รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ ภาคเรยี นท่ี ๑ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๑ รอ้ ยรสบทกวี ของ ชื่อ – สกุล...............................................ชั้น.............เลขที่.......... ครผู ้สู อน นางสาวลาวณั ย์ พจุ ารย์ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรยี นสรุ วทิ ยาคาร อาเภอเมอื ง จงั หวดั สรุ นิ ทร์
ก คานา เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ เล่มน้ี เป็นสื่อสาหรับใช้ ประกอบการเรยี นการสอนในรายวชิ าพื้นฐานกล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เน้ือหาตรงตามสาระการเรียนรู้แกนกลางข้ันพ้นื ฐาน ประกอบด้วยเน้ือหาในหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๑ รอ้ ยรสบทกวี ซึ่งกาหนดไว้ในโครงสรา้ งรายวิชา ดังน้ี เร่อื งท่ี ๑ การอ่านออกเสียงรอ้ ยแกว้ เร่ืองที่ ๒ การอ่านออกเสยี งร้อยกรอง เร่อื งที่ ๓ การคัดลายมือ ซ่ึงเนื้อหาในแต่ละเร่ืองประกอบไปด้วยใบความรู้และใบงาน ให้ทั้งความรู้และช่วยพัฒนา ผเู้ รียนตามหลกั สูตรและตัวชีว้ ดั ในการจัดทาเอกสารฉบับน้ี ผู้รวบรวมขอขอบพระคุณคณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์ในด้านต่าง ๆ จนเอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้สาเร็จลุล่วง ด้วยดที ุกประการ นางสาวลาวัณย์ พุจารย์ ครูกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ผรู้ วบรวม
สารบญั ข คานา หน้า สารบญั หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑ รอ้ ยรสบทกวี ก ข ใบความรทู้ ่ี ๑ เรอ่ื ง การอา่ นออกเสียงรอ้ ยแก้ว ๑ ใบงานท่ี ๑ เรื่อง การอา่ นออกเสียงร้อยแกว้ ๖ ใบความรูท้ ี่ ๒ เร่อื ง การอา่ นออกเสียงรอ้ ยกรอง ๘ ใบงานที่ ๒ เร่อื ง การอ่านออกเสยี งรอ้ ยกรอง ๑๑ ใบความรู้ท่ี ๓ เรอ่ื ง การคดั ลายมอื ๑๓ ใบงานที่ ๓ เรื่อง การคดั ลายมอื ๑๖
๑ ใบความรู้ท่ี ๑ เรอื่ ง การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว วิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรยี นท่ี ๑ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๑ ชื่อหน่วย ร้อยรสบทกวี การอา่ นออกเสยี งรอ้ ยแก้วและมารยาทในการอ่าน การอ่านออกเสียง เป็นการอ่านโดยการเปล่งเสียงตามตัวอักษร และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ออกมา ซ่ึง อาจมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันไป การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพ่ือการสื่อสารเป็นการอ่านให้ผู้อ่ืนฟังเพ่ือ ถ่ายทอดเรื่องราวท่ีอา่ นจะตอ้ งอ่านใหช้ ัดเจนออกเสียงถกู ต้อง มีวรรคตอนโดยเฉพาะจะตอ้ งเขา้ ใจเนอ้ื เรื่องหรือ ข้อความที่อ่านอย่างดีจึงจะสามารถแบ่งวรรคตอนได้ถูกต้องเช่น อ่านเพ่ือให้ความรู้ อ่านเพื่อถ่ายทอดข้อมูล ขา่ วสาร อา่ นเพ่ือสนุกสนาน บันเทงิ ใจ ร้อยแก้ว เป็นงานเขยี นท่ีเปน็ ความเรียง ไม่มขี ้อบังคับทางฉันทลักษณ์เหมือนร้อยกรอง การอ่านออก เสยี งรอ้ ยแก้ว จงึ เป็นการอา่ นออกเสียงปกติเหมือนการพดู ตามตวั อกั ษร การอา่ นออกเสยี งร้อยแก้ว หมายถึงการอ่านถ้อยคาที่มีผ้เู รียบเรียงหรือประพันธ์ไว้ โดยการเปล่งเสียงและวาง จังหวะเสียงให้เป็นไปตามความนิยม และเหมาะสมกับเรื่องท่ีอ่านเพ่ือถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ผู้ฟังซึ่งจะทาให้ผู้ฟัง เกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเร่ืองราวหรือรสประพันธ์ที่อ่านการอ่านออกเสียงร้อยแก้วให้ไพเราะน่าฟังนั้น ผู้อ่านจะต้องอ่านออกเสียงคาแต่ละคาได้ถูกต้องชัดเจน แบ่งวรรคตอนได้ถูกต้องและมีอารมณ์สอดคล้องกับ ข้อความท่ีอ่านการที่จะอ่านให้ได้ไพเราะน่าฟังน้ันต้องอาศัยการฝึกฝนและเรียนรู้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ฝึกอ่านให้ เคยชิน องคป์ ระกอบพ้นื ฐานในการอ่าน เพอ่ื ใหเ้ กิดประสิทธิภาพในการอา่ น จะตอ้ งอาศัยปจั จยั พน้ื ฐาน ดงั นี้ ๑. สายตา ต้องใชส้ ายตาในการจับจ้องข้อความแต่ละตอนอย่างมสี มาธิ แลว้ เล่ือนสายไปไปล่วงหน้า เพอ่ื ให้อ่านได้รวดเร็ว ไดใ้ จความและไม่สะดุด ควรฝึกการกวาดสายตาจากจดุ หนึ่งไปยังอีกจุดหนง่ึ อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องส่ายหนา้ ตาม ๒. เสียง เสียงต้องก้องกังวานใส ดังพอประมาณและเป็นธรรมชาติ รู้จักผ่อนลมหายใจ เว้นวรรค ตอนและจงั หวะในการอา่ นใหเ้ หมาะสม ๓. อารมณ์ โดยเฉพาะการอ่านเพ่ือความบันเทิง ผู้อ่านต้องอ่านให้น้าเสียงสอดคล้องกับอารมณ์ใน เนื้อเรอ่ื งนนั้ เชน่ บทโกรธ ต้องอา่ นเตม็ เสียง หว้ น สนั้ กระชาก บทเศรา้ ต้องอ่านเสยี งเบา ส่ันเครือ บทรัก ต้องอ่านด้วยน้าเสียงอ่อนหวาน แต่ไม่ควรราบเรียบเสมอกัน เพราะจะทา ใหผ้ ูอ้ ่านไม่ไดร้ ับอรรถรสในการฟงั ๔. บุคลิกภาพ ไม่ว่าจะเป็นการยืนอ่านหรือน่ังอ่าน ควรวางท่าทางให้สง่า ผึ่งผาย วางท่าให้เป็น ปกติ ควรระวังการประหมา่ เพราะจะทาให้เสยี งสั่น มอื ส่ัน ทาใหผ้ ู้ฟังขาดความเชอื่ ถอื ในตัวผอู้ า่ น
