วิธีการปลูกกล้วย และขั้นตอนในการปลูก
. การเตรียมดิน ปลูกกล้วยหอม ทอง กล้วยสามารถปลูกได้ใน ทุกสภาพดิน ขอเพียงมีน้ำรด 1 . เมื่อพืชต้องการน้ำและสามารถ ระบายน้ำได้เมื่อถึงฤดูฝนที่มีน้ำ เกินความต้องการของพืช พื้นที่ ที่มีโอกาสน้ำขัง หรือน้ำแช่ไม่ เหมาะกับการปลูกกล้วย 1) ที่นาควรยกร่องกว้าง 1 เมตร และปลูกบนหลังร่อง 2) ที่ไร่ สามารถปลูกได้เลย โดยไม่ต้องยกร่อง 2. ระยะปลูกที่แนะนำคือ 2x2 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 400 ต้น การไถตากดินก่อนปลูกจะ ช่วยกำจัดวัชพืชและเชื้อโรคในดิน ช่วยให้ดิน ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี การไถดะโดยใช้ผาน 3 ไถตากดินไว้ประมาณ 5-7 วันเป็นอย่างน้อย จากนั้นไถแปรโดยใช้ผาน 7 ก่อนทำการปลูก โดยขุดหลุมลึกประมาณ 20 เซนติเมตร กว้าง 20 เซนติเมตร ไม่ต้องใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม เพราะอาจทำให้เกิดรากเน่าได้ เมื่อได้หน่อมาแล้วควรปลูกทันที หากไม่พร้อมปลูกควรเก็บไว้ในร่ม และรดน้ำ หากจะเก็บหน่อไว้นานเกิน 3 วันควรนำหน่อปักชำไว้ในดิน โดยขุดหลุมลึกประมาณ 10 เซนติเมตร เอาบริเวณเหง้าของหน่อกล้วย ลงไปประมาณครึ่งหัวแล้วกลบและรดน้ำวันละครั้งไม่ควรชำไว้นานเกิน 1 เดือน
6 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 1 กล้วย (Banana) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa sapientum Linn. เป็นผลไม้ยอด นิยมของคนไทย และเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศ ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มี วิวัฒนาการมานานถึง 50 ล้านปีแล้ว ปัจจุบันแพร่กระจายไปทั่วโลก โดย ประเทศอินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลูก กล้วยมากที่สุดในโลก
2 กล้วยเป็นผลไม้เมืองร้อน มีรากสีน้ำตาล ยาว ประมาณ 15-30 เซนติเมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดินสี น้ำตาลอ่อน มีหน่องอกพ้นดิน ลำต้นตั้งตรง ทรง กลม อวบน้ำ สูงประมาณ 3-4 เมตร ผิวสีเขียวปน น้ำตาล มีกาบเปลือกหุ้ม ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ แบนและยาว เรียกว่า ใบตอง ปลายใบมน โคนใบ มน ขอบใบขนาน แผ่นใบเรียบเป็นมัน มีเส้นก้าน กลางใบชัดเจน สีเขียวแก่ ดอกออกเป็นช่อที่ปลาย ยอด เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับล้อมรอบ ข้างใน เป็นใบประดับย่อยสีม่วงแดง ส่วนผลออกเป็นเครือ มีหลายหวีเรียงกัน รูปร่าง ขนาด สีสัน และรสชาติ จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ บางพันธุ์มีเมล็ด บางพันธุ์ก็ไม่มีเมล็ด
กล้วยในเมืองไทยมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ดังนั้นจึงมีการแยกชนิดออกตามจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรม ซึ่งปัจจุบันแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ได้แก่ 2.1 กลุ่ม AA : มีต้นกำเนิดมาจากกล้วยป่า ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม เช่น กล้วยไข่ กล้วย เล็บมือนาง กล้วยหอม และกล้วยน้ำนม 2.2 กลุ่ม AAA : มีต้นกำเนิดมาจากกล้วยป่า ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ ผลเรียวยาว เนื้อนุ่ม รสหวาน กลิ่น หอม เช่น กล้วยนาก กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว และกล้วยไข่พระตะบอง 2.3 กลุ่ม BB : มีต้นกำเนิดมาจากกล้วยตานี ไม่ค่อยพบในประเทศไทย นิยมกินผลอ่อน ไม่กินผลแก่ และคน ไทยส่วนใหญ่มักจะบริโภคบริเวณปลีและหยวกมากกว่า 2.4 กลุ่ม BBB : มีต้นกำเนิดมาจากกล้วยตานี ขนาดค่อนข้างใหญ่ เนื้อไม่ค่อยนุ่ม รสไม่ค่อยหวาน มีแป้ง เยอะ เช่น กล้วยเล็บช้างกุด 2.5 กลุ่ม AAB : เป็นการผสมพันธุ์กันระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี รสชาติค่อนข้างดี เช่น กล้วยน้ำ กล้วย นิ้วมือยาง กล้วยไข่โบราณ และกล้วยนมสาว 2.6 กลุ่ม ABB : เป็นการผสมพันธุ์กันระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี ขนาดใหญ่ แป้งเยอะ เนื้อแข็ง และ รสชาติไม่ค่อยหวาน จึงไม่นิยมกินสด ส่วนใหญ่จะนำมาปิ้ ง ย่าง และเชื่อม เช่น กล้วยหักมุกเขียว กล้วยหักมุกนวล กล้วยนางพญา และกล้วยน้ำว้า 2.7 กลุ่ม ABBB : เป็นการผสมพันธุ์กันระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี ขนาดใหญ่ แป้งเยอะ และมีพันธุ์ เดียว คือ กล้วยเทพรส หรือกล้วยทิพรส 2.8 กลุ่ม AABB : เป็นการผสมพันธุ์กันระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี ผิวสีเหลือง ผลสีส้ม มีแป้งมาก กิน สดได้ ลักษณะคล้ายกล้วยไข่ มีพันธุ์เดียวในไทย คือ กล้วยเงิน โดยสายพันธุ์กล้วยยอดนิยมที่พบเห็นได้บ่อยในเมืองไทย มีดังนี้ - กล้วยไข่ : เป็นกล้วยยอดนิยมอันดับต้น ๆ ในไทย แถมยังส่งออกต่างประเทศเยอะด้วย ลักษณะลำต้นเป็น ทรงเพรียวสูง ส่วนผลเป็นทรงกลม ขนาดเล็กและสั้น เปลือกบาง ออกดกมาก รสชาติหวาน กลิ่นหอม อร่อย และ เนื้อเหนียวแน่น - กล้วยหอม : เป็นกล้วยที่คนไทยชอบกินมาก แถมส่งออกต่างประเทศเพียบ ลักษณะลำต้นสูงเพรียว ใบตั้ง ตรง ให้ผลดก ขนาดใหญ่และยาว เนื้อเหนียวนุ่ม รสชาติหวาน และมีกลิ่นหอม อร่อย - กล้วยน้ำว้า : เป็นกล้วยที่คนไทยนิยมนำส่วนต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ ทั้งผล ใบตอง และหยวก ลักษณะ ลำต้นค่อนข้างใหญ่ ใบใหญ่ ผลใหญ่ อวบ ออกดก ตอนดิบเป็นทรงเหลี่ยม ตอนสุกเป็นทรงค่อนข้างกลม - กล้วยเล็บมือนาง : เป็นกล้วยท้องถิ่นของภาคใต้ ลักษณะลำต้นเล็กแต่สูง ให้ผลดก มีหวีเยอะ โดยผลจะมี ขนาดค่อนข้างเล็กและเพรียว
กล้วยชอบดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำและอากาศดี มี ความชุ่มชื้นพอเหมาะ หรือที่เรียกกันว่า “ดินน้ำไหลทรายมูล” ฉะนั้นถ้าหากปลูกในดินเหนียว ควรผสมปุ๋ยคอกเพื่อช่วยให้ดิน โปร่งขึ้น หรือยกร่องเพื่อช่วยระบายน้ำด้วย นอกจากนี้ยังชอบ อากาศร้อนชื้นและแสงแดดพอสมควร แต่ต้องระวังหากมีลม แรงมาก เพราะใบกล้วยค่อนข้างใหญ่ จึงมีความต้านลมสูง โดย การขยายพันธุ์สามารถทำได้ทั้งเพาะเมล็ด แยกหน่อ (ทั้งหน่อ อ่อน หน่อใบแคบ และหน่อใบกว้าง) และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่ จะนิยมใช้หน่อมากที่สุด และขอแนะนำให้เริ่มปลูกกล้วยในช่วง หน้าฝนค่ะ ซึ่งขั้นตอนการปลูกกล้วยเริ่มด้วยการขุดหลุมกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร แล้วนำดินตากแดดไว้สัก 1 สัปดาห์ จากนั้นค่อยใส่กลับลงไปในหลุม พร้อมผสมปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักให้สูงนูนขึ้นมา 20 เซนติเมตร เสร็จแล้ววางหน่อ กล้วยลงไปกลางหลุม เอาดินกลบ รดน้ำ และกดให้แน่น อย่าลืม ปล่อยให้ยอดหน่อโผล่สูงกว่าหน้าดินประมาณ 10 เซนติเมตร และเว้นระยะปลูกอย่าให้ใกล้กันมากเกินไป เนื่องจากใบกล้วย ค่อนข้างใหญ่ อาจส่งผลให้ซ้อนกันจนได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ และดูแลลำบากได้ โดยกล้วยจะเริ่มออกดอกและให้ผลแตกต่าง กันไปตามสายพันธุ์ ซึ่งจะเริ่มต้นที่ประมาณ 5-6 เดือนเป็นต้นไป ค่ะ
กล้วยเป็นพืชที่ทนแดดทนแล้งได้ค่อนข้างดี สามารถ ปลูกกลางแจ้งได้สบาย ส่วนน้ำให้รดทุกวัน แต่ระวังอย่า ให้มีน้ำแฉะหรือน้ำขัง สำหรับปุ๋ยให้ใส่ทั้งปุ๋ยคอกหรือปุ๋ย หมักและปุ๋ยเคมี โดยช่วงแรกควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน เยอะ ส่วนปุ๋ยยูเรียให้เดือนละครั้ง นอกจากนี้อย่าลืมทำที่ ค้ำยันในกรณีที่ต้นมีขนาดเล็กแต่ผลใหญ่ด้วย ไม่เช่นนั้น อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ อ้อ แล้วอย่าลืมหมั่นตัด หน่อที่แตกออกมาให้เหลือแค่ 1-2 หน่อ พร้อมทั้งตัดใบที่ แห้งออก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและไม่ให้แย่ง อาหารจากต้นแม่ด้วย สำหรับโรคและแมลงสำคัญที่พบบ่อยในต้นกล้วย ได้แก่ โรคตายพราย โรคใบจุด ด้วงงวง และหนอนม้วนใบ ดังนั้นใคร คิดจะปลูก ก็ต้องคอยดูแล ใส่ใจ และป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้ดีค่ะ
กล้วยเป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น นอกจากจะนำผลสุกมากินสด ๆ เป็นผลไม้แล้ว ยังนำไปทำขนมหวาน เช่น กล้วยบวชชีหรือเค้กกล้วยไข่ ก็ได้ นำไปแปรรูปเป็นกล้วยฉาบก็ดี นำไปส่งออกขายสร้างรายได้ก็เด่น ส่วนหยวกกล้วยก็นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย กาบกล้วยก็ใช้รัด ของได้มากมาย ใบตองก็นำไปห่อของกินได้เพียบ ก้านกล้วยก็นำไปทำ ของเล่นได้ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นลำต้นยังนำไปทำกระดาษสาหรือบดเป็น อาหารสัตว์ได้อีกต่างหาก เรียกได้ว่าดีงามครบถ้วนเว่อร์ ๆ อ๊ะ ๆ ๆ ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ เพราะต้องบอกเลยว่ากล้วยมี คุณค่าทางสารอาหารเพียบ อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และอีกมากมาย ที่สำคัญมีสรรพคุณดีงามต่อ ร่างกาย ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร กระตุ้นการขับถ่าย เสริมสร้าง พลังงาน ลดการอ่อนเพลีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ชะลอความแก่ ทำให้นอน หลับง่ายขึ้น ผ่อนคลายความเครียด และอีกเป็นสิบ ๆ ข้อ เอาเป็นว่าใคร ไม่ชอบกินกล้วย แนะนำให้รีบเปลี่ยนใจโดยด่วน !
2. การปลูกกล้วยหอมทอง จำแนกการปลูกออกเป็น 4 แบบคือ 1) การปลูกกล้วยหอมทอง โดยการไถยกร่อง ขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร เหมาะสำหรับพื้นที่ลุ่มลักษณะเป็นที่นามาก่อน โดยจะปลูกกล้วย บนร่องดังกล่าว 2) การปลูกกล้วยหอมทอง โดยการไถยกร่องแต่ปลูกกล้วยในร่อง และให้น้ำโดยการปล่อยน้ำไหลไปตามร่องที่ปลูกกล้วย เหมาสำหรับ พื้นที่ราบและมีความลาดเอียงเล็กน้อย 3) การปลูกกล้วยหอมทอง โดยไม่ยกร่อง เหมาะสำหรับพื้นที่ไร่ที่ไม่มี น้ำขังในฤดูฝน เช่นที่ราบ ที่เชิงเขา 4) การปลูกกล้วยหอมทอง โดยการขุดร่องน้ำ เหมาะสำหรับพื้นที่ลุ่ม น้ำมีน้ำขังตลอดปี มีระบบชลประทานเพียงพอ และลักษณะดินเป็นดิน เหนียว เพราะดินทรายอาจทำให้เกิดการพังทลายของร่องน้ำได้ง่าย
3. ระบบน้ำสวนกล้วย กล้วยเป็นพืชที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอ และขาดน้ำไม่ได้ การให้น้ำ ควรสังเกตหน้าดิน เมื่อดินแห้งก็ควรรดน้ำ หากให้น้ำไม่เพียงพอจะ ทำให้ต้นกล้วยและผลผลิตที่ได้ ไม่สมบูรณ์ หักล้มง่าย ภาษาชาว บ้านเรียกว่า “กล้วยหักคอ” ซึ่ง ระบบการให้น้ำกล้วย แบ่งออกเป็น 5 รูปแบบดังนี้ 1) ระบบสปริงเกอร์....ดีที่สุดสำหรับที่ราบ 2) ระบบน้ำท่วมร่อง(น้ำไหลไปตามร่อง) หรือน้ำราด 3) ระบบน้ำหยด (ควรเดินสายน้ำหยด 2 เส้นคู่ต่อกล้วย 1 แถว) 4) ระบบน้ำพุ่ง ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีหญ้าค่อนข้างรก เพราะ หญ้าจะบังรัศมีของน้ำที่พุ่งออกจากสายไปยังกล้วย 5) ใช้เรือรดน้ำ (ร่องสวน) เหมาะสำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำ มีน้ำขัง ตลอดปี
+++1 เดือน ตั้งแต่เริ่มปลูกกระทั่งอายุครบ 1 เดือนต้น กล้วยจะสูงประมา 30 เซนติเมตร ควรใส่ปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 1 ถ้วยแกง หรือใส่ปุ๋ย สูตร 46-0-0 ใน อัตราต้นละ 1 กำมือร่วมด้วย และรดน้ำตามทันที ไม่ควรใส่ ชิดโคนต้นมากเพราะอาจทำให้โคนเน่าได้ +++2 เดือน ในช่วงอายุนี้แปลงกล้วยจะเริ่มมีหญ้า ให้ ทำการกำจัดโดยใช้เครื่องตัดหญ้า ตัดให้สั้น จากนั้นใส่ปุ๋ย สูตร 46-0-0 และรดน้ำตามทันที เมื่อกล้วยอายุครบ 2 เดือนควรทำการกลบโคนต้น ไม่ให้โคนลอย เพื่อกระตุ้นให้ เกิดการสร้างรากใหม่ ทำให้การเจริญเติบโตทำได้ดีขึ้น (ไม่ควรใช้ยากำจัดวัชพืชหากมีความจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ อย่างระมัดระวัง เพราะอาจส่งผลทำให้กล้วยแคระแกรน หรือตายได้)
+++3 เดือน ให้สังเกตต้นกล้วยหากพบใบเหลือง หรือใบเสียให้ตัดแต่งทิ้้ง โดยปกติจะเป็น 1-2 ใบ ล่าง ใส่ปุ๋ยคอกในอัตรา 2 ถ้วยแกงต่อ 1 ต้น โรยบริเวณโคนต้นให้ห่างจากต้นประมาณ 1 คืบ และ ปุ๋ยสูตร 25-7-7 ต้นละ 1 กำมือ +++4 เดือน ให้สักเกตในแปลงหากมีหญ้า ให้ทำการกำจัดโดยใช้เครื่องตัดหญ้า ตัดให้สั้น หรือใช้ยา ฆ่าหญ้าชนิดเผาไหมฉีดพ่นได้ แต่่ต้องระวังไม่ให้ละอองยาสัมผัสต้นและใบกล้วยจากนั้นใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 สูตรใดก็ได้ ประมาณ 1 กำมือ และรดน้ำตามทันที และทำการกลบโคน ต้นเหมือนตอนอายุ 2 เดือน +++5 เดือน ช่วงนี้กล้วยต้องการสะสมอาหารเพื่อนำไปสร้างปลี ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16- 16-16 ผสมกับปุ๋ยสูตร 13-13-21 ต้นละ 1 กำมือ หากมีปัญหาแมลงศัตรูพืชเช่นหนอนม้วนใบ แนะนำให้ใช้ยา คลอไพรีฟอส+ไซเปอร์เมทริล และยาอิมิดาคลอพริด สำหรับปัญหาเพลี้ย +++6 เดือน เมื่อกล้วยอายุได้ 6 เดือนจะต้องทำการค้ำต้น โดยใช้ไม้ไผ่ ยาวประมาณ 3.5-4 เมตร ขึ้น อยู่กับความสูงของต้นกล้วย การค้ำเป็นการช่วยพยุงลำต้นให้รับน้ำหนักเครือกล้วยได้ดี ไม่ให้หัก ก่อนถึงเวลาตัด โดยจะเริ่มสังเกตุเห็นกล้วยเริ่มตกเครือ มีปลีกล้วยโผล่ออกมาบริเวณยอด เมื่อลูก กล้วยเริ่มตั้งควรทำการห่อเครือกล้วยเพื่อให้กล้วยมีผิวสวย และทำการตัดปลีในวันเดียวกันที่ทำการ ห่อกล้วย ควรตัดปลีให้ต่ำลงจากหวีสุดท้ายอย่างน้อย 1 คืบ และใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือสูตร 13- 13-21 ต้นละ 1-2 กำมือ +++ไม่ควรตัดแต่งใบกล้วยออกจากต้น หากเกิดปัญหาเชื้อรากินใบ ควรใช้ยาป้องกันกำจัดเชื้อราดี กว่าการตัดใบทิ้ง +++ในหนึ่งต้นควรมีใบดีติดอยู่ที่ลำต้น 10-12 ใบเป็นอย่างน้อยเพื่อจะได้เครือกล้วยที่สมบูรณ์ +++พื้นที่ที่มีโอกาสน้ำขัง น้ำแช่ ระบายน้ำยาก พื้นที่เปียกชื้นตลอดเวลาไม่เหมาะกับการปลูกกล้วย ทุกชนิด
เรื่องโรคและแมลงศัตรูในกล้วยที่พบบ่อยได้แก่ 1. โรครากเน่าโคนเน่า สาเหตุเกิดจากความชื้นในดินสูงเกินไป อาจ เป็นเพราะการรดน้ำในปริมาณมากเกินที่พืชต้องการ หรือมีฝนตกชุก ดินไม่ สามารถระบายน้ำได้ดี ทำให้รากกล้วยเกิดการเน่าและมีการเข้าทำลายจากเชื้อ ราหรือแบคทีเรียบางชนิด 2. โรคเชื้อรากินใบกล้วย สาเหตุ เกิดจากความชื้นและสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมทำให้เกิดโรค สังเกตได้จากใบกล้วยจะมีจุดสีน้ำตาลและขยายใหญ่ ขึ้นเรื่อยๆ อีกอาการคือที่ขอบใบมีร่องรอยของใบแห้งจากขอบใบลามไปหาก ลางใบ 3. หนอนกอกล้วย คือตัวอ่อนของด้วงงวง ที่ฟักออกมาจากไข่แล้ว อาศัยอยู่ในกอกล้วย โดยจะกัดกินใส้ในของหน่อกล้วยเป็นอาหาร ทำให้กล้วย ไม่มียอดใหม่แทงขึ้นมา หนอนกอดังกล่าวจะเจริญจนกลายเป็นตัวเต็มไวแล้วจึง ออกมา ผสมพันธุ์และกลับไปวางไข่ใส่หน่อกล้วยอีกครั้ง หากไม่ขุดหน่อมาดูจะ สังเกตได้ยากว่ามีการเข้าทำลายแล้วหรือยัง 4. หนอนม้วนใบ มักพบเจอบ่อยในกล้วยน้ำว้า โดยหนอนจะทำรังและ กัดใบกล้วย แล้วม้วนใบให้เกินความเสียหาย ถ้าพบเจอควรเร่งทำลายทิ้ง
กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ซึ่งเหมาะกับการปลูกในประเทศไทย ถ้าหาก อุณหภูมิต่ำกว่า ๑๔ องศาเซลเซียส กล้วยจะชะงักการเจริญเติบโต หรือมีการ เติบโตช้าลง รวมทั้งการออกดอกและติดผลจะช้าด้วย อนึ่ง กล้วยเป็นพืชที่มีแผ่น ใบใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยทนต่อแรงลม เพราะใบจะต้านลม ทำให้ใบแตกได้ ถ้าหาก ใบแตกมากจนเป็น ฝอย จะทำให้มีการสังเคราะห์อาหารได้น้อย ต้นไม่เจริญเท่าที่ ควร ดังนั้นถ้าพื้นที่ที่มีลมแรงมาก ควรปลูกต้นไม้อื่นทำเป็นแนวกันลมให้ต้นกล้วย ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกกล้วยคือ ดินตะกอนธารน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า \"ดินน้ำ ไหลทรายมูล\" ซึ่งเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำ และการ หมุนเวียนอากาศดี ถ้าดินเป็นดินเหนียว ควรใส่ปุ๋ยคอก จะทำให้ดินร่วนโปร่งขึ้น ระยะปลูก กล้วยเป็นพืชที่มีใบยาว หากปลูกในระยะใกล้กันมาก อาจ ทำให้ใบเกยกัน หรือซ้อนกัน ทำให้ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ และดูแลลำบาก การกำหนดระยะปลูกจึงควรคำนึงถึงเรื่อง แสงแดด ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และความต้องการของ ผู้ปลูกว่าต้องการปลูกกล้วยเพื่อเก็บเกี่ยวกี่ครั้ง หากต้องการ เก็บเกี่ยวเพียงครั้งเดียวก็อาจปลูกถี่ได้ แต่ถ้าต้องการเก็บ เกี่ยวหลายๆ ครั้ง ต้องปลูกให้ห่างกัน เพื่อมีพื้นที่สำหรับการ แตกหน่อ
การปลูก ขุดหลุมให้มีขนาดความ กว้าง ๕๐ เซนติเมตร ลึก ๕๐ เซนติเมตร นำ ดินที่ขุดได้กองตากไว้ ๕ - ๗ วัน หลังจากนั้นเอาดินชั้นบนที่ตากไว้ลง ไปก้นหลุม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว ให้สูงขึ้นมา ประมาณ ๒๐ เซนติเมตร คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบน ที่ใส่ลงไป แล้วจึงเอาหน่อกล้วยที่เตรียมไว้ วางที่ตรงกลางหลุม เอา ดินล่างกลบ รดน้ำ และกดดินให้แน่น ยอดของหน่อควรสูงกว่าระดับ ดินประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ควรหันรอยแผลของหน่อให้อยู่ใน ทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อโตเต็มที่และติดผล ผลจะเกิดในทิศทางที่ ตรงกันข้ามกับรอยแผล และอยู่ในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการ ทำงาน แต่หากเป็นต้นที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะไม่มีทิศทาง ของรอยแผล ในการวางต้นจึงจำเป็นต้องมีทิศทาง ถ้าหากพื้นที่นั้นเป็นดินเหนียว ควรทำการยกร่อง จะได้ระบายน้ำ และ ปลูกบนสันร่องทั้ง ๒ ข้าง และเพื่อให้การปฏิบัติงานทำได้ง่าย ควร วางหน่อให้กล้วยออกเครือไปทางกลางร่อง
การกำจัดหน่อ เมื่อต้นกล้วยมีอายุได้ ๔ - ๖ เดือน จะเริ่มมีการแตกหน่อ หน่อที่เกิดมาเรียกว่า หน่อตาม (follower) กล้วยบางพันธุ์ที่มีหน่อมาก ควรเอาหน่อออกบ้าง เพื่อมิให้หน่อแย่งอาหาร จากต้นแม่ ควรเก็บหน่อไว้ ๑ - ๒ หน่อ เพื่อให้เป็นตัวพยุงต้นแม่เมื่อมีลมแรง และเพื่อ เก็บเกี่ยวผลผลิตในปีต่อไป วิธีการกำจัดหน่ออาจใช้เสียมที่คมหรือมีดแซะลงไป หรือใช้ มีดตัดหรือคว้านหน่อที่อยู่เหนือดิน แล้วใช้น้ำมันก๊าด หรือสารกำจัดวัชพืชหยอดที่บริเวณ จุดเจริญ เพื่อไม่ให้มีการเจริญเป็นต้น แต่ไม่ควรแซะหน่อในระหว่างการออกดอก เพราะ ต้นอาจกระทบกระเทือนได้ นอกจากการกำจัดหน่อแล้ว ควรตัดใบที่แห้งออก เพราะถ้าทิ้งไว้อาจเป็นแหล่ง สะสมโรค ใน ๑ ต้น ควรเก็บใบไว้ประมาณ ๗ - ๑๒ ใบ การให้ปุ๋ย กล้วยเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารมาก การติดผลจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอาหารและน้ำที่ได้ รับ ดังนั้นควรบำรุงโดยใส่ปุ๋ย ทั้งปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมี ตั้งแต่เริ่มปลูก ในระยะแรก ควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากในช่วง ๒ เดือนแรก โดยให้ปุ๋ยยูเรียเดือนละครั้ง และเดือนที่ ๓ และ ๔ ให้ปุ๋ยสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕ ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม ส่วนในเดือนที่ ๕ และ ๖ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม การค้ำยัน กล้วยบางพันธุ์มีผลดกมาก โดยมีจำนวนหวีมากและผลใหญ่ ต้นที่มีขนาดเล็ก หากไม่ค้ำไว้ ต้น อาจล้ม ทำให้เครือหักได้ เช่น กล้วยหอมทอง กล้วยไข่ จำเป็นต้องค้ำบริเวณโคนเครือกล้วยไว้ โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นที่มีง่าม การให้ผล กล้วยจะออกดอกเมื่ออายุต่างกันตามชนิดของกล้วย เช่น กล้วยไข่ เริ่มออกดอกเมื่ออายุ ประมาณ ๕ - ๖ เดือน และกล้วยหอมทองจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุได้ประมาณ ๖ - ๗ เดือน ส่วน กล้วยน้ำว้า และกล้วยหักมุกใช้เวลานานกว่า และผลจะแก่ ในระยะเวลาที่ต่างกัน ดังแสดงใน ตารางที่ ๒
จัดทำโดย ธีรศักดิ์ สมาวงค์ ม.3/5 เลขที่10 พงศกร เงินยิ่ง ม.3/5 เลขที่12 https://www.xn- -12cm1cbt7aec0au9byac1n2j.com/15 948306/%E0%B8%A7%E0%B8%B4 %E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8 %81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0 %B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9 %E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8 %A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0 %B8%A2
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: