับสูงกว่าคะแนนความรู้ในเน้ือหาก่อนการฝึกอบรม และมีความพึงพอใจ ต่อหลักสูตรการฝึกอบรมการพัฒนาสมรรถนะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมากท่ีสุด คำสำคญั : สมรรถนะครูในศตวรรษท่ี 21 สมรรถนะครูคณติ ศาสตร์ Abstract The purposes of this research were: 1) to study the essential competencies of elementary mathematics teachers in the 21st century; 2) to create a curriculum for competency development of elementary mathematics teachers in the 21st century and; 3) to assess the curriculum. The research was divided into three stages. The research findings were as follows. 1) The essential competencies of elementary mathematics teachers in the 21st century consisted of four aspects: 1. Competencies necessary for mathematics instructional management 2. Necessary competencies for performance achievement 3. Competencies relevant to professional ethnics and; 4. Other necessary competencies. 2) The curriculum consisted of Foundamental mathematics knowledge, Media and innovation for teacher’s instructional management toward 21st century, Curriculum and instruction for elementary mathematics in the 21st century, Instructional design for elementary mathematics in the 21st century, Learning environment management for mathematics learning in the 21st century, Professional learning community for instructional management, Mathematics teaching skills in the 21st century, Mathematics activities for student’s cooperative learning, Assessment for elementary mathematics subject in the 21st century, Professional self-development, Teamwork, Knowledge on educational principles and management, Spirit of the teachers, Teaching profession in the 21st century, Classroom management and research for student development. Learning achievement assessment after the training showed higher score than that before the training with statistically significance at .05. Their satisfaction on the training was at the highest level. Keywords: teachers’ competencies in the 21st century, competencies of mathematics teachers 54
การประชมุ วชิ าการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครั้งที่ 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาระบบบริหารจดั การเรยี นรู้เพอื่ สนบั สนนุ การศึกษาทางเลือก สาหรบั การศึกษาข้ันพนื้ ฐานระดบั มธั ยมศึกษา The Development of a Learning Management System to Support Alternative Secondary Education สุริยะ วชิรวงศไ์ พศาล ดรุณี ปญั จรัตนากร พงษ์ศกั ด์ิ ผกามาศ บทคัดยอ่ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัยครงั้ นี้เพือ่ 1) สรา้ ง ทดสอบ ทดลองใช้ และประเมินระบบบรหิ ารจัดการเรียนรู้เพ่ือ สนับสนุนการศึกษาทางเลือกสาหรับการศึกษาข้ันพื้นฐานระดับมัธยมศึกษา และ 2) นาเสนอระบบบริหารจัดการ เรียนรู้เพื่อสนับสนุนการศึกษาทางเลือกสาหรับการศึกษาข้ันพื้นฐานระดับมัธยมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและ พัฒนา กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา ปีการศึกษา 2562 จานวน 62 คน วิธีดาเนินการวิจัยมี 4 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) ขั้นการออกแบบและพัฒนาตน้ แบบ 2) การตรวจสอบคุณภาพและความเหมาะสมโดยผ้เู ช่ยี วชาญ จานวน 5 คน 3) ขัน้ การทดลองใช้เป็นเวลา 1 เดือน และทดสอบความพึงพอใจในการใช้งาน และ 4) ขน้ั การปรบั ปรุง สมรรถนะโดยการสมั ภาษณค์ วามคิดเห็นของผู้เรียนเพื่อประเมินคณุ ภาพของระบบ ผลการวิจัยพบวา่ 1) กลุ่มเปา้ หมายมคี วามพึงพอใจในระบบบรหิ ารจดั การเรยี นรู้ทพ่ี ฒั นาขึ้น โดยเห็นวา่ เป็น ทางเลือกที่เหมาะสมสาหรบั การเรียนรู้ในระดบั มธั ยมศกึ ษาควบคู่ไปกับเทคโนโลยีออนไลน์ ผเู้ รียนเกิดการเรียนร้อู ย่าง แท้จริง และมีการใช้งานท่ีไม่ยุ่งยาก 2) ระบบบริหารจดั การเรียนรู้มีโครงสร้างทีป่ ระกอบด้วย ระบบจัดการหลกั สตู ร ระบบสร้างบทเรียน ระบบทดสอบและประเมินผล ระบบส่งเสริมการเรียน ระบบจัดการข้อมูล เว็บไซต์ กระดาน สนทนา คลังความรู้ ดาวน์โหลดเอกสาร และภาพกิจกรรมต่าง ๆ บนระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถเป็นทางเลือกให้กับ เยาวชนและผู้มสี ่วนเกย่ี วขอ้ งได้ศึกษาตอ่ ในระดับมัธยมศึกษา ระบบที่ได้จะช่วยให้ผู้เรยี นมีทักษะในการเรยี นรู้ด้านที่ สนใจตามความต้องการไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ คำสำคัญ: ระบบบริหารจดั การเรยี นรู้ การศกึ ษาทางเลือก การศึกษาข้ันพื้นฐาน Abstract The objectives of this research were: 1 ) to develop, test, trial, and assess a Learning Management System (LMS) to support an alternative secondary education and; 2 ) to propose a Learning Management System to support an alternative secondary education. This is a research and development project. The target group comprised 62 high school students of 2019 academic year. The research was divided into four stages: 1) design and development; 2) appropriateness and quality assessment by five experts; 3) one-month trial and survey on user satisfaction; 4) efficiency and quality improvement with student feedback. The research found that: 1 ) The target group was satisfied with the developed Learning Management System, which was seen as a suitable learning alternative for secondary education when combined with online technology. It promoted actual learning and was user friendly. 55
การประชมุ วิชาการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 1) วันที่ 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 2) Structure of the Learning Management System was composed of course management, content management, test and evaluation system, learning support system, information management, website, web board, learning resources, document for download, and online gallery. The system offered a choice for students and those who wish to pursue secondary education. It could help leaners effectively develop skills of their own interests. Keywords: Learning Management System, alternative education, basic education. การสอนภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนยอ่ หน้าภาษาอังกฤษ (Paragraph Writing) ด้วย Google Applications for Education Teaching English with Paragraph Writing Exercises from Google Applications for Education นิฤมล วรสุทธิ์ บทคัดย่อ การวิจัยครงั้ นีม้ ีจุดประสงค์เพือ่ พฒั นาและหาประสิทธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะการเขยี นย่อหนา้ ภาษาองั กฤษ (Paragraph Writing) ด้วย Google Applications for Education สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ให้มี ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพือ่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝกึ ทักษะฯ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะฯ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/1 จานวน 37 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลีย่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษ (Paragraph Writing) สาหรับนักเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 จานวน 10 เร่ือง นาเสนอผ่านสอ่ื ออนไลน์เว็บไซต์ https://sites.google.com/chs.ac.th/ nirumol/home มปี ระสิทธิภาพ 83.53/83.38 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นดว้ ยแบบฝกึ ฯ สูงกว่า ก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05 และ 3) นักเรียนมคี วามพึงพอใจตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นยอ่ หน้าภาษาองั กฤษ (Paragraph Writing) ด้วย Google Applications for Education อยูใ่ นระดับมากท่ีสุด ( X =4.36,S.D. =0.23) คำสำคัญ: การสอนภาษาอังกฤษ แบบฝึกทักษะการเขียนย่อหน้าภาษาอังกฤษ การใช้เทคโนโลยี Google Applications เพือ่ การศึกษา Abstract The purposes of this research were to develop and assess the effectiveness of English paragraph writing exercises from Google Applications for Education for fourth graders (Mathayomsuksa 4), to meet the efficiency criteria of 80/80, to compare student learning 56
การประชมุ วชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครง้ั ที่ 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา achievement from pretest and posttest, and to study student satisfaction on the exercises. The samples were 37 fourth graders from class 1 (Mathayomsuksa 4/1) selected by purposive sampling. The data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, and t-test. The research found that: 1) The ten English paragraph writing exercises from Google Applications for Education for fourth graders (Mathayomsuksa 4), which were posted at https://sites.google.com/chs.ac.th/nirumol/home, had efficiency of 83.53/83.38; 2) Student learning achievement from the posttest was at .05, statistically significantly higher than the pretest and; 3) Student satisfaction on the exercises was at the highest level ( X = 4.36,S.D. =0.23). Keywords: English teaching, paragraph writing exercises, the use of Google Applications for Education การใชโ้ ปรแกรมเอดโมโดเพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าชวี วิทยา และเจตคตขิ องนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 The Use of Edmodo to Improve Twelfth Graders’ Attitudes and Learning Achievement in Biology สลบั ศรี เจริญเวช บทคดั ย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพท่ีใช้โปรแกรม Edmodo 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในการเรียนด้วยโปรแกรม Edmodo 3) ศึกษาเจตคติของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนด้วยโปรแกรม Edmodo กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จากโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จานวน 98 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เป็นการวิจัยแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest and Posttest Design) ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แผนการจดั กิจกรรม แบบฝึก แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินตนเอง ทาการหา ประสิทธิภาพของเคร่ืองมอื ทใี่ ช้ ทดสอบก่อนเรยี น นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนผา่ นระบบเครือข่าย Edmodo และทาแบบทดสอบประเมินผลสัมฤทธิ์หลังเรียน ทาแบบสอบถาม ทาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ีย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบค่าที (t-test) ผลการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของ แบบฝึกออนไลน์ทใ่ี ช้ประกอบการเรียนผา่ นระบบเครือขา่ ย Edmodo มปี ระสิทธภิ าพ E1/E2 เท่ากบั 80.56/81.23 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนสูงข้ึนอย่างมีนยั สาคญั ท่ีระดับ 0.05 คา่ เฉลี่ยของคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรียน คิดเป็นร้อยละ 38.24 และ 71.57 ตามลาดับ นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียนผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์ Edmodo มคี า่ เฉลี่ย 4.17 อย่ใู นระดบั มาก คำสำคญั : Edmodo ระบบการจดั การเรียนการสอนLMS ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น การเรยี นออนไลน์ เจตคติ 57
การประชุมวิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ท่ี 1) วนั ที่ 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา Abstract The research aimed; 1) to develop an online lesson on biodiversity through Edmodo; 2) to compare learning achievement prior and after the lesson and; 3) to study students’ attitude toward the lesson. The sample group comprised 98 twelfth graders (Mattayomsuksa 6) at Suratpittaya School selected by simple random sampling. The research adopted one-group pretest and posttest design. The research tools were activity plan, exercises, learning achievement test, and self- assessment test. Students did the pretest, learned through Edmodo, and did the posttest and questionnaire. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and t-test. The research found that the online exercise through Edmodo had effectiveness at E1/E2 or 80.56/81.23. Students’ learning achievement was statistically significantly higher at 0.05. Mean scores of the pretest and posttest were at 38.24% and 71.57% respectively. Students’ attitude toward online learning through Edmodo was at a high level with mean score at 4.17. Keywords: Edmodo, learning management system, learning achievement, online learning, attitude การพฒั นาแพลตฟอร์มเพอื่ สนับสนนุ การจัดการความร้เู ก่ียวกบั ระเบียบวิธกี ารวจิ ัยทางการศกึ ษาในระดบั บัณฑิตศึกษา The Development of Knowledge Management Platform in Educational Research Methodology for Graduate Study ดรณุ ี ปัญจรัตนากร พงษ์ศักด์ิ ผกามาศ บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ของการวิจัยคร้ังนี้ 1) เพ่ือสร้าง ทดสอบ ทดลองใช้ และประเมินต้นแบบแพลตฟอร์มเพ่ือ สนับสนุนการจัดการความรู้เก่ียวกับระเบียบวิธีการวิจัยทางการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา และ 2) เพื่อนาเสนอ แพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้เกยี่ วกบั ระเบยี บวิธกี ารวจิ ัยทางการศึกษาในระดบั บัณฑติ ศกึ ษา การวจิ ัย นี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต 3 มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2562 จานวน 40 คน วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั มี 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ข้ันการออกแบบและพฒั นาตน้ แบบ 2) การตรวจสอบ คุณภาพและความเหมาะสมโดยผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 5 คน 3) ขั้นการทดลองใช้เป็นเวลา 3 เดือน และทดสอบความ พึงพอใจในการใช้งาน และ 4) ข้ันการปรับปรุงสมรรถนะโดยการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของนักศึกษาเพื่อประเมิน คณุ ภาพของแพลตฟอรม์ ผลการวิจัยพบว่า 1) การทดลองใช้ต้นแบบแพลตฟอร์มเพ่ือสนับสนุนการจัดการความรู้เกี่ยวกับระเบียบ วิธีการวิจัยทางการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา กลุ่มเป้าหมายมีความพงึ พอใจในต้นแบบที่พัฒนาขึ้น โดยเห็นว่าเป็น ช่องทางท่ีเหมาะสมสาหรับการเรียนรู้ในระดับบัณฑิตศึกษา ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีและมีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก 2) แพลตฟอร์มนี้มีโครงสร้างท่ีประกอบด้วยเว็บไซต์ ฐานข้อมูลอาจารย์และนักศึกษา บันทึกความรู้ แบบประเมิน 58
การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ความรู้ กระดานสนทนา คลังความรู้ ดาวน์โหลดเอกสาร และภาพกิจกรรมต่าง ๆ โดยกระบวนการสนับสนุนการ จัดการความรู้ ได้แก่ (1) การกาหนดส่ิงท่ีต้องเรียนรู้ (2) การแสวงหาความรู้ (3) การสร้างความรู้และแลกเปลี่ยน เรยี นรู้ (4) การจดั เก็บและสบื คน้ ความรู้ และ (5) การถา่ ยโอนและใชป้ ระโยชนจ์ ากความรู้ นอกจากน้ี ตน้ แบบที่ได้จะ ชว่ ยใหผ้ ูศ้ กึ ษามีทกั ษะในการเรียนรูด้ ้านระเบยี บวิธกี ารวิจยั ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ คำสำคญั : การจดั การความรู้ แพลตฟอร์มเพอ่ื สนับสนนุ ระเบียบวิธกี ารวจิ ัย Abstract The objectives of this research were: 1) to develop, test, trial, and evaluate the knowledge management platform in educational research methodology for graduate study and; 2) to introduce the knowledge management platform in educational research methodology for graduate study. It is a research and development project. The research targets were 40 graduate students in Master of Education Programs from three universities in 2019 academic year. The research comprised four methods: 1) design and development; 2) assessment of quality and appropriateness by five experts; 3) three-month trial and user feedback; 4) efficiency improvement with inputs from student survey. The research found that: 1) in the trial, the research targets were satisfied with the platform considering that it was useful for graduate study and was user-friendly and; 2) structure of the platform comprised a website, lecturer and student database, notes, learning evaluation form, web board, learning resources, documents for download, and picture gallery. Supporting process for knowledge management were: (1) identifying leaning subjects; (2) knowledge acquisition; (3) knowledge building and sharing; (4) knowledge storage and retrieval, and; (5) knowledge transfer and application. The platform also help graduate students develop effective knowledge management skill on research methodology. Keywords: knowledge management, platform, research methodology แนวทางการพฒั นาทักษะชีวิตของนักเรียนตามองค์ประกอบทักษะชวี ติ ของสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน Guidelines for the Development of Students’ Life Skills as Identified by the Office of the Basic Education Commission ยตุ ตชิ น บุญเพศ บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาระดับทักษะชีวิตของนักเรียน ตามองค์ประกอบทักษะชีวิตของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน และศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนบ้านหนองน้าขุ่น ประจาปีการศึกษา 2562 เคร่ืองมือที่ใช้เป็น 59
การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ที่ 1) วันที่ 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) และแบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง (Structured Interview) สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Standard Deviation (S.D.) และการวิเคราะห์ เน้ือหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า ระดับทักษะชีวิตของนักเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก จาแนกรายด้าน พบว่า ดา้ นการตระหนักรู้และเหน็ คุณค่าในตนเองและผอู้ ืน่ ด้านการจดั การกับอารมณ์และความเครียด ดา้ นการสร้าง สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น อยู่ในระดับมาก ด้านการคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ อยู่ในระดับ ปานกลาง สว่ นแนวทางการพัฒนาทกั ษะชวี ติ ของนกั เรียน ประกอบด้วย 5 แนวทาง และ 3 เงือ่ นไขส่คู วามสาเรจ็ คำสำคญั : ทกั ษะชีวิต แนวทางการพฒั นาทกั ษะชวี ติ Abstract The research aimed to study students’ life skills as identified by the Office of the Basic Education Commission and to study guidelines for the development of students’ life skills. The target group comprised fourth to sixth graders (Pratomsuksa 4-6) in academic year 2019 at Bannongnamkhun School. The research tools were rating scale questionnaire and structured interview. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and content analysis. The research found that students’ life skills were at high level. Among all skills, students had high level of self-awareness and empathy, coping with stress and emotion, and interpersonal relationship. Their critical thinking, decision making, and creative problem solving were at moderate level. The research identified five development guidelines and three success factors. Keywords: life skills, guidelines for the development of life skills รปู แบบการจดั การเรียนรเู้ พือ่ เพมิ่ ทกั ษะการส่อื สารภาษาองั กฤษในชวี ติ ประจาวนั โดยใช้การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วมสาหรบั สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจงั หวัดสงขลา The Learning Model for Daily English Communication Skill through Participatory Action Research for Songkhla Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education ปทิตตา กนกกช ปรดี า เบ็ญคาร บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพ่ือเพ่ิมทักษะการส่ือสารภาษาอังกฤษใน ชีวิตประจาวัน โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมสาหรับสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั สงขลา 2) เปรยี บเทียบความสามารถในการสือ่ สารภาษาองั กฤษกอ่ นและหลังใชร้ ปู แบบ การจัดการเรียนรู้เพ่ือเพิ่มทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวัน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ทม่ี ีต่อการจดั การเรยี นร้โู ดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรียนรู้เพ่ือเพิ่มทักษะการสอ่ื สารภาษาอังกฤษ 60
การประชุมวชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้ังท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ในชีวิตประจาวัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นจากศูนย์ กศน. อาเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา จานวน 40 คน ไดม้ าโดยการส่มุ กล่มุ ตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ขอ้ มูลใช้ ค่าเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ ที t-test (Dependent Samples) เครื่องมอื ทใ่ี ช้ 1) รปู แบบการจดั การเรยี นรู้และแผนการจัดการ เรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะการพูดภาษาองั กฤษ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวจิ ัยพบว่า 1. รูปแบบการจัดการเรยี นรู้เพื่อเพมิ่ ทักษะการส่อื สารภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวัน มีค่าประสิทธภิ าพ เทา่ กับ 77.25/80.00 ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด 75/75 2. นักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น มีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษหลังการจัดการ เรียนรู้ สงู กว่าก่อนการจัดการเรยี นรู้ อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 3. นกั ศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีความพงึ พอใจตอ่ รูปแบบการจดั การเรียนรู้ อยู่ในระดบั มาก คำสำคญั : รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ ทกั ษะการส่อื สารภาษาอังกฤษ การวิจยั เชิงปฏบิ ตั ิการแบบมสี ว่ นร่วม Abstract This study aimed to: 1) develop the learning model to improve daily English communication skill through participatory action research for Songkhla Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education; 2) compare learning achievement in English communication skill between pretest and posttest; 3) study junior high school student’s satisfaction on the learning model. The samples were 40 junior high school students from Satingphra Office of the Non-Formal and Informal Education selected by purposive sampling. The data were analyzed using mean, standard deviation, and t-test. The research tools were: 1) the learning model and lesson plan; 2) English speaking skill assessment form and; 3) questionnaire on student’s satisfaction The research found that: 1. The learning model to improve daily English communication skill had the efficiency value of 77.25 / 80.00, higher than the hypothesis of 75/75 2. Learning achievement from the posttest was higher than that of the pretest at .05 level, which was statistically significant. 3. Student satisfaction on the learning model was at high level. Keyword: learning model, English communication skill, participatory action research 61
การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาทักษะการนาเสนอและการทางานเปน็ ทีม โดยใช้แผนการจัดการ เรยี นรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และกระบวนการ 5Steps (QSCCS) แกน่ ักเรียนโรงเรียนเฉลมิ ขวญั สตรี สังกัดสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต39 The Use of Lesson Plan Integrating Sufficiency Economy Philosophy and 5Steps (QSCCS) to Develop Presentation and Teamwork Skills of Charlermkwansatree School Students under the Office of Secondary Educational Service Area 39 ผกามาศ บุญเผอื ก บทคัดยอ่ การวิจัยในชั้นเรียนครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและกระบวนการ 5Steps (QSCCS) เปรียบเทียบผลของทักษะการนาเสนอและ การทางานเป็นทีมหลังเรียนด้วยแผนบูรณาการฯ มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กาหนด และศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับ การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน ม.5 จานวน 40 คนซึ่งผู้วิจัย ทาการสอน เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและกระบวนการ 5Steps (QSCCS) แบบประเมินทักษะการนาเสนอ/ทักษะการทางานเป็นทีมและแบบสอบถามความคิดเหน็ เกี่ยวกับ การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ช้ หาคุณภาพเคร่ืองมอื โดยใชแ้ บบประเมนิ โดยผเู้ ช่ียวชาญ ผลการวิจัย พบว่า1) ภาพรวมของนวัตกรรมแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการฯ ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มีคุณภาพ โดยรวมอยู่ในระดับ “ดีมาก” ( =4.57,S.D.=0.62) 2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการฯ สง่ ผลใหห้ ลงั เรียนนกั เรยี น มีทักษะการนาเสนอมีคุณภาพร้อยละ 89.28 มที กั ษะการทางานเป็นทมี ร้อยละ 85.19 สงู กว่าค่าเป้าหมายที่ต้ังไว้ 3) นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่า“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หากได้นาไปใช้ใน ชีวิตประจาวัน และยึดหลักทางสายกลาง ทาให้มีทักษะชีวิตที่ดี การบูรณาการกับการสอนของครูทาให้นักเรียนมี ความคลอ่ งแคล่วในการนาไปใช้ยงิ่ ข้นึ จนเกิดเปน็ อุปนสิ ัยได้ Keywords: แผนการเรียนรู้บูรณาการ,หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การนาเสนอ การทางานเป็นทีม 5Steps,QSCCS Abstract The objectives of this study were to assess quality of the lesson plan integrating sufficiency economy philosophy and 5Steps (QSCCS) to develop presentation and teamwork skills, to compare student’s presentation and teamwork skills before and after the use of the lesson plan, and to study feedbacks from the use of the lesson plan. The samples were 40 eleventh graders (Mattayomsuksa 5) in the researcher’s class. The research tools were the lesson plan integrating sufficiency economy philosophy and 5Steps (QSCCS), skill assessment tests, and feedback questionnaires. Experts were engaged for the quality assessment of the tools. The research found that: 1. The overall quality of the integrated lesson plan developed by the researcher was at a very good level ( =4.57,S.D.=0.62). 62
การประชุมวชิ าการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 2. After the use of the lesson plan, 89.28% of students had quality presentation skills and 85.19% had teamwork skills. The numbers were higher than projected. 3. Most of the students agreed that ‘the sufficiency economy philosophy’ together with the middle way concept would lead to good life skills. Integrating them to teaching could help students developed righteous habits. Keywords: integrated lesson plan, sufficiency economy philosophy, presentation, teamwork, 5Steps,QSCCS การสังเคราะห์งานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ งกับการพฒั นารูปแบบการจดั การเรียนร้คู ณิตศาสตร์ The Synthesis of Researches on Mathematics Learning Management Model Development เมธาสิทธิ์ ธัญรตั นศรีสกลุ วรกมล วงศธรบญุ รัศม์ิ พรรณนภิ า สนทิ ดี บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ในด้านวัตถุประสงค์การวิจัย แนวคิดและทฤษฎีที่นามาใช้ วิธีการวิจัย และผลการวิจัย ใช้วิธีวิจัยเชิง คุณภาพ ประชากร ได้แก่ บทความวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ จานวน 21 เรื่อง ท่ตี พี ิมพ์ในวารสารวชิ าการระดับชาติและอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI (Thai-Journal Citation Index Centre) ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2558-2562 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลการสงั เคราะห์ผลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การ วิเคราะห์เน้ือหา ค่าความถ่ี และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่าโดยส่วนมาก (1) เป็นงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ เพ่อื ออกแบบและพัฒนารูปแบบร่วมกับการทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบ (2) เป็นงานวิจัยท่ีใช้แนวคิดและทฤษฎีการ สร้างความรู้ด้วยตนเอง (3) เป็นงานวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวซึ่งมาจากการสุ่มและเป็นนักเรียนระดับ มัธยมศึกษา โดยใช้วิธีวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และ (4) เป็นงานวิจัยที่ศึกษา เก่ียวกับการคิดขั้นสูงโดย หลังจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบสงู กวา่ ก่อนจัดการเรยี นรู้ คำสำคญั : การสังเคราะห์งานวจิ ัย รปู แบบการจดั การเรยี นรู้คณิตศาสตร์ Abstract The purpose of this research was to synthesize researches on mathematics learning management model development in terms of objectives, concepts and theories, research methodology, and research findings. It was a qualitative research. Populations were 21 research papers on mathematics learning management model development published in international academic journals and included in the archive of Thai-Journal Citation Index Center database between 2015- 2019. The research tools was record of the research synthesis. The data were analyzed by using 63
การประชมุ วชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา content analysis, frequency, and percentage. It was found that: (1) The researches aimed to design and develop models along with effectiveness testing; (2) They all adopted the concept and theory of constructivism; (3) The researches targeted a single sample group by random sampling from secondary school students. They were both qualitative and quantitative researches and; (4) The researchers studied higher order thinking which increased after implementation of learning management models. Keywords: synthesis of researches, mathematics learning management model ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรสู้ าระเทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ของครผู สู้ อนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 1,2,4,5 และช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1,2,4,5 สังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 2 The Development of Instructional Management in Technology (Computing Science) for First to Fifth Grades and Seventh to Eleventh Grades under Phetchabun Primary Educational Service Area Office 2 พชิ ญ์อนงค์ ผดงุ ศลิ ปไ์ พโรจน์ บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อติดตามผลการส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สาระ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 2) เพื่อศึกษาผลการพฒั นาการจดั การเรียนรู้ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ของครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1,2,4,5 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1,2,4,5 และ 3)เพื่อสะท้อนผลของลักษณะ พฤติกรรม ทักษะการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน วิธีดาเนินการวิจัยมี 3 ข้ันตอน คือ 1) การติดตามผลการส่งเสริม สนับสนุน 2) การศึกษาผลการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ 3) การสะท้อนผลของลักษณะพฤติกรรม ทักษะการคิดของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1.โรงเรียนร้อยละ 100 ดาเนินการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการวิจัย 2.ครูใน โรงเรียนขนาดเล็ก พัฒนาการจัดการเรียนรู้ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) โดยใช้ส่ือ DLTV และครูใน โรงเรียนท่ัวไปสอนเน้นให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง (Active learning) และกระตุ้นให้นักเรียนใช้แนวคิดหลักของ เทคโนโลยี ออกแบบเชิงวิศวกรรมอย่างเหมาะสม 3.ลักษณะพฤติกรรมของนักเรียนมี 9 ลักษณะ ส่วนด้านทักษะการคิด มี 9 ด้าน คำสำคัญ :พัฒนาการจดั การเรียนรู้ สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) กระบวนการนิเทศ ติดตาม ส่งเสรมิ Abstract The purposes of this research were: 1) to monitor the promotion, support, and development of instructional management in technology (computing science) for first to fifth grades and seventh to eleventh grades under Phetchabun Primary Educational Service Area Office 2; 2) to study the development of instructional management by teachers and; 3) to study students’ behaviors, critical 64
การประชุมวชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา thinking skills, and systematic problem-solving skills. The sample group comprised school administrators and teachers. The research was divided into three steps: 1) the promotion and support monitoring; 2) the study of the instructional management implementation and; 3) the reflection on students’ behaviors, critical thinking skills, and systematic problem-solving skills. The research found that: 1. 100% of schools gave support and promoted the development of instructional management through research process; 2. Teachers in small schools developed instructional management with the use of DLTV while teachers in general focused on active learning and encouraged students to use technology for engineering design process and; 3. Students showed nine behavioral styles and nine thinking skills. Keywords: instructional management development, technology (computing science), supervision | process, monitoring, promotion การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนร้ภู าษาอังกฤษของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนสรุ ศักดมิ์ นตรี โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอนรว่ มกับ เทคนคิ การใช้ผังกราฟกิ และแพลตฟอร์มแหง่ การเรียนรผู้ า่ น PLC The Study of English Learning Achievement of Seventh Graders at Surasakmontree School through the Use of Co-5 STEPs together with Graphic Organizer and Online PLC Learning Platform ธานี เขยี ดทอง วิสทุ ธิ์ อา่ งคา บทคัดยอ่ กระแสการจดั การเรยี นการสอนที่มุ่งพฒั นาผลสัมฤทธ์ิผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 สกู่ ารศกึ ษาในยุค 4.0 หนึง่ ใน นั้นคือการสอนแบบ Active Learning ผู้สอนต้องเร่ิมจากจัดกระบวนการจดั การเรียนรู้ท่ีครูใช้ในห้องเป็นหลกั ผสาน กับเทคนิคท่ีหลากหลาย การวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา จากหลักการใช้การเรียนรู้แบบ Co-5 STEPs ร่วมกับเทคนิคการใช้ ผังกราฟิก และ แพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ดิจิทัลผ่าน PLC กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 42 คน ที่ได้จากการสมุ่ แบบแบ่งกลมุ่ (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ 1. เครื่องมือ ทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ Co-5 Steps 2. เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนรู้ จานวน 40 ข้อ โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉล่ียร้อยละ เพ่ือสรุปผลการวิจยั มีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ จากการเขียนบันทึกหลังสอน หรือ Log Book ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเท่ากับร้อยละ 75 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑ์ท่กี าหนด และจากการสะท้อนคดิ ผ่าน Log Book พบว่า นักเรียนมีความสขุ ในการเรียนรู้ ด้วยการ 65
การประชุมวชิ าการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครั้งที่ 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ทางานร่วมกัน ดังนั้น จึงเกดิ การเรยี นรู้แบบ Active Learning ทีแ่ ท้จริง เกดิ วฒั นธรรมของการทางานแบบรวมพลัง กันทัง้ โรงเรยี น เปน็ การพัฒนาจนเกิดหอ้ งเรยี น 4.0 ม่งุ สกู่ ารยกระดบั การศกึ ษา 4.0 คำสำคญั : การเรยี นรู้แบบ Co-5 STEPS แพลตฟอร์มแห่งการเรยี นรู้ การใชผ้ งั กราฟิก Active Learning PLC Abstract Moving towards education 4.0, active learning is one of the techniques used to ensure student’s learning achievement in the 21st century with teachers playing the major role and employing various teaching techniques. The research then had an objective to study learning achievement of secondary school students taught through the use of Co-5 STEPs together with graphic organizer and online PLC learning platform. The samples were 42 seventh graders (Mattayomsuksa 1) selected by cluster random sampling. The research tools consisted of: 1. Co-5 Steps lesson plan as experimental tool and; 2. data collection tools including 40-question test for learning achievement assessment. The data were analyzed by using percentage. Qualitative content analysis was done through reflective logbook. The results of this research showed that the mean of learning achievement was 75% which was higher than the hypothesis. The reflective logbook showed student satisfaction in collaborative learning. This resulted in true active learning, school culture of collaboration, and then the classroom 4.0 for education 4.0. Keywords: Co-5 steps learning, learning platforms, graphic organizer, active learning, PLC ผลการใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบวฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้ัน (5E) เพอ่ื พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นและทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้ผังมโนทศั น์ The Effect of 5E Learning Cycle Instruction Package for the Improvement of Learning Achievement and Critical Thinking Skill through Concept Maps เพ่ือนจติ สิงหเ์ ผน่ บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ข้ัน (5E) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้ผังมโนทัศน์ สาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะหโ์ ดยใชผ้ ังมโนทัศน์ ระหวา่ งก่อน เรียนกับหลงั เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ฯ ประชากรเป็นนักเรียนโรงเรียนเฉลมิ ขวญั สตรี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 4 ห้องเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 จานวน 44 คน ท่ีได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับฉลาก 1 ห้องเรียน จาก 4 ห้องเรียน เครื่องมือ 66
การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครั้งที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ที่ใช้ในการวิจัยเป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ข้ัน (5E) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ทักษะการคิดวิเคราะหโ์ ดยใช้ผังมโนทัศน์ สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 5 ชุด เก็บรวบรวมข้อมลู โดย ใช้ช่ัวโมงสอนตามตารางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จานวน 18 ช่ัวโมง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ ที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ฯ จานวน 3 รอบ พบว่า ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีสร้างขึ้นน้ีมีประสิทธิภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ 81.95/81.24, 82.01/81.55 และ 82.02/81.99 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ทีก่ าหนดไว้ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 44 คน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ภายหลังการเรียนโดยใช้ชุด กจิ กรรมสูงกวา่ กอ่ นเรียนอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ คำสำคญั : ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ วฏั จกั รการเรยี นรู้ 5 ขั้น (5E) ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ ผังมโนทัศน์ Abstract The objectives of the research were: 1) the development and efficiency assessment of 5E learning cycle instruction package for the improvement of learning achievement and critical thinking skill through concept maps for ninth graders (Mattayomsuksa 3) and; 2) the comparison of learning achievement and analytical thinking skill through concept maps between pretest and posttest after using the learning package. The population was a group of ninth graders from four classes at Chalermkwansatree School in the first semester of academic year 2019. The samples were 44 ninth graders from room 3/7 selected by cluster random sampling, drawing lot from four rooms. The research tools were five sets of 5E learning cycle instruction package for the improvement of learning achievement and critical thinking skill through concept maps. The data was collected during 18 hours of teaching schedule and was analyzed by using mean, standard deviation, and t-test. The research found that: 1) The three efficiency assessment tests of 5E learning cycle instruction package had the efficiency of 81.95/81.24, 82.01/81.55 and 82.02/81.99 from the 80/80 standard criteria. 2) The learning achievement and analytical thinking skill of 44 ninth graders from the posttest was statistically significantly higher than the pretest. Keywords: learning package, 5E learning cycle instruction package, learning achievement, critical thinking skill, concept maps 67
การประชุมวิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครงั้ ที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพัฒนาชุดสือ่ ประสมเร่อื ง พระพุทธศาสนา กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบไตรสิกขา The Development of Multimedia in Buddhism under Social Study, Religion, and Culture Subject for Fourth Graders through the Threefold Teaching Technique พศิ วาส จนั ทรพรหมรนิ ทร์ บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพ่ือสร้างและพัฒนาชุดส่ือประสมเรื่อง พระพุทธศาสนา สาระ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบไตรสิกขา ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนด 80/80/2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นก่อนและหลังเรียน หลงั ใช้ชดุ สื่อประสม 3.เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การเรียนรู้โดยใช้ ชดุ สอ่ื ประสม ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังน้ี 1. ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดส่ือประสม ตามเกณฑ์ 80/80 พบว่า องค์ประกอบของชุดส่ือ ประสม มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด และองค์ประกอบของคู่มือการใช้ส่ือประสม มีความเหมาะสม ในภาพรวมอยู่ในระดับระดับมากประสิทธิภาพของส่ือประสม มีค่าประสิทธิภาพโดยรวมเท่ากับ 85.70/83.65 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2. ผลการใช้ชดุ สือ่ ประสม พบวา่ มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้iชุดกิจกรรมการเรยี นรสู้ ูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบวา่ นกั เรียนมีความ พึงพอใจตอ่ การเรยี นโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก คำสำคัญ: ชุดสื่อประสม,เทคนิคการสอน,แบบไตรสิกขา Abstract This research objectives were: 1. to create and develop teaching multimedia in Buddhism (principles, moral, and ethical code) under social study, religion, and culture subject for fourth graders (Prathomsuksa 4) through the Threefold teaching technique in accordance with the 80/80 standard criteria for effectiveness; 2. to compare learning achievement prior and after the use of the multimedia and; 3. to study student satisfaction on the multimedia. The research found that: 1. From the 80/80 standard criteria, the multimedia components had effectiveness at the highest level at 85.70/83.65. The multimedia manual had overall appropriateness at high level. 2. After the use of the media, students’ learning achievement was statistically significantly higher at .01. 68
การประชุมวชิ าการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังท่ี 1) วันที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 3. Students’ overall satisfaction on the multimedia was at high level. Keywords: multimedia, teaching techniques, Threefold principle ผลของการจดั กิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางสะเต็มศึกษา ที่มีต่อพัฒนาการความสามารถในการ แก้ปญั หาตามกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรมของนักเรียนระดบั มธั ยมศึกษา The Impacts of STEM Learning Activities on the Development of Problem-solving Skills through Engineering Design Process among Secondary School Students กฤตเมธ ธีระสุนทรไท กติกร กมลรัตนะสมบัติ บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนีม้ ีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื พัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษา เปรยี บเทยี บผล การประเมินและเปรียบเทียบพัฒนาการความสามารถในการแก้ปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมของ นักเรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา เปน็ การวิจยั ประเภทก่ึงทดลองแบบอนุกรมเวลา กลุ่มตัวอย่างคือ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษา ปีท่ี 5 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จานวน 65 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาและ แบบสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาฯ สถิติท่ีใช้คือ คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ และการวิเคราะห์ความ แปรปรวนแบบวัดซ้า (repeated measures ANOVA) ผลการวจิ ยั พบว่า 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรมู้ ีทั้งหมด 6 แผน เวลา 12 ช่ัวโมง สอดคล้องกับแนวทางสะเต็มศึกษาและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยมีค่าดัชนี สอดคลอ้ ง IOC เทา่ กบั 1.00 ทกุ แผน 2. ผลการประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาจากแบบสอบฉบับที่ 1, 2 และ 3 มีค่าเฉล่ียรวมเท่ากับ 13.00, 18.34 และ 23.86 คะแนนตามลาดับ และ 3. คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เฉลี่ยของ ระยะที่ 3 มีค่าสูงสดุ คอื 64.72 คะแนน รองลงมาคอื ระยะที่ 2 และ 1 คือ 49.36 และ 31.49 คะแนน ตามลาดับ และ มีค่าเฉลี่ยคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ระยะที่ 2 สูงกว่าระยะท่ี 1 ระยะที่ 3 สูงกว่าระยะท่ี 2 และระยะที่ 3 สูงกว่า ระยะที่ 1 อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .01 คำสำคัญ: สะเตม็ ศึกษา พัฒนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหา กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม Abstract The objectives of this research were to develop STEM lesson plan, to review student assessment results, and to study the development of problem-solving skills through engineering design process among secondary school students. The research used quasi-experimental approach with 65 eighth graders at Ratwinit Bangkaeo School as research samples. Research instruments were STEM lesson plan and problem-solving skills test. Data were analyzed by using descriptive statistics, relative gain score, and repeated measures ANOVA. The research found that: 1) There were six learning activity plans for 12 hours complying with guidelines for STEM education and engineering design process and having the IOC corresponding index at 1.00. 2) The mean scores for students’ 69
การประชมุ วิชาการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 1) วนั ที่ 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา problem-solving skills from the first, second, and third tests were 13.00, 18.34 and 23.86 respectively. 3) The average relative gain score was highest in the third phase at 64.72, followed by 49.36 in the second phase and 31.49 in the first phase. The mean relative gain score in the second phase was higher than that in the first phase. The score in the third phase was higher than that in the second phase. The score in the third phase was also higher than that in the first phase with statistically significance at .01. Keywords: STEM education, development, problem-solving skills, engineering design process การพฒั นาองคป์ ระกอบความผกู พนั ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ต่อโรงเรยี นราชินบี ูรณะ The Promotion of Factors Influencing Sixth Graders’ Attachment to Rachineeburana School เมธาสิทธ์ิ ธญั รตั นศรสี กลุ วรกมล วงศธรบุญรัศมิ์ ณัฐกานต์ โรจนพรประสทิ ธิ์ ปิยธดิ า แจ่มสว่าง และชุติมา แชม่ แก้ว บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ประกอบความผูกพันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่อ โรงเรียนราชินีบูรณะ ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 415 คน ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 ของโรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 242 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจ ผลการวิจัยพบว่า ความผูกพันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่อโรงเรียนราชินีบูรณะ จาแนกเป็ น 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านมาตรฐานทางสังคม ด้านคุณค่าของตนเองและโรงเรียน และด้านความ ต่อเนอื่ งคงอยู่ ซึ่งสามารถอธิบายความแปรปรวนของตวั อย่างไดร้ ้อยละ 65.96 คำสำคัญ: ความผูกพนั ต่อโรงเรยี น การวิเคราะห์องค์ประกอบ วิธีอีควอแม็ค Abstract The objective of this research was to promote factors influencing attachment of sixth graders (Matthayomsuksa 6) to Rachineeburana School. Research populations were 415 sixth graders studying in the first semester of academic year 2019 at Rachineeburana School. The samples were 242 sixth graders selected by simple random sampling. Questionnaire was used as research tool and quantitative data were analyzed by exploratory factor analysis. The research showed that sixth graders’ attachment to Rachineeburana School comprising of three factors; social standards, self-esteem and school value, and school long establishment. All three factors had 65.96% sample variance. Keywords: school commitment, factors analysis, Equamax rotation method. 70
การประชุมวิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครั้งท่ี 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพฒั นารปู แบบการนิเทศท่สี ่งเสรมิ ทักษะการสอนภาษาองั กฤษเพ่อื การส่ือสาร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบกลุม่ ร่วมมือที่เน้นประสบการณข์ องครใู นโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 24 The Development of Supervision Model to Promote Teaching English for Communication Using Cooperative Learning Activities with Teacher’s Experiences Focus in Schools under the Secondary Educational Service Area Office 24 จรัญ นว่ มมะโน สมหวงั พนั ธะลี บทคัดยอ่ การวิจัยครง้ั น้ีเพอื่ 1) ศกึ ษาสภาพปัจจุบัน ปญั หา และความตอ้ งการการสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การสอื่ สาร 2) พฒั นารปู แบบการนิเทศ 3) ทดลองใชร้ ูปแบบการนิเทศ 4) ขยายผลการใชร้ ปู แบบการนิเทศ เป็นการวิจยั และพัฒนา 4 ระยะ สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบและประเมินรูปแบบการนิเทศ เครื่องมือท่ีใช้คือ แบบทดสอบ แบบประเมิน แบบสอบถาม การวเิ คราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า 1. สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการส่งเสริมทักษะการสอนภาษาอังกฤษ เพ่ือการส่ือสาร ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 24 พบว่า สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับ ปานกลาง ปัญหาอยู่ในระดับมากท่ีสุด มีความต้องการพัฒนาครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือที่เน้น ประสบการณ์ และการนเิ ทศที่ส่งเสริมทักษะการสอนภาษาองั กฤษ 2. องคป์ ระกอบของรูปแบบการนิเทศ 6 ประการ คือ หลกั การของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรปู แบบ กลไก การดาเนินงาน กระบวนการนิเทศ APIDE 5 ข้ันตอนคือ 1) วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 2) วางแผนการนิเทศ 3) อบรม ให้ความรู้ 4) ปฏิบัติการนิเทศ 5) ประเมินผลการนิเทศ การประเมินรูปแบบ และ เงื่อนไขความสาเร็จ 3. ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศมีความรู้เพิ่มสูงขึ้น สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้สูงขึ้นในระดับดีมาก นักเรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารได้สูงขึ้นในระดับดีมาก ผู้ปกครองและชุมชนพึงพอใจการนาผล การนเิ ทศไปใชพ้ ฒั นามากท่สี ดุ 4. การขยายผลการใช้รูปแบบสอดคล้องกับการทดลองใช้รูปแบบทุกด้าน ผลสาเร็จของการดาเนินงานตาม รปู แบบการนิเทศ ระดับมากท่ีสุด คำสำคญั : รปู แบบการนเิ ทศ การสอนภาษาองั กฤษเพ่อื การสื่อสาร กิจกรรมการเรียนรแู้ บบกลุ่มรว่ มมือ Abstract This research aimed; 1) to study current situation, challenges, and need for teaching English for communication; 2) to develop a supervision model; 3) to try out the model; 4) to extend the use of the model. The research and development comprised four stages in accordance with the research objectives. The samples were administrators, teachers, students, parents, and community 71
การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา representatives. The supervision model was assessed by experts. The research tools were tests, evaluation forms, and questionnaire. The data were analyzed by using mean and standard deviation. The research found that 1. The study of current situation, challenges, and need for teaching English for communication in schools under the Secondary Educational Service Area Office 24 shown current situation at moderate level and challenges at the highest level. There were needs for teacher development on experience based cooperative learning activities as well as supervision in support of English teaching skill. 2. There were six elements of the supervision model, namely, rationale, objective, operational mechanism, APIDE 5 supervision process (comprising: 1) basic data analysis; 2) supervision planning; 3) training; 4) supervising and; 5) evaluation), assessment, and success criteria. 3. Supervisors and supervisees gained more knowledge and could organize cooperative learning activities at a very good level. Students’ skill in English communication was developed at a very good level. Parents and the community were satisfied with the extended use of supervision at the highest level. 4. The extended use of the supervision model was in line with the tryout. The success of the model application was at the highest level. Keywords: supervision model, teaching English for communication, cooperative learning activities ผลของการจดั กิจกรรมกลุม่ แบบรว่ มมอื ทม่ี ีต่อการยอมรบั ความเหมือน และความแตกต่างระหว่างบคุ คลของเด็กปฐมวยั โรงเรียนบา้ นคลองคราม The Impacts of Cooperative Learning Activities on Acceptance of Diversity among Early Childhood Students at Banklongkram School ปยิ นุช รัตนพงษ์ สุชาดา จิตกลา้ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการยอมรับความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง บุคคล โดยใช้กิจกรรมกลุม่ แบบรว่ มมือ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ เด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้านคลองคราม จานวน 22 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด ใช้เวลาในการทดลอง 2 วันต่อสัปดาห์ รวมท้ังสิ้น 8 คร้ัง คร้ังละ 45 นาที เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมกลุ่มแบบร่วมมือ จานวน 8 แผน และแบบสังเกตพฤติกรรมการยอมรับ ความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างบคุ คล วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) หลังการจัดกิจกรรมกลุ่มแบบร่วมมือ การยอมรับความเหมือนและความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ( =16.32) และเม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วม 72
การประชมุ วิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ที่ 1) วันที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ( =5.45) ด้านการแสดงความคิดเห็น ( =5.45) และด้านการปฏิบัติตนเป็นผู้นาและผู้ตาม ( =5.40) อย่ใู นระดบั ดมี ากทุกด้าน และ 2) เมือ่ เปรยี บเทียบระดับพฤติกรรมการยอมรับความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง บุคคลของเด็กปฐมวัย ภาพรวมและรายด้าน พบว่า เมื่อใช้กิจกรรมกลุ่มแบบร่วมมือ มีค่าสูงกว่าก่อนการจัดกจิ กรรม อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: กิจกรรมกลุ่มแบบร่วมมือ การยอบรบั ความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างบุคคล การปฏบิ ัติตนผูน้ าและผู้ตาม การมีส่วนรว่ ม การแสดงความคิดเห็น เด็กปฐมวัย Abstract The objectives of this research were: 1) to study student’s acceptance of diversity through cooperative learning activities and; 2) to compare levels of student’s acceptance of diversity before and after the activities. The research population was a group of 22 kindergarten 3 students aged between five to six in the first semester of academic year 2019 at Banklongkram School selected by purposive sampling. There were eight experiments conducted twice a week. Each experiments took 45 minutes. The research tools were eight cooperative learning activity plans and behavior observation form on student’s acceptance of diversity. The data were analyzed using mean, standard deviation, and dependent t-test. The research found that: 1) Student’s overall acceptance of diversity after having cooperative learning activities was at a very good level ( =16.32). Student’s participation ( =5.45), sharing opinions ( =5.45), as well as leadership and followership ( =5.40) were all at a very good level and; 2) With the cooperative learning activities, student’s overall behavior showing acceptance of diversity was at .05, statistically significantly higher than before. Keywords: cooperative learning activities, acceptance of diversity, leadership and followership, participation, sharing opinions, early childhood students การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ที่เนน้ ทกั ษะการเล่นฟตุ บอลขนั้ พืน้ ฐาน สาหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรยี นบ้านวงั เตา่ The Development of Learning Activity Package on Basic Football Skills for Fourth to Sixth Graders (Prathomsuksa 4-6) at Banwangtao School ยศนนท์ อกั ษรนา บทคดั ยอ่ การวจิ ยั ครัง้ นมี้ วี ัตถุประสงคเ์ พื่อ 1) หาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการเลน่ ฟุตบอล ขั้นพ้ืนฐาน สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรยี น 73
การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ของนกั เรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เร่ือง ทักษะการเล่นฟตุ บอลขั้นพ้ืนฐาน และ 3) ศกึ ษาความพึงพอใจของ นักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นทักษะการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐาน สาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 26 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด เคร่ืองมือ ท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐาน สาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เรอ่ื ง ทกั ษะการเลน่ ฟตุ บอลขนั้ พ้ืนฐาน และ 3) แบบประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีเน้นทักษะการเลน่ ฟตุ บอลขั้นพืน้ ฐาน สาหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยการหาคา่ เฉลย่ี คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน และทดสอบคา่ t ของกลุ่มตวั อยา่ งกลุ่มเดยี ว ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นทักษะการเล่นฟุตบอลข้ันพ้ืนฐาน สาหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 78.61/83.53 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่อง ทักษะการเล่นฟุตบอลข้ันพ้ืนฐาน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 จานวน 26 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรทู้ ี่เน้นทกั ษะการเลน่ ฟตุ บอลข้นั พ้นื ฐาน โดยภาพรวมอยใู่ นระดับมากท่สี ดุ คำสำคัญ: ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ทกั ษะการเลน่ ฟตุ บอล Abstract The purposes of this research were: 1) to assess efficiency of the learning activity package on basic football skills for fourth to sixth graders (prathomsuksa 4-6); 2) to compare student’s learning achievement before and after the application of the learning activity package and; 3) to assess student’s satisfaction on the learning activity package. The research targets were 26 students at fourth to sixth grades in the second semester of academic year 2019 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were: 1) the learning activity package on basic football skills for fourth to sixth graders; 2) learning achievement assessment test before and after the package application and; 3) feedback questionnaire for student’s satisfaction on the learning activity package. The data were analyzed using mean, standard deviation, and t-test. The result of the research showed that: 1) The effectiveness of learning activity package on basic football skills for fourth to sixth graders was at 78.61/83.53; 2) Student’s achievement after the package application was statistically significantly higher at 0. 01 and; 3) The overall satisfaction on the package of 26 fourth to sixth graders was at the highest level. Keywords: learning activity package, football skills 74
การประชมุ วชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ท่ี 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะการอ่านคาทม่ี ตี ัวสะกดไมต่ รงมาตรา สาหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนบ้านวังเต่า The Development of Pronunciation Exercise in Exceptional Final Letters for First Graders at Banwangtao School สริ พิ กั ตร์ กฐินหอม บทคัดยอ่ การวจิ ัยคร้ังนีม้ ีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ 1) หาประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นคาทีม่ ตี ัวสะกดไมต่ รงมาตรา สาหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 เร่ือง การอ่านคาที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของ นักเรยี นท่มี ตี อ่ การเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอา่ นคาทม่ี ีตวั สะกดไม่ตรงมาตรา สาหรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 กลมุ่ เปา้ หมายท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้งั นี้ ไดแ้ ก่ นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรยี นบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรธี รรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 13 คน ซึ่งได้มาจากประชากรทั้งหมด เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบฝึกทกั ษะการอ่านคาท่ีมีตวั สะกดไม่ตรงมาตรา สาหรบั นกั เรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การอ่านคาท่ีมีตัวสะกด ไม่ตรงมาตรา และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคาที่มี ตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบคา่ t ของกลุม่ ตวั อยา่ งกลุม่ เดยี ว ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการอ่านคาท่ีมีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สาหรับนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 1 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีค่าเท่ากับ 80.38/83.58 2) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลงั เรียน เรือ่ ง การอ่านคาทม่ี ีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 13 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ อา่ นคาทม่ี ีตัวสะกดไมต่ รงมาตรา โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก ( =2.65, =0.48) คำสำคัญ: แบบฝกึ ทกั ษะ การอา่ นคาทมี่ ตี วั สะกดไมต่ รงมาตรา Abstract The purposes of this research were: 1) to assess the effectiveness of pronunciation exercise in exceptional final letters for first graders (Prathomsuksa 1); 2) to compare students’ learning achievement prior and after the lesson and; 3) to study student satisfaction on learning through the exercise. The research populations were twelve first graders in the second semester of academic year 2019 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were: 1) pronunciation exercise in exceptional final letters for first graders; 2) learning achievement assessment tests prior and after the lesson and; 3) student satisfaction assessment form. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and dependent t-test. 75
การประชมุ วชิ าการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ คร้งั ท่ี 1) วันท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา The research found that: 1) The effectiveness of the developed pronunciation exercise was at 80.38/83.58; 2) After the lesson, students had higher learning achievement with statistic significance at 0.01 and; 3) All 13 first graders had overall satisfaction on the exercise at a high level ( =2.65, =0.48). Keywords: exercise, exceptional final letters รปู แบบทักษะการเรยี นรูท้ ี่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเ้ รียน มหาวทิ ยาลยั เอกชนในเขตภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย Learning Skills Affecting Student Learning Achievement in Private Universities in the Northeastern Thailand กฤตยษ์ พุ ัช สารนอก ศรุดา ชัยสวุ รรณ ประภัสสร กองทอง ศริ ะนันท์ บญุ ยะผลานนั ท์ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบทักษะการเรียนรู้และเปรียบเทียบปัจจัยสว่ นบุคคลท่ีมผี ลตอ่ รูปแบบทักษะการเรียนรู้ของผเู้ รียนระดับปริญญาตรี โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ซ่ึงมี 3 ส่วนประกอบด้วยรูปแบบทักษะการเรียนรู้ 6 ด้าน ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี การหาคา่ รอ้ ยละ การหาค่าเฉล่ียและการหาคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยท่ีมีผลต่อทักษะการเรียนรู้ในระดับมาก คือ ปัจจัยด้านที่ 1 การปฏิบัติตัวระหว่าง เรียน ซึ่งเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่สาคัญท่ีสุด คือ ข้อที่ 2 การต้ังเป้าหมายในการเรียน ( X =4.52, SD=0.58) และเมือ่ พิจารณารวมท้ัง 6 ปัจจยั ใน 38 ข้อ พบวา่ ส่ิงทีม่ ผี ลต่อทักษะการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี นสงู สุด 5 ลาดับ แรก คือ 1) การตั้งเป้าหมายในการเรียน ( X =4.52, SD=0.58) 2) การมีแรงจูงใจและเจตคติต่อวิชาชีพ วิชาเรียน ผสู้ อนและสถาบันที่ศกึ ษา ( X =4.31, SD=0.68) 3) การวางแผนการเรียนวิชาเอก ( X =4.28, SD=0.73) 4) การมี ความเชอ่ื มั่นในการเรียน เช่ือม่นั ต่อตนเอง ตอ่ เพ่อื น และตอ่ ผูส้ อน ( X =4.27, SD=0.66) และ 5) พฤตกิ รรมการเรยี น ความสนใจ และความต้ังใจเรยี น ( X =4.22, SD=0.68) คำสำคญั : รปู แบบทักษะการเรยี นรู้ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น มหาวิทยาลัยเอกชนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประเทศไทย Abstract This research aimed to study learning skills and to compare personal factors affecting learning skills of undergraduate students. The data were collected through questionnaires, which consisted of three parts focusing on six learning skills. They were statistically analyzed using frequency distribution, percentage, mean, and standard deviation. The research found that the factor most affecting learning skills was factor 1: classroom behavior. Looking at individual item, the most important one was item 2: learning goal setting 76
การประชุมวิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครั้งท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ( X =4.52, SD=0 .58). Among all six factors with 38 items, the top five factors affecting learning skills were 1) learning goal setting ( X =4.52, SD=0 .58), 2) motivation and attitudes towards teaching profession, learning subjects, lecturers, and institutions ( X =4.31, SD=0.68), 3) plan for program majors ( X =4.28, SD=0 .73), 4) confidence in learning, oneself, peers, and lecturers ( X =4.27, SD=0 .66), and 5) learning behavior, learning attention, and concentration ( X =4.22, SD=0.68). Keywords: learning skills, learning achievement, private universities in the Northeastern Thailand การพฒั นาผลการเรียนรู้ เร่ือง ทักษะภมู ิศาสตร์ ดว้ ยการสอนโดยใชช้ ุดการเรียนรู้ สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นบ้านวังเตา่ Improving Learning Outcomes on Geography Skills with Learning Packages for Sixth Graders at Banwangtao School พรนวิ ฒั น์ สงั ขโชติ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะภูมิศาสตร์ สาหรับ นักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 2)เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 เร่ือง ทักษะภูมิศาสตร์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้ ชดุ การเรียนรู้ เรอ่ื ง ทกั ษะภูมศิ าสตร์ สาหรบั นักเรยี นระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 กลมุ่ เปา้ หมายที่ใชใ้ นการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 6 คน ซึ่งได้มาจากประชากรท้ังหมด เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดการเรียนรู้เร่ือง ทักษะ ภูมิศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 5 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะภูมิศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น กอ่ นเรยี นและหลงั เรียนของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 เรอ่ื ง ทักษะภูมศิ าสตร์ จานวน 30 ข้อ และ 4) แบบประเมินความ พึงพอใจของนักเรยี นที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรยี นรู้เรื่อง ทักษะภูมิศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดย การหาค่าเฉลยี่ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t ของกลมุ่ ตัวอย่างกลมุ่ เดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะภูมิศาสตร์ สาหรับนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีผู้วจิ ัยสรา้ งข้ึนมีค่าเทา่ กบั 85.00/87.23 2) นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลงั เรียน เรือ่ ง ทักษะภูมิศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 6 คน มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะภูมิศาสตร์ สาหรับนักเรียนระดับช้ัน ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทีส่ ุด ( =4.47, =0.54) คำสำคัญ: ชดุ การเรยี นรู้ ทักษะภมู ศิ าสตร์ 77
การประชุมวิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา Abstract The research objectives were: 1) to assess the effectiveness of learning packages on geography skills for sixth graders (Prathomsuksa 6); 2) to compare students’ learning achievement prior and after the use of the learning packages and; 3) to study student satisfaction on the learning package. The research target group comprised six sixth graders in the second semester of academic year 2019 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were: 1) five learning packages on geography skills for sixth graders; 2) five lesson plans for the learning packages; 3) 30- question assessment test on students’ learning achievement and; 4) student satisfaction assessment form on the learning packages. The data were analyzed by using mean, standard deviation, and dependent t-test. The research showed that: 1) The developed learning packages had effectiveness at 85.00/ 8 7 . 2 3 ; 2) Students’ learning achievement after using the learning packages was higher than that prior the use with statistically significance at 0.01 and; 3) All the six sixth graders had overall satisfaction on the learning packages at the highest level ( =4.47, =0.54). Keywords: learning packages, geography skills การพัฒนาบทเรียนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ ClassStart วิชาวิทยาการคานวณ สาหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านวังเต่า The Development of Computing Science Lesson on ClassStart for Fourth Graders at Banwangtao School กรรณกิ า เทพดารงค์ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) หาประสิทธิภาพของบทเรียนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Class Start วิชา วิทยาการคานวณ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลัง เรียนของนกั เรยี นระดับช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 เร่อื ง เครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต Class Start และ 3) ศกึ ษาความพงึ พอใจ ของนกั เรียนทีม่ ีต่อการเรยี นโดยใช้บทเรียนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต Class Start วชิ าวิทยาการคานวณ สาหรบั นกั เรียน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 กลุ่มเปา้ หมายที่ใช้ในการวจิ ัยครั้งน้ี ได้แก่ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนบา้ นวังเต่า จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 10 คน ซ่ึงได้มาจากประชากรทั้งหมด เคร่ืองมือท่ี ใช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วย 1) บทเรยี นเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ Class Start วิชาวทิ ยาการคานวณ สาหรบั นักเรยี นชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 เร่ือง การอ่านคาที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ 78
การประชุมวิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครัง้ ท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา บทเรียนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Class Start วิชาวิทยาการคานวณ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์ ขอ้ มลู โดยการหาคา่ เฉลยี่ ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t ของกลุม่ ตัวอยา่ งกลุ่มเดยี ว ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) บทเรยี นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Class Start วชิ าวทิ ยาการคานวณ สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ทผี่ วู้ ิจยั สรา้ งขึ้นมคี ่าเทา่ กบั 82.95/82.10 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน เรือ่ ง เครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต Class Start สงู กว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ 0.01 และ 3) นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 มคี วามพงึ พอใจตอ่ การเรยี นโดยใชบ้ ทเรียนเครือข่ายอนิ เทอร์เนต็ Class Start วชิ า วิทยาการคานวณ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก คำสำคัญ: วทิ ยาการคานวณ เครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต Class Start Abstract The research aimed: 1) to assess effectiveness of computing science lesson on ClassStart for fourth graders (Prathomsuksa 4); 2) to compare students’ learning achievement prior and after the lesson and; 3) to study student satisfaction on the lesson. The target group comprised ten fourth graders in the second semester of academic year 2019 at Banwangtao School, Nakhon Si Thammarat. The research tools were: 1) computing science lesson on ClassStart; 2) students’ learning achievement prior and after the lesson and; 3) assessment test for student satisfaction on the lesson. The data were analyzed by using mean, standard deviation, dependent t-test. The research found that: 1) The effectiveness of the lesson was at 82.95/82.10; 2) Students’ learning achievement after the lesson was higher with statistically significance at 0.01 and; 3) Overall student satisfaction on the lesson was at a high level. Keywords: computing science, ClassStart การพฒั นาหลักสูตรทอ้ งถิ่น เร่ือง มโนราห์ สาหรบั นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 - 6 โรงเรียนบ้านวังเต่า Local Curriculum Development on Manora for First to Sixth Graders at Banwangtao School นรนิ ทร์ เพง็ กลางเดอื น บทคัดย่อ การวิจยั คร้งั น้มี วี ัตถปุ ระสงค์เพือ่ พฒั นาหลักสูตรทอ้ งถิ่น เรอ่ื ง มโนราห์ สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยมีข้ันตอนในการพัฒนาหลักสูตร 4 ข้ันตอน คือ 1) การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน 2) การพัฒนา หลักสตู ร 3) การตรวจสอบคณุ ภาพของหลักสตู ร และ 4) การประชาพจิ ารณแ์ ละประชาสัมพันธ์หลกั สูตร ผลการวิจยั พบว่า 1) ผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการพัฒนาหลักสูตรมีความต้องการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น เร่ือง มโนราห์ จัดทาเป็น รายวิชาเพิ่มเติม ในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-6 โดยกาหนดเวลาเรียน 80 ชั่วโมงต่อปี ทาการสอนทั้งทฤษฎีและ ปฏิบัติ อีกท้งั ควรนาภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินมโนราห์มามีส่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนการสอนด้วย 2) หลักสูตรทพ่ี ฒั นาข้ึน 79
การประชมุ วิชาการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ที่ 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ประกอบด้วย หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา เวลาเรียน แนวการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอนและแหล่งเรียนรู้และการวัด และประเมินผล 3) การประเมินหลักสู ตรโดย ผูเ้ ช่ยี วชาญ พบว่า ภาพรวมของหลกั สูตรมคี วามเหมาะสม สอดคล้องอยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ และ 4) การจดั นิทรรศการ นาเสนอหลักสูตรมีความเหมาะสมดีและ ผู้บริหาร-ครู เห็นว่าหลักสูตรท้องถ่ิน เรื่อง มโนราห์ มีความเหมาะสมทจ่ี ะ นาไปใช้ในการจดั การเรียนการสอน คำสำคญั : การพฒั นาหลักสตู รท้องถ่นิ มโนราห์ Abstract The research aimed to develop a local curriculum on Manora for first to sixth graders (Prathomsuksa 1-6) at Banwangtao School. The curriculum development was divided into four stages: 1) the study and analysis of basic data; 2) curriculum development; 3) quality assessment of the curriculum and; 4) public hearing and promotion of the curriculum. The research found that: 1) There was the need of those involved in the curriculum development for the local curriculum on Manora as an additional course for first to sixth graders. It was recommended that the curriculum should cover 80 hours a year and should include both theory and practice. Local artists in Manora should also be engaged in the learning activities; 2) The developed curriculum comprised principle, objectives, curriculum structure, course description, course schedule, instructional guidelines, instructional media, learning resources, and evaluation; 3) The curriculum assessed by experts showed appropriateness and relevancy at the highest level and; 4) The exhibition on the developed curriculum was appropriate. Administrators and teachers agreed that the local curriculum on Manora was appropriate for actual implementation. Keywords: local curriculum development, Manora การพฒั นาชุดการเรยี นรปู้ ระกอบภาพการต์ ูนทีบ่ ูรณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม วิชากฎหมายธรุ กจิ สาหรบั นกั ศกึ ษาหลักสตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชนั้ สงู วทิ ยาลัยอาชวี ศึกษาสิงห์บุรี The Development of Learnign Package with Cartoons Integrating Morality and Ethics in Business Law for High Vocational Certificate at Singburi Vocational College สุภาวดี ภริ มยร์ ัตน์ บทคดั ยอ่ การวิจยั คร้ังนี้มีมีวัตถุประสงคเ์ พ่อื 1) สร้างและหาประสทิ ธิภาพชุดการเรยี นรู้ประกอบภาพการ์ตูนท่บี ูรณา การคุณธรรม จริยธรรม เรอ่ื งเชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซอ้ื รายวิชากฎหมายธุรกิจ สาหรับนักศกึ ษาระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงิ ห์บุรี 2) ศึกษาผลการใช้การชุดการเรียนร้ปู ระกอบภาพการ์ตูนที่บูรณาการคุณธรรมฯ 3) ศึกษาความพงึ พอใจของผู้เรียนท่มี ตี อ่ ชุดการเรียนรู้ฯ ประชากร คอื นกั ศึกษาทีล่ งทะเบียนเรียน วิชากฎหมายธุรกจิ 80
การประชมุ วิชาการเพ่อื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ ครงั้ ท่ี 1) วันที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 จานวน 47 คน กลุ่มตวั อย่าง โดยการสมุ่ อยา่ งง่าย (Simple random sampling) ได้แก่นักศึกษา ปวส. 1 การตลาด จานวน 23 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) ชุดการเรียนรู้ประกอบภาพการ์ตูน ท่ีบูรณาการคุณธรรม จริยธรรมฯ 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) แบบฝึกหัด หลังเรยี น 4) แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรมฯ ก่อนและหลงั การเรียนรู้ 5) แบบประเมนิ ความพึงพอใจของนักศึกษา ท่ีมีต่อการใช้ชุดเรียน ฯ การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยทดลองใช้ชุดการเรียนที่ผูว้ ิจยั พฒั นาขึ้นมา การวิเคราะหข์ อ้ มูล โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป Microsoft Excel 2010 สถิติโดยใช้ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ t-test dependent sample ผลการวิจัยสรุปได้ดังน้ี 1) ชุดการเรียนรู้ประกอบภาพการ์ตูนท่ีบูรณาการคุณธรรม จริยธรรมฯ มีประสิทธิภาพ 81.63/83.38 2) ผลการใช้การชุดการเรียนรู้ นักศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 มีพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) ความพึงพอใจตอ่ การใช้ชดุ การเรยี นรู้นี้ ในภาพรวมอย่ใู นระดบั มากที่สดุ คำสำคญั : ชดุ การเรียนรู้ การ์ตูนคณุ ธรรมจรยิ ธรรม กฎหมายธรุ กิจ Abstract The purposes of this research were; 1) to develop and assess efficiency of a learning package with cartoons integrating morality and ethnics on rent and leasing in Business Law for high vocational certificate at Singburi Vocational College; 2) to study the implementation of the learning package and; 3) to study student satisfactory on the learning package. The research population were 47 students enrolled in Business Law in the second semester of academic year 2019. Samples selected by simple random sampling were 23 first-year students in Marketing. The research tools were: 1) the learning package; 2) learning achievement assessment tests prior and after the learning package implementation; 3) learning exercises; 4) assessments on morality and ethnics prior and after the learning package implementation and; 5) student satisfaction survey on the learning package. The data were analyzed by using Microsoft Excel 2010 focusing on mean, standard deviation, and t-test dependent. The research found that: 1) The learning package had effectiveness at 8 1 .6 3 / 8 3 .3 8 ; 2) Student achievement before the learning package implementation was statistically significantly higher at .01. Students also developed higher level of morality and ethnics after the learning package implementation and; 3) Student satisfaction on the learning package was at the highest level. Keyword: learning package, cartoons on morality and ethnics, business law 81
การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 1) วันท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ทักษะการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาระดับประกาศนยี บัตร วิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาบรหิ ารธรุ กิจวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสมุทรปราการ (ช.เทค) The Study of 21st Century Skills among High Vocational Certificate Students in Business Administration, Samutprakan Technological College (Ch.Tech) สดุ ใจ เขยี นภักดี อรอุมา ววิ ัฒรางกลู บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีสมุทรปราการ (ช.เทค) 2) เพื่อ เปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แต่ละด้านของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสงู ประเภท วิชาบริหารธรุ กิจ วทิ ยาลัยเทคโนโลยสี มุทรปราการ (ช.เทค) กล่มุ ตวั อย่างที่ใช้ ไดแ้ ก่ นกั ศกึ ษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชนั้ สงู ประเภทวชิ าบรหิ ารธุรกจิ วิทยาลัยเทคโนโลยสี มุทรปราการ (ช.เทค) จานวน 40 คน โดยการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือท่ีใช้เป็นแบบสอบถาม โดยลักษณะคาถามจะเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถติ ิทใ่ี ช้ในการงานวิจยั ไดแ้ ก่ ค่าร้อยละ (Percentage) คา่ คะแนน เฉลย่ี (Mean) โดยใชส้ ัญลักษณ์ X และการหาคา่ ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ญั ลักษณ์ S.D. ผลการวิจัยมีดังน้ี 1) สรุปผลการศึกษา พบว่า ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีสมุทรปราการ (ช.เทค) โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก (4.19) 2) เมอ่ื เปรียบเทียบทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 แตล่ ะดา้ นของกลุ่มตัวอย่าง พบวา่ 2.1 ด้าน ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม โดยรวมอยู่ในระดับมาก (4.26) โดยนักศึกษามีทักษะการส่ือสารและการร่วมมือ ทางานอยูใ่ นระดับมากทีส่ ุด (4.66) ทกั ษะความคดิ สรา้ งสรรค์และนวตั กรรมอยูใ่ นระดบั มาก (4.11) และทกั ษะการคดิ เชิงวพิ ากษแ์ ละการแก้ปัญหาอยู่ในระดบั มาก (4.00) ตามลาดับ 2.2) ดา้ นทกั ษะสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี โดยรวม อยใู่ นระดับมาก (4.07) โดยนกั ศกึ ษามีทกั ษะความรู้ดา้ นสารสนเทศอยใู่ นระดับมาก (4.11) ทกั ษะความรู้เกี่ยวกับส่ือ อยู่ในระดับมาก (4.06) และมีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารอยู่ในระดับมาก (4.05) ตามลาดับ 2.3) ด้านทักษะชวี ิตและการทางาน โดยรวมอยใู่ นระดับมาก (4.24) โดยนักศึกษามีทักษะความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวอยู่ในระดับมาก (4.33) ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมอยู่ในระดับ มาก (4.33) ทักษะความคิดริเริ่มและการชี้นาตนเองอยู่ในระดับมาก (4.27) ทักษะการเพิ่มผลผลิตและการรู้รับชอบ เชอื่ ถอื ได้ อยใู่ นระดับมาก (4.17) และมีทักษะความเปน็ ผ้นู าและความรบั ผิดชอบอย่ใู นระดบั มาก (4.11) ตามลาดบั คำสำคัญ: ทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี 21 นักศกึ ษาระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชน้ั สงู วิทยาลยั เทคโนโลยสี มทุ รปราการ (ช.เทค) Abstract The purposes of this research were: 1) to assess 21st century skills among High Vocational Certificate students in Business Administration at Samutprakan Technological College (Ch.Tech) and; 82
การประชมุ วชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้ังท่ี 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 2) to compare students’ competences in each skills. The sample group comprised 40 students in Business Administration selected by simple random sampling. The research tools were five level rating scale questionnaire. The data were analyzed by using percentage, mean ( X ) and standard deviation (S.D.). The research showed that: 1) Students had the overall 21st century skills at high level (4.19) and; 2) When focusing on each skill, it was found that: 2.1 students had overall learning and innovation skills at high level (4.26), having communication and collaboration skills at the highest level (4.66), creativity and innovation skills at high level (4.11) and critical thinking and problem solving skills at high level (4.00); 2.2 Students had information, media, and technology skills were at high level (4.07), having information skills at high level (4.11), media skills at high level (4.06), and information technology and communication skills at high level (4.05) and; 2.3 Students had overall life and career skills at high level (4.24), having flexibility and adaptability skills at high level (4.33), social and cross-cultural skills at high level (4.33), initiative and self-direction skills at high level (4.27), productivity and accountability skills at high level (4.17), and leadership and responsibility skills at high level (4.11). Keywords: 21st century skills, high vocational certificate students, Samutprakan Technological College (Ch.Tech) การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพอ่ื พฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ อยา่ งสร้างสรรคข์ องนักเรยี นในระดบั ชัน้ ประถมศึกษา The Development of Instructional Model to Enhance Creative Mathematical Problem-Solving Skill among Primary Students ทพิ วรรณ เหมอารญั บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้นของความสามารถในการ แก้ปัญหาคณิตศาสตร์อย่างสร้างสรรค์และตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลที่พัฒนาข้ึนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2) เพ่ือพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ตัวอย่างการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 97 คน ได้จากการสุ่มแบบกลมุ่ เคร่ืองมือวิจัยคือ แบบวัดการคิดเอกนัย แบบวัดการคิดอเนกนัย แบบบันทึก พืน้ ฐานความรู้ แบบวัดการคิดทางคณิตศาสตร์ และแบบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์ทางคณิตศาสตร์ วิเคราะหข์ อ้ มูลด้วย โปรแกรมลสิ เรลและวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี วแบบวัดซ้า ผลการวิจัยพบวา่ 1) โมเดลความสมั พนั ธโ์ ครงสร้าง เชงิ เสน้ ท่ีพฒั นาข้ึนมีความสอดคลอ้ งกับขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์ ตัวแปรในโมเดลอธิบายความแปรปรวนของปจั จัยทีส่ ่งผล ต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ได้ร้อยละ 88 และอธิบายความแปรปรวนของปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดทาง 83
การประชมุ วชิ าการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ที่ 1) วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คณิตศาสตรไ์ ดร้ ้อยละ 60 ตัวแปรพ้ืนฐานความรมู้ ีอทิ ธพิ ลทางตรงต่อความคิดสรา้ งสรรค์ทางคณิตศาสตร์และการคิด ทางคณิตศาสตร์ ตัวแปรการคิดอเนกนัยมีอิทธิพลทางตรงต่อการคิดทางคณิตศาสตร์และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อ ความคิดสรา้ งสรรค์ทางคณิตศาสตร์และการคิดทางคณิตศาสตรโ์ ดยส่งผา่ นตัวแปรพื้นฐานความรู้ สว่ นตัวแปรการคิด เอกนัย มีอทิ ธิพลทางตรงเชงิ ลบต่อความคดิ สรา้ งสรรคท์ างคณติ ศาสตร์และมีอทิ ธพิ ลทางออ้ มต่อความคิดสร้างสรรค์ ทางคณิตศาสตร์และการคิดทางคณิตศาสตร์โดยส่งผ่านตัวแปรพน้ื ฐานความรู้ 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรยี น การสอนพบว่าคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์และการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนมีแนวโน้ม สูงขนึ้ คำสำคัญ: การแกป้ ญั หาทางคณติ ศาสตร์อย่างสรา้ งสรรค์ โมเดลความสัมพันธ์โครงสรา้ งเชิงเสน้ รูปแบบการเรียนการสอน Abstract The purposes of this research were: 1) to develop linear structural relationship model of creative mathematical problem-solving skills and to examine correspondence of the developed model with empirical data and; 2) to develop and assess quality of the instructional model to enhance creative mathematical problem-solving skills among primary students. The research samples consisted of ninety-seven sixth graders (Pratomsuksa 6) selected by cluster random sampling. The research tools were divergent thinking test, convergent thinking test, fundamental knowledge record, mathematical thinking test, and mathematical creativity test. The data were analyzed by using LISREL and one-way repeated measure ANOVA. The research found that: 1) The developed linear structural relationship model was correspondent with the empirical data. The model variables indicated 88% variance in mathematical creativity and 60% variance in mathematical thinking. The variables in fundamental knowledge had influence on mathematical creativity and mathematical thinking. The variables of divergent thinking had direct influence on mathematical thinking while having indirect influence on mathematical creativity and mathematical thinking through fundamental knowledge variables. The variables of convergent thinking had direct negative influence on mathematical thinking while having indirect influence on mathematical creativity and mathematical thinking through fundamental knowledge variables and; 2) From the model tryout, the mean scores of students’ mathematical creativity and mathematical thinking showed an upward trend. Keywords: creative mathematical problem solving, Linear Structural Relationship Model, instructional model 84
การประชมุ วิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ที่ 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การยกระดบั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนโดยใช้โปงลางโมเดล The Improvement of Student’s Learning Achievement through the Ponglang Model สมหวงั พนั ธะลี จรัญ นว่ มมะโน บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) เพ่ือศึกษาความรู้ความเข้าใจของบุคลากรท่ีเก่ียวข้องในนาโปงลาง โมเดลไปใช้ในการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 2) เพ่ือศึกษาระดับการปฏิบัติตามแนวทางในการยกระดับ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นโดยใช้โปงลางโมเดล 3) เพ่อื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นในสงั กัดระหว่าง ปีการศกึ ษา 2560 – 2562 การวจิ ยั ครั้งน้ีเปน็ การวจิ ัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) กลมุ่ ตัวอย่างเป็น ผู้บรหิ าร 19 คน ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา 8 คน ศึกษานิเทศก์ 58 คน ครผู ูส้ อน 21 คน และนกั เรียน ชั้น ป.6, ช้นั ม.3, และชั้น ม.6 รวม 288 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น โปงลางโมเดล แบบทดสอบ ที่มีความเช่ือม่ันทั้งฉบับเทา่ กับ 0.91 แบบสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง ท่ีมีความตรงเชิงโครงสร้างต้ังแต่ .50 ข้ึนไปวิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้ t-test ความถ่ี รอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. บุคลากรท่ีเก่ียวข้องในการนาโปงลางโมเดลไปใช้มีความรู้ความเข้าใจการนาโปงลางโมเดลไปใช้ในการ ยกระดับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญท่ีระดับ .01 และ ผูเ้ ก่ียวข้องมคี วามเหน็ ตรงกันว่า องค์ประกอบทีส่ าคญั ในการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นระดับชาตขิ ั้นพื้นฐานอยู่ท่ี การจดั การเรียนการสอนตามมาตรฐานและตัวช้ีวดั หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 2. ผลการปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมตามแนวทางการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโปงลางโมเดล พบว่า บุคลากรท่ีเก่ียวข้องมีความสามารถในการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย เรยี งตามลาดบั ได้แก่ ศึกษานเิ ทศก์ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ครูผสู้ อน ผู้บรหิ ารการศกึ ษา ตามลาดบั 3. ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นระดบั ชาติของนักเรียนช้ัน ป.6 ช้ัน ม.3 และชัน้ ม. 6 ปกี ารศึกษา 2562 กบั 2560 พบวา่ ภาพรวมผลสมั ฤทธเ์ิ พ่ิมขึ้นเฉลี่ยรอ้ ยละ 1.10 ไม่ถงึ ร้อยละ 5 ทกุ ระดับชนั้ ทกุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ คำสำคัญ: ยกระดับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น โปงลางโมเดล. Abstract The purpose of this research were: 1) to study knowledge and understanding of personnel involving in the application of the Ponglang model to improve student’s learning achievement; 2) to study the application of the Ponglang model to improve student’s learning achievement and; 3) to compare student’s learning achievement in academic year 2018 and 2019. It was a mixed methods research. The samples consisted of 19 administrators, 8 school administrators, 58 educational supervisors, 21 teachers, and 288 students from sixth grade (pratomsuksa 6), ninth grade (mathayomsuksa 3), and twelfth grade (mathayomsuksa 6). The research tools were the Ponglang model, the test with reliable index of .091, and the semi-structured interview with construct validity higher than .50. The data were analyzed using t-test, frequency, percentage, mean, and standard deviation. The research found that: 85
การประชมุ วชิ าการเพื่อนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ที่ 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 1. Personnel’s knowledge and understanding on the application of the Ponglang model to improve student’s learning achievement at the national basic education level from the posttest was higher than that of the pretest with statistically significant at .01. All agreed that the major factors for the improvement of learning achievement were standards based learning management and indicators of Basic Education Core Curriculum. 2. From the application of the Ponglang model, personnel ability was at high level. They were educational supervisors, school administrators, teachers, and educational administrators in priority order. 3. Overall, student’s learning achievement from the national test in academic year 2019 was higher than that in academic year 2018 at the average of 1.10% but less than 5 % for all learning levels and learning subjects. Keywords: the improvement of student’s learning achievement, Ponglang model การพฒั นาคูม่ ือการเขียนรายงานการวิจยั ในช้นั เรียน สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครศรีธรรมราช เขต 4 The Development of a Handbook for Classroom Action Research Report for Nakhon Si Thammarat Primary Educational Service Area Office 4 จนั ทรา ด่านคงรกั ษ์ บทคัดย่อ การวิจยั น้ี มีวตั ถุประสงค์เพือ่ พัฒนาและศึกษาผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจยั ในชั้นเรียน กลุ่มตวั อยา่ งเป็น ครูชานาญการ สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 ปีการศกึ ษา 2556 จานวน 28 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ ดาเนินการวิจัย 3 ระยะ ได้แก่ 1) การสร้าง และพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2553-2554) 2) การทดลองใช้และพัฒนาคู่มือ การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2555) 3) การขยายผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2556) ใช้กระบวนการนิเทศ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาสภาพปัญหา 2) การวางแผนการนิเทศ 3) การสร้างเคร่อื งมอื นิเทศ 4) การปฏิบัติการนเิ ทศ 5) การติดตามประเมินผล และ 6) การสรปุ และเผยแพรผ่ ลงาน เครอื่ งมือวิจัย ได้แก่ 1) คมู่ อื การเขยี นรายงานการวจิ ัยในช้ันเรยี น 2) แบบทดสอบ 3) แบบประเมินคุณภาพรายงาน วิจยั ในช้ันเรยี น และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ การวเิ คราะห์ข้อมลู เชงิ ปริมาณ สาหรับการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงคณุ ภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียนมีประสิทธิภาพ E1/E2 = 84.96/84.76 สูงกว่า เกณฑ์ประสิทธิภาพท่ีกาหนด ความรู้ด้านการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียนหลังได้รับการนิเทศและใช้คู่มือการ เขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน ( X =25.43, S.D.=1.26) สูงกว่ากอ่ นได้รบั การนิเทศและใช้คู่มือการเขียนรายงาน การวิจยั ในชัน้ เรยี น แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคญั ที่ระดบั .01 รายงานการวจิ ัยในชั้นเรยี นอยูใ่ นระดบั ดมี าก และความ พึงพอใจตอ่ การใช้คมู่ อื การเขยี นรายงานการวจิ ัยในช้ันเรยี นอยใู่ นระดบั มากท่สี ุด คำสำคัญ: การพฒั นา คมู่ ือ รายงานการวิจัยในชัน้ เรียน 86
การประชุมวิชาการเพอื่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครัง้ ที่ 1) วันที่ 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา Abstract The purposes of this research were to develop and study the application of a handbook for classroom action research report. The samples were 28 professional level teachers (K 2 teachers) under Nakhon Si Thammarat Primary Educational Service Area Office 4 in academic year 2013 selected by purposive sampling. The research was divided into three phases: 1) the development and improvement of the handbook for classroom action research report (academic year 2010-2011); 2) the trail and improvement of the handbook (academic year 2012) and; 3) to expand the use of the handbook (academic year 2013) by using six supervision steps; 1) study of the challenges; 2) supervisory planning; 3) development of supervisory tools; 4) actual supervision; 5) monitoring and evaluation and; 6) conclusion and publication. The research tools were: 1) the handbook for classroom action research report; 2) tests; 3) quality assessment form for classroom action research report and; 4) questionnaire on user satisfaction. The research used quantitative content analysis method. The research found that: 1) the handbook had the efficiency of E1/E2 = 84.96/84.76, higher than the efficiency criterion; 2) knowledge gained after the use of the handbook ( X =25.43,S.D.=1.26) was higher with statistically significant at .01.; 3) the classroom action research report was excellent and; 4) teacher’s satisfaction on the handbook was at the highest level. Keyword: the development, handbook, classroom action research report การพฒั นาสอ่ื การสอนรายวิชาวิทยาการคานวณโดยใชห้ ลกั การคิดเชิงวเิ คราะห์ ผา่ นระบบบริหารจัดการเรียนรู้สาหรับนกั เรียนระดับประถมศกึ ษา The Development of Instructional Media for Computing Science through Learning Management System for Primary School Students อดุลย์ ไชยเสนา ดรุณี ปญั จรัตนากร พงษศ์ ักด์ิ ผกามาศ บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ 1) เพื่อพัฒนาส่ือการสอนรายวิชาวิทยาการคานวณโดยใช้หลักการคิดเชิง วเิ คราะหผ์ า่ นระบบบริหารจัดการเรียนรูส้ าหรับนกั เรียนระดบั ประถมศึกษา 2) เพ่อื ประเมนิ ประสทิ ธิภาพของส่ือการ สอนตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3) เพ่ือหาค่าดัชนีประสิทธิผล 4) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ 5) เพื่อ ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยส่ือการสอน กลุ่มเป้าหมายการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประถม ศึกษาปีท่ี 4-6 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ 1) สื่อการสอนรายวชิ าวิทยาการคานวณโดยใช้หลักการคิดเชิงวิเคราะห์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพสื่อการสอนโดยผู้เช่ียวชาญ และ 4) แบบสอบถาม 87
การประชมุ วิชาการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวิชาการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครง้ั ที่ 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา่ สถติ ิทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า ส่ือการสอนท่ีพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 80.88/81.94 ซ่ึงสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.8183 นักเรียนที่เรียนด้วยส่ือการสอนดังกล่าวมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลประเมินคุณภาพของส่อื การสอนจากผเู้ ชี่ยวชาญ อยู่ในระดับมาก โดยเห็นว่าส่ือการสอนมีความน่าสนใจและเหมาะที่จะใช้เป็นสื่อเสริมให้กับนักเรียน และนักเรียนมี ความคิดเหน็ เก่ียวกบั สือ่ การสอนอยู่ในระดบั มากเช่นกนั ผลการวิจยั ทาให้ได้สือ่ การสอนรายวิชาวิทยาการคานวณโดย ใช้หลักการคิดเชิงวิเคราะห์เพ่ือการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบบริหารจัดการเรียนรู้สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาทมี่ ี ประสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้ไดจ้ รงิ และทาให้ผเู้ รยี นมีพฒั นาการด้านวทิ ยาการคานวณตามทไี่ ด้ออกแบบไว้ คำสำคญั : วิทยาการคานวณ การคิดเชงิ วิเคราะห์ ระบบบรหิ ารจดั การเรียนรู้ Abstract The objectives of this research were: 1 ) to develop instructional media for computing science through Learning Management System for primary school students; 2) to assess effectiveness of the media using 80/80 standard criteria; 3) to identify its effectiveness index; 4) to study learning achievement and; 5 ) to study students’ feedback on the instructional media. The research group comprised forth to sixth graders (Prathomsuksa 4-6). The research tools were; 1) instructional media for computing science; 2) evaluation form for learning achievement; 3) quality assessment form by experts; 4) student feedback survey form. Data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, and t-test. The research found that the developed media had an efficiency of 80.88/81.94 from the 80/80 standard criteria and had effectiveness index of 0.8183 or 81.83%. From the posttest, student achievement was at .05, statistically significantly higher than the pretest. The result score of quality assessment by experts was high with comments that the media was attractive and appropriate as learning alternative. The student satisfaction rate was also high. The research yielded an instructional media for computing science through Learning Management System for primary school students, which was effective, practical, and successful as projected. Keywords: computing science, analytical thinking, Learning Management System. 88
การประชุมวิชาการเพอ่ื นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วิชาการ คร้งั ที่ 1) วนั ท่ี 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา การพฒั นาแบบฝกึ ทกั ษะภาษาองั กฤษเพ่ือการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ผ่านระบบบริหารจดั การเรียนรู้สาหรับนักเรียนระดบั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 The Development of Self-learning English Skill Exercises for Seventh Graders through Learning Management System ชัยภทั ร์ เพ็งเล็ง ดรณุ ี ปัญจรัตนากร พงษศ์ ักดิ์ ผกามาศ บทคดั ย่อ วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน ระบบบริหารจัดการเรียนรู้สาหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 1 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของ แบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสทิ ธิผล 4) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 5) เพื่อศึกษา ความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทกั ษะ กล่มุ เปา้ หมายการวิจัยได้แก่ นกั เรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน 3) แบบประเมินคณุ ภาพแบบฝึกทักษะโดยผู้เชี่ยวชาญ และ 4) แบบสอบถามความคดิ เห็นของนักเรียน ที่มตี ่อแบบฝกึ ทกั ษะ สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล คอื ร้อยละ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และคา่ สถิตทิ ดสอบที ผลการวิจยั พบว่า แบบฝึกทักษะท่ีพฒั นาข้ึนมีประสิทธิภาพ 80.58/81.67 ซึ่งสอดคล้องกบั เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และมคี ่าดชั นปี ระสิทธิผลเท่ากบั 0.8162 นักเรียนท่ีเรยี นดว้ ยแบบฝกึ ทักษะดังกลา่ วมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 ผลประเมนิ คุณภาพของแบบฝกึ ทักษะจากผเู้ ชี่ยวชาญ อยู่ในระดบั มาก โดยเห็นวา่ แบบฝึกทกั ษะมคี วามน่าสนใจและเหมาะทจ่ี ะใช้เป็นส่ือเสริมใหก้ ับนักเรียน และนักเรยี นมี ความคิดเห็นเก่ียวกับแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมากเช่นกัน ผลการวิจัยทาให้ได้แบบฝึกทักษะภาษาองั กฤษเพื่อการเรียนรู้ ด้วยตนเองผ่านระบบบริหารจดั การเรียนรู้สาหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1ท่ีมีประสิทธิภาพ สามารถนาไปใช้ได้จริง และทาให้การเรยี นรูภ้ าษาอังกฤษบรรลุผลสาเร็จ คำสำคญั : แบบฝกึ ทักษะภาษาอังกฤษ การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ระบบบริหารจดั การเรียนรู้ Abstract The objectives of this research were: 1) to develop self-learning English skill exercises for seventh graders through Learning Management System; 2) to evaluate effectiveness of the exercises using 80/80 standard criteria; 3 ) to calculate effectiveness index of the exercise; 4 ) to evaluate student learning achievement and; 5) to gain student feedbacks about the exercises. The research targets were seventh graders (Mathayomsuksa 1). The research tools were: 1) self-learning English skill exercises; 2) learning achievement evaluation form; 3) quality assurance evaluation form by experts and; 4) student feedback questionnaire about the exercises. The data were analyzed using percentage, mean, standard deviation, and t-test. The research found that the developed exercises had the efficiency of 80.58/81.67 from the 80/80 standard criteria and with effectiveness index of 0.8162. From the posttest, student learning achievement was at 0.05, statistically significantly higher than the pretest. The result of quality assurance evaluation by experts was high with comments that the exercises were attractive and useful complementary learning tools. Students also provided high positive feedbacks. The research then yielded self-learning English skill exercises for seventh graders through Learning Management System, which are effective, practical, and successful. Keywords: English skill exercises, self-learning, Learning Management System. 89
การประชมุ วชิ าการเพ่ือนาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งที่ 1) วนั ท่ี 3 สงิ หาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา คณะผจู้ ัดทา 1 นายสมั นาการณ์ บุญเรอื ง ผอู้ านวยการสถาบันพัฒนาครู ทีป่ รึกษา คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา 2 นางสาวดวงพร เจียมอัมพร หวั หนา้ กลมุ่ วิจยั และพฒั นา หวั หนา้ คณะทางาน สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศึกษา 3 นายดเิ รก ทรัพย์ประเสรฐิ นกั ทรพั ยากรบุคคลชานาญการพิเศษ คณะทางาน สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศึกษา 4 นางสาวรัตติกร ผรณสุวรรณ นักทรพั ยากรบุคคลชานาญการพเิ ศษ คณะทางาน สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศึกษา 5 นางสาวนพมาศ ณะมาชิต นกั ทรพั ยากรบคุ คลชานาญการพเิ ศษ คณะทางาน สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศกึ ษา 6 นางสาวณฐั ชนันท์ จนั ทคุปต์ นกั ทรัพยากรบคุ คลชานาญการ คณะทางาน สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศึกษา 90
การประชมุ วชิ าการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 91
การประชมุ วชิ าการเพือ่ นาเสนอผลงานและนวตั กรรมทางวชิ าการของผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา (สคบศ. วชิ าการ ครั้งท่ี 1) วนั ที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ สถาบันพฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา 92
Search