๒ หลักเกณฑ์ในการอา่ นออกเสียงรอ้ ยแก้ว ๑. อ่านให้ชัดเจน ได้แก่ อ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์อย่างถูกต้อง เช่น การอ่าน ออกเสียง ร – ล หรือคาควบกล้าชดั เจนการอา่ นตก อ่านเติม หรืออา่ นตู่ตัว การอ่านไม่ชัดเจนจะแสดงใหเ้ ห็น ว่าผู้อ่านขาดความระมัดระวงั ๒. อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี หรืออ่านให้ถูกต้องตามความนิยม คาบางคาอ่านตามความนิยม ผ้อู ่านจะต้องทราบหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการอ่านคาต้องหม่ันสังเกตการอา่ นของผู้อื่นคาใดควรอ่านอย่างไรถ้าไม่ แนใ่ จควรใชพ้ จนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถานชว่ ยตดั สินการอา่ น ๓. อ่านให้น่าฟัง ผู้อ่านจะต้องลองซ้อมอ่านโดยอ่านในใจคร้ังหน่ึงก่อนเพื่อให้รู้เร่ืองราวที่อ่าน สามารถเข้าใจบทอ่านอย่างถูกต้องเพ่ือจะได้ถ่ายทอดเร่ืองราวท่ีอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องเข้าใจ ความหมายของคาถ้อยคาสานวนที่อ่านเข้าใจความคิดสาคัญของเร่ืองที่อ่านจึงจะสามารถเว้นวรร คตอนการ อ่านให้ถูกต้องตามเรื่องราว สามารถใช้น้าเสียงได้ไพเราะน่าฟังมีการเน้นถ้อยคาอย่างถูกต้องสัมพันธ์กับเนื้อ เรือ่ งและอ่านไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่วราบรื่นไม่ตะกุกตะกัก ๔. อ่านมจี ังหวะ แบง่ วรรคตอนถกู ตอ้ งภาษาไทยจะต้องเวน้ วรรคตอนให้ถกู ท่ี ผ้อู า่ นต้องอ่านเร่อื ง นั้น ๆ ให้เข้าใจเสียก่อนเพื่อจะได้แบ่งวรรคตอนได้ถกู ต้อง ฝกึ การอ่าน ใหม้ ีวรรคตอนผอู้ ่านอาจทา เครือ่ งหมาย / คนั่ ข้อความท่เี ว้นวรรคถา้ ผ้อู ่านอ่านผิดวรรคตอน ยอ่ มทาให้ความหมายผิดไปดว้ ย เชน่ “หา้ มผู้หญิงน่งุ กางเกง / ในเวลาทางาน” “ห้ามผูห้ ญงิ นงุ่ กางเกงใน /เวลาทางาน” “ยานด้ี ี /กนิ แล้วแขง็ แรง /ไม่มีโรคภยั เบยี ดเบยี น” “ยานด้ี ี /กินแล้วแขง็ /แรงไม่มี /โรคภยั เบยี ดเบียน” “เรามกั ชมผหู้ ญิงทีต่ า /กลมวา่ เป็นคนสวย” “เรามักชมผหู้ ญิงทีต่ าก /ลมว่าเป็นคนสวย” ๕. อ่านใหค้ ลอ่ งแคล่ว ต้องอาศัยการฝึกฝนอยูเ่ สมอ เพ่ือให้ไม่อ่านตะกุกตะกัก อ่านใหต้ อ่ เน่ืองกัน การอา่ นให้คลอ่ งแคลว่ จะต้องร้จู กั กวาดสายตาในการอ่าน ดังน้ี ๕.๑ การจับสายตาท่ตี ัวอักษร สายตาจะต้องเคล่ือนไปบนตัวอักษรบนบรรทัดจาก ซ้ายไปขวา โดยจบั สายตาไปทีละจุด จุดละ ๔ – ๕ คา เป็นระยะ ๆ ๕.๒ ชว่ งสายตา หมายถึง จานวนคาท่สี ายตากวาดไปบนตวั หนังสอื ทีละจุด ควร เป็น ๔ – ๕ คา ๕.๓ การอ่านย้อนกลับ บางคนอ่านแล้วต้องอา่ นย้อนกลับเพื่อใหเ้ กดิ ความเข้าใจ การอา่ น ย้อนกลับ ทาให้อา่ นได้ชา้ การอา่ นได้คล่องแคล่วต้องฝึกอ่านโดยจับสายตาบนตวั หนังสอื เป็นชว่ ง ๆ ดังกล่าว และตอ้ งอ่านอยา่ งมสี มาธจิ ึงจะอา่ นไดร้ วดเรว็ และเข้าใจเรื่องราวที่อ่านสามารถรบั สารได้อยา่ งถูกต้องครบถ้วน ๖. เน้นเสียงและถ้อยคา ตามนา้ หนกั ความสาคัญของใจความ ใชเ้ สียงและจังหวะใหเ้ ป็นไปตามเน้ือ เร่อื ง เชน่ ดุ, โกรธ (ใชเ้ สยี งดงั เสียงเข้ม) อ้อนวอน (ใชเ้ สยี งอ่อน เบา) จริงจัง ฯลฯ ๗. ถา้ อ่านในท่ปี ระชมุ ทชี่ ุมชน ต้องยืนทรงตัวในท่าทางทีส่ งา่ จบั หนงั สอื ถูกต้อง จับกระดาษอยใู่ น ทา่ ทางที่เหมาะสม ไม่เกรง็ ไม่ยกกระดาษหรือเอกสารบังหน้า หรือไม่ถือไวต้ า่ เกินไปจนต้องก้มลงอ่านจนตวั งอ ๘. อ่านเคร่อื งหมายวรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ ง คาใดทใี่ ชอ้ กั ษรยอ่ ต้องอา่ นใหเ้ ตม็ คา เช่น “โครงการจะเริม่ ดาเนินการตง้ั แตเ่ ดือน พ.ค. – ส.ค. พ.ศ. ๒๕๕๔ น้ี” ใหอ้ ่านวา่ “โครงการจะเร่ิมดาเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมพุทธศักราชสองพันห้า รอ้ ยหา้ สิบส่ีนี้” ทูลเกล้าฯ อ่านว่า ทลู เกล้าทูลกระหม่อม
๓ ๙. การจับหนังสือ ควรอ่านหนังสือหรือบทอ่านบนฝ่ามือซ้าย ยกฝ่ามือข้ึนในระดับสายตา มือขวา คอยพลิกหนังสือหนา้ ถัดไป ไม่ควรใช้นิ้วมอื ช้ีตามตวั หนงั สือ ๑๐. รู้จักกาลเทศะ หากเป็นการอ่านต่อหนา้ ชุมชน ควรสบตาผู้ฟังเป็นระยะ ๆ ไม่ควรก้มหน้าก้มตา อา่ นอยา่ งเดียว มารยาทในการอา่ น การอา่ นออกเสียงต้องมีความระมัดระวงั ในการปฏิบตั ิตน เชน่ การจัดหาท่ีนัง่ ใหส้ ะดวกสบายและถูกสุขลักษณะ อา่ นหนงั สอื ในระยะทเี่ หมาะสมกับสายตานอกจากนั้นจงึ ต้องคานึงถึงมารยาทในการอ่านอกี ดว้ ยข้อพึงปฏิบัติ และมารยาทการอา่ นทีส่ าคญั ดังน้ี ๑. ไมอ่ ่านออกเสียงดังจนรบกวนผ้อู น่ื ๒. ออกเสียงถูกต้องชดั เจน ตามอักขรวธิ ี ๓. กรณอี ่านหนังสอื ในห้องสมุด ตอ้ งไม่สง่ เสียงหรือทาเสยี งดงั รบกวนผอู้ น่ื ๔. เลอื กอา่ นหนังสือที่มีประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คม ๕. อ่านอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผล ไม่หลงเช่อื ในสิ่งงมงายไรเ้ หตุผล ๖. ระมัดระวงั ในการถือหนังสือมิให้เกิดความเสียหาย ๗. ถา้ ต้องการเรื่องหนงึ่ เร่ืองใดจากหนงั สือ เพื่อนาไปเปน็ หลกั ฐานอา้ งอิงควรถา่ ยสานวนไว้ ไมค่ วรฉีก ออกไปจากเลม่ ๘. การแสดงความคดิ เห็นในการอา่ นต้องมเี หตุผล ไมม่ ีอคติในการอ่าน ๙.เมอ่ื นาเนอ้ื หาส่วนหนึ่งส่วนใดจากเร่ืองที่อา่ นไปใช้อา้ งองิ ในงานเขียนเช่น รายงาน ควรใสอ่ ้างองิ ให้ ถกู ต้องตามหลักการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผ้เู ขยี น ๑๐. ถา้ บังเอิญทาหนังสือเสยี หาย ควรซ่อมหนังสือให้เรียบรอ้ ย เพื่อมใิ หห้ นังสือชารุดยง่ิ ขึ้น
๔ โวหาร โวหาร หมายถึง การใช้ถ้อยคาอย่างมีช้ันเชิงเป็นการแสดงข้อความออกมาในทานองต่าง ๆ เพ่ือให้ ข้อความได้เนื้อความดี มีความหมายแจ่มแจ้ง เหมาะสมน่าฟัง ในการเขียนเรื่องราวอาจใช้โวหารต่าง ๆ กัน แลว้ แตช่ นิดของข้อความ ประเภทของโวหาร การใชส้ านวนโวหาร ในการเตรยี มตวั เขียนนอกจากจะต้องเตรียมข้อมลู จัดทาโครงเรือ่ งแลว้ ควร เลอื กใช้สานวนโวหารให้เหมาะกับเนื้อความทจ่ี ะเขียนสานวนโวหารในภาษาไทยแบง่ ออกเป็น ๕ ประเภท คือ ๑) บรรยายโวหาร ๒) พรรณนาโวหาร ๓) เทศนาโวหาร ๔) สาธกโวหาร ๕) อุปมาโวหาร ๑. บรรยายโวหาร คือ โวหารท่ีใช้เล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลาดับเหตุการณ์การ เขยี นบรรยายโวหารจะมงุ่ ความชัดเจนเขียนตรงไปตรงมากลา่ วถึงแตส่ าระสาคัญไมจ่ าเป็นต้องมพี ลความในการ เขียนท่ัว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหารเพราะเหมาะในการติดต่อสื่อสารเน่ืองจากสานวนประเภทน้ีมุ่งสาระเขียน อย่างสั้น ๆได้ความชัดเจนงานเขียนท่ีควรใช้บรรยายโวหารได้แก่การเขียนอธิบายประเภทต่างๆเช่นเขียน รายงาน วิทยานพิ นธ์ ตาราบทความ การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง เช่น บันทกึ จดหมายเหตุการณ์ เขียนเพ่ือแสดง ความคิดเห็นประเภทบทความเชงิ วจิ ารณ์ ขา่ ว เปน็ ต้น ๒. พรรณนาโวหาร คือ โวหารท่ีมงุ่ ใหค้ วามแจ่มแจ้ง ละเอียดลออเพื่อให้ผอู้ ่านเกิดอารมณซ์ าบซ้ึง เพลดิ เพลนิ ไปกับข้อความนนั้ การเขยี นพรรณนาโวหารจึงยาวกวา่ บรรยายโวหารมากแต่มใิ ชก่ ารเขียนอย่างเยิ่น เย้อเพราะพรรณนาโวหารต้องมุ่งให้ภาพและอารมณ์ดังนั้นจึงมักใช้การเล่นคา เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์แม้ เนือ้ ความท่ีเขียนจะน้อยแต่เต็มด้วยสานวนโวหารท่ไี พเราะอ่านได้รสชาตกิ ารเขียนพรรณนามสี านวนที่ใช้ให้เกิด ภาษาภาพพจนต์ ่างๆ เช่น ๒.๑ อุปมา หมายถึง การเปรียบเทยี บว่าสิ่งหนง่ึ เหมอื นกับอีกส่ิงหนง่ึ การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้ จะมีคาแสดงความหมายว่า “เหมือน”ปรากฏอยู่ด้วย เช่น เหมือน เสมือน ดุจ ประดุจ ดัง เพียง คล้าย ปูน ราว เปรยี บเหมอื น ดุจดงั ฯลฯ ๒.๒ อุปลักษณ์ หมายถึง การเปรียบเทียบของสิ่งหน่ึงเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักใช้คาว่า “คือ” “เป็น” เชน่ “เงนิ ตราหรือคือกระดาษ ผสู้ ร้างขึ้นมาซิอนาถ หลงใหลเป็นทาสอานาจเงนิ ” “ลูกเปน็ ดวงใจของพ่อแม่” ๒.๓ บุคคลวัต หรือ บุคคลสมมุติ หมายถึง การเปรียบเทียบด้วยการสมมุติให้ส่ิงที่ไม่มีชีวิต หรือส่ิงมีชีวติ อ่นื ๆ ซึ่งมิใชค่ นแสดงกิรยิ าอาการ อารมณ์ หรือความรู้สึกนกึ คดิ เหมือนคน เชน่ ให้พืช สัตว์ สิ่งของ พดู ภาษาคนได้ “ เนอ่ื งจากฉันมีโอ่งเพียงไม่ก่ีใบ ดงั นน้ั เม่ือฝนตกหนักทไี ร โอง่ ท่ีบา้ นฉันเปน็ ต้องสาลกั นาทุกที ” “พระอาทิตย์โบกมืออาลาฉันด้วยท่าทางรีบร้อน ในขณะที่ดวงจันทร์วันเพ็ญ ค่อย ๆ กรีดกรายมา โดดเด่นอยู่บนทอ้ งฟ้าสคี รามเขม้ ”
๕ ๒.๔ อธิพจน์ หมายถึง การกล่าวผิดไปจากที่เป็นจริง เป็นการกล่าวเกินจริง โดยมีเจตนาเน้น ขอ้ ความท่กี ล่าวน้ันใหม้ ีนา้ หนักยิง่ ข้นึ ใหค้ วามรู้สึกเพม่ิ ขึ้นเชน่ · “การคน้ หาจนแทบพลิกแผน่ ดิน เนน้ ให้เห็นถึงความพยายามและแสวงหาจนพบแมจ้ ะมีความลาบาก ยากเย็น หรือมีอปุ สรรคเพียงใดกต็ าม” ๒.๕ นามนัย หมายถึง การใช้ชื่อส่วนประกอบที่เด่นของสิ่งหน่ึงแทนส่ิงนั้นทั้งหมด ส่วนประกอบดงั กลา่ วกบั สิ่งนนั้ มีความสมั พนั ธเ์ กี่ยวข้องกันเช่น “เก้าอน้ี ายกสมาคมกาลังคลอนแคลน” “เก้าอ”้ี หมายถึง ตาแหน่ง “การทางานช้ินนีเ้ ป็นภาระสาคัญตอ้ งระดมสมองระดบั หวั กะทิ” “สมอง” หมายถงึ ผูม้ ีกาลังความคิด มีสติปญั ญาสูง มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบ ๒.๖ สัญลักษณ์ หมายถึง การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกส่ิงหนึ่ง (คาแทน) ท่ีมีคุณสมบัติหรือลักษณะ ภาวะบางอย่างร่วมกนั และเป็นทย่ี อมรับกันในหมคู่ นส่วนใหญ่ เช่น ดอกมะลิ แทน ความบริสุทธคิ์ วามช่นื ใจ ดอกกุหลาบ แทน ความรกั ของหนุ่มสาว นกพิราบ แทน สันติภาพ เรอื จ้าง แทน ครู ๒.๗ สทั พจน์ หมายถงึ การเลยี นเสยี งธรรมชาติ เพอื่ ให้เกิดภาพชัดเจนเชน่ “บัดเดยี๋ วดังหง่งั เหงง่ วังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลยี วแลชะแงห้ า เหน็ โยคขี ่ีรุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขน้ึ ไปจนบนบรรพต” (พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่) “ไผซ่ ออ้อเอยี ดเบียดออด ลมลอดไลเ่ ลยี้ วเรียวไผ่ ออดแอดแอดออดยอดไกว แพใบไล้น้าลาคลอง” (บนพรมไม้ไผ่ ในคาหยาด ของเนาวรตั น์ พงษไ์ พบลู ย)์ ๒.๘ ไวพจน์ หมายถงึ คาท่เี ขียนตา่ งกันแตม่ ีความหมายเหมอื นกัน หรอื ใกลเ้ คยี งกัน เช่น ดอกไม้ = มาลี ผกา บปุ ผชาติ บุหงา ป่า = พนา วนา ไพรสณฑ์ พนาสัณฑ์ ๓. เทศนาโวหาร คอื โวหารทีม่ ีจุดหมายใหผ้ ู้อ่านคลอ้ ยตามหรอื มุ่งชักจูงให้ผูอ้ ่านคดิ เหน็ หรือคลอ้ ย ตามความคิดเห็นของผู้เขียน จึงต้องใช้โวหารประเภทต่างๆ มาประกอบคือ ท้ังใช้บรรยายโวหาร พรรณนา โวหาร อปุ มาโวหารและสาธกโวหารด้วย โดยท่วั ไปเขา้ ใจกันวา่ เทศนาโวหาร แปลวา่ โวหารท่มี ุ่งส่ังสอน ๔. สาธกโวหาร คือ โวหารทม่ี ุ่งเนน้ การยกตวั อยา่ งเพ่อื อธิบายหรอื สนับสนุนความคดิ เห็นทีเ่ สนอให้ หนกั แนน่ นา่ เชื่อถอื เป็นโวหารเสริมบรรยายโวหาร พรรณนาโวหารและเทศนาโวหาร ๕. อุปมาโวหาร คือ โวหารเปรียบเทียบส่ิงที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเพ่ือให้เกิดความชัดเจนด้าน ความหมาย ด้านภาพและเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น ใช้เป็นโวหารเสริมบรรยายโวหารพรรณนาโวหาร และเทศนาโวหารเพ่ือให้ชัดเจนน่าอ่านโดยอาจเปรียบเทียบอย่างส้ันๆหรือเปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ท้ังน้ี ขนึ้ อยกู่ บั อุปมาโวหารนน้ั จะนาไปเสริมโวหารประเภทใด
๖ ใบงานท่ี ๑ เรือ่ ง การอ่านออกเสยี งรอ้ ยแก้ว วชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ ภาคเรียนท่ี ๑ หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๑ ช่ือหน่วย ร้อยรสบทกวี ชื่อ - ชื่อสกุล................................................................................. ช้ัน ม. ๓/........... เลขที่ .......... กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นนาพยญั ชนะหน้าข้อความ ชดุ ท่ี ๒ มาเขียนลงในชอ่ งว่างหนา้ ข้อความ ชดุ ท่ี ๑ โดยข้อความท้งั ๒ ชุด มคี วามสัมพนั ธ์กนั ชุดท่ี ๑ ชุดที่ ๒ .......... ๑. ถอ้ ยคา สานวน และชน้ั เชงิ ในการแต่งคาประพันธ์ ก. กวีโวหาร .......... ๒. หนงั สือท่ีได้รับยกย่องวา่ แต่งดี ข. วรรณคดี .......... ๓. งานทุกประเภทที่มีผเู้ ขียนข้ึนมา ค. วรรณกรรม ง. ร้อยกรอง กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ ักเรียนนาพยญั ชนะหนา้ ข้อความชดุ ท่ี ๒ มาเขยี นลงในชอ่ งว่างหนา้ ข้อความชุดที่ ๑ โดยขอ้ ความท้งั ๒ ชุด มีใจความสัมพันธก์ นั ชุดที่ ๑ ชุดที่ ๒ .......... ๑. คิ้วกง่ เหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมกู ละม้ายคลา้ ยพรา้ ขอ ก. เสาวรจนี หกู ลวงดวงพักตร์หักงอ ลาคอโตตนั ส้ันกลม ข. นารปี ราโมทย์ .......... ๒. แล้วช้หี นา้ ด่าองึ หงึ นางเงือก ทาซบเสอื กสอพลออตี อแหล ค. พิโรธวาทงั เหน็ ผัวรกั ยกั คอทาทอ้ แท้ พอ่ กบั แม่มงึ เขา้ ไปอย่ใู นท้อง ง. สลั ลาปังคพิสัย .......... ๓. แมเ้ นอ้ื เย็นเป็นห้วงมหรรณพ พข่ี อพบศรีสวสั ดเ์ิ ปน็ มัจฉา แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภมุ รา เชยผกาโกสมุ ปทมุ ทอง .......... ๔. ลกู ก็แลดูแม่แม่ดลู ูก ตา่ งพันผกู เพยี งว่าเลือดตาไหล สะอน้ื ร่าอาลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา .......... ๕. ไมค่ ลาดเคลอ่ื นเหมือนองค์พระทรงเดช แต่ดวงเนตรแดงดูดังสุรยิ ฉ์ าย ทรงกาลงั ดังพระยาคชาพลาย มีเขย้ี วคลา้ ยชนนมี ีศักดา .......... ๖. ฉนั รกั คุณเชน่ เดยี วกับรักชวี ิตของฉัน เพราะฉะนนั้ ท่ีคาดคน้ั วา่ ฉันจะรักคณุ นานเพียงไหน ขอตอบวา่ นานนกั กค็ งไม่ได้ เห็นจะรักไดเ้ พยี งชั่วอายุฉนั เท่านนั้ เอง .......... ๗. มึงน้ถี อ่ ยยงิ่ กว่าถ่อยอที า้ ยเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสง่ิ สรรพ์ ละโมบมากตัณหาตาเปน็ มนั สักรอ้ ยพนั ใหม้ งึ ไมถ่ ึงใจ
๗ กจิ กรรมท่ี ๓ ข้อความต่อไปนเ้ี ป็นโวหารประเภทใด ๑. “ฝา่ ยพลายแก้วนั้นไปอยทู่ เี่ มืองกาญจนบุรจี นอายสุ ิบหา้ ปีกค็ ิดอยากเป็นทหารเหมอื นขุนไกรผูเ้ ป็น พอ่ ก็บอกให้นางทองประศรีไปฝากเรียนวิชากบั พระทม่ี ีวิชาดนี างทองประศรีจงึ พาไปฝากสมภารวดั สม้ ใหญ่เพื่อ บวชเป็นเณรและเรยี นวชิ าการรบและคงกระพันชาตรี” เปน็ โวหาร ................................................................................ ๒. อนั ชาตใิ ดไร้ช่างชานาญศิลป์ เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสงา่ ใครใครเหน็ ไมเ่ ปน็ ท่จี าเริญตา เขาจะพากนั เย้ยใหอ้ ับอาย เป็นโวหาร ................................................................................ ๓. “มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว คดลดเลี้ยวพันเกี่ยวคบไม้ใหญ่ ฝูงมัจฉาว่ายแหวกน้าใสวนเวียนไป ภายในสายวารนิ ตน้ ยางใหญ่แผก่ ่งิ กา้ นสาขาออกมาบดบังแสงแห่งดวงอาทิตย์มิให้สอ่ งตอ้ งสายน้า” เปน็ โวหาร ................................................................................ ๔. “ โจโฉเหน็ วา่ การจะเลยี้ งกวนอนู ัน้ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะกวนอมู ไิ ด้จริงใจตอ่ โจโฉ เตียวเลีย้ วจึง ว่า มหาอุปราชไม่แจ้งหรือ ในนิทานอิเยียงซึ่งมีมาแต่เก่าก่อนว่า แต่เดิมนั้น อิเยียงอยู่กับต๋งหาง ซ่ึงเป็นเจ้า เมือง ซึ่งเล้ียงอิเยียงเป็นเพียงทนายใช้สอย คร้ันคิเป๊กฆ่าต๋งหางตาย คิเป๊กได้อิเยียงไปไว้ใช้ จึงแต่งต้ังให้เป็น ขุนนางทีป่ รกึ ษา.....” เป็นโวหาร ................................................................................ ๕. “ประการหน่ึง เล่าป่ีก็มอบครอบครัวไว้ให้ท่านรักษา ถ้าท่านตายเสีย ภรรยาเล่าป่ีท้ังสองนั้นจะ พึ่งผูใ้ ด อนั ตรายก็จะมตี า่ งๆ การซ่ึงเล่าป่ปี ลงใจไวแ้ กท่ า่ นน้นั จะไมเ่ สียไปหรือ” เป็นโวหาร ................................................................................ กิจกรรมท่ี ๔ ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ ๑. ข้อความต่อไปนีอ้ ่านดว้ ยเสยี งแบบใด “ เล่าป่จี ึงขับมา้ ขึน้ หนา้ รอ้ งดา่ บุนเพ่งวา่ อา้ ยทรยศตอ่ เจ้า ยังมีหน้ามาเขา้ กับโจโฉอกี เลา่ ” ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ข้อความต่อไปนอี้ ่านด้วยเสียงแบบใด “ ขณะนน้ั เป็นบุญของอาเต๊าท่จี ะได้เปน็ กษตั ริย์ มคิ วรทีจ่ ะตายดว้ ยอาวุธ ก็ใหบ้ ันดาลเป็นแสงเพลงิ สวา่ งวาบเปน็ เปลวข้ึนจากหลมุ เตียวคบั เหน็ ดงั นัน้ ก็ตกใจ ม้านั้นกย็ นื ชะงักอยู่ จูลง่ กระทบื เตอื นผนงั ขา้ งม้า โดดผงึ ขนึ้ จากหลุมหนีไปได้” ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. ขอ้ ความต่อไปนอ้ี ่านด้วยเสียงแบบใด “ เห็นทหารเหลอื อย่ตู ามมาประมาณรอ้ ยหน่ึง และครอบครัวอพยพของตัวแลอาณาประชาราษฎรทั้ง ปวงแตกกระจายพลัดพรายกันไป เล่าปี่ก็ร้องไห้ว่า คนท้ังหลายมาพลอยฉิบหายล้มตายเพราะเราผู้เดียว ท้ัง บตุ รภรรยาครอบครวั ของเราจะตายอย่แู หง่ ใดกม็ ิได้เหน็ แก่ตา ” ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๘ ใบความรูท้ ่ี ๒ เร่อื ง การอา่ นออกเสยี งรอ้ ยกรอง วิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ ภาคเรียนที่ ๑ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑ ช่ือหน่วย ร้อยรสบทกวี ความหมายของบทรอ้ ยกรอง บทร้อยกรอง หมายถึง คาประพันธ์ท่ีเรียบเรียงขึ้นโดยข้อบังคับ จากัดคาและวรรคตอนให้สัมผัสกันไพเราะ ตามเกณฑ์ท่ีไดว้ างไว้ในฉันทลักษณ์ คาว่า “บทร้อยกรอง” มคี าทใี่ ช้เรียกแตกต่างกนั หลาย ๆ อย่าง เชน่ คา ประพันธ์ คาประพันธ์รอ้ ยกรอง กาพย์กลอน กวีนพิ นธ์ หรือบทกวี เป็นต้น รูปแบบของบทร้อยกรอง แบ่งไดเ้ ปน็ ๕ ประเภทใหญ่ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และรา่ ย วธิ กี ารอา่ นบทร้อยกรอง การอา่ นบทร้อยกรองเปน็ การอ่านที่มุ่งให้เกดิ ความเพลิดเพลนิ และซาบซง้ึ ในคาประพนั ธ์แตล่ ะชนิด การอ่าน บทร้อยกรองอ่านได้ ๒ แบบ ดงั น้ี 1. อ่านออกเสียงธรรมดา (ทานองสามัญ) เป็นการอ่านออกเสียงตามปกติเหมือนการอ่านร้อยแก้ว แต่มี จังหวะ วรรคตอน และการเน้นสัมผสั ตามลักษณะบังคบั ของคาประพันธแ์ ตล่ ะชนดิ 2. อ่านเป็นทานองเสนาะ เป็นการอ่านท่ีมีเสยี งสูง ต่า หนัก เบา ยาว สั้น เป็นทานองเหมือนเสียงดนตรี มีการเอื้อนเสียง เน้นสัมผัสตามจงั หวะ ลีลา และท่วงทานองทแ่ี ตกต่างไปตามฉันทลกั ษณห์ รอื ลักษณะบังคับ ของคาประพนั ธ์ชนดิ ต่าง ๆ ใหช้ ัดเจน ไพเราะ เหมาะสม ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดอารมณ์คล้อยตามทานองเสียงนัน้ การอ่านออกเสยี งรอ้ ยกรองทานองสามญั การอ่านออกเสียงร้อยกรองทานองสามัญ คือ การอ่านเสียงปกติเหมือนอ่านร้อยแก้ว มีเน้นสัมผัส และเอื้อน เสยี งบ้างเลก็ นอ้ ย หลักทั่วไป ๑. ต้องรู้จักจงั หวะและการแบ่งวรรคของคาประพันธท์ จ่ี ะอา่ น ๒. คาท่ีรบั สัมผัสกันต้องเน้นเสียงใหช้ ัดกว่าปกติ ถ้าเป็นสัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาวกว่า ธรรมดา ๓. เสยี งวรรณยุกต์จตั วาตอ้ งอ่านเปิดเสียงใหส้ ูงและดงั กอ้ ง ๔. ต้องอ่านเสียง ร และ ล ให้ชัดอย่าให้เสียงสลับกันมิฉะนั้นผู้ฟังอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนและไม่ ควรเน้นเสยี งชัดเกนิ ไป อาจจะเป็นการชวนใหข้ บขนั มากกวา่ จะไพเราะ ๕. พยางค์ท่ีใชเ้ กนิ ใหอ้ ่านเร็วและใชเ้ สยี งเบาอยา่ งอกั ษรนา เพือ่ ให้เสียงไปตกอยทู่ ี่พยางค์ทต่ี ้องการ ๖. เมอ่ื อ่านไปถึงตอนจะจบบท ตอ้ งเอ้ือนเสยี งและทอดจงั หวะให้ช้าลงจนกระทัง่ จบบท
๙ การอา่ นกลอนสภุ าพ กลอนสภุ าพ หรือกลอนแปด ในแตล่ ะวรรคมี ๗-๙ คา จงึ สามารถแบง่ การอา่ นได้ ๓ ลกั ษณะ คือ ๒/๒/๓ ๓/ ๒/๓ และ ๓/๓/๓ ตวั อย่างที่ ๑ โอเ้ อน็ ดู/มุนี/ฤาษีน้อย ใหล้ ะหอ้ ย/โหยหา/นา้ ตาไหล เข้ากราบเท้า/เจ้าตา/ดว้ อาลัย หลานจะไป/กังวลดว้ ย/ชนนี พระเจา้ ปู่/ดูแล/แม่ฉันดว้ ย จะเจบ็ ป่วย/เปน็ ตาย/อย่าหนา่ ยหนี ฉนั ไปปะ/พระบิดา/ไม่ชา้ ที ถา้ อย่ดู /ี เเลว้ จะลา/มาหาคุณ (พระอภยั มณี ของสุนทรภู่) ตัวอยา่ งที่ ๒ เมอื่ รักกนั /ไม่ได้/กไ็ ม่รกั ไม่เหน็ จัก/เกรงการ/สถานไหน ไมร่ กั ก/ุ กุก็จกั /ไม่รักใคร เอะ๊ นา้ ตา/กุไหล/ทาไมฤๅ (ขรรค์ชยั บญุ ปาน, สุจิตต์ วงษเ์ ทศ : ร่วมกลอนรัก) การอา่ นกาพย์ยานี ๑๑ กาพยย์ านี มวี ธิ ีการอา่ นดังน้ี แบ่งจงั หวะการออกเสยี งเป็น วรรคหน้า ๕ คา แบ่งเป็นจงั หวะ ๒ คา และจังหวะ ๓ คา วรรคหลงั ๖ คา แบ่งเปน็ ๒ จังหวะ จงั หวะละ ๓ คา สุดทา้ ยวรรคท่ีเปน็ คาเสียงจัตวา ต้องเอื้อนเสียงใหส้ ูงเปน็ พเิ ศษ ในกรณที ่ีมีคามากพยางค์เกินแผนบังคับต้องรวบเสียงคานั้นๆ ใหส้ ้ันเข้า วรรค ๑ และวรรค ๒ ขึ้นเสยี งกลาง แล้วสงู ทว่ี รรค ที่ ๓ แล้วลดตา่ ลงในวรรคที่ ๔ ตัวอยา่ งท่ี ๑ ฟังใดได้ร้เู ร่อื ง ฟังใด/ได้รู้เร่อื ง ก็ปราดเปรอื่ ง/ปรชี าชาญ เปรียบสิ้น/ชนิ น้าตาล รรู้ สหวาน/ซาบซา่ นใน ฟงั ใด/ไมร่ คู้ วาม วชิ าทราม/จะงามไฉน เปรียบจวกั /ตกั ใดใด ไปร่ ูร้ ส/หมดทั้งมวล (ชิต บุรทัต) การอา่ นกาพยฉ์ บัง ๑๖ การอ่านกาพยฉ์ บัง ๑๖ มีการเว้นวรรคตอนการอา่ นเทา่ กนั ทุกวรรคคอื ๒/๒/๒ เชน่ สตั ว์จา/พวกหนงึ่ /สมญา// พห/ุ บาทา// มเี ทา้ /อเนก/นบั หลาย// สองพวก/ภิปราย เทา้ เกิน/กวา่ สี่/โดยหมาย// สัตว์น้า/สตั วบ์ ก/บอกตรง// (สตั วาภธิ าน พระศรสี ุนทรโวหาร)
๑๐ การอ่านกาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ การอ่านเวน้ วรรคตอนของกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ มกี ารเวน้ วรรคตอนเท่ากันทุกวรรค คอื ๒/๒ ตวั อย่าง สุราง/คนางค์// เจ็ดวรรค/จกั วาง// ใหถ้ กู /วธิ ี// วรรคหนงึ่ /ส่คี า// จงจา/ใหด้ /ี / บทหน่งึ /จงึ มี// ยี่สิบ/แปดคา// หากแต่ง/ต่อไป// สมั ผสั /ตรงไหน// จาให/้ แม่นยา// คาท้าย/วรรคสาม// ติดตาม/ประจา// สมั ผสั /กบั คา// ท้ายบท/ต้นแล// (ฐะปะนีย์ นาครทรรพ) การอ่านโคลงสี่สุภาพ โคลงสส่ี ุภาพมีวธิ ีการอา่ นดังนี้ ๑. อ่านทอดเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค วรรคหน้าแต่ละบาทมี ๒ จังหวะ จังหวะละ ๒ คา และ ๓ คาวรรคหลังบาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ มี ๑ จังหวะ เป็นจังหวะ ๒ คา ถ้ามีคาสร้อยก็เพ่ิมอีก ๑ จังหวะ เป็น จังหวะ ๒ คา วรรคหลังบาทท่ี ๒ มี ๑ จังหวะ เปน็ จังหวะ ๒ คา วรรคหลงั บาทท่ี ๔ มี ๒ จงั หวะ จังหวะละ ๒ คา ๒. คาท้ายวรรคที่ใช้คาเสียงจัตวา ต้องเอ้ือนเสียงให้สูงเป็นพิเศษ ตามปกติโคลงส่ีสุภาพท่ีแต่งถูกต้องและ ไพเราะ ใช้คาเสียงจัตวาตรงคาทา้ ยของบาทท่ี ๑ หรือคาท้ายบท ๓. เออ้ื นวรรคหลงั บาทที่ ๒ ให้เสยี งตา่ กว่าปกติ ๔. ในกรณที ่ีมีคาคามากพยางค์เกินแผนบงั คับต้องรวบเสียงคาน้นั ๆ ใหส้ น้ั เข้า ตวั อย่าง ใหป้ ลาย/บาทเอกน้นั มาฟดั หา้ ท/ี่ บทสองวจั น์ ชอบพรอ้ ง บทสาม/ดจุ เดียวทดั ในที่ / เบญจนา ปลายแหง่ /บทสองต้อง ทห่ี า้ /บทหลัง (จินดามณี ฉบบั พระโหราธบิ ดี)
๑๑ ใบงานที่ ๒ เรื่อง การอ่านออกเสยี งรอ้ ยกรอง วชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ ภาคเรียนที่ ๑ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๑ ชื่อหน่วย ร้อยรสบทกวี ช่ือ - ชื่อสกุล................................................................................. ชัน้ ม. ๓/........... เลขที่ .......... กจิ กรรมที่ ๑ ใหน้ กั เรยี นบอกประเภทของคาประพนั ธ์และแบ่งวรรคอ่านใหถ้ ูกตอ้ งโดยใช้ เครอ่ื งหมาย / หรือ // ตัวอย่าง “ขา้ เฝ้าเหลา่ เสนาหนีไปหาพาราไกลชีบาลา่ ลีไ้ ปไมม่ ีใครในธานี” ลักษณะคาประพันธ์ กาพย์ยานี ๑๑ สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ได้ดงั นี้ ขา้ เฝ้า/เหลา่ เสนา// หนีไปหา/พาราไกล// ชีบา/ลา่ ลไ้ี ป// ไมม่ ใี คร/ในธานี// ๑. “ ถา้ แต่แรกพี่รูเ้ หตวุ ่าเยาวเรศจะมรณาเม่อื จากอยุธยาจะฝากไว้กับชนนี ” ลกั ษณะคาประพนั ธ์..................................................... สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ไดด้ งั นี้ ๒. “ เขาจะเยาะเยย้ เลน่ เป็นตาราพ่อแม่จะเอาหนา้ ไปไวไ้ หนจะเชิดชื่อลอื ล่ันสนั่นไปถงึ บรรลัยก็ไม่สน้ิ เขา นินทา ” ลักษณะคาประพันธ.์ .................................................... สามารถนามาเรียงวรรคใหม่ได้ดังน้ี ๓. “จาใจจากแมเ่ ปลือ้ งปลิดอกอรเอยเยยี ววา่ แดเดียวยกแยกได้สองซกี แลง่ ทรวงตกแตกภาคออกแม่ถาคพ่ีไป หน่งึ ไวแ้ นบเนือ้ นวลถนอม” ลกั ษณะคาประพันธ.์ .................................................... สามารถนามาเรียงวรรคใหมไ่ ด้ดงั นี้
๑๒ ๔. “ธรณีท่ีนั่งกระทั่งไหวดงั คนไกวเกือบแยกแตกสลายฝูงผลี กุ โลดโขมดพรายแปลงกายต่าง ๆ ว่งิ วางมา” ลกั ษณะคาประพนั ธ.์ .................................................... สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ได้ดงั น้ี ๕. “เย็นฉา่ น้าฟ้าช่ืนชะผกาวายุพาขจรสารพนั จันอินร่ืนกลิน่ เกสรแตนต่อคล้อร่อนว้าวอ่ นเวียนระวัน” ลกั ษณะคาประพันธ.์ .................................................... สามารถนามาเรียงวรรคใหม่ไดด้ งั นี้ ๖. “เดชะพระกุศลหนหลังสง่ิ ใดใจหวังได้ดังมุ่งมาดปรารถนา” ลกั ษณะคาประพันธ.์ .................................................... สามารถนามาเรียงวรรคใหม่ได้ดังน้ี ๗. “เราใกล้กนั หนั หลังน่งั ประชิดลมหายใจแนบสนทิ ขนาดน่นั จอสองจอใจสองใจไยหา่ งกันฝนั ของใครตา่ งฝนั ฉันและเธอ” ลักษณะคาประพันธ.์ .................................................... สามารถนามาเรียงวรรคใหม่ได้ดังน้ี ๘. “จงดูโลกน้พี เิ คราะห์ใหด้ ีมีแต่สับสนกิเลสตณั หาชกั พาฝูงชนให้หลงลืมตนเกลือกกลั้วโลกยี ์” ลกั ษณะคา ประพนั ธ์..................................................... สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ไดด้ ังน้ี ๙. “เอาเลอื ดมาล้างเลือดจกั แดงเดือดดว้ ยเลือดฉานเอาดาบมารอนรานจักบรรลัยไปดว้ ยกนั ” ลกั ษณะคาประพนั ธ์..................................................... สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ไดด้ ังนี้ ๑๐. “ตกึ รามระฟ้าเบยี ดกันไต่ถงึ สวรรคอ์ าจเอ้ือมเอาดาวแลเดอื น” ลักษณะคาประพันธ์..................................................... สามารถนามาเรยี งวรรคใหม่ไดด้ ังน้ี
๑๓ ใบความรู้ท่ี ๓ เรอื่ ง การคัดลายมอื วชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนท่ี ๑ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑ ชอ่ื หน่วย ร้อยรสบทกวี ความสาคญั ของลายมือ ลายมือ มีความสาคัญต่อการเขียนเพื่อการส่ือสารเป็นอย่างมาก ผู้เขียนที่ลายมือบรรจง สวยงามและอ่านได้ ง่ายจะทาให้งานเขียนน่าสนใจ น่าอ่าน นอกจากน้ียังทาให้การสื่อสารไปยังผู้อ่านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสดุ หลกั การคัดลายมอื การคัดลายมือให้ถูกต้อง สวยงาม ควรยึดหลกั ดงั น้ี ๑. นง่ั ตัวตรง ข้อศอกขวาวางบนโต๊ะขณะทเี่ ขียน สายตาห่างจากการะดาษที่เขยี นประมาณ ๑ ฟตุ ๒. อกั ษรไทย เขยี นจากซ้ายไปขวาและลากเส้นจากบนลงล่าง การเขยี นตัวอักษรทีม่ ีหัว จะเร่ิมเขยี น ท่หี วั ของตวั อักษรก่อน ๓. ตวั อกั ษรตั้งตรง คือ เส้นหลักของตวั อกั ษรแต่ละตัวจะตอ้ งตั้งฉากกบั เส้นบรรทดั ไม่โย้หน้าหรือโย้ หลงั ๔. เขียนให้อ่านง่าย เว้นช่องไฟสม่าเสมอ ไม่เขียนตัวอักษรห่างหรือชิดกันจนเกินไป และให้ช่องไฟ ของตวั อกั ษรทกุ ตวั หา่ งในระยะทีเ่ ท่าๆ กนั ๕. วรรคตอนเวน้ วรรคใหพ้ องาม ในระยะทเี่ ทา่ ๆ กัน เครอื่ งหมายวรรคตอนตา่ งๆ วางใหถ้ กู ตาแหนง่ ๖. รูปร่างและขนาดของตัวอักษร ตัวอักษรไทยหลายตัวมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังนั้น จึงควรเขียน ใหช้ ัดเจน เพือ่ ไม่ให้เกดิ ความผิดพลาดในการสอื่ สาร เชน่ ๖.๑ อกั ษรท่ีเขียนคลา้ ยกันแตข่ นาดความกวา้ งตา่ งกนั เช่น ข กับ บ ๖.๒ อักษรทีม่ คี วามสูงไม่เทา่ กัน เช่น บ กับ ป หรือ ผ กับ ฝ หรือ พ กับ ฟ ๖.๓ อกั ษรท่รี ปู รา่ งคล้ายกัน แต่ตา่ งกนั ทก่ี ารมว้ นหัวเข้าหรือออก เชน่ ก ถ ภ หรอื ม น ฉ ๖.๔ อักษรทค่ี ลา้ ยกับมีอกั ษรสองตวั มาประสมกัน เช่น ญ ณ ฌ ฐ ฒ ๖.๕ อักษรทม่ี ีลกั ษณะบางส่วนคล้ายกัน แต่ต่างกันท่ีหวั หาง หรือหยกั ตา่ งกนั เช่น ข กบั ฃ ค กบั ฅ หรอื ม กบั ฆ หรือ ฎ กบั ฏ หรอื ล กบั ส หรอื บ กับ ษ หรอื พ กบั ฟ กบั ฬ ๗. การวางรูปสระ พยัญชนะ วรรณยกุ ต์ ให้ถกู ที่ ดังนี้ ๗.๑ สระท่ีอยู่บนพยัญชนะ หางของสระต้องอยู่ตรงส่วนท้ายของพยัญชนะต้น เช่น มี มือ เมีย ฯลฯ ๗.๒ เขียนวรรณยุกต์ อยบู่ นพยญั ชนะ หรอื สระ เชน่ นี้ โนน้ เสอ้ื ฯลฯ ๗.๓ สระทวี่ างไวล้ า่ งพยัญชนะส่วนหางของสระตอ้ งตรงกบั ทา้ ยพยญั ชนะ เชน่ หู ธุระ เหตุ ฯลฯ ๗.๔ ถ้าพยญั ชนะมีเชงิ ให้ตัดเชิงออกกอ่ นแลว้ จงึ ใส่สระ เชน่ กตัญญู วญิ ญู ฯลฯ ๘. เคร่ืองหมายทณั ฑฆาตตอ้ งเขียนใหต้ รงกบั ตัวอักษรท่ีไม่ออกเสยี ง เชน่ องค์ รถยนต์ ฯลฯ
๑๔ รปู แบบตวั อักษร ตัวอักษรไทยท่ีใช้ในการคัดลายมือ มีหลายแบบ ในที่น้ีจะแบ่งออกเป็น ๒ รูปแบบ คือ ตัวอักษรประเภทหัว เหลย่ี ม และตัวอกั ษรประเภทหัวกลม ๑. ตัวอักษรประเภทหัวเหล่ียม หัวของตัวอักษรจะมีหัวเหล่ียม เรียกว่า อักษรแบบหัวบัวหรือ ตัวอาลกั ษณ์ แบบอาลักษณ์ แผนกอาลักษณ์ กองประกาศิต สานกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตรี ใช้เป็นแบบคัดของทางราชการ เป็นลายมือไทยท่ีสวยงามใชเ้ ขยี นเพ่อื การเกยี รตยิ ศตา่ ง ๆ
๑๕ ๒. ตัวอักษรประเภทหวั กลม คอื ตวั อักษรท่มี ีหวั กลมมน ๒.๑ แบบกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ ารได้ดัดแปลงจากตัวอักษรแบบ ขุนสัมฤทธ์ิ วรรณการเพอ่ื ทา เป็นแบบฝึกหดั คดั ลายมือใชใ้ นโรงเรียนประถมศกึ ษาของรัฐบาลท่ัวประเทศ
๑๖ ใบงานท่ี ๓ เรือ่ ง การคัดลายมือ วิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๓๑๐๑ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓ ภาคเรยี นที่ ๑ ช่ือหนว่ ย ร้อยรสบทกวี หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนฝกึ คดั ลายมอื ตามแบบและขอ้ ความทก่ี าหนดให้ เกดิ เป็นชายชาวสยามตามวิสยั หนังสือไทยกไ็ มร่ ู้ดูบัดสี ต้องอบั อายขายหนา้ ทั้งตาปี ถงึ ผ้ดู กี ค็ งดอ้ ยถอยตระกูล จะต่าเตีย้ เสียช่อื ว่าโฉดช้า จะชักพายศลาภให้สาบสญู ทั้งขายหน้าญาตวิ งศ์พงศ์ประยูร จะเพ่ิมพนู ติฉินค่านินทา ผแู้ ต่ง พระยาศรสี นุ ทรโวหาร (น้อย)
เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ าภาษาไทย รหสั วชิ า ท๒๓๑๐๑ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ภาคเรยี นที่ ๑ กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรยี นสรุ วทิ ยาคาร อาเภอเมอื ง จงั หวดั สรุ นิ ทร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: